21 สิงหาคม 2549 19:34 น.
แดดเช้า
กรองดอกรักกลีบกุหลาบกรุ่นดอกหอม
จากใจพร้อมร้อยมาลัยด้วยใฝ่ฝัน
รอคนหนึ่งเป็นเจ้าของปองสัมพันธ์
จะคล้องมั่นมาลัยรักปักกลางทรวง
หลายคนผ่านมาหวานซึ้งรำพึงรัก
ต่างมั่นหลักชีวิตคิดห่วงหวง
ตั้งหน้าเรียงเคียงกายไม่หลอกลวง
จวบวันล่วงลังเลใจไม่เลือกเลย
กับคนแรกแปลกใจไม่เคยหวาน
ช่างคิดอ่านหลักปราชญ์ฉลาดเฉลย
คำคมตรึกลึกล้ำคำพังเพย
ทุกคำเอ่ยกินใจไร้เทียมทาน
คนที่สองต้องใจซึ้งในพักตร์
จิ้มลิ้มนักช่างออดอ้อนเอื้อนอ่อนหวาน
ทั้งเสียงเพราะเสนาะคำช่างชำนาญ
เพลงกล่อมซ่านเคลิ้มราตรีฝันดีจัง
คนที่สามถามอะไรตอบได้หมด
ช่างหมดจดละเอียดละออต่อความหวัง
ยามสงสัยใจกังวลเขาทนฟัง
พร้อมมานั่งเป็นเพื่อนเหมือนรู้ใจ
คนที่สี่ดีแสนดียอมทุกอย่าง
ไร้ข้ออ้างข้อแม้ยอมแพ้ได้
แสนอ่อนน้อมถ่อมตนทนกว่าใคร
และห่วงใยเคียงข้างไม่ห่างกัน
คนที่ห้าท่าทางดีมีเหตุผล
รู้ปรับตนแน่นหนักเป็นหลักมั่น
มรรยาทก็พองามความสัมพันธ์
ไม่หุนหันไม่ชักช้าจังหวะดี
อีกหลายคนน่าสนใจเริ่มไหวหวั่น
มือไม้สั่นคล้องมาลัยไปโน่นนี่
ครั้นจะเสี่ยงก็ไม่กล้าหยั่งท่าที
ยักมือหนีเก็บมาลัยไว้กับตัว
กรองดอกรักกลีบกุหลาบกรุ่นภาพฝัน
ใจยังหวั่นตาพร่าเบลอเพ้อไปทั่ว
กำมาลัยแน่นมั่นสั่นระรัว
เพราะยังกลัวเลือกผิดคิดจนตาย.
18 สิงหาคม 2549 19:50 น.
แดดเช้า
จุดเทียนท่ามกลางความคิด
มืดมิดแรงใจใฝ่ฝัน
มองฟ้ามองดาวเท่ากัน
เท่านั้นเท่าที่เท่าใจ
ใจมืดเหมือนหม่นหมอกฟ้า
เลือนตาพร่าเบลอเพ้อใฝ่
เวิ้งห้วงเคว้งคว้างกว้างไกล
หวั่นไหวหวาดหวิวปลิวลม
จุดเทียนเขียนวาดปรารถนา
คุณค่ากล้ำกลืนขื่นขม
เขียนเท่าเศร้าโศกโลกตรม
เท่าโลกกลมกลมกลางใจ
จรดตวัดศรัทธาเท่าคิด
เท่าที่เสรีสิทธิ์ฝันใฝ่
เท่ามีเท่าที่เป็นไป
มิได้เติมแต่งเกินเป็น
หากมิรู้รสบทเหงา
น้ำตามอดเถ้าไม่เห็น
ระทมขมรสลำเค็ญ
ไม่เคยทุกข์เข็ญเข้าใจ
ฤๅจักรับรสรู้สึก
ห้วงลึกจิตเร้นเป็นไฉน
ฟ้ากว้างต่างตนเท่าไร
ระรินห่างไกลดินมี
นั่งเทียนเขียนใจให้ซึ้ง
คิดถึงห้วงกาลพื้นที่
ฟ้ากว้างทางไกลลึกฤดี
ไหลหลั่งเท่าที่มีเป็น.
16 สิงหาคม 2549 09:07 น.
แดดเช้า
(๑)
ประตูที่ปิดตาย
เก็บตัวไว้ในห้องของความเหงา
เก็บกาลเก่าเจ็บจำความช้ำหมอง
ทอดอาลัยในชีวิตไม่คิดปอง
ชำเลืองมองหาทางออกก็ไม่เจอ
ในห้องหับคับแคบและเคร่งครัด
แสงไม่ชัดลางสลัวใจกลัวเสมอ
เกรงลำแสงแยงตาที่ฝ้าเบลอ
กลัวพบเธอในแสงฝันอันอำไพ
จึงเก็บกักรักไว้ในกรงขัง
กั้นความหวังสารพันมิฝันใฝ่
ก่อกำแพงแห่งชีวิตปิดทางไป
ทั้งหน้าต่างประตูใดใส่กลอนกรึง
ใครมาเคาะก็เกราะกันกั้นขวางไว้
ปิดหูซ้ายขวาได้ก็ปิดขึง
ไม่รับรู้ไม่ได้ยินเสียงอื้ออึง
ความคิดถึงใดใดไม่เคยรับ
คือโลกมืดยืดยาวเรื่องราวช้ำ
พายุเคยกระหน่ำจนเกินปรับ
จึงปิดคล้องป้องกันมานานนับ
กับผ้าซับเปียกชื้นทุกคืนวัน
ซับน้ำตาที่ไหลนองทั้งสองเบ้า
ไม่รู้จักแสงเช้าเงาความฝัน
ความมืดมนเย็นเยียบช่างเงียบงัน
มีเพียงฉันเดียวดายในห้องนี้
ประตูที่ปิดตายใครไม่เห็น
โลกหนาวเย็นลำพังขังตนหนี
หลีกรักช้ำกระหน่ำซ้ำโบยตี
ขอเก็บใจอยู่ที่ห้องมืดมน
เก็บตัวไว้ในห้องแคบแบบเก็บกด
ความรันทดเป็นเพื่อนเยือนทุกหน
รอยยิ้มรื่นชื่นใจใครบางคน
มิอาจดลแสงสว่างเข้ากลางใจ.
(๒)
ขอไขประตูฝัน
สาวในชุดสีดำคนช้ำชอก
ซุกในซอกห้องหม่นรอคนไข
ประตูปิดกั้นรักกักใจไว้
มิให้ใครล่วงเข้าแม้เงาเยือน
อยากสาดแสงแรงรักมาทักถาม
ฤๅซึ้งความโศกเศร้าเข้าเป็นเพื่อน
ทุกข์ระทมจมจ่อมอดีตเตือน
หวาดโลกเลือนแหลกทลายหวั่นชีวา
ไม่พร้อมสู้สู่เส้นทางหวังใหม่ใหม่
ปิดหัวใจรับแสงแห่งคุณค่า
ปลักกับโลกบอบช้ำและน้ำตา
เธออ่อนล้าซานซมจมชีวิต
น้ำฝนโปรยโรยทางยังไม่เห็น
ความชุ่มเย็นแสงทองส่องสถิต
โลกของเธอละเมอควานความมืดมิด
ยังคงปิดประตูกั้นฝันที่รอ
เคาะ เคาะ เคาะ ... เคาะเท่าไรเธอไม่รับ
ดนตรีขับเสียงกังวานหวานแว่วหนอ
อธิษฐานกังวานเสียงจะเพียงพอ
ไขใจท้อลึกล้ำคลายกล้ำกลืน
เนรมิตภาพงามของความรัก
ส่งไปทักใกล้ตาคราขมขื่น
หวังดอกไม้กรุ่นสัมผัสศรัทธายืน
ชะล้างคืนราตรีร้างสร่างเศร้าคลาย
ปรารถนาคุณค่าใจให้เธอคิด
ไขโลกปิดให้เปิดเป็นความหมาย
ประกายแดดแสดสร้างล้างเดียวดาย
เถิดช่วยฉายดวงใจหายมืดมน
สาวในชุดสีดำเธอช้ำรัก
อยากรู้จักเยียวยาใจให้หายหม่น
เปลี่ยนชุดดำเป็นขาวพราวบันดล
ขอเป็นคนอยู่ใกล้ใจได้ไหมเธอ.
(๓)
แว่วกังวานหวาน
เสียงเคาะเคาะประตูยังดังนัก
คล้ายถามทักจังหวะซ้ำสม่ำเสมอ
น้ำตาพร่างยังนองทำนองละเมอ
ภาพพร่าเบลอช้ำชอกตอกห้วงใน
น้ำตาหยาดปาดน้ำตาอีกคราหนึ่ง
เสียงเพลงซึ้งซ่านหวามความอ่อนไหว
ภาพหมอกขาวพราวตามาพร่างใจ
เห็นความรักสดใสจากไหนกัน
ฟ้าสีทองส่องมาได้จากไหนหรือ
ตรงหน้าคือประตูเปิดเป็นความฝัน
ฉายแสงทองส่องฟ้าพร่างตะวัน
แล้วไยผันเปิดได้ใครไขกลอน
เขาเดินมาซับน้ำตาตรงหน้านั่น
โอบกอดฉันแล้วร่ำคำแนะสอน
ความเคว้งคว้างอย่างที่เห็นเป็นภาพซ้อน
ที่สะท้อนมุมโลกสุขโศกดล
วอนรู้เรียนรู้รักรู้จักเหตุ
อย่าหมางเมินปฏิเสธกรอบเหตุผล
ขอเคียงข้างอย่างนี้อีกสักคน
ยามสับสนประคองใจไม่ทิ้งเลย
พร่างแสงสีสดใสสาดตาแล้ว
เห็นตะวันดวงแก้วแววเปิดเผย
โลกจึงพร่างกระจ่างอุ่นอย่างคุ้นเคย
มีเธอเอ่ยคำปลอบขวัญวันอ่อนล้า
น้ำตาหยาดสุดท้ายคล้ายปลิดทิ้ง
พบสิ่งจริงอาทรเอื้อเกื้อคุณค่า
เราจับมือประคองกันมั่นคงมา
"รักเข้าตา" จึงห่วงใย "เข้าใจกัน".
13 สิงหาคม 2549 23:33 น.
แดดเช้า
มีคนเคยบอกว่า ตาฉันสวย
สะท้อนเปลวแสงช่วยดูสดใส
ยิ่งยามแย้มยิ้มเยือนเหมือนผูกใจ
จนใครใครหลงฝันทุกวันคืน
แล้ววันนี้มีใครมาใกล้ชิด
บังตามิดหมอกพร่างช่างสดชื่น
เหมือนชุบชีพชุ่มฉ่ำคลายกล้ำกลืน
ประคองให้หยัดยืนถึงพรุ่งนี้
ตื่นจากฝัน ... ควันไฟจากไหนนั่น
ลอยลมควันความร้อนมาถึงนี่
บดบังตาบังใจไม่ยินดี
ยากเลี่ยงหนีควันเขม่าฝุ่นเข้าตา
เพราะเธอร่ำคร่ำครวญชวนให้ท้อ
บอกจะขอห่างหายไม่เห็นหน้า
ลืมเสียเถิดวันวานที่ผ่านมา
ขอร่ำลาหาบางใครคนคอยเธอ
หมอกเยือกเย็นเบาบางก็จางหาย
พลิกกลับกลายเป็นควันยามฉันเผลอ
ในชั่วครู่ชั่วยามเพียงพบเจอ
หลงละเมอภาพฝันควันบังตา
ใครใครเคยสบตาบอกว่าช้ำ
ไยขยี้ขยุ้มขย้ำจนคล้ำหน้า
ดวงตาเคยสวยพราวดุจดาวฟ้า
ชอกช้ำแดงหมดท่าน้ำตานอง.
10 สิงหาคม 2549 22:47 น.
แดดเช้า
สบตาเธอกี่ครั้งยังหวาดหวั่น
เหมือนมีใครมิใช่ฉันในนั้นหนอ
เย็นชาเพียงเสียง-สัมผัสไม่ชัดพอ
มิอาจสื่อรักก่อถักทอใจ
รักจืดจางห่างเหินเกินไปแล้ว
เหมือนดาวแววเมฆหมอกบดบังใส่
กระแสห้วงห่วงหาอาทรใด
มิอาจใกล้ลึกซึ้งบึ้งใจเธอ
รักเหงาเหงาเข้าตาน้ำตารด
น้ำใจหมดชอกช้ำสม่ำเสมอ
คนในแววตานั้นฉันพบเจอ
ภาพเลือนเบลอมิใช่ฉัน ... นั่นคือใคร
สบตาเธอกี่หนทนเหน็บหนาว
อกแหลกร้าวร้างแล้งแล้วใช่ไหม
หรือเส้นด้ายสายสัมพันธ์ขาดเยื่อใย
หน้าต่างใจเผยแล้วในแววตา.