6 เมษายน 2553 17:41 น.
แก้วประเสริฐ
ฟ้าเพียงดิน (๑๑)
สิ่งที่เขาแลเห็น รปภ.สองนายกับชายฉกรรจ์สองนาย เข้าขวางกันไม่ให้หญิงสาวทั้งสามเดินผ่านทางเล็กๆ
ไปยังบ้านหลังน้อยที่เขาอาศัยอยู่
“ขอโทษครับ คุณผู้หญิงผมไม่อาจจะอนุญาตให้คุณเข้าไปได้หรอกครับ เห็นใจผมเถอะครับ” พร้อมยกมือ
ตะเบ๊ะด้วย ระหว่างทางเบื้องหลังชายหนุ่มฉกรรจ์ไม่ได้กล่าวอะไรเพียงยืนรักษาทางเดินไว้เท่านั้นเอง
“นี่แกๆ....ทำไมฉันจะเข้าไปเดินเล่นทางบ้านหลังนี้ไม่ได้ ในเมื่อคุณป้าท่านอนุญาตแล้วนี่นา” เสียงหญิงสาว
ในสามคนกล่าวขึ้น
“ บ้านหลังนี้ท่านอนุญาตให้เฉพาะ กับยายผันและหลานเท่านั้นขอรับคุณผู้หญิง นอกนั้นเข้าไปไม่ได้
หรอกครับ” รปภ. กล่าวขึ้น
“ บ้านนี้มีความสำคัญมากเชียวหรือ ฉันจะไปชมสวนเท่านั้นไม่ได้เข้าไปในบ้านหรอก” หญิงสาวอีกคนหนึ่ง
กล่าวขึ้นบ้าง
“ ไม่ได้หรอกขอรับ ภายในอาณาเขตนี้ไปถึงบ้านห้ามทั้งสิ้นขอรับเห็นใจพวกผมด้วยเถอะขอรับ”
“ ฉันจะเข้าไปดูซิว่าจะมีอะไรไหม???.....” หญิงสาวอีกคนหนึ่งกล่าวบ้าง พลางตบหน้าและ
ผลักอก รปภ.ให้ถอยออกไปทันที พลางหญิงสาวทั้งสามก็กล่าวคำผรุสวาทขึ้นหลายๆคำ ต่างช่วยกันระดมกล่าว
ทันใดนั้น รปภ. ร่างเซไปเล็กน้อย ใบหน้าแดงกล่ำหมวกหลุดกระเด็นไปอีกทาง ก็พลันพลางกล่าวขึ้นว่า
“ ในเมื่อผมพูดจาดีๆแล้ว คุณผู้หญิงยังดื้อรั้นอีก ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ” พอกล่าวเสร็จพลางจับแขน
หญิงที่กล่าวพลางเหวี่ยงกระเด็นออกไปชนซุ้มต้นไม้ทันที
เสียงร้องกรี๊ดดังลั่นไปทั่วบริเวณ ทั้งสองต่างพากันแยกย้ายกันไปพยุงร่างหญิงสาวที่ถูกเหวี่ยงกระเด็นไป
พร้อมๆแยกย้ายกันเพื่อจะเข้าไปยังบ้านเล็กทันที และร่างสองสาวก็ถูก รปภ.เข้าขัดขวางพร้อมผลักร่างไม่ให้
เข้าไปบริเวณนั้นทันที ส่วนหญิงสาวอีกหนึ่งก็ถลันเข้าไปยังทางเล็กที่ทอดยาวไปสู่บ้านเล็ก แต่ถูกชายฉกรรจ์
สองคนสกัดไว้แต่หนุ่มทั้งสองไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้นพลาง หัวปีกคนละแขน โยนออกไปจากบริเวณ ร่างลอยไป
กระแทกร่างของหญิงสาวอีกผู้หนึ่งทันที
ตอนนี้ทั้งสามสาวต่างร้องเอะอะโวยว้าย ส่งเสียงร้องกรีด ดังไปทั่วบริเวณ คุณหญิงคุณนายทั้งสามที่กำลัง
คุยกันกับ หญิงเจ้าของบ้านและเจ้าบ้าน ต่างตกใจพากันลุกขึ้นมา แล้วเดินลงบันไดไปยังที่มาของเสียงทันที
ครั้นพอเห็น เหตุการณ์ดังนั้น ฝ่ายแม่ของหญิงสาวทั้งสามต่างก็เข้าช่วยพยุงลูกสาวตนเองไว้แล้วหันไปกล่าว
กับ เจ้าของบ้านทันที
“ นี่คุณหญิงคุณผู้ชาย เห็นไหม มันจะมากไปแล้วน๊ะ ที่ รปภ.และหนุ่มทั้งสองทำกับลูกฉันอย่างนี้ได้ไง”
คุณหญิงไม่กล่าวตอบพร้อมหันไปทาง รปภ.และชายฉกรรจ์ทั้งสองสอบถามทันที เมื่อได้รับทราบเช่นนั้น
คุณ อัศวโรจน์เมื่อได้ยินพลางหัวร่อ
“ ในเมื่อ รปภ.กล่าวขอร้องและยังถูกตบหน้าอีกมันก็เจ๊าวากันละน่า อย่าคิดมากไปเลย”
“ทำไมคุณอัศวฯถึงกล่าวเช่นนี้ ต้องใช้กำลังด้วยหรือ พูดจาดีๆก็ได้นี่นา” คุณหญิง ผกามาศกล่าวขึ้น
“อ้าวก็เขาบอกแล้วนี่นาว่า ในบริเวณนี้เป็นเขตหวงห้าม ห้ามใครเข้าไปยกเว้นบางคน ที่อื่นมีที่ชมตั้งแยะ
สวนดอกไม้ต่างๆเอย ส่วนบ้านเล็กนี้เป็นของเจ้ากานต์มันมีแค่ร่องสวนนิดเดียวเท่านั้น แม้แต่พ่อแม่มันก็ยัง
ไม่อยากล่วงเกินไม่จำเป็นจริงๆยังไม่เข้าไปเลยนะ”
“ ใช่แม่ผกา ฉันเองก็ยังไม่กล้าเข้าไปเลยล่ะ” คุณหญิงพิริยะวดีเอ่ยขึ้น
“แต่นี่ลูกสาวฉันเป็นหญิงนะ แม่พิริยะคุณอัศฯ ไม่น่าจะทำรุนแรงกับเขานี่นา”
“หากหลานไม่ไปตบหน้าเขาก่อน เรื่องก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก นี่ไปทำเขาก่อนนะและเขาก็พูดจาดีๆแล้ว
ก็ยังลุแก่อำนาจเกินไป ผมเองไม่จำเป็นยังไม่กล้าเข้าไปเลย ผมปล่อยให้เป็นที่ส่วนตัวเขาเท่านั้นไม่เคยไป
ยุ่งเกี่ยวทั้งสิ้น” คุณอัศวโรจน์กล่าว
“ นี่แสดงว่าคุณเข้าข้าง รปภ.กับคนของคุณใช่ไหมล่ะ”
“ผมพูดไปตามเนื้อผ้านะคุณหญิง หากไม่ถือทิฐิใช้อำนาจเกินไปเรื่องก็คงไม่เกิดขึ้น นี่ไปลงมือเขาก่อน
นี่ดีนะ เจ้ากานต์มันไม่รู้หากรู้มันจะยิ่งโกรธพวกคุณหญิงมากกว่านี้อีก” เจ้าของบ้านกล่าวลอยๆ
ชายหนุ่มที่ยืนแอบอยู่หลังต้นไม้แอบหัวร่อในใจเสียมิได้ เมื่อเห็นคุณพ่อคุณแม่เข้าข้างตัวเอง แต่ก็ยังไม่ออก
ไป ปล่อยให้ผู้ใหญ่เจรจากันเอง เพื่อดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
ครั้นคุณหญิงได้ฟังคำพูดดังกล่าวต่างก็หันมามองหน้ากัน ด้วยทั้งสามหมายมั่นปั้นมือว่าจะเกี่ยวดองกับเขา
หากมีเรื่องมากไปก็ทำให้สายสัมพันธ์ขาดลงแน่นอน จึงหันไปทางลูกสาวกล่าวขึ้นว่า
“กลับกันเถอะลูก นี่ก็มืดค่ำแล้ว”
“อ้าวๆๆๆ?????........จบกันแบบนี้หรือหนูไม่ยอมนะค่ะคุณแม่ “ สามสาวกล่าว
“ หากคุณลุงคุณป้าไม่ไล่ รปภ.และหนุ่มไพร่สองคนออก หนูไม่ยอมแน่นอนค่ะ”
“ ฮ่าๆๆๆในบ้านนี้เป็นสิทธิ์ของผม จะให้ใครออกหรือไม่ อยู่ที่วินิจฉัยผมเอง พวกเธอไม่มีส่วนยุ่งเกี่ยวอะไร
อย่าให้เรื่องบานปลายมากกว่านี้ หากบ้านนี้ไม่เหมาะสมก็ไม่ต้องมาอีกก็ได้นี่นา” คุณอัศวโรจน์เอ่ยทันที
คราวนี้เล่นเอาคุณหญิงคุณนายและบรรดาลูกๆตาค้างไปตามๆกัน เมื่อได้ยินเจ้าของบ้านกล่าวเช่นนี้
พลางหันมาทางคุณหญิงพิริยะวดี
“แล้วคุณหญิงล่ะจะว่าอย่างไร เราเป็นเพื่อนกันนะ”
“ ในบ้านนี้คุณพี่อัศวฯ เขาเป็นใหญ่เพียงคนเดียวในเมื่อเขากล่าวอย่างไรก็ควรเป็นอย่างนั้นจ้า แม้ว่าเราจะเป็น
เพื่อนกันก็จริงอยู่ แต่นี่เป็นบ้านของพี่อัศวฯเขา ฉันเองย่อมต้องเชื่อฟังเขาจ๊ะ เอาอย่างนี้ดีกว่าเธอและลูกสาว
กับไปก่อนแล้วฉันจะค่อยๆเจรจาคุณพี่อัศวฯเอง” คุณหญิงกล่าวขึ้น
“แหมๆๆๆ????.... ต่างเข้ากันเป็นปี่ขลุ่ยกันเชียวนะย่ะคุณหญิง นั้นพวกฉันกลับก่อนล่ะ นี่ดีนะเป็นที่บ้านคุณ
หากเป็นที่อื่นพวกฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด” คุณหญิงคุณนายต่างช่วยกันกล่าว
“ เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้าประชุมแม่บ้าน ฉันก็จะลาออกจากประธานฯเสียไม่ยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว” คุณหญิงได้ฟังเช่นนั้นก็
เกิดอาการฉุนเฉียวทันที ที่เพื่อนขึ้นย่ะกับหล่อน
“ อย่าถึงกับเป็นอย่างนั้นเลยแม่พิริยะฯ เรื่องแบบนี้คุยกันได้นะ” คุณนายพัชริน เอ่ยไกล่เกลี่ยทันที พร้อม
สะกิดพวกเพื่อนๆ หากมากไปกว่านี้สิ่งที่พวกหล่อนตั้งใจไว้ก็จะพังพินาศสิ้น ครั้นเมื่อเพื่อนสะกิดเช่นนั้นทำให้
คุณหญิงคุณนายทั้งสองรู้ตัวทันที รีบหันไปยกมือไหว้คุณอัศวโรจน์แล้วกล่าวขอโทษและขอลา พร้อมจูง
ลูกสาวเดินไปขึ้นรถหน้าตึกทันที พร้อมขับออกไป
ส่วนคุณหญิงพิริยะวดีกับคุณอัศวโรจน์ต่างมองหน้ากันหัวร่อ ฝ่ายคุณอัศวโรจน์ก็เอ่ยขึ้น
“นี่แม่พิริยะ พวกเพื่อนเธอนั้นมามีแผนการหวังเอาลูกสาวมาล่อลูกชายเรานะ”
“ ทำไมคุณคิดเช่นนั้นล่ะคุณพี่”
“อ้าวก็เธอไม่สังเกตหรือว่าพอเอ่ยถึงเจ้ากานต์ พวกเพื่อนเธอต่างชะงักกันเป็นแถว”
“อืมม????.....ใช่ก่อนนี้ไม่เคยมาบ้านเราบ่อยๆเหมือนเดี๋ยวนี้เลย ตั้งแต่เจ้ากานต์กลับมา รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน”
คุณหญิงเอ่ยขึ้น
“ช่างเถอะ เราขึ้นตึกกันไปเถอะ” แล้วหันไปทาง รปภ.ให้กลับไปทำหน้าที่เดิมได้ พลางหันไปทาง
ชายฉกรรจ์พลางกล่าวขึ้น
“นี่เจ้าผ่องเจ้าพัน เล่นหิ้วปีกโยนไปทั้งสองคนเชียวนะ หากลูกเขาแขนหักจะทำอย่างไรเล่า”
“โธ่ๆๆ....นายท่านขอรับ คำพูดของพวกสาวนั้นหากท่านได้ยินแล้ว ก็คงจะทำเช่นผมเหมือนกันขอรับ”
“ เออๆๆๆ ช่างหัวมันเถอะ นี่ดีนะโยนใส่พวกหล่อนไปหากไปทางอื่นเห็นจะแย่กว่านี้อีก” กล่าวเสร็จก็
ชวนคุณหญิงภรรยากลับขึ้นตึกไป
ครั้นทั้งสองสามีภรรยา มาถึงห้องรับแขก คุณอัศวฯก็นั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนคุณหญิงนอนเอนกายลงบนตั่ง
คุณ อัศวฯ กล่าวว่า
“นี่ดีนะเจ้ากานต์มันไม่อยู่ หากมันอยู่ยังไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์บานปลายกว่านี้อีก ด้วยเจ้ากานต์มันเกลียด
พวกคุณหญิงคุณนายอยู่ด้วยแล้ว ยิ่งลูกสาวทำแบบนี้อีกสงสัยมันจะเกลียดยิ่งขึ้นไปอีก ดีไม่ดีมันจะไล่ออก
ไปเสียดื้อๆ พวกเราก็รู้นิสัยเจ้ากานต์ บทมันดีก็ดีใจหาย บทมันร้ายล่ะก็คุณเอ๋ยตอนมันเรียนมหา’ลัย พ่อเอง
ได้ข่าวว่ามันออกนำหน้านำเพื่อนสองสามคน เล่นงานต่างคณะตั้งหลายคนหมอบกระแตไปต่างกระเจิง
ครั้งแรกพ่อก็ไม่เชื่อหรอก ครั้นให้คนไปสอบถามดูถึงรู้ว่า ลูกเราแอบไปฝึกวิชาการต่อสู้หลายๆแบบมาเพื่อ
ป้องกันตัวไว้ มันไม่บอกเราก็กลัวว่าเราจะเสียใจนะแม่”
“จ๊ะพ่อ....ลูกสาวชื่อฉวีวรรณลูกสาวคุณหญิงก็เคยเล่าให้ฟังแม่เขาฟัง แม่เขามาเล่าให้แม่ ถึงจะได้รู้ว่าลูก
เราทำตัวเป็นเสือซ่อนเล็บจ๊ะ” คุณหญิงเอ่ย
“พูดถึงเรื่องลูกกานต์แล้วก็ให้นึกอดีต พ่อเองก็ใช่เล่นเสียเมื่อไหร่ล่ะตอนเรียนมาด้วยกัน เพียงแค่คนมา
ตอแยแม่เท่านั้น พ่อยังเล่นเจ้านั่นเสียหมอบกระแตไปเลยล่ะ แม่ต้องรีบห้ามมิฉะนั้นปางตายแน่ๆเลยล่ะ”
คุณอัศวฯได้ยินก็หัวร่อ พลางกล่าวว่า
“นั่นซิเลือดมันไม่ทิ้งแถวหรอก แม่เองก็ใช่เล่นเสียเมื่อไหร่ ควบคุมเป็นถึงจ่าฝูงของเพื่อนๆต่างซูฮกแม่
ไปหมดเชียวล่ะ”
“เจ้ากานต์มันจะมาเมื่อไหร่แม่รู้ไหม มันบอกอะไรกับแม่หรือเปล่าล่ะ”
“มันเพียงบอกว่าไปเที่ยวสวนจ๊ะ สงสัยจะไปหาพี่แย้มกระมัง”
“ พูดถึงพี่แย้มแล้วก็ไม่ใช่ใครอื่น ศักดิ์เป็นญาติแม่ไม่ห่างนัก เป็นลูกสาวของป้าซึ่งเป็นพี่สาวของคุณ
แม่ของแม่นั่นแหละ เออๆๆ....ไม่ยอมแต่งงานไม่รู้พี่แกคิดอย่างไรกันเป็นโสดจนปัจจุบันที่ทางหรือก็มาก
ราคาก็แพงด้วยบ้านเต็มไปด้วยผลไม้ นี่ดีนะอาศัยข้าเก่าเต่าเลี้ยงคุณลุงคุณป้าดูแลให้เห็นได้ข่าวว่าซื้อที่เพิ่ม
อีกมาก ไม่รู้จะเอาไปให้ใคร เอๆๆๆ...พ่อสงสัยแกจะยกให้เจ้ากานต์มันกระมังเพราะเลี้ยงดูมันมาตั้งแต่
เกิดไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูกน่ะ เจ้ากานต์ก็เรียกพี่แย้มว่าแม่ทุกๆคำ พ่อเองก็ปล่อยแกตามใจเลี้ยงดูจนโตหนุ่ม
พอเข้ามหา’ลัยถึงได้กลับไปสวนด้วยลุงป้าเสียนั่นแหละ”
“จ๊ะพ่อ แม่เองก็คิดเหมือนพ่อแหละและพี่แย้มแกก็รักเจ้ากานต์มันมากเสียด้วย พ่อแม่ซิก็มีมันเพียงคน
เดียวเสียด้วย ส่วนพี่แย้มไม่แต่งงานจึงรักลูกกานต์เหมือนกับลูกตัว ตอนมันกลับจากต่างประเทศสิ่งแรกที่
มันไปพบคือแม่แย้มนี่แหละจ๊ะพ่อ”
“นั่นซิแม่ ลูกกานต์เรามีบุญจริงๆนะครอบครองทรัพย์สินจำนวนมาก แต่เราสองก็มาจากดินต่างช่วยเหลือ
กันและกันจากยากจนไม่มีอะไรเลย พ่อพี่ทิ้งสมบัติไว้ให้นิดเดียวเราสองก็ช่วยกันมาจนใหญ่โตเป็นที่นับน่าถือตา
ของคนทั่วๆไป เงินทองก็มากมาย แถมยังได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของพี่แย้มอีก ใครได้เป็นเมียมันคงจะสบาย
นี่เองแหละกระมังที่ เพื่อนของแม่ถึงได้ให้ลูกสาวมาล่อให้เจ้ากานต์หลง แต่พ่อเองรู้นิสัยเจ้ากานต์มันดีว่ามัน
ไม่ลืมตัวถือว่าเป็นลูกคนรวยนะ แม่ก็คงจะทราบดีนะ” คุณอัศวฯกล่าว
“จ๊ะพ่อแม่เองถึงไม่สนใจหญิงที่เจ้ากานต์มันจะเลือกหรอกจ้า แม่เชื่อใจมัน ถึงคนที่มันเลือกจะยากจนอย่างไร
แม่ก็ก็ไม่ถือหรอก แม่ไม่ลืมอดีตหรอกพ่อ”
“ใช่จ๊ะพ่อเองก็ไม่ลืมอดีตหรอก เราเคยยากจนมาก่อน สมัยก่อนเพื่อนฝูงพ่อมันไม่ยอมคบกับพ่อหนีไปหมด
พอพ่อมาถูกทางเกิดความเห็นใจจากบริษัทต่างประเทศเขา ให้เป็นตัวแทนและตั้งตัวได้ด้วยเราทั้งสองคนนั่น
แหละแม่เอ๋ย เพื่อนที่เคยดูถูกพ่อกับหันมาหาพ่อเป็นทิวแถว แต่พ่อก็คบไว้เพื่อการหลอกใช้มันการค้าแหละ
จะให้คบเหมือนเดิมคงจะไม่มีอีกแล้ว พ่อเป็นคนไม่ลืมง่ายๆหรอกจ๊ะ” คุณอัศวฯเอ่ยขึ้น
“นั่นซิพ่อ ปล่อยให้เขาเลือกของเขาเองแหละดี หากพวกเราเลือกให้หากวันข้างหน้าเกิดเหตุการณ์ไม่ดี
มันจะมาถอนหงอกเราได้ จริงไหมพ่อ” คุณหญิงเอ่ยกึ่งถาม
“เหมือนพ่อเปี๊ยบเลยล่ะแม่ พ่อเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน สมัยเรายังหนุ่มสาวจะแต่งงานกันคุณพ่อคุณแม่
ทั้งสองฝ่ายก็ให้เราเลือกกันเอาเอง เพียงแค่ว่าคิดดีแล้วหรือแน่ใจแล้วหรือว่าเมื่อแต่งงานแล้วจะสัญญาได้ไหม
ว่าจะอยู่จนแก่เฒ่าเหมือนคุณพ่อคุณแม่ ความรักไม่ใช่ความใคร่นะลูก ความรักต้องเกิดจากความเข้าใจเห็นใจ
รู้ใจให้เกียรติกันและตลอดช่วยเหลือกันและกันหากเพลี่ยงพล้ำก็อย่าได้ดูถูกกันและกัน จงหันหาเข้าหากัน
ค่อยๆปรึกษากันหาทางแก้ไข ชีวิตคนเราทุกๆคนย่อมไม่ตกต่ำตลอดไปหรอกต้องมีจังหวะหนึ่งที่เป็น
โอกาสทอง เมื่อถึงครานั้นอย่าปล่อยให้รีบไขว่คว้าเอาไว้แล้วจะดีขึ้นเอง พ่อยังจำคำคุณพ่อคุณแม่ได้ซึ้งถึง
ทุกวันนี้เลยล่ะแม่” คุณอัศวฯกล่าวขึ้น
“จ๊ะพ่อ แม่ก็ได้รับการสั่งสอนอบรมมาคล้ายๆกับพ่อนั่นแหละ เราถึงได้อ้าปากลืมตาได้ทุกวันนี้ เราถึง
ไม่ลืมตัวเราเอง พ่อกับแม่ไม่เคยดูถูกใครมีแต่คอยช่วยเหลือคนที่มีความตั้งใจจริงต่อสู้กับชีวิตจ๊ะพ่อ”
แล้วคุณอัศวฯก็ลุกจากเก้าอี้มาที่ยังตั่งแล้วสวมกอดคุณหญิงพลางหอมแก้มทั้งสองคุณหญิง ทันใดนั้นก็ต้อง
สะดุ้งสุดตัวรีบแยกจากกันทันที เมื่อได้ยินเสียงกระแอมกระไอดังขึ้นหน้าประตู..........
* แก้วประเสริฐ. *