แดนพิศวง ๑๔ (เหนือความคาดหมาย) เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นจากนอกร้าน ชายหนุ่มเพ่งตามองแลเห็นคนกลุ่ม จำนวนมากกำลังวิ่งมาทางนี้ ด้วยเสียงดังลั่นสนั่นไปทั่วจากร้านขายของที่เขา อยู่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงหันไปสั่งนกยักษ์ทันที “เจ้าสดายุ รีบคืนร่างกลับไปยังที่เดิมด่วนนะ” เหมือนนกนั้นจะฟังคำพูดของชายหนุ่มออกรีบคืนร่างเหมือนเดิมบินกลับ ไปยังคอนไม้ที่ยังแขวนอยู่ทันที สร้างความแปลกใจแก่ชายชรายิ่งนักที่นก นั้นสามารถฟังคำพูดของชายหนุ่มแปลกหน้าได้ แล้วก็ต้องรีบสะดุ้งเมื่อได้ ยินเสียงของชายหนุ่มกล่าวขึ้นว่า “สินธุท่านรีบถอยห่างจากข้าพเจ้าแล้วนำแท่งแก้วนั้นเก็บยังที่เดิมด่วนด้วย” “อ้าวๆทำไมล่ะ???...ท่านถึงให้เก็บของดังเดิม” “ไม่ต้องถามหรอก คนขายของต่างๆกำลังจะมายังร้านท่าน” “หรือ???..เรากลับไม่รู้อะไรเลย” “เอาล่ะท่านไม่ต้องถามอะไรมากหรอก รีบถอยเดี๋ยวนี้จะไม่ทันการณ์” ชายชรางุนงงแต่ก็รีบจัดการเก็บแท่งแก้วที่บัดนี้ใส่ในฝักเรียบร้อยแล้ว เข้ากล่องดังเดิม แล้วถอยร่างออกจากชายหนุ่ม หันไปมองชายหนุ่ม ว่าจะทำอะไร เพียงแต่เห็นชายหนุ่มยืนหลับตานิ่งคล้ายจะสำรวมจิตไว้ หนุ่มนิรุทธ์รีบรวบรวมพลังทั้งหมดแล้วพลางร่างเขาก็เปล่งประกายแห่ง มวลพลังแล้วชี้มือไปยังของที่พลังทะลายลงมา เขาจัดการรีบทำโดยด่วน ในไม่ช้าบรรดาสิ่งของต่างๆตลอดหลังคาก็คืนกลับสู่สภาพเดิม ทำให้ ชายชราถึงกลับตาเหลือกอ้าปากค้าง เมื่อแลเห็นสิ่งของต่างๆที่กองลงมา กลับลอยขึ้นไปยังที่เดิม จนสภาพเรียบร้อยบัดนั้นเมื่อมองไปยังหน้าร้าน ของเขาก็แลเห็นบรรดาพ่อค้าต่างๆพากันร้องเอะอะ และมีบางคนเข้ามา ในร้านพลางถามว่า “ลุงเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้นหรือเหมือนยังกับฟ้าผ่ากลางวันแน๊ะ เอ๊ะๆๆๆ ไม่เห็นมีอะไรนี่นา จะว่าเราหูไม่ดีก็ไม่ได้เพราะได้ยินกันสนั่นไปหมด” “ก็ดูเอาซิไม่เห็นมีอะไรนี่นา ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” ชายชราแสร้งกล่าวทั้งๆที่ในทรวงอกยังสั่นระทึกต่อเหตุการณ์ที่เขาเห็น กับตาว่าอะไรเป็นอะไร “อย่างนั้นก็แล้วไปเป็นห่วงว่าลุงจะเป็นอะไรไปเสียเปล่าๆ หากไม่เป็น อะไรก็จะกลับแล้วนะ” พลางหันเดินออกจากร้านแล้วไปพูดคุยกับพวกที่มองอย่างแปลกใจด้วย สภาพภายในร้านก็ปกติอยู่ จะว่าหูเพี้ยนหรือก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะได้ ยินกันหลายๆคน เมื่อไม่มีอะไรบรรดาพวกพ่อค้าแม่ค้าก็ต่างเดินกลับพลาง วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนาๆ เมื่อบรรดาพวกพ่อค้าแม่ค้ากลับไปแล้ว ชายชรา ก็รีบหันมาทางชายหนุ่มทันที พลางกล่าวถามด้วยความสงสัยว่า” “พ่อหนุ่มทำได้อย่างไรกันนะ เพราะของใช้ก็เห็นว่าทุกอย่างพังทะลายลง มาเกือบหมด หลังคาก็ยุบลงมาด้วย แต่นี่กลับคืนสภาพเรียบร้อยดังเดิม” ชายหนุ่มหัวร่อพลางเอ่ยขึ้น “ลุงอย่ารู้เลยว่าฉันทำอะไรไป เพียงเท่านี้ยังเล็กน้อยเพื่อป้องกันมิให้เกิด เรื่องไถ่ถามมากไปกว่านี้ แล้วลุงเรียนวิชามานะฉันได้ยินมีแต่ในตำราเท่า นั้น ลุงจะถ่ายทอดให้ฉันได้ไหมล่ะ???...” “ได้ซิทำไมจะไม่ได้ เพราะว่าพ่อหนุ่มมีคุณแก่ลุงมากอยู่แล้ว” “แล้วร่างกายอันแท้จริงลุงเป็นอย่างไรล่ะ” “อย่าพึ่งถามอะไรตอนนี้เลย เป็นอันว่าตกลงนะลุงจะติดสอยห้อยตามพ่อ หนุ่มไปทุกๆแห่ง รับปากให้มั่นใจอีกครั้งซิพ่อหนุ่ม” คราวนี้ชายหนุ่มอึ้งทันทีเพราะเขาเองยังไม่รู้ว่าจะติดตามดวงแก้วได้ที่ไหน และหากมีชายชราติดตามไปด้วยก็จะสร้างความลำบากใจแก่เขาเป็นอย่างมาก เหมือนชายชราจะรู้พลางหัวร่อเอ่ยขึ้น “เรื่องความชรานี้ไม่ต้องห่วงหรอกอันที่จริงข้ามิได้แก่ดังที่เห็นอยู่นี้หรอก เดี๋ยวข้าจะเข้าไปเอาของอีกอย่างหนึ่งมาเพราะเก็บรักษาไว้นานแล้วเพื่อติดตัว ไว้ป้องกันตัว พ่อหนุ่มคอยเดี๋ยวนะ” ชายชราไม่พูดอะไรอีกหรือคอยฟังคำของชายหนุ่มพลางเดินหายเข้าไปใน ห้องส่วนตัว สักพักหนึ่งก็ออกมา คราวนี้ชายหนุ่มตลึงเพราะร่างที่เขาเห็นหา ใช่ร่างชายชราก็หาไม่กลับเป็นร่างหนุ่มร่างกำยำล่ำสันอายุหรือก็สู่วัยกลางคน เท่านั้นถือ รูปร่างหรือก็ไม่ได้หลังค่อมกลับผึ่งผายราวนักรบโบราณ มือถือ ฝัก ดาบเดินออกมา เมื่อเห็นชายหน่มตลึงเช่นนั้นก็หัวร่อเอ่ยขึ้นว่า “พ่อหนุ่มนี่แหละคือร่างอันแท้จริงของข้าล่ะ เพราะวิชาที่บอกไว้แก่พ่อหนุ่ม นี่แหละ แต่ข้ามาคิดดูแล้วจะขอเป็นคนรับใช้ประจำตัวพ่อหนุ่มก็แล้วกันหวัง ว่าพ่อหนุ่มคงไม่ว่าอะไรนะ” “ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ไม่อยากขัดใจหรอกแต่จะดีหรือ???...ที่จะมาเป็นข้ารับ ใช้ของข้านะ แล้วฝักนั้นคือดาบประจำตัวเจ้าใช่ไหมล่ะ???” “ใช่แล้วล่ะ ข้าไม่ได้ใช้มานมนานแล้วล่ะเพื่อคอยคนๆหนึ่งอยู่ก็คือพ่อหนุ่ม นั่นเองแหละ ข้าแน่ใจเช่นนั้นเพราะทวดสั่งสืบทอดมาว่าหากผู้ใดสามารถเปิด กล่องดังกล่าวไว้ได้ให้เป็นข้ารับใช้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เมื่อพ่อหนุ่มเปิดได้จึง เหมือนดังคำสั่งที่ข้ารับมา เอาพ่อหนุ่มดูสิ่งของนี้ซิ” พลางยืนฝักดาบให้แก่ชายหนุ่ม ชายหนุ่มรับมาแล้วชักดาบออกแปลก จริงๆตัวดาบกลับเป็นสีดำสนิททั้งด้ามทั้งแหลมและคม แต่น้ำหนักกลับเบา มากๆเสียด้วย เขาเพ่งมองดูนึกว่าเป็นแก้วดังมีดในกล่องแต่ไม่ใช่จะว่าเป็นไม้ ก็ไม่เชิง ไม่ทราบว่าทำมาจากอะไรกัน จึงถามชายกลางคนทันที” “แปลกนะพึ่งเคยเห็นนี่แหละดำสนิทดังกับนิลแต่หาใช่แก้วไม่จะว่าไม้ก็ไม่ เชิงอะไรหรือ????” “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะได้รับการตกทอดจนมาถึงข้า ซ้ำกำชับว่าอย่า ได้มีครอบครัวคอยคนๆหนึ่งที่เคยเอ่ยไว้แล้วแหละ หากพบจึงจะมีครอบครัว ได้ หากไม่พบก็ให้หาคนถ่ายทอดวิชาประจำตระกูลมารับช่วงไว้ แต่บัดนี้ข้า เจอแล้ว และไม่ได้ถามว่าทำจากอะไรเสียด้วยซินายท่าน” “อืมม!!!!แปลกจริงๆ เอาล่ะท่านแน่ใจหรือว่าคนที่ต้องการหาคือข้านะ” “ข้ามั่นใจเช่นนั้น หากคนใดสามารถเปิดกล่องได้ทั้งสามกล่องและนำของ นั้นออกมาได้ ถือว่าเป็นนายข้าอย่างแน่นอน เมื่อนายท่านสามารถเปิดได้ดัง นั้นจึงเป็นนายข้าไม่ผิดจากได้รับการบอกตกทอดมาแน่นอน” “เอาล่ะเมื่อท่านมั่นใจเช่นนั้นข้าเองก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด บอกตรงๆว่า ตอนที่อยู่ในรูปร่างชายชราข้าหนักใจมากจริงๆเพราะต้องไปหาของสิ่งหนึ่ง จะ ขอถามท่านเพราะท่านคนพื้นเพที่นี่อาจจะรู้บ้างก็ได้” “อันที่จริงข้าไม่ใช่คนถิ่นนี้หรอกนาย ข้ามาจากป่าเชิงเขาหิมาลัยที่มีสัตว์ ประหลาดๆหลายๆอย่าง แต่เพื่อจะคอยคนที่ข้าต้องการจึงต้องออกจากป่ามา ขายของตบตาเท่านั้นหรอก” “อ้าวไม่ใช่คนที่นี่หรือ ท่านเคยเห็นแก้วสีเขียวแต่ข้างในเป็นสีทองไหมล่ะ” “ข้าเห็นของมาก็มากมายแล้วล่ะนาย แต่ว่านายลองเขียนมาให้ข้าดูหน่อยนะ ว่ามีลักษณะอย่างไรกันแน่” กล่าวแล้วชายกลางคนก็เดินไปหยิบกระดาษกับดินสอมาให้ชายหนุ่มทันที ดังนั้นชายหนุ่มจึงวาดภาพมรกตสีทองให้ชายกลางคนที่สมัครใจเป็นคนรับใช้ ให้ทราบทันที ชายกลางคนพอรับมาพิจารณาพลางเอ่ยว่า “อันภาพวาดนี้ข้าเคยเห็นบรรพบุรุษข้าเขียนไว้ในห้องหนังสือและรูปคลำอยู่ เสมอๆ แต่ไม่ได้บอกว่าอะไรแก่ข้าหรอก คงจะเป็นของวิเศษอย่างหนึ่งกระมัง และบรรพบุรุษข้าหวงแหนภาพนั้นนัก ข้าเคยถามแต่ไม่ได้รับการบอกกล่าว แต่ข้าระหว่างออกจากป่านั้น ในเวลากลางคืน 15 ค่ำมักจะเห็นแสงประหลาด สีดังมรกตพุ่งออกมาจากเขาลูกหนึ่ง ข้าเฝ้ามองและติดตามไปค้นหาแต่ไม่เจอ เป็นแสงที่ประหลาดมากๆ พุ่งขึ้นท้องฟ้าแล้วหายไปสักพักก็กลับมายังภูเขานั้นดังเดิม นายข้าสนใจไหมล่ะ???” “สินธุ เจ้าเห็นที่ไหนหรือ???” เมื่อชายหนุ่มเอ่ยชื่อเช่นนี้ทำให้ชายกลางคนถึงกับทรุดตัวคุกเขาลงข้างหนึ่ง ทำความเคารพทันที ท่านเรียกข้าว่า “สินธุ”หรือ หูข้าไม่เพี้ยนนะ “ใช่แล้วล่ะ เจ้าสินธุเพราะเป็นชื่อของท่านใช่ไหมล่ะ” “ถูกแล้วนายท่าน นั่นคือชื่อเดิมของข้าแหละนายท่านข้าไม่เคยบอกแก่ใคร ท่านรู้ได้อย่างไรล่ะ????” “เอาล่ะไม่ต้องถามข้าหรอก เป็นเอาว่าข้ารู้ก็แล้วกันนะ ข้าชักสนใจภูเขาลูก นั้นเสียแล้วอยู่ไกลไหมล่ะ” “จะว่าไกลก็ไกล ใกล้ก็ใกล้นายท่านหากท่านสามารถใช้เจ้านกสดายุนั้นพา ไปก็นับว่าใกล้” “งั้นหรือ เอาอย่างนี้ดีกว่าท่านหาย่ามให้ข้าสักใบนะเพื่อจะให้เจ้าสดายุได้อยู่ เพราะจะได้ไม่เป็นที่สังเกตุของใครๆ แล้วของในร้านของเจ้าล่ะจะจัดการ อย่างไรดีล่ะ หากเจ้าต้องติดตามข้าไปในสถานที่อันตรายยิ่งนัก” “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกนายท่าน ทิ้งไว้ที่นี่ก็แล้วกันมันไม่สำคัญเท่าใดแก่ ข้าหรอก เดี๋ยวข้าจะไปหยิบย่ามมาให้แก่นายท่านก็แล้วกัน” ว่าแล้วชายร่างกำยำก็เดินไปข้างในหยิบย่ามออกมาสองใบ พลางยื่นให้ชาย หนุ่มหนึ่งใบ ส่วนตัวเองเก็บไว้หนึ่งใบ ย่ามนั้นมีลักษณะสวยงามมากทำจาก หนังสัตว์ ชายหนุ่มยกขึ้นมาดูอย่างฉงนสนเทห์นักมันเป็นสัตว์อะไรหรือจึง ถามว่า “อันย่ามนี้ทำจากอะไรหรือท่าน” “ทำจากหนังสัตว์ในป่าโน้น คล้ายๆจามจุรีขอรับนายท่าน” “อันสัตว์ประเภทนี้มีหลักแหล่งอยู่บนเขาหิมาลัยนี่นา” “ใช่แล้วนายท่าน บรรพบุรุษเก็บรักษาไว้นานแล้วล่ะคงทนต่ออาวุธทั้งปวง ภายในบรรจุหนังไว้ผืนหนึ่งอีกด้วยสามารถเอามาห่มป้องกันความหนาวและ สิ่งต่างๆได้อีกด้วยตลอดจนมีฤทธิ์ต่างๆนาๆแต่ข้าไม่รู้วิธีนายท่าน” ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไรอีก แล้วยื่นของส่งให้แก่ชายที่สมัครเป็นคนรับใช้ พลางสั่งให้เอากล่องเก็บไว้ในย่ามนั้น แล้วหันไปทางหน้าร้านพลางส่งเสียง เรียกเจ้า สดายุ ให้มาหาพลางสั่งให้ไปอยู่ในย่ามนั้นทันที ทันใดนั้นเจ้านกก็ บินถลามาร่างมันค่อยๆเล็กลงอีก แล้วเข้าไปอยู่ในย่าม ครั้นเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงหันหน้ามา แล้วบอกให้ชายหนุ่ม ใหญ่นั้นคอยเขาก่อน เขาจะไปเช็คเอ๊าท์ออกจากโรงแรมแล้วจะได้รีบออกเดิน ทางไปยังภูเขาดังกล่าวด้วยกัน อันป่าที่ท่านว่านั้นคงจะมีอะไรพิสดารมากนัก นะมิฉะนั้นคนคงจะเข้าไปเที่ยวกันมากๆด้วย เพราะมิฉะนั้นจะมีของประหลาดๆอยู่หรือ คงจะเป็นป่าที่ไม่ใช่ป่าธรรมดาหรอก ชายหนุ่มคิดในใจ “ท่านคอยเราที่นี่นะ เจ้าสดายุด้วยอย่าออกมาล่ะจนกว่าข้าจะสั่ง” ชายวัยกลางคนน้อมรับและได้ยินเสียร้องจากในย่ามเหมือนจะรับรู้คำสั่งนั้น แล้วชายหนุ่มก็รีบออกจากร้านไปทันที เพื่อไปยังโรงแรมเมื่อชำระค่าเช่าที่พัก แล้ว ย้อนหวนกลับมาหาชายดังกล่าวพร้อมด้วยสัมภาระกระเป๋าสพายเล็กๆอัน เป็นที่เก็บของจำเป็นเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็ทิ้งไว้ในห้องไม่นำเอาติดตัวมาด้วย “นายท่าน ท่านไม่ต้องนำของท่านไปหรอกไม่จำเป็นเสียแล้วเพราะที่บ้าน ของเรามีสิ่งของดีๆกว่านี้อีกมากนัก จะมอบให้แก่นายท่าน นายท่านเอาเก็บไว้ ที่นี่แหละ เพียงเอาย่ามไปอย่างเดียวก็พอแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงวางของของ เขาไว้ยังโต๊ะที่วางอยู่ข้างๆผนัง เพราะหากเอาไปสองอย่างมันจะเกะกะน่าดู ครั้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ออกเดินทางโดยมีชายกลางคนเดิน นำหน้า มุ่งสู่ป่าที่มีภูเขาปรากฏแสงทันที เมื่อออกเดินทางพ้นเมืองไปเข้าสู่ยัง ป่า อากาศเริ่มหนาวเย็นแต่ชายหนุ่มซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยพลังงาน จึงไม่รู้สึกแต่อย่างไร ส่วนชายรับใช้นั้นก็เช่นเดียวกัน เพราะเคยชินกับอากาศเหล่านี้มามากแล้ว ทุกๆคนไม่เร่งรีบต่างเดินชมสิ่งต่างๆไปเพียงแต่ไม่ค่อยได้คุยกัน เท่าใดนัก ต่างคนก็เดินตามปกติ มิให้เป็นที่สังเกตุแก่คนที่เดินผ่านไปๆมาๆ เมื่อทั้งหมดเข้าสู่แนวป่าใหญ่แล้ว ชายหนุ่มซึ่งสพายย่ามที่บรรจุนกไว้ข้างใน ดังนั้นเขาจึงเรียกเจ้าสดายุให้ออกจากย่ามทันที เมื่อนกนั้นได้ฟังคำสั่งเช่นนั้นก็บินออกจากย่ามใบนั้นทันที ชายหนุ่มสั่งให้เปลี่ยนแปลงร่างให้ใหญ่แล้วทั้งสองก็นั่งบนหลังอันอ่อนนุ่ม นกสดายุ มันก็บินขึ้นท้องฟ้า ชายหนุ่มหันมาถามผู้รับใช้ว่าจะไปทางไหนเมื่อ ได้รับทราบแล้วก็สั่งให้สดายุบินไปยังภูเขาใหญ่ที่ปกคลุม ไปด้วยหิมะที่มองเห็นไกลลิบๆนั้น ชั่วเวลาไม่นานเท่าใดนัก เจ้าสดายุก็นำพาทั้งสอง ครั้นนกสดายุบินไปถึงเขาดังกล่าวแล้วซึ่งมีเขาสลับซับซ้อนมากมายนักแต่ ยอดเขาทั้งเขาเต็มไปด้วยหิมะปกคลุมมากมาย แต่มีป่าใหญ่แห่งหนึ่งกับแปลก ประหลาดมากไม่มีหิมะปกคลุมเอาเสียเลย ดังนั้นชายหนุ่มจึงสั่งให้เจ้าสดายุ กลับคืนร่างเข้าไปในย่าม หลังจากลงจากหลังมันทั้งสองแล้ว ชายหนุ่ม จึงหันไปถามผู้รับใช้ว่า “แล้วพวกเราจะไปทางไหนดีล่ะ มีที่นี้ที่เดียวที่แปลกยิ่งนักไม่มีหิมะอยู่เลย เป็นเพราะเหตุใดหรือท่าน” “อันป่านี้มีมานมนานแล้วล่ะนาย ข้าเองก็มาจากป่านี้แหละนายจะแวะไปยัง บ้านข้าและพวกของข้าไหมล่ะ???...” “คงไม่หรอกเพราะเราจะมาหาของยังไม่รู้ว่า จะใช่หรือไม่เพราะข้าเองก็ยัง ไม่เคยเห็นได้แต่รับการบอกกล่าวจากคนของข้าเท่านั้น” “คนของนายมีรูปร่างลักษณะใดหรือ??????.....” ดังนั้นชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องของชายแปลกประหลาดสามคนให้แก่สินธุฟัง ทำให้ชายกลางคนถึงกับอึ้งไปทันทีพลางเอ่ยขึ้นว่า “นั่นคือพวกของข้าแหละนายท่าน ทุกๆ 15 ค่ำพระจันทร์เต็มดวงจะมาหา ข้าครั้งหนึ่งเสมอ และเป็นพวกของข้าเหมือนกัน” “อย่างนั้นหรือก็แสดงว่าเป็นพวกเดียวกันที่มาจากที่ไกลโพ้นแห่งหนึ่งใช่ ไหมล่ะ มิน่าเล่าถึงได้มีสิ่งประหลาดๆอยู่ หรือว่าของเหล่านี้ชายพวกนั้นให้ มาใช่ไหม???....” “มิได้หรอกนายท่าน เพราะว่าเป็นของบรรพบุรุษตกทอดมาให้แต่ทว่าจะ เป็นพวกเดียวกันหรือเปล่าเรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันคิดว่าคงจะใช่นายท่าน” “ข้าว่าบรรพบุรุษของเจ้าก็คงจะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันนั่นแหละ เพราะได้ยิน ว่าต่างแตกแยกกันมาจากดินแดนไกลโพ้นโน้น คงจะเหมือนๆกันแหละนะ” “ข้าเองก็เพียงได้รับการถ่ายทอดรักษาของมาเท่านั้นแหละ อ้อๆๆนายท่าน ข้าเองยังไม่ได้ถ่ายทอดวิชาการต่างๆให้แก่นายท่านเลย เอาอย่างนี้ดีกว่าไปที่ บ้านพักข้าก่อนเพื่อ ข้าจะได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆให้แก่นายท่านด้วยนะ” “อืมม!!!!ก็ดีเหมือนกันนะ งั้นเราไปบ้านพักเจ้าก็แล้วกันนะแต่ว่าใช้เวลา นานไหมล่ะ???...” “อย่างนี้อยู่ที่นายท่านจะรับได้มากน้อยเท่าใดแล้วแต่บุญวาสนานายท่านแต่ ข้าคิดว่าคงไม่นานหรอกเพราะ มิเช่นนั้นก็คงไม่สามารถเปิดกล่องทั้งสามกล่อง ได้หรอก ข้าเชื่อเช่นนั้น” “จริงอย่างเจ้าว่าแล้วแต่บุญวาสนาของข้าเอง เอาล่ะไปกันได้แล้วล่ะ” แต่ทว่าท่านจะเห็นแสงนั้นก็ต่อเมื่อขึ้น 15 ค่ำเท่านั้นเอง แต่นี่ยังไม่ถึงเวลา จึงต้องคอยเวลาให้ถึงก่อนถึงจะเห็นแสงดังกล่าว หากไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก จะเสียเวลาค้นหาเปล่าเพราะไม่รู้ว่าลำแสงเกิดจากที่ใดๆ หากรู้ก็จะได้ดั้นด้นออกไปค้นหานะนาย” “อืมมๆๆๆจริงซินะถึงไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์งั้นเราไปพักที่บ้านท่าน ก่อนเพื่อรอเวลาให้ถึงเสียก่อน บางทีอาจจะเจอกับบุคคลทั้งสามอีกด้วย ดังนั้นชายผู้รับใช้จึงได้พาชายหนุ่มเดินลัดเลาะเข้าไปสู่ป่าใหญ่ทันที........ * แก้วประเสริฐ. *