14 ตุลาคม 2548 09:05 น.
แดดเช้า
ตั้งตระหง่านพร้อมรับกับพายุ
ที่ประทุปะทะประดังจบ
สะท้อนเสียงก้องกังวาลดังดาลทบ
น้ำแทกซบหลายหนยังทนยืน
สะท้อนคืนคลื่นลมน้ำโถมสาด
เห็นประหลาดยิ่งซัดแรงแห่งลมคลื่น
เสียงสะท้อนย้อนกลับกลับดังคืน
น้ำกระจายคล้ายกลืนครอบผาชัน
ยิ่งนิ่งมั่นยิ่งสะท้อนย้อนกลับหนัก
เหมือนโกรธนักกับใครไม่ไหวหวั่น
ผู้หลงโกรธย่อมโกรธหนักกระอักพลัน
เรานิ่งมั่นเขายิ่งคับข้องอับใจ
จึ่งกระทบแรงใดให้นิ่งเฉย
สุขรำเพยจิตแท้ย่อมแก้ไข
สิ่งเวียนหมุนวุ่นวายค่อยคลายไป
สะท้อนคืนผู้หวั่นไหว ... ให้เร่าร้อน
เพียงไม่รับจับจองเป็นของตน
ความสับสนในจิตย่อมปิดผ่อน
สงบนิ่งท่ามชิงชังทั้งนั่งนอน
สิ่งเกิดก่อนสะท้อนกลับ ... ไม่รับมัน
ผู้ใดร้อนฟอนฟืนเกินฝืนจิต
จะแทบปลิดแรงสะท้อนสะทกหวั่น
ยิ่งกระทบยิ่งสะท้อนยิ่งประชัน
แต่คนมั่นย่อมร่มเย็นเป็นสุขใจ
ภูผาตั้งยังตระหว่านชั่วกาลกัปป์
น้ำหลั่งซับซบซ่านมิหวั่นไหว
ลมพายุปะทุปะทะประดังไป
ภูผาไม่สะเทือนเหมือนไม่รับ
ทั้งน้ำลมสะท้อนคืนเป็นคลื่นแรง
หมายทิ่มแทงภูผาบ้าลมกลับ
ลมหวนหมุนฝุ่นวนบนล่างทับ
ฟุ้งแล้วพับสงบลง ... คงเบาบาง
เป็นภูผาตระหง่าน ณ กาลใด
แห่งดวงใจคงที่ที่เปล่าว่าง
สะท้อนคืนความชื่น-ขม พรมอำพราง
มั่นเพียงสร้างสิ่งดีดีที่ชีวิต.
14 ตุลาคม 2548 01:23 น.
แดดเช้า
ณ เดือนเพ็ญเห็นดวงพร่างช่วงโชติ
แสงรุ่งโรจน์รัศมีจันทร์เฉิดฉันฉาย
แจ่มกระจ่างสว่างฟ้าราตรีกราย
เคลื่อนคล้อยย้ายโยงฝัน ณ ราตรี
ยักษ์ราหูกู่ก้องอยากครองฟ้า
ครอบจันทร์พล่าพิฆาตปราศราศี
หลายคนหวั่นพรั่นพรึงตะลึงตะลี
ยกมือขึ้นไหว้พลีบูชายัญ
กลัวความมืดมาครอบระบอบโลก
กลัวอับโชคเสื่อมสูญอาดูรหวั่น
กลัวชีวิตผิดพลาดบาดเจ็บพลัน
กลัวตัวสั่นหวั่นไหว .. ในความกลัว
ความมืดบอดจอดอยู่รู้กับจิต
ยอมอุทิศสินทรัพย์ดับสิ่งชั่ว
หวังบูชาราหูปัดเป่ามัว
ปล่อยมืดทั่วจางชังจะสังเวย
เพียงคราวครู่ราหูคลายคล้ายมีหวัง
คนประทังชีวิตมิเพิกเฉย
แก้บนบานศาลกล่าวเล่ารำเพย
ราหูเผยคลี่จันทร์คลายหวั่นใจ
จึ่งจุดธูปเทียนดำดอกไม้แนบ
ดำรูปแบบสิบสองอย่างนำวางใส่
หมายปรารถนาแรงหวังตั้งหทัย
สิ่งใดใดได้สมหวังดังต้องการ
นวลจันทร์คงเฉิดฉายคล้ายงามพักตร์
คนหลงรักราหู ... ดูสงสาร
กลัวภัยมืดหมอกหม่นมาดลวาร
กลัวชีวิตปลิดสังขาร ... ถึงกาลโรย
แทนที่ควานสานใจใสสว่าง
เพื่อกระจ่างเขลาขลาดปราศแรงโหย
โมหะครอบกรอบทับกลับโอดโอย
ร้องเรียกโปรยทดท้อ ... ขอเห็นใจ
เมื่อขลาดเขลาดุร้ายเข้ากรายมา
ใจอ่อนล้า ชอบ-ชัง หวัง-หวั่นไหว
ขอเพียงนิ่งดิ่งจิตยามผิดไป
จะผ่อนมืดหม่นได้ในทุกคราว
อย่าบูชาราหูตัณหาเกิด
บ้าเตลิดตามอารมณ์ ชื่น-ขม หนาว
คลั่งไคล้หลงลงระเบิดเปิดเรื่องราว
ขุดเรื่องฉาวร้าวร้ายมากรายกลืน
เพี้ยน .. โง่งม จมจ่อมย้อมใจคิด
หลงเห็นผิดเขื่องปมเกินข่มฝืน
จมอัตตามหาภัยไร้จุดยืน
ยากคลายคืนวัฏฏะวนกระวาย
จันทร์ถูกครอบกรอบราหูดูให้ชัด
เพียงเป่าปัดหยุดนิ่งอย่าวิ่งว่าย
ถึงจังหวะพระราหูจะคลี่คลาย
แสงใจฉายเปี่ยมชัดจำรัสงาม
อย่าบูชาราหูหันกู่ก้อง
เหตุมัวหมองครองอยู่คู่ฟ้าท่าม
เกิดขึ้นได้ดับได้ในทุกยาม
มัวไถ่ความไร้ประโยชน์ ... โปรดแจ้งใจ
ความมืดหม่นบนจันทร์พร่างสรรค์ฟ้า
รอเวลาเจิดจรัสชัดสุกใส
จะเห็นเหตุเกิดดับกับเป็นไป
ทุกสิ่งใช่แน่นอนวอนบูชา
อย่ากลัวสิ่งอิงบอดมอดไหม้จิต
อย่ามัวคิดกังวลบนท่วงท่า
ณ กาลนี้ที่เป็นไปในเวลา
จิตจ่อค่าแห่งกาล ... อย่าหวั่นใจ
เมื่อจันทร์เพ็ญเห็นราหูดูให้ซึ้ง
อย่าตะลึงตั้งสติตริตรองไตร่
เหตุเกิด-ดับกับมายาถ้าเป็นไป
ยอมรับได้ปรับตัวทัน ... ไม่พรั่นพรึง.
13 ตุลาคม 2548 08:32 น.
แดดเช้า
เค้นอารมณ์ ขม-หวาน ผ่านรู้สึก
ปาดสำนึกผนึกแน่น ณ แท่นฝัน
มันสมองคล้องโยงคือพู่กัน
บรรจงวาด หวัง-หวั่น ณ หว่างใจ
สีแสงแห่งแรงใจใสผลึก
ผสมผสานคิดนึกรู้สึกไหว
จินตนาการผ่านเปิดเกิดแห่งใด
ทุกทิศไหลหลั่งหวนกระบวนงาน
ก่อนสองมือถือปากกามาขีดเขียน
หูจำเนียรถ้อยซึ้งหนึ่งคำผ่าน
กรองรู้สึกลึกเร้นเป็นตำนาน
กลั่นกรุ่นหวานกลิ่นอวลชวนชื่นชม
สัมผัสกายหลายหลาก มาก เย็น-ร้อน
อุ่น-นุ่มอ่อน แข็งกระด้าง ยังมิข่ม
เพื่อแกร่งเข้มเต็มที่ที่กลืนกลม
กล่อมสั่งสมเป็นเรื่องราว ... คราวสร้างงาน
จึงลงวาดพิลาสคำล้ำสำนึก
จารตราตรึกตรองไตร่ได้สืบสาน
ทุกไหลเชี่ยวเคี่ยวผลดลบันดาล
ก่อนซึมซ่านสู่ใจใครสักคน
โลกทั้งใบในฝันพลันเผยเปิด
ศรัทธาเทิดใดใดได้เผยผล
เปิดโลกสู่ฤดูฝันอันยินยล
สู่ดวงใจมวลชน ... คนเปิดใจ.
12 ตุลาคม 2548 00:48 น.
แดดเช้า
เล่านิทานกาลครั้งหนึ่งเรื่องซึ้งซาบ
มีตราบาปราหูผู้ฮึกเหิม
หลงรักจันทร์พรรณรายฉายนวลเดิม
อยากจะเสริมบารมีอยู่ .. คู่เคียงจันทร์
จึงตามเฝ้าเป็นเงาเข้าล้อมโอบ
จันทร์เคลื่อนโฉบเฉิดฉายกรายเฉิดฉัน
ไม่สนใจในเงาเคลื่อนเหมือนเมินกัน
ราหูหวั่นอยากใกล้ให้กว่านี้
หน้าที่จันทร์สรรค์ฟ้าทอเรืองแสง
ยามตะวันลับแรงเป็นสักขี
จันทร์ยังจรอ่อนละไมในฤดี
สักกี่ปีจันทร์ยังอยู่คงคู่ฟ้า
ณ ยามสางสร่างมัวสลัวคลาย
จันทร์เฉิดฉายทายทักตะวันกล้า
ก่อความแค้นแน่นกระอักอสุรา
ราหูท้าหึงหวงทะลวงจันทร์
ชังตะวัน ชังฟ้า ชังทุกอย่าง
ชิงจันทร์พร่างไม่ได้ดังใจฝัน
ได้จังหวะเคลื่อนปะทะครอบตะวัน
จะกลืนมั่นมืดมนอนธกาล
หลายครั้งนักราหูมักกู่ก้อง
อยากจะครองจันทร์พราวเข้าหักหาญ
ครอบนวลจันทร์หวั่นไหวทั้งจักรวาล
แค้นรักพล่านในอกสะทกใจ
เป็นเงามืดแห่งอวิชชามาคลุมครอบ
หลงชังชอบมืดหนวกหม่นบอดใบ้
บังเหตุผลวนวุ่นหมกมุ่นไป
และหลงใหลคล้ายเคลิ้มเติมแต่งปรุง
อยากใกล้ชิดมิตรจันทร์มั่นเด่นฟ้า
อยากเข่นฆ่าดวงตะวันมั่นหมายมุ่ง
อยากครองพื้นที่กว้างทั้งฟ้าคุ้ง
อยากเฟื่องฟุ้งเลิศล้ำเพียงลำพัง
จึงเป็นเงาเศร้าเศร้าเฝ้าฟากฟ้า
เหมือนเป็นบ้าอารมณ์ข่มความหวัง
ตามพิฆาตตะวันบั่นเกลียดชัง
ตามบดบังจันทร์งามตามราวี
คือ นิทานราหู ผู้มืดบอด
คอยคุมมอดไหม้ล้างสร่างราศี
เห็นใครเด่นเป็นเลิศเกิดราคี
อยากคุมเดชเด่นดีที่ใครใคร
หากราหูอยู่ครอบในกรอบจิต
คงมืดมิดอวิชชาบังใจใส
ไม่รู้แจ้งแห่งสัจจำรัสนัย
หมองหมกมุ่นมอดไหม้ไฟครอบงำ
จะเร่าร้อนฟอนฟืนตื่นในจิต
จะแผลงฤทธิ์เจ็บร้าวเศร้าถลำ
จะบ้าคลั่งชังแค้นแน่นชอกช้ำ
จะระบมกลืนกล้ำอมน้ำตา
ใจราหูหดหู่ดูมืดมิด
อยากจับผิดจันทร์-ตะวันอันแกร่งกล้า
คลุมเพียงครู่คราวครอบกรอบมนตรา
แสงจ้าสาดอวิชชาสร่างซาไป
แสงสว่างกระจ่างฟ้าชนะหม่น
เพียงอดทนเบิกแสงแห่งฝันใฝ่
มั่นจุดยืนชื่นจิตแผ่มิตรไกล
สุขเพียงใดเมื่อเมตตาพร่างกระจาย
เล่านิทานอ่านโลกโชคชะตา
แม้กรรมมาเวียนวนค้นความหมาย
คุณความดีที่ประดับประทับกาย
ย่อมพร่างพรายราศีที่ตัวตน.
11 ตุลาคม 2548 22:11 น.
แดดเช้า
ฉันกับเธอเผลอใจหรือไรนั่น
จึงรักกันด้วยมุมต่างห่างไกลฝัน
ฉันมั่นหมายตะกายฟ้าคว้าจันทร์พรรณ
อยากเด่นเช่นตะวันวันทอทอง
ส่วนเธอมั่นปั้นดินถิ่นรากฐาน
สืบตำนานหาญกล้ามาปกป้อง
วางฐานะสรวงสวรรค์สรรค์ครรลอง
โยงสอดคล้องระบบทั้งงบดุล
ฉันวางโครงงามหรูดูเลอเลิศ
เพื่อภาพเพริศจินตนามาเกื้อหนุน
อยากแจ่มฝันวันละเอียดละเมียดละมุน
พบไออุ่นอาบรักปักห้วงใจ
เธอวางหลักปักฐานผ่านเสาหลัก
เร่งหาเงินฟูมฟักถักทอให้
ทั้งบ้านรถงดงามตามเป็นไป
เก็บออมไว้บริหารงานครันครบ
ฉันนั่งฝันความสุขปลุกความคิด
ใช้ชีวิตสะดวกสบายคล้ายบรรจบ
ทุกสัมผัสชัดเจนเห็นเพียงพบ
เรืองแสงสบสว่างกระจ่างชีวิต
เธอดิ้นรนค้นหาฐานะสร้าง
ความแตกต่างระหว่างเราจึงเข้าติด
ฉันเฟื่องฟุ้งมุ่งดาวคราวครุ่นคิด
เธอใกล้ชิดดินจริงเหนือสิ่งใด
คือมุมมองของกันและกันสร้าง
ความแตกต่าง ฟ้ากับดิน สิ้นสุดได้
หากบรรจบพบขอบฟ้า ณ ดวงใจ
ประสานไว้เป็นหนึ่งเดียว ... เกี่ยวก้อยเดิน.