28 มีนาคม 2556 21:49 น.
แก้วประเสริฐ
* แดนพิศวง ๒๔ *
(ตะขาบบิน)
ครืนๆโครมๆ!!!เสียงกระหึ่มดังกึกก้องกังวาน พื้นถ้ำก็สะท้านหวั่นไหว...
หินกรวดจากเพดานถ้ำและปากถ้ำหล่นทะยอยลงมา ฝุ่นละออง
กระจายคลุ้งไปในอากาศ ปากถ้ำถูกขยายออกด้วยความใหญ่ของตะขาบ ซึ่งมันพยายามจะเข้ามาในถ้ำ หนวดมันกวัดแกว่งไปๆมาๆเหมือนดั่งงูยักษ์ที่คอยจะรัดกุมเหยื่อมัน
ชายหนุ่มแลเห็นดังนั้นพลันชะงักเขามองไปยังส่วนหัวของมันซึ่งแปลกประหลาด
เพราะมีรังษีขจายคลุมร่างมันเลือนลาง ด้วยเป็นตะขาบที่ไม่ธรรมดาเหมือนตะขาบ
ทั่วๆไป ที่มันจะใหญ่ตามธรรมชาติ อาจจะถูกหล่อเลี้ยงด้วยพลังงานบางอย่าง
เมื่อเขาเห็นเช่นนั้นก็หันหลังมาร้องเตือนพวกชาวบ้านให้รีบถอยหลังไปยังก้นถ้ำด้วย
เกรงอันตรายจะเกิดแก่เหล่าชาวบ้าน เกรงพลังอำนาจของตะขาบซึ่งไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เสียงของหนุ่มนิรุทธิ์ยังไม่ทันขาดคำจะห้าม เงาวูบสองเงาทะยานเข้าหาหนวดตะขาบ
ยักษ์แยกกระจายออกพร้อมอาวุธสีดำและสีเงินยวงเข้าฟาดฟันไปยังหนวดทั้งสองอย่าง
ไม่เกรงกลัวขนาดความใหญ่ของมัน
ชายหนุ่มมองถึงกับอุทานเห็นร่างของสินธุและกุลา ต่างแยกย้ายช่วยกันฟันไปยังหนวด
ด้วยอาวุธประจำตัวของเขา อาวุธทั้งสองแยกหนวดซึ่งขาดออกจากกันทันที เลือดสีเข้ม
ดำไหลออกนองพื้นที่เปล่งแสงระยิบระยับพราวคล้ายกับปรอท ทันใดนั้นหนวดทั้งสอง
ก็เกิดปฏิกิริยามันเริ่มต้นชีวิตใหม่ทันที
ชายหนุ่มนิรุทธิ์ตะลึงเมื่อมองไป สิ่งที่เขาเห็นคือหนวดทั้งสองเริ่มขยายตัวยืดออกกลับ
งอกกลายเป็นตะขาบตัวเล็กใหญ่สองตัวทันที ส่วนท่อนหัวของตะขาบยังก็เกิดปฏิกิริยา
เพราะหนวดมันเกิดหนวดงอกขึ้นมาใหม่ ชายหนุ่มรีบตะโกนแจ้งให้ทั้งสองรีบถอยกลับ
ขึ้นมาใหม่และยาวกว่าเดิมทันที
ก่อนที่สิ่งร้ายจะเกิดขึ้นแก่คนทั้งสอง เพราะเขาแน่ใจแล้วว่าตะขาบตัวนี้เกิดจะการหล่อ
หลอมของธาตุต่างๆรวมกับพลังงานที่เขาเองก็ไม่ทราบ เพื่อความปลอดภัยเสียงตะโกน
ของเขากลบเสียงทลายของพื้นเพดานถ้ำ
"สินธุ กุลา รีบถอยหนีด่วน มันหาใช่ตะขาบธรรมดาไม่????”
"นาย...เรากำลังได้เปรียบมันนะนาย”
"ไม่หรอกเจ้าทั้งสองมองไปซิมันเกิดเป็นตัวใหม่สองตัวที่หนวดมันเกิดสร้างตัวเอง
ใหม่ขึ้น อีกหัวของมันก็เกิดหนวดงอกมาแทนใหม่แล้ว”
"อ้าๆๆ”
เสียงอุทานของคนทั้งสองเมื่อหันไปมองดูผลงานของเขาก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
"เร็วๆๆสินธุกุลา ช้าไม่ได้แล้ว อย่าไปฟันเดี๋ยวมันจะเกิดขึ้นหลายๆตัว”
ร่างของทั้งสองรีบหันหลังกลับพุ่งร่างมายืนเคียงข้าง พร้อมหันไปมองแล้วก็ถาม
ด้วยความฉงนสนเท่ห์นัก
"นายๆหากเป็นเช่นนี้แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีล่ะ????”
"รีบเข้าไปคอยระวังพวกเราเถอะ ทางนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
พลางหันไปทางสดายุแล้วเรียกขึ้นทันที "สดายุมาหาเรา
บอกพวกคนทั้งหลายให้ไปรวมกลุ่มกันไว้ เจ้าด้วยสินธุกุลา”
ทั้งสองไม่รอช้าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นหาใช่ธรรมดาแล้ว เขาทั้งสองก็ไม่มีปัญญา
ในการปราบสัตว์ร้ายนี้ ถึงแม้จะตัดมันออกจากกันแต่มันก็กลายเป็นร่างใหม่ขึ้นมา
ทดแทนกลับเพิ่มภาระมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงทะยานร่างจากไปยังกลุ่มพร้อมกับหัน
ไปบอกกับหญิงสาวทั้งสองด้วยให้คอยระวังชาวบ้านด้วย
เสียง ควับๆดังขึ้นเงาร่างของสดายุผ่านร่างทั้งสองวูบก็ไปยืนเคียงข้างชายหนุ่ม
ผู้เป็นนายมัน เห็นชายหนุ่มหันมาทางพวกเหล่าชาวบ้าน มือทั้งสองของชายผู้เป็น
นายประกบเข้าด้วยกัน พลันแยกออกในฝ่ามือมีพลังงานสีเงินยวงลูกกลมๆสองลูก
พลัน ฝ่ามือทั้งสองของนายมันก็รวมพลังงานนั้นเข้ากันอีกครั้งหนึ่งแล้วตวัดไขว้มือ
ไปๆมา ปรากฏม่านพลังงานเข้ากั้นขวางแยกสัตว์ร้ายกับเหล่าชาวบ้านออกจากกัน
ทันที ร่างของสดายุหันหน้าไปทางสัตว์ร้ายคอยระวังภัยให้ชายหนุ่มผู้เป็นนายมัน
ครั้นเมื่อเรียบร้อยในการป้องกันชาวบ้านแล้วชายหนุ่มก็หันกลับไปมองสัตว์ร้าย
พลางสนทนากับเจ้าสดายุ ซึ่ง สินธุ กุลา ภาคี คียะไม่อาจทราบได้ว่าทั้งสองสนทนา
อะไรกัน ด้วยความประหลาดใจ ภาคีกับคียะทะยานร่างไปยังม่านสีเงินยวงเพื่อจะ
ออกไปสบทบทดลองม่านนั้นด้วย แล้วก็ร้องอย่างตกใจด้วยเกิดพลังงานกีดกั้นไม่
สามารถจะออกไปพ้นจากม่านได้
"นายสินธุกุลานายได้สร้างม่านป้องกันพวกเราไว้แล้ว ข้าไม่สามารถออกไป
ได้เลย”
"เจ้าทั้งสองก็กลับมาคอยป้องกันช่วยเหลือชาวบ้าน เพราะนายป้องกันพวกเรา
ไว้แล้วดีกว่า อย่าช้านัก ลำพังพวกเราไม่สามารถจะช่วยนายได้หรอก”
"แปลกจริงๆนาย” แต่ร่างหญิงสาวทั้งสองก็ทะยอยเข้ามายืนข้างสินธุและกุลา
พร้อมชักอาวุธประจำตัวออกมาคอยคุมเชิงป้องกันชาวบ้านทันที สายตากับจ้องไป
ยังร่างของหนุ่มนิรุทธิ์อย่าไม่ยอมให้คลาดสายตา
"ภาคี แล้วเราจะช่วยนายได้อย่างไรกันเพราะฝีมือยังเป็นรองอีกมากมายนัก”
"นั่นซิ คียะ ข้าเองก็จนปัญญาเหมือนกัน แต่เราคอยเฝ้าชาวบ้านดีกว่า”
"นายสินธุแล้วจะปล่อยให้นายใหญ่และสดายุต่อสู้ตามลำพังหรือ???”
"เห็นจะต้องเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะ ภาคี คียะ เพราะลำพังตัวเองไม่รู้ว่าจะเอา
ตัวรอดได้อย่างไรเหมือนกัน” เสียงสินธุอุทานด้วยเสียงกระเส่าๆ
"ถ้าอย่างนั้นเรามาคอยป้องกันชาวบ้านตามนายสั่งดีกว่านะนายสินธุ เพราะอย่าง
น้อยก็อาจจะช่วยชาวบ้านได้บ้าง” เสียงกุลาเอ่ยขึ้นบ้าง
"นั่นซิกุลา พวกเราเห็นจะทำได้ก็เพียงแค่นี้แหละ”
แล้วทั้งสี่ก็เตรียมอาวุธไว้พร้อมสรรพ โดยทั้งสี่หันไปมองร่างนายนิรุทธิ์และสดายุ
อย่างใจจดจ่อ แล้วก็เห็นร่างทั้งสองกระจายกันออก ทั้งสองต่างพุ่งร่างเข้าหาสัตว์ร้าย
โดยแยกกันออก สดายุหันไปจัดการกับหนวดซึ่งกลายเป็นตะขาบตัวน้อยแต่ใหญ่
มากสองตัว นายใหญ่มันทะยานไปยังส่วนหัวซึ่งมีหนวดงอกขึ้นใหม่พร้อมอาวุธใน
มือ ด้านสดายุทั้งหมดเห็นปลดจักรแก้วออกจากไหล่พร้อมอาวุธอีกอย่างซึ่งเป็น
กระบองคทาวุธออกมามาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเองจักรแก้วก็หมุนติ้วส่งประกายระยิบระยับเจ็ดสี พร้อมกับสดายุก็ตวัดส่ง
จักรแก้วออกไป จักรแก้วพอหลุดพ้นจากมือก็ขยายวงกว้างออกใหญ่พร้อมรัศมีเจ็ดสีพุ่ง
เข้าหาตะขาบน้อยร่างยักษ์ทันที จักรแก้วก็หมุนสลับไปทั่วร่างสัตว์ร้าย
เสียงฉับๆๆดังขึ้น ร่างของตะขาบยักษ์น้อยก็ขาดออกจากกันพลังงานรังษีไม่อาจจะ
ต้านทานอาวุธจักรแก้วได้ปรากฏควันฟุ้งไหม้ไปยังร่างน้อยทั้งสอง เสียงร้องอย่าง
โหยหวนดังขึ้นระงมไปทั่วถ้ำ ร่างมันก็ถูกแยกเป็นชิ้นเล็กๆน้อยๆ กระจายออกมาดำเป็น
ตอตะโก
ร่างสดายุไม่รอช้าทะยานเข้าเข้ากระหน่ำด้วยกระบองคฑาอำนาจของกระบองยามฟาด
ไปยังร่างของสัตว์ร้ายที่กลายเป็นชิ้นๆนั้นก็มีน้ำกรดอย่างแรงเข้ารดไปยังร่างทั้งสอง
เกิดการไหม้ที่แสงออกสีน้ำเงินยวง การกระหน่ำตีของสดายุพร้อมร่างที่หมุนเวียนไป
รอบตัวเข้าหาชิ้นส่วนทั้งหลาย แต่แล้วร่างของสดายุก็สะดุ้งอย่างเห็นได้ชัดเมื่อหนวด
ใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นได้เข้าพันร่างของจอมปักษา แต่ไม่อาจจะทำอันตรายใดๆได้นอกจากดุจ
ดังงูตัวใหญ่เข้าพันแน่นขนัด รอบตัวเท่านั้น
ทันใดนั้นศีรษะของสดายุก็แปรสภาพกลายเป็นหัวนกมหึมาปากจงอยเข้ากัดสิ่งที่
พันธนาการเขาไว้ขาดออกจากกันกลายเป็นชิ้นเล็กๆทันที กระบองคฑาก็ฟาดไปยัง
บรรดาชิ้นส่วนเหล่านี้พร้อมกับแสงเจ็ดสีของจักรแก้วเข้าช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง
เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่บรรดาชิ้นส่วนเหล่านี้ก็กลายเป็นจุลไหม้ไปหมด เมื่อเสร็จภาระ
ก็หันไปทางนายมัน เพื่อจะทะยานเข้าไปช่วย แต่ก็ได้รับการโบกมือห้ามไว้
"เสร็จแล้วสดายุให้คอยระวังพวกชาวบ้านด้วย”
"จ๊ะนาย” แล้วร่างสดายุก็หันกลับไปยืนคอยป้องกันชาวบ้านด้วยอาวุธทั้งสอง
มองไปยังร่างนายมันที่ทะยานเข้าหาส่วนที่เป็นหัวพร้อมพลังงานที่ประกอบด้วย
อะตอมนิวเครียสซึ่งหล่อหลอมจากพลังงานจักรวาลด้วยกริชมีด ร่างของชายหนุ่ม
ลอยตัวขึ้นทะยานไปยังดวงตากลมโตของสัตว์ร้ายพลางยื่นกริชดาบออกไป เกิด
พลังงานหมุนเวียนเป็นสายดุจสายฟ้าพุ่งเข้าไปยังดวงตาทั้งสองของตะขาบยักษ์
เสียงฉี่ๆซ่าาสส์....ดังขึ้นพร้อมกับควันที่พวยพุ่งออกจากปากมัน ยามควันนั้น
ไปกระทบฝาผนังถ้ำก็เกิดการเผาไหม้อย่างรุนเรง แต่ชายหนุ่มหาได้หวาดหวั่น
เกรงกลัวมันไม่ กริชได้ขยายใหญ่ขึ้นรวมเป็นแสงน้ำเงินยวงเข้มพลังพุ่งไปยัง
ดวงตาสัตว์ร้ายกลายเป็นสีส้มทันที การดิ้นอย่างรุนแรงทำให้ปากถ้ำเปิดกว้างออก
ไปอีก บัดนี้สัตว์ร้ายพิการดวงตาไปแล้วทั้งสองดวงปิดลง แต่ยังสะบัดหัวที่โผล่
ไม่มากนักก็หุบท่อนหัวมันออกไป ชายหนุ่มทะยานร่างลอยตามไปยังปากถ้ำ
พร้อมกับเขาล้วงไปยังไหล่มือกุมดวงแก้วสีนวลส่งประกายทอแสงเจิดจ้ามือ
ที่กุมลูกแก้วจันทราทะยานตามสัตว์ร้ายออกไป พร้อมชายหนุ่มก็โยนลูกแก้วไป
ในอากาศเกิดแสงนวลจ้ากว่าแสงของดวงจันทร์หลายเท่านัก ทอแสงบนท้องฟ้า
บรรยากาศเมื่อดวงแก้วทอแสงบนท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที ความเยือกเย็น
พวยพุ่งไปทั่วบริเวณซึ่งก็มีอากาศเยือกเย็นอยู่แล้วกับเยือกเย็นลงไปอีกมากนัก
ชายหนุ่มหาสนใจไม่ร่างทะยานติดตามออกมาเห็น สัตว์ร้ายส่ายร่างท่อนหัว
ไปๆมาพร้อมปีกมันก็ขยายออกแผ่กว้างออกไป ตีนมันนับไม่ถ้วนก็สับร่างพุ่ง
เข้าหาชายหนุ่ม เสียงร้องอย่างโหยหวนกระจายไปทั่วบริเวณขุนเขา บรรดาต้นไม้
ขนาดเท่าต้นไม้ยักษ์ก็หักระเนระนาดลง เสียงดังโครมๆสะท้านหวั่นไหวไปทั่ว
นิรุทธิ์ตวัดกริชในมือเข้าหาตีนอันมากมายพร้อมเขาก็ฟันลงไปยังบรรดาตีนอัน
มีมากมาย เสียงฉับๆดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรดาตีนก็ถูกตัดขาด แต่แปลกที่บรรดา
ตีนเหล่านี้เมื่อโดนกริชที่อาบไปด้วยพลังงานจักรวาลนั้นไม่สามารถจะงอกออกมา
ได้อีกกับเป็นจุลไหม้ กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เสียงร้องของตะขาบยักษ์ดังไปทั่วบริเวณคล้ายๆจะเรียกพวกพ้องให้ออกมาช่วย
มันแต่ร่างมันกลับดิ้นพลาดๆพลิกตวัดไปๆมาๆพร้อม ร่างมันก็ลอยขึ้นดุจดังจะหลบ
หนีไป ชายหนุ่มมิรอช้าลอยตัวทะยานเข้าฟันกริชไปยังปีกทั้งสองขาดออกจากกัน
ร่างตะขาบยักษ์ พลันล่วงหล่นฟาดกับพื้นที่เป็นหินเสียงดังสนั่น ทำให้บรรดาฝุ่น
ละอองคลุ้งกระจายไปทั่วพร้อมกับกลิ่นคาวอันร้ายแรงฉุนเหม็นเขียวพร้อมด้วยควัน
ชายหนุ่มรีบสร้างพลังงานครอบคลุมร่างทันที หันไปทางสดายุเพื่อจะร้องเตือนแต่
เขาเห็นร่างสดายุปกคลุมด้วยรังษีชนิดหนึ่งแล้วจะทะยานร่างออกมาเพื่อช่วยเหลือ แต่
ชายหนุ่มโบกมือห้ามไว้ ร่างสดายุจึงยืนคอยคุมเชิงดูอยู่คอยระมัดระวัง ชายหนุ่มก็
พุ่งร่างเข้าหาร่างสัตว์ร้ายที่ดิ้นพลิกกลับไปๆมา กริชในมือก็ฟาดฟันไปยังร่างมันตัดออก
เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมเกิดแสงสีเงินยวงตามมาเกิดเพลิงลุกไหม้ทำให้ร่างมันซึ่งขาด
ออกจากกันกระจายไปนั้นถูกเพลิงกรดจากกริชเข้าเผาผลาญไหม้เป็นจุลกลายเป็นฝุ่น
กระจายไปตามสายลมหมดสิ้น
แต่แล้วเสียงฟู๊วสส์กึกก้องดังออกมาจากเบื้องหลังขุนเขาที่มองเห็นเบื้องหน้าพร้อมกับ
เสียงคำรามผสานผสมกัน สดายุหันไปมองแล้วหมุนร่างกลับมาเอ่ยขึ้นว่า
"นายข้า คิดว่าพวกพ้องมันได้ยินเสียงเจ้าตัวนี้ที่ได้ตายไปแล้วเรียกร้องหา มันมาแล้ว
แต่ตัวนี้ขอให้ข้าจัดการเถอะนะนาย”
"ฟังเสียงมันซิสดายุ มันอาจจะมีมากกว่าหนึ่งตัวนะ ด้วยเสียงมันมาหลายทิศทางกัน”
"นั่นซินาย คราวนี้เห็นที่ต้องเรียกพวกข้ามาช่วยแล้วนะนาย”
"อืมมๆๆ...แล้วพวกเจ้าจะมาทันหรืออีกอย่างเสียงมันใกล้เข้ามามากแล้วสดายุ”
"ไม่เป็นไรหรอกนาย พวกข้าอยู่กับข้ามานานแล้วล่ะ”
ชายหนุ่ม งง ต่อคำพูดของสดายุเพราะเขาไม่เห็นวี่แววพวกพ้องสดายุเลย จึงเอ่ยขึ้น
"ข้าเองไม่เห็นหนทางอย่างที่เจ้าพูดเลยนะสดายุ”
สดายุหัวร่อพร้อมกับหยิบขนนกออกมาจากการลูบตัวไปๆมาๆของเจ้าสดายุมีจำนวน
ขนมากมาย ดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้าใจว่าทำไมสดายุจึงว่าพวกพ้องมันอยู่กับตัวสดายุ
เพราะขนดังกล่าวคือขนของเจ้าสดายุนั่นเอง หรือว่าเจ้าสดายุจะสร้างพวกมันจากขน
เหล่านี้ ใช่แล้วเขานึกก็จะกลับกลายเป็นสดายุอีกหลายสิบตัวได้อย่างรวดเร็ว พลางนึก
ในใจว่าอย่างนี้นี้เองเจ้าสดายุจึงเป็นจอมปักษาไป เนื่องจากสามารถร้องเรียกบรรดานก
ทั้งหลายได้แล้ว ขนของมันก็เป็นนกที่มีอิทธิ์ฤทธิ์
ได้นั่นเอง เมือทราบความนัยแล้วก็หัวร่อ
พลางเอ่ยขึ้นว่า
"เจ้าสดายุ แกนี่สำคัญๆมากนะ”
"หาไม่หรอกนาย เพราะตั้งแต่ข้าเกิดมาก็ได้รับทราบจากบิดาข้าแล้วล่ะ”
สดายุหัวร่อลั่น ยังไม่ทันหัวร่อจบเสียงดังกระหึ่มก็พ้นแนวหลังภูเขา กลับมีร่างของ
ตะขาบบินยักษ์หลายสิบตัวกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา การบินของพวกมันปิดบังแสง
ของดวงจันทร์ไปหมดสิ้น แต่หาได้สามารถกั้นแสงจากดวงแก้วจันทราได้ไม่
พลางก็ได้ยินสดายุเอ่ยขึ้นว่า
"นายไม่ต้องกังวลหรอก ข้ามีฤทธิ์เท่าไร บริวารข้าก็มีฤทธิ์เท่านั้น ทั้งหมดจะพร้อม
ด้วยอาวุธต่างๆกัน”
"แต่ข้าเองคิดว่าอย่าปล่อยให้มันลงมาบนพื้นได้จะดีกว่านะสดายุ เจ้าเห็นเป็น
ประการใดเล่า???.....”
"การต่อสู้บนอากาศนั้นบรรดาบริวารข้าชำนาญนัก ด้วยเหมือนตัวข้าเองนายมากกว่า
บนพื้นดินเสียอีกนาย”
"งั้นก็ดีแล้ว มาเถิดเราไปต่อสู้กับมันเถอะนะอย่าช้า”
"ได้นาย เชิญนายนำหน้าก็แล้วกัน”
ร่างเจ้าสดายุก็พลันกลับกลายร่างเป็นจอมปักษาทันที
ร่างมันก็ขยายสูงใหญ่ปีกขนที่แวววาวหลากสีสุดงดงามยิ่งนักทอแวววับเปล่งปลั่งด้วย
รัศมีแสงสีต่างๆ พร้อมทั้งความมันแวววาวของขนเจ้าสดายุเปล่งรัศมีพราว พลันสดายุยก
มือขึ้นภาวนาแล้วก็โยนบรรดาขนมันออกไป ปรากฏควันคลุ้งกระจายตามบรรดาขน
ทั้งหลาย ในควันนั้นที่ค่อยจางลงก็มีร่างสดายุขึ้นอีกจำนวนมากต่างย่อเข่าคุกคำนับเจ้า
จอมปักษาทันที เจ้าสดายุบอกให้บริวารมันยืนขึ้นพลางชี้มือไปยังบรรดาจุดเงาที่กำลัง
พุ่งมาทางนี้ แล้วสั่งการทันที บรรดาบริวารสดายุก็ชักอาวุธพร้อมทะยานบินเข้าหา
บรรดาจุดเล็กๆที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆพร้อมส่งเสียงร้องก้องอันไพเราะด้วยสำเนียงทุ่มแหลม
เล็ก กระจายแปรรูปออกดาหน้าเข้าหาบรรดาตะขาบยักษ์ต่างๆที่กำลังพุ่งเข้ามา
เพียงไม่นานนักก็เกิดเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นอย่างชุลมุนท่ามกลางแสงสีนวลของดวงแก้ว
จันทรา ที่ขยายตัวเองใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดหมอกเมฆกลุ่มน้ำแข็งจับไปตามต้นไม้และใบ
ในไม่ช้า อากาศก็เกิดอุณหภูมิต่ำเยือกเย็นกว่าเดิมมากมายหลายเท่านัก
การขยายร่างของสดายุสูงใหญ่ ชายหนุ่มสูงแค่แข้งของมันเท่านั้นทำให้ยากแก่การเจรจา
เขาต้องแหงนหน้าพูดคุยกับเจ้าสดายุโดยปริยาย
"เราออกไปช่วยพวกเจ้าได้ยังล่ะสดายุ”
"นายแต่ข้าว่าคอยรอดูเหตุการณ์สักครู่ก่อนนะนาย”
"อย่างนั้นก็ตามใจเจ้าก็แล้วกันหากเห็นสมควรอย่างไรก็บอกแก่เราด้วย”
"เออๆๆงานนี้เรามอบหน้าที่ให้เจ้าเป็นผู้บัญชางานเองเถอะนะสดายุ”
"ขอรับนาย หากเหตุการ์ไม่ดีเราทั้งสองก็ค่อยไปช่วยพวกเรา
ข้าคิดว่าก็ยังทันอยูหรอกคงจะไม่ช้าเกินไป ลำพังบรรดาบริวารข้าก็เป็นทนสิทธิ์อยู่แล้ว”
"หมายความว่าอย่างไรเล่าสดายุ”..............
* แก้วประเสริฐ. *