30 มิถุนายน 2551 21:24 น.
แจ้นเอง
ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมก็ได้ยินใครๆเรียกผมว่า เนผมมีน้องชื่อ น้ำ ครับหลานตาหลานยายมีชื่อเล่นอักษร น กันทุกคน พี่น้องที่มีวัยไล่เลี่ยกันก็มี นิว เหน็ด เนี๊ยบ และ นิ้งหลายครั้งและหลายคราวมีคนถามผมว่าชื่อผม ใช่.เนร... หรือเปล่า นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมนึกถึงหรอกครับ เรื่องที่ผมอยากจะรู้ก็คือว่า คำว่า พ่อ แม่รังแกฉันมันหมายถึงอะไรกันแน่...
ผมอ่านหนังสือบ้างเหมือนกัน ปกติผมอ่านการ์ตูน เพราะรู้สึกว่ามันเบาสมองดี ไม่ต้องคิดมาก หลังจากที่ผมต้องลาออกจากโรงเรียน ผมใช้คำว่า ลาออก เพราะผมเรียนจบม.๓ แล้วแต่ติด ๐ หลายตัว และการแก้ ๐ ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะครูแต่ละคน เขามีอคติกับผมและคิดว่าผมเป็นเด็กเกเร ก็คงไม่แปลกถ้าผมไม่เกเรผมก็คงเรียนจบไปแล้ว แต่...ที่ผมเท้าความหลังให้ฟัง เพราะผมเข้าใจคำว่า พ่อ แม่รังแกฉัน ว่ามันหมายถึงพ่อแม่ที่รักลูก ตามใจลูก ไม่ว่าลูกจะคิดอะไร จะอยากทำอะไร อยากได้อะไรก็เห็นดีเห็นงามไปกับลูกหมด ไม่เคยขัดใจ จนในที่สุดลูกก็เลยเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง และถูกปฏิเสธไม่ได้ จนในที่สุดก็เสียผู้เสียคนไปเลยก็มี อย่างนี้ใช่ไหมครับ แต่ผมไม่ได้ถูกรังแกด้วยวิธีการแบบนั้น...ของผมเหรอครับ ผมต้องบอกว่าผมถูกพ่อผมรังแกมากกว่า
เรื่องมันเกิดตั้งแต่ผมเรียนจบ ชั้นป. ๖ ใหม่ๆผมเรียนอยู่ ร.ร.สาธิตแห่งหนึ่ง และ ร.ร.ที่นี่เค้าจัดการเรียนการสอนแบบใกล้ชิดกันทั้งครูและนักเรียน เพื่อนร่วมชั้นมีกิจกรรมกันบ่อยผมและเพื่อนๆจึงสนิทสนมกันมาก และแม้แต่คุณครูก็ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนพวกเราด้วย พอสอบไล่เสร็จพวกเราก็กะกันว่าจะเข้าเรียน ร.ร. ในจังหวัดด้วยกัน ผมอยากจะเรียนกับเพื่อนผมมาก แต่พ่อผมไม่ยอม พ่อผมเค้าเป็นครูสอนอยู่ ร.ร. ประจำอำเภอ ก็เป็น ร.ร. ใหญ่เอาการอยู่เพราะมีรุ่นพี่ที่จบจากที่นี่สอบเอ็นทรานซ์ได้คณะดีหลายคนและมหาลัยดังๆก็มี พ่อผมบอกกับแม่ว่า ถ้าให้ผมมาเรียนที่นี่ พ่อจะดูแลผมให้ ซึ่งผมก็รู้ว่าแม่คงต้องยอมเพราะแม่ไม่มีรายได้ แม่เป็นแม่บ้านครับยังไงก็ต้องตามใจพ่อ
ผมรู้สึกอึดอัดตั้งแต่แรก เพราะใจไม่อยากเรียนที่นี่นั่นยังไม่สำคัญเท่า พ่อผมเค้าเป็นครูพละครับ จบปริญญาโทจากมหาลัยดังในกรุงเทพฯ และพ่วงด้วยปริญญาตรีนิติศาสตร์จากมหาลัยมีชื่ออีกแห่งหนึ่งด้วยจึงเหมือนจะมีความสำคัญไม่น้อยที่พอลูกชายมาอยู่ ร.ร. ที่มีพ่อสอนอยู่บรรดาครูทั้งหลายจึงไม่อยากจะยุ่งด้วย
ผมไม่มีเพื่อนเลยและที่นี่การปรับตัวของผมทำได้ลำบากเพราะไม่มีใครอยากมาคบกับผม แค่เพียงรู้ว่าผมเป็นลูกใคร และเพราะพ่อผมเป็นนักกีฬาเทนนิสของมหาลัยเก่าก็เลยอยากให้ผมเล่นเทนนิสด้วย พ่อจับผมมาซ้อมเทนนิสตอนเช้าและไม่ให้ผมเข้าแถวเคารพธงชาติโดยพ่อขออนุญาต ผอ.แล้ว ซึ่งนั่นมันทำให้ผมไม่ชอบที่สุดนอกจากเหงื่อจะออกท่วมตัวผมก่อนจะเข้าห้องเรียนแล้วและผมไม่เคยกินข้าวเช้า ผมเป็นโรคคอตื้นกินอะไรตอนเช้าๆแล้วจะอ้วกพอออกกำลังกายมากๆผมจะรู้สึกเพลีย จนไม่อยากเรียนหนังสือและช่วงที่ผมซ้อมตีเทนนิส บรรดานักเรียนและคุณครูทั้งหลายก็มองผมด้วยสายตาและกริยาแปลกๆ และผมก็มองเห็นความแปลกแยกของเพื่อนร่วมห้องอยู่ในทีจนผมทนไม่ได้ในที่สุดและไม่ยอมซ้อม พ่อผมโกรธผมมาก
แล้ววันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นกับเพื่อนในห้องด้วยกันที่หลัง โรงเรียน รุ่นพี่ ม.๖ ก็ตรงเข้ามา ชก ต่อยผมต่อยเอาต่อยเอาผมและเพื่อนตกใจ ผมยกมือกันเพื่อปกป้องตัวเองแล้วตะโกนถามว่า ผมไปทำอะไรให้ พี่ ม.๖ บอกว่า ก็พ่อแกตีฉัน พ่อแกมันเก่งนักอยากตีฉัน ฉันก็มาตีแกเพราะแกเป็นลูก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวหรอกครับมีอีกหลายๆครั้งที่ผมโดนรุมตี รุมตื้บ จนผมทนไม่ได้ และเพื่อนผมก็เลยชวนผมไปหาพี่ ม.๖เพื่อไปเสนอตัวเป็นลูกน้อง ในโรงเรียนแห่งนี้ถ้ามีลูกพี่ที่แน่ๆคอยปกป้องก็จะไม่มีใครกล้ารังแก ลูกพี่ผมชื่อ เจมส์ ครับ ผมต้องติดสอยห้อยตามลูกพี่ผม บางครั้งก็ต้องทำอะไรที่ลูกพี่ผมสั่ง ซึ่งผมก็ไม่ขัดเพราะอย่างน้อยผมก็ไม่โดนใครกล้ารังแกผมอีก
จนกระทั่งผมสอบขึ้นชั้น ม.๒ วันเปิดเทอมวันแรกผมก็ยิ้มร่าเข้าไปในห้องเพราะปีนี้อย่างน้อยๆผมก็โตมาอีกหน่อยแล้ว แต่วันเปิดเทอมวันแรกของผมก็ทำลายความรู้สึกดีดีของผมไปจนหมดสิ้นเมื่อครูประจำชั้นชี้หน้าผมแล้วถามว่า เธอมาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง เธอไม่มีชื่อในทะเบียนห้องนี้ ผมงงครับก็ผมเรียนม.๑ ห้องนี้แล้วพอขึ้นม.๒ จะให้ผมไปเรียนห้องไหน พ่อเธอย้ายเธอไปอยู่ห้องอื่นแล้ว พ่อผม...พ่อผมอีกแล้วผมได้แต่ตะลึงและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แล้วผมอยู่ห้องไหน ผมถามหาห้องของผมจนเจอ แล้วครูประจำชั้นของผมก็ถามว่า เธอย้ายมาอยู่นี่ได้ไง ทำไมไม่อยู่ห้องเดิม ครับคำถามของครูแต่ละคนทำให้ผมอยากจะตะโกนถามว่า แล้วผมอยากจะย้ายอยากจะอยู่หรือไงผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรได้เลยหรือ
แม่ วันนี้ผมต้องถามแม่ผมให้ได้ว่าทำไมพ่อทำกับผมแบบนี้...แต่ก็นั่นแหละ แม่คงจะช่วยอะไรผมไม่ได้เพราะแม่คิดว่าผมอยู่โรงเรียนเดียวกับพ่อ อะไรๆพ่อก็คงจัดการให้เรียบร้อย ผมแอบร้องไห้และน้อยใจ แต่ผมไม่เคยบอกแม่
จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมทำงานหนักและเหนื่อยล้าเหลือเกิน แม่ชวนผมกินข้าวหลังจากผมกลับเข้าบ้านเกือบ ๕ ทุ่มแม่ยังคงไม่นอนและถามผม กินข้าวหรือยัง อย่ากินเหล้ามากนะลูก อายุยังน้อยต้องดูแลสุขภาพบ้าง กินข้าวเป็นเพื่อนแม่มั้ย แม่รู้สึกหิว ผมไม่อยากขัดใจแม่ ผมจึงบอกแม่ว่า ถ้าแม่หิวแม่ก็จัดสำรับมาเถอะผมจะกินเป็นเพื่อน แม่สอนผมหลายอย่างสุดท้ายแม่ก็พูดเรื่องเรียน ยังไงก็เรียน กศน.ต่อนะเรียนให้จบม.๓ ซะแล้วค่อยว่ากันอีกที
เรียนผมถามแม่ว่า เรียนอีกทำไม? ผมทำงานแล้วและถ้าตอนนั้นแม่ยอมให้ผมเรียนโรงเรียนในเมืองกับพวกเพื่อนๆผมก็คงเรียนจบและเรียนต่อไปถึงไหนๆแล้ว และเพราะความอึดอัดที่ประเดประดังเข้ามา ผมวางมือจากช้อนแล้วน้ำตาก็รินลงมาอาบแก้ม ผมอายุ ๑๘ แล้ว แต่ผมก็ยังร้องไห้ มันเจ็บแค้นและทรมานจิตใจผมจริงๆเมื่อผมนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตและสิ่งเหล่านี้ก็พรั่งพรูออกมาจากปากผม และแม้แต่ตอนที่แม่ลืมจ่ายค่าข้าว ค่าขนม และรวมถึงค่ารถให้ผม วันนั้นผมก็จะต้องอดด้วย แม่ได้แต่ตกตะลึงแล้วร้องไห้ไปกับผม แม่ไม่เคยรู้...ทำไมลูกไม่บอกแม่ ทำไมปล่อยให้อะไรๆมันเลยเถิดมากไปแบบนี้ล่ะลูก แม่ได้แต่คร่ำครวญ แต่มันก็ช่วยอะไรผมไม่ได้จริงๆผมยังสะอื้นหนักมากขึ้นเมื่อแม่เข้าปลอบโยน แม่รักลูกนะ ทำไมไม่คิดว่าแม่จะต้องช่วยเหลือและหาวิธีช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์ของลูกได้ ทำไมไม่บอกให้แม่ได้รู้ผมบอกแม่แต่ว่าตลอดเวลาที่ผมอยู่โรงเรียน พ่อไม่เคยสนใจผม ไม่แคยมองหน้าผม แม้บางครั้งแทบจะเดินชนกัน ถึงตอนนี้แม่ก็ไม่ยอมแตะอาหารอีก ผมบอกแม่ว่าช่างเถอะแม่และดีแล้วที่ผมโตมาได้ถึงป่านนี้ เรื่องเรียนผมค่อยคิดอีกที
ผมเองตอนเพียงอยากจะรู้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมมันเหมือนในหนังสือบอกว่า พ่อ แม่รังแกฉันหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ชีวิตจริงที่เด็กคนหนึ่งประสบมาด้วยตัวเอง
24 มิถุนายน 2551 22:27 น.
แจ้นเอง
ด้วยความรู้สึกที่ระทดท้อเพราะงานที่ลงมือทำและลุยมาร่วมเดือนเหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่พอเริ่มจะมองเห็นเค้าโครงชัดขึ้นกลับมองไม่เห็นคนร่วมทางที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขจริงๆซักคน ฉันเดินเรื่อยเปื่อยโดยเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงและเดินเตะอะไรต่อมิอะไร เพื่อระบายความรู้สึกที่ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ สายตาก็มองไปแบบไม่มีจุดหมาย และเท้าฉันก็สะดุดเอากับกล่องอะไรไม่รู้ ฉันหยุดกึกและเริ่มคิด อะไรอยู่ในกล่อง ลำดับแรกฉันนึกถึงระเบิด แต่...ไม่น่าจะใช่ ก็นี่ ไม่ใช่ภาคใต้นี่นา แล้วมันเป็นอะไรล่ะ ลำดับที่สอง อย่าไปสนใจมันเลยจะอะไรก็ช่างที่แน่ๆไม่ใช่ของเราแน่นอน แต่เอ อาจจะเป็นกล่องเปล่าก็ได้เพราะตอนเราเดินสะดุดก็ไม่รู้สึกว่าจะมีน้ำหนักอะไร แต่ก็นั่นแหละไหนๆก็มาเจอแล้วนี่เปิดดูซะหน่อย ถ้าเผื่อรู้ว่าใครเป็นเจ้าของจะได้คืนเค้าไป ฉันตัดสินใจเปิดกล่อง และ...สิ่งที่ฉันพบก็คือสมุดไดอารี่เล่มเล็กๆ
ไดอารี่...ฉันเป็นคนชอบเขียนบันทึก ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ เศร้า เหงา เหว่ว้า ล้วนจดจารมันลงในไดอารี่ทั้งสิ้น และตอนนี้ฉันจึงมีความกระหายใคร่รู้ขึ้นมาทันทีว่าเจ้าของไดอารี่เล่มนี้เป็นใคร และเค้าจะจดอะไรลงในไดอารี่ของเค้า
ฉันยอมเสียมารยาททั้งๆที่ตัวฉันเองก็ไม่ชอบให้ใครมาแอบอ่านบันทึก
หน้าแรกที่ฉันเปิดอ่านมีลายเซ็นขยุกขยิกอ่านไม่ออกว่าชื่ออะไร แต่ก็พอจะเดาออกว่าเป็นลายมือผู้หญิงเพราะหน้าต่อไปที่เริ่มการบันทึกดูเหมือนเจ้าของจะเป็นคนชอบเขียนพอดูเหมือนกันเพราะเธอบันทึกเรื่องที่เธอประสบพบเจอ จิปาถะและ...
ฉันตั้งหน้าตั้งตาอ่าน อ่าน และอ่านหน้าแล้วหน้าเล่าทุกๆตัวอักษร เจ้าของบันทึกเล่มนี้เป็นใครกันสิ่งที่เค้าเขียน ลายมือที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึก เค้าช่างอ่อนไหวเหลือเกิน...ฉันมารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ท้องของฉันมันเริ่มร้องครวญคราง หิวแล้ว หิวแล้ว ฉันกลับเข้าบ้านและรีบหาอะไรรองท้องที่ง่ายที่สุดและเร็วที่สุด ฉันเปิดตู้เย็นหยิบนมมากล่องหนึ่งและดูดทีเดียวหมดกล่อง ฉันหาที่นั่งได้แล้วและรีบอ่านไดอารี่ เหมือนกำลังอ่านนิยายติดพันและวางมันไม่ลง ฉันเริ่มจะอินกับไปกับการเป็นเจ้าของไดอารี่เสียเอง บางครั้งฉันก็หัวเราะกับสิ่งที่เธอพบเห็น และบางครั้งก็ร้องไห้ไปกับมันเมื่ออ่านเจอบทสะเทือนใจ
ท้องฟ้าสดใสจังเลย ฉันสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด และค่อยๆปล่อยมันออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แหงนมองดูท้องฟ้าสีครามที่เมฆสีขาวจับกันเป็นรูปสัตว์ต่างๆนั่นดูสิเห็นไหมเหมือนหมีแม่ลูกเลย และโนน่ฉันว่ามันเหมือนแมวกำลังหมอบรอตะครุบเหยื่อ แต่นั่นแหละเธอคงไม่เห็นหรอกเพราะเอคงลืมฉันไปแล้ว
ทำไมๆๆๆเค้าปล่อยให้ฉันรอคอยเนิ่นนานขนาดนี้ เค้าสัญญาว่าจะโทรมาคุยกันทุกวันหรือถ้าไม่ว่างจริงๆก็จะส่งข้อความมาให้ แล้วนี่เค้าไปไหน เค้าเคยอาทรต่อฉันเสมอ " ทานข้าวหรือยัง" " อย่านอนดึกนะรู้มั้ยเป็นห่วง " " พักผ่อนมากๆนะ" " อย่าโหมงานมากล่ะ" สารพัดข้อความที่เค้าส่งมาให้ ตอนนี้เเธอ อยู่ที่ไหน ฉันรู้สึกหมดความสุขลงไปทุกวัน
ฉันตัดสินใจที่จะทิ้งไดอารี่เล่มนี้เพราะฉันเห็นมันเมื่อไหร่ก็จะอดเศร้าใจและคิดถึงเค้าไม่ได้...ลาก่อนไดอารี่เล่มน้อย
23 มิถุนายน 2551 22:10 น.
แจ้นเอง
"โน่นแน่ะ เห็นมั้ย เมฆก้อนนั้นน่ะ"
"ฮือ ไหนล่ะ"
"ก็นั่นไง มันเหมือนรูปกามเทพเลยน่ะ ฉันว่ามันเหมือน ลูกศร มากเลย "
ฉันพูดพร้อมชี้มือชี้ไม้
"เฮอะ ไม่เห็นจะเหมือนเลย เธอนี่บ้าหรือเปล่า ฉันมองยังไงก็ไม่เห็นว่าจะเหมือนเลย"
"เหมือนสิ ก็เหมือนกับที่ฉันเจอกับเธอไงมันเป็นการพบกันแบบเผอิญทีสุด
ฉันก็เลยคิดว่าเหมือนกามเทพมาแผลงศรให้เรามาพบกันไง"
"หือ"
"รำคาญเหรอ"
"เปล๊า"
ดูเอาเถอะแม้แต่จะคุยกับฉันเค้ายังไม่อยากต่อปากต่อคำเลย เค้าหาว่าฉันเป็น
นักจินตนาการช่างฝัน ถ้าฉันเล่าความฝันให้เค้าฟัง เค้าจะว่ายังไงน่ะ เพราะไม่
ว่าฉันจะฝันกี่ครั้ง ฉันก็ให้เค้าเป็นพระเอกเสมอโ ดยมีฉันแสดงเป็นนางเอก
ซะด้วย และแม้บางครั้ง ฉันก็อาจจะต้องลดตัวลงไปแสดงเป็นนางร้าย นางอิจฉา
บ้างก็เหอะ ก็เพราะว่าวันไหนฉันฝันว่า เค้าไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นหรือให้ความ
สนิทสนมกับใคร ฉันก็จะกลายเป็นนางร้ายไปในพริบตาและฉันก็ไม่อยากเป็น
อย่างนั้นบ่อยนักหรอกน่ะ ฉันชอบแสดงเป็นนางเอกมากกว่า เพราะฉันรู้สึกมีความสุขมากมาย แค่ฝันว่าเค้ายิ้มให้ฉัน อาทรฉันบ้าง หรือในท่ามกลางฝูงชน
เค้ายังคอยมองหาฉันบ้าง แล้วอยากรู้ไหมว่าฉันฝันยังไงในคืนนี้
"นี่พรุ่งนี้วันเกิดเธอนี่นา"เค้าแกล้งพูดเมื่อฉันกำลังเดินผ่านกลุ่มของเค้า ใจฉันเต้นโครมคราม นี่เค้าจำวันเกิดฉันได้ด้วยหรือนี่
"ฉันมีของขวัญมาให้" เค้าแอบเอามือซ่อนไว้ข้างหลัง
"แต่เธอต้องหลับตาก่อน"
เค้าเดินมาใกล้ๆ ฉันจึงรีบหลับตาลงและคิดถึงหนังทีวี เวลาพระเอกบอกให้นางเอกหลับตาก็หมายความว่า...
ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรมาโดนจมูกฉันดูเหมือนจะเป็นหนามกุหลาบเค้าคงเอาช่อกุหลาบให้ฉันเป็นแน่เลย
"ฮือ เจ็บน่ะ"
ฉันอุทธรณ์เบาๆแล้วก็รู้สึกมีอะไรมากระทบริมฝีปากอุ่นๆเค้าคง...ฉัน
เค้า...โอย เค้าจูบฉันตั้งหลายที
"ต๊าย นังเหมียว" ฉันสะดุ้งสุดตัว เสียงแม่ แว๊ดเจ้าเหมียวฉันดังลั่น
"มานอนหลับอยู่นี่เองแม่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ขานรับ"
ฉันตะกุกตะกัก
"เอ้อ !!!! แม่ แม่ เรียกหนูเหรอจ๊ะ"
"ก็ เออสิ ถ้วยชามมันจะกองท่วมหัวอยู่แล้วเมื่อไหร่จะไปล้างซักที"
แม่ทำหน้าและเสียงดุๆ
"แล้วนี่ มานอนให้นังเหมียวมาเลียปากให้อยู่ได้"
"หา!!!!"
ฉันรีบเอามือแตะริมฝีปาก อนิจจาพระเอกของฉัน....
"จ้ะ จ้ะ แม่ไปเดี๋ยวนี้แหละจ๊ะ"
ฉันรีบโกยอ้าวเข้าห้องน้ำ และคิดในใจ นังเหมียงนะ นังเหมียว ไม่น่าเลย...