30 มิถุนายน 2554 20:41 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๕
ปรี๊นๆๆๆๆ เสียงดังจากนอกรั้วบ้าน บรรดาหญิงสาวและหนุ่มต่าง
กำลังนั่งสนทนากัน บ้างก็กินเหล้าไปพลางๆคอยการกลับมาของเจ้า
แม้นและพวกที่ไปทำงานอยู่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งไปรีบเปิดประตู
บ้านทันที รถกะบะก็แล่นเข้ามาจอดยังใต้ต้นมะขามที่ใช้เป็นที่นั่ง
อยู่ เจ้าแม้นก้าวลงจากรถมาก่อนตามด้วยพวกที่หิ้วของพะรุงพะรัง
รถก็แล่นไปจอดยังที่เก็บรถใต้ถุนบ้าน เจ้าแม้นยังไม่ทันจะได้นั่ง
ก็ได้ยินเสียงตะโกนลั่นมาจากบนบ้านทันที
“ไอ้แม้นโว้ยมึงมาหากูก่อนโว้ย”
“เรื่องอะไรหรือพ่อ ทุกๆอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งแล้วนี่นา”
ไอ้แม้นตะโกนตอบพ่อมัน กำนันมั่นเหมือนจะไม่ทันใจนักจึงรีบ
ลงมาจากบ้านแล้วรีบเดินมาหากลุ่มเจ้าแม้นทันที ด้วยสีหน้าตื่นๆ
พลางกล่าวว่า
“ฉิบหายใหญ่แล้วโว้ยไอ้แม้น คนมารับของไม่ใช่ไอ้มุ้ยคนของ
เสี่ยเม้งหรอกว๊ะไม่รู้ใครมาสวมรอยโว้ย”
“เฮ้ยๆๆๆ!!!!!!????? จะเป็นไปได้หรือพ่อก็รูปร่างหน้าตาพ่อก็
เคยเห็นมาแล้วนี่นา ยังมีหนังสือยืนยัน นี่ใบรับของก็มันทำให้ผมไว้
พ่ออ่านดูซิ”
มันกล่าวพลางล้วงกระเป๋าควักหนังสือออกมาส่งให้ กำนันรับ
ไปอ่านดูก็สีหน้าเหมือนผีหลอก จึงกล่าวว่า
“พอมึงไปได้สักครูใหญ่ๆก็มีพวกมาบอกว่าเป็นไอ้มุ้ยคนของเสี่ย
เขา ชักยังไงเสียแล้วซิว๊ะ????..... มันก็มีหนังสือมาด้วยเหมือนกันกูดู
แล้วเหมือนกันเปี๊ยบเลยว๊ะ แล้วพวกก่อนนั้นไปทางไหนหรือว๊ะ”
“พอมันรับของออกหนังสือแล้วมันขนไปหมดเลยพ่อ ไม่ทิ้งไว้ให้
สักถุงเลยล่ะ มันบอกว่ายังไม่พอต้องไปเอาที่อื่นอีกด้วย หากพ่อไม่
เชื่อลองถามพวกที่ไปดูซิ”
“ใช่พ่อกำนัน พวกฉันยังช่วยมันขนแล้วมันบอกว่าต้องไปทำงาน
อื่นอีกจึงได้แยกทางไปทางลัดนะ”
ไอ้หาญ ไอ้ผันยืนยันคำของไอ้แม้นด้วย ทำเอากำนันเกาหัว
แกร๊กๆ มันชักยังไงว๊ะ คนก็เหมือนกันยังกับแกะรถก็เหมือนกันด้วย
โอ้ย พวกมึงลองไปดูซิว่าทางที่มันไปนั้นจะมีอะไรอีกหรือเปล่าด้วย
กำนันสังหรณ์ใจชอบกล
“งั้นข้ากับไอ้ผันไปดูเอง พ่อกำนันคอยเดี๋ยวนะ”
“เออๆๆๆ....ดีเหมือนกัน เห็นทีกูจะต้องไปพบเสี่ยเม้งเสียแล้วแล้ว
มึงรีบกลับมานะ”
กล่าวแล้วกำนันก็เดินไปคว้าแก้วเหล้าที่รินอยู่ของหญิงสาว
ยกขึ้นดื่มเอื้อกๆๆทีเดียวหมดแล้ว ด้วยความหงุดหงิดใจ พลางเอ่ย
เปรยกับบรรดากลุ่มที่นั่งฟังกำนันมั่น ในเรื่องนี้ว่า
“นั่นซิพอมึงไปก็มีมาอีกชุดเหมือนกันเปี๊ยบเลยว๊ะ กูสงสัยว่ากลุ่ม
แรกคงจะเป็นฝ่ายปลอมตัว ส่วนกลุ่มหลังคงจะใช่คนของเสี่ยมันว๊ะ
เพราะเมื่อมันฟังเท่านั้นดูหนังสือที่กลุ่มแรกให้ไว้จึงค่อยยังชั่วหน่อย
พวกมันชักปืนออกมา อีกสาวๆทั้งหลายก็เห็นไอ้แช่มก็รู้และยังเป็น
พยานให้แก่กู มิฉะนั้นยิงกันฉิบหายใหญ่มันรีบตามไป แล้วมึงไม่
เจอพวกกลุ่มหลังเลยหรือว๊ะไอ้แม้น”
“ไม่เจอจ๊ะพ่อ พอเสร็จข้าก็ไปซื้ออาหารที่พ่อสั่งยังร้านยายลัดดา
มาให้พึ่งจะกลับมานี่แหละ สงสัยว่ามันคงจะคอยดักทางกลับกระมัง
เพราะทางอื่นไปไม่ได้ด้วยนะพ่อ”
“เออจริงของมึง ไอ้หาญกับไอ้ผันไปแล้วคอยฟังข่าวมันก็แล้วกัน
อาจจะมีเรื่องกลับมาบอก หากมันมาให้มึงไปพบกูด้วยนะ”
กล่าวแล้วกำนันมั่นก็ก้าวพรวดๆขึ้นไปบนบ้านทันทีเหมือนหนูติด
จั่นไม่ผิด เดินไปเดินมาเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออกมายังชานเรือน
ไอ้แม้นกับพวกต่างงุนงงกันไปทั่ว พลางไอ้แม้นร้องว่า
“เฮ้ยอีสาวๆทั้งหลาย มีแบบนี้ด้วยหรือว๊ะ กูงงเอาเป็นมากๆ
เสียด้วยว๊ะ ทำไมมันถึงมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆทำไมคนมันจึง
เหมือนกันได้อย่างไรโว้ย พ่อกูจำไม่ผิดหรอกมิฉะนั้นคงไม่ให้ไปเอา
ของให้แหละ พ่อกูก็ผ่านประสบการณ์มามากด้วย อีกทั้งเล่ห์เหลี่ยม
หรือก็ไม่เป็นรองใคร แต่งานนี้มันดูชอบกลไงๆดูนะ แปลกโว้ย
แปลกจริงๆ กูคิดแล้วมึนยิ่งกว่าแดกเหล้าเสียอีกว๊ะ”
“จริงๆจ๊ะพี่แม้น พอพี่แม้นไปสักครู่ใหญ่ๆก็มีพวกมาอีกชุดหนึ่ง
เหมือนกันเปรียบเลยล่ะ ชุดหลังนี้ดุร้ายอีกด้วย ใบหน้าเหี้ยมเกรียม
มากๆ มันแยกกันพวกมันชักปืนออกมาทุกๆคนเลย ฝ่ายเราไม่มีอาวุธ
ด้วยใครจะคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ได้อีก มันมีทั้งอาวุธสั้นและ
อาวุธยิงเร็วพร้อมมูลเลยล่ะพวกเราได้แต่ตกใจตลึงไปหมด”
“แล้วจะทำอย่างไรดีว๊ะ เฮ้ยๆเอากับแกล้มของเราและของพ่อไป
ให้แก่หน่อยเพื่อแกจะได้ดับโมโหได้บ้าง???....”
“ใครจะกล้าเอาไปให้ตอนนี้ล่ะพี่แม้น พ่อกำนันกำลังโมโหอยู่นะ”
“งั้นมึงเอาไปเก็บไว้ก่อนโว้ย ส่วนของเราเอามานั่งแดกกันที่นี่
คอยไอ้หาญกับไอ้ผันก็แล้วกัน ไหนๆๆๆขอเหล้าสักแก้วซิว๊ะ”
บรรดาสาวๆกุลีกุจอรีบจัดการ อีนวลก็ยื่นส่งให้ทันที ไอ้แม้นรับ
มายกขึ้นดื่มพรวดๆเดียวหมด พร้อมส่งแก้วให้เติมมาอีก ทั้งหมดนั่ง
คุยกัน แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงสอดคล้องกันเช่นนี้อีก
ทั้งหน้าตาหรือก็ดันเหมือนๆกันอีกและซ้ำพ่อมันก็ยังให้ไปคงจะจำ
หน้าได้แน่นอน แต่นี่กลางวันนะหากกลางคืนก็คิดว่าเป็นผีแปลง
กายมาหลอกก็ได้ ยิ่งคิดความกลุ้มก็ยิ่งมากขึ้น
ดังนั้นทุกๆคนจึงกินไปมองไปที่หน้าประตูรั้วบ้านคอยดูไอ้หาญ
กับไอ้ผันที่ไปดูเหตุการณ์อยู่
ทันใดนั้นพ่อกำนันก็ก้าวฉับๆมายังพวกมันนั่งร่วมด้วยทุกๆคนต่าง
ขยับที่ให้กำนันมั่นนั่ง ด้วยความกลุ้มอยู่ข้างบนก็ไม่มีอะไรสู้มาคอย
ที่พวกไอ้แม้นไม่ได้ ต่างวิจารณ์ไปต่างๆนาๆ
“มันช่างเหมือนกันจริงๆนะพ่อ แล้วพวกกลุ่มแรกมันก็มาตามเวลา
ที่เสี่ยเม้งบอกไม่ผิดเวลา แล้วกลุ่มหลังล่ะพ่อมันมาถึงเมื่อไหร่”
“ก็นั่นซิว๊ะกูถึงไม่ระแวงสงสัยอีกทั้งหน้าตาและรถกูก็จำไม่ผิดนะ
ส่วนกลุ่มหลังมาช้า มันบอกว่ารถติดมากๆว๊ะ กูคิดว่ากลุ่มหลังนี่
แหละคือกลุ่มของเสี่ยเม้งเองแหละว๊ะ ส่วนไอ้กลุ่มแรกใครหว่า
กูก็สงสัยเหตุใดมันถึงรู้เวลามารับของอีกด้วย หรือว่าพวกมันจะ
เกลือเป็นหนอนหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไรหรอกกูมีหนังสือไว้ทำให้
ค่อยยังชั่วหน่อยนะ”
“หากไม่มีหนังสือก็เราฉิบหายกันเท่านั้นเอง เสี่ยมันคงจะไม่เชื่อ
หาว่าเราเล่นไม่ซื่อกับมัน”
“เออๆๆๆๆ....ที่ก็บอกมึงให้แอบซ่อนไว้ส่วนหนึ่งนั้นมึงไปดูมา
หรือเปล่าล่ะว๊ะ กูชักสงสัยจริงๆเมื่อทางนี้ยังเป็นไปได้ทางที่แอบ
ซ่อนไว้จะอยู่หรือเปล่านะ”
“ข้าเองเอาไปซ่อนไว้ที่เขาอีกลูกหนึ่งพ่อ คงจะไม่เป็นปัญหาหรอก
กระมัง เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะไปดูเอง ตอนนี้ก็ใกล้จะมืดทางไปลำบาก
มากด้วยนะ แล้วสิงห์สาราสัตว์มันก็ชุกชุมอีกด้วยมันจะออกมากลาง
คืนนะ”
“เออๆๆๆ....พรุ่งนี้มึงรีบเอาพวกไปตรวจดูนะ ด้วยเราจะได้มี
จำหน่ายไว้ไม่ขาดสาย”
“จ๊ะพ่อ ข้าจะไปดูเองแหละแต่ว่าไอ้หาญกับไอ้ผันไปดูมันจะรู้
หรือว่าเป็นอย่างไร ที่จริงไม่น่าให้มันไปหรอก ไปก็ไม่มีอะไร
เกิดขึ้นนะ แต่ข้าไม่อยากจะขัดใจพ่อเท่านั้นเอง”
“เออ!!!ๆๆๆจริงของมีว่า แต่กูใจร้อนไปไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง
ว๊ะ เรามีหนังสือยืนยันไว้แล้วนี่นา แต่ช่างมันเถอะว๊ะ ไม่พบก็ไม่เป็น
ไรหรอก มึงกินกับกูไปพลางๆก่อนก็แล้วกันนะ อ้าวอาหารที่กูสั่ง
ไว้มึงซื้อมา ก็เอามากินร่วมกันที่นี่ก็แล้วกัน อีลัดดาไปเอามาร่วมวัน
นี้กูจะกินร่วมกับพวกมึงนี่แหละว๊ะ”
“โอ้ว!!!!ๆๆๆเป็นบุญของพวกข้าจริงๆที่พ่อกำนันมาร่วมวงด้วย
นะ นานแล้วล่ะที่พวกเราไม่เคยเห็นพ่อกำนันจะมาร่วมด้วยเลย”
พวกสาวๆพากันส่งเสียงเฮฮากันลั่น เล่นเอาพ่อกำนันยิ้มแย้มได้
ด้วยมันไม่เคยมาร่วมวงกับพวกสาวๆและลูกชายมันเลย ดังนั้นสาว
ลัดดาก็รีบไปเข้าครัวพร้อมกับนางชบาลำเลียงอาหารออกมายังแคร่
และสาวๆก็มีหน้าที่คอยป้อนอาหารรินเหล้าส่งให้กำนันจนกำนัน
เมาทั้งสาวและเหล้า ก็เอ่ยว่า
“หากรู้ว่าสนุกดีอย่างนี้กูก็ลงมาร่วมวงกับพวกมึงก็จะดี ไอ้ห่ากิน
คนเดียวไม่สนุก อีแจ่ม อีสร้อยมันก็งั้นๆแหละคุยไม่สนุกเลยว๊ะ”
“ข้าก็บอกพ่อแล้วนี่นาว่าที่นี้สนุกสนานกัน หยอกเย้ากันได้เหมือน
ไปเที่ยวนั่งคาเฟ่เลยล่ะ แต่พ่อเต๊ะท่าเองแหละ”
“ไอ้แม้นนะไอ้แม้นเดี๋ยวกูถีบให้ โบราณว่าพ่อลูกอย่ากินเหล้า
ร่วมกันเดี๋ยวเวลาเมามาไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อใครเป็นลูกว๊ะ”
“ใครจะกล้าทำอย่างนั้นนะพ่อ”
“กูเห็นมามากแล้วโว้ยไอ้แม้น พอเมาเข้ามาเรียกพ่อเป็นพี่ พ่อ
เรียกลูกเป็นน้องว๊ะ กูเลยไม่กล้ามาร่วมนอกจากฟังพวกมึงคุยกัน
อันที่จริงมันก็สนุกนะ มีสาวๆนั่งป้อนด้วย ทำให้ดูสดชื่นขึ้นมากว๊ะ”
การสนทนาทั้งมีการโอบกอดบรรดาสาวๆ กำนันก็ร่วมด้วย
เพราะบรรดาสาวๆนั้นต่างก็ผ่านมือกันมาเกือบทุกๆคนด้วยเพียงแต่
สถานะการณ์บรรยากาศต่างกันเท่านั้นเอง ลมหรือก็พัดโชยๆสดชื่น
อากาศหรือก็ดีไม่เหมือนในบ้านกำนันคิด ไอ้ห่ากูนี่โง่มานานนักถึง
เรียกไปบรรยากาศมันก็เหมือนเดิม ไม่เหมือนที่นี่บรรยากาศมันแตก
ต่างกันมากๆ
ทันใดนั้นรถกะบะก็วิ่งเข้ามาจอด ไอ้หาญก้าวลงจากรถ ส่วนไอ้
ผันก็เอารถไปเก็บแล้วมาร่วมวงด้วย
“มีอะไรหรือเปล่าว๊ะไอ้หาญ”
กำนันร้องถามด้วยเสียงอ้อแอ้ ด้วยกำลังครึกครื้นสาวๆพากัน
ป้อนทั้งเหล้าและอาหาร ซึ่งอาหารก็อร่อยถูกปากกำนันอีกด้วย
“ไม่เห็นมีอะไรนี่นาพ่อกำนัน แต่เห็นแค่คราบเลือดส่วนศพนั้นไม่
มีข้าคิดว่าคงจะต้องมีคนตายแน่ๆเลยล่ะ ข้ากับไอ้ผันลงไปตรวจดู
เป็นรอยคราบเลือดมากๆที่แห้งกรังตามพื้นถนนและบริเวณตามใบ
ไม้เท่านั้นเองแหละ นอกนั้นไม่มีอะไรอีกเลยล่ะพ่อกำนัน”
“สงสัยว่าจะมีการยิงกันใหญ่แน่ๆ เพราะไอ้กลุ่มหลังมันไปคอยดัก
กลุ่มแรกอยู่ ส่วนจะเป็นศพหรือคนเจ็บคงจะถูกพวกมันเก็บไปหมด
แล้วล่ะว๊ะ เดี๋ยวไม่พรุ่งนี้มะรืนนี้กูจะต้องไปหาเสี่ยเม้งเสียแล้วเอา
หนังสือไปยืนยันกับเขา จะได้ไม่ต้องสงสัยอะไรทางเรา ส่วนไอ้
แม้นมึงก็ไปดูของที่เก็บไว้แล้วมาบอกกูด้วยนะ อย่าลืมเสียล่ะไม่ใช่
แดกจนเมาแล้วลืม”
“เรื่องนี้พ่อเคยเห็นข้าผิดคำสั่งพ่อหรือเปล่าล่ะ ในเมื่อมีงานทำข้าก็
กินพอบันยะบันยังเท่านั้นเองแหละ”
“เออจริงของมึง กูรู้เรื่องนี้ดีถึงให้มึงไปดูก่อน เมื่อมีเหตุเช่นนี้ได้ที่
เราแอบซุกไว้ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือเท่านั้น หากอยู่มึงเอาคนไปด้วยขนมา
ไว้ที่บ้านเราเลยนะ กูชักไม่ไว้ใจแล้วล่ะ”
“จ๊ะพ่อฉันจะไปหากอยู่ก็จะขนมาเก็บ แล้วจะเก็บไว้ที่ไหนล่ะ
พ่อ หรือว่าจะเป็นห้องใต้ดินที่ฉันได้บอกให้สร้างไว้นั้นนะ”
“อ้าวๆๆๆบ้านปลูกใหม่นั้นถัดไปที่เก็บของเราสร้างห้องใต้ดินไว้
นี่นามึงก็เอาไปไว้ที่นั่น มันห่างบ้านเราไปไม่เท่าไหร่อยากเสือกมา
เก็บในบ้านเสียล่ะ เดี๋ยวพลอยฟ้าพลอยฝนซวยละลอกสองอีก”
“ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อ ข้ารู้ดีเพราะเป็นคนบอกพ่อเองแหละจำไม่
ได้หรือว่า ให้สร้างห้องใต้ดินไว้หางบ้านเราไว้”
“เออจริงของมีงว๊ะ!!!!!....กูลืมไป ช่างมันเถอะว๊ะไปแดกเหล้า
ได้แล้วไอ้หาญไอ้ผัน”
ทุกๆคนขยับที่ให้ทั้งสองนั่ง ด้วยเป็นแคร่ใหญ่
ส่วนกำนันนั้นนั่งบนเก้าอี้ แต่เนื่องจากเห็นเด็กๆมันหยอกเย้าสาวๆ
บ้างก็พาลกอดหากำไร ก็ทนไม่ได้เลยมานั่งท่ามกลางสาวๆกินไป
หยอกเย้ากันไปจนเหล้าหมด ก็สั่งให้เด็กๆไปเอาเหล้ามรอีกสองขวด
เพื่อจะได้กินต่อไป ส่วนบรรดาสาวๆก็หยอกกำนันจับโน่นจับนี่จับ
ของลับกำนันบ้าง สร้างความสนุกสนาแก่กำนันมั่นมาก กำนันเองก็
ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน ดังนั้นบรรยากาศจึงครื้นเครงยิ่งนัก ความกลัด
กลุ้มของกำนันก็หายไปเพราะทุกๆคนปลอบใจกำนันบอกว่าจะกลัว
อะไรเรามีหนังสือยืนยันอยู่แล้วใบรับของก็มี กำนันชมไอ้แม้นที่
มันรอบคอบให้เซ็นต์รับของไว้ เหตุนี้จนเวลาผ่านไปจนดึกดื่นกำนัน
ก็เมาให้บรรดาสาวๆพยุงร่างขึ้นไปข้างบน คงปล่อยให้พวกหนุ่ม
สาวๆพากันหาความสนุกสนานกันต่อไป
แต่ทุกๆคนหารู้ไม่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของไอ้
สน ไอ้เข่ง ไอ้โจ๊กและได้ดำไม่ ซึ่งทั้งหมดแอบแฝงอยู่บนต้นมะขาม
ใหญ่ได้รับรู้การสนทนาทั้งหมด ซึ่งบัดนี้พวกมันหาใช่พวกผีธรรมดา
ไปแล้ว ด้วยการฝึกอบรมจากเจ้าเปล่งซึ่งเป็นอาจารย์มันแปรเปลี่ยน
สภาพไปหมดแล้ว จึงสามารถเข้าออกในบริเวณบ้านนี้ได้รวมทั้งเจ้า
ที่เจ้าทางก็อนุญาตเข้าใจมันดี เมื่อกำนันขึ้นเรือนไปแล้วได้ฟังไอ้
แม้น กำลังวางแผนการณ์จะไปขนส่งหรือดูของที่แอบซ่อนไว้ครั้น
พวกมันรู้แล้วก็ออกมาลาเจ้าที่เจ้าทางแล้วร่างมันก็หายลับไปทันที....
แก้วประเสริฐ.
22 มิถุนายน 2554 23:23 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๔
พอดีดวงจันทร์ส่องไสวกระจ่างทอแสงไปทั่วบริเวณลานกว้างทำ
ให้แลเห็นสภาพที่มีการประชุมกันและประกอบกับไฟฟ้าดวงเล็กที่
ปักเรียงรายไปรอบๆบริเวณ แสงสว่างจึงเพิ่มทำให้แลเห็นหน้าแต่ละ
คนได้อย่างแทบจะเรียกว่าชัดเจนมากพอประมาณ
ชายหนุ่มมองไปรอบๆนั่งเคียงข้างกับนางอัปสรทั้งสองถัดไปก็เป็น
ร่างของสารวัตรและผู้กอง ต่อไปด้วยบรรดาครูฝึกที่ประจำยังตำบล
ต่างๆและบรรดาหุ่นทั้งหลายด้านตรงข้ามกับสารวัตรก็เป็นร่างของ
ชวนเปล่งและพรรคพวกถัดไปก็เป็นร่างของแสงสีแสงชัย
เมื่อเห็นครบเรียบร้อยแล้ว ทุกๆคนต่างจ้องและรอคำกล่าวของเขา
จึงเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นให้บรรดาคนทั้งหลายฟัง
“ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับสารวัตรและผู้กองก่อนนะ
ครับ ว่าท่านทั้งสามและบรรดาตำรวจพวกเราได้เลื่อนตำแหน่งสูง
ขึ้นแล้ว ตามที่ท่านเอ่ย ในการที่ผมได้ไปพบมาและคำสั่งนั้นได้สั่ง
ลงมาแล้วยังท่านรองอภิวัฒน์ที่รักษาการณ์ผมชั่วคราว ต่อไปผม
จะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวแล้ว”
เมื่อชายหนุ่มเอ่ยขึ้นดังนี้ ก็ทำให้บรรดาสารวัตรและผุ้กองเกิด
ความสงสัยจึงเอ่ยขึ้นว่า
“จะเป็นไปได้หรือครับหัวหน้า ในเมื่อคำสั่งแต่งนี้ผมพึ่งได้รับมา
ไม่นานนี้แหละครับ”
สารวัตรชัชวาลย์ถามด้วยความสงสัย และผู้กองก็ต่างหันมามอง
หน้ากัน ด้วยยังไม่ถึงฤดูกาลย้ายแต่งตั้งที่คงจะมาถึงอีกในไม่ช้านี้
“ได้ซิสารวัตรด้วยเป็นกรณีพิเศษเพราะจะมีการโยกย้าย สารวัตร
เกิดขึ้นอีกระลอกก่อนจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น และท่านผู้
บัญชาการได้เซ็นต์แต่งตั้งมาแล้วล่ะ ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนและ
ให้เลื่อนชั้นตำแหน่งขึ้นมาอีกนะ”
“ใครหรือครับหัวหน้าที่จะถูกโยกย้ายอีกล่ะครับ”
“ตอนนี้คำสั่งตกมาแล้วล่ะแต่ยังไม่เปิดเผยด้วยผมได้สั่งไว้อย่าพึ่ง
แจ้งให้ผู้ที่ถูกโยกย้ายทราบเท่านั้นเอง”
ครั้นชายหนุ่มเอ่ยเช่นนั้นต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัยยิ่งขึ้นไป
อีก จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ผมเองก็มองไม่เห็นว่าจะมีใครที่จะโยกย้ายอีกเลยล่ะครับหัวหน้า
แต่เพียงแค่สงสัยเท่านั้นเอง ด้วยตำแหน่งที่ควบคุมนี้ก็มีไม่กี่คนเท่า
นั้นเองครับ”
“ต่อไปจะมีการย้ายเข้ามาอีกนะด้วย ทางด้านนี้จะต้องมีภาระเพิ่ม
มากขึ้นกว่าเก่า ด้วยบรรดาโรงพักต่างๆในแถบใกล้เคียงที่ทุรกันดาร
จะมาขึ้นกับพวกเรานะ ส่วนสารวัตรชัชวาลย์อาจจะต้องทำหน้าที่
สองตำแหน่งไปก่อนจนกว่าจะถึงเดือนตุลานี้แหละถึงอาจจะได้รับ
การแต่งตั้งเป็นทางการ”
ครั้นสารวัตรชัชวาลย์ได้ฟังยิ่งมึนงงสงสัยมากยิ่งขึ้น นอกจากปาก
อ้าตาค้างไปเมื่อได้ยินเจ้านายที่เขารักกล่าวเช่นนั้น ชายหนุ่มมอง
หน้าก็รู้ความในใจ เพื่อขจัดข้อสงสัยจึงกล่าวเป็นทางการว่า
“เนื่องจากจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองเราเกิดขึ้นแต่
ท่านผู้บัญชาการมองเห็นว่า หากท่านพ้นจากไปตามวาระแล้วจะเกิด
เหตุการณ์ขัดแย้งกันรุนแรงจึงได้กำชับมายังฝ่ายพวกเราให้เตรียมตัว
รับมือและสอดคล้องกับสถานะการณ์บ้านเมืองไว้ก่อน เพื่อว่าจะได้
ไม่เสียกำลังใจไป ให้พวกเราดำเนินการในแนวทางสองทางคือทั้งใน
ที่ลับและที่แจ้งไว้ ที่ว่าสารวัตรและผู้กองจะเลื่อนตำแหน่งนั้นก็ด้วย
สารวัตรวิเชียรและสารวัตรอำนวยจะถูกโยกย้ายออกจากภูมิภาคนี้ไป
ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้พวกเราทำงานกันได้สะดวก ที่ผม
กล่าวว่าสารวัตรต้องรักษาการณ์สองตำแหน่งนั้นคือว่า ด้วยตำแหน่ง
ของพตท.วิเชียรนั้นเป็นฝ่ายปราบปรามในขณะนี้ รอคอยตำแหน่ง
ท่านรองอยู่และทั้งสองนั้นสืบได้ว่ามีเลสนัยกับพวกพ่อค้าทำความ
เสื่อมเสียแก่วงการตำรวจเรา เห็นแก่อมิสสินจ้างจนลืมคำว่า
ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไป แต่ทั้งสองก็มีเส้นทางในกรุงเทพฯอยู่ไม่แน่
ว่าอาจจะทำให้บรรดาพวกพ่อค้าทางนี้เกิดความเหิมเกริมขึ้นมาอีก
ด้วยผมรายงานไป ท่านพิจารณาแล้วท่านเป็นคนซื่อตรงเคร่งครัด
ยิ่งนัก พิจารณาแล้วเห็นว่าหากคงไว้จะทำให้ผมและพวกเราทั้งหลาย
ต้องเกิดติดขัดหนทางในทางสว่างและทางมืด จึงได้เร่งรีบทำเสีย
ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้แหละ ดังนั้นสารวัตรชัชวาลย์จึง
ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นและยังรักษาการท่านรองอีกตำแหน่งหนึ่ง
ด้วย ส่วนผู้กองทั้งสองก็จะเลื่อนแทนตำแหน่งสารวัตรไป ส่วนอีก
ท่านหนึ่งนั้นได้รับอนุมัติมาให้เพิ่มอัตราเพิ่มขึ้นอีกเพื่อจะขยับขยาย
การควบคุมที่ต้องรับผิดชอบมาก ดังนั้นจึงได้เป็นสารวัตรทั้งคู่ไป
ดังนี้ ส่วนบรรดาหมวดหรือจ่านั้นก็ได้รับบำเหน็จเป็นกรณีย์พิเศษที่
ผมทำเสนอรายงานไป”
ครั้นชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเท่านั้นสร้างความตกตลึงพรึงเพริดแก่ตำรวจ
ทั้งหมดทันที ต่างพากันก้มลงกราบชายหนุ่ม พวกเขาคิดว่าการ
ทำงานร่วมกับหัวหน้านี้ไม่สร้างความผิดหวังแก่พวกเขาเลย ส่วน
หัวหน้าฝึกต่างๆนั้นก็ต่างแย้มยิ้มไปตามๆกันที่จะได้รับบำเหน็จการ
เลื่อนชั้นขึ้นไปในคราวนี้พากันส่งเสียงดังพึมพรำไปหมด
“แล้วท่านวิเชียรและท่านอำนวยยังไม่รู้ตัวอีกหรือครับหัวหน้า”
“ผมว่าพรุ่งนี้กระมังท่านรองคงจะแจ้งให้ทราบแล้ว และให้เบิกค่า
เดินทางได้ภายกำหนดไม่เกินสิบห้าวันครับ”
“หากเป็นเช่นนี้ท่านทั้งสองคงจะไม่โวยวายหรือครับด้วยหวังอย่าง
มากที่จะขึ้นเป็นรองครับ”
“ก็เป็นธรรมดาแหละสารวัตรที่ผู้เสียหายย่อมจะมีขึ้นแต่ช่างเถอะ
นะ เรามาเข้าเรื่องของเราต่อไปดีกว่าผมบอกเพื่อให้คุณทั้งสามและ
พวกเราดีใจเท่านั้นเองแหละ”
“ครับนาย????....แล้วพวกเราจะดำเนินการอย่างไรที่นายกล่าวว่า
จะมีการดำเนินการทั้งมืดและสว่างนะ”
“สารวัตรและผู้กองจะต้องหยุดการดำเนินการใดๆไปตาม
สถานะการณ์ก่อนคอยส่งเสริมช่วยเหลือฝ่ายทางมืดเท่านั้น โดยทำ
เป็นทองไม่รู้ร้อนนั่นแหละ หากได้รับอะไรมาก็ควรร่วมกัน
ปรึกษาหารือกันอย่าทำอะไรโดยวู่วามเด็ดขาด หากไม่ผิดตอนนี้ใน
กรุงเทพฯเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว ถึงอย่างไรผมก็ต้องรีบไปปฏิบัติ
หน้าที่ในเร็วๆวันนี้แหละ จะปล่อยให้ท่านรองคนเดียวไม่ได้ท่านก็
อายุมากแล้วด้วย และเหลือเวลาเดือนเดียวเท่านั้นก็อยากจะให้ท่าน
ได้พักผ่อนก่อน”
“ส่วนในทางมืดใครล่ะครับจะเป็นคนจัดการครับหัวหน้า”
“ในทางมืดผมจะให้เจ้าเปล่งนี่แหละเป็นหัวหน้าดำเนินการ
ทั้งหมด ส่วนพวกเราทำเป็นแค่แสร้งปฏิบัติไปตามเหตุการณ์แต่ไม่
ต้องจริงจังอะไรทั้งสิ้น ส่วนสายลับนั้นไม่ต้องบอกหากได้รับรายงาน
มาก็เพียงรับฟังไว้เท่านั้น ในทางกลับกัน สายลับฝ่ายมืดนั้นขออะไร
ก็ให้จัดการให้ ด้วยจะมีการขนย้ายสิ่งผิดกฏหมายครั้งใหญ่เกิดขึ้น
แต่การนี้จะไม่มีเป็นจำพวกแต่จะมีการผลิตในประเทศเรา โดยพวก
มันจะแยกชิ้นส่วนออกมา แล้วมาประกอบขึ้นในเราเอง”
บรรดาตำรวจทั้งหลายต่างมองหน้ากันไปๆมา ดังนั้นชายหนุ่มจึง
เอ่ยขึ้นอีกว่า
“การจะมาผลิตในระยะนี้ยังไม่ทันอยู่แต่จะอาศัยที่พวกมันซุกซ่อน
ไว้ลำเลียงออกมาก่อน ทางด้านกำนันมั่นนั้นเจ้าเปล่งก็ได้จัดการไป
เรียบร้อยแล้วล่ะ ส่วนที่ยังซุกซ่อนนั้นทางผมรู้แล้วว่ามันซุกซ่อนอยู่
ที่ใดบ้าง ฉะนั้นจึงจะให้เจ้าเปล่ง และพวกรวมทั้งหัวหน้าฝึกหน่วย
ลับทางเราและทางเพื่อนน้องชวน แต่ทว่าน้องชวนไม่ต้องออกหน้า
นะเพราะจะทำให้เป็นที่สงสัยให้บรรดาเพื่อนๆไปร่วมเท่านั้นเองการ
นี้ เจ้าเปล่งจะเป็นคนวางแผนการณ์ให้ทั้งหมด ที่เรียกประชุมนี้เพื่อ
แจ้งให้ หัวหน้าหน่วยฝึกและหน่วยราชการลับให้มาขึ้นตรงกับเจ้า
เปล่งไปเพื่อรับแผนดำเนินการของเจ้าเปล่ง การที่มาใช้สถานที่นี้นั้น
ด้วยเป็นที่เจ้าเปล่งได้วางแผนและวางค่ายกลต่างๆไว้คนอื่นจะเข้ามา
ไม่ได้ ใช้เป็นที่ทำงานได้เป็นอย่างดีเว้นแต่คนที่จะรู้สภาพค่ายกลนี้
เท่านั้นเอง แต่ผมคิดว่าคงจะหายากแล้วล่ะ อ้อๆๆทางตำบลอื่นล่ะมี
การแต่งตั้งกำนันไปแล้ว จากเหตุการณ์คราวป่าไม้นั้นทำให้บรรดา
กำนันที่ถูกแต่งตั้งใหม่ๆขยาดกันไปตามๆกัน คงจะไม่มีการร่วมมือ
กันแบบเก่าอีก ด้วยบรรดาพ่อค้ายังไม่ไว้วางใจนั่นเอง”
“หากมีเหตุการณ์เช่นนั้นพวกผมจะทำอย่างไรกันบ้าง???...ในเมื่อ
หัวหน้าแจ้งว่าในสถานที่นี้นั้นล้วนแล้วแต่วางค่ายกลอะไรๆ???ไว้
มากมายนั้น หากจะเข้ามาสามารถเข้ามาได้อย่างไรเล่าครับนาย”
ชายหัวหน้าฝึกคนหนึ่งถาม
“ใช่แล้วครับ หัวหน้าฝึกตอบถูกใจพวกผม เมื่อหัวหน้ามอบหมาย
ให้คุณเปล่งนั้นควบคุมดูแลแทน???...”
สายลืบลับที่ประจำยังตำบลต่างๆก็เอ่ยถามขึ้นบ้าง
“เรื่องนี้พวกเราไม่ต้องเป็นปัญหาหรอก หากต้องการจะเข้ามา
สถานที่นี้แล้ว ก็ให้มายังชายป่าแล้วตะโกนเรียกส่งรหัสเท่านั้นก็จะมี
คนออกมารับเข้าไปหาเจ้าเปล่งเองแหละ”
ชายหนุ่มตอบ พร้อมหันหน้าไปทางเจ้าเปล่งพลางเอ่ยขึ้น
“เจ้าเปล่งบัดนี้ทางด้านลับข้าเองพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆด้วยความ
เหมาะสมแล้วก็มีเพียงแต่เจ้าเท่านั้น เจ้าก็ไม่ต้องออกจากสถานที่นี้
นะหากมีอะไรไปส่งข่าวแก่ข้าและหรือนายหญิงที่ยังอยู่บ้านพ่อข้าอยู่
ก็ได้ ด้วยเจ้าแสงสีสินชัยก็ยังอยู่ที่นั่นแหละ ให้รายงานผลหรือ
ในทางเดียวกันข้าจะใช้เจ้าก็จะส่งคนมาบอกเจ้าเองแหละ”
“ครับนายอาจารย์ ข้าก็จะวางแผนต่างๆไว้ทั้งทางหนีและเข้า
จัดการไว้เป็นขั้นตอน แต่นายอาจารย์ยังไม่ได้บอกว่าที่เก็บของนั้น
อยู่ที่ใดและใครเป็นเจ้าของเลยครับ????.....”
“เรื่องนี้นั้น เสี่ยเม้งมันจัดการส่งให้ลูกน้องมันไปเก็บซ่อนไว้ตาม
เขาต่างๆ แต่ข้าได้ให้แสงสีสินชัยและพวกไปวางระเบิดไว้เรียบร้อย
แล้วล่ะ เพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลาจะเข้าไปจัดการ โดยจะแจ้งให้เจ้ารู้
แหละ อีกอย่างหนึ่งข้าคิดว่าให้ทำลายพร้อมๆกันนี้แหละ ส่วนเจ้า
จะแบ่งกำลังกันอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน”
แล้วชายหนุ่มก็หันหน้าไปทางหัวหน้าฝึกและหัวหน้าสายลับ
พลางเอ่ยว่า
“ส่วนด้านนี้ให้คอยสอดส่องและหมั่นฝึกชาวบ้านให้เชี่ยวชาญไว้
ด้วย อีกประการหนึ่งนั้นให้ทางเจ้าลำเลียงอาวุธต่างๆที่ซุกซ่อนไว้มา
เก็บไว้ในที่นี้เสีย ด้วยต่อไปอาจจะไม่แน่จะมีคนของทางการซึ่ง
ไม่ใช่พวกเราจะสืบเข้ามาและพบเสียก่อน ก็จะเดือดร้อนไปทั่วให้
รีบจัดการขนย้าย ข้าคิดว่าให้เจ้าเปล่งส่งคนไปช่วยก็แล้วกันนะ”
แล้วเขาก็หันหน้าไปทางเจ้าเปล่งพลางสั่งขึ้นทันทีว่า
“ไว้พรุ่งนี้ให้เจ้าส่งเด็กๆไปยังหมู่บ้านต่างๆเพื่อขนย้ายอาวุธมาเก็บ
ไว้ทางนี้ให้ลงมือทำงานในตอนกลางคืน ด้วยพวกเด็กเจ้าชำนาญทาง
อีกด้วยจะได้ไม่เป็นปัญหา ส่วนหัวหน้าฝึกและหัวหน้าสายลับก็ให้
คอยส่งมอบแก่เด็กๆของเจ้าเปล่งก็แล้วกัน”
“ครับพวกผมจะได้รีบไปจัดการให้เรียบร้อยทั้งหมด อ้อๆๆๆอีก
อย่างหนึ่ง หากเกิดปัญหาในหมู่บ้านจะทำอย่างไร????....เล่าครับนาย
ด้วย หากมีคนร้ายที่แฝงเข้ามาทางฝั่งโน้นขอให้นายแจ้งให้รู้ด้วย
ครับ ทางผมจะได้จัดการตามคำสั่งนาย”
“ถ้ายังกังวลก็ให้เก็บไว้บ้างก็ได้ แต่อย่าลืมให้หาที่เก็บไว้และหมั่น
สับเปลี่ยนที่เก็บไว้เสมอๆ แต่ครั้งละน้อยๆ ไม่ใช่ระดมทีเดียวหมด
นะก็จะเป็นที่สงสัยของคนอื่น อย่าลืมว่าทางคนอื่นจะไม่รู้ เพราะ
เหตุการณ์นี้จะไว้วางใจใครไม่ค่อยได้เสียด้วยซิ”
“ครับนาย!!!!.....ผมเองจะแบ่งไว้ส่วนหนึ่งเพียงแค่พอใช้เท่า
นั้นเอง แต่ส่วนใหญ่จะส่งมาทางนี้หมดครับ”
“ดีแล้วล่ะ ที่มาบอกก็คงจะมีเพียงเท่านี้แหละด้วยจะได้ไม่เป็นที่
กังขาระแวงกันและกัน ส่วนข้าก็จะไปทำงานด้านในเมืองคงจะไม่
ค่อยมีเวลามาทางนี้บ่อยนัก อีกอย่างหนึ่งถึงแม้จะมาพักยังบ้านก็
ตามแต่ก็ไม่อาจจะแสดงตัวได้ จะมาก็เพียงหมดเวลาทำงานเท่า
นั้นเอง สารวัตรและผู้กองและตำรวจทั้งหมดให้ปิดเรื่องนี้เป็น
ความลับไว้ด้วยนะ อย่าให้ทางโรงพักรู้เรื่องเสียล่ะด้วยทางนั้นให้
เพียงรู้เขาแต่อย่าให้เขารู้เราเป็นอันขาด”
“ครับทุกๆคนรับปากแล้วนาย ยังมีอะไรที่จะบอกอีกหรือเปล่า
ล่ะครับ”
“เห็นจะมีเพียงเท่านี้แหละ ขอให้ทุกๆคนหาความสนุกสนานและ
กินกันอย่างตามสบายนะ ให้ทุกๆคนปิดปากเงียบแม้แต่ครอบครัวก็
อย่าให้รู้เป็นอันขาดด้วยล่ะ”
“ครับๆนายรับรองว่าจะไม่ให้นายผิดหวังเรื่องนี้เป็นอันขาด”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเชิญตามสบายนะเดี๋ยวข้าก็จะรีบกลับก่อน
ล่ะเพราะมีเรื่องต้องทำอีก ไม่ต้องไปส่งพวกข้าหรอกคืนนี้หา
ความสุขที่พวกเจ้ายากจะหาได้อีกแล้วล่ะ เปล่งก็เหมือนกันต้อนรับ
พวกเราให้ดีๆด้วยนะ สาวๆทั้งหลายด้วยล่ะปรนนิบัติพวกเราให้ดีๆ
หน่อยนะ”
“เจ้าค่ะอาจารย์ พวกเราจะต้อนรับขับสู้ให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
พวกนางพรายทั้งหลายเอ่ยพร้อมๆกัน แล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นพร้อม
แม่นางอัปสารออกเดินทางกลับไปทันที แล้วก็ห้ามเจ้าแสงสีสินชัยที่
จะลุกตามเขาไป กล่าวว่า
“เจ้าแสงสีสินชัยก็ไม่ต้องตามข้าไปหรอกหาความสนุกและสนิท
สนมกับหัวหน้าฝึกและสายลับด้วยก็แล้วกันนะ”
“ครับอาจารย์ หากอาจารย์กล่าวเช่นนี้”
เจ้าแสงสีสินชัยก็หันไปทางเจ้าพ่วงเจ้าเริ่มพลางหยอกล้อด้วยเจ้า
พ่วงและเจ้าเริ่มอยู่กับเจ้าเปล่ง รอบล้อมด้วยบรรดาหญิงชายทั้งหลาย
ส่วนบรรดาเพื่อนเจ้าชวนและชวนก็ต่างคุยกับพวกหัวหน้าฝึกและ
หัวหน้าสายลับอย่างสนิทสนม ทั้งหมดล้วนมีบรรดาหญิงสาวนั่งคอย
ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ สาวๆทั้งหมดล้วนแต่สวยงามกันทั้งสิ้นร่างมี
กลิ่นหอมเย้ายวน แต่บรรดาทั้งหมดเกรงใจเจ้าเปล่งหัวหน้าซึ่งได้รับ
การแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า ซึ่งเจ้าเปล่งและชวนหาสนใจบรรดาสาวๆ
ไม่ต่าง พากันมานั่งคุยกันที่แคร่หน้าบ้านทางเข้าปากถ้ำ ซึ่งเขานี้มีถ้ำ
อีกมากมายและสลับซับซ้อนมากเจ้าเปล่งบอกแก่ชวน บางครั้งก็หัน
หน้าไปมองพวกๆที่กำลังสนุกสนานเฮฮา แต่ในงานนี้หาได้มีของมึน
เมาอยู่ด้วยเลย แต่พวกทั้งหมดเมาความสวยงามของสาวๆตลอดจน
กลิ่นหอมต่างๆเท่านั้น จวบจนเวลาล่วงเลยเข้ามากแล้วต่างก็จะขอตัว
กลับบ้านกัน แต่เจ้าเปล่งห้ามไว้ว่าดึกแล้วไม่สมควรจะกลับขอให้
พักผ่อนที่นี้ก่อนรุ่งเช้าค่อยออกเดินทางกันไป ยกเว้นเจ้าชวนที่ไม่
ยินยอมและขอออกเดินทางไปคนเดียวส่วนพรรคพวกนั้นจะติดตาม
กลับเจ้าชวนก็ห้ามไว้ด้วยเห็นว่าพวกมันต่างกำลังหลงใหลสาวๆอยู่
เจ้าเปล่งเองก็เดินออกมาส่งถึงปากทาง จนกระทั้งเจ้าชวนขับรถ
กะบะออกเดินทางกลับไป เจ้าเปล่งจึงเดินกลับเข้าบ้านทันที..........
แก้วประเสริฐ.
14 มิถุนายน 2554 15:02 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๓
คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ท้องฟ้าปราศจากเมฆก้อนใหญ่นอกจาก
ก้อนเมฆเล็กที่ล่องลอยผ่านไปตามกระแสลมพัด
ทำให้บริเวณลานกว้างใน
บ้านเจ้าเปล่งที่ถูกจัดวางไว้ด้วย โต๊ะยาวๆพร้อมเก้าอี้ยาวเช่นเดียวกัน
หลายๆโต๊ะยาว ที่จัดวางไว้ห่างกันไม่เท่าไหร่นัก ริมรอบบริเวณไฟฟ้า
ดวงเล็กเรียงราย เหนือเสาที่ถูกปักด้วยเสาเรียงราย ส่งแสงเจิดจ้า ไม่มาก
นัก ทอแสงสว่างแข่งกับแสงแห่งนวลจันทร์ที่ทอทาบลอดต้นไม้และไป
ยังลานกว้างพอประมาณบริเวณนั้นหลังจากพ้นจากเขาที่บดบังไว้ จึงทำ
ให้บริเวณนั้นสว่างไสว ไม่มากนัก แต่ก็มองเห็นได้เป็นอย่างดีตลอด
ทั้งแสงไฟและแสงแห่งดวงจันทร์ อีกด้วย ซึ่งภายในบริเวณนั้นอากาศ
สายลมพัด
เอื่อยๆแสนสดชื่นใบไม้ต่างไหวไปๆมาๆ สภาพจึงจัดว่าเหมาะสมดี
แต่ทว่าภายในบริเวณล้วนมีบรรดาผู้คนเป็นจำนวนมากเดินขวักไขว่ไป
มาทั้งหญิงและชาย ต่างช่วยกันจัดลำเลียงบรรดาโถน้ำและแก้วจัดวางไว้
ตามโต๊ะยาวๆนั้น ส่วนหน้ากระท่อมที่ติดภูเขายื่นออกมา วางไว้ด้วยแคร่
ไม้เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าพอประมาณนั่งด้วยร่างที่นุ่งขาวห่มขาวสวมใส่
ประคำสีออกดำๆกำลังนั่งสนทนากับคนสองสามคนอยู่ เพื่อรอเวลาถึงจะ
มาถึงอีกในไม่ช้า แต่หากสังเกตุดีๆจะเห็นว่าบรรดาชายหรือหญิงนั้นแต่ง
กายแปลกประหลาดนักคล้ายๆกับสาวในยุควรรณคดีเสียเกือบทั้งหมดจะ
มีนุ่งผ้าซิ่นบ้างก็คละเคล้ากันไปมาๆ
ทุกๆคนเฉพาะหญิงนั้นจัดว่าเป็นคนที่สวยงามกลิ่นหอมที่ออกมาจาก
ร่างนางนั้นช่างแปลกประหลาดกลิ่นหอมเย็นๆ ผิดกับจำพวกน้ำหอมที่
ชาวกรุงชอบใช้ล้วนเป็นคล้ายๆแป้งร่ำหรือพวกน้ำอบโชยกลิ่นหอมเย้า
ยวนนัก ส่วนชายเล่าหรือก็แต่งกลายแบบโบราณนุ่งกางเกงออกสีดำๆ
และสีน้ำเงินเข้มยาวเลยหัวเข่าเพียงเล็กน้อย เสื้อผ้าหรือก็ไม่เหมือนพวก
ที่แต่งกายในยุคบัจจุบันเลย ทุกๆคนกระวีกระวาดทำงานกันตัวเป็นเกลียว
ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาก่อนนำหน้าด้วยคนนำทาง ครั้นมา
ถึง ชายกลุ่มนั้นจำนวนหกคนก็แปลกใจยิ่งนัก เมื่อแลไปที่ร่างของชายที่
นุ่งขาวห่มขาว ทั้งหมดต่างขยี้นัยน์ตากันหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย
นัก หนึ่งในนั้นก็พลันเอ่ยถามพรรคพวกทันทีว่า
“พี่ชวนนั่นใช่เจ้าเปล่งหรือไม่พี่ พี่ลองดูซิหรือว่าเป็นอาจารย์หมอผี
กำลังก้มหน้าก้มตาคุยกับใครบางคนก็ไม่รู้ซิพี่”
“เออๆจริงซินะเจ้าใหญ่หรือตี๋ใหญ่ที่ถามมา ข้าว่าคงจะใช่เจ้าเปล่งแต่
แปลกจริงๆทำไมมันแต่งขาวนุ่มขาวก็ไม่รู้ซินะ”
“ข้าก็ว่าจะใช่เพียงแปลกที่การแต่งตัวเท่านั้นใบหน้ารูปร่างหรือใช่นะ
ใช่แน่ๆพี่ชวน”
“คงจะใช่แน่ๆเลยพี่ เฮ้ยพวกเราไม่ต้องสงสัยอะไรหรอกเดินไปหามัน
ก็จะรู้เองแหละน่า”
เจ้าวาสเสนอขึ้นมา ทำให้ทุกๆคนคล้อยตามไปด้วย ต่างก็เดินไปพลาง
เจ้าตี๋เล็กก็แกล้งส่งเสียกระแอมไอออกมา ทำให้คนที่นั่งบนแคร่นั้น
เงยหน้าขึ้นมาทันที พร้อมส่งยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินออกมาต้อนรับทันที
พร้อมทั้งยกมือไหว้ไปทางเจ้าชวนทันที
“สวัสดีพี่ชวน สบายดีหรือเปล่าล่ะ ระยะนี้พ่อหวนท่านไปเป็นเจ้า
อาวาสวัดโคกอีแร้งแล้วล่ะแทนหลวงพ่อทอง พี่ไปงานมาหรือเปล่าล่ะ
ส่วนข้าไม่ได้ไปหรอก เพราะกำลังคิดวางแผนการณ์ที่นายแจ้งมาให้
มาๆนั่งหาอะไรกินกันก่อนนะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกผลไม้นะพี่
ส่วนอาหารอื่นก็มีบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง เชิญๆๆๆพวกเรานั่ง
กันให้สบายได้แล้วล่ะ เฮ้ยๆๆๆ...พวกเราทุกๆคนคงจะสบายดีนะ”
“ข้าบอกแล้วว่าใช่เจ้าเปล่งแน่นอนไม่ผิด”
เจ้าวาสเปรยขึ้นพร้อมบอกให้ทุกๆคนเข้าไปหาเจ้าเปล่งทันทีด้วย
ความสงสัย เจ้ากุ๋นจึงถามว่า
“ข้าถามจริงๆเถอะว๊ะเปล่งทำไมถึงได้แต่งตัวแบบนี้ดูไปคล้ายๆพวก
อาจารย์หรือพวกหมอเสน่ห์หรือหมอผี ด้วยสวมประคำอีกด้วยซิ”
“เพื่อการฝึกสมาธิให้แนบแน่นเองนั่นแหละว๊ะไม่มีอะไรหรอกส่วน
ที่แต่งกายสีขาวนั้นหาใช่เป็นอาจงอาจารย์อะไรหรอกว๊ะกุ๋น เพียงแต่
ว่าข้าเลิกกินเนื้อสัตว์ กินแต่ผลไม้แทนการแต่งกายแบบนี้จิตใจก็ผ่องใส
ไม่ว้าวุ่นอะไรไม่ติดยืดอะไร การติดยืดมีเพียงแค่คำสั่งนายเท่านั้นเอง
แหละที่มีคุณมากยากจะทดแทนได้เท่านั้นว๊ะ”
แล้วทุกๆคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นึกชมมันในใจ ต่างพากันเข้าไปสวม
กอดเจ้าเปล่ง ยกเว้นเจ้าชวนเท่านั้นที่เพียงแค่ยืนอมยื้มหันหน้าไปมอง
รอบๆกาย แล้วใบหน้าคิ้วมันก็ขมวดด้วยความสงสัยจึงเอ่ยถามเจ้าเปล่ง
ขึ้นเพื่อแก่ความสงสัย ด้วยเห็นมีผู้คนจำนวนมากทั้งชายและหญิงอีก
อย่างหนึ่งการแต่งกายหรือก็แปลกๆผิดชาวบ้านทั่วๆไปเท่านั้น ทำให้มัน
นึกย้อนไปยังสาวลัดดาที่เป็นเจ้าของร้านอาหารทางบ้านทันที นับว่า
หล่อนนั้นจัดว่าเป็นหญิงงามที่สุดในตำบลก็ว่าได้ แต่หากมาเทียบกับสาว
ที่ต่างพาดสไบเฉียงเหล่านี้แทบเรียกว่าผิดกันราวกับฟ้าดินทีเดียว แล้ว
มารวมอยู่กับเจ้าเปล่งได้อย่างไร ส่วนชายหรือก็แต่งกายประหลาดๆไป
“เปล่งพี่ขอถามหน่อยเถอะนะ ด้วยรู้สึกมันแปลกๆชอบกลยังไงไม่รู้
ซิ ด้วยเห็นชายหญิงแต่งกายประหลาดแบบคนโบราณไม่ผิดเลยนะ”
ทุกๆคนก็ผละจากสวดกอดเจ้าเปล่งแล้วสนทนากันหันไปมองรอบๆ
ข้างมันทันที ก็แลเห็นดังคำที่พี่ชวนหัวหน้าพวกมันเอ่ยเหมือนกันต่างพา
กันมองมายังเจ้าเปล่งทันที เมื่อได้ยินลูกพี่มันถามขึ้นมา
“อ้อๆคนของนายและของข้าแหละพี่ชวน วันนี้นายสั่งให้มาต้อนรับ
พวกเราและ คนในเมืองเดี๋ยวก็คงจะมานั่นแหละ เด็กๆพวกเราทั้งนั้น
แหละไม่มีใครอื่นๆหรอก”
“แล้วทำไมถึงแต่งกายไม่เหมือนพวกเราเลยล่ะ กูก็ชักสงสัยเหมือนกัน
นะโว้ยคุณเปล่ง”
“ฮ่าๆๆๆ!!!!.....ก็คนที่พวกมึงแลเห็นอยู่นี้มันไม่ใช่มนุษย์นี่นาจะแต่ง
กายเหมือนพวกเราไปได้อย่างไร ข้าเองก็ต้องทำตามเขาบ้างเข้าเมืองตา
หลิ่วหากไม่หลิ่วตาตามก็ดูกระไร เหมือนมึงพายเรือหากเข้าไปในคลอง
มึงก็ต้องพายเรือไป ถ้าหากคลองมันคดมึงจะไม่พายเรือคดไปตามคลอง
ได้หรือว๊ะ ข้าเองก็แต่งตัวเหมือนกันแหละว๊ะ”
เจ้าเปล่งเอ่ยให้บรรดาพวกพ้องฟัง ทำให้ทุกๆคนเมื่อได้ยินว่าไม่ใช่
คนแบบพวกมัน ก็พากันนึกถึงผีขึ้นทันใด ต่างสะดุ้งตกใจหน้าซีดไป
ตามๆกัน รวมทั้งเจ้าชวนปกติมันจะเคร่งขรึมก็อดพลอยตกใจไปด้วย
เหมือนกัน
“ถ้าอย่างงั้นมันก็พวกผีซิว๊ะ ไอ้คุณเปล่ง”
ทั้งหมดร้องกันลั่น แล้วต่างเข้าไปรวมตัวรอบเจ้าเปล่งทันทีเหมือน
จะให้เจ้าเปล่งช่วยเหลือยยังไงยังงั้นแหละ พลันเจ้าเปล่งก็เอ่ยขึ้นว่า
“ไม่ใช่ผีหรอกเพื่อนๆพี่ชวน เขาเป็นพวกหุ่นของนายบ้าง พวกผีบ้าง
แต่ได้ปรับตัวเองเปลี่ยนสภาพเหนือผีไปแล้ว พวกรุกขเทวีบ้าง นางไม้
บ้าง ครั้นเมื่อมีงานก็ต้องแต่งตัวกันดีๆ หากไม่เชื่อลองถามพวกเราที่
เคยโดนมาแล้วก็ได้ซิว่าข้าพูดจริงไหม”
“จริงๆว๊ะ พวกเราสามคนโดนกันมาแล้วเมื่อหลงไปในค่ายกลค่ายแกน
อะไรนี่ล่ะพี่ชวนและลองถามเมื่อคราวมาเยี่ยมคราวก่อนก็ได้นะ”
เจ้าวาสเอ่ยขึ้นให้ลูกพี่มันฟัง แต่ที่มันตกใจเพราะเหตุการณ์ยังย้อนมาให้
มันจำได้ไม่รู้ลืมเมื่อคราวก่อนนั่นเองแหละ ทำให้เจ้าชวนงงยิ่งนักย้อน
ถามกลับไปว่า แล้วพวกเอ็งเจอกันมาทุกๆคนแล้วหรือไม่เห็นเล่าอะไร
ว่าเจออะไรกันบ้างเลย
ให้กูฟังเลยปิดเงียบกันทุกๆคน ทำให้พวกที่โดนกันมาต่างมองหน้ากัน
ด้วยเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก ยกเว้นเจ้าวาสเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ชวนแต่สภาพเหตุการณ์ผิดกันเท่านั้นเองล่ะแตกต่าง
กันไม่เหมือนคราวนี้เท่านั้นและมีน้อยกว่านี้มากนักแหละ”
“พี่ชวนเรื่องมันแล้วก็แล้วไปเถอะพี่อย่าไปถามพวกมันเลย มันจะอับ
อายเสียเปล่า เชิญไปนั่งที่โต๊ะยาวด้วยกันเถอะไปคุยกันที่นั่นก็แล้วกัน
นะพี่ อีกประเดี๋ยวพวกสารวัตรกับพวกก็จะมาถึงแล้วล่ะ ส่วนนายคงจะ
มาล่าสุด แล้วก็จะเริ่มประชุมกันเลยพี่”
เจ้าเปล่งตัดบทเพื่อไม่ให้เพื่อนๆต้องอับอายในเรื่องดังกล่าวเลยรีบนำ
หน้าไปยังโต๊ะยาวพร้อมนั่งสลับหันหน้าชนกันคุยกันไป บรรดาสาวๆ
ทั้งหลายก็พากันเข้ามา ช่วยรินน้ำส่งให้แต่ละคนยกเว้นเจ้าเปล่งคนเดียว
เท่านั้น เล่นเอาบรรดาพระกาฬทั้งห้าต่างไม่กล้าที่จะสบตากับบรรดา
สาวสวยทั้งหลาย มันพากันคิดไปต่างๆนาๆไม่กล้าที่จะละลาบละล้วง
ดังนิสัยชายหนุ่มทั่วๆไป
ทันใดนั้นมันทั้งห้าก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียสาวหนึ่งในห้านาง
เอ่ยขึ้นทันที ด้วยมันจำเสียงเหล่านี้ได้ดีอย่างไม่มีวันลืม
“พี่ๆจำน้องไม่ได้หรือ หายไปนานหรือว่าลืมน้องที่เคยมีอะไรกันไว้
แล้วล่ะ แหม๋ๆผู้ชายนี้ทำไมลืมง่ายดายจริงๆน๊ะ???....”
“เสียงนะคิดว่าพวกพี่ๆจำได้จ๊ะ แต่ทว่าเมื่อก่อนนั้นพี่ไม่รู้จริงๆว่าน้อง
เป็นใครกัน พอรู้ก็รู้สึกว่ามันเยือกเย็นเหมือนเอาใจไปแช่น้ำแข็งเลยล่ะ”
เจ้าวาสซึ่งตั้งสติได้ตอบแทนพวกมันที่ได้แค่อ้าปากค้าง ทำไมพวกมัน
จะจำเสียงไม่ได้ เพียงแต่บัดนี้พวกนางแต่งตัวเรียบร้อยแล้วลวดพาดสไบ
เฉียงกันไป กลิ่นกายหอมหวนมันจำกลิ่นได้เป็นอย่างดี
เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็ต่างพากันเข้ามานั่งเคียงคู่ด้วยทันที เล่นเอา ไอ้ตี๋
ใหญ่ ไอ้ตี๋เล็กไอ้ชื่นและไอ้กุ๋นต่างรีบถอยออกห่างทันที ส่วนไอ้วาสมัน
นั่งเฉยๆด้วย ตอนนั้นมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างไร เพียงแค่มีนาง
หนึ่งเดินมาชักชวนมันไปเล่นน้ำแต่มันรีบหนีไปเสียก่อน จนได้แม่นางไม้
มาช่วยเหลือมันไว้ จึงทำใจแข็งไว้แต่มันคิด หากมันมีเมียได้สวยแบบนี้
มันก็ยอมล่ะเป็นไงเป็นกัน ไอ้วาสรำพึงในใจเมียคนหาไม่ได้นี่นา ลองหา
เมียเป็นผีบ้างก็คงจะดี บางทีอาจจะดีกว่าเมียคนเสียอีกเพียงแค่ขอให้แปลง
กายเป็นแบบนี้เสมอๆไม่ใช่ว่าเป็นรูปร่างอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น กลิ่นหรือก็
หอมหวนยิ่งนัก ขออย่าให้เหม็นเป็นใช้ได้มันรำพึงในใจ
ดังนั้นไอ้วาสจึงหันมาส่งยิ้มแล้วถามชื่อทันทีว่า
“อ้าวแล้วน้องล่ะ มีชื่อว่าอะไรล่ะ???...พี่จะได้เรียกชื่อถูกจ๊ะน้อง”
“น้องชื่อมณฑาจ๊ะพี่วาส แล้วทำไมพี่ถึงไม่กลัวเหมือนเพื่อนๆพี่เสีย
ล่ะ??.....หรือว่าพวกนางนั้นไม่สวยเท่าน้องใช่ไหม??....”
“เรื่องแบบนี้พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่ใจเขาจ๊ะน้องมณฑา ส่วนพี่
เองนั้นไม่คิดอะไรมาก เป็นโสดมาถึงขนาดนี้แล้วจะหาสาวใดมาสนใจพี่
ไม่มีเลย ทั้งๆทีพี่เองก็ไม่ใช่คนเจ้าชู้อะไรหรอกแค่บางครั้งเพียงหยอกเย้า
เล่นเท่านั้นเอง หรือว่าพี่เองอาจจะรูปไม่งามไม่ต้องใจสาวๆพูดจาหรือก็
ไม่ไพเราะ เลยทำให้ไม่มีใครเหลียวแลเมื่อจะหาเมียคนจีบไม่ได้ก็ทำใจ
ได้ลองคิดจะจีบสาวไม่ใช่คน บางทีวาสนาพี่ส่งหรืออาจจะมีก็อาจจะมี
เมียกับเขาได้บ้างจะเป็นอะไรก็ช่างเถอะพี่ทำใจได้แล้วล่ะจ๊ะ”
“น้องเองก็รู้ว่าพี่เป็นคนมีนิสัยอย่างไรและเป็นโสดด้วยจึงหลังจาก
หยอกเย้าพวกพี่ๆเล่นก็ได้แต่คอยมองพี่ พี่บอกว่าไม่ค่อยสบายก็ไม่อยาก
ไปรบกวนพี่ ทั้งๆที่รู้แล้วว่าพี่ไม่เป็นอะไรแต่เรื่องนี้น้องเองก็ไม่ค่อยชอบ
ไปหักหาญน้ำใจใครเสียด้วย อีกอย่างหนึ่งเหมือนมีใครมาบอกว่าพวก
พี่ๆรวมทั้งพี่นะเป็นเพื่อนของอาจารย์อีกด้วยล่ะจ๊ะ ความคิดที่กล่าวมานี้
ขอให้เป็นจริงเถอะนะ รับรองว่าน้องจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังอย่างแน่นอน
อันว่าต้องถึงจะไม่ใช่คนก็ตามที แต่น้องตอนนี้มีศีลมีสัตย์กว่าแต่ก่อนและ
อีกอย่างหนึ่งสภาพปัจจุบันนี้ไม่เหมือนก่อนแล้วล่ะจ๊ะ ได้เปลี่ยนแปลงเมื่อ
ได้สร้างกุศลผลบุญไว้จึงได้เป็นนางไม้ไปแล้วจ้า
เพียงแต่พี่เองจะยอมรับได้เท่านั้นเอง ส่วนน้องนั้นก็ยังไม่เคยยุ่ง
เกี่ยวกับใครๆเลย เสียชีวิตก็ตอนวัยยังสาวด้วย ถูกสัตว์มันฆ่าตายไปจ๊ะ จึง
ได้เร่ร่อนมาเรื่อยๆจนมาพบสถานที่นี้แหละจ๊ะ พอดีได้รับความเมตตา
จากรุกขเทวีท่านรับไว้เพื่อคอยรับใช้งานแม่นางท่าน และท่านได้พามาพบ
อาจารย์เปล่งได้ช่วยอบรมบ่มนิสัยใหม่ตลอดจนสร้างบารมีให้แก่ตัวเอง
ด้วยจ๊ะ แต่เรื่องนี้แล้วแต่เวรกรรมใครเวรกรรมมันจ๊ะ
หากไม่เสียชีวิตไปก็คงจะหนีไม่พ้นพี่ได้หรอกด้วยเราสองเคยสร้าง
กุศลมาด้วยกันอธิษฐานกันไว้แล้วเมื่อภพก่อนอีกด้วย
ดังนั้น ทำให้น้องบังเกิดความสงสารเอ็นดูพี่ทั้งๆที่มีเหล่าชายในลักษณะ
เดียวกันมาเกี้ยวพาราสีน้อง น้องก็หาสนใจใยดีไม่จ้าพี่หรอก”
ครั้นเจ้าวาสได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ก็ลืมหมดว่านางเป็นอะไรไป แต่ด้วย
มันเองเป็นคนเด็ดเดี่ยวสัตย์ซื่อนัก รักใครมักจะรักยอมถวายชีวิตให้อยู่
แล้วดังนั้นมัน จึงไม่สนใจใยดีว่านางจะเป็นอะไรถึงจะไม่ใช่คน ดังนั้น
มันจึงเกี้ยวพาราสีนางมณฑากระเซ้าเย้าแหย่หยอกล้อกันเล่น จนทำให้
พวกมันที่ต่างที่เขยิบหนีแม่นางต่างๆนั้นจ้องมองไอ้วาสเป็นตาเดียวกัน
ว่าทำไมไอ้วาสถึงได้กล่าวจีบนางผีตนนี้ได้เหมือนกับว่านางผีนั้นเป็นคน
ส่วนเจ้าเปล่งครั้นเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกันขณะที่กำลังคุยอยู่กับ
เจ้าชวนลูกพี่มัน ต่างคุยกันอย่างสนุกสนานเย้ากันว่าไอ้เปล่งเดี๋ยวนี้หาใช่
ธรรมดาเสียแล้ว คุมพวกผีสางนางไม้ได้ในทำนองเดียวกันก็แลเห็นไอ้
วาสกำลังจึงสาวๆอยู่เหมือนกัน แต่ชวนเองเป็นคนไม่ค่อยสนใจในเรื่อง
นี้เพียงแค่ถามเจ้าเปล่งว่า
“นี่แน๊ะเปล่ง เมื่อเจ้าคุมบรรดาพวกนี้มีอะไรกับพวกสาวๆบ้างหรือเปล่า
ล่ะ ไม่ต้องเกรงใจหรือกลัวอายบอกข้าได้น๊ะข้าไม่บอกพวกเราหรอก”
“พี่เองก็รู้นิสัยข้าเป็นคนอย่างไรดีอยู่แล้วนี่นาจะไปสนใจได้อย่างไรยิ่ง
มาปกครองพวกนี้ขืนทำเป็นสมภารกินไก่วัดแล้วต่อไปจะปกครองได้
อย่างไรกันได้อีกเล่า อาจารย์นายก็สั่งนักสั่งหนาหากวันใดข้าผิดคำมั่น
สัญญาไว้กับอาจารย์นายแล้ว วิชาการต่างๆจะทำให้ข้าเองต้องลงไปยัง
อบายนรกแน่นอน ข้ากลัวมากพี่เพราะอาจารย์นายได้พาข้าไปเที่ยว
มาแล้วสู้อดเปรี้ยวไว้กินหวานมิดีกว่าหรือ จึงวางตัวไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆทั้งสิ้น
เพียงเมื่อทำงานให้นายเรียบร้อยก็เป็นอันใช่ได้ เมื่อไม่กี่วันนี้ข้าเองก็ทำ
ธุระให้นายเสร็จไปอย่างหนึ่งแล้วล่ะ”
“พี่โชติใช้ให้เอ็งไปทำงานอะไรหรือว๊ะเจ้าเปล่ง”
“นายใช้ข้าไปทำลายของผิดกฏหมายข้าได้ทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว”
ดังนั้นเจ้าอาจารย์เปล่งก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ชวนฟังจนหมดสิ้น
ทำให้เจ้าชวนยิ่งเกิดเพิ่มศรัทธาเชื่อมั่นรักพี่โชติมันยิ่งขึ้น ถึงกับรำพึงใน
ใจว่า ดีนะที่เราไม่เป็นคนเกเรและทำงานที่ไม่ดีด้วยนิสัยเราไม่ชอบทาง
นี้หากทำงานไป เหมือนพ่อที่พี่เขายังเมตตาสงสาร มิฉนั้นป่านนี้ไม่ตาย
ก็มีหวังติดคุกหัวโตแน่นอน และแล้วทั้งหมดก็หยุดสนทนากันเมื่อแล
เห็นชายคนหนึ่งนำหน้า สารวัตรชัชวาลย์ ผู้กองจำลองและผู้กองจรัสเข้า
มาในบริเวณนั้น เจ้าเปล่งก็ลุกขึ้นออกไปต้อนรับพร้อมยกมือไหว้ทันที
“นายแจ้งให้ทราบแล้วว่าจะมาประชุมกันคืนนี้ ทำไมใกล้ๆแค่นี้ก่อน
นี้เราทั้งหมดก็เคยมากันแล้วนี่นา แต่ทำไมจะหาทางมาพบไม่ได้หรือไง
จึงต้องให้คนออกไปรับเรามานะ?????....”
สารวัตรชัชวาลย์เอ่ยถาม พร้อมหันไปมองรอบๆตัวก็เห็นพวกของ
ชวนก็จำได้อย่างแม่นยำจึง เดินไปทักทายทันที บรรดาหญิงทั้งหลายเห็น
ดังนั้นก็รีบลุกขึ้นเดินออกไปทันที พร้อมคอยจังหวะเมื่อคนมาใหม่มานั่ง
ก็จะได้จัดน้ำจัดท่ามาบริการให้
“แล้วนายยังไม่มาอีกหรือ เปล่ง แล้วทำไมตอนนี้แต่งตัวยังกับนักบวช
เชียวนะ????...”
“ยังครับท่านสารวัตรนายบอกว่าให้รอคอยก่อน คิดว่าประเดี๋ยวก็คงจะ
มาเองแหละครับ อ้อๆที่แต่งตัวแบบนี้อำพลางตนเองได้ดีอีกด้วยแล้วมี
บางอย่างจะบอกท่านสารวัตรไม่ได้ด้วยครับ”
“อ้าวๆๆๆ????...เราก็พวกเดียวกันจะมาปิดบังกันทำไมล่ะ???...”
ผู้กองจำลองกับผู้กองจรัส ถามขึ้นพร้อมๆกัน
“ผมกำลังศึกษาวิชาการต่างๆทางด้านเวทย์มนต์ตลอดแผนการณ์ต่างๆ
อยู่ครับ ที่ให้คนไปรับท่านทั้งสามมานั้นผมได้ทดลองวางสิ่งบางอย่างไว้
หากไม่มีคนไปรับแล้วอาจจะติดอยู่ในนั้นจนตายไป ย่อมหาทางออก
ไม่ได้หรอกครับ”
“ฮ่าๆๆๆ????....ร้ายกาจถึงปานนี้เชียวหรือ???....ก็เขานำทางมาก็เห็นมี
แต่ต้นไม้ธรรมดาเท่านั้นนี่นา ไหนบอกว่าร้ายกาจหาทางออกไม่ได้”
ตำรวจทั้งสามระดับหน้าถามด้วยความแปลกใจ ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงเล่า
เรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าได้จัดการสร้างค่ายกลเอาไว้ หากไม่เชื่อไปสอบถาม
เจ้าตี๋ใหญ่และพรรคพวกยกเว้นพี่ชวนได้ครับ ทำเอาตำรวจทั้งสามตีสี
หน้าฉงนไปตามๆกัน แล้วหันไปสอบถามพรรคพวกตำรวจลับคือพวก
เจ้าเปล่งทันที และก็ได้รับการยืนยันด้วยทั้งหมดได้หลงเข้าไปติดกับอยู่
ในนั้นหาทางออกไม่ได้ เล่นเอาตำรวจทั้งสามด้วยงวยงงไปแบบเชื่อครึ่ง
ไม่เชื่อครึ่ง แต่ในเมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้นก็ต้องฟัง เจ้าเปล่งก็เชิญให้
ไปนั่งยังที่อันสมควร เพื่อรอนายมันจะมาถึง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวก
ตำรวจทั้งหลายแปลกใจก็คือ
ในบริเวณนั้นมีจำนวนคนทั้งหญิงและชายเป็นจำนวนมาก
หากประมาณคร่าวๆไม่ต่ำกว่าพันคนเป็นเด็ดขาด
แต่แปลกๆด้วยบริเวณนั้นก็หาใช่ที่จะกว้างขวางใหญ่โตไม่เพียง คนเดิน
สลับไปสลับมาแล้วก็หลบไปแล้วก็มา แต่หน้าตาไม่เหมือนๆกัน โต๊ะยาว
หรือก็มีจำนวนมากเสียด้วย อีกทั้งบนพื้นก็ถูกปูไว้ด้วยเสื่อที่ยังไม่ได้กาง
หลายสิบม้วนอีกด้วย โต๊ะยาวนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่โต๊ะเท่านั้นเองนอกนั้น
คงจะนั่งกับพื้นเสียแน่นอน ท่านสารวัตรและผู้กองคิดเช่นนั้น
มีอีกสิ่งหนึ่งคือไม่ได้ยินเสียงนกหากินในกลางคืนร้องเลยสักตัวเดียว
ซึ่งมันผิดปกติวิสัย หากเป็นป่าเช่นนี้ถึงอย่างไรก็ต้องมีเสียงร้องของสัตว์
หากินในกลางคืนบ้าง หรือไม่ก็ต้องมีพวกค้างคาวบินว่อนๆ ยุงหรือก็ไม่
มีสักตัวเดียว อากาศเย็นสดชื่นมากๆเอาเสียด้วยบรรดาพวกต้อนรับหรือ
ก็เป็นสาวๆสวยๆทั้งนั้น สวยกว่าสาวๆในเมืองที่เห็นมาเสียอีกยิ่งสร้าง
ความแปลกใจให้แก่นายตำรวจทั้งสามคนเป็นยิ่งนัก ครั้นจะถามหรือก็
เห็นจะไม่เหมาะสม จึงเพียงนั่งสนทนากันถึงเรื่องราวต่างๆในเมือง และ
เหตุการณ์ต่างๆเท่านั้นเอง อากาศในบริเวณนั้นก็หอมนักคล้ายกลิ่นของ
บรรดาดอกไม้ต่างๆมารวมกัน
ครั้นแล้วทุกๆคนก็หยุดการสนทนาเมื่อแลเห็นร่างของชายหนุ่มคน
หนึ่งเดินเคียงคู่มากับสาวสวยสองคน ซึ่งความสวยนั้นที่พวกเขาคิดว่า
บรรรดาสาวๆที่กำลังต้อนรับหรืออยู่ในที่นี้ เมื่อมาเทียบกับสาวที่เดิน
เคียงขนาบข้างชายหนุ่มมาแทบจะเรียกว่าผิดกันยิ่งกว่าฟ้าดินเสียอีก
เมื่อชายหนุ่มและสาวแสนสวยเดินมาใกล้ๆ ทุกๆคนก็ยืนขึ้นต้อนรับ
ทันที ด้วยเป็นชายหนุ่มโชตินายของพวกเขานั่นเอง บรรดาหนุ่มสาว
ทั้งหมดก็พากันนั่งลงโดยพร้อมเพรียงกันต่างยกมือขึ้นไหว้พนม
สารวัตรชัชวาลย์และผู้กองทั้งสองตลอดจนเจ้าเปล่งและพวกต่างก็ร้อง
ออกมาด้วยเสียงเดียวกันว่า
“นายๆๆๆมาแล้วหรือ เชิญครับเชิญพวกเรารอคอยพร้อมกันแล้ว
มาคอยตั้งนานพอสมควรแล้วครับ”
แล้วทั้งหมดต่างก็แสดงความเคารพ จนชายหนุ่มและหญิงสาวแสน
สวยเข้ามานั่งประจำยังที่ ที่เจ้าเปล่งจัดไว้ให้เป็นพิเศษ พลันเขาก็เอ่ย
ขึ้นว่า
“ขอเชิญทุกๆคนนั่งตามสบายเดี๋ยวค่อยจะมีเรื่องขอความ
ร่วมมือและจะ
ปรึกษากันหน่อยนะ” ดังนั้นบรรดาโต๊ะยาวและที่นั่งยาวจึงถูก
จัดนั่งเรียงรายไปเต็มหมดล้วนด้วยบรรดาที่ได้รับการแต่งตั้งตามลำดับ
ชั้นส่วนที่รองลงมา ก็นั่งยังลานทั้งหญิงชายเต็มไปหมด เมื่อครบแล้วชาย
หนุ่มจึงได้เอยขึ้นว่า...................
แก้วประเสริฐ.
3 มิถุนายน 2554 21:18 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๒
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านแล้ว เขาก็แลเห็นพ่อแม่น้องและน้องสไภ้กับ
แม่นางชบา กำลังนั่งทานอาหารร่วมกันอยู่ เมื่อพ่อเชียรแม่เข็มเห็น
ดังนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
“อ้าวกลับมาแล้วหรือพ่อนึกว่าจะไปหลายๆวันเสียอีก ทางโน้นมี
เรื่องอะไรบ้างหรือ มาๆมากินข้าวพ่อแม่น้องๆก็พึ่งจะกำลังและคุยถึง
เจ้าอยู่พอดีเชียวล่ะลูก”
“เรื่องสำคัญมากจ๊ะพ่อ พ่อและน้องๆทานก่อนเถอะผมยังไม่หิวเลย
ด้วยกินกันมาแล้วล่ะครับ อ้อๆๆหลวงพ่อทองท่านได้มรณะภาพแล้ว
ครับ ผมไปเยี่ยมมาพอดีทราบว่าท่านละสังขารไปแล้วแต่ร่างกายยัง
ทำงานอยู่คงจะประมาณพรุ่งนี้แหละครับ”
“เมื่อสองสามวันพ่อก็ไปเยี่ยมท่านมาเห็นท่านไม่พูดจาแต่อย่างไร
และเข้าสมาธิตลอด แต่ก็ทราบด้วยฌานเหมือนกันว่าคงจะเร็วๆนี้แหละ
แต่ท่านไปดีของท่านแล้วล่ะ”
“ครับท่านไปอยู่ชั้นสูงๆแล้วครับ ผมบอกหลวงพ่อหวนว่าให้เก็บ
ร่างท่านไว้ไม่ต้องเผาหรอก ใส่ในโลงแก้ว และจะทำรูปหล่อท่านไว้
ที่หน้าศพท่านด้วยครับ พ่อเห็นว่าดีไหมเพราะว่าท่านอธิษฐานจิตไว้
ร่างท่านจะไม่ไหม้ไฟเด็ดขาด หากไปเผาจะทำให้เสียสภาพไปครับ”
“เรื่องนี้ก็ดีเหมือนกันแหละลูก ด้วยท่านเป็นผู้สร้างวัดโคกอีแร้งมา
ตอนนั้นเป็นวัดร้างไม่มีพระเณรอยู่เลย ท่านธุดงค์มาปักกลดแล้วก็เริ่ม
บูรณะเป็นวัดจนท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสไปนะลูก”
แม่เข็มอธิบายแทนพ่อเชียรต่อทันที
“แม่ว่าเก็บไว้ก็ดีเหมือนกันจะได้เป็นที่ ด้วยหลวงพ่อทองท่านเป็น
เจ้าอาวาสที่สร้างคุณูปการแก่วัดนี้ไว้มาก ควรจะเก็บไว้ให้เป็นที่
รำลึกถึงคุณงามความดีและยังทำให้เจ้าอาวาสต่อๆไปจะได้สังวรณ์ไว้
ด้วยล่ะ”
“อ้อๆแล้วใครจะมาเป็นเจ้าอาวาสแทนท่านล่ะ”
“เห็นพระในวัดท่านพูดว่าคงจะไม่พ้นหลวงพ่อหวนหรอกจ๊ะแม่ด้วย
ท่านมีหนังสือแจ้งไปยังคณะสงฆ์ไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ คงจะมีคำสั่งมา
ในไม่ช้านี้แหละครับ”
“ก็เหมาะดีนะถึงแม้ว่าท่านหวนจะเป็นพระใหม่ก็จริงแต่ ท่านเรียน
สอบนักธรรมเอกได้ ส่วนพระรูปอื่นไม่มีใครมีความรู้ถึง คงจะไม่พ้น
ท่านไปได้หรอก และท่านเองก็เก่งทั้งทางโลกและทางธรรมอีกด้วย
พระหวนนี่แหละลูก อีกทั้งยังมีวิชาอาคมไม่แพ้หลวงพ่อทองอีกด้วย
หรือว่าพ่อคิดว่าคงจะเก่งกว่า...... ด้วยได้รับความรู้จากลูกและไป
เพิ่มเติมจากอาจารย์เลื่อมซึ่งเป็นรุกขเทวาอีก ทั้งทางโลกก็เชี่ยวชาญมา
มากๆอีกด้วยตลอดจนมีเงินทองก็มากมาย ที่ใช้บำรุงวัดเจริญรุ่งเรือง
กว่าเก่าเช่นทุกวันนี้อีกด้วยล่ะ”
“ครับผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันครับพ่อ อย่างนั้นกินข้าวไปเถอะ
ครับผมจะไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวและต้องออกไปอีกข้างนอกด้วยล่ะ”
“อ้าวๆๆๆ????....จะไปไหนอีกล่ะลูกโชติ”
แม่เข็มเอ่ยด้วยความสงสัย ส่วนเจ้าชัยและบงกชและชบาก็หันมามอง
ดูด้วยความสงสัยเหมือนกัน
“ผมจะไปหาเจ้าเปล่งเสียหน่อยครับ ด้วยมีเรื่องงานจะสั่งให้มันทำ
อีกด้วยครับพ่อ”
ในระหว่างการสนทนานั้นทันใด สายตาของชายหนุ่มเหลือบมอง
ไปทางลานชานเรือน ในยามสนธยานั้นที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันมาก
มาย ทอแสงประกาย ครั้นแล้วเขาก็แลเห็นดาวใหญ่ดวงหนึ่งพลันพุ่ง
จากท้องฟ้าลับหายไปทางทิศตะวันตก ก็เกิดคามฉงนพลันหลับตาลง
ก็ทราบเหตุการณ์นั้นทันที พลางหันไปทางพ่อแม่และเอ่ยว่า
“สงสัยวันนี้ผมจะไม่ออกไปข้างนอกแล้วล่ะครับคุณพ่อคุณแม่ด้วย
สังหรณ์ใจว่าเรื่องในเมืองคงจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นเสียแล้ว คงจะไป
ในวันรุ่งขึ้นดีกว่าครับ”
“ก็ดีเหมือนกันลูกจะได้พักผ่อนให้หายเหนื่อยเสียก่อนนะ”
ชายหนุ่มกล่าวพลางขยับตัวหมายจะเข้าห้องเขาไปแต่แล้วก็ต้องชะงัก
เมื่อได้ยินพ่อของเขากล่าวขึ้นว่า
“ลูกยังไม่ได้บอกเลยว่าในกรุงเทพฯนายเรียกไปมีเรื่องสำคัญมาก
อย่างไรเลยล่ะ อ้าวๆมีเรื่องอะไรอีกหรือลูก”
ชายหนุ่มอ้ำอึ้งไปสักพักหนึ่งครั้นจะบอกเหตุลางร้ายก็จะมีเรื่อง
ต้องอธิบายมากขึ้น จึงเพียงกล่าวเพียงคร่าวๆเท่านั้น
“มันเป็นความลับทางราชการจ๊ะพ่อแม่ ขอเพียงพ่อรู้ได้ว่าจะมีการ
เปลี่ยนแปลงการปกครองในเมืองเราใหม่และจะเกิดความวุ่นวาย
ไม่สิ้นสุด นายเรียกตัวไปกำชับให้ปฏิบัติตัวอย่างไรครับ”
“ฮ่าๆๆๆ!!!!!????.....อะไรจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเลยหรือ???...”
“เรื่องนี้ก็ต้องดูกันต่อไปครับพ่อ อ้อๆๆนายใหญ่ตอนนี้จะต้อง
รีบทำก่อนที่ท่านจะไม่ได้อยู่ และผมได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นอีกด้วย
ตลอดจนลูกน้องที่สนิทผมด้วยและจะมีการโยกย้ายกันอีกระลอก
ครับก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงไป พ่อรู้แค่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ”
“เออๆๆๆ.....ไม่ต้องเล่าหรอกพ่อแม่และน้องๆไม่รู้เรื่องหรอกนะ”
พ่อเชียรแม่เข็มเอ่ยขึ้น พลางล้างมือในชามล้างพร้อมเช็ดมือกับผ้า
ข้าวม้าไปในตัวเสร็จ ก็พอดีบรรดาลูกเมียต่างก็กินอิ่มกันเรียบร้อยแล้ว
สาวบงกชและสาวชบาต่างช่วยกันลำเลียงข้าวของเข้าไปเก็บในครัว
“ก็ด้วยเรื่องอย่างนี้แหละผมถึงจะรีบตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อนจ๊ะพ่อ”
“คราวนี้ลูกก็ต้องเผยตัวเองแล้วล่ะซินะ????....”
แม่เข็มเอ่ยขึ้น
“ครับคงจะเดือนหน้านี้แหละผมจะไปๆมาๆครับ ไม่พักที่โน่นหรอก
เพราะผมต้องทำงานทั้งสองด้านครับ ทางด้านนี้จะให้เจ้าเปล่งมันทำ
และดำเนินการเองทั้งหมด ส่วนผมจะไปทำงานทางโน้นแต่ในทางกลับ
กันก็จะมอบหมายคำสั่งลับให้มันดำเนินการกวาดล้างให้หมดครับ”
“นี่ก็จวนจะค่ำมากแล้วล่ะ ไว้พรุ่งนี้ไม่ดีหรือ”
แม่เข็มเอ่ยด้วยความเป็นห่วงใยลูกชายนัก พลางหันไปทางพ่อเชียร
ด้วยหวังจะให้ช่วยพูดให้ด้วย แต่พ่อเชียรทำเฉยๆสูบบุหรี่พ่นปุ๋ยๆๆๆ
“ครับดีเหมือนกันครับ ผมเปลี่ยนใจแล้วล่ะครับสงสัยในกรุงเทพฯจะ
มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไรบ้างอย่างเสียแล้วล่ะครับ”
“เออๆๆๆ...ดีแล้วล่ะลูกไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนไว้พรุ่งนี้ค่อยไปก็ดี
เหมือนกันนะ ส่วนทางนี้จะได้วางแผนการณ์ก่อนจะดำเนินการ
ต่อไป ด้วยงานนี้สำคัญมากเสียด้วยต้องทำให้เรียบร้อยก่อนเหตุการณ์
ที่จะตามมาภายหน้า ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรทำก่อนที่จะเปลี่ยนแปลง”
พ่อเชียรไม่ให้ความความคิดเห็นแต่อย่างใด ส่วนแม่เข็มก็หันไปมอง
ทางสาวชบาซึ่งทั้งพ่อเชียรแม่เข็มหวังหมายปองสไภ้ในอนาคตไว้
พร้อมกล่าวว่า
“เรื่องในห้องเจ้าโชติเรียบร้อยแล้วหรือยังล่ะลูก”
“เรียบร้อยแล้วจ๊ะ หนูไปดูแลทุกๆวันแหละแม่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้า
แต่หากพี่เขาไปในเมืองก็จะดูแลอยู่เสมอๆแหละเพื่อเขาจะกลับมาพัก
จ๊ะแม่ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกหนูจัดการเรียบร้อยทุกๆวันแล้วจ้า
“พี่เองไปเช้าเย็นกลับจ้าแม่ชบา ไม่ได้พักที่นั่นหรอกนอกจากมีเหตุ
จำเป็นเท่านั้นแหละ จะได้ไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่และน้องๆเป็นห่วง”
“ก็ดีเหมือนกันแหละลูก งานของลูกมันเสี่ยงภัยน่าดูเหมือนกันนะ”
แม่เข็มเอ่ยขึ้น พลางหันไปทางพ่อเชียรถามความคิดเห็นบ้าง”
“ก็จริงอยู่หรอกแม่เข็ม แต่ลูกเรามันโตแล้วและงานมันก็ไม่เหมือน
งานทั่วๆไปด้วยล่ะ หากมาพักที่นี่จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไรกันบ้างนะ??..”
“จริงของพี่จ๊ะ งั้นตามแต่ใจเขาก็แล้วกันดีกว่า เราเป็นพ่อแม่ก็คอยดูๆ
กันไปเท่านั้นเอง สิ่งเดียวที่ฉันกังวลคือการแต่งงานของลูกโชติเท่านั้น”
“แม่มองผู้หญิงให้พี่เขาแล้วหรือครับ???....”
เจ้าชัยเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย ส่วนเจ้าบงกชก็มองหน้าสงสัยเช่น
เดียวกันด้วยไม่เคยได้ยินพ่อแม่กล่าวเรื่องนี้ให้ฟังเลยว่าหาสาวให้พี่เขา
แล้ว มันจึงยิ่งเกิดความสงสัยมาก ครั้นจะถามมากไปก็ไม่ดีด้วยเป็น
หน้าที่ของพ่อแม่ จนกระทั่งพ่อเชียรแม่เข็มเอ่ยขึ้น
“พ่อแม่มองไว้นานแล้วล่ะเจ้าชัยเอ๋ย เพียงแต่ว่าคอยจังหวะที่
เหมาะสมเท่านั้นเองแหละ คิดว่าพี่เขาคงจะไม่ปฏิเสธหรอกนะสำหรับ
เรื่องนี้ เห็นว่าเหมาะสมกันนักด้วยประการทั้งปวง”
“พ่อจะเผยเล็กๆน้อยๆได้ไหมล่ะ แล้วเป็นคนที่หมู่บ้านไหนล่ะแม่”
“ก็คนในหมู่บ้านเรานี่แหละและก็ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก แม่คิดว่าเอ็ง
ต้องรู้จักดีเสียด้วยซิ”
แม่เข็มกล่าวทิ้งท้ายไว้ เล่นเอาเจ้าชัยเกาหัวแกร๊กๆทันทีหันไปมอง
หน้าเมียมัน ไม่ใกล้ไม่ไกล ใครหว่า????...มันนึก ครั้นจะถามเมียมัน
หรือก็คงจะไม่รู้หรอกเรื่องนี้
“ผมรู้จักมักจี่ด้วยหรือจ๊ะแม่”
“เออๆๆๆ.....เอ็งรู้เสียยิ่งกว่ารู้อีกล่ะโว้ย เอาเพียงเท่านี้ก่อนนะแล้ว
เมื่อเหตุการณ์มาถึงเอ็งก็จะรู้เองแหละ และจะดีใจเสียอีกด้วยซิ”
ครั้นสาวชบาได้ฟังแม่เข็มกล่าวเช่นนี้นางก็พลอยจะรู้แล้วว่าอะไร
เป็นอะไรถึงกับใบหน้าแดงกล่ำแล้วรีบ หนีเข้าไปในห้องหล่อนทันที
ด้วยไม่อยากจะให้ใครจับว่าหล่อนก็รู้เหมือนกันที่แม่เข็มกล่าวนั้นเป็น
ใครกัน จึงหันหน้าไปมองหน้าชายหนุ่มด้วยใบหน้าเขินอายและยิ่งเจ้า
ชัยด้วยแล้วมันยิ่งไปกันใหญ่ถึงแม้ว่ามันจะสนิทสนมกับหล่อนก็ตามที
เถอะ มันถึงเป็นคนไม่พูดมากก็คงจะพูดคราวนี้เองแหละ
หล่อนคิดเช่นนั้น ก็ยิ่งเกิดความเอียงอายมากยิ่งขึ้นตามวิสัยสาวๆทั้งๆที่
ภายในห้วงใจหล่อนนั้นมีเขามาตั้งนมนานแล้ว ทั้งหลงรักและบูชายิ่ง
นัก ไม่ใช่ด้วยตำแหน่งของเขาแต่ความเป็นคนเรียบร้อยพูดจาไพเราะ
ให้เกียรติหล่อนทุกๆเวลา ไม่เคยเลยที่จะทำให้หล่อนเสียใจสักครั้ง
เดียว ส่วนยศฐานะตำแหน่งมิได้อยู่ในความคิดหล่อนเลย
ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ขอตัวกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับแม่นางรัตนา
วดีซึ่งไม่มีใครแลเห็นร่างหล่อนนอกจากชายหนุ่มเท่านั้น ก็ยิ้มพรายด้วย
นางกับแม่อ้อยนั้นต่างก็ช่วยกันวางแผนไว้ ครั้นตกลงในแผนการต่างๆ
เรียบร้อยแล้ว เขาก็ส่งเสียงเรียกแสงสีสินชัยเอ๋ยเสียงเบาๆทันที
“เจ้าแสงสีสินชัยออกมาพบข้าหน่อยจะมีเรื่องให้ทำงานนะ”
ทันใดนั้นร่างของทั้งสองก็ปรากกฏกายขึ้นทันที พลางเอื้อนเอ่ยว่า
“นายมีเรื่องอะไรหรือครับ กลับมาคราวนี้เร่งด่วนจริงๆ”
เจ้าแสงสีเอ่ยถาม???...
“เป็นเรื่องสำคัญมากด้วย ต้องรีบทำให้รวดเร็วที่สุดด้วยล่ะ เมื่อกี้นี้
ก่อนเข้ามาข้าเห็นดวงดาวดวงใหญ่ตกไปทางทิศตะวันตก ก็เข้าฌานดู
และตรวจสอบตามโหราศาสตร์ว่าภายในกรุงเทพฯมีการเปลี่ยนแปลง
เกิดขึ้นแล้วล่ะ ที่เรียกมานี้ต้องการให้เอ็งทั้งสองรีบออกเดินทางไป
แจ้งแก่น้องชวนและพรรคพวกตลอดจนหัวหน้าหน่วยงานลับต่างๆ
ให้มาประชุมในวันพรุ่งนี้ หัวหน้าหน่วยลับนั้นให้มาเฉพาะหัวหน้า
เท่านั้นนะ และขากลับไปบอกเจ้าเปล่งด้วยว่าข้าจะจัดประชุมใหญ่
อ้อๆๆๆอีกเรื่องหนึ่ง ให้ไปแจ้งแก่สารวัตรชัชวาลย์ ผู้กองจำลองและ
ผู้กองจรัสให้มาแค่สามคนมาประชุมร่วมด้วย ให้ไปพบเจ้าเปล่งให้
เจ้าเปล่งให้คนออกมารับตัวทุกๆคนเข้าไป มิฉนั้นจะติดอยู่ในค่ายกล
เสีย แล้วข้าจะตามไปทีหลัง ให้เจ้าเปล่งจัดเตรียมน้ำท่าอาหารไว้ด้วย
เพื่อการประชุมอาจจะยืดเยื้อก็ได้นะ”
“ครับนาย ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ จะแยกย้ายกันไปแจ้งให้ทุกๆ
คนทราบไว้ให้มาประชุมในตอนเย็นจนครบครับนาย”
“เออดีแล้วล่ะ....และให้เจ้าเปล่งเตรียมเรื่องไฟฟ้าไว้ด้วยนะไม่ใช่ใช้
เทียนหรือไต้ล่ะ”
“ครับนาย ถ้าอย่างนั้นผมจะไปบอกเจ้าเปล่งก่อนก็แล้วกันแล้วค่อย
ทะยอยกันแยกย้ายไปแจ้งทางอื่นครับ”
“เอาล่ะ!!!ๆๆๆ.....ไปได้แล้วเดี๋ยวจะดึกกว่านี้อีก
“ครับนาย”
แล้วร่างเจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยก็หายวับไปทันที ชายหนุ่มก็หันมา
ปรึกษาเรื่องราวกับแม่นางอัปสรทั้งสองพร้อมเล่าเรื่องให้แม่นาง
อ้อยวิลาวัลย์ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดอีกด้วย หลังจากนั้นชายหนุ่ม
ก็นำเอากระดาษออกมาวาดแผนที่ต่างๆพร้อมหนทางที่จะทำงาน
โดยแบ่งแยกกำลังออกเป็นหลายๆสายทันที......................
๐ แก้วประเสริฐ. ๐