22 สิงหาคม 2548 18:02 น.
แดดเช้า
ใครว่าช้ำซ้ำซากพรากจากรัก
เป็นทุกข์หนักห่อโหมจนโทรมเศร้า
ใครว่าจนตรอกระกำจากลำเนา
เป็นความเหงาโศกสุดเกินพรรณนา
ใครว่าทุกข์จากทรมานกร้านกรำหนัก
ข่มเหงหักโหมจิต ความผิดพร่า
จะเป็นทุกข์เหนือล้ำจำนรรจา
มีทุกข์กว่ายิ่งนี้ ที่ไม่รู้
ทุกข์จากเวียน เปลี่ยนปรวน หวนแปรเบี่ยง
สิ่งไม่เที่ยงเยี่ยงนี้ ทุกข์สุดกู่
เดี๋ยวดีเด่น เป็นดาวดัง เดี๋ยวหวังฟู
เดี๋ยวหดหู่เหี่ยวแฟบแทบล้มพัง
ทุกข์ปกปิด ไม่ปกปิด จิตยังร่ำ
หลงตรากตรำ เป็นทุกข์หนัก รักผิดหวัง
หลงสุขเปี่ยมเยี่ยมเยียนยามหวานบัง
หลงเด่นดัง เป็นสุขนัก .... ไม่หนักใจ
ในโลกนี้มีอะไรได้สุขแท้
จึ่งดูแล กายจิต อย่าคิดใฝ่
สติปัฏฐานสี่ ที่พระองค์ ทรงตรัสไว้
เจริญภาวนา อย่าหวั่นไหว ให้ถูกทาง
ทะเลทุกข์จ่อมจมถมชีวิต
ล้อมทั้งจิตด้วยอวิชชา ... แท้สิ่งว่าง
มั่นทุกสิ่งเป็นตัวตน ดลอำพราง
จะก้าวย่างทางไหน .... ล้วนกองทุกข์
ใครว่ามีทุกข์อื่นสักหมื่นแสน
ไม่สู้แม้นทุกข์จากจิตที่ปิดสุข
สุขที่แท้อยู่ที่จิต ไม่ล้มลุก
ไม่เฟื่องแฟบ ตามแรงปลุกสุขมายา
22 สิงหาคม 2548 14:37 น.
แดดเช้า
ฟังเขาว่าคนเขียนกลอนมักอ่อนไหว
ละเมียดละไมละเอียดอ่อนจนอ่อนหวาน
และฉันเก็บสิ่งเหน็บหนาวคราวสร้างงาน
ค่อนชีวิตเขียนคำกานท์ .... ผ่านเวลา
ความอ่อนไหวในใจเริ่มแข็งกร้าน
ละเมียดหวานเริ่มแข็งเข้ม อย่างเต็มค่า
กระทบไหว กระเทือนหวั่น วันผ่านมา
เริ่มตระหนักมั่นคงกล้า ที่ท้าทาย
สายตาเคยเอ่ยคำพร่ำรู้สึก
กลับแน่นลึกตรึกตรอง คล้องความหมาย
สายใจเหนี่ยวเกี่ยวฝันอันมากมาย
กลับผ่อนคลายคล้ายฝันนั้นมายา
ฟังเขาว่าคนเขียนกลอนมักอ่อนหวาน
มือสองกร้านของฉันยังมั่นกว่า
ค้นความไหว คว้าความหวาน ควานเวลา
กลมกลืนค่า ความหมายซึ้ง หนึ่ง "สัจธรรม"
เริ่มรู้สึกระลึกคำ ความไม่เที่ยง
เปลี่ยนแปรเบี่ยง เวียนหมุน วุ่นหงายคว่ำ
ทุกสิ่งล้วนปรวนไป คล้ายพัดนำ
เกินถ้อยคำ ความเป็นตน ณ หนใด
ถือมั่นนัก เป็นตัวฉัน เป็นของฉัน
ที่แท้นั้น มิอาจคุม บังเหียนได้
เวลาหมุน โลกก็หมุน วุ่น เวียน ไป
เพียงดวงใจ ดวงเดียว เกี่ยวกับกาย
ฟังเขาว่าคนเขียนกลอนอ่อนละมุน
แต่โลกหมุนไม่อ่อนผ่อนจุดหมาย
ความเป็นจริงสรรพสิ่งวิ่งแทบตาย
ไม่หยุดว่าย หยุดเวียน เหมือนเขียนกลอน