5 กันยายน 2548 08:30 น.
แดดเช้า
บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว
สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
โอม ... เพี้ยง "บ้านกลอนไทย" จงออกมา
ชะเง้อหน้าจ้องคอมเหมือนกล่อมนอน
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจคอมพิวเตอร์
มันชอบเว่อร์เดี๋ยวดีร้ายไวรัสซ่อน
หรืออาจแฮ้งค์เสียกลางคันไม่ทันวอน
จะเขียนกลอนให้จบบทเครื่องหมดฤทธิ์
โลกเน็ตนี้มีที่รักอยู่สองสถาน
คือหนึ่ง "บ้านกลอนไทย" ให้เป็นสิทธิ์
สองท่องไหนท่องไปไม่รั้งชีวิต
พึ่งความคิดจุดยืนเด่นเป็นของตน
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ
คิดรอบคอบก่อนโพสกลอนไม่สับสน
ความรู้หนึ่งเท่าหางอึ่งไม่พึงจน
จะผ่านพ้นด้วยหลบหลีกปีกหางมี
รอเครื่องโหลดหลายหนทนไม่ไหว
อยากทุบเครื่องซึ้อใหม่ ทั้งโต๊ะเก้าอี้
น้ำโหขึ้นหูร้อน ฟ่อนฟ่อนทุกที
เวลาผ่านไปป่านนี้ ... ไม่ขึ้นมา
ดูสาเหตุจึงรู้ ... อ้อ โมเด็มปิด
เราหลงคิดไวรัสลงจนหมดท่า
กดสวิทซ์สักหนึ่งหนไฟแจ่มตา
โอ้ละหนา ... คนบ้าเน็ต เกือบเสร็จกัน
3 กันยายน 2548 15:42 น.
แดดเช้า
เข้าห้องพระกราบกรานพระรัตนตรัย
วางผลไม้น้ำปานะถวายผล
อธิษฐานฟังธรรม พระพุทธมนต์
น้อมกมลกระแสจิตตามติดไป
กราบลงสักครั้ง ... นิ่งดิ่งลง
เพื่อดำรงสติมั่นอย่างยิ่งใหญ่
กระแสเสียงพุทธโอวาทประกาศไกล
ก้องอยู่ในจิตลึกตรึกตามนี้ ....
ธรรมจักรผลักหมุนชี้วุ่นโลก
กิเลสโบกพัดกรรมนำวิถี
หลงบุญ หลงบาป หลงชั่ว-ดี
เคลื่อนไหลทับทวีกองทุกข์จม
เคลื่อนไปด้วยแรงไร้สติรั้ง
เคลื่อนไปด้วยพลังกิเลสข่ม
สติมีบ้าง ไม่มีบ้าง ใจยังตรม
หลงคว้างมโง่เหง้าความเศร้าครอง
ธรรมจักรผลักหมุนชี้สาเหตุ
อวิชชาเกาะเกศเกาะจิตข้อง
ปิดทั่ว มัวมิด ติดครรลอง
เปี่ยมนองทิฐิมั่นอย่างลึกล้ำ
หนาเปรอะเหนอะเหนียวเกินเกี่ยวออก
ขูดลอก ยิ่งถมทับ กลับขยำ
ไหลเลื่อน เหมือนเคลื่อนลึก ตรึกจองจำ
ค่อยค่อยย้ำแต่แน่นแน่นและเนิ่นนาน
ธรรมจักรผลักหมุนชี้ความสว่าง
อีกฝั่งฟากกระจ่างสะอาดสะอ้าน
เป็นฟากแห่ง ความ "ตื่น รู้ เบิกบาน"
หลุดพ้นผ่านจากทุกข์ถมจมจ่อมใจ
ไม่หลงบุญ หลงบาป คราบคาวโลกย์
กิเลสโบกแรงพลังมิหวั่นไหว
ด้วยสติ สัมปชัญญะแนบภายใน
ประธานใหญ่คือจิตวิสิษฐ์ล้ำ
ธรรมจักรผลักอีกครั้งยังบอกทาง
สู่ฝั่งฟากกระจ่างแจ่มแย้มคำร่ำ
ปฏิบัติถึงรู้แจ้งแห่งหลักธรรม
สังวรอินทรีย์นำ สุจริตใจ
นำสู่จุดสมาธิสติปัฏฐาน
เพื่อเข้าสู่มรรคาการอันยิ่งใหญ่
หนทางก้าวพ้นห้วงทุกข์สุขเกินใคร
สุขใดใดในแหล่งหล้าหาไม่มี
ถึงโพธิปักขิยธรรม โพชฌงค์เจ็ด
เจริญเสร็จพร้อมอิทธิบาทอย่างเต็มปรี่
ดิ่งธรรมะสวนะ ประจักษ์ฤดี
น้อมใจพลีปฏิบัติบูชา พระพุทธองค์
ทรงรู้หลักแห่งความจริงสิ่งรู้ยาก
ทรงลำบากกายจิตโปรดเสริมส่ง
เพื่อชี้ทางกระจ่างธรรมสุขดำรง
เพื่อหมายคงให้ประชาดำเนินตาม
เป็นอริยะบุคคลผู้เจริญ
หลุดจากห้วงสรรเสริญสุขทุกท่าม
หลุดจากบ่วง ห้วงทุกข์ห้อม ล้อมใจงาม
หลุดจากโซ่ตรวนยาม ตามร้อยรัด
ข้าฯ ขอน้อมบูชา บัวบูชิต
หมายน้อมจิตอธิษฐานนบพานจัด
ปฏิญาณปรารถนาบูชาชัด
ปฏิบัติตามธรรม ตลอดชีวิต
เจริญกรรมฐานทุกลมหายใจ เท่าใจกำหนด
สติ คือ กฎ รู้กาย ขยับถูกผิด
จะเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ลืมคิด
กายอยู่นี่ที่ลิขิตทุกจิตรู้
"ไม่ลืมกาย" ถวายเป็นธรรม ถวายพระองค์
สนองคุณ พุทธ ธรรม สงฆ์ ดำรงสู่
เพื่อสืบต่อหน่อเนื้อ บรมครู
ดำรงศาสน์ให้คงอยู่ ให้มั่นคง
ปฏิบัติบูชาพระพุทธองค์ดำรงมั่น
อธิษฐานซ้ำอย่างนั้น ไม่ลืมหลง
อานุภาพใดในสากลจะยิ่งยง
เหนือพุทธ ธรรม สงฆ์ ในโลก เป็นไม่มี
กงล้อธรรมจักรยังผลักหมุน
แต่โลกวุ่นจนลืมดูทุกข์ทุกที่
หากหยุดปรุงหยุดแต่งแบ่งใจที่มี
หันมานิ่งแน่วที่นี่ นิ่งเพียงพอ
จะเห็นความหมุนไป ความใคร่อยาก
ที่อาจพรากความรู้ตัวทั่วเกิดก่อ
ที่อาจทำเลอะเลือนเหมือนบ้าบอ
ที่อาจทำคนกลายต่อเป็นสัตว์ไป
กราบพระ ... ลาพระพุทธองค์ สักครั้งหนึ่ง
ข้าฯ ขอคุณพระเป็นที่พึ่ง ที่ยิ่งใหญ่
เหนือที่พึ่งอื่นหมื่นแสนในแดนไตร
ขอบารมีคุณพระได้คุ้มครองตน
เพื่อดำรงตนให้เป็นเช่นคุณค่า
เห็นความจริงแจ่มตาแจ้งสักหน
ถึงความเป็นอริยะบุคคล
เพื่อปลดพ้นบ่วงบาปหยาบจองจำ
เป็นเนื้อนาบุญแห่งโลก เป็นโชคใหญ่
ขอพึ่งค่าแห่งรัตนตรัยทุกเช้าค่ำ
กราบถวายบุญอนุโมทนานำ
ผลเลิศล้ำจงบังเกิดแห่งโลกเรา ...
2 กันยายน 2548 07:19 น.
แดดเช้า
มวลแมกไม้ไหวพลิ้วปลิวปลิดใบ
รับสายแดดใสใสน้ำไหลรี่
โค้งรุ้งพราวราวแพรไหมพลิ้วแพรวรี
ถักฟากฟ้าทอสี... แจ้งแจ่มตา
ใบหญ้าไหวลู่ลมห่มผืนดิน
อาบกรุ่นกลิ่นไอฝนอบแหล่งหล้า
ราวกระจกสะท้อนภาพแสงทาบทา
ไร้มายาได้มุมเหลี่ยมเลี่ยมคมคิด
หากใจเปิดเพียงเห็นเท่าเห็นได้
มองภาพไหนเป็นภาพนั้นเท่ามีสิทธิ์
เข้าใจภาพเข้าใจสิ่งอิงชีวิต
ไม่ผูกปิดกั้นภาพเพียงกรอบนั้น
จึงพบ "ภาพจริง" ยิ่งภาพไหน
ลึกลงไปพบ "ความจริง" ยิ่งสิ่งฝัน
ความแปรปรวนผวนเปลี่ยนเวียนวารวัน
สิ่งเปลี่ยนผันไม่คงที่ ไม่แน่นอน
ภาพจริง ... รู้ด้วยใจใจสัมผัส
ไม่แจ่มชัดด้วยตาหูดูอักษร
ไม่ซึ้งกรุ่นกลิ่นรสทุกบทตอน
หากใจอ่อนไม่นิ่งแน่วแนวลึกคม
ดินยังคงกลิ่นดินอุ่นไอฝน
หอมสายลมปะปนกับเสียงขรม
กบแซ่เสียงเพียงฝนหล่นประพรม
สื่ออารมณ์ สิ่งจริง ... ยิ่งสิ่งใด
ภาพจริง .. เกิดด้วยใจใคร่รับภาพ
นิ่งเพียงทาบรับรสทุกบทได้
หยุดปรุงคิดหยุดปรุงฝันหยุดปรุงใจ
เพียงชำระใจใสใส ... "ใจ" เท่านั้น
จึงเข้าถึงซึ้งหวานกานท์ธรรมชาติ
ถึงรสฝาดขมขื่นแห่งชื่นฝัน
ถึงความขุ่นในใสสุขห้วงวารวัน
ถึงใจแท้เท่าทันอารมณ์ตน
เหนือสมมุติจุดหมายปลายภาษา
พรรณนาภาพจริงอิงเหตุผล
เกินคำภาพภาษาใดในสากล
จึงจะค้นคำค่าภาษาจริง.
2 กันยายน 2548 00:41 น.
แดดเช้า
มวลแมกไม้ไหวพลิ้วปลิวปลิดใบ
รับสายแดดใสใสน้ำไหลรี่
โค้งรุ้งพราวราวแพรไหมพลิ้วแพรวรี
ถักฟากฟ้าทอสี... แจ้งแจ่มตา
ใบหญ้าไหวลู่ลมห่มผืนดิน
อาบกรุ่นกลิ่นไอฝนอบแหล่งหล้า
ราวกระจกสะท้อนภาพแสงทาบทา
ไร้มายาได้มุมเหลี่ยมเลี่ยมคมคิด
เป็นภาพจริง ... ไม่ปรุง แต่งแต้มเปรอะ
ไร้รกเลอะฉูดฉาดฉาบฉวยจิต
เรียบง่าย ... คล้ายฝันผันชีวิต
แต่ตรึงติดแนบประทับประดับใจ
ภาพที่เห็นเป็นภาพจริงหรือภาพสร้าง
ความแตกต่างอาจเห็นมิเร้นได้
ภาพเหมือนจริงอาจถูกสร้างต่างกันไป
ภาพไม่จริงสร้างอย่างไรก็ไม่จริง
ภาพจริง ... ไม่ต้องสร้างงามอย่างฝัน
ไร้มายาแสร้งสรรแต่งสรรพสิ่ง
เป็นสายน้ำฉ่ำใสไม่แอบอิง
ไหว-ติง-นิ่ง เปิดสว่าง ลึก กว้าง คม
ดินยังคงกลิ่นดินอุ่นไอฝน
หอมสายลมปะปนกับเสียงขรม
กบแซ่เสียงเพียงฝนหล่นประพรม
สื่ออารมณ์ สิ่งจริง ... ยิ่งสิ่งใด
หวานภาพจริงยิ่งนัก ... จักบรรยาย
คล้ายคล้าย ดื่มด่ำน้ำใสใส
เย็นลึกล้ำกว่าถ้อยร้อยคำใคร
หอมกว่ามวลดอกไม้ในดินแดน
ภาพจริง ไม่ต้องสร้าง วาดจากจิต
สื่อห้วงคิดสบสายตาค่านับแสน
เกินร้อยคำล้านอักษรมาวอนแทน
บรรยายแก่นภาพจริง ... ไม่ได้เลย