11 กุมภาพันธ์ 2548 14:46 น.
แชมป์
ปลายเดือนก่อน ผมมีโอกาสดูหนังกลางแปลงมาครับ
เป็นหนังไต้หวันเรื่อง Bule Gate Crossing จัดฉายโดยมงคลเมเจอร์เป็นรอบพิเศษที่สวนสันติไชยปราการ ท่าพระอาทิตย์
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังแนว Coming Of Age ที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งเลยนะครับ แต่สิ่งที่ผมประทับใจเป็นพิเศษในการดูหนังคืนนั้นก็คือ ผมได้กลับไปสัมผัสบรรยากาศในการดูหนังในแบบที่ผมแทบจะลืมไปจากความทรงจำไปแล้ว
ระหว่างการดูหนัง ผมได้เห็นคนพูดคุย เห็นคนทานอาหาร คนเดินไปมา ได้ยินเสียงบรรยากาศรอบๆ เสียงลมพัดกระทบไม้ เสียงรถยนต์จากท้องถนนดังมาแว่วๆ และแม้แต่....เสียงคนคุยโทรศัพท์
ซึ่งถ้าสิ่งเหล่านี้ไปเกิดขึ้นในโรงภาพยนตร์ล่ะก้อ มันจะถือเป็นการสร้างความวุ่นวายให้กับนักดูหนังอย่างยิ่งยวด
ทว่าสิ่งน่าแปลกใจที่ในคืนนั้น ผมกลับไม่รู้สึกรำคาญเสียงและบรรยากาศเหล่านั้นเลย แต่กลับรู้สึกคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ขึ้นมาอย่างจับใจด้วยซ้ำ
...
จำได้สมัยเด็กๆ ผมเคยไปดูหนังกลางแปลงอยู่บ่อยครั้ง ตอนนั้นบรรยากาศในการชมภาพยนตร์มันเอะอะโวยวาย โขมงโฉงเฉงมากกว่านี้ แต่ก็สนุกกว่านี้
มีคนเดินไปมาขวักไขว่ บางคนพาแฟนไปซื้อน้ำหวาน บางคนเดินไปซื้อหมึกปิ้ง และบางคนก็ร้องป่าวประกาศขายของกันอย่างสนุกสนาน
น่าแปลกใจเสียงเอ็ดตะโลต่างๆเหล่านี้ กลับไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบที่ไม่เป็นมิตรจากคนรอบข้าง ไม่แม้แต่จะชำเรืองมองหรือแอบนินทา ทุกคนชมภาพยนต์และจับจ่ายซื้อของอย่างสบายใจ
หรือว่าจริงๆแล้วคนไทย อาจจะมองการชมภาพยนตร์เป็นเพียงมหรสพชนิดหนึ่ง เป็นเรื่องที่ไม่ต้องให้สมาธิ แต่ต้องให้ความบันเทิง
ผมเคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนในเรื่องชมภาพยนต์ มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า หนังกลางแปลงมักเลือกที่จะดูหนังตลกหรือไม่ก็หนังบู๊ ด้วยเหตุที่ไม่ต้องดูเอาเรื่อง เอาแต่รสก็พอแล้ว
แล้วการดูหนังตลกหรือหนังบู๊ในโรงภาพยนต์ชั้นนำ มันแปลกกว่ากันตรงไหน ผมคงต้องกลับไปถามเพื่อนคนนี้อีกครั้ง (ถ้าได้เจอ)
...
แปลกนะครับ อยู่ดี ๆ ผมกลับนึกถึงบรรยากาศการดูหนังในสมัยที่ยังเป็นเด็กขึ้นมาได้ แต่ที่น่าแปลกใจกว่าก็คือ ผมจำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ผมเริ่มคิดว่าการดูหนังเป็นเรื่องที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อ ต้องอยู่ในบรรยากาศเงียบ ๆ อย่ามาสะกิด อย่าโทรศัพท์
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผมรู้สึกแปลก ๆ กับหนังไทยบางเรื่อง ที่ดูเป็นหนังตลกแบบธรรมดาเสียเหลือเกิน
และตั้งแต่ตอนไหน ที่ผมเริ่มชื่นชอบหนังที่แบบชาวบ้านเรียกกันว่า หนังแปลก ๆ
แต่มันแปลกที่สุด ถ้าวันไหนที่ผมไปดูหนัง แล้วมีคนข้าง ๆ คุยกัน หรือคุยโทรศัพท์มือถือด้วยละก็ ผมจะพาลไปเซ็งกับหนังที่ดูไปด้วย
บางทีเหตุการณ์ของผมที่ว่ามานี้ อาจคงเป็นเรื่อง Coming Of Age อีกแนวหนึ่งก็ว่าได้
หรือว่าวันนี้ผมยังไม่เติบโตไปไหนสักเท่าไหร่
เพราะแม้ชอบดูหนังแบบเงียบๆและเกลียดเสียงโทรศัพท์มือถือในโรงหนัง
แต่ก็ยังอุตส่าห์โหยหาบรรยากาศของหนังกลางแปลงอยู่ไม่วาย...
ปล.แต่ถึงอย่างไรก็อย่าลืมปิดเสียงมือถือก่อนเข้าโรงนะครับ...
11 กุมภาพันธ์ 2548 14:30 น.
แชมป์
หลายวันก่อนผมเจอคำถามไม่คุ้นหูจากคนที่คุ้นเคยมาครับ
เป็นคำถามลอยๆขึ้นมาระหว่างที่เราสนทนาเรื่องราวในวัยเยาว์
ยังจดจำรักแรกได้ไหม ? เป็นคำถามที่ฟังดูง่ายแต่ตอบไม่ง่ายเลย
แต่จะลองพยายามดู
สำหรับผมแล้วรักแรกคงไม่ได้หมายถึงแฟนคนแรก แฟนคนแรกนั้นจำได้ แต่รักแรกนี้ถ้าจะให้อธิบายว่าเป็นอย่างไรนั้นยากลำบาก เหตุหนึ่งอาจเพราะมันผ่านมาเนิ่นนาน เหตุที่สองอาจเป็นเพราะผมไม่เคยคิดถึงความรู้สึกนี้ตลอดช่วงที่ผ่านมา
เธอคนนั้นเรียนอยู่ห้องเดียวกับผม เรามีอายุไล่เลี่ยกันและมีอาจารย์ประจำชั้นคนเดียวกัน (คุณครูเฟื่องฟ้า ) แต่นอกจากนั้นเราไม่มีอะไรคล้ายกันเลย เธอมักนั่งเรียนแถวหน้าติดกระดานดำ ส่วนผมมักนั่งหลังเพราะตัวสูง การเรียนของเธออยู่ในระดับดีแต่ผมกลับอยู่ตรงข้ามกับเธอ
เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่สวยในสายตาผม ทั้งที่ๆเมื่อก่อนไม่รู้ว่าสวยนั้นคืออะไร แต่มันก็พอมีแรงดึงดูดให้ผมแอบชำเรืองมองเธอเสมอ ซึ่งนับว่าต้องใช้ความสามารถอย่างมากกับการกระทำเช่นนั้น ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่ากลัวเธอรู้ ไม่น่าเชื่อว่าในสมัยนั้นผมจะเกิดความรู้สึกแบบนี้---กลัวเธอรู้
เด็กผู้ชายสมัยนั้นจะแสดงความชอบแตกต่างกันไป บ้างก็เถิกกระโปรง บ้างก็ดึงปัวว์ซอง สรุปง่ายๆคือถ้าทำให้ผู้หญิงคนนั้นเสียหน้า ถือว่าประสบความสำเร็จและจะมีความสุขทั้งวัน แต่ผมไม่กล้า ความสุขของเด็กน้อยคนนี้ขอเพียง เห็นเธอมีรอยยิ้มและมีเสียงหัวเราะเท่านั้นก็คงพอ
บางครั้งเสียงหัวเราะของใครบางคนก็ทำให้ใครสักคนมีความสุขได้เหมือนกัน
แต่แล้วผมกับเธอก็ต้องแยกกันเพราะกฎของโรงเรียน ที่พอขึ้นชั้น ป.4 ต้องย้ายห้อง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าฟ้าแกล้ง
แต่เชื่อไหมครับว่า 3 ปี ที่เรียนด้วยกันนั้น ผมไม่กล้าคุยกับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่กล้าจริงๆ แหล่ะนี่คือรักแรกของผม...
บ่อยครั้งที่ผมคิดว่าช่วงชีวิตหนึ่ง คนเราจะเกิดความรักได้สักกี่ครั้ง? คำถามนี้อาจไม่มีคำตอบเพราะคำตอบของความรักนั้นไม่มีรูปแบบ ใครบางคนเกิดมาเพื่อถูกรักหรือรักใครได้หลายคน แต่ขณะที่ใครบางคนใช้ชีวิตนี้เพื่อรักคนๆเดียว
สำหรับใครบางคน ความรักครั้งแรกนั้นถูกฝังอยู่ไปตลอดความทรงจำอย่างหอมหวาน แต่สำหรับใครอีกคน ความรักครั้งแรกนั้นงดงามพอๆกับความรักครั้งสุดท้าย...
เพราะ...มันเป็นรักครั้งเดียวกัน...
สุขสันต์วันวาเลนไทนน์ครับ
11 กุมภาพันธ์ 2548 14:26 น.
แชมป์
ปลาช่อนไหมน้องโลละ 80 เอง ช่อนนาเชียวนา...ฯลฯ คำชักชวนต่าง ๆ นาๆ จากพ่อค้าแม่ขายหลายร้าน ส่งเสียงเซ็งแซ่อย่างอลหม่านและวุ่นวาย หากกลับดูครึกครื้นสนุกสนาน อาจพูดเกินจริงได้ว่านี่คือสีสันยามเช้า ในย่านตลาดสดเมืองนครสวรรค์ ตลาดชุนหงษ์ ตลาดที่คนแถวนี้ทราบกันดีว่า เป็นแหล่งขายของสดที่คนขายส่วนใหญ่มีฐานะการเงินดีกว่าผู้มาจับจ่าย จึงเป็นเหตุให้สินค้าที่นี่ราคาแพงกว่าปกติและผู้ขายไม่ค่อยใส่ใจผู้ซื้อ
แต่ถึงกระนั้นไม่วายที่ผู้คนหลายชนชั้นหลายเชื้อชาติ มาจับจ่ายใช้สอยกันปกติ ใครมีน้อยซื้อน้อย ใครมีมากก็ซื้อมาก เหมือนว่าใคร ๆ ไม่ค่อยหยี่ระกับเรื่องที่คนแถวนี้ทราบ
ตาสีตาสาซื้อผัก อาซิ่มอาม่าซื้อปลา อาบังซื้อถั่ว คุณหญิงคุณนายซื้อไม่เลือก รวมไปถึงฉันที่กำลังเดินถือตะกร้าโตงเตงขนาบอยู่ข้างคุณแม่ ในฐานะคุณลูกซึ่งนานครั้งจะมีโอกาสกลับบ้านเหมือนคนอื่นเขา
เอ้า! หลบหน่อยเพ่ ของมันหนัก ยิ่งรีบ ๆ อยู่... เสียงหนักแน่นแต่ดูกร้าวของเจ้าหนุ่มรถเข็นของ ที่วิ่งฉวัดเฉวียนไปตะโกนไปทั่วตลาด ส่งผลให้เสียงในตลาดโขมงโฉงเฉงมากกว่าเดิม แต่ไม่ค่อยมีใครแลเสียงเหล่านี้มากนัก
เสียงเซ็งแซ่คงดำเนินต่อเนื่องไปสักระยะ ทว่าน่าแปลกใจที่อยู่ดี ๆ เสียงเอะอะเหล่านี้ก็เริ่มทยอยแผ่วลงเรื่อย ๆ รวมไปถึงอากับกริยาของผู้คนในตลาดที่เนือยลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมีเสียงของเพลงหนึ่งดังแว่วผ่านขึ้นมา
ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย.... เสียงของเนื้อร้องเพลงชาติ ส่งผ่านพอให้รู้สึกได้ยิน ดูท่าแล้วต้นเสียงคงมาจากลำโพงสภาพคร่ำครึตัวหนึ่ง ที่ติดตั้งอยู่บนเสาคอนกรีตสูงตระหง่านตา จนยากที่จะเห็น หากไม่ลำบากนักถ้าสังเกต
ขณะสายตาที่จดจ้องกับลำโพงตัวนั้น พลันนึกเลยถึงอดีตที่ร้างลาไปนาน เร็วเท่าที่รู้สึก เหมือนภาพแห่งวันวานกำลังเริ่มหวนคืนกลับมา จากปัจจุบันกลับไปหาอดีต จากนายกลับกลายเป็นเด็กชาย จากภาพสีมีชีวิตชีวากลับกลายเป็นภาพขาวดำ แม้ดูไม่สดใสแต่ก็ชัดเจน
...
เสียงระฆังประจำตึกเรียนส่งเสียงกังวานสดใสเป็นระยะในช่วงเช้า ไม่แพ้กับเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่านักเรียนตัวน้อย ที่ต่างเล่นกระเซ้าเหย้าแหย่กัน เมื่อได้พบหน้าเพื่อนของตัวเอง หลังจากไม่ได้พบกันเพียงชั่วข้ามคืน หากแต่มีบางคนนั่งร้องไห้เพราะคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ที่เพิ่งจะกลับไป บางคนกำลังนั่งปั่นการบ้านอย่างเร่งรีบ หรือเหล่าเด็กผู้ชายบางคนหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นเด็กผู้หญิงที่ตัวเองแกล้งมีอาการฮึดฮัดไม่พอใจ...
อาจบอกได้ว่าใครอยากเห็นภาพอาการสดใสและไร้เดียงสาของเด็กเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจหาดูได้ในช่วงเช้าก่อนเข้าห้องเรียน
ทว่าอาการลิงทโมนหรืออาการเศร้าซึมอาจดูบางตาไปทันใด เมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาตามชั้นเรียนหรือที่พกติดข้อมือกันมา บอกเวลาให้ทราบว่าเข้าใกล้แปดโมงเช้าในอีกไม่ช้า น่าแปลกใจที่ช่วงนั้นฉันดูนาฬิกาไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่พอเดาได้ว่าเมื่อถึงเวลานี้ ทุก ๆ คนในโรงเรียนจะต้องไปร้องเพลงชาติ...
สมัยนั้นไม่ว่าเด็กเล็กหรือเด็กโต จะต้องมีการจัดแถว (หรือที่กันติดปากว่ารถไฟ) ให้พร้อมเพรียงก่อนจะไปเคารพธงชาติ ส่วนพวกที่ปะแป้งมอมแมมหรือแต่งกายไม่เรียบร้อย (จะใครเสียอีกล่ะ) คุณครูประจำชั้น (เธอชื่อครูเฟื่องฟ้า) ก็จะมาจับแต่งกายผัดแป้งให้เพรียบพร้อมก่อนแปดโมงเช้าเป็นประจำ ประหนึ่งว่าเป็นหน้าที่หลักที่เคียงคู่กับการสอนหนังสือ
จำได้ว่าก่อนจะก่อแถวรถไฟนั้น จะมีเสียงระฆังใบน้อยให้สัญญาณก่อนพิธีเคารพธงชาติ ในความคิดฉันในสมัยนั้น มันฟังดูคล้ายสียงกลองรบในหนังจีน ที่ต้องลั่นก่อนไปออกศึก
แต่ฉันไม่ได้ไปรบ ฉันกำลังจะไปร้องเพลงชาติ...
ไม่เข้าใจว่าทำไมช่วงเวลาร้องเพลงชาติ เหล่าเพื่อน ๆ ทโมนของฉันจึงไม่เกิดอาการคันไม้คันมือแกล้งชาวบ้าน ซึ่งหากเป็นช่วงกล่าวสวดมนต์และช่วงร้องเพลงมาร์ชโรงเรียนแล้ว รับประกันได้เลยว่า แต่ละคนอยู่ไม่เป็นสุขเลยเชียว
ฉันเลยสันนิษฐานเออเองไปว่า ช่วงเวลาร้องเพลงชาติเป็นช่วงเวลาต้องมนต์
หากเท่าที่ร้องเพลงชาติหน้าเสาธงเป็นมานาน กลับจำไม่ได้ว่าร้องเป็นตั้งแต่เมื่อไร คลับคล้ายคลับคลาว่ามีคุณครูสอน แต่ทำไมจึงจำเนื้อร้องจนขึ้นใจ มันง่ายกว่าท่องแม่ 2 เสียอีกแน่ะ
...
ชั่วเวลาที่ย้อนกลับไปถามหาอดีตดูไม่นานนัก เหมือนเวลากำลังเดินช้าลงพอให้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทว่าสายตายังคงจดจ่ออยู่ที่เดิม
ฉันรู้สึกว่าช่วงที่เติบโตมาเรียนในระดับอุดมศึกษา ฉันไม่ค่อยได้ร้องเพลงชาติเท่าไรนัก อาจเพราะที่มหาวิทยาลัยไม่มีการเปิดเพลงชาติตอนแปดโมงเช้าและหกโมงเย็น หรือไม่ฉันก็ตื่นสาย หรือไม่ฉันลืมใส่ใจกับภารกิจสำคัญที่เคยปฎิบัติในวัยเยาว์ ภารกิจที่ทำให้ฉันเคยนึกเพี้ยนเนียนว่ากำลังออกศึก...
แต่ที่รู้ฉันไม่ได้ร้องเพลงชาติมานานหลายปีแล้ว
ฉันรู้สึกภูมิใจที่ได้ร้องเพลงที่มีเกียรติ มันเป็นเพลงที่เล่าขานอดีตกาลและความเป็นไทอย่างดี และที่สำคัญมันทำให้ฉันรักชาติ มันเป็นจิตสำนึกที่แม้ไม่เคยปริออกจากริมฝีปาก แต่หัวใจฉันมันบอกเช่นนั้น
หากวันหนึ่งมีใครกล้าจัดโครงการประกวดร้องเพลงชาติไทย จะมีเยาวชนชายหญิงบุคลิกดีหน้าตาดีมากล้าสมัครแข่งขันไหมไหม แม้ว่าการประกวดอาจไม่ส่งผลให้เขาหรือเธอเป็นดาวประดับวงการ เพราะรางวัลที่ได้อาจเป็นเพียง ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ประกวดร้องเพลงชาติไทย
...
เสียงและภาพของผู้คนในตลาดก่อนหน้านี้ดูจอแจ ทว่าเวลานี้ทุกคนกลับแน่นิ่งอย่างเห็นได้ชัด หรือว่าทุกคนกำลังอยู่ในช่วงเวลาต้องมนต์
วันนี้คงเป็นวันพิเศษสำหรับฉัน ที่ได้ยินเสียงเพลงชาติไทยอีกครั้งจากลำโพงตัวเก่า หากต่างตรงที่นี้ ไม่มีเสียงระฆังบอกสัญญาณ ไม่มีครูเฟื่องฟ้าคนเดิมมาคอยดูแลปะแป้งแต่งกายให้ หรือไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนตัวเล็ก ๆ มาคอยเหย้าแหย่
แต่สิ่งน่าประทับใจมากกว่านั้น เมื่อเพลงชาติดังขึ้น ตาสีตาสาที่กำลังซื้อผัก อาซิ่มอาม่าที่กำลังต่อราคาปลาช่อนนา เหล่าคุณหญิงคุณนายที่ยืนจับกลุ่มคุยกัน หรือแม้แต่เจ้าหนุ่มรถเข็นของที่ไม่ยอมพักเสียที ทุกคนกลับยืนตรงสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว พร้อมเสียงแผ่ว ๆ พลางได้ยินว่า
เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน.... ต้นเสียงนั้นไม่ใช่แค่จากลำโพงสภาพคร่ำครึ แต่มันมาจากน้ำเสียงของทุกคนในบริเวณนั้น รวมทั้งคนที่อยู่ข้าง ๆ ฉัน
และที่แน่ ๆ ฉันไม่อายเลยที่จะร้องเพลงนี้ให้เต็มเสียง
วรุฒม์ ซิ้มเจริญ
14 กุมภาพันธ์ 2547
1 กุมภาพันธ์ 2548 13:52 น.
แชมป์
ขายฝัน
"คุณน้องเคอะ ช่วงนี้เดี๊ยนได้ข่าวว่า ฝันที่สามีกลับมาหาที่บ้านลดราคา 50 % จริงหรอเปล่าเคอะ?"
[โธ่! ทำไมวันนี้กูเจอพวกลูกค้าประเภทคุณหญิงสามีทิ้งบ่อยจังว่ะ]
"อาตี๋ จำอั๊วได้เปล่า โปรโมชั่งของฝังว่าทำมาค้าขึ้งอ่ะ มีอะไรบ้าง เมื่อวานหูอั๊วฟังไม่ค่อยชัก "
[ไอ้เจ๊กนี่อีกแล้ว เมื่อวานก็มา กูบอกไปแล้วว่าลด10%มันก็ไม่เชื่อ ยังเสือกต่อเป็น50%ต่างหาก]
"พี่ๆ ฝันว่าสอบเอนทรานซ์ติด ราคาเท่าไรพี่ จ่ายเป็นงวดๆได้หรือเปล่า?"
[ถ้าบอกมันไปว่าให้มันไปอ่านหนังสือแล้วเลิกฝันจะดีไหมว่ะ คงไม่ดีหรอก เงินต้องมาก่อน สั่งสอนไว้ทีหลัง]
"พี่ค่ะ ฝันได้พบแฟนหล่อๆ หมดไปแล้วล่ะหรอคะ ว้า!แย่จัง"
[อนิจจังคุณน้อง ที่ของหมดแล้ว ว้า!แย่จัง]
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความต้องของลูกค้าที่มาชื้อสินค้าที่ร้านของเรา ร้านฝันละเมอ ในแต่ละวันที่พวกเราเจอลูกค้า(คือพระเจ้า)แบบนี้วันละหลายร้อยคน บ้างก็ต้องการฝันอยากเป็นโน่นเป็นนี่ บ้างก็ฝันอยากประสบความสำเร็จ และบ้างก็ฝันละเมอแบบก้อนหินคอยถวิลหาแสงจากดวงดาว
"คุณพี่ครับ ลองสินค้าตัวใหม่จากร้านเราไหมครับ เป็นฝันชุดท่องเที่ยวทั่วไทยครับ ช่วงนี้ทางเรามีโปรโมชันด้วยครับ คือถ้าซื้อสินค้าของเราภายในวันนี้ เรายินดีลดสินค้าทุกอย่างทันที่20% และยังแถมฝันลมๆแล้งๆหรือฝันเป็นตุเป็นตะอย่างใดอย่างหนึ่งฟรีทันที1ชุด สนใจหรือเปล่าครับคุณพี่"
ปัจจุบันในสังคมที่ต่างเอารัดเอาเปรียบ ในสังคมที่มีการแข่งขันในระดับสูง ตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆที่ต้องเรียนกันหัวโตพอๆกับลูกแตงโม เพื่อแย่งกันสอบเข้าแค่โรงเรียนอนุบาลที่มีชื่อเสียง จนถึงพวกผู้ใหญ่ที่ต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพื่อหาประโยชน์ส่วนตัวในหน้าที่การงานและหน้าตาทางสังคม
มันจึงทำให้ผู้คนในยุคนี้ไม่มีเวลาพักผ่อนและมีเวลาเป็นของตัวเอง เพราะพวกเขาต้องแข่งขันกันอย่างไม่มีวันสิ้นสุด มันเป็นเหมือนเกมชีวิต ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะมีผู้พ่ายแพ้ในเกมนี้ บางครั้งพวกเขาอาจจะดูไม่มีค่ามากมายนักในสายตาของผู้ที่เป็นผ่ายชนะ แต่สำหรับเราพวกเขาเหล่านั้นคือบุคคลที่เราต้องการและมีค่าสำหรับเรา
สำหรับพวกคุณที่มีอาการดังนี้ คือ ชอบยอมแพ้ สิ้นหวังกับอดีตจนไม่มองอนาคต ล้มแล้วไม่ยอมลุก ลุกแล้วไม่ยอมสู้ ไม่กล้าเผชิญความเป็นจริง พวกที่ลืมความใฝ่ฝันในวัยเด็กหรือกระทั่งพวกที่สะกดคำว่า"ใฝ่ฝัน" ไม่เป็นและอื่นๆอีกมากมาย ขอให้รีบมาหาเราโดยด่วนที่ร้านฝันละเมอ เราเปิดบริการตลอดทั้งวันและ ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ เรารอคุณอยู่!
สินค้าที่น่าสนใจของเรายังมีอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น ฝันไปวันๆ ฝันครึ่งๆกลางๆ ฝันเป็นจริงเป็นจัง หรือฝันกลางวันและฯลฯ และถ้าติดต่อหาเราในตอนนี้สินค้าทุกชนิดในร้านของเราลดทันที30%นอกจากนั้นคุณยังสามารถซื้อ หนังสือทำนายฝันได้ในราคาเพียง 49 บาทเท่านั้น แต่เท่านั้นยังไม่พอเรายังแจกน้ำดื่มพระพิรุณ ฟรี 1 ขวด โปรดอย่าลืม ร้านฝันละเมอเรามีฝันทุกสิ่งให้ท่านเลือกฝัน
"พี่ชายฮับ ฝันเปียกมีขายหรือเปล่าฮับ !"
[?????????]
*หมายเหตุ สำหรับพวกที่มีความใฝ่ฝันและทำให้ฝันนั้นเป็นจริงหรือพวกที่ไม่ย่อท้อกับชีวิตที่ตัวเองต้องฟันฝ่าไป ทางร้านเราขออนุญาติไม่ขอให้การบริการใดๆทั้งสิ้น
1 กุมภาพันธ์ 2548 13:47 น.
แชมป์
ฉัน วันวาน ความทรงจำ และเธอ
ที่คุ้นเคย เพียงหลับตา ภาพแห่งความทรงจำ สองปีที่พ้นผ่าน ความทรงจำเริ่มเลือนลาง ผู้หญิงคนนั้น เสียงอีแซวยังอึงอล ผู้ชายที่มาพร้อมอุดมคติ เสียงกระทบก้นแก้วของค่ำคืน ธีรพรแรงช้าง แม่นุ้ยช่างงดงาม น้ำตาของเพื่อนสนิท ค่ำคืนที่แสนหวาน เธอบอกรัก วันสุดท้าย ภาพการลาจาก น้ำตาน้อยข้างแก้มเธอ
ที่แห่งเดิม ฉันกลับมา ภาพในอดีตเริ่มหวนคืน กลิ่นที่คุ้น บรรยากาศที่เคย เสียงแม่กำนันคงคล้ายผู้ชายไม่เปลี่ยนแปลง เสียงเอะอะมะเทิ่งของพ่อเฒ่าแม่เฒ่ายังอึงคนึง แม้หลายคนดูชราลง หากเธอคนนั้นเป็นสาวเสียแล้วแต่เสียงเจื้อยแจ้วยังไม่แปรเปลี่ยน ภาพเจนตาเหมือนวันแรกของอดีต ทุกคนกำลังหาที่พัก คำพูดของแม่คนนั้นบ้านแม่ยังว่างนะ เสียงหัวเราะ รอยอมยิ้ม บรรยากาศแบบนี้ ที่แห่งนี้ ฉันกลับมา ดอนกำยาน
เสียงตามสาย ไออุ่นดอนกำยาน เช้าวันแรกหวนกลับมา ภาพเพื่อนเก่ายังคงติดตา ข้าวเช้าแสนอร่อย ผ้าคลุมโต๊ะผืนเก่า หมาตัวน้อยนั่งข้าง เสียงเหน่อๆออกซื่อๆของพี่สายยันต์ เสียงทะเลาะของพี่หนึ่งกับเพื่อนเก่ง และเสียงหัวเราะที่สดใสจากเสียงจากคนในอดีต ยังคงก้องอยู่ในใจ
แต่วันนี้กลับไม่ใช่ เช้าวันแรกหวนคืน 7.30 เวลาที่พวกเธอจะเริ่มทยอยมา ตัวละครเก่าเริ่มถอยหลังสู่กล่องแห่งความคิดถึง ตัวละครหน้าใหม่กำลังเข้ามาแทนที่ พวกเธอ 40 คน เข้ามาในที่นี้ เสียงเหน่อซื่อๆคนน้องคนนั้นคล้ายพี่ยันต์ คำประชดที่น่ารักของพี่หนึ่งที่เรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบ ๆ คล้ายจะมีคนทำหน้าที่แทนในปีนี้ เด็กหญิงคนนั้นช่างเหมือนอ้อเสียเหลือเกิน เรื่องมหัศจรรย์กำลังจะเกิดขึ้นในที่แห่งนี้อีกครา
ฟันเฟืองแห่งวันและเวลาเริ่มขับเคลื่อน 28 วันเริ่มเดินหน้า เฟืองเล็กๆสี่สิบเฟืองค่อยๆขับเคลื่อนไปในแต่ละวัน บางวันช่างหมุนผ่านอย่างรวดเร็ว บางวันกลับคืบคลานคล้ายเวลาอยากพักร้อน แสงอาทิตย์เบื้องบนอาจนึกสนุก จึงไม่หยี่ระที่ส่งแสงแดดแผดลงมาเต้นระเริงบนฟรอ แท้จริงคือผิวของพวกเราตั้งแต่วันแรก
เสียงหัวเราะ เสียงเยอะเย้ย แอบนอนหลับ โดนแอบถ่าย ติดละคร เสียงรถเครื่องและเสียงฝีเท้าตามหมู่บ้านต่างๆ กลับมาแล้ว ร่วมเดือนที่พวกเธอต้องอยู่กับคนหน้าแปลกและแปลกหน้า อาจมีแทรกแปลกนิสัย มะม่วงที่ไม่มีวันหมดแต่คงจะเปล่งถ้าไม่น้ำปลาหวานมาพ่วง ปลาสลิดดอนกำยานหายไปไหนหมด หรือแม้กระทั่งเสียงร้องเพลงตามเนื้อร้องของคนข้างบ้านในยามที่แสนสุข ขาดไม่ได้โลตัสที่ฉันรัก นี่แหล่ะชีวิตร่วมเดือนของพวกเธอ ณ ที่แห่งนี้ ดอนกำยาน
ที่คุ้นเคย การลาจากกลับมาหาเราอีกครั้ง ภาพชินตากำลังจะหายไป เสียงหัวเราะแผ่วเบา ทว่าความทรงจำที่ติดมาจะไม่เลือนหาย กฎสิบบาท ดอกกุหลาบช่อนั้น แก๊งน้ำแข็งใส โยอิจิไม่ใช่โยธา เซอร์ไพร์วันเกิดยามเย็นของสองสาว เมาเฮลูบอย เปิดประเด็นในคืนนั้น สามอัษรย่อ (ยอ ออ มอ) ผมท้อแล้วพี่ หนุ่มขับพิษ ผู้หญิงที่มักลงท้ายด้วยแปด เธอคนนั้นที่ยิ้มเป็นธรรมชาติ ดวงตาเธอในคืนนั้นช่างสวยเหลือเกิน เด็กหญิงหมวกกันน็อค เลือดออกอย่าร้องไห้ อยากไปโลตัสอ่ะ กินส้มตำไม่เป็นขำสุดฤทธิ์ สนุกมากที่คลับเฮ้าท์ มะม่วงหิมพานต์ที่แพงที่สุดในประเทศ ได้ข่าวว่า ฮิตกันไปเลย บอสหน้าเซ็ง นู๋ไม่กินเผ็ด อยากเล่นน้ำแต่ว่ายไม่เป็น สงกรานต์สุดเหวี่ยง หมูกระทะวันนั้นสนุกสุดๆ ประชาคมเลือนลอย พวกเธอทำได้ อุบัติเหตุมาเยี่ยม นายร้อยหล่อ ผมทรงนี้กิ๊กไปเลย อยากกินสไปซ์จัง สวมรอยปาร์มมี่ เด๊นซ์กระจายในคืนนั้น เจ้าตูนน่ารัก ผู้หญิงคนที่ฉันโทรหา พี่นู๋กลัวผี๊ สตอเบอรี่มันเดย์ ส้มตำสามนาค ผมแพ้เครื่องแบบฮะพี่ บัดดี้อยู่ไหน แกงอ่อมทำพิษ แม่เพลงทาทา มนต์รักลูกทุ่งกับน้องคนนั้น สองยักษ์แอบปีนรั้ว คนบ้าวิ่งตาม ก้อนหินละเมอกับเธอคนหนึ่ง วัดสามนาคไม่ใช่วัดวังพระนอนนะโยม แล้วอาจารย์จะว่าอย่างไงครับ สามวันสามคืนของใครบางคน และสุดท้ายเธอคนนั้น
ที่แห่งเดิม การลาจาก ความผูกพัน ความเศร้า ความคิดถึง สมบัติแห่งความทรงจำจะถูกฝังไว้ในที่นี้ ดอกกุญแจที่ไข อยู่ในใจของพวกเธอ คำสัญญาไม่อาจเอื้อนเอ่ย การกลับมา โชคชะตากำหนด การกลับมาของใครบางคน ณ ที่แห่งนี้ ภาพเดิมๆ เสียงเดิมๆ คนเดิมๆ ขอให้เชื่อ ไม่ว่าจะผ่านไปเท่าไร สิ่งนั้นจะยังคงเหมือนเดิมตลอดไป.