10 พฤศจิกายน 2548 18:17 น.
แดดเช้า
หากใครถามความรักฉันมีไหม
ประสบการณ์เพียงใดได้เกิดก่อ
เคยสมหวังผิดหวังนั่งเฝ้ารอ
เคยทดท้อกี่หนใครดลใจ
ฉันอยากตอบคำถามนี้เป็นเรื่องเล่า
ครั้งก่อนเก่ารุ่นสาวคราวอ่อนไหว
เคยหลงรักหนุ่มน้อยหน้ายองใย
แก้มยุ้ยย้วยตาใสรู้สึกดี
กำลังอวบได้ที่เลยที่รัก
น่าหอมแก้มยิ่งนักอย่าหลีกหนี
ฉันนั่งฟัดทุกเช้าค่ำฉ่ำใจปรีดิ์
ขอโอบกอดทุกทีดีใจจัง
เขาอายุสามขวบอวบอั๋นอุ่น
แม่เขาคุ้นกับฉันพอมีหวัง
มีบางทีแม่เขาเข้ามาบัง
บอกว่าอย่าอุ้มพลั้งเดี๋ยวร่วงลง
ฉันบอกว่าต้องรีบหอมรีบกอดก่อน
เดี๋ยวละอ่อนโตเป็นหนุ่มอดลุ่มหลง
หมดโอกาสโอบกอดได้แต่ปลง
ไม่มั่นคงสักวันเขาจักโต
รักครั้งแรกแปลกใจในเด็กน้อย
แล้วค่อยค่อยพัฒนารักมาโผล่
ณ ที่หนึ่งหนุ่มน้อยคอยเดินโชว์
ฉันร้องโอ้ ... นี่แหละหนาสเปคเลย
เขาร่างโปร่งสะโอดสะองระหงนัก
เกิดหลงรักหลงใหลไม่เปิดเผย
แอบมองเขาเฝ้าดูอย่างคุ้นเคย
อยากเฉลยใจเต้นตึกคึกคะนอง
แล้ววันหนึ่งเขาผ่านมาเห็นหน้าชัด
ทาปากจัดสีแดงแจ๋ แหม .. กรีดก้อง
วี๊ดว้ายวู้แว่วแล้วชายตามอง
ฉันคงต้องหลบตาตัดใจปลง
รักครั้งสามงามหน้าแม่ข้าเอ๋ย
ไฉนเลยปิ๊งหนุ่มอย่างลุ่มหลง
เขาน่ารักจริงหนอพอให้งง
จะเจาะจงตรงไปหาแล้วทักทาย
แต่เพื่อนตุ๊ดตาเขียวค้อนขวับขวับ
จะตบฉับชี้หน้าก้นสับส่าย
ฉันจึงหลบแอบสบตาช่างน่าอาย
แค่ชะม้ายตามองหนุ่มแสนกลุ้มใจ
นี่แหละหนา ... ผ่านมาแต่ละครั้ง
แทบสิ้นหวังรักแล้วแห้วใช่ไหม
อีกครั้งหนึ่งลองรักสื่อความนัย
หนุ่มหน้าใสบอกแม่หวง อย่าควงเคียง
เขาสงวนตัวตนจนฉันหน่าย
ใจวุ่นวายเป็นบ้าไม่อยากเถียง
แม่เขาคุมกลุ้มใจถามชื่อเรียง
บอกให้เสี่ยงส่งรีซูเม่ มาพิจารณา
โอ้ว ไม่ไหว ไม่ไหว หน่ายความรัก
แค่รู้จักยังเป็นไปไม่ได้ท่า
จบเรื่องราวรักร้าวคราวผ่านมา
อกหักจนอ่อนล้าเกินคบใคร
หากใครถามฉันมีรักอย่างไรบ้าง
คงเอ่ยอ้างสิ่งเป็นอยู่อย่างหวั่นไหว
ยังไม่เข็ดรักพลาดแทบขาดใจ
อยากรักเธออีกเป็นไร ... ขอเสี่ยงดวง.
9 พฤศจิกายน 2548 22:07 น.
แดดเช้า
ได้ยินคำร่ำลือสะดือมนุษย์
คือสายสุดรก-รักอันหนักค่า
จากสายพันธุ์สรรแต่งแห่งมารดา
สืบทอดมาสู่บุตรสุดที่รัก
โยงอาหารสานใยให้ชีวิต
ก่อนเชื่อมสิทธิ์เป็นตัวตนบนดินหนัก
ตัดสายเส้นแล้วอุ้มหุ้มห่อพัก
วางบนตักเห็นหน้าแสนอาทร
สายสัมพันธ์สายสะดือคือแกนร่าง
แม้แตกต่างผิดแผกแปลกคำสอน
แต่สะดือคือช่องเชื่อมแห่งคำพร
เพียงฟ้าวอนดินคุ้มอุ้มกายคน
แม้ผิวคล้ำดำเมี่ยมขาวเลี่ยมเหลือง
เลิศเลอเรืองรุ่งโรจน์หรือขัดสน
"สะดือ" ยังเป็นหลักฐานวางตัวตน
พิการพิกลหรือสมบูรณ์ ... สะดือมี
ได้ยินคำร่ำลือสะดือมนุษย์
มหัศจรรย์ที่สุดสุดหลีกหนี
จะผ่าตัดสายพันธุ์สักกี่ที
สะดือนี้ไม่กลายพันธุ์นิรันดร์กาล.
9 พฤศจิกายน 2548 09:30 น.
แดดเช้า
ฉันคือทะเล เห่กล่อมโลกหมุน
ใจเธอแค้นขุ่น อยากอุ่นอ่อนไหว
มาพักที่นี่ มีฉันเคียงใจ
เธอยังหมองไหม้ หัวใจร้าวราน
แผลยังลึกซึม โลกทึมทึบนัก
ร้อนรุ่มเกลียดรัก ชังผลักเผาผลาญ
สุมเพลิงเคียดแค้น แทนที่เหตุการณ์
แผลเริ่มลามซ่าน เจ็บเกินกล้ำกลืน
เธอเริ่มปกปิด มืดมิดไหม้หมอง
กลัวคนหมางมอง ต้องทนเจ็บฝืน
แสบใจยิ่งนัก รักชังยังยืน
ฝาดอมขมขื่น ซับคลื่นปลอบใจ
เธอยิ่งย้ำย้ำ กับช้ำย่ำย่าง
รอยแผลอำพราง สร้างสิ่งหวาดไหว
ยิ่งปิดยิ่งเจ็บ อักเสบเกินไป
แม้เพียงผู้ใด กระทบแผลเธอ
อาจไม่ตั้งใจ ก็ไหวก็หวั่น
ลมถั่งทั้งวัน พลาดพลั้งเพียงเผลอ
ยังขุ่นเคืองโกรธ โทษลมละเมอ
และหลงพร่ำเพ้อ โดดเดี่ยวเดียวดาย
บางค่ำคราวคืน พิษตื่นพาปวด
ห้วงใจร้าวรวด เริ่มฟุ้งความหมาย
แผลเพียงน้อยนิด ฤทธิ์เจ็บกระจาย
ย้ำแผลท้าทาย ไม่เจ็บหายดี
ทะเลเห่กล่อม ยอมรับเธอเป็น
หน้าที่ที่เห็น ใจเย็นไม่หนี
ไม่มีคำปลอบ ตอบใจตามมี
เฝ้ามองทุกที หมายเธอตริตรอง
เธอเริ่มตระหนัก รักษาแผลเจ็บ
ห้วงคืนหนาวเหน็บ ยอมรับแผลหมอง
เปิดแผลผ่าตัด แจ่มชัดเฉยมอง
ไม่ปัดป้ายป้อง บิดเบือนแผลตน
แผลจึงเริ่มจาง จากใจกรำแกร่ง
ยอมรับกำแพง ถอดเกราะปลดหม่น
สิ่งที่เป็นอยู่ รู้ใจวกวน
นิ่งพอเป็นผล อดทนเฝ้ารอ
ไม่ปกปิดแผล ดูแลทุกวัน
ใครเห็นใครหวั่น เกรงเจ็บเกิดก่อ
หากใครทำลาย กระทบแรงพอ
เธอมิทดท้อ รอวันแผลจาง
ฉันคือทะเล เห่กล่อมโลกหมุน
แค่มองเจือจุน กำลังใจสร้าง
เธอเข้มแข็งได้ เริ่มปลดปล่อยวาง
แผ่ใจให้กว้าง สื่อกับทะเล.
8 พฤศจิกายน 2548 11:57 น.
แดดเช้า
เธอเก็บรู้สึกล้ำ ..................... อันใด
ราวค่ำจันทร์อำไพ ................ หลบเสี้ยว
แสงสว่างกระจ่างใจ .............. เพียงครึ่ง
เมื่อเมฆคลุ้มจันทร์เบี้ยว ....... บดแจ้งแสงใจ
คำใดเธอเอ่ยอ้าง ................. อิงคำ
ราวโลกเต้นระบำ ................ แล่นซ้อน
ต้องตีต่อลำนำ ..................... แปลออก
ช่างลึกเกินหยั่งย้อน ............ อ่อนล้าห้วงฝัน
หนึ่งชีพนั้นง่ายด้วย ............. ธรรมดา
ไยจึ่งคิดมากมา ................... ย่ำย้ำ
วนแต่เรื่องร้อนทา ............... ชีวิต
ครุ่นคิดผิดซ้ำซ้ำ .................. ชอกช้ำอ่อนไหว
ใจรักชังชอบช้ำ .................. ทุกข์ทน
อย่าคิดบังใจตน .................. หม่นเศร้า
รู้เห็นเช่นเหตุผล ................ เกิดก่อ
ระงับกรรมข้ามเข้า ............... ตริค้นสว่างไสว
ไม่อยากเห็นค่ำช้ำ .............. จันทร์ปรวน
อยากพิศแสงจันทร์นวล ...... พร่างฟ้า
อย่าให้เมฆเรรวน ............... บังช่วง ใจเอย
แผ่แห่งแสงแรงจ้า .............. ขับข้ามมืดทรวง
เปิดห้วงใจลึกล้ำ ................... ให้เห็น
ยอมรับเท่าใจเป็น ................. เช่นนั้น
รอคอยช่วงจันทร์เพ็ญ ........... พ้นเมฆ
แสงส่องงามปองปั้น ................แต่งฟ้าเต็มฝัน.
7 พฤศจิกายน 2548 15:11 น.
แดดเช้า
เพียงใบไม้ไหวร่วงเป็นท่วงท่า
คนหนึ่งว่าใบไม้ขับกล่อมเสียง
อีกคนหนึ่งซึ้งไหวในสำเนียง
อีกสักใครบอกเพียงใบแก่เกิน
บางคนคิดคีตกวีดีดสีปลอบ
อีกคนมอบใบไม้พับนานเนิ่น
เป็นสิ่งเตือนเหมือนทรงจำยามหมางเมิน
ใจคนเพลินกับสิ่งพลิ้วใบปลิวปราย
บ้างหวนนึกใบไม้ไปเป็นปุ๋ย
เห็นขอบขุยใบถูกเซาะดินเกาะก่าย
อีกบางคนค้นหามามากมาย
เก็บใบมาขยายเข้ากรอบชม
บ้างย่ำเหยียบไม่สนใจใบไม้นั่น
บ้างยังฝันคราวผลิใบงามสม
บ้างยิ้มเยือนเหมือนทักรักอารมณ์
บ้างขื่นขมใบไม้ปลอบใจตน
เด็กเก็บใบมาเล่นเป็นแม่ค้า
เงินครองค่างดงามตามเหตุผล
มีบางใครได้ใบไม้มาเยี่ยมยล
สร้างกระดาษเพื่อคนได้สร้างคำ
หลายความคิดหลากสิทธิ์ลิขิตสร้าง
เพียงใบวางตรงหน้ามาเพ้อพร่ำ
ประสบการณ์พาลคิดติดทรงจำ
เคยชอกช้ำจากใครด้วยใบไม้
แต่บังเอิญฉันเป็นคนขี้เกียจคิด
ขอใช้สิทธิ์เท่าที่มีที่เป็นได้
หากวันหนึ่งมีคนมาดลใจ
หยิบหนึ่งใบวางค่ามาคำนวณ
ให้ฉันทำบางอย่างสิ่งสร้างสรรค์
ใบไม้นั้นทำอะไรได้จงใคร่หวน
ฉันคงย้อนถามความตามกระบวน
คุณเห็นควรทำสิ่งใดในใบนั้น
หากต้องการสานใบให้เป็นบ้าน
คงขอค้านไม่คิดประดิษฐ์ฝัน
หากตั้งใจให้พกเก็บทุกวัน
เป็นเครื่องรางค่าอนันต์ ... คงเก็บไว้
หรือให้ฉันใส่ใจในคุณค่า
คุณบอกมาถึงกรอบที่มอบให้
ค่าของคุณหนุนเนื่องเรื่องอะไร
ฉันคิดได้เท่าที่มีปัญญา
ด้วยบังเอิญเป็นคนขี้เกียจคิด
เห็นใบไม้ปลิวปลิดเป็นใบกล้า
ถึงคราวแก่ร่วงหล่นบนเวลา
แค่คุณค่าเท่าที่เห็นเท่าที่มี
เพียงใบไม้ร่วงหล่นบนดินกว้าง
ขอมองอย่างเฉยเฉยไม่เลยหนี
ตามแต่ช่วงจังหวะจะพอดี
เพียงพอที่สั่งให้ใจฉันคิด.