19 สิงหาคม 2551 22:38 น.
แจ้นเอง
บนเส้นทางที่แสนจะคดเคี้ยว...หลังจากที่ฉัน นายช่างและพนักงานขับรถพากันแวะกินข้าวที่ ร้านอาหารแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังบ้านหมู่ 9 เพื่อไปตรวจดูการก่อสร้างประปาภูเขา ซึ่งผลปรากฎว่างานยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์เพราะท่อประปายังไม่มีการขุดฝังท่อ และคนงานก็กำลังเร่งทำงานกันอยู่ เห็นบอกว่าพรุ่งนี้จะส่งมอบงานกันแล้ว "งานจะเสร็จทันเหรอ นายช่าง"ตัวนายช่างเองเป็นประธานตรวจงานจ้าง"คงทันครับ"
และโดยไม่มีการขอความคิดเห็น นายช่างก็พาฉันมาอยู่บนเส้นทางที่แสนจะคดเคี้ยวเส้นนี้แล้ว เมื่อฉันถามคำตอบคือ"ผมขออนุญาตแวะไปดูแนวเขตที่เดินสำรวจกันอาทิตย์ก่อนหน่อยครับ " "ก็ดีเหมือนกันฉันจะได้ไปหาซื้อของที่แม่สายด้วยทางเส้นนี้ไปแม่สายได้ใช่มั้ย" "ครับ"
และแม้ว่าฉันจะเคยมาบ้างเป็นบางช่วงเพราะเป็นเขตในความรับผิดชอบแต่การที่เป็นทางคดเคี้ยวและขึ้นลงเนินเขาตลอดเวลา บางขณะก็เป็นทางโค้งที่มีช่วงสั้นๆ ฉันเองก็เห็นคนขับตั้งสมาธิซึ่งไม่แน่ว่าอันตรายจะเกิดขึ้นเมื่อใด และบางขณะก็อยู่ในหุบเหว
หุบเหวน่าแปลก ตอนนี้ฉันก็เหมือนอยู่ในหุบเหวของใจ และไม่รู้ว่าความรู้สึกทุกข์ร้อน เหว่ว้านี้มาแต่ไหน และซ่อนอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อใด และมันรู้สึกตะเกียกตะกายขึ้นไม่ได้เลย
บนเส้นทางคดเคี้ยวนี้เรายังคงเดินทางต่อไป...ทางข้างหน้าเป็นอย่างไรไม่รู้เพราะยังไม่ถึงจุดหมาย เพราะฉะนั้นคำว่าหลงทางยังไม่มี และหุบเหวนี้ก็เป็นทางผ่านซึ่งคงอีกยาวไกล เพียงแต่ว่าถ้ามันทะลุออกไปได้และถึงยังทางออก เรา จ ะ เ ดิ น อ อ ก จ า ก หุ บ เ ห ว ข อ ง ใ จ ไ ด้ ห รื อ ไ ม่ ผ่านสุมทุมพุ่มพฤกษ์มามากมาย อยากเดินเข้าไปในป่าที่มีต้นไม้หนาตา อยากรู้ว่าแต่ละต้นมันมีชื่อหรือความเป็นมาอย่างไร ถึงตอนนี้เรานึกถึง เซเซ่ เค้ามีต้นส้มแสนรักและตั้งชื่อให้ แล้วต้นไม้มากมายเราคงไม่มีปัญญาตั้งชื่อให้มัน
เรานึกถึงอดีต บ้านหลังแรกพ่อปลูกต้นไม้มากมาย และแม้แต่บ้านหลังนี้เราเองก็มีต้นไม้แสนรักเต็มไปหมด บางต้นไว้ปีนป่าย บางต้นไว้กินผล บางต้นไว้ดูและอีกบางต้นเหมือนกันที่มีไว้สำหรับเอนกายพักพิงและถอนหายใจเพื่อระบายความอัดอั้น บางอย่างเหมือนเป็นภาระ อย่าบอกเลยว่า" โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก" เพราะบางอย่างมันต้องแบกและไม่สามารถปลดมันลง บ า ง ข ณ ะ จึ ง เ ห มื อ น มี แ ต่ ร่ า ง ก า ย ที่ ไ ร้ จิ ต วิ ญ ญ า ณ เมื่อไหร่หนอชีวิตจะหยุดและสงบลงเสียที
การเดินทางของชีวิตยังไม่มีจุดหมายแต่การเดินทางบนถนนที่คดเคี้ยวนี้ก็สิ้นสุดลงที่ "ดอยตุง" บรรยากาศที่ร่มรื่นก็ทำให้อารมณ์เคลิ้บเคลิ้มได้บ้างถึงยังไงการเดินทางของวันนี้ก็ยังไร้ความหมายและถนนเส้นนี้ก็ยังคง ว่ า ง เ ป ล่ า กับความรู้สึกของเราอยู่ดี
4 สิงหาคม 2551 16:57 น.
แจ้นเอง
เหมือนตกอยู่ในภวังค์นะ
อากาศเย็นๆ
ยินเสียงนกร้อง
กลุ่นกลิ่นกำจายของควันไฟ
นาน นานเท่าไหร่แล้ว ที่ความรู้สึกนี้มันขาดหายไป
อยากหยุดเวลานี้...
นิ่ง ๆ และ...เนิ่นนาน
ปลดปล่อยความรู้สึก...ให้อ้อยอิ่ง...อยู่กับบรรยากาศที่เงียบเหงา...
ซึมซับความรู้สึก... โหยหา
และ...ลึกๆนั้นเรากลับรู้สึก...อิ่มเอม
อบอุ่น...
ณ ขอบฟ้าอันไกลโพน้นั้น
เหมือนมีอะไร รอเราอยู่
ในความรู้สึก...ปิติ
หยาดน้ำตาอุ่นๆเริ่มพร่างพรุ
เราเหมือนตกอยู่ในภวังค์
อบอุ่น... อิ่มเอม... และโหยหา...
9 กรกฎาคม 2551 21:54 น.
แจ้นเอง
รอคอย...
คอยผมนานมั้ยเสียงร้องทักดังมาจากเบื้องหลัง ฉันหันไปมองและเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ฉันนั่งรอพี่แดนที่ใต้ต้นไม้ใกล้สระน้ำรอบๆบริเวณมีดอกหญ้าเล็กๆขึ้นแซมกันหลากสี ใบไม้ที่ถูกปลิดออกจากขั้วเมื่อเจอกับแรงลมค่อยๆตกสู่พื้นเบาๆเมื่อมีต้นหญ้ารองรับ ฉันนั่งอยู่ในท่านี้นับแต่มาถึง
ผมขอโทษ ไม่ตั้งใจจะทำให้จ๋ารอหรอกนะ ผมคิดถึงจ๋าถึงได้นัดให้ออกมาหาฉันยิ้มแต่คงไม่เต็มที่ เพราะจะว่าไปแล้วครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่แดนนัดฉันแล้วมาสาย
นอกจากคิดถึงแล้วพี่แดนมีธุระอะไรอีกหรือเปล่าคะ
อะไรกัน จ๋า นี่พี่คิดถึงจ๋าจริงๆนะ คนคิดถึงกันเค้าก็อยากเห็นหน้า อยากอยู่ใกล้ๆ พูดไม่พูดเปล่าพี่แดนฉวยโอกาสเข้ามานั่งใกล้ๆแล้วเอามือโอบไหล่ฉันไว้
ปล่อยค่ะพี่แดน ฉันเขยิบหนีและแกะมือเค้าออก
ฮื้อ เมื่อไหร่จะเลิกหวงตัวกับพี่ซะทีนะ เค้าทำท่าหงุดหงิด
ก็ เราคุยกันเฉยๆก็ได้นี่คะ
ก็ได้ๆแล้ววันนี้เห็นบอกพี่ว่าไม่ค่อยสบาย ดีขึ้นรึยัง พูดพร้อมกับเอามือมาแตะที่แก้มฉันเบาๆ
เอ ตัวก็ไม่ร้อนซะหน่อย นี่เป็นสิ่งเดียวที่พี่แดนทำให้ฉันรู้สึกว่าเค้าอาทรฉัน
จ๋าแค่อยากรู้ว่าถ้าจ๋า บอกว่าไม่สบายพี่จะมาหาจ๋าหรือเปล่า
โธ่ ก็พี่ไม่เจอจ๋าตั้งหลายวันถึงจ๋าไม่บอกว่าไม่สบายพี่ก็จะขอพบจ๋าอยู่ดีนั่นแหละ
พี่แดนมีอะไรเหรอคะ
พี่เปลี่ยนงานใหม่แล้วล่ะ และก็จะย้ายไปอยู่ในตัวเมืองเลยเพราะใกล้ที่ทำงาน พี่ก็กลัวว่าอีกหน่อยเราก็จะไม่ได้พบกันบ่อยๆน่ะสิ
เปลี่ยนงานเหรอทำไมจ๋าไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ
ก็งานที่นี่มันหมดสัญญาจ้างแล้วและเจ้านายพี่ก็ฝากงานใหม่ให้พี่ ซึ่งเป็นงานที่พี่ถนัดด้วยเค้าพูดพร้อมกับมองหน้าฉันและพูดต่อเมื่อเห็นว่าฉันกำลังตั้งใจฟัง
จ๋าอย่ากังวลเลย พี่ไปทำงานแค่ในตัวเมืองเองพี่มีเวลาพี่ก็จะแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ พี่รักจ๋า จ๋าก็รู้ไม่ใช่เหรอ ฉันได้แต่ก้มหน้าและน้ำตาก็รื้นขึ้นมา
พี่สัญญาได้มั้ยล่ะว่าจะแวะมาบ่อยๆ พอฉันพูดจบพี่แดนก็รั้งตัวฉันเข้าไปกอด และโดยไม่ทันตั้งตัวพี่แดนก็พรมจูบฉันไปทั่วหน้า
อย่าค่ะพี่แดน ฉันพยายามผลักแต่ก็ไม่สำเร็จและก็คงปล่อยให้พี่แดนกอดอยู่อย่างนั้น และฉันเองก็รู้สึกอยากให้เวลาหยุดเดินซักพัก เพราะใจฉันก็รักพี่แดนไม่น้อยเลย และกว่าจะจากกันวันนั้นตะวันก็ลาลับไปนานโขทีเดียว
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาพี่แดนนัดพบฉันอีกหลายครั้งและเราก็มีเรื่องมากมายเล่าสู่กันฟัง ระยะหลังพี่แดนเริ่มห่างเหินไปแต่ก็ยังโทรคุยกัน.... ถามสารทุกข์สุกดิบ
และถึงวันนี้ร่วมเดือนแล้วพี่แดนไม่โทรหา บางครั้งฉันโทรไปก็ไม่รับสายฉันได้แต่น้อยใจ...พี่แดนคงลืมฉันไปแล้ว... พี่แดนใจดำกับฉันได้ลงคอ นี่นะเหรอที่บอกว่ารัก นี่นะเหรอที่บอกว่าคิดถึง...เป็นห่วงเป็นใยเสียนักหนา
จ๋ารอพี่นะ พี่จะกลับมาหา อย่าลืมที่ตรงนี้ที่ที่มีความหมายสำหรับเรา
ฉันยังเฝ้าแวะเวียนมานั่งตรงนี้ที่ที่เราเคยพบกันและนั่งอยู่ตรงนี้จนดอกไม้และใบหญ้าแถวนี้เริ่มคุ้นเคยกับฉันมันคงยอมรับฉันเป็นเพื่อนแล้วล่ะเพราะฉันเองเมื่อมาอยู่ตรงนี้ ฉันรู้สึกสบายใจเหลือเกินและตอนนี้การรอคอยของฉันก็ไม่ปรารถนาว่าจะเจอพี่แดนอีกหรือไม่ เพราะฉันเองก็อยากออกมาอยู่ที่นี่กับการรอคอย...อย่างนี้ตลอดไปก็เท่านั้นเอง
ชีวิตกับการรอคอย รออย่างมีความสุขกับการไม่สมหวัง...
30 มิถุนายน 2551 21:24 น.
แจ้นเอง
ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมก็ได้ยินใครๆเรียกผมว่า เนผมมีน้องชื่อ น้ำ ครับหลานตาหลานยายมีชื่อเล่นอักษร น กันทุกคน พี่น้องที่มีวัยไล่เลี่ยกันก็มี นิว เหน็ด เนี๊ยบ และ นิ้งหลายครั้งและหลายคราวมีคนถามผมว่าชื่อผม ใช่.เนร... หรือเปล่า นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมนึกถึงหรอกครับ เรื่องที่ผมอยากจะรู้ก็คือว่า คำว่า พ่อ แม่รังแกฉันมันหมายถึงอะไรกันแน่...
ผมอ่านหนังสือบ้างเหมือนกัน ปกติผมอ่านการ์ตูน เพราะรู้สึกว่ามันเบาสมองดี ไม่ต้องคิดมาก หลังจากที่ผมต้องลาออกจากโรงเรียน ผมใช้คำว่า ลาออก เพราะผมเรียนจบม.๓ แล้วแต่ติด ๐ หลายตัว และการแก้ ๐ ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะครูแต่ละคน เขามีอคติกับผมและคิดว่าผมเป็นเด็กเกเร ก็คงไม่แปลกถ้าผมไม่เกเรผมก็คงเรียนจบไปแล้ว แต่...ที่ผมเท้าความหลังให้ฟัง เพราะผมเข้าใจคำว่า พ่อ แม่รังแกฉัน ว่ามันหมายถึงพ่อแม่ที่รักลูก ตามใจลูก ไม่ว่าลูกจะคิดอะไร จะอยากทำอะไร อยากได้อะไรก็เห็นดีเห็นงามไปกับลูกหมด ไม่เคยขัดใจ จนในที่สุดลูกก็เลยเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง และถูกปฏิเสธไม่ได้ จนในที่สุดก็เสียผู้เสียคนไปเลยก็มี อย่างนี้ใช่ไหมครับ แต่ผมไม่ได้ถูกรังแกด้วยวิธีการแบบนั้น...ของผมเหรอครับ ผมต้องบอกว่าผมถูกพ่อผมรังแกมากกว่า
เรื่องมันเกิดตั้งแต่ผมเรียนจบ ชั้นป. ๖ ใหม่ๆผมเรียนอยู่ ร.ร.สาธิตแห่งหนึ่ง และ ร.ร.ที่นี่เค้าจัดการเรียนการสอนแบบใกล้ชิดกันทั้งครูและนักเรียน เพื่อนร่วมชั้นมีกิจกรรมกันบ่อยผมและเพื่อนๆจึงสนิทสนมกันมาก และแม้แต่คุณครูก็ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนพวกเราด้วย พอสอบไล่เสร็จพวกเราก็กะกันว่าจะเข้าเรียน ร.ร. ในจังหวัดด้วยกัน ผมอยากจะเรียนกับเพื่อนผมมาก แต่พ่อผมไม่ยอม พ่อผมเค้าเป็นครูสอนอยู่ ร.ร. ประจำอำเภอ ก็เป็น ร.ร. ใหญ่เอาการอยู่เพราะมีรุ่นพี่ที่จบจากที่นี่สอบเอ็นทรานซ์ได้คณะดีหลายคนและมหาลัยดังๆก็มี พ่อผมบอกกับแม่ว่า ถ้าให้ผมมาเรียนที่นี่ พ่อจะดูแลผมให้ ซึ่งผมก็รู้ว่าแม่คงต้องยอมเพราะแม่ไม่มีรายได้ แม่เป็นแม่บ้านครับยังไงก็ต้องตามใจพ่อ
ผมรู้สึกอึดอัดตั้งแต่แรก เพราะใจไม่อยากเรียนที่นี่นั่นยังไม่สำคัญเท่า พ่อผมเค้าเป็นครูพละครับ จบปริญญาโทจากมหาลัยดังในกรุงเทพฯ และพ่วงด้วยปริญญาตรีนิติศาสตร์จากมหาลัยมีชื่ออีกแห่งหนึ่งด้วยจึงเหมือนจะมีความสำคัญไม่น้อยที่พอลูกชายมาอยู่ ร.ร. ที่มีพ่อสอนอยู่บรรดาครูทั้งหลายจึงไม่อยากจะยุ่งด้วย
ผมไม่มีเพื่อนเลยและที่นี่การปรับตัวของผมทำได้ลำบากเพราะไม่มีใครอยากมาคบกับผม แค่เพียงรู้ว่าผมเป็นลูกใคร และเพราะพ่อผมเป็นนักกีฬาเทนนิสของมหาลัยเก่าก็เลยอยากให้ผมเล่นเทนนิสด้วย พ่อจับผมมาซ้อมเทนนิสตอนเช้าและไม่ให้ผมเข้าแถวเคารพธงชาติโดยพ่อขออนุญาต ผอ.แล้ว ซึ่งนั่นมันทำให้ผมไม่ชอบที่สุดนอกจากเหงื่อจะออกท่วมตัวผมก่อนจะเข้าห้องเรียนแล้วและผมไม่เคยกินข้าวเช้า ผมเป็นโรคคอตื้นกินอะไรตอนเช้าๆแล้วจะอ้วกพอออกกำลังกายมากๆผมจะรู้สึกเพลีย จนไม่อยากเรียนหนังสือและช่วงที่ผมซ้อมตีเทนนิส บรรดานักเรียนและคุณครูทั้งหลายก็มองผมด้วยสายตาและกริยาแปลกๆ และผมก็มองเห็นความแปลกแยกของเพื่อนร่วมห้องอยู่ในทีจนผมทนไม่ได้ในที่สุดและไม่ยอมซ้อม พ่อผมโกรธผมมาก
แล้ววันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นกับเพื่อนในห้องด้วยกันที่หลัง โรงเรียน รุ่นพี่ ม.๖ ก็ตรงเข้ามา ชก ต่อยผมต่อยเอาต่อยเอาผมและเพื่อนตกใจ ผมยกมือกันเพื่อปกป้องตัวเองแล้วตะโกนถามว่า ผมไปทำอะไรให้ พี่ ม.๖ บอกว่า ก็พ่อแกตีฉัน พ่อแกมันเก่งนักอยากตีฉัน ฉันก็มาตีแกเพราะแกเป็นลูก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวหรอกครับมีอีกหลายๆครั้งที่ผมโดนรุมตี รุมตื้บ จนผมทนไม่ได้ และเพื่อนผมก็เลยชวนผมไปหาพี่ ม.๖เพื่อไปเสนอตัวเป็นลูกน้อง ในโรงเรียนแห่งนี้ถ้ามีลูกพี่ที่แน่ๆคอยปกป้องก็จะไม่มีใครกล้ารังแก ลูกพี่ผมชื่อ เจมส์ ครับ ผมต้องติดสอยห้อยตามลูกพี่ผม บางครั้งก็ต้องทำอะไรที่ลูกพี่ผมสั่ง ซึ่งผมก็ไม่ขัดเพราะอย่างน้อยผมก็ไม่โดนใครกล้ารังแกผมอีก
จนกระทั่งผมสอบขึ้นชั้น ม.๒ วันเปิดเทอมวันแรกผมก็ยิ้มร่าเข้าไปในห้องเพราะปีนี้อย่างน้อยๆผมก็โตมาอีกหน่อยแล้ว แต่วันเปิดเทอมวันแรกของผมก็ทำลายความรู้สึกดีดีของผมไปจนหมดสิ้นเมื่อครูประจำชั้นชี้หน้าผมแล้วถามว่า เธอมาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง เธอไม่มีชื่อในทะเบียนห้องนี้ ผมงงครับก็ผมเรียนม.๑ ห้องนี้แล้วพอขึ้นม.๒ จะให้ผมไปเรียนห้องไหน พ่อเธอย้ายเธอไปอยู่ห้องอื่นแล้ว พ่อผม...พ่อผมอีกแล้วผมได้แต่ตะลึงและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แล้วผมอยู่ห้องไหน ผมถามหาห้องของผมจนเจอ แล้วครูประจำชั้นของผมก็ถามว่า เธอย้ายมาอยู่นี่ได้ไง ทำไมไม่อยู่ห้องเดิม ครับคำถามของครูแต่ละคนทำให้ผมอยากจะตะโกนถามว่า แล้วผมอยากจะย้ายอยากจะอยู่หรือไงผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรได้เลยหรือ
แม่ วันนี้ผมต้องถามแม่ผมให้ได้ว่าทำไมพ่อทำกับผมแบบนี้...แต่ก็นั่นแหละ แม่คงจะช่วยอะไรผมไม่ได้เพราะแม่คิดว่าผมอยู่โรงเรียนเดียวกับพ่อ อะไรๆพ่อก็คงจัดการให้เรียบร้อย ผมแอบร้องไห้และน้อยใจ แต่ผมไม่เคยบอกแม่
จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมทำงานหนักและเหนื่อยล้าเหลือเกิน แม่ชวนผมกินข้าวหลังจากผมกลับเข้าบ้านเกือบ ๕ ทุ่มแม่ยังคงไม่นอนและถามผม กินข้าวหรือยัง อย่ากินเหล้ามากนะลูก อายุยังน้อยต้องดูแลสุขภาพบ้าง กินข้าวเป็นเพื่อนแม่มั้ย แม่รู้สึกหิว ผมไม่อยากขัดใจแม่ ผมจึงบอกแม่ว่า ถ้าแม่หิวแม่ก็จัดสำรับมาเถอะผมจะกินเป็นเพื่อน แม่สอนผมหลายอย่างสุดท้ายแม่ก็พูดเรื่องเรียน ยังไงก็เรียน กศน.ต่อนะเรียนให้จบม.๓ ซะแล้วค่อยว่ากันอีกที
เรียนผมถามแม่ว่า เรียนอีกทำไม? ผมทำงานแล้วและถ้าตอนนั้นแม่ยอมให้ผมเรียนโรงเรียนในเมืองกับพวกเพื่อนๆผมก็คงเรียนจบและเรียนต่อไปถึงไหนๆแล้ว และเพราะความอึดอัดที่ประเดประดังเข้ามา ผมวางมือจากช้อนแล้วน้ำตาก็รินลงมาอาบแก้ม ผมอายุ ๑๘ แล้ว แต่ผมก็ยังร้องไห้ มันเจ็บแค้นและทรมานจิตใจผมจริงๆเมื่อผมนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตและสิ่งเหล่านี้ก็พรั่งพรูออกมาจากปากผม และแม้แต่ตอนที่แม่ลืมจ่ายค่าข้าว ค่าขนม และรวมถึงค่ารถให้ผม วันนั้นผมก็จะต้องอดด้วย แม่ได้แต่ตกตะลึงแล้วร้องไห้ไปกับผม แม่ไม่เคยรู้...ทำไมลูกไม่บอกแม่ ทำไมปล่อยให้อะไรๆมันเลยเถิดมากไปแบบนี้ล่ะลูก แม่ได้แต่คร่ำครวญ แต่มันก็ช่วยอะไรผมไม่ได้จริงๆผมยังสะอื้นหนักมากขึ้นเมื่อแม่เข้าปลอบโยน แม่รักลูกนะ ทำไมไม่คิดว่าแม่จะต้องช่วยเหลือและหาวิธีช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์ของลูกได้ ทำไมไม่บอกให้แม่ได้รู้ผมบอกแม่แต่ว่าตลอดเวลาที่ผมอยู่โรงเรียน พ่อไม่เคยสนใจผม ไม่แคยมองหน้าผม แม้บางครั้งแทบจะเดินชนกัน ถึงตอนนี้แม่ก็ไม่ยอมแตะอาหารอีก ผมบอกแม่ว่าช่างเถอะแม่และดีแล้วที่ผมโตมาได้ถึงป่านนี้ เรื่องเรียนผมค่อยคิดอีกที
ผมเองตอนเพียงอยากจะรู้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมมันเหมือนในหนังสือบอกว่า พ่อ แม่รังแกฉันหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ชีวิตจริงที่เด็กคนหนึ่งประสบมาด้วยตัวเอง
24 มิถุนายน 2551 22:27 น.
แจ้นเอง
ด้วยความรู้สึกที่ระทดท้อเพราะงานที่ลงมือทำและลุยมาร่วมเดือนเหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่พอเริ่มจะมองเห็นเค้าโครงชัดขึ้นกลับมองไม่เห็นคนร่วมทางที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขจริงๆซักคน ฉันเดินเรื่อยเปื่อยโดยเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงและเดินเตะอะไรต่อมิอะไร เพื่อระบายความรู้สึกที่ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ สายตาก็มองไปแบบไม่มีจุดหมาย และเท้าฉันก็สะดุดเอากับกล่องอะไรไม่รู้ ฉันหยุดกึกและเริ่มคิด อะไรอยู่ในกล่อง ลำดับแรกฉันนึกถึงระเบิด แต่...ไม่น่าจะใช่ ก็นี่ ไม่ใช่ภาคใต้นี่นา แล้วมันเป็นอะไรล่ะ ลำดับที่สอง อย่าไปสนใจมันเลยจะอะไรก็ช่างที่แน่ๆไม่ใช่ของเราแน่นอน แต่เอ อาจจะเป็นกล่องเปล่าก็ได้เพราะตอนเราเดินสะดุดก็ไม่รู้สึกว่าจะมีน้ำหนักอะไร แต่ก็นั่นแหละไหนๆก็มาเจอแล้วนี่เปิดดูซะหน่อย ถ้าเผื่อรู้ว่าใครเป็นเจ้าของจะได้คืนเค้าไป ฉันตัดสินใจเปิดกล่อง และ...สิ่งที่ฉันพบก็คือสมุดไดอารี่เล่มเล็กๆ
ไดอารี่...ฉันเป็นคนชอบเขียนบันทึก ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ เศร้า เหงา เหว่ว้า ล้วนจดจารมันลงในไดอารี่ทั้งสิ้น และตอนนี้ฉันจึงมีความกระหายใคร่รู้ขึ้นมาทันทีว่าเจ้าของไดอารี่เล่มนี้เป็นใคร และเค้าจะจดอะไรลงในไดอารี่ของเค้า
ฉันยอมเสียมารยาททั้งๆที่ตัวฉันเองก็ไม่ชอบให้ใครมาแอบอ่านบันทึก
หน้าแรกที่ฉันเปิดอ่านมีลายเซ็นขยุกขยิกอ่านไม่ออกว่าชื่ออะไร แต่ก็พอจะเดาออกว่าเป็นลายมือผู้หญิงเพราะหน้าต่อไปที่เริ่มการบันทึกดูเหมือนเจ้าของจะเป็นคนชอบเขียนพอดูเหมือนกันเพราะเธอบันทึกเรื่องที่เธอประสบพบเจอ จิปาถะและ...
ฉันตั้งหน้าตั้งตาอ่าน อ่าน และอ่านหน้าแล้วหน้าเล่าทุกๆตัวอักษร เจ้าของบันทึกเล่มนี้เป็นใครกันสิ่งที่เค้าเขียน ลายมือที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึก เค้าช่างอ่อนไหวเหลือเกิน...ฉันมารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ท้องของฉันมันเริ่มร้องครวญคราง หิวแล้ว หิวแล้ว ฉันกลับเข้าบ้านและรีบหาอะไรรองท้องที่ง่ายที่สุดและเร็วที่สุด ฉันเปิดตู้เย็นหยิบนมมากล่องหนึ่งและดูดทีเดียวหมดกล่อง ฉันหาที่นั่งได้แล้วและรีบอ่านไดอารี่ เหมือนกำลังอ่านนิยายติดพันและวางมันไม่ลง ฉันเริ่มจะอินกับไปกับการเป็นเจ้าของไดอารี่เสียเอง บางครั้งฉันก็หัวเราะกับสิ่งที่เธอพบเห็น และบางครั้งก็ร้องไห้ไปกับมันเมื่ออ่านเจอบทสะเทือนใจ
ท้องฟ้าสดใสจังเลย ฉันสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด และค่อยๆปล่อยมันออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แหงนมองดูท้องฟ้าสีครามที่เมฆสีขาวจับกันเป็นรูปสัตว์ต่างๆนั่นดูสิเห็นไหมเหมือนหมีแม่ลูกเลย และโนน่ฉันว่ามันเหมือนแมวกำลังหมอบรอตะครุบเหยื่อ แต่นั่นแหละเธอคงไม่เห็นหรอกเพราะเอคงลืมฉันไปแล้ว
ทำไมๆๆๆเค้าปล่อยให้ฉันรอคอยเนิ่นนานขนาดนี้ เค้าสัญญาว่าจะโทรมาคุยกันทุกวันหรือถ้าไม่ว่างจริงๆก็จะส่งข้อความมาให้ แล้วนี่เค้าไปไหน เค้าเคยอาทรต่อฉันเสมอ " ทานข้าวหรือยัง" " อย่านอนดึกนะรู้มั้ยเป็นห่วง " " พักผ่อนมากๆนะ" " อย่าโหมงานมากล่ะ" สารพัดข้อความที่เค้าส่งมาให้ ตอนนี้เเธอ อยู่ที่ไหน ฉันรู้สึกหมดความสุขลงไปทุกวัน
ฉันตัดสินใจที่จะทิ้งไดอารี่เล่มนี้เพราะฉันเห็นมันเมื่อไหร่ก็จะอดเศร้าใจและคิดถึงเค้าไม่ได้...ลาก่อนไดอารี่เล่มน้อย