13 มีนาคม 2553 14:28 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 51

แก้วประเสริฐ


              ลุ่มลึกอิสราวดี  51

    ครั้นชายหนุ่มสั่งทหารแบ่งหน้าที่เรียบร้อยแล้วก็หันไปทาง  ท่านเหมียวมังกะยอชวา หญิงสาว
ทั้งห้า แม่ทัพมังกะยอคุมด้านปีกขวา  มังนิละกะคุมด้านปีกซ้าย  ท่านที่ปรึกษาใหญ่คุมทัพหลวง
คอยส่งกำลังหนุน ส่วนกองหน้าเราจะไปเองพร้อมทั้งหญิงสาวทั้งห้า ตลอดจนแม่ทัพนายกองอื่นๆ
และทหารทั้งปวงให้จัดแบ่งกำลังออกให้เท่าๆกัน  ครั้นแยกทางกับท่านที่จะไปรอคอยท่านแม่ทัพใหญ่
เพื่อตัดกองกำลังช่วยเหลือจากเมืองอิสราวดีไว้และแม่ทัพนายกองที่ตีเมืองต่างๆ เมื่อเราเคลื่อนพลไป
ตามแผนที่แล้วให้แยกกันเข้าสู่แว่นแคว้นรัฐมอญเข้าโจมตีทันที ใครถึงก่อนก็โจมตีหากสำเร็จให้ไป
รวมกำลังกับเมืองที่ยังไม่ได้โจมตีเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันจวบจนถึงกองทัพใหญ่ของท่านแม่ทัพ
มังสุระเดชเดชาคอยเราที่นั่นไม่ต้องส่งกำลังมาช่วยเหลือเราหรอก  เราเองคิดว่าอันเมืองมะละแหม่ง

      นั้นเราสามารถโจมตีได้ด้วยได้รับการช่วยเหลือจากเมืองตองอูเป็นกำลังช่วยอยู่แล้วขอท่านเมื่อ
เสร็จศึกให้ไปรวมกำลังยังท่านแม่ทัพใหญ่ทันที     ทั้งหมดรับทราบคำสั่งแล้ว  ครั้นย่ำรุ่งก็ออกเดิน
ทางทันที   เมื่อถึงทางไปเมืองต่างๆก็แยกย้ายกัน  ชายหนุ่มพลางหันไปยังท่านเมี่ยวมังกะยอชวา
      “ข้าเองมาคิดว่าทางด้านท่านมังสุรเดชเดชานั้นถึงแม้จะมีสติปัญญาเก่งกล้าเพียงใด  จึงขอให้ท่าน
ผู้เฒ่านำทัพหลวงไปสมทบเป็นที่คอยปรึกษาเห็นจะเหมาะกว่า  จึงรบกวนท่านผู้เฒ่าไม่ต้องคอยส่ง
กำลังช่วยเหลือทางข้าพเจ้าหรอก   ให้วางกำลังพลอยู่ห่างจากท่านมังสุรเดชเดชาไม่ไกลนักเพื่อจะได้
ประสานงานทั้งสองด้าน  ท่านผู้เฒ่าจะเห็นเป็นประการใด”  

      “เป็นความคิดที่ดีของท่านมหาอุปราชยิ่งนัก ด้วยเราเองก็เชื่อมั่นในสติปัญญาไหวพริบและยังมีทหาร
เมืองตองอูพระเจ้ามังสุริโยคงจะส่งกำลังมาสมทบแล้วพระเจ้าข้า”
       “ด้วยเหตุดังนี้ เมื่อเมืองมะละแหม่งขาดกำลังช่วยเหลือข้าเองคิดว่าคงจะไม่นานนักที่จะนำชัยกลับมา
ได้  แต่หาได้ประมาทในฝีมือศัตรูก็หาไม่ท่านผู้เฒ่า”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
        “ดังนั้นข้าพุทธเจ้าขอแยกทางจากท่านมหาอุปราชทางนี้เลยด้วยระยะทางที่จะไปเมืองอิสราวดีนั้นยัง
ไกลนักพระเจ้าข้า”  เหมี่ยวมังกะยอชวาทูลลา”
          “ขอให้ท่านผู้เฒ่าระมัดระวังด้วยเถิดนะข้าเองก็เป็นห่วงท่านยิ่งนัก” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
    ทำให้ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่ถึงกับซาบซึ้งน้ำใจ  ตลอดจนแม่นางจันทิราได้ยินก็ยิ่งบังเกิดความปิติ
ยิ่งขึ้น     แล้วชายหนุ่มก็แจ้งยังปีกซ้ายปีกขวาให้ออกเดินทางได้แล้ว ส่วนชายหนุ่มก็คุมกำลังทหารม้าและทหาร
ของเมืองต่างๆที่มาร่วมกัน มุ่งหน้าเข้าไปยังแคว้นเมืองมะละแหม่งทันที  พร้อมทั้งส่งสาสน์แจ้งไปยังเมืองตองอู
ในการศึกคราวนี้

        ฝ่ายเจ้าเมืองตองอูครั้นได้รับสาสน์จากชายหนุ่มก็รีบจัดกำลังทหารคัดเลือกฝีมือดีของตองอูจัดทัพข้าม
แม่น้ำไปตั้งทัพรอคอยคำสั่งจากชายหนุ่มซึ่งแม่เจ้าแห่งตองอูหวังจะได้ชายหนุ่มเป็นราชบุตรเขย  จึงสั่งให้พระเจ้ามังสุริโยรีบจัดทัพโดยด่วนพร้อมทั้งส่ง
สาสน์แจ้งไปยังชายหนุ่มด้วยอีกทางหนึ่ง    เมื่อชายหนุ่มรับสาสน์มาอ่านแล้วก็เคลื่อนทัพเข้ารายล้อมเมือง
มะละแหม่งทันที    ด้านเจ้าเมืองมะละแหม่งนั้นด้วยเห็นว่าทางกองทัพที่ตีเมืองตองอูได้แล้วแต่ไม่สนใจเมือง
แว่นแคว้นรัฐมอญก็เกิดความประมาท แต่ก็เตรียมตัวไว้ด้วยเพียงแค่จัดเตรียมไพร่พลไว้พร้อม  ด้วยคิดว่า
ยังมีเมืองอิสราวดีคอยช่วยเหลืออยู่  จึงได้พากันหาความเกษมสำราญกับนารี
       เมื่อได้รับรายงานจากทหารองครักษ์ว่าบัดนี้เมืองมะละแหม่งได้ถูกข้าศึกรายล้อมทั่วทิศทางแล้วก็ให้ตกใจ
จึงให้เรียกประชุมเหล่ามหาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองโดยเร็ว ถามถึงข่าวคราวศึก  มหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่
ก็รายงานว่า  
       “ บัดนี้ใช่ว่าเมืองมะละแหม่งถูกโจมตีเมืองเดียวไม่ บรรดาแว่นแคว้นมอญก็ถูกโจมตีเช่นเดียวกัน
ล่าสุดได้ข่าวว่า บรรดาแว่นแคว้นต่างๆนั้นได้เสียเมืองไปเกือบหมดแล้ว พระเจ้าข้า”
        “ท่านแม่ทัพใหญ่ให้จัดกำลังพลออกไปต่อสู้หยั่งเชิงข้าศึกก่อนว่าจะมีกำลังกล้าแข็งเท่าใด”


       “พะย่ะค่ะ   หม่อมฉันจะจัดส่งแม่ทัพไปหยั่งเชิงศึกเดี๋ยวนี้แหละพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่ทูลถวาย
        “ศึกทั้งหลายนี้เป็นทัพของใครหรือท่านมหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่” สมิงนราบดินทร์ถาม
        “กระหม่อมได้ยินว่าเป็นท่านมหาอุปราชแห่งเมืองศิริสุริยันต์ พระเจ้าข้า”
        “อ้าวๆ???...ก็มหาอุปราชหายสาบสูญไปนานแล้วอีกเมืองศิระสุริยันต์ก็ล่มสลายไปแล้วจะก่อการใด
ได้หรือว่าเป็นการอ้างตัวของเมืองอื่นกระมัง”  เจ้าเมืองสมิงนราบดินทร์ถามด้วยความสงสัย
        “ด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ข้าเองก็ส่งทหารสอดแนมไปดูเห็นว่าบรรดาแว่นแคว้นต่างๆตกอยู่ในอำนาจ
ของมหาอุปราชหมดสิ้นแล้ว  และยังใช้ธงตราเมืองศิระสุริยันต์อีกด้วย  เพียงแต่เปลี่ยนแปลงนิดหน่อย
พระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่สมิงนครเวียงถวายรายงาน
         “เจ้าชายมหาอุปราชแห่งศิระสุริยันต์นั้นเป็นผู้นำทัพมาเองพระเจ้าข้า” อำมาตย์ใหญ่สมิงอินทิชัยทูล
          “เดี๋ยวเราจะแจ้งข่าวไปให้เมืองอิสราวดีส่งกำลังมาช่วยเหลือเรา ให้ท่านอำมาตย์จัดการแล้วส่งมาให้
เราพิจารณาด้วยนะ”
           “พระเจ้าข้า” สมิงอินทิชัยน้อมรับคำสั่ง
          “แล้วท่านแม่ทัพใหญ่หากส่งกำลังไปหยั่งเชิงแล้วรีบมารายงานให้เราทราบด้วยนะ”
          “พระเจ้าข้า”  แม่ทัพใหญ่ทูลถวาย
          “เอาล่ะ  งั้นแค่นี้พอ  ได้ผลประการใดให้รีบมารายงานเราด่วน ส่วนท่านมหาอำมาตย์ครั้นร่างสาสน์
แล้วนำมาให้เราลงนามนะ”
          “พระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองมะละแหม่งน้อมรับพระบัญชา

       แล้วไปรีบจัดทหารฝีมือดีให้แม่ทัพนายกองยกกำลังออกไปหยั่งเชิงข้าศึกทันที   พอประตูเมืองเปิดทหาร
เมืองมะละแหม่งก็ทะยานเหล่าทหารม้าและทหารราบเข้าสู่สนามทันที     ด้านฝ่ายชายหนุ่มครั้นเห็นทหาร
เมืองมะละแหม่งออกมาเช่นนี้ก็สั่งการให้จัดทัพเข้าต่อสู้ทันที   ด้วยชายหนุ่มนำทัพไปเองครั้นสู่สนามรบ
ในระยะประชันชิดชายหนุ่มซึ่งควบม้านำหน้าบรรดาเหล่าทหารม้าและแม่นางทั้งห้าก็ทะยานเข้าสู้รบกับ
ฝ่ายทหารเมืองมะละแหม่ง   
       การต่อสู้ผ่านไปด้วยความกรำศึกรอบรู้การศึกมามากกว่าทหารเมืองมะละแหม่ง
ก็สังหารทหารเมืองมะละแหม่งล้มตายลงเสียเกือบหมด  ถอยร่นจนถึงประตูเมืองชายหนุ่มก็ให้ถอยทัพกลับ
เพื่อมิให้ชิดกำแพงเมืองด้วยฝ่ายทางกำแพงเมืองซึ่งจัดเตรียมจัดทรายเพลิงไว้คอยอยู่แล้วพร้อมด้วยพลธนูซึ่งต่าง
ยิงออกมาเพื่อปกป้องเหล่าทหารของพวกตนที่ต่างก็หนีเข้าประตูเมืองหมดสิ้น

       เมื่อแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองมะละแหม่งสมิงนครเวียงเห็นเช่นนั้น   ก็ให้จัดทัพอีกกองหนึ่งแล้วตัวเองก็นำทัพ
ออกจากเมืองไป ต่อสู้อีกด้วยตนเอง    ชายทัพชายหนุ่มหลังจากได้ชัยชนะก็ถอยทัพมายืนม้าคอยอยู่ก่อนแล้ว
ครั้นเห็น ธงของแม่ทัพใหญ่จึงกล่าวแก่แม่นางทั้งห้าว่าคราวนี้อาจเป็นศึกใหญ่ให้ระวังตัวไว้ด้วย อย่าได้ปะทะ
กับแม่ทัพใหญ่ของเมืองมะละแหม่งขอให้เป็นหน้าที่ของเราเอง  แม่นางทั้งห้าต่างรับทราบ   เมือทัพทั้งสอง
เผชิญหน้ากัน ต่างแยกย้ายกันต่อสู้กันเป็นพัลวันต่างฝ่ายต่างล้มตายแต่ทหารฝ่ายของเมืองมะละแหม่งต่างเสีย
ชีวิตมากด้วยทหารของฝ่ายชายหนุ่มล้วนอาบยาพิษต้องเนื้อเมื่อใดต่างถูกพิษแทรกซึมตายไปสิ้น   เหลือเพียง
ทหารที่แม่ทัพใหญ่สมิงนครเวียงต่อสู้อยู่กับบรรดานายกองของชายหนุ่ม   
        เห็นดังนั้นจึงควบเจ้าสีเทาซึ่งมีฝีเท้าจัดจ้านรวดเร็วนักตีฝ่าทหารของเมืองมะละแหม่งเข้าประทะกับแม่ทัพ
ใหญ่แหม่งเมืองมะละแหม่งทันที  การต่อสู้ใช้อาวุธทวนเป็นหลักต่างเข้าต่อสู้กันเวลาผ่านไปไม่นานนักชายหนุ่ม
ได้โอกาสก็ปัดทวนของเจ้าสมิงนครเวียงออกไปพร้อมล้วงก้อนหินสีแดงขว้างใส่ยังเบื้องอกด้านซ้ายทันที  ก้อน
หินสีแดงก็ทะลุเกราะที่ใช้กำลังร่างกายของแม่ทัพใหญ่ทะลุเข้าไปในเนื้อทันที  ทำให้แม่ทัพใหญ่เสียชีวิตตกจาก
หลังม้า   ครั้นบรรดาทหารเมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่สิ้นชีวิตก็ต่างยินยอมวางอาวุธ บ้างก็หนีกลับเข้าสู่เมือง

       ชายหนุ่มก็ให้ทหารควบคุมเหล่าทหารเมืองมะละแหม่งที่ยอมจำนนไปกักขังไว้อีกทางหนึ่ง   ครั้นความทราบ
ไปถึงสมิงนราบดินทร์ว่าแม่ทัพใหญ่นำกำลังออกไปต่อสู้ในสนามรบและได้สิ้นชีวิตไป  ก็ให้โกรธเป็นกำลังจึงจัด
แจงแต่งตัวเป็นจอมทัพสั่งให้แม่ทัพนายกองทั้งหลายจัดไพร่พลแล้วยกกำลังออกไปเพื่อต่อสู้กับมหาอุปราชทันที
เมื่อประตูเมืองเปิดอีกครั้งหนึ่ง   เจ้าเมืองมะละแหม่งก็ควบม้าบุกเข้าไปยังค่ายของฝ่ายมหาอุปราชด้วยกำลังพล
นับหมื่นหวังจะจบศึกให้เสร็จ   ทางด้านชายหนุ่มครั้นแลไปเห็นเป็นเจ้าเมืองออกมาเองดังนั้นก็คิดว่าหากเรา
สามารถกำจัดเจ้าเมืองนี้ได้   เมืองมะละแหม่งก็จะต้องตกอยู่แก่เราในคราวนี้จึงจัดไพร่พลทั้งหลายให้แม่ทัพทั้ง
ปีกซ้ายปีกขวาตีโอบล้อมกองทัพเมืองมะละแหม่งทันที  
 ชายหนุ่มยังไม่ทันพักเหนื่อยก็ควบม้านำเหล่าทหารม้าและทหารราบเข้าต่อสู้ทันที
           ฝ่ายทางด้านทหารเมืองละแหม่งก็ยิงธนูมาเป็นห่าฝน  แต่ทางฝ่ายของชายหนุ่มก็นำเกราะบังธนู
โดยให้สร้างเป็นกำแพงกล่องคือ ให้ทหารเอาโล่บังด้านหน้าและด้านบนด้านข้างเดินหน้าเข้า
หายังเหล่าทหารของเมืองมะละแหม่งทันที

        บรรดาธนูที่ระดมยิงมาก็ไม่อาจจะทำอันตรายแก่ทหารของฝ่ายชายหนุ่มได้  ชายหนุ่มสั่งให้พลธนูยิงธนู
เข้าโต้ตอบ  เหล่าธนูก็พุ่งเข้าไปเป็นห่าฝนพุ่งเข้าทำลายเหล่าทหารพลธนูของเมืองมะละแหม่งเสียชีวิตมากมาย
สมิงนราบดินทร์เห็นเช่นนั้น  ก็ให้ทหารถือธงขาวนำสาสน์ไปส่งให้แก่ท่านมหาอุปราชทันทีเพื่อจะขอเข้าต่อสู้
ตัวต่อตัว  ด้วยคิดว่าตัวเองนั้นมีอาจารย์ที่ทำให้ร่างกายอยู่ยงคงกระพันชาตรียิ่งนัก อาวุธใดๆมิอาจจะระคายผิว
หนังตนได้   หากสามารถฆ่ามหาอุปราชเสียได้บรรดาทหารทั้งหลายก็คงจะต้องแตกทัพมิฉะนั้นการศึกนี้อาจจะ
เสียเปรียบแก่เหล่าทหารของชายหนุ่มด้วยความเจนศึกมากกว่า  มองไปก็เห็นทหารทั้งหลายล้วนกระเหี้ยนกระหือ
ยิ่งนักหาได้เกรงกลัวทหารเมืองมอญไม่    
        เมื่อทหารนำสาสน์ไปส่งมอบให้ทหารมหาอุปราชแล้วก็กลับออกมา  ชายหนุ่มอ่านสาสน์แล้วก็หัวร่อหันไป
บอกแก่เหล่าทหารทั้งหลายว่า  หากเราสามารถฆ่าเจ้าเมืองได้แล้ว  หรือหากเราตายก็อย่าได้ยอมแพ้เด็ดขาดให้ทั้ง
หมดเข้าโจมตีเมืองมะละแหม่งทันทีให้ท่านแม่ทัพปีกขวาเป็นแม่ทัพใหญ่ควบคุมทหารทั้งสิ้นให้บรรดาแม่นาง
จันทิราเป็นคนแทนตัวเราบัญชาการรบเองพร้อมด้วยแม่นางทั้งสี่  อย่าได้วิตกกังวลขวัญเสียเป็นอันขาดแต่เรา
เชื่อในฝีมือเราว่าจะต้องเป็นผู้ชนะ  หรือเจ้าเมืองนั้นจะมีดีอยู่ในตัวเองแต่เราหาได้เกรงกลัวใดไม่ยิ่งกว่านี้เราก็
ผ่านมาอย่างโชกโชนแล้ว  เมื่อสั่งเสร็จ ก็ควบม้าสีเทาทะยานเข้าไปยืนรออยู่กลางระหว่างทัพทั้งสอง  เมื่อเจ้า
เมืองมะละแหม่งเห็นดังนั้นก็ร่ายเวทย์มนต์กำกับตัวเองทดลองเอามีดเฉือนแขนตัวเองเห็นว่าอยู่ยงคงกระพัน
แล้วก็ควบม้าเข้าไปหาชายหนุ่มทันที

       ครั้นทั้งสองเผชิญหน้ากันแล้วต่างก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆต่างก็เข้าสัปยุทธ์กันทันที  ต่างฝ่ายต่างสู้รบกัน
ชุลมุน เนื่องจากชายหนุ่มใช้ดาบธรรมดาหาได้ใช้ดาบประจำตัวเองไม่เพื่อทดสอบเจ้าเมืองว่าถือดีประการใด
ถึงกล้ายิ่งนัก   เมื่อได้จังหวะชายหนุ่มฟันไปยังแขนของสมิงนราบดินทร์เจ้าเมืองเมื่อเบี่ยงดาบของมันเบนออก
ไป  แต่มิอาจระคายผิวหนังมันได้  ทำให้เจ้าเมืองพลันหัวร่อร้องก้องทันทีว่า
     “เห็นที่เจ้าหนุ่มน้อยนี้คงจะต้องถึงกาลอวสานในครั้งนี้แล้ว  ด้วยเจ้าจะมิอาจะทำอันตรายแก่เราได้”
     “ท่านถือว่ามีร่างกายคงกระพันชาตรีหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
      “แน่นอนเจ้าหนุ่มน้อย  หากเรามิเชื่อมั่นแล้ว ใยเราจะออกมาในสนามรบด้วยตัวเราเองไม่หรอก”
      “หากท่านเชื่อเช่นนั้น  คราวต่อไปคงจะไม่เหมือนเดิมเสียแล้วล่ะ ท่านสั่งลูกเมียท่านหรือยังล่ะ”
      “ฮ่าๆๆๆ....ใยเจ้าถามเราเช่นนี้ แล้วเจ้าล่ะสั่งลูกเมียเจ้าหรือเปล่าล่ะ ฮ่าๆๆๆ”

       “เอาล่ะในเมื่อท่านเชื่อถือเนื้อหนังตัวเองยิ่งนักหาก  ข้าสามารถสังหารท่านได้อย่าได้ถือสาอาฆาตเราเลยนะ”
        “หากเจ้าสามารถสังหารเราได้ เมืองมะละแหม่งก็ขอยกให้แก่เจ้าทันที”  พร้อมสั่งทหารให้ไปแจ้งแก่อำมาตย์
ในเมืองว่า หากเราเสียชีวิตแล้วให้เปิดประตูเมืองห้ามทหารใดๆต่อต้านเป็นอันขาด
        “แล้วเจ้าล่ะ สั่งแบบข้าหรือไม่”
        “ข้าเองกำชับไว้แล้วแต่ไม่อาจจะบอกแก่ท่านได้  เอาล่ะเรามาต่อสู้กันดีกว่านะ” ชายหนุ่มกล่าวเลี่ยงไป
    แล้วทั้งสองก็เข้าต่อสู้กันทันที คราวนี้ชายหนุ่มโยนดาบในมือทิ้งไปเสียสร้างความงุนงงให้แก่สมิงนราบดินทร์
เป็นยิ่งนัก  ก็เห็นชายหนุ่มชักดาบเบื้องหลังเสียงกังกังวานยิ่งนัก  ครั้นเหลือบไปมองดาบก็ให้สะท้านใจนักด้วยตัว
ใบมีดดาบเขียวดั่งปีกแมลงทับหาใช่ดาบธรรมดาใดไม่ ก็ให้ตกใจแต่ด้วยความมีทิฐิมานะจึงควบดาบเข้าฟาดฟันชาย
หนุ่มทันที  ต่างฝ่ายปะดาบกันไม่เท่าไหร่ดาบในมือของสมิงนราบดินทร์ก็ขาดสะบั้นลงพลังดาบได้ฟาดไปยังร่าง
ของสมิงนราบดินทร์ช่วงไหล่ลงมาถึงบั้นเอวขาดออกจากกันเป็นสองท่อนตกจากหลังม้าสิ้นชีวิตทันที

         ครั้นบรรดาทหารมอญเห็นดังนั้นก็ให้ตกใจแต่คำสั่งของสมิงนราบดินทร์สั่งกำชับไว้แล้วจึงต่างทิ้งอาวุธลง
ทรุดเข่าทั้งหมดยอมพ่ายจำนนแต่โดยดี   ข่าวคราวถูกส่งไปยังท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ในเมืองที่มองยังเชิงเทิน
กำแพง ก็ให้ตกใจยิ่งนัก    ครั้นแล้วจะขัดคำสั่งภัยก็จะมาถึงตัวเองด้วยจะมิอาจจะปกป้องเมืองได้เพื่อเอาตัว
รอดก่อน ก็ให้ทหารไปเปิดประตูเมืองทั้งหมด  แล้วยืนคอยต้อนรับท่านมหาอุปราชที่นำกำลังพลเข้าประตูเมือง
ส่วนทหารเมืองมะละแหม่งก็เดินตามมาเบื้องหลังแต่ถูกควบคุมตัว
ไว้อีกชั้นหนึ่ง.............

         * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
12 มีนาคม 2553 22:09 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 50

แก้วประเสริฐ


                     ลุ่มลึกอิสราวดี  50

         “ข้าขอขอบใจและเชื่อน้ำใจเจ้าในคำพูดเช่นนี้ ด้วยข้าเองก็ได้ยินคำร่ำลือมาเหมือนกัน  เมื่อเจ้ารับปากข้า
เช่นนี้แล้วข้าเองก็สบายใจยิ่งนัก งั้นขอฝากเมืองซิตเวให้เจ้าปกครองดูแลไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้อุดมสมบูรณ์เหมือนเก่าข้าก็สบายใจแล้ว  ดังนั้นข้ามิอาจจะดูหน้าชาวเมืองได้ขอขอบใจพ่อหนุ่มมหาอุปราชมากนัก ข้าขอลา
เจ้าก่อน”
        ทันใดนั้นเจ้าเมืองซิตเวมังตเวสีหะก็ยกดาบในมือขึ้นเชือดพระศอจนขาดลงล้มหงายบนบัลลังก์ทันที
ส่วนฝ่ายมหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่แม่ทัพนายกองบางคน   เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ฆ่าตัวเองตกตายตามกันไป ส่วน
เหล่าบรรดาทหารองค์รักษ์ต่างก็ทิ้งอาวุธยอมจำนนทั้งสิ้น    พระมเหสีและพระราชธิดาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
ต่างก็พากันร่ำไห้วิ่งมาสวมกอดพระศพเจ้าเมืองทันที
         
        ชายหนุ่มถึงกับตกตลึงด้วยคาดคิดมิถึงว่าจะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้  ก็ให้นึกชมเชยน้ำใจเจ้าเมืองและเหล่า
มหาอำมาตย์แม่ทัพใหญ่และแม่ทัพนายกองที่ยอมตายสนองพระเดชพระคุณแก่เจ้าเมืองยอมตายด้วย  ดังนั้น
จึงเข้าไปปลอบโยนพระมเหสีและราชบุตรีให้คลายเศร้าโศก  พลางกล่าวว่า
       “อันข้ามหาอุปราชแห่งศิระสุริยันต์นั้นซึ่งคิดที่รวบรวมแว่นแคว้นเป็นอาณาจักรเดียวกัน  แต่ท่านเจ้าเมือง
เป็นผู้ที่กล้าหาญยิ่งนักรักเกียรติยิ่งกว่าชีวิต  มิให้อับอายแก่เหล่าแว่นแคว้นทั่วไปสมกับเป็นกษัตริย์ที่กล้าหาญ
เสียสละยิ่งนัก ข้าเองก็ให้ซาบซึ้งใจยิ่งขอพระมเหสีและพระราชบุตรีอย่างทรงพระเศร้าหมองพระหฤทัยไป
สมควรจะเชิดชูเจ้าเมืองมังตเวสีหะว่าสมเป็นชายชาติทหารที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไพร่ฟ้า
มิให้ต้องเดือดร้อน   ข้าเองก็จะทำการถวายเพลิงพระศพจัดงานให้ยิ่งใหญ่และแต่งตั้งเจ้าเมืองใหม่แทน
ก่อนที่จะไปจากเมืองซิตเวนี้   ขอพระองค์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเถิด จะไม่มีผู้ใดกล้าลบหลู่พระเกียรติ
ของพระแม่เจ้าไปได้  ขอทรงสร่างโศกร่วมจัดงานถวายแก่เจ้าเมืองให้สมพระเกียรติข้าจะให้สร้างปูชนียสถาน
เพื่อเป็นเกียรติยศแก่ชาวเมืองซิตเวสืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน”   
    
          ชายหนุ่มกล่าวแล้วพลางเข้าไปพยุงร่างพระมเหสีและพระราชบุตรีทั้งสองพระองค์ดึงร่างให้ออกมา   แล้ว
หันไปสั่งยังมหาอำมาตย์ให้รีบจัดงานเฉลิมฉลองพระเกียรติยศสูงส่งแก่เจ้าเมืองซิตเวทันที  มหาอำมาตย์ใหญ่
ซึ่งก็ซึมเซาคาดคิดมีถึง  ส่วนแม่นางทั้งสามก็พากันเข้าไปปลอบโยนแก่พระมเหสีและพระราชบุตรีด้วย
ด้วยผู้หญิงย่อมเข้าใจกันและกันอยู่แล้วเมื่อได้รับการปลอบโยนจากแม่นางทั้งสามถึงเรื่องแต่หนหลังของตนเอง
ประกอบด้วย  ก็ทำให้พระมเหสีและพระราชบุตรีเมืองซิตเวคลายความโศกเศร้าเมื่อรับรู้เบื้องหลังของนางทั้งสาม
ด้วยที่มีหัวอกเช่นเดียวกัน  แต่ยังมาเข้าช่วยศึกแก่ชายหนุ่ม
         ดังนั้นจึงทรงเยื้องพระบาทมาหาชายหนุ่มทันทีแล้วย่อถวายความเคารพแล้วกล่าวว่า
    “ข้าเองเป็นผู้พ่ายแพ้ศึกดั่งเชลย ขอให้พระมหาอุปราชจะกระทำการแก่ข้าทั้งสามอย่างใดก็ได้ เพียงแต่ให้งาน
พระศพผ่านไปตามที่พระองค์รับปากไว้  ก็ถือเป็นคุณอันสูงยิ่งแล้วเพค่ะ”
        ชายหนุ่มรีบนั่งลงทันทีพร้อมนำสไบของพระมเหสีเช็ดน้ำพระเนตรแล้วกล่าวว่า  
     “ขอพระแม่เจ้าอย่าทรงกังวลใดๆเลย  ข้าเองที่บังอาจเช่นนี้ก็ด้วยเพื่อการใหญ่ในอนาคตเมื่อสามารถ
รวบรวมได้แล้วทุกๆคนก็จะเสมอภาคท่ากันหมด ขอพระแม่เจ้าอย่าทรงห่วงใยไปเลยพระเจ้าข้า”
      
     ครั้นพระมเหสีเห็นความอ่อนน้อมมิได้หยิ่งยโสโอหังว่าเป็นผู้ชัยชนะเช่นนี้ก็ให้บังเกิดความเอ็นดู  อันที่จริง
ชายคนนี้ใช่จะเป็นผู้สังหารพระสวามีก็หาไม่  แต่พระสวามีทรงปลงพระชนม์ชีพตนเองแต่ชายหนุ่มนี้กลับมิได้
ล่วงเกินกับให้เกียรติแก่พระศพยิ่งนัก  ก็บังเกิดความซาบซึ้งความโศกเศร้าก็พลอยหายไปจึงตรัสขึ้นว่า
       “จะว่าไปแล้วก็ใช่ความผิดของท่านมหาอุปราชก็หาไม่ แต่ข้าเป็นห่วงยิ่งอยากจะใคร่ขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์
ขอพระองค์จงทรงโปรดพระเมตตาแก่หม่อมฉันด้วยเถิดเพค่ะ”   แล้วพระมเหสีก็ย่อกายลงถวายคาราวะทันที
      ชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ก็สงสารก้มลงพยุงให้ยืนขึ้นอีกครั้งแล้วกล่าวว่า
    “หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงพอที่จะช่วยได้ข้าเองก็จะขอรับปากพระเจ้าข้า”
    “ไม่ทำให้พระองค์ต้องกังวลสิ่งที่ข้าขอนั้นก็คือ ขอให้พระองค์ทรงรับพระราชบุตรีของหม่อมฉันเป็นข้าใต้
เบื้องพระยุคลบาทก็จะหาคุณที่สุดมิได้ เพค่ะ”   พระมเหสีกล่าว
       ทำให้ชายหนุ่มตกตลึงหันไปมองแม่นางทั้งสามทันที  แต่เห็นเหล่าแม่นางทั้งสามต่างยิ้มให้หมายถึงการ
ยอมรับเข้าร่วมด้วย  ดังนั้นใจจึงชื้นขึ้นมา พลางกล่าวว่า

       “หากเพียงเท่านี้แต่ทว่าจะล่วงเกินต่อพระราชบุตรีไปหรือไม่พระเจ้าข้า  หากมาดแม้นสร้างความลำบากใจ
แก่พระราชบุตรีเป็นการฝ่าฝืนน้ำพระหทัยพระราชบุตรีข้าเองก็มิอาจจะรับไว้ได้พระเจ้าข้า”
    ครั้นพระมเหสีได้ฟังเหตุผลที่มิได้มักมากในกามคุณเช่นนั้นยิ่งทรงแน่พระหทัยทันทีว่าชายหนุ่มเบื้องหน้านี้
หากราชบุตรีเราได้ฉลองเบื้องยุคลบาทแล้วย่อมเสวยสุขแน่นอน จึงดำรัสขึ้นว่า
       “ขอพระองค์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยได้เพค่ะ ด้วยหม่อมฉันเข้มงวดนักเกี่ยวกับเรื่องนี้  หากมิเชื่อหม่อมฉัน
ทรงไต่ถามเองเถิดเพค่ะ”
        “บุตรีหม่อมฉันองค์ใหญ่นามว่า สิริกัลยา  องค์เล็กสิรินภาวดี  ส่วนราชบุตรหามีไม่เพค่ะ”
ชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้น  เพื่อมิล่วงน้ำใจซึ่งกันและกันจึงถามไปตรงๆทีเดียว
         “อันแม่นาง สิริกัลยา และแม่นาง สิรินภาวดี  โปรดแถลงด้วยความจริงต่อข้าด้วย หากพบขึ้นภายหลังอย่าหา
ว่าข้าใจร้ายต่อแม่นางเสียนะ  ว่ามีคนรักแล้วหรือยัง”

         ทำให้ราชบุตรีทั้งสองถึงกับเอียงอายไปทันที เหลือบมองพิจารณาเห็นชายหนุ่มนี้ช่างสง่างามยิ่งนักประกอบ
ด้วยพระพักตร์งดงามยิ่ง  ก็ให้บังเกิดพิสมัย ต่างเอ่ยพร้อมกันว่า
        “ข้าเองหาได้มีสิ่งปรารถนาต่อสิ่งนี้เพค่ะ” แม่นางสิริกัลยาทูล
        “ข้าพระองค์ก็เช่นกันเพค่ะ” แม่สางสิรินภาวดีเอ่ยทูล
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งในใจไม่วายหันไปมองยังหญิงสาวทั้งสามอีกครั้งหนึ่ง  เห็นแต่ละคนล้วนอมยิ้มทั้ง
สิ้นแต่มิได้เอื้อนเอ่ยประการใดไม่
         “ครั้นเมื่อองค์ชายได้ยินเช่นนี้ด้วยพระองค์เองแล้ว   ขอจงได้ช่วยสั่งสอนแก่บุตรีของข้าด้วยหากผิดพลาด
สิ่งใดก็โปรดพระราชทานอภัยด้วยเถิดเพค่ะ”  พระมเหสีกล่าว
         “แต่ว่าข้าเองนั้นต้องกรำศึกอีกนาน  แม่หญิงทั้งสองจะทนต่อดินฟ้าการสู้รบได้หรือ”  ชายหนุ่มกล่าวลอยๆ
         “เรื่องข้อนั้นอย่าทรงเป็นห่วงเถอะเพค่ะ  ด้วยบุตรีข้าทั้งสองหาได้ไร้ซึ่งฝีมือก็หาไม่ล้วนเจนจบมาแล้วเนื่อง
จากพระสวามีได้หาอาจารย์มาอบรมสั่งสอนอาวุธต่างๆ  และเชี่ยวชาญยิ่งนักเกี่ยวกับยาพิษทั้งหลายอาจจะเป็น
ประโยชน์แก่กองทัพพระองค์ได้นะเพค่ะ”   พระมเหสีทรงดำรัสตัดบทด้วยทรงพอพระราชหฤทัยในชายหนุ่มนี้
นักที่ไม่ลุแก่อำนาจและตัณหาราคะแต่ประการใด

        สุดที่จะหลีกเลี่ยงด้วยรับปากไว้แก่พระมเหสีแล้วจึงทรงดำรัสขึ้นว่า
     “ในเมื่อเป็นเจตนาขององค์พระแม่เจ้า ข้าเองก็มิอาจจะทำให้ระคายเคืองพระหฤทัยแก่พระแม่เจ้าได้ ขอให้หลัง
ถวายพระเพลิงงานพระศพผ่านไปก่อนเถิด  จะให้ทหารสร้างปูชนียสถานเพื่อเก็บอัฐิโดยเร็ววัน  ด้วยต้องออกศึก
ในครั้งต่อไปพระเจ้าข้า”   ชายหนุ่มกล่าว
      “เมื่อข้าได้ยินเช่นนี้ก็ให้สบายใจยิ่งนัก ด้วยคิดว่ามองคนมิผิดหรอก ถือได้ว่าเป็นบุญของบุตรีเรายิ่งนัก”
      “ข้าเองเมื่อรับปากแล้วย่อมจะกระทำตามทุกประการยกเว้นมิอาจจะทำได้พระเจ้าข้า” ชายหนุ่มกล่าว

       ดังนั้นเมื่อจัดการถวายพระเพลิงพระศพผ่านไปแล้วถูกบรรจุยังปูชนียสถานยังกลางใจเมืองแล้วชายหนุ่ม
ก็ปรึกษากับมหาอำมาตย์ใหญ่ทันทีในเรื่องแว่นแคว้นมอญ มิให้เสียเวลาล่าช้าไป   เหล่าบรรดาอิสตรีทั้ง
ห้าก็ต่างพากันกลมเกลียวแลกเปลี่ยนความรู้กันและกัน ในเรื่องรักษาและการใช้ยาพิษต่างปฏิบัติได้เท่าเทียม
กันด้วยมิได้ปิดบัง ซ้ำบุตรีแห่งแคว้นซิตเวทราบว่ายังมีนางพรายอีกสองคนก็ให้สงสัยยิ่งนัก ครั้นทราบแล้ว
บรรดาเจ็ดนางก็ต่างสมานสามัคคีกันยิ่ง มิทำให้ชายหนุ่มต้องกลัดกลุ้มใจแต่ประการใด
        ส่วนเมืองซิตเวนั้นชายหนุ่มก็ประกาศแต่งตั้งพระมเหสีขึ้นครองราชย์สมบัติสืบต่อไป พร้อมทั้งคัดเลือก
เหล่าอำมาตย์ที่ผ่านการทดสอบจากชายหนุ่มขึ้นดำรงที่ปรึกษาใหญ่  ส่วนทหารชายหนุ่มให้ทดสอบฝีมือกันเอง
หาผู้ชนะระหว่างแม่ทัพนายกองเมืองซิตเว  จนได้ผู้ชนะเลิศจึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่  ครั้นเวลาผ่านไปไม่นาน
ก็ทรงไปลาพระมเหสีเจ้าแม่เมืองซิตเวเพื่อออกเดินทางต่อไปปราบยังแว่นแคว้นรัฐมอญทันที  
 ครั้นเจ้าแม่แห่งเมืองซิตเวทราบดังนี้จึงมอบอาวุธที่ล้วนอาบยาพิษและยาแก้พิษตลอดทหารเพื่อใช้ในการปราบปรามแคว้นมอญและอำนวยอวยพรชายหนุ่มในฐานะราชบุตรเขยไว้มากมาย
  ก่อนจากไปชายหนุ่มเขียนหนังสือทิ้งไว้ให้สามฉบับหากจำเป็นค่อยเปิดทีละฉบับ แก่เจ้าแม่เมืองซิตเว
ไว้ว่าหากเกิดปัญหาใดๆถึงจะเปิดอ่านได้  แม่นางเจ้าแม่เมืองก็เข้ามาสวมกอดชายหนุ่มที่ยังห่วงใยแก่พระองค์   แล้วออกไปส่งชายหนุ่มยังนอกเมืองระยะหนึ่งจึงกลับสู่เมือง

        ครั้นเดินทัพมาใกล้แคว้นเมืองมอญซึ่งมีแว่นแคว้นเมืองไม่มากนักตกราวห้าหกเมืองรวมทั้งเมืองมะละแหม่ง
ชายหนุ่มก็ให้พักทัพ   แล้วเรียกประชุมใหญ่ทันที เมื่อบรรดาแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกันแล้วชายหนุ่มจึงกล่าว
การศึกครั้งนี้จงอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ด้วยรัฐมอญนั้นยังมีเมืองอิสราวดีช่วยหนุนหลังอยู่ หากการที่เราคิดไว้
สำเร็จให้ทุกทัพมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองอิสราวดีทันทีทั้งทางน้ำทางบก เราจะแจ้งไปยังเมืองตองอู และเมืองฮะคาให้
จัดเตรียมกำลังไว้  ซึ่งเมืองฮะคานั้นเราได้สอนวิธีการสร้างกระบอกไฟให้แล้วให้นำมาประดับบนเรือยิงใส่ยังเมือง
อืสราวดีหากได้รับสัญญาณจากเรา  เราจะเข้าตีรัฐมอญนั้นพร้อมๆกันทั้งสี่ด้าน 
 ให้แม่ทัพเมืองหงสาเข้าตีเมือง  สินธุนคร  ซึ่งมีเจ้าสมิงสุกะเป็นเจ้าเมือง  นำโดยท่านอุปราชแห่งหงสา
เมือง  สิงหะนคร  เจ้าสมิงสุระการเป็นเจ้าเมืองให้แม่ทัพ สีหะตเวคุมทัพยะไข่เข้าโจมตี

เมือง สุระนคร  เจ้าเมืองคือสมิงบุรินเดช  ให้แม่ทัพมังสุระเข้าโจมตี   เมืองมิถิลาเจ้าเมืองคือสมิงพราย ให้แม่ทัพ
สีหะเข้าโจมตี  เมืองอรินทรา เจ้าเมืองคือสมิงมุนินทร์ให้แม่ทัพนิละกะเข้าโจมตี  เมืองศิลานครให้แม่ทัพ
มังสุระเดชะเข้าโจมตี  ส่วนแม่ทัพที่เหลือทั้งหลายทุกๆแว่นแคว้นยะไข่นั้นไปพร้อมกับเรา
เข้าโอบล้อมเมืองมะละแหม่ง       หากแม่ทัพคนใดตีเมืองใดได้ที่ไม่ยอมอ่อนน้อมให้ฆ่าทิ้งเสีย
       การแต่งตั้งเจ้าเมืองให้จัดคนของเราเข้าควบคุมไว้ด้วยชาวมอญนั้นหาคนที่ไว้ใจได้ยากมักจะทรยศภายหลัง  
 ส่วนที่ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดีให้ปลดออกจากเจ้าเมืองเอาคนของเราเข้าควบคุมไว้ เมื่อรวบรวมไพร่พลทหารที่สวามิภักดิ์แล้วให้จัดกำลังไปรวมกับท่านแม่ทัพใหญ่มังสุรเดชเดชารองมังเหมี่ยวสุรการและรองมังนายะเดชะ
ที่รวบรวมทหารแว่นแคว้นต่างๆที่ประสานงานกับเมืองฮะคาอยู่  หาได้เข้าร่วมโจมตีใดไม่เพื่อรอกำลังจากเรา

    ส่วนแม่ทัพนายกองที่เรามิได้เอ่ยนามนี้ให้รวบรวมทหารเข้ามุ่งหน้าไปทางเมืองมะละแหม่งล้อมรอบเมืองไว้
ส่วนทางด้านทางน้ำนั้นทางเมืองตองอูจะจัดกำลังโอบล้อมตีฝ่าเข้าเมืองมะละแหม่งต่อไป  พรุ่งนี้เช้ามืดก่อน
ตะวันขึ้นให้ออกเดินทางได้ทุกหน่วยเหล่าแล้วหากเกิดปัญหาใดๆให้ขอความช่วยเหลือไปยังท่านแม่ทัพใหญ่
ที่คอยทัพรออยู่ ท่านมังสุรเดชเดชาก็จะจัดส่งกำลังเข้าช่วยเหลือเอง การศึกครั้งนี้อย่าได้ล่วงลุแก่โทสะเป็นอัน
ขาด  และระวังเล่ห์กลศึกหากไม่แน่ใจก็อย่าล่วงล้ำเข้าไปด้วยเรานั้น
       ได้จัดส่งกองกำลังแฝงตัวไปในเมืองต่างๆไว้เรียบร้อยแล้ว  กองทัพใดเข้าเมืองใดก็จะได้
รีบประสานทันทีเพียงแสดงสัญลักษณ์ที่เราจัดทำขึ้นไว้แสดงโดยให้เขียนไว้ในที่ชุมนุมชนหรือ
แลเห็นได้ง่าย  หน่วยรบพิเศษที่เราจัดวางไว้ในเมืองนั้นๆก็จะเข้าช่วยเหลืและเผาผลาญเมือง
แล้วจัดการหาทางเปิดประตูเมืองให้พวกเรา หรือหากผิดสังเกตให้ใช้กระบอกไฟยิงใส่ประตูเมือง
ทำลายเสียแล้วยกพลเข้าทำลายทันทีห้ามเบียดเบียนประชาชนโดยเฉพาะพวกผู้หญิง  

              ซึ่งข้าเองเข้าใจว่าเรารบมานมนานย่อมจะมีเรื่องราคะบ้าง    แต่เพื่อการใหญ่และเมื่อศึกสมบูรณ์
สำเร็จสมประสงค์เราจะบำเหน็จรางวัลให้อย่างงดงาม  จงจำไว้ให้ดีอย่าตั้งอยู่ในความประมาทเป็นที่ตั้ง
ชายหนุ่มได้มอบแผนทีซึ่งจัดทำโดยที่ปรึกษาใหญ่แจกแก่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงให้อ่านให้ละเอียด
สงสัยอย่างไรให้รีบถามมาทันทีอย่าเก็บความสงสัยไว้ท่านที่ปรึกษาใหญ่จะอธิบายให้ฟัง เมื่อเหล่าบรรดา
แม่ทัพนายกองที่ได้รับหนังสือแผนที่แล้วต่างก็เข้าใจและมิได้เอ่ยสอบถามแต่ประการใด
     แล้วชายหนุ่มก็สั่งเลิกประชุมเพื่อให้ไปเตรียมพร้อมเดินทางในวันรุ่งขึ้นทันที    เจ้าหญิงแห่งเมืองซิตเวที่ยืน
ฟังการสั่งงานของชายหนุ่มก็บังเกิดความรักนับถือถึงความเด็ดขาดเพียบพร้อมด้วยความละเอียดรอบคอบถึงกับ
คิดว่าที่เมือง ซิตเวเสียเมืองก็ด้วยเหตุนี้เอง  ด้วยชายหนุ่มไม่คิดว่ากำลังจะมากกว่ามากมายนักแต่เขารักทหารยิ่งกว่า
การใช้กำลังตีเมือง  แต่เขาใช้สติปัญญาในการตีเมืองถึงได้เมืองมาโดยแทบไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแต่ประการใดซ้ำยัง
ได้หัวใจเหล่าทหารไปด้วยอีก  พวกเราเป็นข้าบาทของพระองค์ถือได้ว่าเป็นโชคอันมหาศาลยิ่งนัก  แม่นางทั้งสอง
หันมาสบตากันพลางยิ้มระรื่นเป็นยิ่งนัก...............

           * แก้วประเสริฐ. *  

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
12 มีนาคม 2553 22:01 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 49

แก้วประเสริฐ


              ลุ่มลึกอิสราวดี  49

   ฝ่ายด้านเมืองซิตเว  มังตเวสีหะครั้นตรวจสอบข้าศึกยังเชิงเทินกำแพงเมืองแลเห็นไพร่พล
ข้าศึกจำนวนมาก   ตั้งค่ายรายล้อมรอบเมืองทั้งสามด้านเป็นจำนวนมากมายก็ให้ตกใจยิ่ง
จึงสั่งการให้ป้องกันเมืองให้เข้มแข็งทั้งกลางวันกลางคืน   พร้อมจัดเรียกประชุมเหล่าอำมาตย์
แม่ทัพนายกองทั้งปวงถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้   ได้รับรายงานว่าเกิดการขาดแคลนเสบียงอาหาร
ยิ่งนัก ชาวเมืองปั่นป่วนไปตามๆกันจะทำประการใดดี
     ด้านมหาอำมาตย์ มังกะเวสี ก็เสนอความคิดว่าควรจะนำกำลังไปทางด้านหลังซึ่งเป็นหน้าผา
สูงชันยากแก่การปีนป่ายเพื่อไปล่าสัตว์ซึ่งอุดมสมบูรณ์ทางภูเขาอีกหลายๆลูกลำเลียงเข้ามาก็พอ
จะประทังความขาดแคลนนี้ได้    ดังนั้นมังตเวสีหะหันไปถามทางแม่ทัพใหญ่ทันทีว่าทางด้านหลัง
นั้นมีทหารของข้าศึกล้อมรอบภูเขาอื่นๆไว้หรือไม่
        
        แม่ทัพใหญ่ตเวกุลารายงานแก่เจ้าเมืองซิตเวว่า
      “ได้ให้ทหารไปตรวจสอบแล้วไม่พบทหารของข้าศึกแต่อย่างไร
อาจด้วยฝ่ายข้าศึกเห็นว่าเป็นหน้าผาสูงชันยากแก่การปีนป่าย แต่ได้วางกำลังป้องกันไว้แล้ว หากมัน
มาจริงก็ยากจะเข้ามาได้ ด้วยสะพานใช้สำหรับเชื่อมต่อภูเขาอื่นๆนั้นมิอาจยกมาเป็นพวกได้ จะมาก็
เพียงคนเดียวหรือขี่ม้าก็ได้แค่ม้าตัวเดียว    ดังนั้นจึงได้จัดเหล่าทหารพลธนูและหน้าไม้คอยรับศึกอยู่
หากมันมาจริงก็คงจะต้องตกตายด้วยธนูอาบยาพิษและเหล่าหน้าไม้ต่างๆตกเหวตายหมดสิ้นพระเจ้าข้า”
      “แต่ถ้าหากมันทำลายสะพานไม้ที่จัดสร้างเมืองเรามิเห็นจะตกอยู่ในวงล้อมยากแก่การหนีหรือ”
เจ้าเมืองซิตเวถาม”
       อำมาตย์ใหญ่มังกเวสีกล่าวขึ้นว่า 
         “หากมันตีฝ่าเข้ามายังเมืองเราได้  ทางเราก็มีทางหนีแล้วด้วยร่วมมือกับท่านแม่ทัพใหญหาทางคิดไว้
เรียบร้อยก่อนแล้ว  ด้วยข้าพุทธเจ้าได้แจ้งกับท่านแม่ทัพใหญ่ได้จัดเตรียมขุดอุโมงค์ลงไปในพื้นดิน
เพื่อลงไปยังที่ราบด้านหลังเขาไว้แล้วซึ่งพึ่งจะเสร็จไม่นานแล้วจะกราบทูลพระเจ้าข้า”
        “เอ๊ะ????....ใยท่านถึงไม่บอกกล่าวแก่เราให้รู้ล่วงหน้าก่อนล่ะ” เจ้าเมืองถาม

         “การเช่นนี้ข้าพุทธเจ้ากับท่านแม่ทัพใหญ่ไปพบโดยบังเอิญพระย่ะค่ะ ระหว่างขบคิดปัญหาว่าเมืองเรา
ถ้าหากข้าศึกมาโจมตีแล้วเกิดทำลายสะพาน  เมืองเราก็เสมือนหนึ่งโดดเดียวเดียวดายจะหนีไปก็ไม่ได้จะทำ
ให้พระองค์ต้องกลัดกลุ้มพระหฤทัย  ด้วยหน้าผานั้นต่ำลงไปเป็นถ้ำไม่สูงไปกว่าตัวเมืองนัก ข้าพระองค์และ
แม่ทัพใหญ่จึงให้ทหารสร้างบันไดพาดไปชะง่อนหน้าผาเข้าไปตรวจสอบยังถ้ำนั้นพบว่ามีทางลงไปยังทาง
ภาคพื้นดินได้แต่เป็นทางตันระหว่างทางออก  ครั้นจะกราบทูลพระองค์ก็ทรงเห็นว่ามีธุรกิจมากมายนัก
ทั้งสองจึงปรึกษากันว่าหากสำเร็จแล้วจะกราบทูลพระเจ้าข้า”
       “ข้าเองจะหาตำหนิท่านได้อย่างไรด้วยเป็นความประสงค์ดีแก่ตัวข้า  จริงซินะข้าเองก็เชื่อมั่นชัยภูมิเมืองเรา
แต่ไม่ได้คิดถึงทางหนีไว้สำรอง   เมื่อท่านทั้งสองสร้างไว้ก็ดีแล้ว และสำเร็จหรือยังล่ะ”
       “งานนั้นพึ่งจะลุล่วงได้ประมาณอาทิตย์ที่แล้วพระเจ้าข้า  ว่าหากมีโอกาสเมื่อได้ก็จะกราบทูล
ให้พระองค์ทราบพระเจ้าข้า  ท่านมหาอำมาตย์กล่าว

       ถ้าอย่างงั้นในเมื่อบัดนี้ข้าศึกมาล้อมเมืองเราทั้งสามด้านและเกิดการปั่นป่วนด้วยขาดเสบียงอาหารหากใช้
เส้นทางนี้ไปหาอาหารจะไม่ได้หรือท่านมหาอำมาตย์
      “อันทางนี้เป็นทางแคบมากทางไปลำบากมากบางช่วงต้องคลานไป  หากหาอาหารมาได้ก็ยากจะลำเลียงมาได้
การใช้ก็มีทางเดียวคือสะพานนั่นแหละ  เพราะทางที่กล่าวนี้เพียงไว้ใช้สำหรับหนีภัยเท่านั้นพระเจ้าข้า”
       “เป็นเช่นนั้นหรือ  ไหนลองนำเราไปดูหน่อยซิว่าทางหนีนี้หากเกิดการผิดพลาดปกป้องเมืองไม่ได้ก็
จะได้รู้”  เจ้าเมืองกล่าว
         “ได้พระเจ้าข้า    ข้าพระองค์และแม่ทัพใหญ่จะนำเสด็จไปดูพระเจ้าข้า”
  
          ดังนั้นมหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่จึงนำเจ้าเมืองซิตเวไปตรวจทางหนีไว้  เมื่อเจ้าเมืองเข้าไปยังทางลับก็ให้
ปลาบปลื้มใจ  ด้วยเมื่อพ้นจากถ้ำก็เป็นทางไปสู้ยังพื้นล่างของเขาแห่งเมืองซิตเว ซึ่งอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด
ครั้นขึ้นมายังเมืองเรียบร้อยแล้ว   ก็ได้รับรายงานว่าฝ่ายข้าศึกย่ำกลองรบเพื่อจะเข้าตีเมืองแล้วจึงสั่งให้แม่ทัพ
นายกองเข้าประจำหน้าที่ทันที
         ทางด้านแม่นางจันทิราครั้นนำไพร่พลจำนวนหนึ่งด้วยความชำนาญพื้นที่ภูเขาอยู่แล้วก็สามารถทำลาย
สะพานได้เรียบร้อยทั้งสองทาง  แต่นางพลันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติหากเป็นคนไม่เคยอยู่ภูเขามาก่อนย่อมไม่รู้
เนื่องจากหน้าผาของเมืองซิตเวนั้นมีบันไดทอดแล้วหายไปเนื่องจากต้นไม้ได้ปิดบังสายตาเสียก็ให้นึกสังหรณ์
แก่ใจยิ่งนัก    พอดีแม่นางตองอูทั้งสองกลับมาและแจ้งว่าได้ทำลายสะพานได้หมดสิ้นแล้ว แม่นางจันทิราจึง
ชี้ให้แม่นางเรวดีอรทัยและแม่นางกัลยาเทวีดูความผิดแผกของธรรมชาติ ครั้นนางเรวดีอรทัยเห็นดังนั้นจึงได้
กล่าวขึ้นว่าในตำราพิชัยสงครามของเมืองตองอูนั้นเคยกล่าวไว้ว่า  หากเมืองใดประกอบด้วยสามด้านแล้ว
อีกด้านหนึ่งย่อมแฝงเลศนัยไว้เสมอ    ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งผิดสังเกตนั้นอาจเป็นทางลับของฝ่ายศัตรูที่เตรียม
หาหนทางหนีไว้  

        ครั้นแม่นางจันทิราได้ยินเช่นนั้นก็ให้นึกถึงตอนเด็กๆชอบท่องเที่ยวตามเขาและถ้ำต่างๆก็ให้นึกได้จึง
หันไปทางแม่นางทั้งสองว่า เห็นทีน้องเราจะกล่าวถูกต้องแล้วล่ะ  เรารีบไปแจ้งแก่ท่านพี่เราเถอะก่อนที่
จะสายไป   เมื่อนางเสร็จธุระก็รีบออกเดินทางไปหายังชายหนุ่มทันทีพร้อมแจ้งให้ทราบ   
        ฝ่ายมหาอำมาตย์ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าว่า
       “เห็นว่าจะเป็นทางหลบหนีแน่นอน  ให้พระองค์ย่ำกลองศึกไว้ว่าทางเราจะเข้าโจมตีและสั่งเหล่าแม่ทัพทั้งหลายให้ทำเป็นยกกำลังแต่ไม่ให้เข้าตีเมืองแต่อย่างไรเพื่อลวงฝ่ายข้าศึกไว้   เราจะไปทำลายทางหนีด้วยกระบอกไฟและทางลงก่อน ด้วยทางเมืองซิตะเวนึกว่าเราจะรุกตอนนี้ก็จะระดมกำลัง  ไม่คิดจะหนีด้วยยัง
ไม่ถึงเวลาจะเป็นจะหนีภัยพะย่ะค่ะ”
       “นับเป็นความคิดที่ดี  ดังนั้นจึงหันไปสั่งทหารให้นำกระบอกไฟมาสักห้ากระบอกพร้อมด้วยทหารที่
เคยใช้อาวุธนี้มาโดยด่วน”   

        ครั้นทหารได้รับบัญชาเช่นนั้นก็รีบไปจัดการและจัดทหารที่ชำนาญมาทันที
ชายหนุ่มและอำมาตย์พร้อมหญิงสาวทั้งสามออกเดินทางไปตรวจสอบ  ครั้นท่านมหาอำมาตย์เห็นและ
พิจารณาพื้นที่แล้วด้วยเป็นชาวเขาเช่นกันก็แน่แก่ใจทันที   จึงกราบทูลว่า
       “ใช่แล้วพระเจ้าข้า  นี่เป็นทางหนีเพราะมีบันไดทอดลงมาจากหน้าผา แต่ถูกกิ่งไม้บดบังยากจะมอง
และยิงกระบอกไฟได้พระเจ้าข้า”
         “ไม่เป็นไรหรอกท่านมหาอำมาตย์เรื่องกำบังต้นไม้ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวเราจะจัดการให้   พลางเรียก
เจ้าขนทองขนขาวพลางส่งมีดดาบและมีดเล็กให้แก่ลิงทั้งสองสั่งให้ไปตัดยอดกิ่งไม้ที่กำบังสายตาทันที
ครั้นเจ้าลิงขนทองขนขาวได้รับแจ้งจากชายหนุ่มแล้วก็รีบไต่แล้วกระโดดไปตามต้นไม้  ชายหนุ่มก้มลง
หยิบก้อนหินแล้วขว้างไปยังกิ่งไม้ต่างๆที่บดบังเพื่อแจ้งให้เจ้าลิงทั้งสองทราบ 
 
        เจ้าลิงขนทองและขนขาวก็ตัดกิ่งไม้เหล่านั้นจนสิ้น  เมื่อพ้นจากสายตาและระยะของกระบอกไฟแล้ว
ชายหนุ่มก็ส่งสัญญาณให้ลิงทั้งสองกลับมาทันที   เมื่อทุกสิ่งเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มจึงให้ทหารตั้งกระบอก
ไฟเล็งไปยังหน้าถ้ำและบันไดที่ทอดลงมาทันใด    เสียงหวีดหวิวดังขึ้นกระบอกไฟทั้งสองก็พุ่งโค้งทะยาน
เข้าไปยังปากถ้ำและบันได   เมื่อกระบอกไฟเข้าไปยังในถ้ำแล้วก็เกิดการระเบิดกึกก้อง  บันได้ที่ทอดยาวมา
ยังชะง่อนผาก็เกิดการระเบิด   เสียงครืนดังสนั่นเลื่อนลั่นดังสะท้านไปทั่ว ทำให้ทหารเมืองซิตเวครั้นแลเห็น
บันไดที่ตนเองเฝ้าไว้ตลอดจนถ้ำถูกก้อนหินหล่นทะลายมาปิดปากถ้ำไปหมดสิ้น  ก็ให้ตกใจรีบกลับไป
รายงานแก่มหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองซิตเวทันที
        
        ครั้นอำมาตย์ใหญ่และแม่ทัพใหญ่ทราบดังนั้นก็ให้ตกใจถึงกับตลึงคิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
รีบเข้าไปรายงานเจ้าเมืองซิตเวทันที   ครั้นเจ้าเมืองทราบก็รีบพาเหล่าแม่ทัพอำมาตย์มาตรวจดูสภาพแต่ไม่
สามารถลงไปได้ด้วยบันไดที่สร้างไว้ได้พังพินาศไปสิ้นไม่เท่านั้นยังทำให้กำแพงเมืองด้านนี้ถึงกับทรุดตัวลง
ไปอีกแทบพังทลายไป  ก็ให้ตกใจยิ่งนักหันไปกล่าวกลับมหาอำมาตย์ว่าแล้วสะพานอื่นๆล่ะ  หากทางลับนี้
พวกมันรู้สะพานมันก็คงจะถูกทำลายเช่นกัน   
       พอดีทหารรีบมารายงานว่าบรรดาสะพานน้อยใหญ่ต่างถูกข้าศึกทำลายไปเสียหมดสิ้นแล้ว ยิ่งทำให้เจ้าเมือง
ถึงกับท้อแท้ใจยิ่งนัก   ถามมหาอำมาตย์ใหญ่และแม่ทัพใหญ่ว่าจะทำประการใดดี
       “ฝ่ายแม่ทัพใหญ่แจ้งว่าทหารเรายังมีสุขภาพสมบูรณ์พร้อมสู้เสมอแต่หากนานเข้าเมื่อขาดเสบียงไปเห็นทีจะ
ต้องฆ่าม้าเพื่อเป็นอาหารแล้วพระเจ้าข้า”

        ด้านมหาอำมาตย์นั้นตลึงพลางครุ่นคิดหาทางปกป้องเมือง  จึงกล่าวว่า
       “หากพวกเรายอมแพ้แก่ข้าศึกก็จะเป็นที่นินทาแก่เหล่าแว่นแคว้นอื่นๆได้ ด้วยแว่นแคว้นอื่นๆต่างต่อสู้ด้วยกัน
ทั้งสิ้นเว้นแต่เมืองในแว่นแคว้นเราที่ปราศจากทหารมากเท่านั้นซึ่งก็มีไม่กี่เมือง นอกนั้นยอมสู้ตายทั้งสิ้น  หากเรา
มายอมแพ้ทั้งๆยังไม่รักษาเมืองไว้จะเป็นการดีหรือพระเจ้าข้า”
       เจ้าเมืองซิตเวถึงกับอึ้งไปทันที  ในใจคิดจะยอมแพ้แก่ข้าศึกแต่มาด้วยมหาอำมาตย์กับแม่ทัพใหญ่หายินยอม
ไม่ก็จนพระหฤทัย  จึงสั่งให้ทุกๆคนต่อสุ้ปกป้องเมืองจนกว่าเมืองเราจะถูกโจมตี
    “ เราก็ชายชาติทหารจะกลัวไปใยเล่า   ให้เลืองลือไปทั่วว่าเมืองซิตเวหาใช่ขี้ขลาดตาขาวก็หาไม่ “
จึงประกาศให้แจ้งแก่ทหารทุกๆคนต่อสู้จนกว่าจะรักษาเมืองไม่ได้นั่นแหละ ดังนั้นมหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่จึง
จัดการตามพระบัญชาทันที

        ครั้นเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนทหารฝ่ายชายหนุ่มก็ยังไม่รุกบุกเข้าโจมตีเมืองซิตเว  เพียงแต่ลวงล่อทำทีว่าจะเข้า
โจมตีเท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไปทำให้เสบียงภายในเมืองขาดลง บรรดาเหล่าชาวเมืองต่างร้องขอให้ยอมแพ้แก่ข้าศึก
แม้แต่ทหารทั้งหลายด้วยไม่ได้อาหาร ถึงทานก็น้อยอ่อนล้าไปเกือบทุกๆคน  หาได้มีกำลังใจที่จะต่อสุ้อีกไม่
ฝ่ายประชาชนก็พากันเข้าทลายประตูเมืองแม้จะได้รับการขัดขวางจากทหารบางคนก็ตามที   แต่ทหารทั้งหลาย
เนื่องจากไม่ได้ทานอาหารมาหลายวันก็ไม่สามารถต้านทานเหล่าประชาชนได้  ดังนั้งประตูเมืองก็ถูพลังของ
ประชาชนเปิดออกได้   ฝ่ายประชาชนก็พากันหนีออกจากเมืองมาเกือบหมดสิ้น
         ทางด้านชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ให้ทหารของตนนำเหล่าประชาชนที่หนีออกมาพร้อมด้วยทหารเมืองซิตเว
บางหน่วยด้วย  มาควบคุมไว้แล้วมอบอาหารให้กินอย่างอิ่มหน่ำสำราญ  บรรดาทหารเมืองซิตเวครั้นเห็นฝ่าย
ชายหนุ่มมีน้ำใจเมตตายิ่งนัก  ก็พากันเข้ามาสวามิภักดิ์ทั้งสิ้น   บรรดาเหล่าทหารที่ได้รับแจ้งจากทหารที่หนีไป
ว่าฝ่ายตรงข้ามหาได้โหดร้ายกลับมีน้ำใจไมตรีเลี้ยงดูให้อิ่มหน่ำสำราญต่างก็พากันเปิดประตูเมืองหนีออกมา
มากมาย  เข้าไปพึ่งพาชายหนุ่ม  ทางชายหนุ่มก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีมิได้ถือสาโทษแต่ประการใดทำให้
เหล่าทหารที่หนีมาต่างพากันยินยอมพร้อมใจสวามิภักดิ์ไปเสียสิ้น   

      ทำให้เมืองซิตเวกลายเป็นเมืองร้างไปทันใด  เหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองที่ยังไม่ยินยอมต่างก็ไปรายงานแก่
แม่ทัพใหญ่   แม่ทัพใหญ่เมืองซิตเวก็รีบแจ้งให้มหาอำมาตย์ทราบเพื่อแจ้งแก่เจ้าเมืองซิตเวทันที  ครั้นประตูเมือง
ทั้งสามด้านถูกเปิดไปแล้วแต่   ทหารฝ่ายชายหนุ่มก็หาได้เข้าโจมตีไม่ทำให้เกิดความประหลาดใจยิ่งนักแก่
เจ้าเมืองและเหล่าทหารที่หลงเหลืออยู่  ตอนนี้ภายในเมืองเกิดการแบ่งแยกเป็นหลายฝ่ายต่างก็พากับหลบหนี
ออกมาเข้ากับฝ่ายชายหนุ่มเกือบหมดสิ้น เหลือแต่บรรดาแม่ทัพนายกองบางนายและเหล่าทหารองครักษ์เท่านั้น
        ครั้นชายหนุ่มเห็นว่าเจ้าเมืองซิตเวไม่ยินยอมพร้อมใจเช่นนั้น   จึงให้ทหารที่มาสวามิภักดิ์อยู่ด้านหลังในที่
ที่หนึ่งไม่ให้ออกร่วมรบด้วยสร้างความปิติยินดีแก่ทหารแม่ทัพนายกองที่หนีมาเข้าใจซาบซึ้งแก่ชายหนุ่มว่าที่
เป็นเช่นนี้ด้วยไม่ต้องการให้พวกเขาฆ่าพวกกันเองก็ยิ่งนับถือน้ำใจเป็นทวีคูณ   ต่างพากันปลดอาวุธนำไปส่ง
มอบตลอดจนยาแก้พิษต่างๆให้แก่ชายหนุ่มทันที   ชายหนุ่มก็ให้ทหารเก็บบรรดาอาวุธไว้ใช้ในการต่อสู้ต่อไป

       แล้วสั่งให้ลั่นกลองรบ เคลื่อนกำลังพลมหาศาลตีฝ่าเข้าเมืองซิตเวทันทีแต่ปราศจากการต่อต้านแต่อย่างไร
จากทหารของเมืองซิตเว  ชายหนุ่มควบเจ้าสีเทานำหน้าพร้อมหญิงสาวทั้งสาวผ่านเข้าประตูเมืองไปยังราชวัง
ของเจ้าเมืองมังตเวสีหะ  ซึ่งถือดาบพร้อมด้วยแม่ทัพใหญ่และอำมาตย์ใหญ่และเหล่าทหารองครักษ์คอยปกป้อง
คุ้มครองอยู่   
       ครั้นมาถึงเบื้องหน้าของเจ้าเมืองซิตเว พลันน้อมกายลงคาราวะแล้วกว่าขึ้นว่า
        “การศึกครั้งนี้ข้าเองได้ควบคุมสถานการณ์ในเมืองไว้ได้หมดสิ้นแล้วพระองค์จะยินยอมหรือไม่พระเจ้าข้า”
    เจ้าเมืองซิตเวมังตเวสีหะเห็นชายหนุ่มนอบน้อมเช่นนั้นก็ให้ซาบซึ้งแต่ด้วยขัติยะมานะของกษัตริย์ไหนเลยจะ
กล่าวคำว่าพ่ายแพ้ออกมาได้ พร้อมก้มน้อมคาราวะตอบว่า  
        “เมื่อเจ้าสามารถยึดเมืองซิตเวได้แล้วเราขอฝากพระมเหสีและราชบุตรีทั้งสองที่ไม่รู้ความการเมืองใดๆแก่เจ้า
หากเจ้ารับปากข้าได้ นั่นแหละข้าถึงจะยินยอมพร้อมใจและกาย”
        “พระเจ้าข้า   ขอรับปากว่าบรรดาราชวงศ์แห่งเมืองซิตเวนั้นข้าเองจะไม่คิดร้ายแต่อย่างไรทั้งสิ้นตลอดจน
ชาวเมืองก็จะกำชับมิให้รังแกเบียดเบียนเป็นอันขาดพระเจ้าข้า”......................

             * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
12 มีนาคม 2553 15:24 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 48

แก้วประเสริฐ


                   ลุ่มลึกอิสราวดี  48

   ครั้นชายหนุ่มเดินไปยังกองบัญชาการใหญ่  ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่คอยต้อนรับ
อยู่ก่อนแล้วพร้อมน้อมกายถวายคาราวะ แล้วรายงานว่าสิ่งต่างๆให้ชายหนุ่มทราบ   ชายหนุ่มได้
จึงแนะนำท่านอลองพญาว่านี่คืออุปราชแห่งเมืองหงสาชื่อท่านอลองพญาและแจ้งสิ่งต่างๆ
ให้แก่ผู้เฒ่าทราบ ตลอดจนการวางแผนต่างๆให้แก่เมืองหงสาไว้พร้อมทั้งแจ้งว่าได้ท่านอลองพญา
สร้างแผนที่ภายในและภายนอกของเมืองซิตเวไว้ก่อนเรียบร้อยแล้วอย่างละเอียดเราไปร่วมปรึกษา
หารือกันก่อน  จึงจะแนะนำให้เหล่าแม่ทัพนายกองเมืองต่างๆทราบด้วยกันนะ

              ครั้นที่ปรึกษาใหญ่ทราบ  พลางก็น้อมกายคาราวะอุปราชแห่งหงสา
     “ข้าเหมี่ยวมังกะยอชวาขอถวายพระพรพระเจ้าข้า”
  ครั้นอุปราชแห่งหงสาเห็นดังนั้นก็รีบน้อมคาราวะพลันกล่าวว่า
      “ท่านผู้เฒ่าที่ปรึกษาใหญ่ให้เกียรติแก่ข้ายิ่งนัก ข้าเองสมควรจะคาราวะท่านถึงจะถูกต้องด้วย
การที่ข้าเองได้ตำแหน่งนี้ก็ด้วยพระบารมีของท่านมหาอุปราชที่แต่งตั้งข้าซึ่งเดิมเป็นแม่ทัพใหญ่
แห่งเมืองหงสาให้ดำรงตำแหน่งนี้   ท่านมหาอุปราชพระองค์ทรงเอ่ยถึงท่านผู้เฒ่าเสมอมาหาก
มีสิ่งใดที่จะแนะนำสั่งสอนข้า  จะถือเป็นพระคุณหามิได้”   พร้อมทั้งทรุดกายลงคาราวะท่านที่
ปรึกษาใหญ่ทันที

       ชายชราทรงหัวร่อเบาๆพร้อมทั้งพยุงร่างมหาอุปราชแห่งหงสาขึ้นมา กล่าวว่า
      “ตามธรรมเนียมประเพณีไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าดำรงตำแหน่งนี้ถือได้ว่าคืออนาคตของการเป็น
พระมหากษัตริย์ในโอกาสต่อไป  ฉะนั้นจะเป็นการล่วงเกินแก่ท่านอุปราช ข้าเองมิอาจจะรับ
ได้พระเจ้าข้า”
      “หามิได้ท่านผู้เฒ่า  ด้วยวัยวุฒิคุณวุฒติตลอดยังเป็นที่ปรึกษาใหญ่แห่งท่านมหาอำมาตย์ด้วยแล้ว
หากคิดถึงการปัจจุบันนับได้ว่าท่านเป็นที่สูงสุดเป็นอย่างยิ่ง  การทำความคาราวะหาได้เกินความจริง
ไปแต่ประการใดไม่  อนึ่งข้าเองก็มาจากสามัญชนธรรมดาหาได้ถือแก่ยศถาบรรดาศักดิ์ใดไม่  การ
เข้ารับราชการครั้งนี้เพื่อหมายจะทดแทนแผ่นดิน  แต่บัดนี้สิ่งที่ข้าคิดไว้กลับเปลี่ยนแปลงไปจนหมด
สิ้นด้วยพระบารมีของท่านมหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่นี้  ฉะนั้นขอท่านผู้เฒ่าจงเอ็นดูแก่ข้าเสมือนหนึ่งเป็น
ลูกเป็นหลานด้วยเถิดนะ”    ท่านอลองพญาอุปราชแห่งหงสากล่าว

     ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้ท่านที่ปรึกษาใหญ่ถึงกับเอ็นดูท่านอุปราชแห่งหงสายิ่งนักจึงกล่าวว่า
     “ในเมื่อเป็นพระประสงค์ของท่านอุปราชเช่นนี้  ข้าเองก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งจะนับท่านเสมือนหนึ่ง
ดังลูกหลานก็แล้วกัน  ฉะนั้นการเรียกชื่อซึ่งพระมหาอุปราชท่านเองก็ยังให้ความรักไว้เนื้อเชื่อใจแก่ข้า
ให้เปรียบเสมือนลูกหลานดั่งที่ท่านกล่าวมานี้ จะเรียกท่านว่าหลานชายก็แล้วกันจะสมควรหรือไม่ล่ะ”
     “นับว่าท่านผู้เฒ่าให้เกียรติแก่ข้ายิ่งนัก  ต่อไปหลานคนนี้จะคอยเชื่อฟังท่านหากผิดพลาดก็ขอได้
อโหสิแก่ข้าผู้น้อยด้วยนะ  พ่อลุง”
         ชายหนุ่มตัดบททันที  เอาล่ะพวกเราเข้าไปยังภายในก่อนแล้วมาร่วมกันปรึกษาเพื่อจะตีเมืองซิตเว
กันดีกว่านะ   แล้วทั้งหมดชายหนุ่มท่านที่ปรึกษาใหญ่ท่านมหาอุปราชหงสาและแม่นางทั้งสามก็เดิน
เข้าไปภายในค่าย  ทหารที่เฝ้าต่างน้อมคาราวะแล้วเปิดประตูให้ทั้งหมดทันที
 
       เมื่อชายหนุ่มนั่งยังหัวโต๊ะที่ขนาดยาวพลางให้ท่านที่ปรึกษาใหญ่นำแผนที่ออกมากางบนโต๊ะนั้น
 พร้อมทั้งส่งแผนที่ของท่านอุปราชหงสาให้อ่านดู   ครั้นที่ปรึกษาใหญ่อ่านดูแล้วก็นำไปวางบนแผนที่
ที่เขาทำขึ้นไว้  พลางกล่าวว่า
      “อันแผนที่ของหลานชายแห่งหงสานั้นมีความละเอียดมากกว่าของเรา   ควรยึดถือเป็นการยึดเมืองซิตเว
เป็นหลักในการเข้าโจมตี    อันเมืองซิตะเวนี้ด้านหลังเป็นหน้าผาชันยากแก่การเข้าโจมตี   ข้าเองได้ให้คนไป
สำรวจแล้วเป็นทางออกที่ทำด้วยสะพานทอดข้ามไปยังอีกภูเขาหนึ่ง  การเข้าโจมตีเมืองซิตเวนี้ควรเป็นหน้าที่
ของชาวเมืองหล่อยก่อกับเมืองปะอานเป็นกองหน้าด้วยชำนาญพื้นที่ด้านภูเขายิ่งนัก  ส่วนด้านหนีด้านหลังนี้
เราควรจะทำลายสะพานไม้ให้ขาดจากกันเพื่อการหลบหนี   ทั้งนี้ภายในเมืองซิตเวกำลังขาดแคลนเสบียงยิ่ง
นัก จนทหารเมืองต้องเข้าไปนำอาหารของชาวบ้านตลอดจนบรรดาสัตว์เลี้ยงมาใช้บำรุงทหาร  ทำความแค้น
เดือดร้อนแก่ชาวเมืองยิ่งนัก  เพราะพระองค์ไปศึกในครั้งนี้ก็ล่วงเข้าเดือนกว่าๆแล้ว  พวกเราซึ่งตัดขาดเสบียง

       จากแคว้นที่นำเสบียงส่งเมืองหลวงนั้นขาดออกจากกันเรียบร้อยแล้ว ตลอดจนยึดพื้นที่ของชาวเมืองที่ใช้
ในการเพาะปลูกได้หมดสิ้น  คงเหลือเสบียงที่เหลือของเมืองซิตเวเท่านั้นพระย่ะค่ะ”
       ชายหนุ่มได้รับรายงานเช่นนี้พลางขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นว่า
     “หากเป็นเช่นนี้เราเห็นว่าทางเจ้ามังตเวสีหะคงจะใช้ทหารออกไปล่าสัตว์ยังภูเขาอีกด้านหนึ่งทางลับเบื้องหลัง
เมืองมาเป็นเสบียงต่อไปเป็นแน่แท้   ฉะนั้นใครล่ะจะอาสาไปทำลายสะพานซึ่งต้องมีหน่วยทหารคอยปกป้อง
ระวังอยู่ก่อนแล้วด้วย  พวกมันไม่สามารถจะออกจากเมืองด้วยทหารเราได้รายล้อมไว้หมดแล้ว  และมันส่งกำลัง
ออกมาต่อสู้กับฝ่ายเราหรือไม่ท่านผู้เฒ่า”
      “มันส่งทหารออกมาต่อสู้ทางทางเราหลายต่อหลายครั้งพระเจ้าข้า  แต่ถูกฝ่ายเราเข้าโจมตีพ่ายกลับไปทุกๆครั้ง
จนมันไม่กล้าจะนำทหารเราขึ้นมาอีก   ส่วนข้าพระองค์จะนำทหารตีฝ่าเข้าเมืองไปก็กริ่งเกรงจะขัดคำสั่ง
ของพระองค์จึงได้จัดการเตรียมทหารคอยปกป้องมิให้ใครเล็ดรอดออกจากเมืองได้สักคนเดียวทั้งกลางวันและ
กลางคืนพระเจ้าข้า”   มหาอำมาตย์ที่ปรึกษารายงาน

       “แล้วเบื้องหลังที่เป็นหน้าผาสูงชันล่ะที่มีหน่วยทหารป้องกันนั้นท่านได้ส่งไปแล้วหรือยัง”
        “อันทหารที่ปกป้องสะพานนั้นอยู่ฝั่งทางมันพระเจ้าข้า   หากเรานำทหารไปก็จะเสียเปรียบด้วยแม้แต่ม้าก็
เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้นเอง   หากเราเข้าไปก็ต้องเป็นเป้าหมายแก่ข้าศึก   ข้าเองจึงเพียงจัดทหารจำนวนมากคอย
สกัดและรายงานให้แก่ข้าทราบเท่านั้นเองพระเจ้าข้า”
          “งั้นหรือ....แล้วสะพานนี้สำรวจแล้วหรือยังว่ามีกี่สะพานที่จะข้ามไปยังเขาต่างๆได้ล่ะ”  ชายหนุ่มถาม
จากการตรวจสอบแล้ว  มีสะพานเชื่อมไปยังเขาต่างๆเพียงห้าสะพาน  ส่วนสะพานที่เป็นหน้าผานั้นมีแค่สอง
สะพานเท่านั้น  อีกสามสะพานนั้นเชื่อมต่อไปยังเขาสามลูก  อันสองสะพานนั้นทางหนึ่งเป็นทางไป อีกทาง
หนึ่งเป็นทางกลับพระเจ้าข้า”   ที่ปรึกษาใหญ่รายงาน 
       “ดีแล้วท่านผู้เฒ่าที่จัดทหารไปเฝ้าระวังรักษาไว้  ข้าเองคิดว่าอีกสามสะพานนั้นอาจจะส่องสุมขุมกำลังของ
เมืองซิตเวหรือเป็นทางลำเลียงเสบียงอาหารก็อาจจะเป็นไปได้  ฉะนั้นจึงให้ท่านจัดการทำลายสะพานทั้งหมด
แล้วมารายงานต่อเราด้วยนะ”

           “พระเจ้าข้า  เดี๋ยวจะให้ทหารไปรีบดำเนินการทันที”  ที่ปรึกษากล่าวขึ้น
  ฝ่ายท่านอลองพญาครั้นได้ยินการปรึกษาสนทนาของทั้งสองก็สร้างความนับถือขึ้นในใจถึงความรอบคอบของ
ท่านมหาอุปราชและที่ปรึกษาใหญ่   หากมาดแม้นเมืองหงสานั้นมีคนเช่นนี้เมืองหงสาคงจะขยายอาณาเขตไปได้
อีกมากมายนัก   การมาครั้งนี้ได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลยิ่งนักจึงจดจำกระบวนการต่างๆไว้เพื่อหงสา
ในอนาคตกาลข้างหน้า  แต่ไม่กล้าเอ่ยคำใดๆทั้งสิ้น    ทันใดแม่นางจันทิราก็ขอรับอาสาเข้าทำลายสะพานทันที
      “ข้าแต่พี่ท่าน  เรื่องสะพานนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของน้องเถอะ  ด้วยเกี่ยวกับด้านภูเขาแล้วน้องสมัยเด็กๆชอบ
ท่องเที่ยวไปตามเขาต่างๆจึงรอบรู้ทางหนีทีไล่หนทางลัดเลาะได้ดียิ่งนัก”  หญิงสาวกล่าว

       “ตกลงพี่เองก็คิดเช่นนั้นหาคนที่จะเหมาะสมได้ดังน้องยากเสียแล้วให้นำกำลังของเมืองหล่อยก่อและปะอาน
ล้วนแล้วแต่เชี่ยวชายเรื่องนี้ดีกว่าทหารอื่นๆ แบ่งกำลังกันออกเป็นห้าหน่วย ใครถึงก่อนก็ทำลายก่อน ส่วนน้องพี่
นั้นให้ทำลายสะพานสองสะพานทางเมืองซิตเว  และออกเดินทางได้แล้วก่อนตะวันจะตกดินเสียจะยากแก่การ
ทำลายให้น้องนำอาวุธไฟไปด้วยและจัดคัดคนที่สามารถขว้างได้ไกลๆโดยนำเจ้าขนทองซึ่งชำนาญเกี่ยวกับการ
ขว้างแม่นยำนักไปด้วย  ส่วนอีกสามสะพานเล่าใครจะไปดีน้องเราจงแจ้งแก่เราซิ”

       “ ข้าทั้งสองเองแม่นางแห่งตองอูรับอาสาต่างจะเข้าทำลายสะพานทั้งสามด้วยเห็นแผนที่ของท่านอุปราชหงสา
แล้วเข้าใจทุกประการ   จึงขอรับอาสาจ๊ะท่านพี่” 
        “หากเป็นเช่นนี้ก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกันนะ  ให้แม่นางทั้งสองนำเจ้าขนขาวไปด้วยนะจะได้ช่วยและทำให้พี่ไม่
ต้องเป็นห่วงมากนัก  คิดว่าด้านทางนี้คงเพียงแค่ทำลายปลายสะพานเท่านั้นสะพานก็จะขาดตกไปยังฝั่งภูเขา
นั้นทันที”   ชายหนุ่มกล่าวคิดในใจว่าหากแม้นปฏิเสธก็จะทำให้แม่นางเสียใจหาว่าไม่เชื่อในฝีมือ  แต่เท่าที่เขา
ได้เห็นการต่อสู้รบพุ่งแล้วจึงทราบว่านางทั้งสองนั้นเชี่ยวชาญอาวุธยิ่งนักเป็นที่ประจักษ์มาแล้วจึงคลายใจไป
      ฝ่ายอุปราชแห่งหงสาพึ่งทราบว่าอันแม่นางที่แต่งกายเป็นนักรบเป็นหญิงก็ให้สะท้านใจยิ่งนักนี่ขนาดหญิง
ยังมีฝีมือสติปัญญาเยี่ยงนี้หรือ   หากแม่นางทั้งสามไม่เก่งจริงท่านมหาอุปราชก็ไม่ไว้วางใจเช่นนี้ยิ่งคิดยิ่ง
งงงันยิ่งขึ้น  ดูกิริยาท่าทางก็คงจะพิสมัยต่อท่านมหาอุปราชยิ่งนัก ก็ยิ่งสะท้อนใจนัก  หากแม่นางไม่กล่าวคำพูด
เขาเองก็ไม่ทราบว่าเป็นหญิงสาว   

       พลันกราบทูลพระมหาอุปราชว่า   
     “แล้วพระองค์จะให้ข้ากระหม่อมช่วยอะไรได้บ้างพระเจ้าข้า” 
      “อ้อท่านอลองพญา  ให้ท่านนำกำลังแยกกระจายรายล้อมพร้อมด้วยทหารแคว้นต่างๆทั้งปวง คอยเวลาเข้า
โจมตีเมืองซิตเวทางด้านตะวันตกก็แล้วกัน หากได้รับสัญญาณจากข้านะ”
      “พระเจ้าข้า   กระหม่อมจะจัดส่งทหารเรียงรายทางด้านทิศตะวันตกเมื่อได้รับสัญญาณจากพระองค์ก็จะนำ
ทหารทั้งหมดเข้าตีเมืองซิตเวทันทีพระเจ้าข้า”
      “อ้อๆๆ...ท่านอุปราชให้กำชับทหารทั้งหมดด้วยหากยึดเมืองซิตเวห้ามทหารรังแกประชาชนเป็นอันขาดและ
อย่าได้เบียดเบียนตลอดจนสาวชาวซิตเวอย่างเคร่งครัดด้วยนะ”  ชายหนุ่มสั่งทันที
      “พระเจ้าข้า   กระหม่อมจะกำชับทหารทุกๆนาย หากแม้นมีใครคิดทำร้ายก็จะถูกลงโทษตามกฎอัยการศึกทันที
พระเจ้าข้า”
       “ดีแล้วล่ะ งั้นท่านไปพักผ่อนได้แล้วโดยจัดสร้างค่ายต่างๆทางด้านทิศตะวันตก  ซึ่งข้าจะสั่งย้ายทหารที่เฝ้า
รักษาให้กลับออกมา  ให้เป็นหน้าที่ของทหารหงสาก็แล้วกัน “    พลางชายหนุ่มหันไปสั่งการให้ย้ายกำลังพล
ด้านทิศตะวันตกออกทันที

        “พระเจ้าข้า   กระหม่อมจะจัดการให้เป็นที่เรียบร้อยด้วยทหารทางแว่นแคว้นต่างๆแบ่งกันรับผิดชอบ
สลับกันอยู่พระเจ้าข้า
         “อีกประการหนึ่ง กองทัพหน้านั้นให้เป็นหน้าที่ของทหารเมืองหล่อยก่อกับปะอานและแว่นแคว้นยะไข่
ที่อ่อนน้อมต่อเราเข้าโจมตีเมืองซิตเว  ส่วนท่านอุปราชแห่งหงสาก็คอยจัดกำลังเสริมด้วยหากเมื่อได้รับสัญญาณ
จากข้าแล้วหน่วยทหารที่เชี่ยวชาญด้านภูเขาจะเข้านำหน้าท่านอุปราชก็คอยเสริม  ไว้มะรืนนี้จะเรียกประชุมใหญ่
อีกครั้งหนึ่ง  ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน  อ้อ  ท่านแม่นางทั้งสามออกปฏิบัติคัดเลือกคนทำงานได้แล้ว หากสำเร็จได้ผล
ประการใดให้รีบแจ้งแก่ข้าโดยด่วนด้วยนะ”
       “พระเจ้าข้าท่านพี่”    แม่นางทั้งสามกล่าวพร้อมเดินออกไปคัดเลือกทหารทันที

    ครั้นแล้วทุกๆคนก็แยกย้ายกันออกไป ชายหนุ่มก็กลับไปยังที่พักเพื่อพักผ่อนเรียกพลังวังชากลับคืนมาแต่ก็ยัง
อดนึกคิดการศึกครั้งนี้ด้วยเมืองซิตเวนั้นเพียงคอยเวลาสักระยะหนึ่ง  ก็จะเกิดความปั่นป่วนภายในเมืองเองบางที
อาจจะไม่ต้องเสียกำลังพลมากนัก     ส่วนแว่นแคว้นมอญซิคิดว่าคงไม่ยากนักด้วยทราบมาว่าบรรดาแว่นแคว้น
นี้เมื่อปราศจากกากรศึกใดๆมักจะมัวเมาราคะเป็นที่ตั้งหาความเพลิดเพลินทำให้เกิดจุดอ่อนในเรื่องการศึกเหตุ
ดังนี้ด้วยนึกว่ายังมีทหารฝ่ายอิสราวดีคอยช่วยเหลืออยู่นั่นเอง   แล้วชายหนุ่มก็หลับไป  
     เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว อากาศเริ่มหนาวเย็นด้วยแวดล้อมไปด้วยขุนเขาต้นไม้สูงใหญ่มากมายแต่
ชายหนุ่มชินชาเสียแล้ว  นางพรายทั้งสองก็ปรากฏร่าง เขาปรนนิบัตินวดร่างกายให้ชายหนุ่มทันที ทำให้ชายหนุ่ม

    ถึงกับดึงรางนางทั้งสองมาจุมพิต  ยิ่งทำให้นางพรายทั้งสองขวยเขินตีฝ่ามือไปยังท่อนแขนชายหนุ่มทันที แต่ก็
โน้มร่างเข้ากอดชายหนุ่มทั้งสองนาง   ชายหนุ่มก็หยอกเย้าทำให้อารมณ์เครียดต่างๆหายไปสิ้นเชิงพลางแจ้งว่าคง
อีกไม่นานนักแล้ว  เขาตรวจดูดวงดาวตามตำราว่าแม่นางทั้งสองจะได้คืนกลับสภาพเป็นมนุษย์ดังเดิม  แต่ใจพี่เอง
นั้นยังไม่อยากให้น้องคืนสภาพเป็นมนุษย์ซึ่งการคบหาสมาคมก็จะยากยิ่งขึ้นไปอีก  แล้วพลางหัวร่อ  นางพราย
ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็พลางหลับตาสักพัก   ก็พลันหัวร่อบอกว่าหาได้เป็นอย่างที่ท่านพี่คิดถึงแม้ว่าข้าทั้งสองนั้นจะ
คืนร่างได้ก็จริงอยู่แต่ก็คงจะรับใช้พี่ท่านได้ตามปกติได้เอง   ทำให้ชายหนุ่มถึงกลับอึ้งไปสักพักแล้วค่อยหยอก
เย้านางพรายแสนสวยทั้งสองต่อไป..........

             * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
11 มีนาคม 2553 20:51 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 47

แก้วประเสริฐ


             ลุ่มลึกอิสราวดี  47

      ครั้นใกล้วันที่ชายหนุ่มจะออกเดินทางไปยังเมืองซิตเว  แม่ทัพใหญ่ท่านอลองพญาก็ขอเข้าพบ
เมื่อ ท่านอลองพญามาพบชายหนุ่มในค่ายที่พักแล้ว  ชายหนุ่มก็เรียกให้นั่งพลางกล่าวว่า
      “ท่านแม่ทัพใหญ่มีเรื่องอะไรจะแจ้งให้เราทราบหรือ”
       “บัดนี้ข้าพระองค์นำทหารที่ได้จัดรวบรวมทหารฝีมือดีทั้งแม่ทัพนายกอง รวมไพร่พลได้จำนวนห้าหมื่น
นายมาแล้วพระเจ้าข้า”  แม่ทัพใหญ่รายงานด้านทหารแก่ชายหนุ่ม
    เมื่อชายหนุ่มทราบเช่นนั้นก็ยินดีเป็นยิ่งนัก พลางกล่าวขึ้นว่า
         “ที่ท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวเช่นนี้เราขอขอบใจท่านยิ่งนัก  ทั้งหมดนี้ขอให้ท่านเป็นคนบัญชาการ
เองเมื่อเราสั่ง  อ้อๆ ท่านนำแผนที่ในเมืองและบริเวณเมืองซิตเวมาด้วยหรือเปล่าล่ะ”
         “นำมาด้วยพระเจ้าข้า”   พลางล้วงไปในอกเสื้อนำแผนที่ดังกล่าวมาส่งให้ชายหนุ่มทันที
         “ท่านได้คัดลอกไว้ด้วยนะ  ด้วยต่อไปในเบื้องหน้าจะเป็นประโยชน์แก่เมืองหงสามาก”
         “พะย่ะค่ะ  กระหม่อมได้ทำขึ้นสองฉบับเนื้อหาเหมือนกันพระองค์ทรงทอดพระเนตรเถอะ
พระเจ้าค่ะ”   แม่ทัพใหญ่กล่าว

           ชายหนุ่มรับมากางพิจารณาเพียงเดี๋ยวเดียวก็ยื่นฉบับหนึ่งมอบให้แก่ทัพใหญ่ทันที แล้วเอ่ยว่า
        “เดี๋ยวเราจะติดตามท่านไปยังเมืองหงสา เพื่อลาพระแม่เจ้าพร้อมกับเจ้าด้วย  หลังจากนั้นก็จะกลับ
มาพร้อมๆกันเพื่อเดินทางไปยังเมืองซิตเวด้วยกัน”
        “พระย่ะค่ะ  เกล้ากระหม่อมไม่มีอะไรนอกจากมาทูลแก่พระองค์พร้อมแผนที่  แล้วพระองค์จะเสด็จ
ไปจากหงสาเมื่อไหร่ล่ะพระเจ้าข้า”  แม่ทัพใหญ่กล่าว
         “เดี๋ยวนี้เลยล่ะ   อ้อให้ท่านจัดคนที่ท่านไว้ใจได้เรื่องอำนาจนั้นมันไม่เข้าใครออกใคร  เมืองหงสานั้น
ข้าเองก็หวังเพียงแต่เจ้าเท่านั้นจะเป็นหลักในการปกครองไว้เท่านั้น บอกตรงๆคนอื่นข้าหาได้ไว้วางใจนัก
ยิ่งพวกอำมาตย์นั้นยิ่งไปกันใหญ่  เดี๋ยวข้าจะไปเจรจากับพระแม่เจ้าเอง   งั้นเราออกเดินทางได้แล้วล่ะ”
        กล่าวแล้วชายหนุ่มก็หันไปแจ้งแก่แม่นางทั้งสามว่าให้คอยดูแลค่ายทหารทั้งหมด เราจะเข้าเมืองไป
คนเดียวพร้อมกับเจ้าขนทอง  ส่วนเจ้าขนขาวเราจะไม่นำไปหากมีปัญหาให้เจ้าขนขาวไปส่งข่าวแก่เราก็
แล้วกัน

        หญิงสาวทั้งสามก็รับคำ  ดังนั้นชายหนุ่มจึงแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่ว่าบรรดาทหารที่เจ้านำมานั้นให้พักรอ
คอยไว้หากเราและเจ้ากลับมาก็จะออกเดินทางต่อไปทันที     แม่ทัพใหญ่อลองพญาครั้นได้รับคำพระบัญชา
แล้วก็รีบไปสั่งรองแม่ทัพให้คอยควบคุมแจ้งแก่ทหารทั้งหลายให้เตรียมพร้อมไว้อย่าได้คลาดเคลื่อน
สักครู่ใหญ่ชายหนุ่มก็ได้รับรายงานว่าอาวุธที่ให้จัดสร้างนั้นได้ส่งมาถึงแล้วมากมายนักจะทำฉันท์ใดดี  
ชายหนุ่มก็ให้นายแม่ทัพผู้นั้นไปจัดที่เก็บไว้และให้ไปแจ้งแก่แม่ทัพนายกองทั้งหลายว่าให้รื้อค่ายต่างๆออก
เสีย  หากเรากลับมาก็จะออกเดินทางไปเมืองซิตเวทันใด   แม่ทัพก็ถวายบังคมลาออกไปจัดการตามคำสั่ง
ชายหนุ่มทันที   แล้วชายหนุ่มก็เดินออกนอกค่ายพร้อมกับเจ้าขนทองและม้าสีเทาร่วมเดินทางเข้าเมืองหงสา

          เมื่อชายหนุ่มเข้าเฝ้าแม่นางเจ้าเมืองหงสาแล้วก็ถวายความเคารพต่อเจ้าเมือง  แล้วขอเวลาพบเป็นการ
ส่วนตัว  ทำเอาแม่นางสิริสาอลงกรณ์แปลกพระหทัยนัก   ดังนั้นจึงจูงมือชายหนุ่มเข้าไปยังด้านในห้องลับ
ทันที   และสั่งทหารและเหล่าสนมกำนัลห้ามบุคคลใดเข้าเป็นอันขาดหากไม่ได้รับเรียกพร้อมให้รีบนำอาหาร
มาด้วย    ครั้นนางกำนัลได้รับคำสั่งแล้วก็ไปเตรียมอาหารพร้อมจัดวางยังโต๊ะไว้แล้วก็ออกไป และสั่งทหาร
หน้าห้องให้ไปยืนรักษาการณ์ที่ไกลกว่าจะได้ยินคำสนทนาของเจ้าเมืองและท่านมหาอุปราช
          ครั้นเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มและเจ้าเมืองนั่งโต๊ะอาหารพลางสนทนาวิสาสะพอสมควร
ชายหนุ่มก็ล้วงหยิบหนังสือขึ้นมาสองฉบับพลางกล่าวขึ้นว่า

         “ข้าเองเป็นห่วงเมืองหงสานักก่อนเดินทางหนึ่งเพื่อมาลาพระแม่เจ้า สองเมื่อสั่งการบางอย่าง สามเพื่อ
มอบหนังสือไว้ให้เปิดอ่านยามที่ข้าได้ออกเดินทางไปแล้ว   การปกครองเมืองนั้นหากเป็นหญิงมักจะไม่ค่อย
ได้รับความเชื่อถือมากนัก อาจจะมีเหตุไม่สมควรเกิดขึ้น   ด้วยข้าพเจ้าดูลักษณะของท่านอลองพญาแล้วเป็น
คนมีความสัตย์ซื่อและประกอบด้วยสติปัญญาความละเอียดรอบรู้งานทั้งด้านทหารและด้านการเมืองนักด้วย
ข้าเองได้ส่งสายสืบไปตรวจสอบที่บ้านของอลองพญาแล้ว  หาสิ่งมีค่าใดไม่  ไม่สมกับเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แสดง
ถึงความไม่โลภรักเมืองยิ่งกว่าชีวิต  ก่อนที่ข้าจำนำเขาไปร่วมทัพก็เพื่อจะให้เขามีประสบการณ์ด้านต่างๆเพิ่ม
มากยิ่งขึ้น  ดังนั้นวันนี้จึงใคร่ขอพระแม่เจ้าซึ่งไม่มีพระโอรสสืบสายโลหิตเพื่อจะครองเมืองได้ในอนาคต
        
        ก่อนจะไปจึงขอให้พระแม่เจ้าเรียกประชุมเหล่าขุนนางทหารทั้งปวงด้วยเพื่อแต่งตั้งให้ท่านอลองพญา
ขึ้นเป็นอุปราชครองเมืองต่อจากพระแม่เจ้าด้วย  หากแต่งตั้งแล้วจะทำให้บรรดาขุนนางเหล่าอำมาตย์ทหาร
ซึ่งต่างเกรงกลัวในอำนาจของท่านอลองพญาจะได้มิกล้าฮึกเหิมทำการลุล่วงแก่พระแม่เจ้าได้ อีกประการหนึ่ง
ข้าเองก็ศึกษาตำราเกี่ยวกับลักษณะคนเห็นว่า ท่านอลองพญาคนนี้นี่แหละจะทำให้เมืองหงสายิ่งใหญ่ในภาค
พื้นนี้ตลอดจนแว่นแคว้นต่างๆได้  ข้าจึงสนับสนุนเขาด้วยเมื่อสมควรแก่เวลาพระแม่เจ้าจะมอบเมืองให้เขา
ครองก็อยู่ที่พระแม่เจ้า  แต่ข้าอยากขอร้องท่านไว้ว่าอย่าคิดแต่งตั้งใครขึ้นเป็นรัชทายาทเด็ดขาดจะทำให้เกิด
การปั่นป่วนในเมืองหงสา  เหล่าทหารหาญก็จะถูกแบ่งแยกออกจากกันทันที   หาใช่ว่าข้าเองจะเอ็นดูท่าน
อลองพญาก็หาไม่  แต่ตามตำราบ่งบอกเช่นนั้นจึงคิดแจ้งแก่พระแม่เจ้าโดยลำพัง”

       “เมื่อเป็นพระประสงค์ของท่านมหาอุปราชเช่นนี้ใยข้าจะกล้าขัดขืนใดได้  ด้วยข้าเองคิดว่าท่านคือราชบุตร
ของข้าคนหนึ่ง  เมื่อโอรสต้องการสิ่งใดผู้เป็นแม่ก็ย่อมตามใจลูกอยู่แล้วล่ะ” กล่าวจบก็นำร่างชายหนุ่มมาโอบ
กอดทันที อันที่จริงในใจข้าคิดว่าจะรอเวลาเสร็จศึกเมื่อใดก็จะคืนบัลลังก์ให้แก่ลูกเราครองต่อไป”
        ครั้นชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ก็ก้มลงกราบยังพระแม่เจ้าเมืองหงสาทันที พลางทูลขึ้นว่า
        “จะด้วยเหตุใดมิอาจทราบได้ ข้าเองก็ให้นึกรักท่านเปรียบประดุจญาติสนิทคนหนึ่ง   ดังนั้นเสด็จแม่
ขอจงดำเนินตามลูกกล่าวไว้ด้วยเถิด  ส่วนหนังสือสองฉบับนี้หากถึงในกรณีฉุกเฉินจนปัญญาแก่เสด็จแม่
แล้วก็จงเปิดอ่านฉบับที่หนึ่งก่อน  ส่วนฉบับที่สองนั้นใช้ยามคับขันจริงๆพระเจ้าข้า”

        “อ้อๆ....อีกประการหนึ่งขอให้เสด็จแม่จงทรงจัดตั้งกองกำลังพลไว้นอกเมืองให้เป็นความลับขึ้น และ
ห้ามเขาเข้ามายังเมืองเด็ดขาด  จัดหาคนที่เสด็จแม่ไว้ใจด้วยเป็นหัวหน้าคุมกองกำลัง  ที่ดีควรเป็นในป่าลึกที่มี
หุบเขาซับซ้อนนั่นแหละดีพระเจ้าข้า”
        “โอรสเราแม่ได้ยินความห่วงใยของเจ้าเช่นนี้ยิ่งทำให้ข้าอดที่จะให้เจ้าครองบัลลังก์ยิ่งนัก แต่ด้วยเจตนา
อันแน่วแน่ยากจะหาสิ่งใดมาเปลี่ยนแปรความคิดอ่านนี้ได้แล้ว  แม่จะคอยเจ้ากลับมาเยี่ยมแม่อีก ให้เจ้าระวัง
เนื้อระวังตัว  แม่อยากจะได้ปรนนิบัติลูกแม่ทำหน้าที่เป็นแม่ของเจ้า”
       “ข้าให้สัญญาแก่เสด็จแม่ว่า หากมาดแม้นว่าการณ์ครั้งนี้สำเร็จตามความคิดอ่านแล้วจะมาเยี่ยมเสด็จแม่
แน่นอน  ขอเสด็จแม่อย่าเป็นห่วงประการใดเลยรังแต่ทำให้สุขภาพเสียไปพระเจ้าข้า”  ชายหนุ่มกล่าว

        ดังนั้นพระนางสิริสาอลงกรณ์ก็มีคำสั่งให้เหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพารเข้าประชุมด้วยด่วน ณ ท้องพระโรง
ทำให้บังเกิดความสงสัยในการรับสั่งด่วนของเจ้าเมืองครั้งนี้ยิ่งนั่ง  ต่างก็รีบเข้ามาเฝ้าเจ้าเมืองพร้อมเพรียงกัน
ทันที   ครั้นพระแม่เจ้าเมืองนั่งบัลลังก์ออกว่าราชการแล้วก็ให้อาลักษณ์อ่านคำประกาศแจ้งแก่เหล่าอำมาตย์
น้อยใหญ่ตลอดจนแม่ทัพนายกองทั้งหลายให้ทราบทันที   ส่วนชายหนุ่มนั้นก็อยู่ในพระสูตรด้านหลังมิได้
ออกไปนั่งเคียงข้างยังบัลลังก์คอยฟังและสำรวจพวกเหล่ามหาอำมาตย์ขุนทัพนายกองทั้งหลาย
         ครั้นอาลักษณ์นำพระราชสาสน์จากพระแม่เจ้าเหนือหัวแล้ว  ก็นำมาอ่านให้บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกอง
สรุปความว่าบ้านเมืองยังไม่อยู่ในสภาวะปลอดภัยจึงใคร่แต่งตั้งมหาอุปราชรัชทายาทเพื่อครองเมืองต่อจากเรา
ด้วยเราเองก็มีอายุมากแล้ว  ปราศจากหน่อเนื้อเชื้อไขกษัตริย์พระองค์เดิมจึงจะให้แม่ทัพใหญ่ คือท่านอลองพญา
ขึ้นดำรงตำแหน่งมหาอุปราชเมืองหงสานับแต่บัดนี้เป็นต้นไป  ให้ท่านอลองพญาเข้ามารับการแต่งตั้งพร้อมด้วย
เครื่องอิสริยยศจากเรา ณ บัดนี้ เป็นต้นไป


         การอ่านพระราชสาสน์โดยอาลักษณ์จบลง  ทำให้บรรดาอำมาตย์น้อยใหญ่และเหล่าทหาร โดยเฉพาะทหาร
ต่างพากันโห่ร้องแสดงความยินดี  ส่วนท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ถึงกับใบหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่ก็แสดงความ
ยินดีในการครั้งนี้ด้วย  แต่หาได้ลอดพ้นจากสายตาชายหนุ่มไปก็หาไม่   ดังนั้นจึงเขียนสาสน์ขึ้นมาอีกแล้วให้นาง
สนมไปรีบยืนมอบให้พระแม่เจ้าทันที   ครั้นพระแม่เจ้าเมืองหงสาได้รับอ่านสาสน์จบก็แจ้งแก่อาลักษณ์ให้นำ
หมายตราแผ่นดินพร้อมที่เขียนหนังสือมาโดยด่วน เมื่อฝ่ายอาลักษณ์ทราบดังนั้นก็หันไปให้รองไปรีบนำตรา
ประจำแผ่นดินพร้อมที่เขียนหนังสือมาด้วย     
        เมื่อท่านแม่ทัพใหญ่เข้ามาถวายบังคมทูลน้อมกายถวายคำสัตย์ปฏิญาณตนต่อเจ้าเหนือหัวแล้วก็น้อมรับ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พระแม่เจ้าก็ทรงลุกจากพระราชบัลลังก์นำเสื้อประจำตัวมหาอุปราชคลุมสวมให้แก่ท่าน
อลองพญาแม่ทัพใหญ่  พร้อมของประกอบยศต่างๆ   ครั้นเสร็จก็ดำเนินไปนั่งยังราชบัลลังก์ต่อไปหลังจากรับ
ตราประจำเมืองพร้อมแล้วก็ ทรงประทับบนพระราชสาสน์ของชายหนุ่มลงพระนามกำกับไว้ได้ แล้วให้หัวหน้า
อาลักษณ์อ่านต่อไป

       หัวหน้าอาลักษณ์น้อมกายถวายบังคมน้อมรับมาแล้วก็อ่านด้วยเสียงอันดังสรุปว่า แม่ทัพใหญ่เมืองหงสา
ในเมื่อท่านอลองพญาได้เลื่อนเป็นท่านมหาอุปราชแล้วจึงแต่งตั้งท่านรองแม่ทัพใหญ่ คือท่าน พญาสีหอลองขึ้น
ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่มีอำนาจเด็ดขาดทางทหารเมืองหงสา บรรดาตำแหน่งรองลงมาให้เลื่อนสูงขึ้นไป
ตามลำดับชั้นหน่วยทหารนั้นๆด้วย  ส่วนท่านมหาอำมาตย์ใหญ่นั้นอายุชราภาพมากแล้วให้ปลดออกจากตำแหน่ง ตลอดจนบรรดาอำมาตย์บางคน   แล้วแต่งตั้งให้ เหนี่ยวสุรินทราขึ้นเป็นมหาอำมาตย์ใหญ่แทน
  และให้เลื่อนจากรองต่างๆให้ทดแทนตำแหน่งว่างลงทันที  และให้ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่เก่าได้รับเบี้ยหวัดประจำปีต่อไป    บัดดลก็เกิดความวุ่นวายฝ่ายด้านปกครองการเมืองทันทีแต่
      เมื่อพระแม่เจ้าทรงตรัสว่าหากผู้ใดมิเห็นชอบต่อคำสั่งเราให้ลุกขึ้นเดินแยกไปทางขวามือทันที  
 เสียงนั้นถึงได้เงียบลงแต่หามีผู้ใดเดินออกไปไม่  แล้วพระแม่เมืองหงสาก็มอบตำแหน่งมหาอำมาตย์ใหญ่พร้อม
เครื่องอิสริยยศแก่เหนี่ยวสุรินทราทันที   เมื่อเสร็จแล้วทรงรับสั่ง

       ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ด้านมหาอำมาตย์และทหารสองนายให้คอยอยู่ก่อน  นอกนั้นให้กลับไปได้
ทำให้เกิดความยินดีแก่เหล่าอำมาตย์และทหารทั้งหลายที่ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นโดยไม่คาดคิดมาก่อน
ต่างถวายบังคมลาแล้วรีบกลับไปฉลองกันเป็นที่เอิกเกริกและเล่าขานสืบๆกันไป  
ต่างชมเชยพระแม่เจ้าเหนือหัวว่าช่างเด็ดขาดนัก    แม้นเป็นหญิงก็ตามแต่บริหารราชการแผ่นดิน
ถูกต้องมิคำนึงด้วยความเด็ดขาดยิ่งนัก   มิเห็นแก่หน้าผู้ใดคนที่คิดไม่ยินยอมในใจต่างก็พากันชื่นชมยินยอมด้วย
ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับ
         พวกที่เคยเชื่อฟังมหาอำมาตย์เก่าพากันหันเหทางลมใหม่แต่อำนาจที่ได้รับเลื่อนขึ้นทำให้คลายศรัทธาลงไป
 ด้วยท่านมหาอำมาตย์ใหญ่เก่าไร้ซึ้งอำนาจวาสนาสิ้นแล้วย่อมไม่อาจจะบัญชาเกี่ยวกับตำแหน่งใดๆได้อีกต่อไปแล้วกลับถูกปลดร่วมด้วยบรรดาพรรคพวกบางคน ที่ประจบสอพลอและวางอำนาจเขื่องใหญ่โตนัก 

       เมื่อเหล่าขุนนางทหารกลับไปแล้วก็คงเหลือพระแม่เจ้าและเหล่ากำนัล ท่านอุปราชใหม่และมหาอำมาตย์ใหม่
ชายหนุ่มจึงก้าวออกมาจากม่านพระสูตรทันที   พลางก้าวไปถวายคาราวะแก่พระแม่เจ้าแห่งหงสาทันที
  พระนางเจ้าจึงเอ่ยขึ้นว่า   โอรสเรามามะมาๆมานั่งใกล้ๆแม่นะ   เหล่าท่านอลองพญามหาอุปราชใหม่แห่งหงสา
และมหาอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง ครั้นแลเห็นท่านมหาอุปราชแห่งศิระสุริยันต์เช่นนั้นก็ล้วนต่างเข้าใจเหตุการณ์ทั้งสิ้นว่า  การจัดบ้านเมืองนี้คงเป็นคำสั่งของท่านมหาอุปราชแห่งศิระสุริยันต์นั่นเอง
 พร้อมน้อมถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มด้วยความซาบซึ้งยิ่งนัก
        ครั้นทุกๆอย่างเป็นไปตามแผนการที่ชายหนุ่มวางไว้แก่เมืองหงสา  ก็กล่าวทูลลาพระแม่เจ้าทันที
       “เสด็จแม่  ข้าค่อยคลายความกังวลใจต่อเสด็จแม่ในเมืองหงสาแล้ว  ขอให้เสด็จแม่คอยการกลับมาของลูก
ก็แล้วกันลูกจะเอาแว่นแคว้นต่างๆมาฝากเสด็จแม่ด้วยพระย่ะค่ะ”   ชายหนุ่มกล่าว

        พระนางสิริสาอลงกรณ์ก็พลันโอบกอดชายหนุ่มพร้อมจุมพิตทั้งซ้ายขวาด้วยความรักใคร่ พร้อมทั้งกล่าวว่า
      “แม่ขออวยพรให้ลูกแม่จงแคล้วคลาดปลอดภัยประสบแต่ชัยชนะแก่การศึกครั้งนี้ รักษาเนื้อรักษาตัวนะลูก
แม่จะคอยวันคอยคืนการกลับมาของลูกรักของแม่”   เจ้าเหนือหัวแห่งหงสากล่าวกับชายหนุ่มทันที  แล้วหันไป
กำชับมหาอุปราชท่านอลองพญาว่า  
      “ข้าขอให้เจ้าจงคอยดูแลปกป้องลูกรักข้าด้วยนะ  หากลูกข้าเป็นอะไรไปเจ้าคนแรกที่จะถูกลงโทษอย่าง
แสนสาหัส จงจำคำข้าให้ขึ้นใจไว้นะเจ้ามหาอุปราช”
        “พะย่ะค่ะ หากพระแม่เจ้าไม่สั่งข้าเองก็พร้อมที่จะสละชีพแทนเจ้าชายอยู่แล้วพระเจ้าข้า”
        “ดีแล้วข้าเองจะได้สบายใจเมื่อได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้ ด้วยเชื่อมั่นต่อเจ้ายิ่งนัก” พระแม่เจ้ากล่าวขึ้น
      ดังนั้นชายหนุ่มและมหาอุปราชแห่งหงสาก็ทูลลาแล้วออกเดินทางออกจากตัวเมืองหงสาทันที เมื่อเดินทาง
ถึงเหล่าบรรดาทั้งหลาย  ท่านอลองพญาก็ลงจากหลังมาพร้อมทั้งกราบไปยังชายหนุ่มทันทีพลางกล่าวขึ้นว่า
      “ในชั่วชีวิตนี้ข้าพระองค์จะไม่ลืมเลือนพระองค์เป็นอันขาด หากมาดแม้นไม่ได้พระองค์ ข้าพระพุทธเจ้า
คงมิได้เป็นถึงมหาอุปราชแห่งหงสาได้ ที่เป็นก็ ด้วยพระบารมีปกเกล้าพระเจ้าข้า”  แล้วพลางกราบกับพื้นทันที
     ชายหนุ่มลงจากหลังม้าพยุงร่างให้ยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า

       “ขอเพียงท่านต่อไปเป็นกษัตริย์ทำนุบำรุงชาวอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่เย็นเป็นสุขปกครองด้วยทศพิศราช
ธรรม  ช่วยเหลือแว่นแคว้นต่างด้วยพระคุณอย่าใช้พระเดชก็จะทำให้ท่านเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทิศาแล้วล่ะ”
       “ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรับไว้เหนือเกล้าพระเจ้าข้า”
       “ไปเถอะไพร่พลคงจะรอพวกเราอยู่แล้ว”    ครั้นชายหนุ่มและมหาอุปราชแห่งหงสาเดินทางมาถึงกองทัพก็
สั่งให้เคลื่อนพลเข้าสู่ดินแดนซิตเว  จวบทัพทั้งหมดถึงยังค่ายที่รายล้อมตรงไปยังกองบัญชาการที่ท่านที่ปรึกษา
ใหญ่อยู่   ท่านมหาอุปราชแห่งหงสาครั้นแลเห็นเหล่าทหารของท่านมหาอุปราช
เช่นนี้ก็ตกตลึงนึกในใจว่า  หากหงสาเป็นเป้าหมายอันแท้จริงแล้วบัดนี้เมืองหงสาเห็นทีจะล่มสลายไปในชั่ว
พริบตา  ด้วยกำลังพลไม่รวมแม่ทัพนายกองแล้วคงราวๆเกือบหนึ่งล้านคน  อย่างนี้หรือเมืองซิตเวถึงแม้จะมี
ขุนเขาเป็นชัยภูมิที่ดีก็มิอาจจะต้านรับได้แน่นอน..............

             * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ