3 ธันวาคม 2551 22:54 น.
แจ้นเอง
นายอติรุจน์ เสียงครูเรียก เด็กชายอติรุจน์เสียงดังฟังชัดหน้าเสาธงในตอนเช้า รุจน์ หรืออติรุจน์เดินออกไปกอดอกรอรับโทษ
เพี๊ยะ ๆๆเสียงไม้เรียวที่กระทบเรียวน่องนั้นมันดังและบาดลึกเข้าไปในหัวจิตหัวใจอย่างบอกไม่ถูก นักเรียนทุกคนเงียบกริบแทบจะกลั้นลมหายใจ
รุจน์เพื่อนนักเรียนชั้นประถม 4 ที่มาเรียน มั่ง ไม่มามั่ง แล้วแต่อารมณ์หรือถ้ามาก็อาจจะนั่งเรียนซักครึ่งวัน นอกนั้นก็จะหลบไป หาปูหาปลาไปตามเรื่อง
วันนี้ รุจน์ถูกทำโทษเนื่องจากชกต่อยกับเพื่อนในห้องสาเหตุมาจากเพื่อนล้อ
รุจน์โมก เจ๋งยื่นหน้าหยอกล้อรุจน์ ซึ่งรุจน์ไม่ชอบให้ใครเรียกเขาแบบนี้
ที่จริงผมก็ชอบมองรุจน์เพราะรุจน์มีดวงตาที่กลมโตริมฝีปากหนา และตัวเตี้ย แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจดี แต่คำว่า โมกเป็นภาษาเหนือ แปลว่าใหญ่มาก และเพราะเหตุนี้เพื่อนๆจึงเรียกรุจน์ลับหลังว่า รุจน์โมก
มึงอย่ามาเรียกกูแบบนี้นะ รุจน์ตะเบ็งเสียงใส่เจ๋ง
กูไม่ชอบ เดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือน รุจน์ไม่พูดเปล่าแต่ลุกพรวดขึ้นตั้งท่าเอาจริง
มึงจะทำอะไรกูหา ไอ้รุจน์โมกเจ๋งไม่ยอมอ่อนข้อและยังแลบลิ้นปลิ้นตายั่วเย้าหนักข้อยิ่งขึ้น
กูจะทำอะไรเหรอ ไม่พูดเปล่า รุจน์ประเคนกำปั้นลงบนใบหน้า ของเจ๋งแบบไม่นับ นายเจ๋งถึงกับทรุดฮวบลงไปกับพื้น
ครูครับๆนักเรียนตีกันครับ ครูต้อยเดินผ่านมาพอดี นักเรียนในห้องรีบรายงาน
ครูต้อยรีบวิ่งมายังที่เกิดเหตุ
ใครตีกับใครครูต้อยร้องถาม
นายรุจน์ตีนายเจ๋งซะหมอบเลยครับนอกจากรายงานครูแล้ว นายแก้วยังทำท่าทางให้ดูด้วย
นายรุจน์ นายเจ๋งตามครูไปห้องครูใหญ่ ครูต้อยออกคำสั่ง
ครับเด็กทั้งสองขานรับคำสั่งพร้อมกัน
และจากการสอบสวนครูใหญ่จึงตัดสินว่าพรุ่งนี้ครูจะเฆี่ยนเธอหน้าเสาธงตอนเข้าแถว
นายรุจน์เธอจะถูกเฆี่ยน 3 ทีเข้าใจมั้ย โทษที่เธอไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจและลงมือรุนแรงเกินกว่าเหตุ ครูใหญ่สาธยายความผิดให้ฟัง
ครับรุจน์ตอบโดยไม่ลังเลและไม่ปฏิเสธในคำกล่าวโทษนั้น
ส่วนนายเจ๋งเธอจะถูกเฆี่ยนด้วย 1 ทีข้อหาที่เธอไปยั่วยุนายรุจน์และต่อไปห้ามเรียกนายรุจน์แบบนั้นอีกเข้าใจในโทษของเธอไหม
ครับนายเจ๋งรับคำและยังทำหน้าเจ็บว่าที่โดนมานั้นยังเจ็บอยู่
ไปได้แล้ว พรุ่งนี้ห้ามขาดเรียนเด็ดขาดไม่อย่างนั้นโทษพวกเธอจะเพิ่มเป็น 2 เท่าครูใหญ่สำทับ
ครับๆเด็กทั้ง 2 รับคำพร้องทั้งยกมือไหว้ทำความเคารพก่อนออกจากห้องไป
รุจน์จริงๆแล้วเค้าเป็นคนน่ารัก เวลาเพื่อนมีอะไรก็เรียกใช้ได้ตลอด ยกเว้นเรื่องเรียน รุจน์เรียนไม่รู้เรื่องและปีนี้ก็สอบตกเป็นปีที่ 3 แล้ว เพื่อนๆในห้องบางคนก็กลัวเพราะบางครั้งรุจน์จะดุแต่บางครั้งรุจน์จะอารมณ์ดีมากไม่ค่อยถือสาหาความกับใครนัก
แต่สำหรับกับผม รุจน์เป็นฮีโร่ของผมเลยทีเดียว
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเหงาๆไม่รู้จะไปไหนทำอะไรก็เบื่อไปหมด แล้วรุจน์ก็เดินผ่านมาที่สะเอวมีข้องใบเขื่องผูกติดอยู่
รุจน์นายจะไปไหนผมตะโกนถาม
จับปลาเสียงรุจน์ตอบมาด้วยความมั่นใจ
นายจับได้เหรอ ไม่เห็นมีอุปกรณ์อย่างอื่นเลยผมสงสัย มือเปล่าๆเนี่ยน่ะจะไปจับปลา
เออ!มือเปล่านี่แหละรุจน์ยืนยัน
ไปด้วยได้มั้ยผมเสนอตัวทันทีบอกจริงๆว่าอยากเห็นและกำลังเหงาอยากหาอะไรทำ เมื่อรุจน์ไม่ปฏิเสธ ผมจึงรีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตามรุจน์ไป
รุจน์พาผมไปหาปลาในนาซึ่งน้ำแห้งขอดบ้างแล้ว ชั่วเวลาไม่นานรุจน์ก็ได้ปลาเต็มข้องใบเขื่องนั้น ผิดกับผม ผมจับปลาไม่ได้เลยผมลงไปงมหาปลาแล้วเจอปลาหมอ แต่ผมจับไม่ได้ปลาหมอแถกเหลือกและกางครีบกระจายผมเลยไม่กล้าจับและเมื่อปลาเต็มข้องแล้วรุจน์จึงหันมาหาผมแล้วบอกว่า
เอาข้องนายมาเดี๋ยวเราจับให้รุจน์ไม่พูดเปล่าแต่ตรงเข้ามาแกะเชือกผูกเอวเอาข้องของผมไปแล้วก็จับปลาลงไปในข้องของผม
ทำไมนายจับปลาเก่งอย่างนี้ล่ะผมถามเพราะผมพยายามแล้วดักหน้าดักหลังปลาก็ยังหนีไปได้ทุกที
มันไม่ยากหรอกแต่เพราเราชอบและเราทำบ่อยจนรู้สัณชาดญาณของปลาและรู้ว่าปลาชนิดไหนควรจับอย่างไร มันถึงจะเอาอยู่ผมได้แต่ฟังอย่างตั้งใจ แต่ผมก็คงทำไม่ได้หรอกและอีกอย่างผมคงไม่เคยฆ่าสัตว์และก็คิดเหมือนกันว่าจะบาปหรือเปล่า พอเห็นว่ารุจน์จับมาไห้พอสมควรผมจึงบอกว่า
พอเหอะ! แค่นี้ก็มากเกินไปแล้ว เราขอบใจนายมากนะ เรานี่ไม่ได้เรื่องเลย
นายเรียนเก่งนี่ เรื่องอย่างนี้นายไม่ถนัดเท่านั้นเอง แต่เราเรียนยังไงก็ไม่รู้เรื่องรุจน์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เอาอย่างนี้สิ นายมาบ้านเราทุกเย็นสิ เราจะสอนการบ้านให้อันไหนไม่เข้าใจ เราจะช่วยนายเองผมบอกรุจน์และผมก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริงๆเพราะผมเห็นความมีน้ำใจของเขาและผมรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
นายให้เรามาบ้านนาย แล้วนายสอนการบ้านเราจริงเหรอรุจน์กระตือรือร้น
จริงสิปีนี้นายจะเรียนจบพร้อมกับเราแน่นอน เราสัญญาผมยื่นมือให้รุจน์จับรุจน์จับมือผมมั่นเหมือนจะบอกว่าสัญญากะเราแล้วนะ
รุจน์ตั้งใจเรียนและไม่ย่อท้อจากการที่อ่านหนังสือไม่ค่อยออก เค้ากลับเก่งขึ้นมาในทันที และเมื่อสอบปลายปีออกมาปรากฏว่ารุจน์สอบได้ที่ 10 จากนักเรียนทั้งหมด 42 คน
ผมมีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้งหลังจากเรียนจบวิศวะโยธา ผมเจอกับรุจน์ รุจน์ยังไม่มีครอบครัวผมชวนไปทำงานด้วยกันที่กรุงเทพฯ รุจน์ก็ปฏิเสธ
เราไม่อยากไปไกลบ้าน เราห่วงแม่ แม่เราแก่มากแล้วและตอนนี้ก็ไม่ค่อยสบาย สามวันดีสี่วันไข้ เราทิ้งแม่เราไม่ได้หรอกรุจน์ทำหน้าหมองเศร้า
งั้นไว้ให้แม่หายดีแล้วหรือนายพร้อมเมื่อไหร่บอกเรานะ เราจะช่วยเหลือนายเองผมตั้งใจอย่างนั้นจริงๆครับ เพราะในบรรดาเพื่อนๆของผม ผมชอบเขามากที่เขาเป็นคนมีน้ำใจ
มิตรภาพไม่ได้แบ่งแยกคำว่าเพื่อน
เรารักนายว่ะ รุจน์ถึงใครจะว่านายยังไงสำหรับเรื่องจับปลา นายคือ...ฮีโร่เลยล่ะ
1 ธันวาคม 2551 18:00 น.
แจ้นเอง
แจ้น
ขา ฉันขานรับทั้งที่ตกใจกับเสียงเรียกของพ่อ
พ่อเรียกฉันเมื่อเห็นฉันเดินทอดน่องเข้าไปในสวน ด้วยอาการเหม่อลอย
มาดูนี่สิ
ค่ะฉันตอบง่ายๆและเดินเข้าไปหาพ่อ พ่อชี้ให้ดูแปลงผักที่ต้นกล้าอะไรไม่รู้เล็กๆขึ้นเต็มไปหมด มีใบเล็กๆขึ้นมาสองใบด้วย
ต้นคะน้า
คะน้าฉันทวนคำ ดูไม่ออกเลยค่ะพ่อ แปลงผักของพ่อจะมี 4 แปลง แปลงที่เห็นเป็นแปลงเพาะ ที่ดูมีเม็ดดินเม็ดเล็กๆละเอียดและมีสีดำ ถัดมาก็เป็นแปลงผักกาดซึ่งมีรอยตัดเพื่อเอาไปทำอาหารบ้างแล้ว และอีก 2 แปลง เป็นแปลงกะหล่ำปลี กับ มะเขือเทศ กะหล่ำปลีของพ่อจะมีหัวใหญ่มากและทุกแปลง พ่อใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพราะบ้านเราเลี้ยงทั้งไก่และหมู บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านและมีความเป็นเอกเทศไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับชาวบ้านเท่าใดนัก เพราะบริเวณบ้านเราไม่ติดกับใครเลย แต่ติดถนนใหญ่ และบ้านเราลูกๆต้องไปเรียนหนังสือ ส่วนพ่อทำงานยาสูบและออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อออกไปเยี่ยมแปลงเพาะของ ลูกไร่ *
ลูกไร่คือชาวบ้านที่มายื่นความจำนง ขอเป็นสมาชิกปลูกยาสูบ และมีสัญญาว่าจะต้องขายให้กับโรงบ่มเท่านั้น ลูกๆมีหน้าที่ไปโรงเรียน และที่บอกว่าลูกๆ ก็เพราะ ครอบครัวเรามีพี่น้องถึง 7 คนมีเพียงพี่ชายคนโตเท่านั้นที่เป็นผู้ชายนอกนั้นเป็นหญิงล้วน และสมัยก่อนพวกชาวบ้านยังไม่คิดส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือ พวกเราจึงไม่ค่อยมีเพื่อนในละแวกเดียวกัน พวกเราพี่น้องจึงเป็นเพื่อนเล่นกันในตัว
และเพราะบ้านเรามีพี่ชายคนเดียว พอพี่ชายย้ายเข้าไปเรียนที่โรงเรียนยาสูบอุปถัมภ์ ที่กรุงเทพฯ ฉันจึงต้องแปลงร่างเป็นผู้ชาย เพื่อคอยปกป้องพี่สาวและน้องสาว และเป็นม้าใช้ให้พ่อด้วย จึงไม่แปลกที่ฉันกับพ่อจะสนิทสนมกันมากกว่าคนอื่น
และเมื่อพ่อไม่สบายต้องเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลและพร้อมๆกับแม่ก็เข้าโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน แต่อยู่คนละโรงพยาบาล เพราะพ่อเข้าก่อนและเป็นโรงพยาบาลเอกชน ส่วนแม่เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายฯและต่อมาก็ถูกส่งตัวเข้าโรงบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ฉันจึงอาสาดูแลพ่อ เราต้องแบ่งว่าใครจะดูแลพ่อและใครจะดูแลแม่
จนกระทั่งพ่อเห็นว่ายังไงก็คงไม่หายแล้วจึงขอกลับบ้าน ซึ่งก็ยุ่งยากพอสมควรที่หมอจะอนุญาตให้คนไข้ออก เพราะยังไม่หมดวิธีรักษา แต่พ่อก็กลับจนได้
ขณะที่อยู่บ้านพวกเราก็หมุนเวียนเปลี่ยนกันดูแล โดยไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อพ่ออาการหนักจนช่วยตัวเองไม่ได้พวกเราจึงอาบน้ำให้ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ ซึ่งแรกๆพ่อจะไม่ยอมจึงต้องคุยกันนาน
ฉันบอกพ่อว่า พ่อจำได้ไหม ตอนลูกเล็กๆใครกันที่ดูแล คอยอาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จะฉี่ จะอึ ก็ไม่เคยบ่น ทำด้วยความเต็มใจทุกอย่าง ตอนนี้ลูกขอทำหน้าที่นั้นตอบแทนพ่อบ้างจะได้ไหม พ่อได้แต่น้ำตาคลอ และเราลูกๆทุกคนไม่เว้นแม้แต่พี่ชายที่ฉันให้เข้าไปทำหน้าที่นั้น
ฉันพูดกับพี่ชายว่า ถ้าพี่ไม่ทำเสียตอนนี้ เวลาที่พ่อจากไปแล้ว พี่จะมาเสียใจทีหลังนะ
ฉันยังจำได้ถึงความเอาใจใส่ของพ่อที่มีต่อลูกๆพ่อจะเป็นคนสอนลูกๆพูด สอนหนังสือ ลูกๆของพ่อเมื่อไปเข้าเรียนในโรงเรียนประถมจึงถูกพาสชั้นกันทุกคน เราจึงมีอายุน้อยกว่าพวกเพื่อนในชั้นเรียน พ่อจะใส่ใจในเรื่องความสะอาด ทั้งผม เสื้อผ้าและเล็บ สำหรับเสื้อผ้าแม่จะรีดจนเรียบและดูความเรียบร้อยก่อนออกบ้านทุกวัน ส่วนเล็บพวกเราต้องเข้าแถวเพื่อรอให้พ่อตัดเล็บให้ และใครจะเริ่มเป็นสาวจะถูกกวดขันเป็นพิเศษ จึงมักมีเสียงครหาว่า พ่อดุ เพราะมีลูกสาวสวย(ยกเว้นเราละมัง) ทุกคนจึงหมดสิทธิที่จะไว้เล็บยาวๆพ่อจะบอกเสมอว่าเวลาเล็บยาวและไม่ได้ดูแลจะสกปรกและเป็นพาหะของโรค
เมื่อลมหนาวพัดมาวูบแรก ฉันจึงนึกถึงพ่อ เวลาพ่อนั่งพักเพื่อผ่อนคลาย พ่อมักจะนั่งชันเข่าบนเก้าอี้หวายตัวเล็กๆ พ่อจะใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ๆ และเมื่อเห็นฉันไม่ใส่เสื้อกันหนาวพ่อมักจะถามว่า
หนาวไหมฉันเป็นคนไม่ชอบใส่เสื้อกันหนาว ด้วยเป็นนักกีฬาและออกกำลังกายเสมอๆ แต่ฉันก็บอกพ่อว่า
ค่ะพร้อมกับพยักหน้า พ่อจะเรียกให้ฉันเข้าไปนั่งใกล้ๆแล้วจับมือทั้งสองข้างของฉันไปสอดไว้ใต้ข้อพับ
ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกอุ่นนั้นมันจะอุ่นจากข้างในออกมา สายตาพ่อที่มองฉัน ทั้งอ่อนโยนและรักใคร่
อุ่นจังพ่อมักจะเตือนฉันเสมอเรื่องที่ฉันไม่ชอบใส่เสื้อกันหนาว
คนเราร้อนก็หาพัดมาพัดวี หนาวก็หาเสื้อผ้ามาใส่ต้องช่วยเหลือตัวเอง ดูแลตัวเอง หาไม่ เมื่อไม่มีใครมาดูแลเราแล้ว เราจะอยู่ได้ยังไงฉันได้แต่พยักหน้าและเอาหน้าไปซบกับเข่าพ่อ
ฉันมักมีเรื่องคุยกับพ่อเสมอๆทั้งเรื่องโรงเรียนและเพื่อนๆ พูดถึงเรื่องโรงเรียนพวกเราถือว่ากระดุกกระดิกไม่ได้เลย อาจารย์แต่ละท่านที่สอนวิชาหลักๆดันมาเป็นขาหมากรุกของพ่อเสียนี่ พอพักเที่ยงอาจารย์ก็จะขี่มอเตอร์ไซด์มาโขกหมากรุกกับพ่อทุกวัน ฉะนั้น ทั้งการบ้านการเรียนจึงถูกพ่อสอบถามจากอาจารย์ทั้งสิ้น แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน สมัยก่อนไม่มี ที วี ดู พวกเราก็ใช้วิธีอ่านหนังสือ ดังนั้นห้องสมุดในโรงเรียนจึงมีพวกเราเป็นสมาชิกและแวะเวียนกันไปยืมจนเป็นที่สนิทสนมกับบรรณารักษ์ และมักจะได้อ่านหนังสือเล่มใหม่ก่อนใครๆ
หลังเลิกเรียนพ่อจะให้ลูกๆอาบน้ำ ทานข้าวแล้วก็ทำการบ้าน พ่อจะเรียกดูการบ้านและคอยถามเสมอ ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า
แล้ววันหนึ่งพ่อก็จากไปจริงๆ เราแทบทรุด หัวจิตหัวใจแทบไม่อยากทำอะไรเลย พ่อจ๋า คิดถึงพ่อจังเลย แต่พ่อก็บอกพวกเราเสมอว่า พ่อภูมิใจในตัวลูกๆของพ่อทุกคน
อุ่นจัง พ่อจ๋า
ได้เห็นหน้าได้อยู่ใกล้
แม้ตอนนี้พ่อจากไป
แต่ อุ่นไอยังติดตรึง