8 พฤษภาคม 2554 18:48 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๘๘
หลังจากที่หนุ่มโชติและแม่นางเทพอัปสรรัตนาวดีเดินทางเข้าไปใน
กรุงเทพฯนั้น ทางด้านเจ้าเปล่งก็ได้รับการช่วยเหลือจากแสงสี
สินชัย
พ่วงและเริ่มตลอดจนเหล่าหุ่นเหล่าผีสางนางไม้ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ใน
บริเวณป่าแถบนั้นทราบจนเข้าใจ เมื่อทุกอย่างรู้แล้วพวกทั้งหลาย
ก็รีบจัดการสร้างค่ายกลในลักษณะแตกต่างกัน
โดยแบ่งหน้าที่กันทำกัน
จนเสร็จเรียบร้อยตลอดจัดหาอุปกรณ์ต่างๆ
มาเสริมแต่งตามคำบอกเล่า
ครั้นเจ้าเปล่งได้ไปตรวจสอบค่ายกลต่างๆ
ซึ่งวางไว้หลายๆค่ายแต่ละค่าย
นั้นแตกต่างกันออกไป ครั้นเจ้าเปล่งเห็น
ต่างก็นำพวกที่สร้างนั้นมาทำการ
ทดลองเพราะว่าแต่ละพวกล้วนสร้างไม่เหมือนกัน
ฝ่ายใดที่ไม่ได้สร้างก็ถูก
ทำการทดลองทันที สร้างความวุ่นวายร้องเสียงดัง
โหยหวนเล็ดรอดออกมา
เจ้าเปล่ง พ่วง และเจ้าเริ่มและหัวหน้ารองลงมา
ต่างแลเห็นความวุ่นวายทั้งสิ้น
ไม่สามารถหาทางออกมาได้ เจ้าเปล่งบัดนี้พวกมันเรียกกันว่า
อาจารย์จึงใช้ให้
เข้าไปนำพวกมันออกมาสับเปลี่ยนกันไปจนทั่วทุกๆค่ายกล
ทำให้เหล่าหุ่นพยนต์
และเหล่าภูติผีปีศาจนางไม้ต่างแตกตื่นตกใจ
แต่ก็ไม่อาจจะขัดขืนคำสั่งได้ต่างเข้า
ไปทดลองกันถ้วนทั่วทุกๆฝ่าย ผลไม่สามารถออกจากค่ายกลได้
จึงต้องให้คนไป
นำออกมาจากค่ายทั้งหมด และเมื่อผ่านการทดสอบจนแน่แก่ใจ
ดังนั้นเจ้าเปล่งก็เรียกพวกทั้งหมดมาอธิบายสิ่งต่างๆ
ภายในแต่ละค่ายกล
ให้ทั้งหมดทราบหนทางเข้าออก ประตูล่อลวง
และหากไปติดให้ถือปฏิบัติกันตลอด
หนทางเข้าออกต่างๆจนพวกเหล่านี้ชำนาญแล้ว
หากจะมองเพียงผิวเผินก็จะไม่รู้ว่าเป็น
ค่ายกลจะแลเห็นเป็นแค่ป่าธรรมดาทั่วๆไป
แต่จะพบก็เพียงทางที่จะเข้าสู่ค่ายกลเท่านั้น
ซึ่งแตกต่างกันออกไป มันจึงฝึกให้พวกเหล่านี้
ต่างทดลองทุกๆตัวนายทั้งหญิงและชาย
ด้วยเพียงตัวเดียวไม่มีเพื่อนเข้าไป
ทุกๆคนก็สามารถหาหนทานเข้าออกได้อย่างชำนาญ
เพื่อไม่ให้เสียเวลา ทุกค่ำคืนมันจะเรียกบรรดา
เหล่าหุ่นพยนต์และประชุมกันพร้อมทั้ง
เจ้าเปล่งก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาไป สั่งสอนการเจริญธรรม
กัมฐานและวิชาการต่างๆอย่าง
คร่ำเคร่งตามแนวทางค่ายกลและวิชาที่ได้ร่ำเรียน
จากชายหนุ่มนายมันอย่างไม่ปิดบังจน
ทุกๆคนเกิดความเคารพนับถือมันเป็นอย่างมาก
ต่างเรียกหามันว่าอาจารย์ แต่มันบอกว่า
อาจารย์ที่แท้จริงคือนายมันแล้วบอกชื่อตลอดจน
แม่นางอัปสรทั้งสองให้ทราบด้วย ว่า
หากวันใดพบก็ให้ทำความเคารพนับถือเชื่อฟังเขา
อย่าขัดขืนเป็นอันขาด ด้วยวิชาการนี้
เขาจะเรียกคืนเมื่อใดก็ได้ ทุกๆคนน้อมรับคำสั่งเจ้าเปล่ง
อย่างพร้อมเพียงกัน
ส่วนด้านเรื่องอาหารการกินนั้นก็ไม่ต้องห่วงใย
ด้วย เจ้าพ่วงเจ้าเริ่มคอยปรนนิบัติ
รวมทั้งบรรดาศิษย์มันทั้งหลายอีกด้วย พร้อมทั้งได้รับการอบรม
วิชาการต่างๆที่มันได้
รับรู้มาอบรมเรื่องศีลธรรมเพื่อเป็นหนทางสร้างความดี
เมื่อพ้นจากสภาพต่อสิ่งเหล่านี้ก็
จะได้ไปสู่ภพที่ดีๆต่อไป ตามแนวการสอน
ของอาจารย์มันคือชายหนุ่มตลอดเวลาไม่เคย
ขาดสักวันเดียวพร้อมทั้งทดสอบวิชาการต่างๆอีกด้วย
จนเห็นว่าต่างเข้าใจดีเอาตัวรอดได้
ดังนั้นมันจึงวางตัว คงปล่อยให้พวกเหล่านี้ต่างฝึกฝนกันเอาเอง
มิให้พวกมันเกียจคร้าน
ต่อสิ่งที่มันอุตส่าห์สร้างไว้ในกาลข้างหน้า ที่มันคาดการณ์ไว้
ยิ่งได้ศึกษาวิชา
โหราศาสตร์จากอาจารย์มันอีกด้วย ยิ่งเพิ่มทักษะเกิดขึ้น
แก่เจ้าเปล่งมากมายนัก
ด้านเจ้าแสงสีสินชัยก็กลับไปอยู่กับแม่นางอ้อยวิลาวัลย์
และคอยช่วยเหลือ
งานด้านพ่อเชียรแม่เย็นเจ้าชัยและแม่บงกชเฝ้าดูแลบ้าน
ช่วยเหลือแม่นางชบา
ในการทำงานบ้านไปอีกทางหนึ่งด้วย การเลี้ยงสัตว์
เช่นหมูนั้นต่างเลิกเลี้ยงกัน
ไปคงมีแต่จำพวกอาหารพืชผักต่างๆเป็นหลัก
หากต้องการซื้อมันทั้งสองก็ต้อง
ออกเดินทางเข้าเมืองไปซื้อมากักตุนไว้ในบางครั้งเท่านั้น
เวลาผ่านไปนานจนกระทั่งวันหนึ่ง
ในเวลาค่อนข้างสายๆแล้ว ทางด้าน
พรรคพวกของเจ้าเปล่งเดินทางมาหา ด้วยไม่เคยพบปะกับ
เจ้าเปล่งอีกเลย
เป็นเวลานานก็คิดถึง ครั้นเดินทางมาถึงบ้านตามคำแนะนำ
ของลูกพี่มันแล้ว
เมื่อมาถึงยังบริเวณหน้าบ้านพ่อเชียร เจ้าตี๋ใหญ่
ก็ตะโกนเรียกหาเจ้าเปล่งทันที
“ไอ้เปล่งโว้ย ไอ้ห่าเอ๋ย!!!!....ไม่ยอมไปคบหา
สมาคมหายเงียบไปเลยนะมึง
พวกกูคิดถึงจึงพากันมาเยี่ยมมึงโว้ย”
ทุกๆคนก็แปลกใจปกติไอ้เปล่งมันจะหูไว
เมื่อได้ยินเรียกครั้งเดียวก็จะรีบออกมาแต่
นี่มันตะโกนเรียกหลายๆต่อหลายครั้ง
เสียงเจ้าเปล่งก็เงียบไม่ตอบออกมาเลยจนกระทั่ง
“นายเปล่งไม่อยู่หรอกที่นี่หรอกนะ
ไม่ต้องตะโกนหรอกจะเข้ามาก็เข้ามาได้เลย”
เสียงตอบออกมาจากภายในบ้านดังขึ้นเป็นเสียงผู้ชาย
“เข้ามาในบ้านก่อนซิ แล้วค่อยคุยกัน”
“อ้าวๆๆๆ...แล้วมันไปอยู่ที่ไหนหรือ
ก็นายบอกว่ามาอยู่กับเขานี่นา????”
คราวนี้เจ้าวาสเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย
พร้อมทั้งหมดก็เปิดประตูเข้ามา
ภายในบ้าน ก็เห็นเจ้าแสงสีนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านบนแคร่
ดังนั้นทั้งหมดจึงเดินมา
หา พลางยกมือไหว้ทันที ด้วยมันจำได้ว่าเป็นใคร
เพราะครั้งหนึ่งเคยเห็นว่า
นายมันได้เรียกพวกมันทั้งหมดมาทำการอบรมวิธีการต่างๆ
ให้ทราบพร้อมยัง
แนะนำการต่อสู้ต่างๆให้อีกด้วยทั้งหมดจึงยกมือไหว้
เจ้าแสงสียกมือรับไหว้แล้วก็เรียกให้มันนั่งบนแคร่รวมด้วยกัน
บรรดาพวกทั้งห้าก็หาที่นั่งกัน ซึ่งมี เจ้าตี๋เล็ก ตี๋ใหญ่
ชื่น วาส และกุ๋นเมื่อ
ทุกๆคนหาที่นั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าแสงสีก็เอ่ยว่า
“เปล่งเขาเข้าไปปลูกบ้านที่ป่าหน้าบ้าน
นั่นแหละอยู่ติดกับริมเขาภายในถ่ำมีธุระ
อะไรสำคัญถึงนายบ้างหรือเปล่าล่ะ???...”
“ไม่มีหรอกครับพี่ ด้วยพวกข้าคิดถึงด้วยพวกเรา
ไม่เคยขาดการติดต่อเลยไม่รู้
ว่ามันจะเป็นอย่างไรกันบ้างจ๊ะ”
เจ้าชื่นเอ่ยขึ้น พร้อมหันไปทางเจ้าตี๋เล็ก วาสและกุ๋น
ซึ่งทุกๆคนก็เอ่ยขึ้นทำนอง
เดียวกัน
“เปล่งเขาไปศึกษาวิชาจากนายเพิ่มเติม
ด้วยเห็นที่นั่นเหมาะสมเงียบสงัดดีนะ
นึกว่าจะมีเรื่องงานมารายงานเสียอีก
ด้วยนายก็เคยบอกให้รู้ไว้ด้วยนะ”
เจ้าแสงสีเอ่ย พลางเหลือบไปเห็นแม่นางชบา
กำลังยกโถและแก้วน้ำเดินลงบันได
มา พลางรินน้ำใส่แก้วส่งให้แก่ทุกๆคน
ครั้นบรรดาพระกาฬทั้งห้าเห็นก็ต่างตกตะลึงกันไปตามๆกัน
พลางต่างนึกใจใจว่า
โอโฮ!!!!....ช่างสวยอะไรเช่นนี้ ว่าแม่ดานั้นสวยแล้ว
ยังไม่อาจเทียบแม่นางคนนี้ได้
เลย ต่างคนอ้าปากค้างไปตามๆกัน เจ้ากุ๋นก็หันหน้า
ไปถามแสงสีทันที
“พี่ๆๆๆ....น้องสาวคนนี้ใครหรือ???....”
“อ๋อๆๆๆ....น้องสาวนายแหละต่อไปนั้น
คงจะต้องเป็นนายพวกเราอีกด้วยล่ะ???...”
“น้องสาวนายหรือพี่????....อ้าวๆๆ???...
พวกข้ารู้ว่านายเป็นลูกชายคนเดียวนะพี่”
“อ้อพ่อเชียรแม่เย็นท่านเอามาเลี้ยงไว้เป็นลูก
ทั้งเจ้าชัยพวกเอ็งก็รู้จักซินะตอนมางาน
แต่งงานนะเอ็งไม่สงสัยอะไรอีกหรือว๊ะ???...”
“สงสัยนะสงสัยหรอกพี่แต่ไม่กล้าถามเท่านั้นเอง
แหละ”
ทั้งหมดขานตอบเกือบพร้อมๆกัน ไม่เพียงเท่านั้น
ต่างมองหน้ากันไปๆมาๆและแล้ว
ทั้งหมดต่างอุทานกันลั่นไปหมดนึกในใจว่า
เห็นจะมีหวังบ้าง ด้วยพวกมันต่างเป็น
โสดกันทั้งนั้น แต่ก็ต้องสะอึกว่าต่อไปต้องมาเป็นนายมัน
ก็พากันงงงวยสงสัยในใจขึ้น
“อ้าวพี่???....แล้วจะมาเป็นนายพวกผมได้อย่างไรกันล่ะ
งานมันคนล่ะอย่างกันนี่นา”
“เฮ่อะๆๆๆๆ....อีกหน่อยพวกมึงก็รู้หรอกว๊ะ...
แต่อย่าพึ่งรู้เลยว๊ะ
พวกมึงจะมาเยี่ยมเปล่งมันก็ไปหาเพียงเดินไปทางตรงข้าม
ทางหน้าบ้านเข้าไป
ก็จะพบมันแหละมันปลูกกระท่อมไว้ด้านหน้าของถ่ำติดกับเขา
มีบ้านเดียวเท่านั้นเองแหละ”
ทั้งหมดครั้นทราบด้วยเห็นว่าหากช้าไปจะมืดเสียก่อน
ต่างพากันรีบยกน้ำขึ้นดื่มแล้ว
ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าก็ไม่รบกวนพี่หรอกจะรีบไปหามัน
คุยกันสักหน่อย
นี่รีบมาแต่เช้าขออนุญาตพี่ชวนมา ด้วยเขาไม่ว่างกำลัง
ช่วยเด็กสั่งงานอยู่ในไร่
นั่นแหละจ้า”
เจ้าชื่นเอ่ยขึ้นให้แสงสีฟัง แล้วทั้งหมดก็ยกมือขึ้นไหว้เพื่อลา
แต่สายตาพวกมันก็เหลือบไปมองแม่นางชบา
ที่กำลังก้าวขึ้นบันไดบ้าน
ทั้งหมดนึกในใจเสียดายว๊ะนี่เป็นน้องสาวนายนะ
หากเป็นคนอื่นเห็นที
จะต้องมาบ้านนี้ทุกๆวันแหละ แล้วพวกมันก็ลุกขึ้นจากแคร่
และเก้าอี้นั่ง
แล้วต่างก็ ทะยอยพากันออกจากบ้านไปเพื่อจะไปหาเจ้าเปล่ง
ครั้นเมื่อทั้งหมดออกไปแล้วเจ้าแสงสีก็พลันนึกขึ้นได้ ก็ยกมือตบอก
ลืมบอกพวกมันว่าหากเข้าไปคงจะต้องไปหลงในค่ายกลแน่ๆ
ครั้นจะตะโกนเรียกก็ไม่ทันเสียแล้วด้วยทั้งหมดต่างก็เดินหายไปใน
ป่าหน้าบ้านหมด จึงคิดจะออกติดตามไปเพื่อบอกแก่พวกมัน
รีบลุกจากแคร่
หมายจะไปบอกพวกเพื่อนเจ้าเปล่งก็พอดีเสียงสินชัยเรียกดังขึ้น
“พี่แสงสีๆๆ....แม่นางอ้อยท่านให้มาเรียกพี่ไปพบด้วยพี่
รีบๆหน่อยนะ”
“เออๆๆๆ....จะรีบไปพบเดี๋ยวนี้แหละมันลืมที่จะไป
บอกพวกเจ้าเปล่ง
ต้องรีบขึ้นไปพบแม่นางอ้อยวิลาวัลย์ทันที
บรรดาพรรคพวกเพื่อนเจ้าเปล่งต่างก็วิพากวิจารณ์
ถึงเรื่องแม่สาวชบาในขณะที่เดินไป
ตามทางเล็กๆภายในป่าเพื่อมองหาบ้านเจ้าเปล่งแต่ก็ไม่แลเห็น
เป็นทางคดเคี้ยวไปๆมาๆ
“นี่นะหากไม่ใช่น้องนายล่ะเฮ้ยๆๆ...
ไอ้ตี๋ใหญ่กูสงสัยจะมีเมียก็คราวนี้แหละผู้หญิงอะไร
สวยฉิบหายเลยว๊ะ กูว่าแม่ดาว่าเป็นคนงามแล้วเชียวนะ
ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งน้องนายเลยว๊ะ”
“อืมม!!!!....จริงของมึงไอ้ชื่นโว้ย
แต่นั่นน้องนายเรานะโว้ยถึงอย่างไรก็อย่าเสือกถึง
แม้ว่าจะไม่น้องคนในบ้านห้ามเด็ดขาดนะ
ไอ้ห่านี่หาเรื่องใส่ตัวเสียแล้วซิ”
“จริงของไอ้ตี๋ใหญ่มันพูดโว้ย ไอ้วาส ไอ้กุ๋น
รวมทั้งมึงด้วยไอ้ชื่น อย่าเสือกเก็บมาคิดว๊ะ
ด้วยเป็นคนในบ้านนายเราโว้ย แล้วมึงก็รู้ว่านายเรา
เป็นคนอย่างไรกันใหญ่ขนาดไหน”
ไอ้ตี๋เล็กเตือนสติพวกมัน ทำให้ทุกๆคนต่างเงียบเสียงวิจารณ์ทันที
ช่วยกันหาทางเดิน
ภายในป่าไปเพื่อพบเจ้า เปล่ง พวกมันเดินวนเวียนไปๆมาๆ
ก็ไม่เห็นเงาบ้าน
แม้แต่น้อยครั้นมันเดินไปอีก ก็ได้ยินเสียงร้อยวี๊ดว้ายๆดังขึ้นมา
ทำให้พวกมันชะงัก
เสียงทันที ด้วยทุกๆคนได้ยินเสียงนั้นเป็นเสียงของ
หญิงสาวหลายๆคน
เอ๊ะ!!!...ๆๆๆพวกนางทำอะไรกันอยู่จึงต่างส่งเสียงร้องวี๊ดว้ายกัน
ไปดังแซ๊ดเช่นนี้
ต่างก็ชะงักรีบค่อยแยกกันเข้าสู่พุ่มไม้ข้างทางทันที
ค้นหาทางแห่งเสียงนั้น
พวกมันย่อตัวแล้วค่อยๆย่อง แต่ทั้งหมดก็อยู่ในระยะสายตา
พอมองเห็นกันได้
ครั้นแล้วทั้งหมดต่างก็ต้องตะลึง ต่างร้องอุทานออกมา
ภาพที่พวกมันเห็นนั้น
เป็นสระน้ำใหญ่น้ำใสมองเห็นพวกปลากำลังว่าย
ภายในสระล้วนมีบัวสีต่างๆแต่แปลกด้วยเป็นบัว
ที่มันไม่เคยเห็นกันมาก่อนเลย
ภายในสระน้ำแลเห็นบรรดาสาวๆกำลังแก้ผ้าต่างว่ายน้ำไปๆมาๆบ้าง
บ้างวิดน้ำสาดใส่กันบ้าง
แต่บรรดาสาวๆนั้นช่างสวยจริงๆมันทั้งหมดล้วนเห็นกันหมด
เหมือนกันทั้งสิ้น
ดวงตามันเบิกโพลงและคิดว่าพี่เขาทำไมไม่บอกว่ามีสิ่งดีๆเช่นนี้
นี่นะซิไอ้ห่าเปล่งถึงไม่ยอมไปพบพวกมันเอาเสียเลย
แอบหาความสุขคนเดียว
เดี๋ยวเจอกันต้องเตะมันสักหน่อย ไอ้นี่ต่อหน้าพวกกู
ทำเป็นคนเงียบไม่พูดไม่จา
ที่แท้แอบมีอะไรดีๆซ่อนไว้เสียคนเดียวและไม่ยอม
ไปพบไปหาพวกกู แล้วพวกมันต่างก็สะดุ้งเฮือก
เมื่อได้ยินเสียงพวกสาวๆ
หลายๆคนต่างหันหน้ามาทางพวกมัน พลางส่งเสียงร้องเรียก
พร้อมกับกวักมือเรียกไหวๆ
“พวกพี่ๆจะแอบดูพวกฉันทำไมล่ะจ๊ะ
ลงมาอาบน้ำด้วยกันซิจ๊ะพี่จ๋าาาาา”
ทำเอาทั้งหมดตลึงลืมตัวไปว่าสาวๆมันรู้ได้อย่างไรว่า
พวกมันแอบสุ่มดูอยู่
แต่ความงามของบรรดาพวกหล่อนนั้นต่างก็พากันออกจากที่ซ่อน
เดินไปหาด้วยความงวยงง ครั้นถึงริมสระ
บรรดาสาวๆที่เปลือยผ้าอยู่ก็หาเกิดความเอียงอายแต่ใดๆไม่
ต่างว่ายมาริมขอบสระ บรรดาพวกเจ้าเปล่งทั้งหมดครั้นแลเห็น
ต่างตลึงในความงามปทุมถันก็ตั้งเต้า
ยวนเย้าเต่งตึงไปทุกๆนางล้วนแล้ว
เปล่งขาวทรวดทรงเอวก็รับกับรูปร่างอย่างหาที่ติไม่ได้
ก็ได้ยินเสียงย้ำเตือนอีกว่า
“พวกพี่ๆลงมาอาบน้ำด้วยกันซิจ๊ะพี่ๆๆๆ”
ครั้นได้ยินชักชวนอีกเช่นนั้นต่างมิรีรอรีบเปลื้องผ้ามัน
แล้วกระโจนลงสระทันที ยกเว้นเจ้าตี๋เล็กคนเดียว
ที่ไม่ยอมลงไปด้วย
จนสาวๆหันมากวักมือเรียกอีก
แต่เจ้าตี๋เล็กสั่นหน้าบอกว่า
“ไม่หรอกจ้าน้องสาว พี่ไม่ค่อยจะสบาย
ครั่นเนื้อครั่นตัวชอบกลจ๊ะ”
ทั้งๆที่มันไม่เป็นอะไรแต่ใจมันสังหรณ์ใจชอบกลอย่างไรบอก
ไม่ถูก ด้วยสิ่งที่เห็นนั้นผิดปกติด้วยบรรดาดอกไม้ต่างๆไม่เคยมีใน
บริเวรณแถบนี้เลย ดังนั้นทำให้มันลังเลไม่ไว้วางใจนัก
จึงไม่คิดเหมือนพวกมันที่ต่างลงไปเล่นน้ำกับบรรดาสาวๆ
อย่างสนุกสนาน มันได้แต่มองดู พลางหาที่นั่งบนขอนไม้ใกล้ๆ
เมื่อมองไปสักพักใหญ่ๆมันต้องรีบขยี้นัยน์ตามันทันที
ด้วยสิ่งที่เห็นนั้นหายไปหมดเห็น
บรรดาพรรคพวกมันต่างเปลื้องผ้าล่อนจ้อน
กำลังว่ายอยู่กับบนพื้นดิน
ที่เปื้อนฝุ่นขาวๆฝุ่นสีแดงๆไปกันหมด แต่เมื่อขยี้ตาอีกครั้ง
ก็แลเห็นเป็น
สระน้ำเหมือนเดิม พอมันหันไปดูที่อื่นสิ่งต่างๆ
เปลี่ยนไปหมดไม่เหมือน
กับที่มันเข้ามาเลย ป่าทั้งป่าหายไปเพียงมีบางต้นเท่านั้น
นอกนั้นเป็นภูเขา
ภูผาต่างซ้อนๆกัน ครั้นหันกลับไปมองพวกก็เห็นเหมือนเดิม
คือว่ายบกอยู่
แต่พอหันไปอีกหันมาก็เห็นเป็นสระน้ำเหมือนเดิม
มันตกใจอย่างสุดขีด
ถึงกับปากอ้าตาค้าง รีบร้องโวยวายตะโกนบอกพรรคพวกมันทันที
แต่บรรดาพวกมันกับหันหน้ามายิ้มกับมัน
แล้วต่างว่ายบนพื้นดินไปๆมาๆ
พร้อมส่งเสียงร้องเฮฮาสนุกสนากัน
“ไอ้ตี๋เล็กโว้ย ทำไมมึงไม่ลงมาเล่นน้ำล่ะว๊ะสนุกๆว๊ะ
สาวๆสวยๆทั้งนั้น
โอ้ยๆๆๆกูบอกไม่ถูกว๊ะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสนุก
และเล่นกันสนุกสนาน
กับสาวๆเช่นนี้เลยล่ะ มาๆมึงรีบลงมาเถอะว๊ะ สนุกจริงๆนะโว้ยเพื่อน
ล้วนแล้วแต่อวบอัดน่าฟัดทั้งสิ้นทุกๆนางเลยเชียวว๊ะไอ้ตี๋เล็ก”
“จริงๆนะโว้ยเดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือนมึง โอ้ยๆๆนมมันนุ่มนวล
จังใหญ่ขาวจั๊วว๊ะเนื้อออกสีชมพูน้อยๆสวยละมุนมือจริงๆว๊ะ”
เสียงไอ้กุ๋นร้องเรียกอีกเพื่อให้ไอ้ตี๋เล็กมาร่วมสนุกกับมัน
เสียงที่ไอ้ตี๋เล็ก
ตะโกนบอกเตือนมันต่างไม่ได้ยินทั้งสิ้น ไอ้ตี๋เล็กว่า
พวกมันกำลังทำอะไร
กันอยู่หามีสระน้ำสาวๆใดๆไม่หรอก แต่พวกมันไม่ยอม
ฟังคำเตือนกลับพูดว่า
“ใช่แล้วโว้ยนางคนนี้มึงเอ๋ยนุ่มนวลอย่างบอกใครเชียว
รับรองว่าชีวิตนี้มึงไม่เคยพบหรอกกูว่า
แม่ดาแฟนพี่ชวนว่าเป็นสาวสวยแล้วยังเทียบไม่ได้เลยว๊ะ”
เสียงไอ้วาส ไอ้ชื่น และไอ้ตี๋ใหญ่ต่างเอ่ยสรรพคุณต่างๆนาๆ
ไอ้ตี๋เล็กตาแทบถลนปากแทบฉีกขาดเสียให้ได้
แตมันก็ยังเป็นห่วงอด
ตะโกนบอกว่าพวกมึงไม่ได้แก้ผ้าเล่นน้ำโว้ยมึงกำลังเล่นกลับฝุ่น
บนทางดินโว้ย แต่แล้วเสียงมันคล้ายๆกับหายไป
ในสายลมที่พัดเอื่อยๆ
ปนร้อนๆ ทำให้เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเดี๋ยว
ก็ร้อนเป็นบ้าเดี่ยวก็เย็นจับจิต
แต่เสียงของมันก็หาได้สร้างความหวั่นไหวแก่พวกมันได้
พากันหัวร่อต่อกระซิกกันหยอกเย้าเหมือนว่าพบของจริงๆ
โดยไม่รู้ตัวนอกจาก
มันคนเดียวเท่านั้นเอง มันต่างหันซ้ายหันขวา
หาคนช่วยครั้นเหลือบกลับ
ก็แลเห็นภาพดังเดิมคือเป็นสระและสาวสวยต่างร้องเรียกมัน
มีนางหนึ่งเดินขึ้นมาตรงจะเข้ามาหามัน
ไอ้ตี๋เล็กเห็นเช่นนั้นก็รีบถอยหลัง
ออกวิ่งหนีทันที ทันใดนั้นก็เห็นร่างหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่
แถวโคนต้นไม้
รีบถลันออกมาช่วยมันทันที หล่อนแต่งกายสวยแบบโบราณ
มีสไบเฉียง
ห่มผ้าสีเขียวอ่อน บอกให้มันมาซ่อนตัวที่นี่
ดังนั้นไอ้ตี๋เล็กจึงวิ่งไปแอบที่
โคนต้นไม้ใหญ่แต่มันไม่รู้ว่าเป็นต้นไม้อะไร
จะว่าต้นไทร ต้นตะเคียนก็ไม่ใช่
แล้วร่างหล่อนก็ออกไปรับหน้าสาวคนนั้นแทน
ซึ่งกำลังวิ่งมาหาเจ้าตี๋เล็ก
แต่หล่อนก็ไม่วายหันหน้ามาสั่งเจ้าตี๋เล็กด้วย
เกรงว่าเจ้าตี๋เล็กจะออกไป
“พี่ๆๆมาแอบที่โคนไม้นี้นะ
ฉันจะไปรับหน้าแทนเองจ๊ะ”
“พี่นางๆๆจะเอาเองหรือไงจ๊ะ
ถึงได้ออกรับหน้าแทนเช่นนี้”
“เปล่าหรอกน้อง พี่พ่วงมาแจ้งว่าล้อเล่น
พอได้แล้วล่ะด้วยเป็นเพื่อนๆๆ
ของอาจารย์เปล่งเขานะ”
“เหร๋อๆๆ???....พี่????...ดีนะพวกข้า
กำลังคิดจะทำให้พวกเขาตกใจ
กลับกลายร่างหลอกเสียให้เข็ด จึงรีบออกมาหวังว่าเพียง
เพื่อจะให้เพื่อนอาจารย์คนนี้ไปร่วมสังฆกรรมอีกคนจ้า โอ้ยๆๆตายแล้ว
งั้นข้ารีบไปก่อนนะจะได้ไปบอกพวกเราไว้
อย่าทำให้พวกเขาตกใจจ๊ะ”
“เร็วๆเข้าน้องเดี๋ยวไม่ทันการณ์นะ”
“จ๊ะพี่ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
กล่าวเสร็จร่างนางก็หันกายกลับเพราะไม่
อาจจะหายตัวเกรงว่าเพื่อน
ของอาจารย์จะตกใจ
ครั้นนางหายไปแล้ว นางก็หันหลังกลับไปนั่งตรงข้ามตี๋เล็กถามว่า
“ทำไมไม่ลงไปเล่นน้ำกับเขาด้วยล่ะจ๊ะ”
“ไม่หรอกจ้า ด้วยสังหรณ์ใจอย่างไรไม่ถูก
จึงปฏิเสธไปจ้า”
“ดีแล้วจ้า ถ้าอย่างนั้นก็นั่งคอยเพื่อนก่อนนะจ๊ะ
ฉันเองจะไปทำธุระ
ทางโน้นก่อนนะ”
“ตามสบายเถอะจ้า ฉันจะคอยเพื่อนอยู่แถวนี้
แหละ”
“เดี๋ยวเขาก็จะมีคนพามาหาแหละจ้า ไปก่อนนะ”
กล่าวแล้วนางก็เดินหายไปทางพุ่มไม้หลังโคนต้นไม้ใหญ่
นั่งเอนหลังพิง
ต้นไม้คอยการมาของเพื่อนๆมัน
ที่บริเวณสระนั้น หญิงสาวก็รีบลงมาแอบแจ้งแก่เพื่อนๆ
หล่อนทันที ดังนั้น
ไม่ช้าพวกหล่อนก็หันไปยิ้มกับบรรดาชายหนุ่ม
พร้อมโบกมือลาแล้วหายตัว
ไปทันที เล่นเอาบรรดา ตี๋ใหญ่ ชื่น วาส และกุ๋น
ต่างตกใจตลึงพรึงเพริศไป
ด้วยกันทั้งสิ้น ต่างหันมามองหน้ากัน
เหมือนแลเห็นสาวๆทั้งหมดหายวับไป
มันทั้งหมดรีบมองไปในบริเวณสระ
บัดนี้ไม่มีสระมีแต่ถนนลูกรังที่เต็มไป
ด้วยฝุ่นแดงขาวทั้งสิ้น พวกมันต่างตกใจ
ที่ต่างแก้ผ้ากันหมดทุกๆคนมา
ว่ายเล่นฝุ่นอยู่ผมบนหัวต่างเปื้อนฝุ่นลูกรังสีแดงไปสิ้น
เนื้อตัวมอมแมม
“อะไรกันโว้ย!!!!!?????.... เอ้ยๆๆๆพวกเรา
เป็นอะไรไปว๊ะ????.......”
ทุกๆคนยืนขึ้นมองหน้ากันตาเหลิกหลั่กๆไปตามกัน
พากันหัวร่อที่ต่างแลเห็น
ของลับแต่ละคนต่างลืมกลัวไปหมด แล้วพากันชี้ชวน
ให้ดูกันและกัน ครั้น
พอนึกขึ้นได้ต่างรีบกุมมือของลับไว้แล้ววิ่งไป
ที่มันถอดทิ้งไว้ มันมองไม่
เห็นต่างพากัน ช่วยกันค้นจนพบ แล้วรีบคว้าแยกย้ายกันนำ
เสื้อผ้ารีบนุ่งกันอย่างรีบเร่ง แล้วหันซ้ายแลขวา
หาไอ้ตี๋เล็กกันแต่ไม่เห็น
เนื้อตัวมันต่างมอมแมมกันไปหน้าตามันเปื้อนด้วยฝุ่นแดงกันทุกๆคน
ผมเผ้าต่างกระเซิงกันไปๆมาๆทุกๆคน
มันต่างรีบมารวมตัวกันเพื่อจะค้นหา
เจ้าตี๋เล็กซึ่งหายไป จะได้รีบออกจากที่นี้ด้วยกัน
ถึงอย่างไรมันก็ไม่ยอมทิ้งกัน
ทันใดมันก็เห็นหญิงสาวนุ่งผ้าห่มสไบเฉียงสีเขียวอ่อน
เดินเข้ามา แล้วร้อง
บอกว่า
“เพื่อนพวกคุณนั่งรออยุ่ที่โคนต้นไม้
ตามฉันมาจะพาไปพบเขานะ”
กล่าวแล้วหญิงสาวนางนั้น ก็หันหลังกลับเดินไป
บรรดาชายหนุ่มต่างรีบเร่ง
เดินตามไปทันใด ครั้นเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาสักพัก
ก็เห็นไอ้ตี๋เล็กกำลังเอนกายพิง
กับโคนไม้ใหญ่ หล่อนก็ชี้มือให้พวกนั้นดูแล้ว
ก็รีบออกเดินลับหายไปทาง
พุ่มไม้ข้างทางทันที
ไอ้ตี๋เล็กเมื่อแลเห็นก็อ้าปากหัวร่อลั่น
เมื่อแลเห็นบรรดาพรรคพวกรูปร่าง
หน้าตาต่างมอมแมมไปทุกๆคน
ไม่เปล่าต่างชี้มือไปพลางหัวร่อไปพลาง
ด้วยเพื่อนมันบางคนสวมเสื้อกลับกันบ้าง
ล้วนแล้วแต่สกปรกทั้งสิ้นพลาง
เอ่ยว่า
“เฮ้ยๆๆๆเป็นอย่างไรว๊ะอาบน้ำสบายดีหรือว๊ะ
ไหงเป็นลูกหมาคลุกฝุ่น
ไปเสียล่ะ???ฮ่าๆๆๆๆ!!!.....”
“ไอ้เหี้..ย...เสือกหัวร่อทำหาตีนหรือไงว๊ะ
เดี๋ยวพวกกูจะเตะมึงหรอก
ทำไมมึงไม่บอกกูว่าอะไรมันเป็นอะไรว๊ะ”
“กูก็ร้องบอกมึงทั้งหมดแหละ แต่พวกมึงไม่ยอมฟังกู
ครั้นกูเห็นมึงกำลัง
ว่ายเล่นฝุ่นก็บอกแล้ว แต่ไม่มีสาวๆที่ไหนเลย
กูก็เลยวิ่งหลบมาพบแม่นาง
ดีนะที่มันเดินมาจะเรียกกูไปเล่นด้วย แต่แม่นางเขาห้ามไว้
กูถึงได้รู้เรื่องว๊ะ”
ทั้งหมดมองหน้ากันด้วยรู้นิสัยใจคอพวกมันดีว่า แต่ก็อดถามไม่ได้
“แล้วแรกๆมึงทำไมไม่ลงไปกับพวกกูล่ะ
โว้ย!!!!!????...”
“กูสังหรณ์ใจชอบกล อะไรว๊ะในป่าที่พี่แสงสี
เขาบอก ก็ไม่คิดอะไรมาก
หรอกแต่มา คิดๆดูว่าทำไมดันมีสระน้ำและดอกไม้สวยๆ
ดอกบัวเอยอะไรๆ
อีกสวยๆผิดสักเกตุ กูก็เตือนพวกมึงแล้วแต่พวกมึงไม่ฟังกู
ก็เห็นสาวๆสวยๆ
แต่กูยังมีสติไม่บ้ากามเหมือนพวกมึงนี่หว่า เกิดลางไม่ดีแน่
ก็เตือนแล้วเตือน
พวกมึงอีกแต่พวกมึงดันแก้ผ้าลงไปเล่นน้ำ
ตอนแรกกูก็เห็นว่าเป็นน้ำสาวๆ
แก้ผ้าเล่นน้ำเหมือนกันแหละโว้ย แต่แรงสังหรณ์ใจ
มีมากกว่าจึงแกล้งบอกว่า
ไม่สบาย รอดตัวไป เป็นไงล่ะกูได้ยินว่าสนุกสนานจริงโว้ย
แล้วสนุกมากไหม
ล่ะ!!!....ฮ่าๆๆๆๆ พวกมึงต่างดูหน้ากันเอาเองก็แล้วกัน
หน้าเหมือนคนไหม”
กล่าวแล้วไอ้ตี๋เล็กก็หัวร่อลั่นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ไปทั่วบริเวณ เล่นเอา
พวกมันทำหน้าตาพิกลไปตามๆกัน
ทุกๆคนมองหน้าตัวกันแล้วจริงของมันพูด
พลันก็ได้ยินไอ้ตี๋เล็กเอ่ยขึ้นอีกว่า
จนพวกมันต้องรีบหันมารับฟังมันพูด
“ไอ้กุ๋นบอกว่าโอ้ยนุ่มมือจริงโว้ย ไอ้วาสกับพวกบอกว่า
เนื้อมันนิ่มจริงๆ กูมองดูพวกมึงก็ยังย้ำเตือนบอกว่าไม่ใช่โว้ย
แต่มึงไม่ยอมฟัง
เห็นมึงกำลังขย้ำก้อนหินอยู่ ส่วนไอ้วาสนกอดกับท่อนไม้เล็กๆอยู่ว๊ะ
ส่วนคนอื่นๆต่างคว้าหากิ่งไม้มากอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน
แย่งกันด้วยว๊ะถึงได้
แน่แก่ใจว่า ฉิบหายล่ะโดนผีหลอกกลางวันจึงรีบถอยหลังมา
พอดีอีนางมัน
ขึ้นจากสระหมายมาเอากูลงไปเล่นด้วย
ก็ก็วิ่งหนีมานั่งคอยพวกมึงที่นี่แหละ
ว๊ะ....ฮ่าๆๆๆๆๆ.......”
ไอ้ตี๋เล็กพูดไปหัวร่อไป เล่นเอาพรรคพวกมันทั้งหมด
ต่างมองหน้ากัน
ทันใดนั้นก็มีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหามัน
พลางเอ่ยปากว่า
“พวกคุณไปเถอะ อาจารย์กำลังอยากพบตัว
กำลังนั่งคอยอยู่นะ”
ทั้งหมดต่างร้องขึ้นว่า
“อาจารย์ๆๆๆๆ!!!!!!????.....ใครว๊ะ????...
อาจารย์????.....”.............
แก้วประเสริฐ.
( เพื่อฝึกสมาธิื ลองทายซิว่า หญิงที่เต้นระบำนั้น หมุนทางซ้ายกี่รอบ
และหมุนทางขวากี่รอบครับ เพื่อความสนุกสนานครับ หากใครทราบ
ถือว่าผ่านวิชาเพ่งกสิณไปได้ครับ )
2 พฤษภาคม 2554 15:00 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๘๗
ภายหลังจากเจ้าเปล่งร่วมทางไปกับเจ้าเพิ่มและเจ้าเริ่มลับ
ร่างทั้งสามไปแล้ว
ภายในห้องจึงเหลือชายสามหญิงสองคน เจ้าสินชัยแสงสี
ได้แต่คอยฟัง การสนทนาระหว่างอาจารย์หรือนายมันกับ
แม่นางอัปสรทั้งสองที่ต่างพากันหยอกเย้ากระเซ้ากันเล่น
ในตอนหนึ่ง ชายหนุ่มกล่าวขึ้นแก่แม่นางอัปสรว่า
“อีกสองสามวันพี่จะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯเสียแล้วล่ะ
ด้วย ท่านรองเจ้านายเรียกพบด่วน”
“แล้วไปเพียงคนเดียวหรือพี่ ไม่เอาเจ้าสินชัยแสงสีไปด้วยล่ะ”
“ไม่หรอกน้อง เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โตมาก
เสียด้วย อีกอย่างหนึ่งทางนี้ก็ไม่ค่อยจะดีอีกจะได้ให้มันร่วมมือ
กับเจ้าเปล่งช่วยกันทำงานไว้ พี่เองได้เขียนหนังสือว่าเมื่อไปแล้ว
จะมอบหมายให้มันทำงาน หากได้รับทราบจากทางกรุงเทพฯ
จ๊ะ ส่วนน้องทั้งสองก็ต้องคอยดูแลกำกับพวกมันอีกทางหนึ่ง
ด้วยนะ ในระหว่างพี่ไม่อยู่ด้วย”
“เอาอย่างนี้ดีกว่าเพื่อจะได้ทันเหตุการณ์ น้องจะตามไปพี่ส่วน
ทางนี้ให้น้อยอ้อยคอยควบคุม หากเมื่อทราบเหตุการณ์ผันแปร
เป็นที่เรียบร้อยแล้วจะได้รีบกลับมาแจ้งให้น้องอ้อยกับพวกเรา
ได้ดำเนินการต่อไป ไม่ดีหรือจ๊ะ”
แม่นางรัตนาวดีเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่ม ส่วนในใจนั้นรู้เหตุการณ์
ทั้งหมดอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เพียงคิดว่าชายหนุ่มก็คงจะรู้
เหมือนกับตัวหล่อนเองแหละ
“อย่างนั้นก็ได้น้องรัตนาตามพี่ไปคนเดียวก็พอ”
กล่าวเสร็จก็หันไปทางแม่นางอ้อยวิลาวัลย์อัปสรและเจ้าแสงสี
เจ้าสินชัยกล่าวว่า
“พี่ต้องขอให้น้องอ้อยช่วยทำหน้าที่แทนพี่ในระหว่างที่ไม่อยู่นะ
ส่วนเจ้าสินชัยแสงสีก็ให้ไปแจ้งให้เจ้าเปล่งรู้ไว้ด้วย นี่ก็หลายวัน
ผ่านมาแล้วการจัดการที่อยู่ของมันคงจะเรียบร้อยแล้ว ด้วยข้าไปดู
การทำงานของมันมาเรียบร้อยแล้วล่ะ เพียงแต่เสริมบางอย่างให้
แก่มันด้วย
ที่นั่นยากนักที่คนจะเข้าไปได้นอกจากเจ้าทั้งสองและข้าและนาย
หญิงของเจ้าเท่านั้นแหละ
“แล้วนายจะไปกรุงเทพฯคิดว่าจะกี่กันล่ะนาย?????”
เจ้าแสงสีถามขึ้น
“ข้าคิดว่าคงจะไม่เกินห้าวันแหละ พอรับคำสั่งมาแล้วก็จะได้สั่งให้
เจ้าเปล่ง ซึ่งมันนั้นเก่งกาจในเรื่องการวางแผนการณ์อยู่แล้ว ส่วนข้า
นั้นจะแสดงตัวเองก็ไม่ได้ ด้วยข้าสังหรณ์ใจว่างานครั้งนี้ต้องแบ่ง
หน้าที่ออกเป็นสองทางเสียแล้วล่ะ”
ชายหนุ่มเอ่ยให้เจ้าแสงสีสินชัยฟังตลอดจนแม่นางทั้งสองอีกด้วย
“แล้วนายจะเริ่มออกเดินทางเมื่อไหร่ล่ะนาย???...”
“คิดว่าคงจะพรุ่งนี้แหละ แต่ต้องบอกพ่อแม่และน้องๆให้รู้
เสียก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร แต่คิดว่าคงจะไม่เป็น
ปัญหาหรอกนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นลอยๆพร้อมทั้งแย้มยิ้มไปด้วย แม่นางทั้งสองและ
เจ้าทั้งสองก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นชายหนุ่มแย้มยิ้มไม่กังวลใดๆทั้งสิ้น
หลังจากที่ชายหนุ่มได้ไปกล่าวลาพ่อแม่กับน้องๆแล้วว่ามีงานด่วน
จะต้องไปกรุงเทพฯคงไม่นาน ด้านพ่อเชียรแม่เข็มก็เอ่ยว่า
“เมื่อเสร็จงานก็ให้รีบกลับมานะลูก สองสามวันนี้พ่อไม่เห็นเจ้า
เปล่งมันเลยหรือว่าลูกให้มันไปอยู่ที่อื่นแล้ว???”
“มันก็อยู่ที่ป่าหน้าบ้านเราแถบภูเขานั่นแหละครับไม่ได้ไปไหน
เพราะว่ามันเกรงว่าหากมันอยู่ที่นี่จะเป็นที่สงสัยของชาวบ้านเขา
ด้วยมันเป็นคนที่เกือบทุกหมู่บ้านรู้จักมัน เกรงจะเปิดเผยความลับ
ของลูกครับ”
“อ้องั้นนี่เอง ข้าเห็นมันมาลาพ่อและแม่ ก็ถามมันแต่มันไม่ตอบ
ได้แต่ยิ้มๆว่าไม่ได้ไปไหนหรอกอยู่แถวๆนี้แหละ พยายามถามมัน
แต่มันก็บ่ายเบี่ยงเลี่ยงไปเลี่ยงมา จนข้าขี้เกียจถาม”
“อ้อๆๆๆ.....พ่อป่าแถวบริเวณหน้าบ้านเราเกือบติดภูเขานั้นนะ
พ่อแม่และน้องๆอย่าเข้าไปเสียล่ะและช่วยบอกน้องๆด้วยล่ะครับ”
“อ้าวๆๆๆ!!!!????....ทำไมหรือก่อนนั้นพ่อเองก็เข้าไป หาของ
ป่าอยู่เสมอๆนี่นา มีอะไรพิเศษหรือลูก”
“ด้วยตอนนี้ไม่เหมือนเก่าเสียแล้วล่ะครับคุณพ่อคุณแม่ เพราะว่า
มันเปลี่ยนแปลงไปหมด ด้วยเจ้าเปล่งมันวางค่ายกลไว้ หากใครไม่รู้
ทางเข้าและทางออก จะหลงติดอยู่จนตายไปครับ แม้แต่พวกภูต
ผีปีศาจก็ยังไม่อาจจะเข้าไปได้หากไปแล้วก็ย่อมวนเวียนหาทางออก
ไม่ได้เลยครับ มันเป็นค่ายกลที่ร้ายกาจมากๆด้วยครับ ต้องหลงใหล
หากเข้าไปแล้ว ทั้งหลงใหลและน่ากลัวมากๆครับ”
“เฮ้ยๆๆๆๆ????...ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ข้านึกว่ามันมีเพียงในเรื่อง
สามก๊กเท่านั้นเอง นี่เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าโชติ”
พ่อเชียรตลอดจนแม่เข็มอุทานลั่น ด้วยความตกใจไม่คิดว่าเรื่องนี้
จะเป็นเรื่องจริงในยุคนี้
“เป็นเรื่องจริงครับ เพราะเจ้าเปล่งมันได้ตำราวิชาการมาในเรื่องนี้
จากการตกทอดมา และมันบอกว่าตกทอดมาจากทวดมันครับจนตก
ทอดมาถึงมัน มันเป็นคนชอบอ่านหนังสือจึงให้เขาไปแปลเป็นไทย
ไว้แล้วค่อยๆศึกษาจนได้รู้ซึ้ง ทดลองแล้วเห็นผลมากครับ มันเก็บ
เป็นความลับไม่ให้ใครรู้ นอกจากมันคนเดียว มันยังเอามาให้ผมอ่าน
ดูอีกด้วยครับ มันมีวิธีการซับซ้อนมากมายหลายวิธีการอีกด้วย
เมื่อผมอ่านดูเห็นว่ามันโหดเหี้ยมเกินไปจึงได้เสริมสิ่งอื่นๆไว้โดย
ผมได้ถ่ายทอดบางสิ่งบางอย่างไว้ให้แก่มันด้วยครับ ตามตำราของ
อาจารย์เลื่อมท่านก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์ท่านเหมือนกัน
แต่แตกต่างกัน ผมจึงเอามาผสมผสานกันไว้ก็สามารถเข้ากันได้ครับ
วิชานี้มีจริง ผมได้เคยทดลองเอาสัตว์มาใส่ไว้มันหาทางออกไม่ได้
เลย จนต้องนำมันออกมา ผมก็ไปทดลองที่ในป่าแถวหน้าบ้านเรานี่
แหละครับ เมื่อเจ้าเปล่งมันขออนุญาตใช้บริเวณแถบนั้นเป็นที่อยู่มัน
คงจะมีแผนอะไรบางอย่างกระมัง เพราะนิสัยมันไม่นิยมการฆ่าฟัน
เพียงแต่จำเป็นเท่านั้น ข้อนี้ผมรู้นิสัยมันจึงรับมันมาอยู่ที่บ้านเรา
และก็ทราบด้วยว่ามันเป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณคนมาก วิชามันร้าย
มากๆนะ ดีที่ผมนำมาดัดแปลงเพิ่มเติมบางส่วนให้แก่มันไว้ให้มัน
แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ เวลาสร้างต้องอาศัย
ภูมิประเทศประกอบการอีกด้วย มิฉะนั้นผลจะไม่เกิดขึ้นการสร้าง
ค่ายเมื่อใช้ต้องดูภูมิประเทศประกอบอีกด้วย เจ้าเปล่งมันเวลาว่างๆ
ก็เข้าไปสำรวจมาแล้ว ตลอดจนได้วางสิ่งต่างๆเช่นหิน ต้นไม้ ต้องทำ
การซ่อมแซมเพิ่มเติมบางอย่างลงไปด้วย ผมเคยตามมันไปดูการ
สร้างค่ายกลของมันไว้ด้วย การวางแนวทาง การใช้หินต่างๆและการ
ปลูกต้นไม้ตามลักษณะค่ายกลไว้โดยย้ายต้นไม้ต่างๆวางตามแนว
แผนการณ์สร้างบางอย่างขึ้นไว้ นี่ผ่านมาหลายวันคงเรียบร้อยแล้ว
ผมเองได้ไปช่วยมันมาแล้วครับ หากใครไม่รู้แนวทางย่อมต้องติด
หลงวนเวียนในบริเวณนั้นคล้ายเรื่องเขาวงกตแหละครับคุณพ่อ”
“ข้าเองก็ร่ำเรียนวิชาการมาก็นับว่ามากเหมือนกันแต่ไม่ได้ยิน
เรื่องนี้เลยนอกจากอ่านในหนังสือสามก๊กเท่านั้นเองยังคิดว่า
เป็นเรื่องแต่งขึ้นเสียอีกนะลูก หากไม่เล่าโดยเจ้าจะไม่เชื่อเรื่องนี้โดย
เด็ดขาด แต่นี่เป็นลูกพ่อเล่าจึงเชื่อคนอื่นเล่าพ่อจะต้องหัวร่อเชียวล่ะ
หากเป็นเช่นนั้น ก็เหมือนคุกใช้ขังคนชั่วได้ดีกว่าการฆ่าซึ่งเป็นบาป
มากอีกด้วย ก็ดีไปอย่างนะให้มันตายเองโดยธรรมชาติเอง”
“วิชานี้สาบสูญไปตั้งนานแล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเปล่งมันไปได้
มาจากการตกทอดมา ที่ลูกเข้าไปได้ก็ด้วยมันพาไปดูการสร้าวไว้นั่น
แหละตลอดจนรู้บ้าง จึงได้ช่วยเหลือมันเล็กๆน้อยรู้วิธีการเข้าออก
ได้เป็นอย่างดี หากใครไม่รู้ก็จะต้องหลงติดอยู่ในนั้นนอกจากจะมี
คนไปนำออกมาครับพ่อ ส่วนผมรู้นั้นเพียงเห็นการกระทำของมัน
แต่ไม่มากนักหรอก ส่วนเจ้าเปล่งมันสนใจเรื่องนี้มานานแล้วและ
มันที่ผมเอามาเลี้ยงไว้คนเดียว เพราะมันมีปัญญาหลักแหลมฉลาด
มากวางแผนการณ์ได้อย่างลึกซึ้ง คงจะเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอนครับ
ก็ดีไปอย่างหนึ่งที่มีคนมาช่วยเหลือผม ส่วนผมเองก็จะวางมือทางนี้
ไปทำงานทางด้านโน้นทางเดียว เมื่อได้ลูกมือไว้ใจได้มาทำงาน
ทางด้านนี้ทางเดียวครับคุณพ่อคุณแม่”
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆดังลูกกล่าวไว้ก็นับว่าลูกมองคนได้เก่งมาก
ทีเดียวนะ”
“ผมมองมันมานานแล้วล่ะครับ ทดสอบมันก็ตั้งหลายๆครั้งจึงแน่
แก่ใจว่า มันเป็นคนซ่อนคมไว้ไม่เปิดเผย แม้แต่เพื่อนรักมันก็ยังไม่
รู้หรือน้องชวนหัวหน้ากลุ่มรู้ก็เพียงว่ามันเป็นนักวางแผนเท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มเอ่ยให้พ่อแม่ฟัง พลางเอ่ยเสริมว่า
“อย่าลืมนะครับบอกน้องๆทุกๆคนด้วยให้ทราบเรื่องนี้ หาก
ต้องการพบมันก็ให้บอกเจ้าแสงสีสินชัย หรือพ่ออยากจะไปดูก็ให้
เจ้าแสงสีสินชัยนำทางเข้าไปก็ได้ครับ ผมจะสั่งพวกมันไว้ครับ
หรือหากหลงเข้าไปไม่รู้ตัว ก็ให้ตะโกนเรียกเจ้าแสงสีสินชัยมันก็
จะออกมานำทางออกให้ครับหรือต้องการพบมันก็เช่นเดียวกันครับ”
“คงจะไม่จำเป็นหรอก งานในไร่สวนนาก็มีมากที่ต้องดูแลแทบจะ
ไม่หมดอยู่แล้วล่ะลูก”
“เรื่องไร่สวนนานั้น พ่อแม่และน้องไม่สังเกตุสิ่งผิดปกติหรือครับ
ว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก ด้วยผมใช้คนของผมไปทำให้เวลากลางคืน
ให้เรียบร้อยแล้วครับ”
พอพ่อเชียรได้ฟังลูกกล่าวเช่นนี้ก็ตบเข่าดังผลั๊วๆ เอ่ยว่า
“นั่นซิพ่อเองก็แปลกใจเหมือนกัน ต้นหญ้ารอบต้นไม้ต่างๆทำไม
มันถึงได้เตียนโล่งไปเกือบทุกๆต้น ลำพังพ่อกับเจ้าชัยมันก็ทำไม่ทัน
เหมือนกัน กว่าจะเสร็จที่ทำแต่แรกกลับงอกโตอีกต้องย้อนมาทำแต่
นี้มันเหมือนมีคนมาช่วยทำ เพียงแค่ใส่ปุ๋ยเท่านั้น การพรวนดินก็ดู
เรียบร้อยหมด พ่อเองก็สงสัยเหมือนกันแต่ไม่รู้จะไปถามใครๆเขา
เพียงแค่แปลกใจเท่านั้นเองแหละลูก หากลูกไม่บอกพ่อเองก็ไม่รู้”
ชายหนุ่มหัวร่อ ฮึๆๆๆแต่ไม่กล่าวอะไรอีก เพียงบอกว่า
“พรุ่งนี้ผมจะออกเดินทางแต่เช้า ส่วนเจ้าแสงสีสินชัยหากพ่อจะใช้
ก็เรียกมันเท่านั้นมันก็จะออกมาคอยรับใช้ครับ เรื่องนี้น้องชบารู้เรื่อง
ดีทั้งหมดแล้วครับ”
“เจ้าชบาก็รู้เห็นเป็นใจด้วยหรือนี่????....”
“ข้ารู้มานานแล้วล่ะพี่เชียรลูกชบามันเล่าให้ฉันฟังตั้งนานแล้วล่ะ”
“บ๊ะๆๆๆๆ???....ข้าอยู่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย โถลูกชบาจะเอ่ยให้
พ่อฟังสักหน่อยก็ไม่ได้ลูกหนอลูก”
“พ่อเชียรอย่าไปว่ามันเลยมันไม่อยากให้พ่อต้องกลุ้มใจเท่านั้น หาก
ข้าไม่สอบถามมันก็คงไม่บอกหรอก เออ???...เจ้าโชติก็อย่าไปตำหนิ
น้องมันเสียล่ะ”
“ไม่หรอกครับแม่เขามาเล่าให้ผมฟังเหมือนกันแหละครับ”
แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อ พลางขอตัวออกไปออกกำลังกายตามปกติดัง
เช่นเคยปฏิบัติมา คงปล่อยให้พ่อแม่ต่างสนทนากันเองคงไม่พ้นเรื่อง
นี้ชายหนุ่มคิด แล้วก้าวลงบันไดไปออกวิ่งตามปกติเหมือนไม่มีอะไร
เกิดขึ้นเลย จนพ้นบริเวณบ้านหายลับไปตามถนนลูกรัง
ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่างชายหนุ่มแต่งกายชุดไปร์เวท
ผูกเน็คไทม์ เดินเข้าไปในสำนักงานผ่านบรรดานายตำรวจใหญ่น้องที่
บ้างแต่งกายสวมเครื่องแบบ บ้างไม่แต่งกายเดิน ต่างหันมามองร่าง
ชายหนุ่มที่กำลังก้าวสวนทาง เพียงแค่หันมามองดูเท่านั้น จนเขาก้าว
ขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้นบน ครั้นขึ้นมายังชั้นของผู้บัญชาการตำรวจ
ก็มีนายตำรวจยศนายพันเอกนายหนึ่งพลางเข้ามาสอบถามว่าจะไป
ไหน ด้วยเขาไม่เคยเห็นหน้าชายหนุ่มเลย ท่าทางผิดกับตำรวยทั่วไป
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะตอบให้ทราบนั้น พลันก็มีเสียงเรียกเขา
ทันที ทำให้นายตำรวจคนนั้นชะงักหันหลังกลับไปมองพร้อมทำ
ความเคารพผู้ส่งเสียงเรียกพร้อมทั้งเดินหลีกทางให้ ชายหนุ่มก็เข้า
ไปหาพร้อมยกมือไหว้ผู้ที่ร้องทักเขาทันที
นายตำรวจยศนายพลตำรวจเอกนายนั้นก็รีบเดินเข้ามาหาพลางสวม
กอดร่างชายหนุ่ม เมื่อนายตำรวจยศพันเอกเห็นก็ตกตะลึงรีบผละ
ออกไปทันทีอย่างรวดเร็ว
“ท่านรองให้ผมมาคอยรอรับคุณอยู่ก่อนแล้ว ด้วยเกรงว่าจะเข้า
ไปหาท่านผู้บัญชาการ ด้วยท่านสั่งไว้ว่าระยะนี้อย่าเข้าไปหาให้
ไปพบท่านรองก่อน แหมไว้หนวดเสียจนแทบจำไม่ได้เชียวน๊ะ”
ชายหนุ่มค้อมตัวลงพลางตอบว่า
“กระผมไม่อยากให้ใครจำได้ขอรับท่าน ด้วยเป็นคำสั่งลับให้
ผมปลอมแปลงร่างมาครับท่าน”
“นั่นซิหากผมกับคุณไม่คุ้นเคยกันมาก่อนคงจะจำไม่ได้หรอก
มาๆรีบเข้าไปพบท่านรองก่อนเถอะนะท่านกำลังคอย”
ผู้ช่วยท่านผู้บัญชาการตำรวจเอ่ยพร้อมจูงมือชายหนุ่มรีบเข้าไป
ในห้องผ่านโต๊ะนายตำรวจหน้าห้องที่รีบยืนทำความเคารพทันที
หน้าห้องรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเขียนชื่อว่าพลตำรวจเอก
พิเชษฐ์ อินทรสมบัติ ที่ชายหนุ่มเหลือบสายตามองดู พอดีท่านผู้ช่วย
รีบกระตุกแขนเขาพาเข้าไปข้างในพร้อมหันหน้าไปมองซ้ายแลขวา
สั่งนายตำรวจหน้าห้องว่า ห้ามใครๆทั้งสิ้นเข้าไปในห้องเป็นเด็ดขาด
ไม่ว่าจะเป็นใครหรืองานเร่งด่วนใดๆก็ตามทั้งสิ้น จนกว่าจะอนุญาต
นายตำรวจหน้าห้องน้อมรับคำสั่งทันที เมื่อร่างทั้งสองเข้าไปใน
ห้องท่านรองฯแล้ว ท่านยืนคอยรับอยู่ที่โต๊ะทำงานแล้ว พลางร้องทัก
ว่า
“ เป็นไงน้องชายทางโน้นสบายดีหรือ????.. เชิญนั่งก่อนซิ อ้อๆๆ
ท่านนิวัฒน์ก็นั่งสนทนาด้วยกันนะ หากหิวน้ำไปทานได้ที่วางไว้
แล้วได้เลยนะไม่ต้องขออนุญาตผมหรอก”
“ครับท่าน ทุกอย่างผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ”
แล้วเข้ามานั่งยังเก้าอี้ข้างเคียงชายหนุ่มทันที
ครั้นต่างวิสาสะสักพัก ถามถึงความทุกข์สุขกันพอสมควร
ท่านรองจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านผู้บัญชาการสั่งมาว่าให้รู้ไว้เฉพาะสามคนเท่านั้น ห้ามแพร่ง
พรายให้ใครรู้ทั้งสิ้น อ้อ???...ก่อนอื่นผมขอแสดงความยินดีกับคุณ
ด้วยว่าได้เลื่อนตำแหน่งแล้วพร้อมกับลูกน้องสามนายด้วยแล้วล่ะ
คำสั่งออกไปแล้ว ด้วยท่านไปเจรจากับผู้ใหญ่ก่อนเรื่องนี้จะเกิดขึ้น
ด้วยระแคะระคายว่าจะเกิดการปฏิวัติของพวกทหาร ให้ทางเราระวัง
ตัวเอาไว้ พร้อมทั้งแจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดให้ชายหนุ่มฟัง ทำเอา
ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงในสิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้นอีกในยุคนี้
ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้กล่าวขอบคุณทันที พร้อมล้วงหยิบหนังสือ
จากอกเสื้อออกมายื่นให้แก่ท่านรองผู้บัญชาการตำรวจทันที
ท่านรองรับมาอ่านแล้วบอกว่า
“ในระยะไม่มีปัญหาหรอกผมจะรีบจัดการให้โดยด่วนนะ คุณนะ
ยังใจดีที่ไม่ให้พักราชการเสียเลยเพียงแค่ย้ายไปเท่านั้นเอง”
พร้อมทั้งยืนหนังสือให้ผู้ช่วยนิวัฒน์อ่านด้วย ท่านผู้ช่วยหน้าตา
คิ้วขมวดทันที พลางเอ่ยว่า
“แบบนี้เลี้ยงไม่ได้นะครับท่านรองน่าจะเอาออกเสียเลยตัดไฟแต่
ต้นลม หากไปที่อื่นก็คงจะเหมือนเดิมอีกครับท่าน”
“ตามใจคุณโชติเถอะนะ เขาคงคิดอะไรๆดีอยู่แล้วล่ะ งานของเขา
รู้จักหนักจักเบาอยู่แล้ว ว่าสมควรทำอย่างไร ทุกๆอย่างที่เขาทำไม่
เคยพลาดสักครั้งเดียว ทางเราได้รับการชมเชยก็เกิดจากเขานี่แหละ
อีกประการหนึ่งทั้งสองคนนี้เป็นคนของอีกฝ่ายหนึ่งที่ส่งมาคอย
สอดส่องดูการทำงานทางภาคนี้ด้วยนะ ตามที่ท่านแจ้งให้ทราบ
การที่เราทำไปนี้ก็เหมาะสมด้วยอยู่ในอำนาจของเรา อย่าหักพร้า
ด้วยเข่า เดี๋ยวจะเสียงานใหญ่ไปอีกด้วย ท่านกำชับไว้เช่นนี้”
ท่านผู้ช่วยนิวัฒน์หันไปตบไหล่ชายหนุ่มพลางเอ่ยว่า
“หากเป็นผมคงจะไม่ใจดีเช่นคุณเป็นแน่ๆ เลี้ยงไม่เชื่องแบบนี้”
“ผมเพียงอยากจะให้เขาสำนึกไว้ครับ หากจะเอาออกก็ได้ครับ
ด้วยผมมีหลักฐานต่างๆพร้อมทั้งภาพถ่ายไว้หมดแล้วครับ แต่เพียง
เห็นเป็นความผิดโจ่งแจ้งครั้งเดียว แล้วเด็กผมรายงานผมว่าสองคน
นี้เป็นคนของนักการเมืองใหญ่ ด้วยติดตามตลอดเวลาครับท่าน จึง
เห็นว่า หากจะนำหลักฐานทั้งหมดเสนอคงจะต้องถูกปลดแน่นอน
อีกประการหนึ่ง การย้ายของเขาก็คงจะถูกใจพวกนักการเมืองใหญ่
อีกทางหนึ่งด้วย เพราะทางด้านผมตอนนี้กำลังเงียบ การค้าก็ชะงัก
ไปหมดแล้วจนพวกนั้นขยาดกันไม่กล้าค้าขายกันแล้วครับ คงจะ
เหลือที่ซุกซ่อนเป็นบางส่วนแต่ผมรู้หมดแล้วคอยเวลาจะทำลายให้
สิ้นซาก คิดว่าคงไม่นานนักหรอกปล่อยให้มันชะล่าใจไปก่อน เพื่อ
หวังให้มันจะได้เข้าสู่กับดักของทางเรา จะได้จัดการครั้งเดียวให้สิ้น
ซากไปพร้อมๆกันทีเดียวครับท่าน”
ชายหนุ่มเอ่ยเสริมขึ้นแก่นายตำรวจทั้งสองอีกว่า
“แล้วท่านเรียกผมมาจะให้ผมรับใช้อะไรท่านหรือครับผมพร้อม
น้อมรับเสมอๆครับท่าน”
ท่านรองหันไปทางผู้ช่วยพลางอมยิ้ม ท่านผู้ช่วยก็เอ่ยขึ้นว่า
“ระยะนี้ข่าวลับออกมาว่าทางเราจะแย่ด้วยมีเหตุการณ์จะเปลี่ยน
แปลงเกิดขึ้น นายใหญ่เราก็ต้องเดือดร้อนอีกจะถึงคราวเปลี่ยน
แปลงไปเสียแล้วล่ะ เพียงมาแจ้งให้คุณทราบไว้ล่วงหน้าก่อน
ว่าจะให้ทำตัวอย่างไร เดี๋ยวฟังท่านรองอธิบายก็แล้วกัน”
“คือว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลขึ้นใหม่ซิคุณโชติ และอาจจะเลวร้าย
แก่บ้านเมืองเรามากเสียด้วย ด้วยท่านผู้บัญชาการฯเรียกผมและผู้ช่วย
เข้าไปปรึกษาเป็นความลับและให้สั่งมายังคุณด้วยว่า อย่าคิดลาออก
จากทางราชการตามเหตุการณ์นี้ ด้วยท่านรู้นิสัยคุณว่าเป็นอย่างไร
ท่านขอร้องให้คุณทำหน้าที่ต่อไปเป็นที่พึ่งของประชาชนด้วย แม้ว่า
จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตามอย่าไหวหวั่นอะไรทั้งสิ้น”
ชายหนุ่มได้รับฟังก็ตะลึงถึงแม้ว่าเขาจะรู้มาเพียงคร่าวๆเท่านั้นจาก
ตำราก็ตามทีเถิด แต่ก็ไม่ขัดแย้งอะไรเพียงคอยรับฟังเท่านั้น พลัน
ก็ได้ยินท่านกล่าวเพิ่มเติมขึ้นอีกว่า
“คุณโชติ มีกลางวันก็ย่อมมีกลางคืน มีสว่างก็ย่อมมีมืด เหมือน
เหรียญก็มีสองด้าน คุณเองมีกำลังพลจำนวนมากที่แอบแฝงไว้ตาม
ที่คุณแจ้งผมมานั้นผมทราบอนุมัติให้เรียบร้อยแล้ว ท่านยังกำชับว่า
ให้คุณอยู่ในด้านสว่าง ส่วนด้านมืดนั้นให้ พรรคพวกคุณที่แอบแฝง
ไว้จัดการลงมือทางลับๆในด้านมืด ส่วนคุณก็อยู่ด้านสว่างทำอะไรก็
ควรดูสถานะการณ์เหมาะสม เขาขอกำลังมาก็หาทางอ้างจัดให้ส่วน
น้อยไว้ แจ้งว่ากำลังพลไม่เพียงพอ ต้องคอยเฝ้าสถานีอยู่ด้านอาวุธ
นั้นก็มีจำกัดเท่านั้น อย่าไปขัดความประสงค์ของเขา ข้อนี้จำไว้ให้
มากๆด้วยนะ ทุกๆอย่างต้องใช้ความละเอียดสิ่งใดควรไม่ควรให้
พิจารณาตามสถานะการณ์เป็นหลัก ส่วนความรับผิดงานในหน้าที่ก็
อ้างหาเหตุผลไว้แก้ตัว ส่วนความรับผิดชอบนั้นท่านจะช่วยเท่าที่จะ
ช่วยได้หากท่านยังอยู่ ถึงอย่างไรก็ยังมี พวกเราที่ทำงานเหมือนคุณ
อยู่และจะสั่งให้ประสานงานกับคุณด้านทำงานอื่นๆทั้งหมดยังมี
ผมและผู้ช่วยนิวัฒน์อีกคนคอยช่วยเหลือคุณอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้เมื่อมีเหตุการณ์อะไรในอนาคตเกิดขึ้น ให้คุณตัดสินใจเอาเอง
แต่ก็ควรคำนึงถึงสิ่งควรหรือไม่ควรเป็นหลักด้วย จริงอยู่กำลังพล
นั้นมากพร้อมจะลงมือทำงานได้ทุกเวลาก็จริง น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟอยู่
ฉะนั้นทุกอย่างควรใช้สติไตร่ตรองให้แน่ชัดเสียก่อนจะลงมือ
มิฉนั้นจะเดือดร้อนไปทั่วกันหมด ควรคำนึงระลึกอยู่เสมอๆนะ
ไม่ต้องรอคำสั่งทางท่านและผมกับผู้ช่วย ทางผมก็จะทำเป็นทองไม่รู้
ร้อนรู้หนาวปล่อยไปตามสถานะการณ์ คุณเองก็เหมือนกันสิ่งใดไม่
ดีขอให้คุณแต่งตั้งคนไว้ใจได้จัดการแทนคุณ ด้านคุณทำเป็นคอยรับ
ปฏิบัติแต่ไม่โจ่งครึ้มสิ่งใดหลีกเลี่ยงได้ก็หลีกไปเสียทำตามเขาในที่
สว่างนะ ส่วนอีกทางหนึ่งให้จัดการปราบปรามให้ราบคาบแต่อย่าให้
ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ ผมพูดมานี้คุณคงจะเข้าใจนะ”
“ครับท่านเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมเองคาดคำนวณไว้เช่น
กันด้วยติดตามข่าวคราวเสมอๆ รู้สึกมันทะแม่งๆชอบกลอยู่ บัดนี้ผม
ได้แบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่ายไปแล้วครับ ทางหนึ่งทำตามปกติอีก
ทางหนึ่งผมซุกซ่อนไว้คอยจังหวะเช่นกันครับท่าน”
“ดีแล้วล่ะที่ผมมองคนไม่ผิดตั้งแต่คุณสำเร็จมาใหม่ๆแล้ว ผมเช็ค
ประวัติอุปนิสัยต่างๆของนร.ทั้งหมด เห็นมีแต่คุณและไม่กี่คน
เท่านั้นที่พอจะไว้ใจได้ จึงเรียกมาเป็นการส่วนตัวและแยกย้ายกัน
ทำงานพร้อมทั้งยังกำชับไว้ด้วย ไม่จำเป็นอย่าเผยตัวเองเด็ดขาดให้
ขึ้นตรงต่อท่านผมและผู้ช่วยนี้เท่านั้น ส่วนด้านบนเป็นหน้าที่พวก
ผมที่จะดำเนินการเอาเอง เหตุการณ์ตอนนี้เป็นเวลาช่วงแห่งการ
จะเปลี่ยนแปลงไป สายผมรายงานส่งตรงมายังผมสอดคล้องกัน
ระยะนี้กระแสการเมืองกำลังรุนแรงมากผิดธรรมดา ถึงแม้ว่าเราจะ
เป็นหน่วยหนึ่งแต่กำลังอาวุธกำลังพลไม่เพียงพอ จึงต้องดำเนินการ
ทั้งทางตรงและทางอ้อมเสีย”
“ครับผมเข้าใจครับ แล้วท่านแจ้งอะไรมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ล่ะ
ครับ เพื่อผมจะได้รีบดำเนินการตามนโยบายท่านครับ”
“ท่านสั่งเพียงเท่านี้ที่ไม่ให้คุณเข้าไปหาก็เกรงว่าจะล่วงรู้ไปยังฝ่าย
ตรงกันข้ามจึงให้ผมมาคอยดักคุณไว้ก่อน และท่านรู้นิสัยคุณว่าเป็น
อย่างไร ท่านจะเสียหายหากไม่สั่งไว้คุณก็จะลาออกไปเสีย ก็จะทำให้
ประชาชนยิ่งเดือดร้อนยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก”
“อ้อๆๆๆอีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้ยาเสพย์ติดกำลังระบาดหนักมาก
ด้วยเบื้องหลังเป็นคนใหญ่โตเกือบทั้งสิ้นทั้งด้านการเมืองและการ
ทหารเพื่อหวังอำนาจด้วยทางการเงิน เมื่อคุณได้รับคำสั่งแต่งตั้งแล้ว
คุณจะต้องดูแลเขตเพิ่มเติมอีก ผมจะแจ้งให้ทราบภายหลังนะ”
“ครับผมจะทำตามคำสั่งท่านทุกๆประการครับ”
“เอาล่ะผมไม่อยากมีหนังสือถึงคุณหรือทางสื่อสารอื่นด้วยจะมี
การแอบฟัง ผมกับผู้ช่วยตอนนี้ต่างระวังกันตัวแจไม่กล้าเสี่ยงอะไร
จึงเรียกคุณมารับทราบคำสั่งเท่านั้น หากเข้าใจแล้วเชิญกลับได้แล้ว
หากอยู่นานจะเกิดการสงสัย ด้วยที่นี่เต็มไปด้วยสายสืบฝ่ายตรงข้าม
มาก ผมรู้แต่ทำอะไรไม่ได้หรอก คุณแต่งตัวมาแบบนี้ก็ดีแล้วจะได้
ไม่ต้องเป็นที่สังเกตุของใครๆเขา อ้อคุณนิวัฒน์ไม่ต้องออกไปส่ง
นะจะทำให้เป็นที่สงสัยได้”
“ครับผ๊ม ทั้งสองรับคำพร้อมๆกัน”
“คุณโชติออกไปก่อน ส่วนคุณนิวัฒน์คอยสักพักจึงกลับได้นะ”
“ครับท่าน”
แล้วชายหนุ่มก็ยืนขึ้นยกมือไหว้ท่านรองและผู้ช่วยก้าวออกเดิน
ผลักประตูห้อง แล้วหันไปยิ้มกับตำรวจหน้าห้องที่เงยหน้ามองอย่าง
สงสัย ชายหนุ่มแกล้งเปรยๆว่า
“ผมมาขอความช่วยเหลือท่านรองครับท่าน เกี่ยวกับงานบางอย่าง
ครับ”
“นั่นซิเห็นเข้าไปเดี๋ยวเดียว อ้อสำเร็จไหมล่ะ???....”
“ไม่รู้ซิครับ ท่านบอกว่าจะดูๆให้แต่ไม่ยอมรับปากอะไรเลย
งานนี้เกี่ยวกับการช่วยเหลือคนที่ถูกคุมขังไว้”
“ ผมขอให้คุณสำเร็จก็แล้วกัน เชิญได้ครับ”
แล้วนายตำรวจคนนั้นก็นั่งทำงานต่อไป โดยไม่สนใจเขาอีกเลย
ครั้นเมื่อชายหนุ่มออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาแล้วก็ระบาย
ลมออกมาทันที ชายหนุ่มคิดเหมือนดังเหตุการณ์ที่เขารู้ล่วงหน้าไว้
ไม่ผิด ประจวบกับเป็นจังหวะที่เขาได้เจ้าเปล่งมาช่วยดำเนินการด้วย
ดังนั้นชายหนุ่มจึงสบายใจ เมื่อถึงที่พักโรงแรมแล้วก็รีบจัดการเก็บ
เข้าของ เช็คบิลรายจ่ายทั้งหมด รีบเดินทางกลับหมู่บ้านโคกอีกแร้ง
ทันที............
๐ แก้วประเสริฐ. ๐