14 ตุลาคม 2548 20:39 น.
แดดเช้า
บางใครค้นคิดทิศทาง
อ้างว้างห่างฝันวันใส
มืดมิดติดกรอบเกราะใจ
ทางไปไร้แสงแรงรา
เหมือนหลงดงพงดงใจ
หวั่นไหวคล้ายหลงดงป่า
มองข้างต่างกันอ่อนล้า
มองหน้าไม่เห็นทางวาง
บางใครได้หาทางออก
คำบอกคำกล่าวเปล่าว่าง
คลำเส้นเร้นหมายคลำทาง
เลือนลางไม่พบทางไป
จนใครพบแสงแห่งหวัง
จงตั้ง "ปลายทาง" สดใส
จึงเห็นเส้นทางทันใด
ทางไกลไม่ท้อต่อทาง.
14 ตุลาคม 2548 11:20 น.
แดดเช้า
เพื่อนรัก ...
ขอบคุณนักที่อยู่คู่เคียงข้าง
ยามเดียวดายร่ำไห้ใจอ้างว้าง
เธอไม่ห่างสักนิดไม่คิดแปร
เป็นมิ่งมิตรชิดใกล้ให้อบอุ่น
ช่างชินคุ้นสัมพันธ์วันเจ็บแผล
เธอปกป้องรองรับกับดูแล
เป็นเพื่อนแท้เคียงข้างไม่ห่างไป
ที่รัก ...
แม้เธอจักจากฉันยังฝันใฝ่
มีเพียงเธอเพ้อชิดสนิทใน
แนบดวงใจดวงฝันวันคำนึง
ยามฉันท้อรอรักถักไออุ่น
หยาดละมุนแห่งหวังยังคิดถึง
ไกลซีกฟ้าคราโลกโบกไกวดึง
กระแสใจยังซึ้งถึงคนดี
เพื่อนรัก ...
เธอยังทักทายฉันไม่หันหนี
แต่ขอโทษโปรดอภัยเปิดไมตรี
ฉันคนนี้มิอาจรัก ... เกินทักทาย
ที่รัก ...
ฉันคงจักเจ็บร้าวคราววนว่าย
คิดวนเรื่องรักเราเหงาเดียวดาย
ไม่มีเธอข้างกายคล้ายเจ็บเกิน
กับทางเลือกเยือกเย็นที่เร้นลับ
เหมือนถูกทับอึดอัดนับนานเนิ่น
อยากเร้นกายหายสูญอาดูรเมิน
อยากซ่อนเหินห่างหนี ... ไม่มีเรา
ไม่มีเขา ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน
ไม่มีกัน สัมพันธภาพอันขลาดเขลา
อยากเก็บตัวมัวหม่นบนร่างเงา
ไม่มีใจไร้เรื่องเก่า ... ที่ผ่านมา
ฝนโปรยปราย .. โอ้เอ๋ย ใจเคยคิด
ท้อชีวิตเรื่องรักจักไร้ค่า
โลกแปรผันวันผ่านกาลเวลา
ฝนเคยซาใจไม่เคยเผยเรื่องราว
รักของเธอหวานค่ามากกว่านัก
แต่ฉันปักแน่นจิตเกินเอื้อมสาว
เขาอยู่ไกลไหวหวั่นพรั่นทุกคราว
กลัวใจร้าวเจ็บเกินรับ ... อยากกลับใจ
คนข้างกาย ... คล้ายรักเป็นหลักมั่น
แต่ใจฉันครุ่นคิดมิตรร่วมใฝ่
ไม่เคยล่วงทะลวงฝันอันห่างไกล
ให้เธอใกล้หัวใจฉัน ... กว่านั้นเลย
คนใกล้ใจ ... ไกลห่างอ้างว้างนัก
ใจยังรักเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย
โอ้ชีวิตจะปลิดฝันวันลงเอย
ฉันจะเผยความในใจอย่างไรดี
ล่วงผ่านวันผันคืนฉันขื่นจิต
ระทดคิดหวนไห้อยากปลีกหนี
อยากสลัดเชือกมัดรัดใจนี้
ไม่อยากมีใครสักคน ... บนหัวใจ.
14 ตุลาคม 2548 09:05 น.
แดดเช้า
ตั้งตระหง่านพร้อมรับกับพายุ
ที่ประทุปะทะประดังจบ
สะท้อนเสียงก้องกังวาลดังดาลทบ
น้ำแทกซบหลายหนยังทนยืน
สะท้อนคืนคลื่นลมน้ำโถมสาด
เห็นประหลาดยิ่งซัดแรงแห่งลมคลื่น
เสียงสะท้อนย้อนกลับกลับดังคืน
น้ำกระจายคล้ายกลืนครอบผาชัน
ยิ่งนิ่งมั่นยิ่งสะท้อนย้อนกลับหนัก
เหมือนโกรธนักกับใครไม่ไหวหวั่น
ผู้หลงโกรธย่อมโกรธหนักกระอักพลัน
เรานิ่งมั่นเขายิ่งคับข้องอับใจ
จึ่งกระทบแรงใดให้นิ่งเฉย
สุขรำเพยจิตแท้ย่อมแก้ไข
สิ่งเวียนหมุนวุ่นวายค่อยคลายไป
สะท้อนคืนผู้หวั่นไหว ... ให้เร่าร้อน
เพียงไม่รับจับจองเป็นของตน
ความสับสนในจิตย่อมปิดผ่อน
สงบนิ่งท่ามชิงชังทั้งนั่งนอน
สิ่งเกิดก่อนสะท้อนกลับ ... ไม่รับมัน
ผู้ใดร้อนฟอนฟืนเกินฝืนจิต
จะแทบปลิดแรงสะท้อนสะทกหวั่น
ยิ่งกระทบยิ่งสะท้อนยิ่งประชัน
แต่คนมั่นย่อมร่มเย็นเป็นสุขใจ
ภูผาตั้งยังตระหว่านชั่วกาลกัปป์
น้ำหลั่งซับซบซ่านมิหวั่นไหว
ลมพายุปะทุปะทะประดังไป
ภูผาไม่สะเทือนเหมือนไม่รับ
ทั้งน้ำลมสะท้อนคืนเป็นคลื่นแรง
หมายทิ่มแทงภูผาบ้าลมกลับ
ลมหวนหมุนฝุ่นวนบนล่างทับ
ฟุ้งแล้วพับสงบลง ... คงเบาบาง
เป็นภูผาตระหง่าน ณ กาลใด
แห่งดวงใจคงที่ที่เปล่าว่าง
สะท้อนคืนความชื่น-ขม พรมอำพราง
มั่นเพียงสร้างสิ่งดีดีที่ชีวิต.
14 ตุลาคม 2548 01:23 น.
แดดเช้า
ณ เดือนเพ็ญเห็นดวงพร่างช่วงโชติ
แสงรุ่งโรจน์รัศมีจันทร์เฉิดฉันฉาย
แจ่มกระจ่างสว่างฟ้าราตรีกราย
เคลื่อนคล้อยย้ายโยงฝัน ณ ราตรี
ยักษ์ราหูกู่ก้องอยากครองฟ้า
ครอบจันทร์พล่าพิฆาตปราศราศี
หลายคนหวั่นพรั่นพรึงตะลึงตะลี
ยกมือขึ้นไหว้พลีบูชายัญ
กลัวความมืดมาครอบระบอบโลก
กลัวอับโชคเสื่อมสูญอาดูรหวั่น
กลัวชีวิตผิดพลาดบาดเจ็บพลัน
กลัวตัวสั่นหวั่นไหว .. ในความกลัว
ความมืดบอดจอดอยู่รู้กับจิต
ยอมอุทิศสินทรัพย์ดับสิ่งชั่ว
หวังบูชาราหูปัดเป่ามัว
ปล่อยมืดทั่วจางชังจะสังเวย
เพียงคราวครู่ราหูคลายคล้ายมีหวัง
คนประทังชีวิตมิเพิกเฉย
แก้บนบานศาลกล่าวเล่ารำเพย
ราหูเผยคลี่จันทร์คลายหวั่นใจ
จึ่งจุดธูปเทียนดำดอกไม้แนบ
ดำรูปแบบสิบสองอย่างนำวางใส่
หมายปรารถนาแรงหวังตั้งหทัย
สิ่งใดใดได้สมหวังดังต้องการ
นวลจันทร์คงเฉิดฉายคล้ายงามพักตร์
คนหลงรักราหู ... ดูสงสาร
กลัวภัยมืดหมอกหม่นมาดลวาร
กลัวชีวิตปลิดสังขาร ... ถึงกาลโรย
แทนที่ควานสานใจใสสว่าง
เพื่อกระจ่างเขลาขลาดปราศแรงโหย
โมหะครอบกรอบทับกลับโอดโอย
ร้องเรียกโปรยทดท้อ ... ขอเห็นใจ
เมื่อขลาดเขลาดุร้ายเข้ากรายมา
ใจอ่อนล้า ชอบ-ชัง หวัง-หวั่นไหว
ขอเพียงนิ่งดิ่งจิตยามผิดไป
จะผ่อนมืดหม่นได้ในทุกคราว
อย่าบูชาราหูตัณหาเกิด
บ้าเตลิดตามอารมณ์ ชื่น-ขม หนาว
คลั่งไคล้หลงลงระเบิดเปิดเรื่องราว
ขุดเรื่องฉาวร้าวร้ายมากรายกลืน
เพี้ยน .. โง่งม จมจ่อมย้อมใจคิด
หลงเห็นผิดเขื่องปมเกินข่มฝืน
จมอัตตามหาภัยไร้จุดยืน
ยากคลายคืนวัฏฏะวนกระวาย
จันทร์ถูกครอบกรอบราหูดูให้ชัด
เพียงเป่าปัดหยุดนิ่งอย่าวิ่งว่าย
ถึงจังหวะพระราหูจะคลี่คลาย
แสงใจฉายเปี่ยมชัดจำรัสงาม
อย่าบูชาราหูหันกู่ก้อง
เหตุมัวหมองครองอยู่คู่ฟ้าท่าม
เกิดขึ้นได้ดับได้ในทุกยาม
มัวไถ่ความไร้ประโยชน์ ... โปรดแจ้งใจ
ความมืดหม่นบนจันทร์พร่างสรรค์ฟ้า
รอเวลาเจิดจรัสชัดสุกใส
จะเห็นเหตุเกิดดับกับเป็นไป
ทุกสิ่งใช่แน่นอนวอนบูชา
อย่ากลัวสิ่งอิงบอดมอดไหม้จิต
อย่ามัวคิดกังวลบนท่วงท่า
ณ กาลนี้ที่เป็นไปในเวลา
จิตจ่อค่าแห่งกาล ... อย่าหวั่นใจ
เมื่อจันทร์เพ็ญเห็นราหูดูให้ซึ้ง
อย่าตะลึงตั้งสติตริตรองไตร่
เหตุเกิด-ดับกับมายาถ้าเป็นไป
ยอมรับได้ปรับตัวทัน ... ไม่พรั่นพรึง.
13 ตุลาคม 2548 08:32 น.
แดดเช้า
เค้นอารมณ์ ขม-หวาน ผ่านรู้สึก
ปาดสำนึกผนึกแน่น ณ แท่นฝัน
มันสมองคล้องโยงคือพู่กัน
บรรจงวาด หวัง-หวั่น ณ หว่างใจ
สีแสงแห่งแรงใจใสผลึก
ผสมผสานคิดนึกรู้สึกไหว
จินตนาการผ่านเปิดเกิดแห่งใด
ทุกทิศไหลหลั่งหวนกระบวนงาน
ก่อนสองมือถือปากกามาขีดเขียน
หูจำเนียรถ้อยซึ้งหนึ่งคำผ่าน
กรองรู้สึกลึกเร้นเป็นตำนาน
กลั่นกรุ่นหวานกลิ่นอวลชวนชื่นชม
สัมผัสกายหลายหลาก มาก เย็น-ร้อน
อุ่น-นุ่มอ่อน แข็งกระด้าง ยังมิข่ม
เพื่อแกร่งเข้มเต็มที่ที่กลืนกลม
กล่อมสั่งสมเป็นเรื่องราว ... คราวสร้างงาน
จึงลงวาดพิลาสคำล้ำสำนึก
จารตราตรึกตรองไตร่ได้สืบสาน
ทุกไหลเชี่ยวเคี่ยวผลดลบันดาล
ก่อนซึมซ่านสู่ใจใครสักคน
โลกทั้งใบในฝันพลันเผยเปิด
ศรัทธาเทิดใดใดได้เผยผล
เปิดโลกสู่ฤดูฝันอันยินยล
สู่ดวงใจมวลชน ... คนเปิดใจ.