23 กรกฎาคม 2554 18:59 น.

อทิสมานกาย ๙๘

แก้วประเสริฐ


                        อทิสมานกาย ๙๘

   ครั้นเจ้าเปล่งระหว่างหัวร่อไปนั้น ก็มองหน้าบรรดาพรรคพวกแล้ว

ก็ให้อดเวทนาไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า

   “พวกเอ็งอย่าไปกลัวอะไรเลย ถึงอย่างไรพวกที่เจ้าเคล้าคลอนั้น

ล้วนแล้วแต่การฝึกฝนจากข้ามาทั้งสิ้น  ดังนั้นแม้นว่าจะหาใช่คนนั้น

ก็จริงอยู่ แต่ทุกๆอย่างจะมีส่วนล้วนเหมือนคนทั้งสิ้น   หากใครที่ไม่

มีภรรยาก็จะเลือกไปเลี้ยงเป็นภรรยาได้เหมือนดั่งคนนั่นแหละ  เพียง

แต่ว่าจะไม่สามารถมีลูกกับหล่อนเหล่านั้นได้  จึงเบาใจได้เพราะนาง

ทั้งหลายนั้นต่างก็ล้วนจะเป็นคนเข้าไปทุกขณะแล้วล่ะ แต่ถ้าหากวัน

ใดที่เรียนสำเร็จก็จะไปอาศัยร่างที่ตายแล้วใหม่ๆเข้าอยู่ก็สามารถมีลูก

ได้นะ ด้วยจิตวิญญาณของคนที่ตายนั้นจากไปแล้วคงเหลือซากไว้จึง

จะกลายร่างเป็นคนก็สามารถสืบตระกูลได้แหละเพียงแต่ผิดกันที่

รูปร่างหน้าตาเท่านั้นเอง”

   “จริงๆหรือเปล่ง เฮ้ย!!!???....อาจารย์เปล่ง ที่สามารถจะรับไปเป็น

เมียได้นะเพียงแต่ไม่มีลูกเท่านั้นหรือว่า?????.....”

  เสียงเจ้าวาสเอ่ยขึ้นทันที  เพราะถึงอย่างไรมันหาสนใจในเรื่องเชื้อ

สายไม่  เพราะบัดนี้มันหลงรักแม่นางไม้มณฑาเข้าไปแล้วจึงได้เอ่ย

ถามเจ้าเปล่งเพื่อให้แน่แก่ใจมันเองเท่านั้น

   “จริงซิว๊ะเจ้าวาส  เอ็งคบกับข้ามาเคยเห็นข้าโกหกเอ็งหรือไม่ไหม

ล่ะ???...ข้าพูดอะไรมักจะกล่าวด้วยความจริงทั้งนั้น”

   ข้อนี้พวกมันทราบกันทุกๆคนดีว่าคนอย่างไอ้เปล่งนอกจากไม่ชอบ

พูดแล้วยังเป็นคนตรงไปตรงมาอีกด้วย

   “นั่นซิข้าถามก็เพื่อให้แน่แก่ใจเท่านั้นเอง  ถ้าอย่างงั้นข้าจะขออะไร

เอ็งสักอย่างจะได้หรือไม่ว๊ะไอ้อาจารย์เปล่ง”

   เจ้าเปล่งรู้ความนัยของเจ้าวาสแล้วอมยิ้มพลางเอื้อนเอ่ยขึ้นว่า

   “ได้นะได้หรอกวาส  เพียงแต่ว่าแม้ว่านางจะเป็นครึ่งผีครึ่งคนก็

จริงอยู่นั้นนะ  แต่ความหึงหวงร้ายกาจนักนะ  เขาจะร้ายกาจยิ่งกว่า

คนเสียอีกล่ะ   หากแม้นวันใดเอ็งผิดคำมั่นสัญญาต่อนาง  ข้าเองไม่

อาจจะช่วยเหลือเอ็งได้ จะมีก็เพียงนายเท่านั้นเองแหละที่จะช่วยเอ็ง

ได้แต่ทว่าอาจจะไม่ทันการณ์เท่านั้นเอง  นางจะฆ่าเอ็งทันทีอย่าลืมว่า

นางนั้นหาใช่คนไม่นะ  เอ็งต้องจำไว้ให้ขึ้นใจให้ได้นะอย่าลืมที่ข้า

กล่าวไว้นี้เป็นอันขาดเสียล่ะ
  
    ทางที่ดีบอกพี่ชวนไว้ก่อนแล้วมาอยู่กับข้าที่นี่เพื่อจะไม่เป็นห่วง

และไม่กังวลใจทำให้ได้สะดวกและเอ็งคิดดีแล้วหรือต้องพูดด้วยใจ

จริงๆนะไอ้วาส  มันไม่ใช่สิ่งล้อเล่นกันนะมึงก็เคยเห็นฤทธิ์มาแล้ว”

   “เรื่องนี้ข้ารับรองแต่ว่าจะทำอย่างไรดีล่ะที่จะได้แม่มณฑามาเป็น

เมียข้านะ  ข้าให้สัญญาแก่อาจารย์เปล่งไว้ด้วยต่อหน้าพวกเราทั้งหมด

ไว้ว่าข้าจะไม่คิดนอกใจแม่นางมณฑาหรอก  อ้อๆๆๆอีกเรื่องหนึ่งคือ

ว่าแม่นางมณฑาจะขอตามข้าไปช่วยทำงานด้วยล่ะจะว่าอย่างไร???”

   “เรื่องนี้ไม่ยากหรอกว๊ะวาส  เดี๋ยวข้าจะเรียกแม่มณฑามากล่าวให้

เจ้าเองแหละ เรื่องนี้ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรอยู่กันกันได้เลยล่ะ”

   “จริงๆหรือว่าอาจารย์เปล่ง  งั้นข้าก็โล่งอกไปเสียทีข้าคิดมาหลาย

วันแล้วตั้งแต่พบนางครั้งแรกนั่นแหละ ตอนแรกข้ากลัวมากๆจริงๆ

แต่เมื่อคืนนี้   ต่างพูดกันเข้าใจกันแล้วนางบอกว่านางเป็นสาว

บริสุทธิ์ยังไม่เคยต้องมือชายใดๆเลย แต่มาตายเสียก่อนด้วยโรค

ระบาด  เร่ร่อนมาจนมาพบที่นี่และได้ขออาศัยอยู่   ทั้งได้รับการ

อบรมสั่งสอนวิทยาคมอีกด้วย  เออๆๆแล้วเอ็งช่วยสอนข้าบ้างซินะ”

   “ได้ซิเจ้าวาส  หากเจ้าตัดใจได้แล้วก็ไม่เป็นปัญหาหรอก ยิ่งมาอยู่

ที่นี้ข้าจะนำวิชาที่นายอบรมสั่งสอนมาสอนแก่เจ้าให้หมดนะ”

   “งั้นข้าตั้งแต่นี้ไปจะเรียกว่าอาจารย์ก็แล้วกันนะ”

  เจ้าเปล่งห้วร่อเล็กน้อย  แล้วพลางหันไปกระซิบแก่เด็กสาวที่คอย

ปรนนิบัติอยู่ให้ไปตามแม่มณฑามาพบด่วน   ดังนั้นเด็กสาวก็รีบไป

สักครู่หนึ่ง นางมณฑาก็เดินมาพลางย่อตัวทำความเคารพเจ้าเปล่ง

ทันที  พร้อมหันไปส่งยิ้มให้เจ้าวาสอีกด้วย  แล้วนั่งลงข้างๆเจ้าวาส

   ทำเอาเจ้าตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก เจ้ากุ๋น และเจ้าชื่นต่างมองหน้ากันไปๆมาๆ

แต่มันจะทำอย่างเจ้าวาสไม่ได้  ด้วยเหตุว่ามันถึงจะยังเป็นโสดอยู่ก็

จริง    แต่ว่าพ่อแม่มันยังมีไม่เหมือนกับเจ้าวาสที่ตัวคนเดียว  หากได้

นางพรายเหล่านี้เป็นเมียก็ย่อมไม่สามารถมีหลานให้พ่อแม่มันได้จึง

ต่างพากันหวั่นไหวไป   และถึงแม้ว่ามันจะหลงเสน่ห์นางพราย

ทั้งหลายก็ตามแต่มันก็ต้องฝืนใจ  ต่างมองหน้ากันและเงียบกริบ

    เจ้าเปล่งก็หันมาทางพวกมันทันที พลางเอ่ยว่า

   “แล้วมีใครอีกไหมล่ะที่จะคิดแบบเจ้าวาสนะ บอกข้ามาได้เลยล่ะ”

   “เรื่องนี้พวกข้าปรึกษาคิดกันแล้วไม่อาจจะทำได้ เพราะมีพ่อแม่ข้า

ที่จะต้องการมีหลานสืบสกุล  ทั้งๆที่ข้าจะรักสักปานใดหากติดพ่อแม่

เท่านั้นแหละว๊ะ  นางทั้งหลายคงจะไม่ว่าพวกข้ากระมัง”

   “เรื่องนี้พวกเอ็งไม่ต้องห่วงหรอก แต่มีใครล่วงเกินกว่าธรรมดาไป

หรือเปล่าล่ะ????.....”

   “ไม่มีใครกล้าล่วงเกินหรอกเปล่ง  เพราะพวกข้าเคยเจอพวกนาง

มาแล้วล่ะ  แต่ด้วยอำนาจเสน่ห์อย่างใดไม่รู้ทำให้หลงใหลไปชั่วขณะ

หนึ่งว๊ะ  จึงได้เพียงเย้าหยอกเล้าโลมภายนอกเท่านั้นเองแหละ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นปัญหาหรอกนะ เพราะพวกนางรู้ว่าข้าให้เขา

มาปรนนิบัติพวกเอ็งย่อมจะต้องมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น พวกนางไม่ถือสา

พวกเอ็งอะไรหรอก  ไม่เหมือนเจ้าวาสที่ล่วงเกินข้างในไปแต่มันเป็น

ผู้ชายที่รับผิดชอบจึงยอมทำ   พวกเอ็งสบายใจได้  แต่อย่างไรงานก็

อย่าให้เสียไปล่ะเพราะเป็นเรื่องสำคัญที่นายสั่งให้รีบทำโดยเร็วที่สุด

กลัวจะไม่ทันการณ์  เพราะเหตุการณ์บังคับมาด้วยล่ะ”

    แล้วเจ้าเปล่งก็หันไปทางนางไม้มณฑาพลางเอ่ยขึ้นว่า

   “มณฑาเอ๋ย!!!!....เจ้าคงจะรู้เรื่องแล้วซินะเจ้าวาสจะมาขอเจ้าไป

เป็นภรรยา  เจ้าวาสเป็นคนซื่อตรงน้ำใจสัตย์ซื่อนัก ข้าได้บอกเขาแล้ว

เขาบอกว่า ไม่เป็นปัญหา  ทางเจ้าจะว่าอย่างไรไม่ต้องกลัวหรอกหาก

ไม่ก็บอกว่าไม่  หากยอมรับก็บอกได้เลยนะ”

   ครั้นนางไม้มณฑาได้ฟังก็หันไปทางเจ้าวาสพลางพิจารณาใบหน้า

สบตาแล้ว  จึงเอ่ยกับเจ้าวาสว่า

   “พี่วาสคิดดีแล้วหรือที่จะรับข้าไปเป็นเมียนะ  ถึงแม้ว่าข้าจะเป็น

คนกึ่งผีกึ่งคนก็จริงแต่ไม่สามารถจะมีสายเลือดสืบพันธุ์มีลูกมีหลาน

กับพี่ได้นะ  ขอให้พี่มั่นใจให้แน่นอนก่อนอาจารย์คงจะบอกนิสัยข้า

ให้พี่ทราบแล้วว่าเป็นอย่างไร   ก่อนตัดสินใจรับข้าไปเป็นเมียนะ

ให้พี่วาสทบทวนให้ดีๆนะ  ยังมีเวลาหรือว่าจะดูใจข้าไปก่อนก็ได้นะ

เผื่อว่าจะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลัง  ข้าเป็นคนรักเดียวใจเดียวและ

ไม่ต้องการสาวๆใดๆจะมายุ่งเกี่ยวกับพี่อีกด้วย ขอให้พี่รีบบอกมา

เถอะข้าไม่โกรธพี่หรอกจ้า”

   “มณฑาเอ๋ยข้าถึงแม้ว่าจะไม่ดีนักเป็นคนเกรกมะเหรกเกเรก็จริงแต่

เรื่องน้ำใจนั้นข้าสัตย์ซื่อถือมั่นนัก  หากสิ่งที่ข้าคิดแล้วย่อมจะไม่ผิด

คำมั่นสัญญาหรอก  ข้าขอให้แม่นางไว้ใจข้าได้เลย  ข้าเองก็ไม่ใช่คน

เจ้าชู้ประตูดินแต่อย่างไร ทำอย่างไรข้าต้องรับผิดชอบเสมอๆ”

   เมื่อนางไม้มณฑาได้ยินเช่นนั้นก็หันหน้าไปทางอาจารย์เปล่งพลาง

เอ่ยว่า

   “หากพี่วาสยอมทำตามคำมั่นสัญญาแล้วศิษย์ก็จะยินยอมและจะทำ

หน้าที่แม่บ้านให้ดีที่สุดจ้าอาจารย์”

   เจ้าเปล่งได้ยินเช่นนั้นก็หัวร่อ พลางเอ่ยว่า

   “เห็นเจ้าวาสบอกว่าเจ้าจะขอติดตามไปในงานครั้งนี้ด้วยใช่หรือ

เปล่าล่ะมณฑา  ก็ดีเหมือนกันนะอีกไม่เท่าไหร่ก็จะได้เป็นผัวเมียกัน

แล้วย่อมต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน คอยช่วยเหลือกัน อีกอย่างการมี

ครอบครัวนั้นหาใช่ว่าจะมีกันแค่ความใคร่ไม่  ควรจะรักเชื่อใจซึ่งกัน

และกัน หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยกันอย่าเอาแต่อารมณ์ของตนเป็น

ใหญ่ หากต่อไปเจ้าเป็นคนจริงๆก็จะได้ไม่มีปัญหา แต่นี่เจ้ายังเป็นกึ่ง

หนึ่งยังมีฤทธานุภาพอยู่ก็อย่าได้ใช้ให้เกียรติซึ่งกันและกันด้วย  ทั้ง

เจ้าและเจ้าวาสด้วยก็เหมือนกันนะ ทำอะไรให้คิดไตร่ตรองเสียก่อน

หากไม่พอใจก็ควรหลีกเลี่ยงหนีกันไปก่อนแล้วค่อยมาพูดจาหา

เหตุผลกันและกันด้วย   เพราะเจ้าทั้งสองยังหนุ่มสาวย่อมต้องมีเรื่อง

ที่จะตามมาอีกแยะๆนะ”

   ทั้งเจ้าเปล่งและนางไม้มณฑาก็พากันไปกราบเจ้าเปล่งทันทีพร้อม

ให้คำมั่นสัญญา   ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงกล่าวแก่นางมณฑาอีกว่า

   “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอกให้เจ้าทั้งสองต่างหัน

หน้ากราบกันขออภัยกันก็เพียงพอแล้ว  แล้วให้เจ้านำพวกไปปลูก

กระต๊อบที่  ด้านข้างเขาซ้ายมือ จะมีหุบเขากำบังไว้ใช้เป็นเรือนหอ

ก็แล้วกันนะ  หลังจากเสร็จงานแล้วก็ให้เจ้าทั้งสองไปอยู่ด้วยกัน

  อ้อๆ   เจ้าตี๋เล็ก ตี๋ใหญ่ ชื่นและกุ๋นก็ไปบอกพี่ชวนว่า  ข้าจะให้เจ้า

วาสมาช่วยงานข้าทางนี้นะคงจะไม่เป็นปัญหาหรอก”

     ครั้นพรรคพวกเจ้าเปล่งได้ยืนเช่นนั้นและเห็นทั้งสองต่างกราบกัน

แล้วหันไปกราบเจ้าเปล่ง  ก็ต่างเข้ามาแสดงความยินดีแก่เจ้าวาสและ

นางไม้ด้วย พร้อมรับคำเจ้าเปล่งว่าจะไปแจ้งให้พี่ชวนทราบเรื่องนี้

ด้วย  เจ้าเปล่งได้ยินเช่นนั้นก็อวยพรให้ทั้งหมดประสบชัยชนะในการ

ไปทำงานครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วง พร้อมบอกว่า พวกที่ไปล้วนแล้วแต่

เป็นหุ่นพยนต์ทั้งสิ้น เรื่องอาวุธต่างๆไม่อาจจะระคายเคืองได้ แต่ถ้า

หากมัน  ปรากฏร่างเป็นผีที่น่ากลัวเจ้าก็อย่าได้หวาดหวั่นเพราะมันจะ

ไม่ทำให้เจ้าเห็นหรอก  แต่ฝ่ายตรงกันข้ามจะเห็นเท่านั้น เมื่อทำลาย

แล้วให้เข้าไปตรวจให้แน่ใจเสียก่อน  ถึงจะกลับมารายงานแก่ข้าเพื่อ

ข้าจะได้แจ้งให้นายทราบ  อ้อๆๆๆส่วนหัวหน้าหน่วยฝึกและหน่วย

ลับไม่สนใจพวกผู้หญิงเหล่านี้บ้างหรือไงล่ะ????....”

     เมื่อบรรดาพวกหัวหน้าฝึกและฝ่ายลับได้ยินถามเช่นนั้นต่างก็พา

กันส่ายหน้าไปๆมาๆ   เจ้าเปล่งก็หัวร่อ พลางบอกให้ทุกๆคนไป

พักผ่อนได้แล้ว  เพราะเวลาใกล้เข้ามาแล้วต้องออกเดินทางให้ทัน

ตามกำหนดนัดหมาย    ดังนั้นทุกๆคนต่างก็ไปพักผ่อนเพื่อจะได้ออก

เดินทางกลับยังที่พักต่อไป


   เสียงรถเก๋งดังปริ๊นๆๆกังวานขึ้นที่หน้าบ้านเสี่ยเม้ง  บรรดาเด็กๆ

ต่างวิ่งกันออกมา  กำนันมั่นก็ก้าวลงจากรถเก๋งพลางสอบถามว่าเสี่ย

อยู่หรือเปล่า???....  เด็กๆบอกว่าเสี่ยไม่อยู่ไปข้างนอก

   “อ้าว!!!!!ๆๆๆๆแล้วเสี่ยไปไหนเสียล่ะ”

   “เห็นเสี่ยบอกว่าจะไปที่ร้านอาหารจิตรโภชนาของเสี่ยเองแหละ

กำนัน   เสี่ยสั่งว่าหากมีอะไรก็ให้กำนันไปหาที่นั่นนะ”

   “เออ!!!????....ขอบใจว๊ะ”

   แล้วกำนันมั่นก็ก้าวขึ้นรถ พร้อมสั่งเจ้าน้อยให้ขับรถไปร้านอาหาร

จิตรโภชนาทันที

   ภายในห้องอาหารลับของร้านอาหารจิตรโภชนาจัดไว้ด้วยโต๊ะ

ขนาดยาวผืนผ้ามีอาหารเต็มพร้อมเหล้ายาบริบูรณ์ ต่างนั่งกันกำลังคุย

กันกับบรรดาลูกน้องตัวยงทั้งหลาย  แต่ข้างๆเสี่ยเม้งกับเพิ่มด้วยชาย

ฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ไว้หนวดเรียวเหนือริมฝีปาก  รู้สึกว่าเสี่ยจะเอาใจ

คนๆนี้มาก  พลางกล่าวว่า

   “งานที่ให้ไอ้มุ้ยไปทำมันชักชอบกลยังไงๆนะเสี่ย  เพราะคนๆนี้ข้า

ไว้ใจมากที่สุดและทำงานกันมาหลายๆปีแล้ว มันบอกว่ามีคนปลอม

ตัวมารับของไปก่อน  มันจึงไปคอยดักรอและเกิดยิงกันขึ้นลูกน้อง

มันตายหมด คงเหลือแต่มันที่โดนยิงคนเดียวเท่านั้นที่มันรายงานตัว

มา    มันบอกว่าเอกสารเหมือนกันเปี๊ยบเลยทั้งรถทั้งคน ข้าจึงสงสัย

นักนี่  เดี๋ยวไอ้กำนันมั่นก็คงจะมาหรอก เพราะข้าสั่งให้เด็กบอกว่าข้า

อยู่ที่นี่  หากหนังสือสองฉบับเหมือนกันล่ะจะทำอย่างไรดีเสี่ยเล้ง”

   “เรื่องนี้ข้าว่าต้องดูหลักฐานก่อนโว้ยไอ้เม้ง  ข้าก็ได้ยินมาว่าไอ้

กำนันคนนี้มันก็ทำงานมาดีตลอดไม่เคยบิดเบี้ยวสักครั้งเลยนี่นา”

   “นั่นซิเสี่ยข้าจึงคอยมันอยู่ที่นี่จะเอาหลักฐานมันมาให้เสี่ยดูด้วยเผื่อ

จะพบข้อพิรุธใดบ้าง  ไอ้มุ้ยบอกว่ามันเป็นลายเมือเหมือนข้าไม่ผิด”

   “แล้วของที่เด็กของเสี่ยล่ะยังอยู่ครบไหมล่ะ????...”

   “ของที่ให้เก็บซ่อนไว้เมื่อวานนี้ข้าก็ไปตรวจดูแล้วว่ายังอยู่ครบ

และยังมีคนคอยเฝ้าอยู่ ตลอดแนวทางเลยล่ะ เพราะข้าได้สั่งให้แยก

ออกเป็นสี่ทางคนละทิศไว้เก็บไว้ในถ่ำภูเขาที่รกร้างยากที่จะหา

ค้นพบ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ดีไป แต่ว่าข้าคิดว่าจะให้รีบขนมาให้หมดก่อนที่

อะไรๆจะเหมือนกับที่คนของเอ็งพบมานะ  ข้าจะได้ให้คนของข้า

ที่นำมานำไปให้หมด ด้วยทางกรุงเทพฯนั้นไม่พอจำหน่าย   และที่

สร้างใหม่นั้นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะต้องส่งไปหลายๆจังหวัดด้วยยิ่ง

ทางใต้ด้วยแล้ว มีความต้องการสูงด้วยซิ”

   “แล้วจะไปขนเมื่อไหร่ดีล่ะเสียข้าจะได้ให้  ไอ้เซี๊ยะ ไอ้เช้ง ไอ้สุย

 และไอ้มุ้ยนำพวกเสี่ยไปขนของเสียเลย  อ้อๆๆได้ข่าวว่าทางเราจะมา

ผลิตเองจริงหรือเปล่าล่ะเสี่ย???...”

   “ใช่แล้วไอ้เม้ง  ตอนนี้ข้าได้ติดต่อไปทางพม่าและลาวไว้ตลอดจน

จีนด้วย ให้ส่งน้ำยาผสม และบางส่วนมาประกอบกันแถวๆชานเมือง

นี้แหละ  เอ็งนับว่าหูตาไม่เบาเลยนะ”

   “ทำไงได้ล่ะเสี่ยเล้ง เพราะเราทำงานด้านนี้ต้องหูตาไวๆหน่อย  

อ้อๆ เดือนหน้าท่านรองตำรวจก็จะปลดแล้ว ได้ข่าวว่าตัวจริงจะเข้า

มาทำงานเอง  ข้าเองพยายามสืบเสาะหาว่าใครเป็นหัวหน้าที่แท้จริง

จนบัดนี้ยังไม่รู้เลย  คงจะรู้ตอนมอบกันนั่นแหละ  ถึงจะรู้ว่าใครเป็น

ใครกันก็ ต้องนำของขวัญไปแสดงความยินดีกับเขาด้วยเพื่อสืบอีก

ทางหนึ่ง   จะได้รู้สักทีว่าเป็นใครกัน”

   “เออ????...ดีแล้วล่ะแต่ตอนนี้ให้ไปนำของมาก่อนนะเพราะข้า

รู้สึกว่าจะไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่  ทำไมมันรู้ได้อย่างไรว่าไอ้กำนันมั่น

มันไปซ่อนยังภูเขามันยังรู้ได้เลย   ข้าก็เลยสงสัยว่าแล้วที่ซ่อนไว้ตาม

ที่ต่างๆมันจะรู้หรือเปล่า???????......”

    เมื่อได้ยินเสี่ยเล้งกล่าวเช่นนั้น จึงหันไปสั่งกับลูกสมุนมันทันที 

ขณะกำลังคุยกันไปฟังกันไปอยู่     เสี่ยเม้งก็เอ่ยว่า

   “ไอ้เซี๊ยะ ไอ้มุ้ย ไอ้เช้ง ไอ้สุย  มะรืนนี้มึงนำคนไปขนของที่ซ่อน

ไว้มาไว้ที่นี้เพื่อมอบให้เสี่ยเล้งเขาลำเลียงเข้ากรุงเทพฯนะ”

   “ไม่ต้องต้องห่วงหรอกข้าจะนำคนไปขนของมาให้ทั้งหมดเลยล่ะ

เสี่ยอย่าได้เป็นห่วง  เพราะคนที่ข้าส่งไปเฝ้านั้นล้วนแล้วแต่พระกาฬ

ไว้ใจได้ เพราะเป็นทหารที่ได้ปลดประจำการมาย่อมเชี่ยวชาญด้านนี้

ดีอีกทั้งตำรวจตะเวณชายแดนอีกด้วยที่ถูกปลดมา”

   คนทั้งหมดกล่าวกับเสี่ยงเม้งและเสี่ยเล้ง  จึงทำให้ทั้งสองยิ้มออกมา

สักครู่ใหญ่ๆ  ก็มีเด็กเข้ามากระซิบกับเสี่ยเม้งทันที   เสี่ยเม้งพยักหน้า

แล้วหันไปมองหน้าเสี่ยเล้งพลางเสมือนส่งสัญญาณให้รู้ แล้วเอ่ยว่า

   “ให้มันเข้ามาได้ว๊ะ  แล้วมึงคอยไปเฝ้าประตูไว้ ส่วนภายนอกให้

จัดเด็กคอยสังเกตุคนแปลกหน้าไว้ด้วยนะหากสงสัยจัดการได้เลย”

   “ครับผมจะสั่งพนักงานทุกๆคนไว้ให้ครับ งั้นขอตัวออกไปก่อน

เพื่อทำงานให้เสี่ยครับ”

   “เออ???...ดีแล้วไปได้แล้วล่ะ”

    ครั้นเด็กออกไปเรียกกำนันมั่นให้เข้ามาได้   กำนันก็เดินเข้ามา

พร้อมกระเป๋าเอกสาร   พลางวางกระเป๋าลงแล้วยกมือไหว้เสี่ยเม้ง

ทันที   เสี่ยเม้งก็หันไปแนะนำให้กำนันมั่นได้รู้จักกับเสี่ยเล้งเจ้าพ่อ

อิทธิพลในกรุงเทพฯ  ทำให้กำนันมองไปเห็นสภาพร่างกายก็ให้นึก

เกรงขามนัก เพราะไว้หนวดใบหน้าอูบอวมหน้าตาทมึงแต่ดวงตา

กลับกลมโตผิดกับชาวจีนทั่วๆไปให้นึกสงสัย แต่เพียงเก็บไว้ในใจ

เท่านั้น  แล้วยกมือไหว้เสี่ยเล้ง

   เสี่ยเม้งพลันก็เอ่ยขึ้นว่า

   “นั่งก่อนซิ  หรือว่าจะกินอะไรก่อนก็ได้นะ นั่งข้างๆข้านี่แหละว๊ะ

กำนันมั่นไหนๆขอดูหลักฐานด้วยนะ”

     พลางสาวๆที่คอยเสริฟอยู่ก็รินเหล้าผสมเสร็จส่งมาให้ พร้อมนำ

ถ้วยตะเกียบมาตั้งไว้เสร็จก็ถอยหลังไปยืนคอยต้อนรับ  กำนันครั้นยก

แก้วเหล้าดื่มจนหมดแก้ว  แล้วก็เปิดกระเป๋านำเอกสารสามฉบับยื่น

ส่งให้เสี่ยเม้งทันที     เสี่ยเม้งมองที่ลายเซ็นต์ทั้งสองฉบับถึงกับตก

ตลึงไป  เพราะมันเป็นลายเซ็นต์ของมันไม่ผิด ดังนั้นจึงยื่นเอกสารทั้ง

สามฉบับให้เสี่ยงเล้งทันที...................

                     แก้วประเสริฐ.

(ขอโทษด้วยที่แต่งให้ช้าเพราะผมแต่งสดๆไว้  ตอนนี้ค่อยยังชั่วก็รีบเขียนส่งกลัวว่า จะทำให้เรื่องขาดตอนไปครับ อภัยด้วยครับ.....แก้วประเสริฐ.)


1139348gm3744qpip.gif				
15 กรกฎาคม 2554 01:58 น.

อทิสมานกาย ๙๗

แก้วประเสริฐ


              อทิสมานกาย ๙๗

    อากาศเริ่มขมุกขมัวด้วยเวลาบ่ายมากแล้ว  ทุกๆอย่างล้วนอยู่ใน

ความเงียบสงบ  เสียงหรีดหริ่งเรไรเริ่มส่งเสียงร้องระงมดังในบาง

ช่วงเวลา  ร่างเจ้าผันนั้นที่แสร้งนอนตายอยู่นั้นครั้นแน่ใจว่าพวกนั้น

ได้จากไปแล้ว  ก็ผลักร่างศพที่นอนทับร่างไว้พร้อมลุกขึ้นนั่งบิดกาย

ไปๆมาๆ   มันนึกย้อนเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้จิตใจมันเกิดการเกิด

ความท้อแท้ยิ่งนัก   พวกมันล้วนแล้วตายทั้งสิ้นและบรรดาคนเหล่า

นั้นก็พากันเล็งปืนมายังมันแต่ ได้รับการห้ามไว้จากชายคนหนึ่ง

แล้วพวกนั้นถึงได้จากไปจนหมดสิ้นคงทิ้งมันไว้ หรือว่ามันรู้ว่ามัน

แสร้งทำเป็นตาย  มันรู้ได้อย่างไรกัน  เจ้าผันคิดเท่าไหร่ก็ไม่ออก

ทำให้มันนึกถึงคุณพระคุณเจ้า  จึงเอื้อมมือไปที่องค์พระที่มันสวม

หัวอยู่ออกมายกมือขึ้นไหว้ทันที  แล้วความสำนึกดีชั่วก็เกิดขึ้น

     ตั้งแต่เป็นหนุ่มมาและคบหากับเจ้าแม้นมันหาได้ทำในสิ่งดีๆไม่  

แต่มันรอดตายมาได้สองครั้ง ด้วยความคะนองได้มาทำงานกับกำนัน

ล้วนแล้วแต่สิ่งชั่วร้ายทั้งสิ้นมั่วเหล้าเมายาผู้หญิงที่อยู่ภายในบ้านและ

ที่อื่นๆอีก ยิ่งนึกคิดเท่าไหร่ความอนาถใจมันก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

การที่มันรอดตายอีกครั้งนี้ถือว่ามันคงจะไม่ถึงที่ตาย  แต่ถ้ามีครั้งที่

สามเล่าเห็นว่าคงจะไม่รอด ก็ทำให้มันเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตขึ้นมา

   ครั้งแรกตอนไปกับไอ้แม้นซึ่งบัดนี้นอนตายอยู่ข้างก้อนหินใหญ่

และพวกทั้งหลายที่ต่างตายกันไป  ยกเว้นมันคนเดียวเท่านั้น  มันนึก

ย้อนกลับครั้งร่วมกันเพื่อฉุดสาวบงกชกับไปเจอพวกผีจนมันเกือบ

ตาย   แต่ก็ปางเจ็บจนแทบจะตายและจะพิการยิ่งคิดยิ่งเกิดความ

ท้อแท้ในใจมันขึ้น   มันทำงานให้กับกำนันมั่นก็เพราะความสะดวก

ความสบายไม่ต้องเหน็จเหนื่อยใดๆ เพียงแต่ต้องเสี่ยงเป็นบางครั้ง

ด้วยวัยยังคะนองของมันเอง  ครั้นหวนย้อนกลับมาอีกครั้งซึ่งการ

ก็ช่างคล้ายๆกันเพียงแต่ว่าเป็นร่างคน แต่ทำไมเล่าเมื่อยิงไปถูก

กลับไม่มีเลือดไหลออกมาจากพวกมันเลย ก็ให้นึกแปลกใจนัก

เห็นว่าครั้งนี้ไม่ดีแน่ จึงหาทางหลบหนีแต่ไม่ได้จึงต้องแสร้งตาย

       มาครั้งนี้ก็เหมือนกันมันยิงบรรดาผู้ที่เข้ามาล้อมยิงพวกมัน แต่

มันยิงถูกแต่เพียงแค่ร่างผงะเท่านั้นกระสุนที่มันยิงถูกเป้าอย่างจังแต่

หาได้ทำอันตรายใดๆแก่พวกมันไม่ จะว่าเป็นผีหรือก็คงจะไม่ใช่แต่

มันไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะเป็นกลางวันแท้ๆและสามารถใช้

ปืนได้ดีแม่นยำเสียด้วย ยิ่งคิดยิ่งท้อแท้ต่อชีวิตมัน  ความสำนึกผิดก็

เกิดขึ้นแก่มัน  น้ำตามันไหลพรากเมื่อสำนึกได้ ดังนั้นมันก้มลงกราบ

พระแม่ธรณีพร้อมเปล่งเสียงคำสาบานออกมาด้วยเสียงดังให้สัตย์

สาบานขึ้นว่า  หากมันรอดตายครั้งนี้จะขอบวชเพื่อล้างความชั่วมัน

เสียบ้างขอให้พระแม่ธรณีเจ้าป่าเจ้าเขาจงเป็นพยานด้วยเถิด หากมัน

รอดพ้นตายคราวนี้จะล้างมือต่อความชั่วทั้งหลายและก็จะขอบวช

เพื่อชดใช้หนี้กรรมบ้าง ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงเป็นพยานด้วยเถิด

 กล่าวเสร็จมันก็ก้มลงกราบ  พร้อมสาบานต่อพระที่มันสวมติดตัวมา

ด้วยแล้วมัน โดยนำจากที่สวมหัวมาตั้งไว้บนหินให้คำสัตย์สาบาน

เสร็จแล้วก็นำพระมาสวมหัวมันดังเดิม พร้อมเหลียวซ้ายแลขวา

ครั้นเห็นว่าเหลือแต่เพียงมันคนเดียวเท่านั้น แล้วบรรดาศพพวกมัน

ล่ะจะทำอย่างไร   คงต้องปล่อยไว้แบบนี้ลำพังตัวคนเดียวยังแทบ

จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว  จะไปสนใจใยดีทำไมคงปล่อยไปตามนั้น

แล้วก็ลุกขึ้นยืนแต่ร่างกายมันเปื้อนไปด้วยคราบเลือดที่แห้งกรัง  ใน

คิดชั่วแวบหนึ่งมันคิดว่า 
 
     พวกที่มานั้นคงจะไม่ใช่คนธรรมดาแน่  แต่มันคงยังไม่ถึงที่ตาย

กระมังจึงทำให้พวกนั้น   จึงเว้นชีวิตมันไว้มีหรือพวกนั้นจะไม่รู้ว่า

มันแสร้งทำเป็นตาย แต่ในขณะที่แอบมองดูอยู่ก็ไม่แน่ใจหรืออาจจะ

รู้ก็ได้   พวกเหล่านี้เป็นใครกันยิ่งคิดก็ยิ่งมึนงงมาก  เอาล่ะต่อ

ไปนี้ข้าสาบานไว้แล้วจะหาทางออกจากสถานที่นี้ลัดเลาะไปแต่ใน

สภาพเช่นนี้คงจะเป็นที่สงสัยแก่คนพบเห็น 
 
     ดังนั้นมันจึงเดินค้นหาเสื้อผ้าตามบรรดาศพที่นอนตาย เลือกเสื้อ

ผ้าที่ไม่มีรอยเปื้อนเลือดผลัดเปลี่ยน  สถานที่นี้มันเคยมาย่อมรู้แหล่ง

ที่ไหนมีน้ำ  จึงเดินย้อนไปด้านหลังข้างๆเขาเป็นลำธารเล็กๆที่ไหล

มาจากเขา  แล้วก็เปลื้องผ้าออกชำระรอยเลือดที่ใบหน้าอาบน้ำชำระ

ร่างกายมัน ล้างคราบเลือดออกให้หมดเพื่อคนจะได้ไม่สงสัยมัน 

 โดยใช้ใบไม้มาถูกลบรอยให้หมด  แล้วก็ขึ้นมาสวมเสื้อผ้าใหม่

พลางนึกว่าเราจะไปไหนดีล่ะที่จะไม่ผ่านบ้านกำนันมั่น และหาวัด

ที่จะขอบวชล้างสิ่งชั่วร้ายต่างๆที่กระทำ  ทันใดความนึกคิดแว๊บหนึ่ง

ก็เข้ามา  มันนึกถึงพ่อหวนพ่อของสาวบงกชได้ว่าได้ไปบวชยังวัด

โคกอีแร้งทิ้งทุกๆสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้เป็นเจ้าอาวาสและอุปปัชฌา

จารย์อีกด้วยซึ่งก่อนนั้นกำนันหวนหรือก็เคยคุ้นเคยกับมันหากมันจะ

ขอร้องท่านก็คงจะได้  หากไปวัดอื่นๆจะมีปัญหาเกิดขึ้นอีกอย่างแน่

นอน  คิดได้ดังนี้จึงมองไปยังบริเวณเหล่านั้น  แล้วก็ออกเดินทาง

พลางหักกิ่งไม้ขนาดเล็กๆมาถือไว้ เดินไปฟาดเป็นทางเดินเพื่อป้อง

กันงูและแมลงมีพิษทั้งหลาย  แต่การกระทำของมันหาได้รอดพ้นจาก

สายตาของเจ้าเริ่มไม่ที่แอบแฝงดูการกระทำของมัน ก็นึกอนุโมทนา

ที่มันกล่าวคำสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็คิดจะเกื้อหนุนมัน

     ครั้นเจ้าผันเดินทางมาถึงรถกะบะมองดูแล้วว่ามันเหลือเพียงแค่

ซากด้วยรถถูกเผาเสียไหม้เกรียมไปหมด แต่ช่างเถอะเราเดินไปก็ได้

  พลางก้าวเดินไปตามทางเล็กๆที่มันผ่านมา  พลางคิดไปต่างๆนาๆ

  ระหว่างการเดินทางด้วยเท้าหากจะไปถึงวัดก็ใช้ระยะทางไกล

ด้วยและยังต้องผ่านบ้านกำนันมั่นซึ่งมันไม่อยากไปนักอาจจะเจอใคร

     จึงลังเลใจว่าจะทำอย่างไรดี   แต่การกระทำของมันนั้นอยู่ใน

สายตาเจ้าเริ่มไปไม่  หลังจากที่ให้บริวารกลับไปแล้วมันรู้ด้วยกระแส

จิตที่ฝึกฝนมา  คิดใคร่ที่จะสร้างผลบุญในการบวชของเจ้าผันนี้ด้วย

ว่าเจ้าผันนี้จะคงพ้นจากบ่วงกรรมแน่  มันจะได้สร้างกุศลอนุเคราะห์

มันด้วย     จึงเปิดทางคอยเฝ้าดูแลให้เจ้าผันเดินทางไปจนถึงถนน

ใหญ่ในขณะที่มันกำลังละล้าละลังจะทำประการใดดี

    พลันก็มีรถคันหนึ่งเปิดไฟส่องมาด้วยเป็นเวลาค่ำมืดแล้ว  คิดว่าจะ

ได้ขอโดยสารรถไป หากไปในเมืองก็จะดี  ดังนั้นมันจึงได้เดิน

ออกมาโบกรถ   รถคันนั้นก็เข้ามาจอดใกล้ๆมันมันรีบไปที่คนขับ

พลางเอ่ยถามว่าจะไปที่ไหน???    แต่มันหารู้ไม่ว่าคนที่ขับรถมานั้น

ก็คือเจ้าเริ่มนั่นเอง  มันยังไม่ทันร้องถามเสียงคนขับก็เปิดหน้าต่าง

พร้อมตะโกนร้องบอกมันทันที

   “จะยืนหาห่าอะไรล่ะ มาๆขึ้นรถมาเลยข้าจะไปส่งให้เอง”

เล่นเอาเจ้าผันงุนงงหนักขึ้น  เอ๊ะมันรู้ได้อย่างไรหวาว่าเราจะไปไหน

เสียงร้องก็ตะโกนมาอีกว่า

   “เฮ้ยๆๆๆเร็วๆ   เดี๋ยวไม่ทันการว๊ะ  ไม่ต้องกลัวข้าหรอกข้าจะไป

ส่งมึงที่วัดให้นะไอ้ผัน”

   “แล้วรู้อย่างไรว่าข้าจะไปไหนล่ะ??..แล้วรู้ชื่อข้าได้อย่างไร”

   “เออๆๆๆๆ....ข้ารู้ก็แล้วกัน  หรือว่ามึงจะเดินไปเอง ก็ตามใจมึง”

   “ขอบใจมากว๊ะ  ข้าไม่ถามอะไรอีกแล้วล่ะ เพียงสงสัยเท่านั้น”

   “มึงไม่ต้องสงสัยอะไรหรอก  รีบขึ้นรถมาเถอะรับรองว่ามึง

ปลอดภัยแน่นอน”

   คราวนี้ไอ้ผันไม่ถามอะไรอีกแล้ว พลางเปิดประตูรถนั่งคู่ไปกับ

คนขับทันที    รถก็เคลื่อนออกไปทันทีแต่เป็นทางไปทางบ้านกำนัน

มั่น  ครั้นเหลือบมองไปภายในบ้าน เห็นบรรดาสาวๆกำลังนั่งกิน

เหล้ากันอยู่  เสมือนจะรอพวกมันอยู่  มันนึกว่ามึงจะไม่ได้พบพวก

ไอ้แม้นอีกแล้ว  แล้วรถก็วิ่งเลยไปมันไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น จนรถ

แล่นผ่านถึงอาณาเขตของหมู่บ้านโคกอีแร้ง แล้วเลี้ยวซ้ายมือเข้าไป

ยังวัด  แต่รถจอดหน้าวัดคนขับหันมาพูดว่า

   “เออถึงวัดแล้วว๊ะ  กูส่งมึงแค่นี้นะโน่นกุฏีหลวงพ่ออยู่ที่โน่นมึง

เข้าไปหาท่านแล้วเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่าเสือกปิดบังเสียล่ะ”

   “แล้วมึงชื่ออะไรหรือว๊ะ ต่อไปข้าจะได้จดจำผู้มีคุณแก่ข้าไว้บ้าง”

   “เออๆๆๆ...ไม่ต้องถามหรอก เอาล่ะกูไปแล้วนะโว้ย”

   แล้วรถคันนั้นก็แล่นต่อไปหายไปในความมืดทันที   ไอ้ผันก็ยกมือ

ขึ้นไหว้ไปที่โบสถ์ที่มันเห็น  พอก้าวเข้าสู่ในบริเวณวัดก็ต้องชะงัก

ทันที เมื่อได้ยินเสียงตวาดดังลั่น  แต่มันมองซ้ายมองขวาไม่แลเห็น

มีใคร  สักพักหนึ่งจึงค่อยเห็นเงาลางๆของเด็กหนุ่มแต่แปลกมันคิด

โตป่านนี้แล้วยังไว้จุกอีก  และบรรดาเด็กทั้งหลายที่ต่างวิ่งกันมายืน

อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มนั้นทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย  ทุกร่างต่างมองมา

ทางมันทั้งสิ้น  เหมือนคอยคำสั่งเด็กผมจุกที่เป็นหนุ่มนั้นอยู่

   “มึงเข้ามาทำไมว๊ะในวัดนี้  จะเข้ามาขโมยของหรือไง”

   “เปล่าหรอก???...ข้ามาเพื่อจะขอพบหลวงพ่อหน่อยเพื่อขอความ

เมตตาจากท่าน  แล้วเอ็งล่ะเป็นใครหรือ???...”

ใบหน้าที่ทมึงบึ้งตึงของเด็กหนุ่มค่อยคลายความเครียดลง เอ่ยขึ้นว่า

   “อ้อๆ....ข้าดูแลวัดนี้แหละว๊ะเมื่อมาดีก็ไม่เป็นไร หลวงพ่อท่าน

กำลังนั่งสมาธิอยู่”

   “แล้วข้าจะมารบกวนหลวงพ่อหรือเปล่าล่ะ  เอ็งช่วยนำทางข้าไป

ด้วยเพื่อข้าจะได้นั่งคอยหลวงพ่อจนกว่าจะออกจากสมาธิ”

     ฉับพลันไอ้ผันก็เห็นร่างเด็กหนุ่มสะดุ้งแล้วหันมาพูดกับไอ้ผันว่า

   “หลวงพ่อท่านบอกว่าให้เอ็งเข้าไปหาได้แล้ว  โน่นๆๆกุฎีโน้น

แหละเอ็งไปคนเดียวก็แล้วกัน  พวกข้าจะไม่ส่งแล้วล่ะ”

   ไอ้ผันหันไปมองตามที่เด็กหนุ่มชี้บอก แล้วกล่าวกับเด็กหนุ่มว่า

   “เออๆๆขอบใจมากแล้วเอ็งชื่ออะไรว๊ะ ต่อไปข้าก็จะมาอยู่ที่นี่ด้วย

จะได้เรียกชื่อเอ็งถูกนะ”

   “ไหนเอ็งพูดใหม่ซิ จริงหรือว่าจะมาอยู่ในวัดนี้นะ”

   “จริงโว้ยไอ้หนุ่ม ข้ามานี้ก็เพื่อจะมาขอหลวงพ่อช่วยข้าบวชอยู่ที่นี่

ไม่ไปไหนอีกแล้วล่ะ  จะมาบวชเรียนกับหลวงพ่อนี่แหละ เอ็งยังไม่

ได้ตอบเลยว่า เอ็งนั้นชื่อเสียงเรียงนามอะไร หากเจอกันจะเรียกถูก”

   “ข้าชื่อจุกเป็นหัวหน้าพวกเด็กๆนี้แหละ  ต่อไปเอ็งก็จะรู้หรอกว่า

ข้าเป็นใคร  ไปๆเถอะหลวงพ่อคอยอยู่นะ”

   “เออขอบใจมากว๊ะจุก  คงจะได้เจอกันอีกเพราะข้าจะมาบวชที่นี่

นะ  และจะไม่สึกอีกแล้วล่ะ”

   “อ้าวๆๆๆจริงๆหรือว่าจะมาบวชที่นี่แล้วไม่สึกไปเหมือนพวกอื่นๆ

มักจะบวชเป็นครั้งเป็นคราวแล้วก็ไป”

   “จริงๆว๊ะจุก  ข้าตั้งใจแน่วแน่แล้วล่ะ  อย่างนั้นคงได้เจออีก  ข้าชื่อ

ผันนะ  ต่อไปก็คงจะเป็นพระที่นี่แหละ”

   “ถ้าอย่างนั้นสิ่งใดพวกข้าล่วงเกินก็ขออภัยให้พวกข้าด้วยนะพี่ผัน

ซึ่งข้ามีหน้าที่เฝ้าวัดอยู่ไม่ได้ไปไหนหรอก”

   “ไม่เป็นไรหรอกข้าอภัยให้ทุกอย่าง ข้าจะปฏิบัติธรรมที่นี่ด้วยได้

ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อหวนมาก่อนแล้วล่ะ”

   “ถ้าอย่างนั้นข้าขออนุโมทนาด้วยนะ ได้ธรรมอะไรก็ช่วยบอกข้า

ด้วยนะพี่ผัน  ไปเถอะพี่ด้วยหลวงพ่อจะคอยนาน เมื่อกี้นี้ท่านสั่งข้า

มาว่าให้ปล่อยให้พี่เข้าไปได้แล้วล่ะ  อย่าให้ท่านจะคอยนานนะ”

   คราวนี้ไอ้ผันงงมันรู้ได้อย่างไรว่าหลวงพ่อสั่งมัน มันยังไงชอบกล

จริงๆ  แต่ช่างเถอะเราตัดสินใจแล้วนี่นา  ก็หันไปบอกว่า

   “ถ้างั้นพี่ไปก่อนนะจุก  แล้วค่อยเจอกันนะ”

   “จ๊ะพี่ผัน  แล้วอย่าลืมจุกกับพวกเสียล่ะ  ไปๆๆโว้ยพวกเราไปเล่น

กันต่อเถอะต่อไปพี่ผันก็จะต้องมาอยู่ร่วมกับพวกเราแล้วล่ะ”

   กล่าวจบร่างเจ้าจุกและพวกๆก็วิ่งไปภายในบริเวณวัดแต่ไอ้ผันมอง

ตามไปก็สะดุ้งทั้งตัว  พลางขยี้นัยน์ตามันไป  ด้วยมันมองเห็นเพราะ 

ร่างนั้นช่างรวดเร็วและค่อยๆจางๆหายไป ในบริเวณปราศจากเด็กๆ

เอาเสียเลย คงเป็นบริเวณว่างเปล่าเท่านั้น   ไอ้ผันเบิ่งตาโตใช่แล้วมัน

คิดว่าไอ้พวกเด็กพวกนี้คงไม่ใช่คนแน่นอน  ขามันเริ่มสั่นขึ้นทันที

 เท่านั้นเองเจ้าผันก็รู้ทันทีว่าอะไรคืออะไร ดังนั้นมันจึงรีบวิ่งพลาง

เดินทางขึ้นไปยังกุฎีหลวงพ่อทันที   ครั้นมันเข้าไปถึงหน้ากุฎีมอง

เข้าไปในห้องภายใน  นั้นปราศจากสิ่งใดๆทั้งสิ้น นอกจากพระบูชา

ร่างหลวงพ่อหวนนั่งเอนกายคอยมันอยู่แล้ว   ไอ้ผันก็ก้มลงกราบ

ทันทีมันเอ่ยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลวงพ่อฟัง แล้วขอให้หลวงพ่อ

ช่วยบวชให้แก่มันด้วย  มันจะเลิกวางมือชั่วร้ายทุกๆอย่างแล้ว
   
   หลวงพ่อหวนครั้นได้ฟังดังนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า

   “คิดถูกต้องแล้วโยม ก่อนอาตมาก็เหมือนเอ็งแหละ กว่าจะกลับใจ

ได้ก็เกือบตายเหมือนกันแหละ จึงได้มาบวชกับหลวงพ่อทอง  หมั่น

ศึกษาเล่าเรียนธรรม  หากเอ็งตั้งใจบวชก็ให้บวชทั้งกายและใจนะ ให้

ตั้งใจบวชปฏิบัติธรรมให้เคร่งครัดให้วางตัวลืมอดีตเก่าๆเสียให้หมด

เพื่อจะได้พ้นจากเวรกรรมบ้างนะ”

   “ขอรับหลวงพ่อผมตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า  จะขอบวชจนตายครับ

หลวงพ่อและจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับทางโลกอีกต่อไปขอรับ”

   “เอาล่ะข้าจะบวชให้ส่วนเรื่องการบวชนี้ เอ็งมีเมีย พ่อแม่หรือเปล่า

ล่ะ  หากมีก็ต้องไปขออนุญาติก่อนนะถึงจะบวชได้มิฉะนั้นข้าก็บวช

ให้ไม่ได้หรอกผันเอ๋ย”

   “กระผมยังไม่มีเมียครับหลวงพ่อตัวคนเดียว พ่อแม่ตายไปนาน

แล้วเติบโตก็ที่บ้านกำนันมั่นนั่นแหละ”

   “ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่เป็นปัญหาหรอกข้าจะบวชให้ ขอให้ยึดมั่นถือ

มั่นอย่าได้ทนงตัว  หากข้าจะสอนวิชาต่างๆให้นะ”

   “ขอรับหลวงพ่อกระผมขอให้สัตย์สัญญาครับหลวงพ่อ”

   “ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็ไปนอนหน้าห้องข้านี้แหละว๊ะไว้หัดท่องขาน

นาคให้คล่องเสียก่อนนะ แต่คิดว่าคงไม่นานหรอกว๊ะ”

  “ขอรับหลวงพ่อผมจะยึดมั่นเชื่อฟังหลวงพ่อทุกๆอย่างขอรับ”

    หลังจากนั้นไม่นานไอ้ผันก็ได้บวชเป็นภิกษุสงฆ์คอยปรนนิบัติ

หลวงพ่อหวน มันพบว่าเป็นทางที่ประเสริฐจริงๆจิตใจที่เคยรุ่มร้อน

ก็ปลอดโปร่งยิ่งด้วยการเจริญสมาธิ จนเวลาผ่านไปนานมันก็ร่ำเรียน

พระธรรมได้อย่างคล่องแคล่วมากมายกลายเป็นภิกษุที่เคร่งครัดใน

ธรรมวินัยยากจะหาตัวจับได้ยาก  จึงเป็นที่ไว้วางใจของหลวงพ่อนัก

      หลังจากเจ้าเริ่มปฏิบัติหน้าที่เสร็จก็กลับมารายงานอาจารย์เปล่ง

พร้อมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง  เปล่งซึ่งบัดนี้ได้เป็นหัวหน้าหน่วย

ฝ่ายปฏิบัติงานด้านหนึ่งนั้น  ก็ให้เรียกประชุมบรรดาหัวหน้าทั้งหมด

มาเข้าประชุมทันที   โดยใช้ให้เด็กไปบอกพวกทั้งหลายให้รีบมา

ประชุมกันโดยด่วน เมื่อเหล่าบรรดาหัวหน้างานตลอดจนพรรคพวก

ของชวนมาครบแล้ว  เปล่งก็เอ่ยขึ้นว่า

   “บัดนี้เหตุการณ์ทางกรุงเทพฯเกิดการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงขนาน

ใหญ่และได้รับคำสั่งจากนายมาว่า  บรรดายาเสพย์ติดทั้งหลายที่ถูก

แยกย้ายกันไปซุกซ่อนไว้ในถ่ำตามเขาต่างๆทั่วจังหวัดนั้น ได้ถูกแบ่ง

ออกเป็นสี่แห่ง  และมีคำสั่งจากนายแจ้งมาว่าให้รีบจัดการทำลายเสีย

ให้หมดสิ้นก่อนที่มันจะมาขนย้ายไป ทำให้ยากแก่การทำลายล้าง

        ดังนั้นข้าเองได้จัดวางแผนและทำแผนที่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

ขอให้หัวหน้าจัดหน่วยกำลังแยกออกเป็นสี่ทาง ซึ่งหัวหน้าลูกน้อง

ของไอ้เสี่ยเม้งที่ให้พวกมันนำไปซุกซ่อน  ก่อนที่ทางคนของเสี่ยเม้ง

มันจะมานำของไป  ซึ่งมันวางแผนไว้ตามที่หัวหน้าฝ่ายลับได้

รายงานมาจากในเมืองแล้ว   ดังนั้นข้าจึงได้จัดทำแผนที่ซึ่งนายได้

บอกไว้แล้วอยู่ที่ไหนบ้าง  มีกำลังคนคุมอยู่เท่าไหร่  จึงให้รีบจัดการ

เสียให้สิ้นซากภายในวันสองวันนี้  หน่วยที่หนึ่งไปยังภูเขาทางด้าน

เหนือซึ่งมีบรรดาพวกเราคอยดูแลอยู่แล้ว  ให้ตี๋ใหญ่พร้อมกับตี๋เล็ก

ควบคุมคนไปประมาณ ห้าสิบคนแต่ละหน่วยจะมีคนเพียงแค่ห้าสิบ

คนเท่านั้น  หน่วยล่ะเท่าๆกันต้องรีบดำเนินการโดยเร็วอย่าให้มีการ

ผิดพลาดได้  ทำลายยาเสพย์ติดให้สิ้นซากภายในถ่ำนั้นแหละ

โดยด้านนี้ให้ตี๋ใหญ่เป็นหัวหน้านำกำลังไปจัดการ  ทางด้านทิศ

ตะวันตกนั้นให้เจ้าพ่วงเป็นหัวหน้าไปกับเจ้าชื่นคุมกำลังไปทำลาย

ทางด้านทิศใต้นั้นให้เจ้าเริ่มเป็นหัวหน้าไปกับเจ้ากุ๋น  ส่วนด้านทิศ

ตะวันออกนั้นให้เจ้าฉายซึ่งเป็นหัวหน้าหุ่นนั้นเป็นหัวหน้าพร้อมด้วย

เจ้าวาสคุมกำลังไปอีกทางหนึ่งโดยด่วน ให้เจ้าฉายนำทางไปนะ

     ครั้นเวลาเที่ยงคืนตรงก็ให้เข้าโจมตีกำลังของฝ่ายดูแลของนั้น

พร้อมๆกัน  ดังนั้นให้ทุกๆคนอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด  ส่วน

คนที่จะเข้าไปทำลายนั้นให้เด็กๆแฝงตัวเข้าไปเพราะเด็กพวกนี้จะ

ชำนาญทางอยู่แล้ว  เพียงให้คอยคุมเชิงไว้เท่านั้นหากมีการต่อสู้กัน

ขึ้น  แล้วปล่อยไว้ให้เหลือเพียงคนเดียวเพื่อจะได้กลับไปรายงานให้

หัวหน้าที่ควบคุมบรรดายาเสพย์ติดทราบเท่านั้นพอ”

    “ใครจะมีปัญหาใดๆให้รีบบอกมาให้ดำเนินการในวันมะรืนนี้”

   ตี๋ใหญ่พร้อมกับตี๋เล็กก็กล่าวขึ้นว่า

   “หากไปตามที่บอกไว้เนื่องจากภูมิประเทศด้านนั้นเรายังไม่ชำนาญ

จะไปทำการทันตามเวลาหรือ”

   “เรื่องการเดินทางนั้นไม่ต้องห่วง ด้วยบรรดาเด็กๆที่ติดตามไปนั้น

ทุกๆคนนั้นล้วนรู้กันหมดแล้ว  จะบอกให้เอ็งทราบไว้ทุกๆคนด้วยว่า

บรรดาเด็กๆนั้นไม่ใช่คนหรอก เป็นหุ่นที่นายสร้างขึ้นมาแต่ได้รับ

การเล่าเรียนวิทยาคมมา พูดง่ายๆคือผีหุ่นนั่นเองแต่พวกเอ็งไม่ต้อง

กลัวหรอก  ถ้าหากเด็กๆนั้นจะทำอาการอย่างไรก็ไม่ต้องตกใจกลัว

เพราะเขาเหล่านั้นจะรับฟังคำสั่งเอ็งเท่านั้นแหละ”

   เมื่อเจ้าเปล่งกล่าวจบทำให้บรรดาพรรคพวกเจ้าเปล่งต่างหน้าตา

เหลิกหลักกันไปตามๆกัน  พลางนึกว่าที่ก่อนนั้นมันก็อยู่กับพวกผี

ทั้งนั้นนี่หว่า   คล้ายๆเจ้าเปล่งจะอ่านจิตใจพวกมันออกยกเว้นเจ้าวาส

คนเดียวเท่านั้นที่เฉยเมยเสียด้วยรู้แล้วแต่แรก แถมยังมีแฟนเป็น

นางไม้อีกด้วย  งานครั้งนี้นางมณฑาแฟนมันคงจะต้องตามไป

แน่นอน  เพราะอย่างไรหล่อนคงจะไม่ต้องการให้มันต้องมีอันตราย

มันจึงอมยิ้ม  ด้วยเห็นเพื่อนๆมัน และบรรดาหัวหน้าฝึกและสายลับ

ต่างพากันตกใจตาเหลือกหน้าตาเหลิกหลั่กไปตามๆกัน

   “ใช่แล้วที่เองฉลองในวันประชุมคราวที่แล้วก็ได้แก่พวกผีสาง

นางไม้ทั้งสิ้นแหละ ตอนนั้นไม่เห็นเอ็งกลัวกลับหยอกเย้าแล้วจะไป

กลัวอะไรอีกเล่า”

    เจ้าเปล่งเอ่ยแล้วก็หัวร่อลั่น ส่วนบรรดาหัวหน้าหน่วยฝึกและ

หน่วยลับตลอดเพื่อนมันต่างตลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน...........

                แก้วประเสริฐ.

1139348gm3744qpip.gif				
8 กรกฎาคม 2554 17:01 น.

อทิสมานกาย ๙๖

แก้วประเสริฐ


                อทิสมานกาย ๙๖

   ฟ้าเริ่มสางลางๆระหว่างที่ทุกๆคนต่างหาความสนุกสนานกัน

นั้นหารู้ไม่ว่า บรรดาหญิงสาวทั้งหลายนั้นหาใช่มนุษย์ไม่ คงมี

เพียงเจ้าวาสคนเดียวเท่านั้นในบรรดาพรรคพวก  ส่วนบรรดา

หัวหน้าอื่นๆนั้นหารู้ไม่  บรรดาหญิงสาวทั้งหลายนี้หาใช่คนไม่
  
   ฉับพลันร่างเจ้าเปล่งก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งเรียก

บรรดาคนทั้งหมดมาพร้อมทั้งอธิบายแแผนการณ์ขึ้นทันที

ดังนั้นโต๊ะยาวจึงเต็มไปด้วยบรรดาหัวหน้าต่างๆ ส่วนหญิงสาว

ทั้งหลายก็หลีกหลบหายไปหมด  เจ้าเปล่งพลันเอ่ยขึ้นว่า

   “พรุ่งนี้กำนันมั่นมันให้ลูกชายมันไปเอาของที่แอบซ่อนไว้ใน

การขนย้ายคราวที่เจ้าพ่วงไปเอามาและทำลายไปแล้ว  จึงมีแอบ

อยู่  ข้าดูดวงชะตาแล้วว่าคราวนี้บรรดาสมุนทั้งหลายของกำนัน

คงจะถึงที่เสียแล้วด้วยกรรมมันมาถึงแล้ว  จึงอยากให้พวกเราไป

จัดการให้เสร็จสิ้นไป ในระหว่างการขนย้ายมายังบ้านมันนะ”

   “แล้วจะให้ใครไปล่ะ???...”

ไอ้ชื่นถามด้วยความสงสัย 

   “แล้วของที่ว่าไว้นั้นอยู่ไกลไหมเปล่ง”

ไอ้กุ๋น ไอ้ตี๋เล็ก  ไอ้ตี๋ใหญ่”

ถามขึ้นบ้างคงมีแต่เพียงไอ้วาสคนเดียวที่นิ่งฟังเฉยๆ ด้วยมันรู้มาจาก

พรายสาวแล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ด้วยนางพรายนี้เป็นหัวหน้าของ

บรรดานางพรายทั้งหลายทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของเจ้าเปล่งอาจารย์

อีกด้วยได้รับการอบรมสั่งสอนวิชาการมากมายด้วยนางนั้นมี

สติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าบรรดาภูติผีอื่นๆทั้งหมด  ดังนั้นเพียงแค่

ใช้เวลาไม่นานหล่อนก็ได้ฌานและสามารถรอบรู้เหตุการณ์อะไรๆ

ได้ดี  ในเมื่อหล่อนเกิดรักเจ้าวาสซึ่งเป็นคนที่ไม่มักมากในกามคุณจึง

ได้บอกเรื่องนี้ที่หล่อนเห็นมาให้ทราบ
  
     เจ้าวาสครั้นได้ฟังเปล่งกล่าวจึงเฉยๆ แต่เพื่อไม่ให้เปล่งสงสัยใน

การที่มันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว  จึงแสร้งเอ่ยขึ้นบ้างว่า

   “ถ้าเป็นเช่นนั้นทางเราควรให้เจ้าสนและเพื่อนๆมันที่มาเป็นพวก

เรานั้นไปดำเนินการมิดีหรือ???....”

   “อืมมๆๆๆ...ข้าก็คิดเหมือนเอ็งแหละโว้ยวาส ด้วยข้าสังหรณ์ใจจึง

เมื่อคืนวานนี้ได้ให้เจ้าสนและพวกไปดูทางบ้านกำนันมาแล้วล่ะ มัน

ได้มารายงานหมดแล้ว  ข้าเห็นว่าหากเรากำจัดทางเจ้ากำนันมั่นลงได้

ก็ทำให้ทางด้านนี้ก็จะทุเลาด้านเสพย์ติดลงไปมากทีเดียว ด้วยบรรดา

กำนันที่ตั้งขึ้นใหม่ ก็เห็นมีเจ้าช้วนที่มันได้เป็นกำนันคนเดียวเท่านั้น

ที่มันเก่งกล้าที่สุดพวกมากที่สุด  แต่ว่ามันเป็นคนฉลาดคงจะไม่กล้า

ทำอะไรหรอก   หากเราได้ไอ้ช้วนแห่งบ้านโคกยายหอยมาเป็นพวก

ก็คงจะดี  จะได้ให้มันไปคอยดูแลริมโขงด้านโน้นไว้มันเป็นคนที่มี

น้ำใจ ลองรักใครรักจริงด้วยอีกเพียงแต่ว่า   จะมีใครล่ะไปเกลี้ยกล่อม

มันเท่านั้นแหละ”

   เจ้าเปล่งหรืออาจารย์เปล่งเอ่ยเปรยๆขึ้น

   “ข้าเองแหละจะลองไปเจรจามันดูเพราะว่าเคยคบหากันมาจะไป

กับแม่มณฑาสองคนก็คงจะพอล่ะ  จะให้แม่มณฑทาไปเกลี้ยกล่อม

เมียไอ้ช้วนมันอีกทาง อีกอย่างหนึ่งไอ้ช้วนมันเป็นคนรักชาติ

บ้านเมืองมากคนหนึ่งคงไม่ยากหรอกว๊ะเปล่ง”

   “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะนางมณฑามันศิษย์ข้ามัน

เฉลียวฉลาดอยู่แล้วและสามารถไปได้ทั้งกลางวันกลางคืนได้อีกด้วย

เอาเป็นตกลงตามนี้นะวาส  ส่วนด้านอื่นๆอีกและใครล่ะจะอาสาไป”

   “พวกของข้าเองแหละว๊ะเปล่ง”

พวกไอ้วาสต่างขันอาสาทันที  ไอ้เปล่งหัวร่อก๊ากพร้อมเอ่ยขึ้นเพื่อ

ไม่ให้พวกมันเสียกำลังใจ

   “พวกเอ็งทั้งหมดไปช่วยพวกหัวหน้าฝึกและหัวหน้าฝ่ายลับ

เถอะว๊ะ  เพราะต้องขนอาวุธต่างๆมาหากใช้ชาวบ้านก็จะเป็นที่สงสัย

กันว๊ะ  เพียงให้หัวหน้าที่คุมอาวุธอยู่นั้นส่งมอบให้พวกเอ็งแล้วเอ็งก็

นำมาส่งทางนี้เท่านั้น  เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ ข้าเองก็ได้ปรึกษากับ

พี่ชวนไว้แล้ว เขาถึงได้กลับไปบ้านคนเดียว”

   “อย่างนั้นก็ได้ขอให้พวกข้ามีส่วนร่วมบ้างก็แล้วกัน”

 ไอ้ตี๋ใหญ่เอ่ยแทนพวกทั้งหมด   ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงหันไปทางเจ้าเริ่ม

พร้อมสั่งทันที

   “เริ่มเอ๋ยให้เอ็งนำกำลังไปประมาณ ยี่สิบคนก็พอแล้วแบ่งออกเป็น

สามพวก พวกหนึ่งคอยสะกัดพวกมันและฆ่าเสียให้หมดหรือจะ

เหลือไว้ก็ตามใจเอ็งนะ   อีกส่วนหนึ่งเข้าไปทำลายของในถ่ำนั้นนะ 

 พวกหนึ่งทำหน้าที่คอยล่อหลอกมันให้ออกมาก่อน

     งานนี้ให้ไอ้สน ไอ้โจ๊กและไอ้ดำนำทางไปก็แล้วกัน ส่วนการลง

มือนั้นเมื่อล่อมันออกมาแล้วก็จัดการเสียให้สิ้น แต่คงจะมีคนเฝ้าของ

อยู่ก็ให้ฝ่ายทำลายของนั้นจัดการ  อย่าให้มีใครรอดกลับมาได้

แม้แต่สักคนเดียวนะ หรือจะเหลือไว้ก็ตามใจเอ็ง

 เพราะว่าพรุ่งนี้มันจะออกเดินทางกันแล้วเพื่อไปนำของมาเก็บไว้ 

      ส่วนไอ้กำนันมั่นมันจะเข้าเมืองไปหาไอ้เสี่ยนั่นปล่อยให้ลูกชาย

มันไปจัดการงานนี้เอง  แต่ข้าเดาไม่ผิดเห็นทีว่ากำนันมันก็อาจจะถึง

ที่ตายด้วยล่ะ”

   “อ้าวไหนๆเป็นอย่างนั้นล่ะเปล่ง”

   “ก็เพราะไอ้เสี่ยในกรุงเทพฯมันไม่เหมือนไอ้เสี่ยแม้งหรอก  มันคง

จะให้ลูกน้อยมันตามมาเก็บหลังจากเดินทางกลับนะ  ตามที่ข้าดูดวง

ไว้   หากสิ้นกำนันมั่นคงจะทำให้พวกกำนันทั้งหลายขยาดกันไม่กล้า

ไปตามๆกัน   หรืออาจจะมีการยิงกันเองระหว่างพวกไอ้เม้งกับไอ้เสี่ย

ทางกรุงเทพฯอีกด้วย  ในไม่ช้านี้แหละว๊ะ”

   “ถ้าอย่างนั้นเป็นตกลงตามแผนของมึงว๊ะเปล่ง แล้วจะเริ่มทำงาน

กันเมื่อไหร่ล่ะว๊ะ พวกเราไม่ได้นอนกันเลยนะโว้ยเปล่ง”

   “ก็พวกมึงก็นอนเสียที่นี่นะซิว๊ะ  ส่วนเจ้าพ่วงกับเจ้าเริ่มมันจะออก

ไปรอที่เกิดเหตุพร้อมด้วยไอ้สนกับไอ้ดำไอ้โจ๊กก่อน ทางโน้นมึงไม่

ต้องไปทำงาน  ส่วนมึงจะทำงานก็ไปเพียงแค่ขนอาวุธก็ตกราวเย็นๆ

ค่ำๆนั่นแหละว๊ะ  เพราะตอนกลางวันหัวหน้าฝึกจะกลับไปเริ่ม

ดำเนินการรอพวกมึงไว้  ส่วนรถนะไม่ต้องห่วงนายเขาจะการส่งมา

ให้อีกหลายๆคันไว้แล้วด้วยล่ะ ป่านนี้คงจะมาเรียบร้อยแล้วโว้ย” 

  “ถ้าอย่างนั้นพวกข้าก็ไปพักผ่อนได้แล้วซิว๊ะ”

   “ถ้าอย่างนั้นข้าก็กลับไปเตรียมงานไว้ก่อนนะ”

    พวกเจ้าวาสเอ่ยและหัวหน้าฝึกด้วย
 
   “เดี๋ยวข้าจะให้เด็กนำทางไปส่งนะไม่ต้องห่วงไปพักผ่อนที่บ้าน

ก่อนก็ได้เพราะกว่าพวกไปรับของไปถึงก็คงตกราวเย็นๆใกล้มืด

แหละนะ  อ้อๆๆๆเรื่องนี้อย่าให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านตลอดชาวบ้าน

รู้เลยนะว่าเราจะมีการขนอาวุธกันเป็นอันขาด นายสั่งเอาไว้ด้วย”

   “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกเปล่ง เพราะเราเคยทำงานกันมาแล้วเมื่อ

คราวไปปราบไม้เถื่อนนั้น ผ่านสงครามมาแล้วกันทั้งหมดแล้วล่ะ”

   “แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ จะได้ให้เด็กไปส่งให้นะ”

   “เห็นว่าเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็จะขอไปเลยดีกว่าจะได้ไปพักผ่อน

เตรียมตัวไว้ด้วย อีกอย่างหนึ่งบรรดาเด็กๆจะได้ไม่ห่วงด้วย”

    ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงหันไปเรียกพวกมาสามสี่คนเพื่อจะนำทางให้

เหล่าหัวหน้าฝึกกลับออกไป  เพราะมิฉะนั้นอาจจะหลงทางก็ได้

    ครั้นเวลาสายๆพระอาทิตย์ส่งแสงกระจายไปทั่วบริเวณต่างๆทำให้

บรรดาหมอกต่างๆหายลับไปหมด  การทำงานของชาวบ้านใน

หมู่บ้านซึ่งออกไปทำงานตามไร่นาแล้ว ภายในบ้านกำนันมั่น

 ไอ้แม้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ลงมายังข้างล่าง ส่วนกำนัน

มั่นนั้นได้ออกเดินทางเข้าเมืองไปก่อนแล้ว เพราะต้องไปหาไอ้

เสียเม้งเพื่อรายงานผลต่างๆพร้อมหนังสือยืนยัน

   ดังนั้นภายในบ้านกำนันจึงเหลือคนไม่กี่คนส่วนบรรดาสาวๆต่างก็

พากันกลับมาหลังจากไปพักที่บ้าน ต่างทะยอยกันเข้ามายังบ้านกำนัน

ด้วยไม่ได้ทำงานในไร่ด้วยสิ่งต่างๆได้เป็นของกำนันมั่นเรียบร้อยไป

แล้ว จึงทำให้บรรดาสาวที่ตกเป็นนางบำเรอของกำนันและคนที่

หล่อนชอบใจ  เพื่อมาหาอาหารกินกันต่างแลเห็นบรรดาลูกชาย

กำนันได้เตรียมกำลังพล มีไอ้เจี๊ยบ ไอ้แช่มซึ่งหายดีแล้ว ไอ้หาญและ

ไอ้ผัน กำลังเตรียมตัวกันนำอาวุธต่างๆมาใส่ในรถกะบะ  และยังมี

ชาญฉกรรจน์อีกสี่ห้าคนที่ไอ้แม้นให้ไอ้หาญไปติดต่อนำมาด้วย

    สักครู่หนึ่งไอ้แม้นก็ก้าวลงมาจากบันไดบ้าน  มันหันไปทาง

บรรดาสาวๆพลางกล่าวขึ้นว่า

   “เฮ้ยพวกสาวๆโว้ยมึงคอยดูแลบ้านด้วยนะโว้ยพวกข้าจะไปทำธุระ

คิดว่าคงไม่นานหรอกตกเย็นๆคงจะกลับมาแล้วล่ะ  อ้อให้พวกเอ็ง

จัดการเตรียมอาหารเหล้ายาไว้ด้วยนะจะได้มาร่วมกันกินกัน”

   “พ่อแม้นไม่ต้องห่วงหรอก  เออแล้วของหมดจะทำอย่างไรล่ะ”

   “อ้าวๆๆๆ....มึงก็ไปซื้อในตลาดมาซิว๊ะทำโง่ไปได้”

   “ซื้อนะซื้อได้หรอก  แต่พวกข้าไม่มีเงินซื้อนี่นา”

   “งั้นมึงมาเอาไปซื้อก็แล้วกันว๊ะ คอยเดี๋ยวนะ”

    ไอ้แม้นก็ก้าวขึ้นบันไดเข้าไปในบ้านสักครู่หนึ่งก็เดินออกมาพร้อม

ยื่นเงินก้อนหนึ่งให้แก่นางสร้อยไว้ แล้วกล่าวว่า

   “อีสร้อย มึงกับอีลัดดา อีชบา ไปสามคนก็พออ้อๆๆซื้อเหล้ามาเผื่อ

ไว้ด้วยนะ สักลังสองลังพร้อมโซดาด้วยนะ  เอารถกะบะอีกคันหนึ่ง

ขับไปซื้อของก็แล้วกันในหมู่บ้านเรานี่แหละไม่ต้องเสือกไปซื้อใน

เมืองหรอก  เงินคงจะพอนะเหลือก็แบ่งกันไว้แล้วกัน”

   “เออๆๆๆ!!!!.....มีเงินทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วรีบกลับมากินก็แล้ว

กันนะ”

    เมื่อเจ้าแม้นยื่นเงินให้แก่พวกสาวๆแล้ว ก็เดินไปขึ้นรถกะบะที่

ไอ้เจี๊ยบกำลังติดเครื่องรถรออยู่  ครั้นมันนั่งที่หน้ารถแล้วรถก็วิ่ง

ออกไปทางด้านทางไปบ้านโคกเนินสูง เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางป่าด้านเขา

ทันใดนั้นนกตัวหนึ่งก็พุ่งตัดหน้ารถปะทะกับกระจกหน้ารถตกลง

มาตายหน้ากะบะเครื่องทันที  ร่างนกดิ้นกระแด๋วๆแล้วหล่นลงจาก

รถไปทันที  ทำให้ไอ้แม้นสะดุ้งเฮื้อกที่เห็นเช่นนั้นรวมทั้งไอ้เจี๊ยบ

ด้วย  ส่วนไอ้หาญ ไอ้ผันเองก็ตลึงเช่นกัน  มันนึกถึงตอนไปเคยไป

ดักฉุดนางบงกชทันที  เหมือนเป็นลางสังหรณ์แก่พวกมัน

   ต่างคนต่างมองหน้ากัน ส่วนไอ้แม้นก็พรึมพรำทันทีแต่เสียงไม่ดัง

รอดออกมาก มันก็คิดเช่นเดียวกับไอ้หาญไอ้ผันด้วย  จึงบอกแก่พวก

มันในเรื่องเรื่องแก่ไอ้เจี๊ยบและหันหลังไปทางไอ้หาญและไอ้ผันว่า

   “เฮ้ยลางไม่ค่อยดีแล้วโว้ย  ให้พวกมึงระวังตัวไว้ด้วยนะดีนะที่เป็น

กลางวันโว้ยมันแค่นกธรรมดาที่ถึงที่กระมังว๊ะ”

   “ทำไมหรือพี่แม้น เรื่องธรรมดานกมันถึงที่ตายเสือกบินมาชนเท่า

นั้นเอง ไม่มีอะไรหรอกว๊ะเชื่อข้าเถอะ”

   “เออๆๆๆ...ข้าก็คิดเหมือนมึงนี่แหละว๊ะ  ช่างมันเถอะว๊ะรีบๆ

หน่อยก็แล้วกันนะโว้ย งานจะได้เสร็จแล้วมาฉลองกันกูสั่งให้บรรดา

อีสาวๆเตรียมอาหารไว้ฉลองกันแล้วโว้ย”

   “จ๊ะพี่ ....เดี๋ยวข้าจะเร่งเครื่องอีกไปอีกไกลไหมล่ะ????.....”

   “ไม่ไกลหรอกว๊ะ อีกเลี้ยวเดียวก็จะถึงแล้วมึงมองเขาลูกนั้นไว้แล้ว

ไปตามทาง ใครเอามีดตัดต้นไม้มาบ้างว๊ะ”

   “ข้าเตรียมมาแล้วล่ะว๊ะแม้น”

   ไอ้หาญตอบไอ้แม้นทันทีพร้อมนำออกมาโชว์ให้ไอ้แม้นเห็นด้วย 

  เก็บไว้ด้านหลังล่ะแต่คงไม่ได้ใช้กระมังเพราะมันไม่มีต้นไม้ใหญ่นี่

นา  จะใช้ไปทำไมกัน มันพรึมพรำด้วยสงสัยในใจไม่ไม่พูดอะไร

   “ก็ไม่แน่โว้ยไอ้แม้นบอกเพราะว่าเราไม่ได้มานานแล้วอาจจะบาง

ทีต้องใช้มันก็ได้นา”

    สักครู่หนึ่งรถก็มาถึงทางสิ้นสุดลง  รถเข้าไปไม่ได้ต้องเดินเท้าเข้า

ไปอีกหน่อยด้วยเป็นทางขรุขระมีต้นไม้บดบังทางไปสู่เขาคงมีแต่

ทางเล็กๆเท่านั้นที่ใช้เดิน   ทั้งหมดจึงลงจากรถแล้วออกเดินไปโดย

มีไอ้หาญนำหน้า  ใช้มีดตัดกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาให้เดินผ่านไปได้

สะดวก   เมื่อผ่านพ้นกิ่งไม้ที่ขวางทางแล้วก็มองแลเห็นปากถ่ำ

เขาจึงพากันเดินเข้าไปในถ่ำ  ไอ้แม้นกับไอ้ผันสองคน ส่วนที่เหลือ

ก็ยืนอยู่หน้าถ่ำทุกๆคนต่างพกอาวุธติดตัวมาด้วยกันทั้งสิ้น

    เพียงไม่นานนัก ไอ้แม้นกับไอ้ผันก็เดินออกมา บอกทุกๆคนว่า

ครบเรียบร้อยแล้วโว้ย  เตรียมตัวไปขนได้แล้วล่ะ   ทันใดนั้นเสียง

ดังขึ้นอย่างโหยหวนชวนขนลุกดังขึ้นรอบๆบริเวณนั้นไปทั่วแนวป่า

   “ไอ้แม้นโว้ยยยยยย!!!!ๆๆๆๆ....ให้กูช่วยพวกมึงด้วยหรือไม่ว๊ะ”

   ทำเอาพวกไอ้แม้นสดุ้งกันไปตามๆกัน มันไม่คิดว่าจะมีคนอยู่

เพราะเป็นป่าร้างที่ไม่มีใครมาหาเก็บของป่าขาย เพราะไม่มีต้นไม้

หรือสมุนไพรอะไรเลย นอกจากต้นไม้ที่ไม่จำเป็นเท่านั้น 

  เสียงก็ดังขึ้นอีกหลายๆครั้งติดต่อกัน แต่เสียงนั้นมันชอนไชเข้าไป

ในหัวใจของคนได้ยินกันทั่วๆ ต่างหน้านาเหลิกหลั่กๆกัน

   “ไอ้แม้นโว้ยยยยยยๆๆๆ....ข้าไอ้สนกับไอ้ดำ มึงจำไม่ได้หรือว๊ะ”

   “ข้าไอ้โจ๊กด้วยไงล่ะว๊ะ  มึงลืมเพื่อนมึงเสียแล้วหรือ????.....”

   คราวนี้ไอ้แม้น ไอ้หาญ และไอ้ผันตาเหลือกทันที ด้วยพวกมันรู้ว่า

ที่เอ่ยชื่อมานั้น พวกมันที่ตายไปแล้วทั้งนั้นนี่เอง และของที่เก็บไว้ที่

นี่ไอ้พวกนี้ก็มาช่วยขนเก็บซ่อนไว้  และเป็นความคิดของไอ้สนเสีย

ด้วย  จึงต่างตลึงตกใจไปสิ้น

   “เฮ้ยๆๆๆพวกมึงใครกันแน่ว๊ะมาอ้างชื่อให้กูกลัวได้ไอ้ห่าเอ๋ย”

   “กูไม่ได้อ้างว๊ะไอ้แม้น  กูไอ้สนจริงๆนะโว้ยมึงดูซิ”

    พอเสียงมันกล่าวจบ  ร่างๆหนึ่งก็ค่อยสูงชะลูดขึ้นสูงขึ้นๆจนเลย

ต้นไม้  คราวนี้ไอ้แม้น ไอ้หาญ ไอ้ผัน จำได้แม่นยำแล้ว ว่ามันคือ

ไอ้สนที่ตายไปแล้วนั่นเอง  ทุกๆคนยกเว้นคนอื่นที่พามาไม่รู้เรื่อง

รู้ราวก็เฉยๆ แต่ก็ตลึง ส่วนไอ้แช่มทรุดตัวลงนั่งทันที  มันจำได้อย่าง

แม่นยำเพราะมันไปทำงานกับไอ้สนร่วมกันมาคราวก่อนนั้นเอง

    “เฮ้ยๆๆๆมันปลอมตัวมา  ออกไปยิงมันเลยว๊ะไอ้ห่าทำมาหลอก

ผีมันจะออกมากลางวันได้หรือว๊ะ????.....ไปยิ่งแม่งมันเลยว๊ะ”

   “เออ!!!!ๆๆๆๆ....จริงๆว๊ะผีมันจะออกมากลางวันได้อย่างไรไป

พวกเรายิงมันเลยว๊ะ”

   ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังสนั่นหวั่นไหว  ปืนทุกกระบอกหันไปทาง

ร่างไอ้สนที่สูงชะลูดพร้อมไอ้ดำและไอ้โจ๊ก  แต่ร่างนั้นหาสะเทือน

ใดๆไม่  ต่างหัวร่อเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณอย่างโหยหวนพองขน

   “ยิงมาอีกซิว๊ะ  ไม่เห็นยิงถูกสักนัดเดียวเลยโว้ย ฮ่าๆๆๆๆๆ....”

    อันที่จริงกระสุนนั้นถูกทุกๆนัดแต่มันเลยผ่านร่างนั้นหายไปสิ้น

คราวนี้เลือดบ้าของไอ้แม้นกับพวกซึ่งไม่เชื่ออยู่แล้วว่าผีมันจะหลอก

ในกลางวันได้  พลางคิดว่าคงจะเอาหน้ากากเสื้อผ้าผูกไม้ยื่นให้เหนือ

ต้นไม้ไว้หลอกพวกมัน   จึงได้ รีบวิ่งออกจากปากถ่ำกระจายกำลัง

ออกไปทันทีพร้อมส่งกระสุนไปยังใต้โคนไม้แถวที่มันแลเห็นว่า

เป็นคนชักไม้ขึ้นมาหลอกพวกมันเอง ทำให้ต้นไม้แตกกระจุยไป

และแล้วร่างพวกมันก็ล่วงผล๊อยๆๆไป เมื่อเสียงปืนดังระงมมาจาก

ทิศทางต่างๆ เป็นปืนยิงเร็วแบบอาก้า  ร่างไอ้หาญซึ่งกำลังยิงร่างไอ้

สนอยู่ก็ผงะล่วงฟุบลงกับพื้นทันที เลือดไหลออกจากหน้าอกแดง

ฉานไปทั่วร่างกายมันล้มฟุบทันที   แล้วไอ้แม้นกับไอ้ผันไอ้แช่มก็แล

เห็นร่างหลายๆคนต่างเดินเรียงรายกันเป็นแถวหน้ากระดานออก

มาจากแนวป่า แถวบริเวณลานหน้าถ่ำ มันต่างหันไปยิงพวกนั้นทันที

คนที่เฝ้าปากถ่ำก็ล่วงกลิ้งตกลงมาจากเนินหน้าปากถ่ำทันที ร่างมัน

ชุ่มไปด้วยเลือดสดๆตกลงมาข้างกายไอ้แม้นปะทะร่างซึ่งกำลังยิงอยู่ 

        ด้วยสัญชาติญานมันรีบทิ้งตัวลงราบกับพื้นส่งกระสุนไปยังร่าง

ต่างๆที่ออกมาจากแนวป่าทันที   ทุกๆร่างต่างกระจายกันออกยิ่งมา

ไปยังพวกไอ้แม้นและคนทั้งหลาย ต่างล้มตายลงหลายๆคน

 ไอ้แม้นพร้อมตะโกนให้ทุกๆคนหมอบยิงไว้ อย่ายืนเป็นอันขาด

ดังนั้นบรรดาชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่ก็ต่างรีบหาที่กำบังยังก้อนหินบ้าง

นอนราบยิ่งโต้ตอบบ้าง   ตามแนวโค้นต้นไม้ใหญ่บ้างทุกๆคนหันไป

ยิงยังร่างที่เดินออกจากแนวป่า  แต่ก็พากันตกใจกันเมื่อกระสุนไม่

อาจจะทำอันตรายแก่พวกเหล่านั้นได้สักคนเดียว ทำให้ใจมันเสียแต่

กระสุนที่ยิงออกมานั้นต่างทำให้พวกมันมันล้มตายลงหลายคน

       เสียงไอ้แม้นร้องลั่นตะโกนสั่งให้ทุกๆคนหนีเอาตัวรอดทันที

   “ไอ้แช่มโว้ยช่วยกูด้วย กูถูกยิ่งแล้วโว้ย”

เสียงไอ้แม้นตะโกนให้ไอ้แช่มมาช่วยมันก่อนทันที แต่แล้วเสียงมัน

ก็เงียบหายไป ร่างมันผงะพลิกดิ้นพลาดๆท่ามกลางกองเลือดมันเอง

   แต่ไอ้แช่มหันไปดูร่างไอ้แม้นก็ต้องจนใจเพราะ ร่างไอ้แม้นกลับ

ถูกยิ่งอีกที่ใบหน้าทำให้ ใบหน้ามันหายไปครึ่งหนึ่ง   แต่แล้วมันเอง

ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อโดนกระสุนเข้าที่ร่างและศีรษะหงายพลิกคว่ำ

หน้าตายทันที  การยิ่งต่อสู้ผ่านไปสักพักคงเหลือเจ้าผันเท่านั้นที่ยิง

พลางหนีพลางเพื่อจะหลบไปที่ถ่ำเพราะ รอบๆบริเวณนั้นล้วนแล้ว

แต่คนที่มายิงมันทั้งสิ้น     ทางเดียวที่จะหลบคือถ่ำเท่านั้น มันมองไป

รอบๆเพื่อหาเพื่อน แต่ปรากฏว่าต่างตายกันหมดคงเหลือมันคนเดียว

  มันส่ายร่างคล้ายงูไปๆมาๆ พร้อมหันไปยิงตอบครั้งหนึ่ง แต่แล้วมัน

ก็ต้องตกใจมากเมื่อ  เสียงระเบิดในถ่ำดังสนั่นหวั่นไหว ปรากฏหิน

ล่วงพรูมาปิดปากถ่ำหมด  ไอ้ผันชะงักที่พึ่งสุดท้ายมันหมดแล้วหมาย

ความว่ายาเสพย์ติดที่เก็บไว้คงถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้วด้วย     มัน

สอดส่ายสายตาเพื่อหาทางเอาตัวรอด มันคิดคงจะเหลือมันคนเดียว

เท่านั้นเอง แล้วความคิดหนึ่งก็แว๊ปเข้ามามันรีบพลิกร่างไปยังร่างชาย

ฉกรรจ์ที่ถูกปืนตายอยู่ใกล้ไป  มันรีบเอาร่างนั้นมาบังร่างมันไว้พร้อม

ละเลงเลือดไปตามใบหน้ามันและเสื้อผ้ามันทันทีแสร้างทำเป็นตาย

พร้อมคว่ำหน้าลงกับพื้นเหลือซอกหินพอแค่หายใจนำร่างที่ตายแล้ว

มาทับบนล่างมัน ปืนมันโยนทิ้งข้างๆ จึงทำให้มันรอดตัวไปได้   แต่

มันหารู้ไม่ว่าพวกที่รายล้อมมันไว้นั้นหาใช่คนไม่ย่อมรู้ว่ามันยังไม่

ตายปืนทุกกระบอกจึงหันไปยังร่างไอ้ผันทันทีหมายจะยิงซ้ำเพื่อไม่

ให้เหลือสักคนเดียว   แต่เจ้าเริ่มยกมือห้ามปรามไว้พยักหน้าบรรดา

พวกพ้องไว้ไม่ต้องไปฆ่ามัน ปล่อยมันไว้คนเดียวเพื่อจะได้กลับไป

รายงานพวกมันทางบ้านของกำนันมั่นถึงเหตุการณ์เหล่านี้ไว้

      ครั้นงานจัดการเรียบร้อยแล้ว บรรดาพวกเจ้าเริ่มก็ทะยอยกันหาย

ลับไปทันที  พร้อมทั้งทำลายรถกะบะที่นำมาจากบ้านกำนันเสียสิ้น

ไม่ให้สามารถใช้ได้อีกต่อไป........

                       แก้วประเสริฐ.

1139348gm3744qpip.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ