15 มีนาคม 2553 18:48 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 56
ครั้นเวลาสาย ฝ่ายเมืองอิสราวดีก็เปิดประตูเมือง นำโดยนักพรตชีวะกะแห่งขุนเขาจิระเวคิน
และนักบวช นิรุเวคินแห่งขุนเขาบุระกะควบม้านำเหล่าทหารอันมีแม่ทัพใหญ่มังสุระศรีนำ
ทหารอิสราวดีมาประมาณหลายหมื่นกระจายออกเป็นหน้ากระดานทั้งทหารม้าและทหารเท้า
เสียงกลองรบดังระรัวขึ้นภายในค่ายซึ่งเห็นเหตุการณ์ก็ตีกลองรบแจ้งแก่ฝ่ายชายหนุ่มเพื่อทราบ
ดังนั้นชายหนุ่มก็จัดทัพออกมาประจันหน้าฝ่ายข้าศึกทันที แต่ครั้งนี้นอกจากหน่วยรบพลธนู
ของเมืองทั้งสามแล้ว ก็ให้แม่ทัพใหญ่นำกองกำลังยกติดตามมาห่างๆอีกหลายหมื่นนายพร้อม
อาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมแต่ให้อยู่ในระยะพลธนูจะยิงธนูใส่ยังข้าศึกได้ เมื่อพลทหารเท้าให้จัด
โล่กำบังอาวุธโดยแจ้งให้ทำเป็นกล่องสำหรับบังลูกธนูค่อยๆเคลื่อน แต่ไม่ต้องใกล้ชิดนัก
เมื่อชายหนุ่มสั่งการทั้งทางปีกซ้ายปีกขวากองกลางแล้ว ก็ขี่ม้าพร้อมท่านผู้เฒ่าร่วมกับทหาร
ทั้งสามเมืองทะยานเข้าเผชิญหน้าเหล่านักพรตและนักบวชทันที ทั้งสองต่างก็ไม่ปราศรัยกันและ
กันทางฝ่ายนักพรตก็ร่ายเวทย์มนต์เสียงท้องฟ้าคำรามเมฆฝนสายฟ้าแวบวาบกระจายไปสิ้น
ท่านผู้เฒ่าทราบทันทีว่าสายฝนหากหลั่งลงมานั้นล้วนแต่เป็นกรดทั้งสิ้น ก็ร่ายพระเวทย์พลางยก
พัดที่นำติดมาด้วย ออกโบกไปยังท้องฟ้าทันที ปรากฏลมพายุหมุนพาบรรดาก้อนเมฆซึ่งเริ่มมี
ฝนโปรยปราบตกลงมาอย่างหนัก สายฝนเมื่อตกยังพื้นดินก็ปรากฏเป็นควันพวยพุ่งขึ้นทันที
แต่เหล่าพายุได้พัดก้อนเมฆต่างๆที่โปรยปรายฝนนั้นกลับหวนไปสู่ยังบรรดาเหล่าทหารของ
เมืองอิสราวดีจำนวนหลายหมื่นต่างร้องครวญครางด้วยฝนนั้นล้วนแต่เป็นน้ำกรดทั้งสิ้น ครั้น
นักพรตเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบร่ายมนต์ให้บรรดาสายฝนหยุดทันที บัดดลก้อนเมฆต่างๆก็หาย
ไปสิ้น แต่พายุของท่านผู้เฒ่าซึ่งโบกพัดอยู่ก็เกิดพายุพัดกระหน่ำหมุนเป็นวงๆเข้าไปยังร่าง
นักพรตแต่หาทำอันตรายมันได้ไม่ แต่บรรดาทหารที่เรียงรายก็ต่างแตกกระเจิงบ้างก็ถูกลมหมุน
พัดลอยขึ้นไปในอากาศต่างร้องระงมไปทั่วแม้กระทั่งกำแพงเมืองบรรดาเหล่าทหารต่างก็ตกจาก
กำแพงเมืองไป
ครั้นนักพรตไม่สามารถจะห้ามพายุดังกล่าวได้ก็นำน้ำเต้าออกมาบริกรรมแล้วโยนไปในอากาศ
บัดดลน้ำเต้านั้นก็ขยายใหญ่แล้วดูดเอาพายุเข้าไปในน้ำเต้าจนหมดสิ้น ในครั้งนี้นักบวชก็โยนดาบ
ขึ้นไปในอากาศกลายเป็นงูยักษ์ตัวมหึมาแผ่แม่เบี้ยฉกกัดบรรดาทหารของชายหนุ่มและชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มหาได้หวั่นไหวใดๆไม่พลางเรียกกระบองนาคราชออกมาถือแล้วร่ายพระเวทย์โยนขึ้นไปทันใด
กระบองนาคราชก็กลับกลายเป็นพญานาคเจ็ดเศียรตัวใหญ่พ่นไฟออกไปยังงูยักษ์มิได้ช้า
เมื่องูยักษ์เห็นเป็นพญานาคก็ตัวสั่นคลายพังพานลงเพื่อจะหลบหนีแต่ ร่างพญานาคนั้นถึงตัวก่อน
ก็ขบกัดไปยังร่างของงูยักษ์แล้วม้วนตัวมัดร่างงูยักษ์ อำนาจซึ่งข่มกันอยู่แล้วงูยักษ์ก็ถูกพญานาค
กัดหัวขาดทันใดและรัดร่างงูยักษ์แน่น บัดดลร่างงูยักษ์ก็กลับกลายเป็นกระบีหักเป็นสีท่อนตกลงมายัง
พื้นดินทันที
พลันมันก็หันไปสั่งแม่ทัพใหญ่ให้ยิงธนูเข้าใส่ยังกองทหารที่ดาหน้าเข้ามาทันที ฝ่ายทหารก็ปฏิบัติตาม
คำสั่งของชายหนุ่ม เหล่าธนูก็มิอาจจะทำประการใดแก่เหล่าทหารของชายหนุ่มได้ จึงหมายจะเข้ารบด้วย
ส่วนแม่ทัพใหญ่ไม่ให้เข้าต่อสู้เพียงให้ทหารยิงธนูโต้ตอบเท่านั้นคอยคำสั่งต่อไป ทางฝ่ายของทหาร
ชายหนุ่มบางหน่วยอาวุธล้วนอาบยาพิษจึงทำลายทหารเมืองอิสราวดีล้มตายลงเสียส่วนมาก
แต่ร่างชายหนุ่มกลับโดนแรงดูดของน้ำเต้าร่างพุ่งเข้าไปในน้ำเต้ายักษ์ซึ่งภายในประกอบด้วยน้ำกรด
แต่บรรดาน้ำกรดหาได้ทำอันตรายใดๆแก่ชายหนุ่มได้ต่างแยกตัวหุ้มห่อมิอาจเข้าไปยังร่างของชายหนุ่ม
ได้ด้วยชายหนุ่มแขวนห้อยดวงแก้วของพญานาคาที่เป็นลูกน้องของท่านพญานาคราชไว้ ชายหนุ่มดึง
ดาบด้านหลังออกแทงไปยังด้านข้างน้ำเต้าเพื่อจะออกมา แต่มีดหาได้ทำอันตรายใดๆแก่น้ำเต้ายักษ์ได้
ได้ยินเสียงนักบวชหัวร่อลั่นดังเข้ามาที่น้ำเต้าของนักพรตดูดร่างชายหนุ่มหาย คงเข้าใจว่าบัดนี้คง
จะเสียชีวิตไปแล้วด้วยน้ำกรดภายในน้ำเต้า นักพรตครั้นดูดร่างชายหนุ่มเข้าไปแล้วก็หันปากน้ำเต้ามา
ยังท่านผู้เฒ่าแต่ไม่อาจจะทำอันตรายท่านผู้เฒ่าได้อย่างใด จึงปิดปากน้ำเต้าแล้วหันหน้ามาทาง
ท่านผู้เฒ่าผู้เรืองเวทย์พลันลงจากหลังม้าทันใด
พลางแล้วก้มลงกราบยังพื้นธรณีพลางร่ายพระเวทย์กอบเอาผิวดินแล้วพนมมือร่ายเสกซัดไป
ยังร่างนักพรตและนักบวชทันที ผงดินทั้งหลายก็กลายเป็นอาวุธจำนวนมากพุ่งเข้าใส่ยังนักพรต
และนักบวชแต่หาได้ทำอันตรายแก่มันได้อีก มันส่งเสียงหัวร่อพลางควบม้าพุ่งเข้ามาหาท่านผู้เฒ่า
ควงดาบเพื่อเข่นฆ่าท่านผู้เฒ่า ทันใดนั้นท่านผู้เฒ่าหลับตาลงกราบไปยังพื้นแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง
พลางร่ายพระเวทย์ บัดดลม้าสองตัวที่บรรทุกนักพรตและนักบวชต่างร้องกึกก้องแผ่นดินที่มันยืน
อยู่ต่างแยกออกจากกัน ทำให้ร่างม้าหล่นลงไปในผิวดินทันที
ครั้นนักพรตและนักบวชเห็นเช่นนั้นมันก็กระโดดลงจากหลังม้าทันที แต่พอเท้ามันเหยียบพื้นดิน
ก็ถูกพระแม่ธรณีสูบลงสู่พื้นดินจนเหลือครึ่งตัวส่วน นักบวชนั้นเล่าถูกจมหายไป
ร่างนักพรตยกน้ำเต้าชูขึ้นน้ำเต้า ก็ขยายใหญ่เป็นน้ำเต้ายักษ์ตัวนักพรตจับเชือกที่พันอยู่รอบคอ
น้ำเต้ายักษ์ที่ผูกเชือกไว้เพื่อมิให้ร่างมันจมดินต่อไป ส่วนน้ำเต้ายักษ์มิได้จมดินเชือกที่ผูกคำน้ำเต้า
ก็ขาดร่างของนักพรตก็ถูกพื้นดินสูบหายไป จบสิ้นชีวิตโสมมของนักบวชทั้งสองทันที จึงเหลือเพียง
น้ำเต้ายักษ์ที่กักขังชายหนุ่มอยู่มิอาจจะออกมาได้
ทำให้บรรดาแม่นางทั้งหกต่างร้องหวีดว้ายสั่งทหารให้เข้าประจัญบานกับทหารเมืองอิสราวดีทันที
แม่ทัพใหญ่เมื่อได้รับฟังเช่นนั้นก็รีบสั่งหน่วยทหารทั้งหลายให้บรรดาแม่ทัพทั้งหลายให้ลั่นกลองรบเข้า
ประจัญบานกับทหารเมืองอิสราวดีเกิดการรบพุ่งขึ้น บรรดาเมืองทั้งสามต่างก็ใช้อาวุธที่อาบยาพิษยิ่ง
และฟาดฟันทหารเมืองอิสราวดีจนหาได้มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้ แม้แต่แม่ทัพใหญ่ถูกลูกธนูอาบยาพิษ
ตกจากหลังม้าสิ้นใจตายไป หลังจากพวกที่หลงเหลืออยู่ก็พากันหลบหนีเข้าเมืองไปหมดสิ้น
แม่นางอิศวรดีนารีก็สั่งให้ทางหยุดออกนอกจากระยะของทหารพลธนูบนกำแพงเมือง
แต่พระองค์ทรงม้านำเหล่าแม่นางทั้งห้าดินเลียบกำแพงเมืองโชว์ตัวแก่บรรดาเหล่าทหารบนกำแพงเมือง
ครั้นบรรดาเหล่าทหารและนายกองที่ยังมีความซื่อสัตย์ต่อพระแม่เจ้าก็พากันสั่งให้ทหารหยุดยิง
ทำร้ายแก่แม่นางทั้งหกทันที พร้อมกับหันธนูและต่างชักดาบเข้าต่อสู้กับบรรดาทหารเมืองอิสราวดี
ที่ฝักใฝ่เจ้าเมืองใหม่ จนเกิดการสู้รบกันเองขึ้นและทหารฝ่ายพระแม่เจ้าต่างก็ตะโกนแจ้งแก่
บรรดาทหารที่จงรักภักดีเก่าที่เฝ้าประตูเมืองให้ทราบเป็นทอดๆไปทันที จึงเกิดการต่อกันเอง
ระหว่างบรรดาทหารเมืองอิสราวดี ฝ่ายนายกองที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าก็รวบรวมบรรดาพวกพ้อง
เข้าช่วยทหารฝ่ายจงรักภักดีมิให้เสียเปรียบแล้วพากันไปเปิดประตูเมืองของเมืองอิสราวดีทั้งสี่ด้าน
ครั้นประตูเมืองถูกเปิดและไม่มีการยิงธนูจากเทินกำแพงของเหล่าทหารอิสราวดีต่อไป เจ้าลิงขนทอง
และเจ้าลิงขนขาวก็เรียกพวกบรรดาลิงทังหลายที่กระจายไปทั่ว ต่างเรียกพากมันมาลิงขนขาวก็สั่งการ
แก่บรรดาฝูงลิงทั้งปวง บรรดาลิงก็ต่างทยอยปีนป่ายไปยังบ้านเรือนแล้วพากันจุดเพลิง แม้แต่พระราชวัง
ก็ถูกบรรดาลิงปีนป่ายวางเพลิงเสียสิ้นเกิดความชุลมุนแก่บรรดาชาวบ้านและพระราชวังรอบนอกที่ถูก
วางเพลิงจากพวกฝูงลิงเหล่าบริวารของเจ้าลิงขนขาว
ฝ่ายชายหนุ่มที่ตกอยู่ภายในน้ำเต้ายักษ์นั้นครั้นจนปัญญาก็ให้นึกถึงท่านท้าวพญาธนาธิบดีนาคาได้จึง
เอ่ยเรียกให้มาช่วยสามครั้ง ครั้นท่านท้าวพญานาคราชได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ บัดดลก็เกิดฟ้า
ร้องคำรามลั่นท้องฟ้ามืดสนิทร่างของพญานาคราชก็ปรากฏร่าง พลางเดินเข้าไปหาน้ำเต้ายักษ์แล้วพ่นไฟ
ออกจากปากท่านพญานาคราชทันใด แสงไฟจากปากของพญานาคราชก็ทำเปลือกน้ำเต้ายักษ์ระเบิดทันที
ร่างชายหนุ่มก็หลุดรอดออกมาได้ ครั้นแลเห็นท่านพญานาคราชก็ทรงกราบคาราวะทันที ท่านท้าว
พญานาคราชก็ทรงหัวร่อตบไปบนไหล่ แล้วเอ่ยว่า
“บัดนี้เรื่องของเราเสร็จแล้วจะขอลากลับไปก่อน ส่วนทางนี้เรามิขอเกี่ยวข้องให้เป็นหน้าที่ของเจ้าก็
แล้วกัน ชายหนุ่มก็เรียนท่านผู้เฒ่ามาทำความคาราวะท่านท้าวพญานาคราช ท่านผู้เฒ่าทราบเหตุการณ์
ก็เข้าไปถวายบังคมท่านท้าวพญานาคราช ท่านพญานาคราชก็กล่าวฝากชายหนุ่มแก่ท่านผู้เฒ่าแล้วเรียก
ให้ใกล้เข้ามาแล้วกระซิบสั่งบางอย่างแก่ผู้เฒ่าทันที ท่านผู้เฒ่าก็ก้มน้อมลงกราบท่านพญานาคราชอีกครั้ง
ท่านพญานาคราชก็อวยพรให้ทั้งสองแล้วร่างก็ค่อยๆจางหายไปท้องฟ้าก็แจ่มใสดังเดิม ทหารก็เข้ามา
รายงานว่า บัดนี้เจ้าแม่เมืองได้เดินเลียบกำแพงตัวเมืองแล้วทำให้ภายในเมืองเกิดการต่อสู้กันเองระหว่าง
ทหารที่จงรักภักดีกับทหารฝ่ายเจ้าเมืองทรยศกันแล้ว ส่วนเจ้าขนทองกับขนขาวโมโหโกรธมากตอนนี้มัน
ระดมบรรดาลิงทั้งหลายต่างเข้าต่อสู้กับทหารฝ่ายกบฏและเผาเมืองหมดแล้ว
เหล่าทหารทั้งสี่ด้านมุมเมืองต่างบุกเข้าเมืองอิสราวดีแล้ว ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังรายงานเช่นนี้ก็ผิวปาก
เรียกเจ้าสีเทาทันที ม้าคู่กายดีใจวิ่งเข้ามาหาชายหนุ่มก็กระโดดขึ้นหลัง พร้อมเรียกม้าให้ท่านผู้เฒ่าขึ้นขี่เข้า
ไปยังเมืองทันที ด้านฝ่ายเจ้ามังสุระบดีครั้นทราบเหตุการณ์จากฝ่ายเสนาบดีก็ตกตลึงไม่คิดว่าเหตุการณ์นั้น
จะรวดเร็วเกิดคาด และยังได้รับรายงานว่าเกิดการต่อสู้กันเองในเมืองอีกด้วยตลอดจนบ้านเมืองราชวังล้อม
รอบของเหล่ามเหสีสนมกำนัลนางต่างถูกเพลิงเผาจากฝูงลิงมากมายนัก ก็ยิ่งตกใจหันไปทางทหารคู่ใจที่ยืน
อยู่สั่งทหารออกต่อสู้ทันทีด้วยมันรู้ว่าไม่สามารถจะหนีไปทางใดได้แล้ว
ด้วยบริเวณมหาราชวังบัดนี้เต็มไปด้วยทหารฝ่ายข้าศึกจึงให้ทหารองครักษ์ฝ่ายตนปกป้องพระราชวังไว้ปิด
ประตูหน้าต่างให้หมดสิ้น หัวหน้าทหารองครักษ์ก็ต่างถืออาวุธปกต้องด้านประตูหน้าต่างทั้งสิ้น เสียงโห่ร้อง
ของเหล่าทหารฝ่ายข้าศึกได้ยินมาถึงในท้องพระโรง บัดนี้เสียงการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้วบรรดาทหารที่ฝักใฝ่ต่อ
พวกกบฏต่างล้มตายหมดสิ้น เหลือทหารทีจงรักภักดีต่อพระแม่เจ้าต่างวางอาวุธ แต่ชายหนุ่มบอกว่าไม่ต้องหรอก
ข้าเชื่อใจและซึ้งใจถึงความจงรักภักดีของพวกเจ้าทุกๆคน ขอให้ทำตัวให้สบายใจบรรดาเหล่าทหารดีใจยืนขึ้น
เจ้าหญิงอิสรวดีนารีก็ทรงกล่าวขอบใจทหารที่จงรักภักดีว่าหากเราได้กลับคืนสู่ตำแหน่งเมื่อใดพวกเจ้าจะอยู่
ในการพิจารณาความดีความชอบทั้งสิ้น ทำให้บรรดาทหารเหล่านี้พากันน้อมกราบถวายบังคมแล้วยืนขึ้นก้าวนำ
หน้าชายหนุ่มและพระแม่เจ้าขอตนเอาสู่เขตราชฐานทันที ชายหนุ่มให้โอบล้อมไว้ทุกๆด้าน ส่วนท้องพระโรงนั้น
ถูกปิดสนิททั้งทางประตูหน้าต่าง จึงให้ทหารนำท่อนไม้มาพังประตูพระราชวังทันที
ครั้นประตูพังทลายลงแล้วชายหนุ่มพร้อมแม่ทัพนายกองก็พากันทยอยเข้ามาทั้งสิ้น แต่เจ้าอำมาตย์กบฏและ
ครอบครัวทั้งหมดพร้อมหน้ากัน ต่างถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าทหารที่ยังซื่อสัตย์ มันอยู่ต่างถือดาบปกป้องคุ้มครอง
มันไว้ นายกองเหมี่ยวนรธาครั้นเห็นนายกองที่วางอำนาจในตลาดยิ่งนักจำได้ ก็หัวร่อร่า
พลางหันไปถามทันที
“ท่านนายกองสบายดีหรือ ยังจำข้าได้หรือเปล่าล่ะ”
นายกองที่ยืนเคียงข้างอำมาตย์กบฏครั้นได้ยินก็นึกทบทวนเหตุการณ์แล้ว พลันก็กล่าวว่า
“เจ้าเองหรือทำไมข้าจะจำเจ้าไม่ได้เจ้าพ่อค้า”
นายกองเหมี่ยวนรธาพลันหัวร่อ บัดนี้ถึงเวลาของเจ้าแล้วที่ข้าจะชำระหนี้ค้างเสียที
ครั้นหันไปทางชายหนุ่ม แต่ถูกชายหนุ่มห้ามปรามไว้จึงหยุดเสีย
พลันเจ้าหญิงพระแม่เมืองแห่งอิสราวดีพลางกล่าวขึ้นว่า
“แล้วท่านล่ะท่านอำมาตย์ใหญ่ยังสบายดีอยู่หรือไง”
อำมาตย์ใหญ่ทรยศ หัวร่อทันทีมีเกรงกลัวใดๆพลางกล่าวว่า
“อันข้าเองนั้นหวังมาเนิ่นนานแล้วต่อองค์หญิงแต่กลับได้รับการปฏิเสธ ข้าจึงกระทำการเช่นนี้มิคิดว่าเจ้าหญิง
จะหนีรอดไปได้ เมื่อหวนกลับมาเช่นนี้ก็มาตายเสียด้วยกันเถิด”
มันกล่าวจบพลางหลับตาร่ายมนต์ขึ้นทันที ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็รีบปลดสายที่คล้องคอลูกแก้วพญานาคา
มาเสกกำกับรีบคล้องคอยังแม่นางอิสรวดีนารีทันที บัดดลฝ่ามือของเจ้ามหาอำมาตย์ทรยศก็ใหญ่แล้วมีแสงพุ่ง
ออกมาสู่ยังร่างองค์หญิงทันที แต่พอลำแสงไฟเมื่อมาถึงร่างองค์หญิงก็หยุดชะงักสะท้อนกลับไปสู่ร่างของ
อำมาตย์กบฏทันที แสงไฟลุกไหมมือทั้งสองมัน มันสะดุ้งตกใจรีบร่ายมนต์เป่ายังมือมันทั้งสองไฟก็หายไป
มันจึงล้วงเอาอาวุธที่อาจารย์มอบมาให้ทั้งหมดพลางร่ายมนต์ขว้างออกมาทันทีปรากฏเป็นอาวุธต่างๆและ
สัตว์ทั้งหลายพุ่งเข้าทำร้ายแก่เจ้าหญิงและบรรดาทหารทั้งปวง ชายหนุ่มและผู้เฒ่าก็ร่ายพระเวทย์พลางโยน
ของประจำตัวออกไป กลายเป็นนกวายุภักดิ์กระบองนาคราชที่แยกตัวเองออกเข้าทำร้ายอาวุธต่างๆและ
สัตว์ทั้งทางบกและทางอากาศทันที สัตว์ทางบกเจ้าขนทองและขนขาวต่างก็พุ่งทะยานเข้าต่อตี
ด้วยอาวุธประจำกายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของทนสิทธิ์กับบรรดาสัตว์ต่างๆทั้งหลาย...........
* แก้วประเสริฐ. *
15 มีนาคม 2553 14:08 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 55
ครั้นเข้าที่ประชุมบรรดาอำมาตย์ขุนทัพนายกองก็แสดงความคาราวะ ชายหนุ่มกล่าวขอโทษที่
มาล่าช้าไป แล้วนั่งลงบนเก้าอี้พลางถามทันที
“ตอนนี้เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ทหารเราทุกๆนายขวัญกำลังใจเป็นอย่างไร”
“บรรดาทหารเราต่างมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยมพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่กล่าวขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แล้วเสบียงทางเราล่ะขาดแคลนหรือไม่”
“เรื่องเสบียงนั้นไม่เป็นปัญหาหรอกพระเจ้าข้า บรรดาแว่นแคว้นต่างๆส่งมาเหลือเฟือ ยังได้จัดมอบ
ให้บรรดาประชาชนชาวเมืองอิสราวดีและเหล่าทหารหาญอุดมสมบูรณ์พระเจ้าข้า” อำมาตย์ใหญ่ตอบ
“ดีแล้วล่ะขอบใจพวกท่านทั้งหลายมาก ให้ความเมตตาอย่าได้คิดว่าเป็นพวกศัตรูเราเถิด คิดว่าเป็น
พวกเดียวกันก็แล้วกัน “
“ทูลท่านมหาอุปราชว่า มีขุนทัพนายกองทางอิสราวดีนั้นใคร่ที่จะขอเข้าสู่สงครามด้วย เพราะไม่
ชอบบรรดาเหล่าเจ้าเมืองใหม่และมวลมหาอำมาตย์และขุนทัพนายกองบางคน ด้วยบัดนี้เขาทั้งหลาย
ได้นำครอบครัวให้หนีออกจากเมืองมาหาฝ่ายเราแล้วพระเจ้าข้า”
“ถ้าเป็นอย่างงั้นได้ก็ยิ่งดีใหญ่นะ ทางเขาจะได้ไม่ต้องกังวลต่อครอบครัวและจะทำงานให้เราโดย
ไม่ต้องห่วง แต่ท่านทั้งหลายด้วยทางฝ่ายกบฏนั้นบรรดาอาจารย์มันหาใช่บุคคลธรรมดาไม่ล้วนประกอบ
ด้วยอาวุธและเวทย์มนต์ที่ทางฝ่ายเราย่อมจะไม่อาจจะต้านทานได้เพราะไม่ใช่การรบพุ่งธรรมดาเลย แล้ว
ท่านผู้เฒ่า มังมหาสุรเดชาธิบดีระหว่างนี้ถึงที่ใดแล้วล่ะท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่” ชายหนุ่มถาม
บัดดลทหารที่เฝ้ารักษาการณ์ก็เข้ามารายงานว่า มีผู้เฒ่าคนหนึ่งขอเข้าเฝ้าพระเจ้าข้า”
ชายหนุ่มทราบทันทีว่าเป็นบุคคลใดก็แสนจะดีใจ จึงลุกจากเก้าอี้นั่งแล้วรีบเดินตามทหารออกไปทันที
เมื่อพบชายหนุ่มรีบทำความเคารพ พร้อมกับเชิญเข้าไปยังที่ประชุมเพื่อปรึกษากัน เมื่อชายหนุ่มนำหน้า
ท่านผู้เฒ่าแล้วให้ทหารนำเก้าอี้มานั่งเคียงคู่พร้อมแนะนำเหล่าอำมาตย์และขุนทัพนายกองทั้งหลายว่า
“นี่คือท่านผู้เฒ่ามังมหาสุรเดชาธิบดีพระสหายพระบิดาที่เลี้ยงดูเราตลอดจนฝึกปรือฝีมือต่างๆให้”
ดังนั้นบรรดาอำมาตย์และขุนทัพนายกองต่างลุกขึ้นยืนแสดงความคาราวะท่านผู้เฒ่าทันที
“ข้าขอขอบใจท่านทั้งหลายที่ให้เกียรติแก่เราทั้งหลายยิ่งนักที่ให้เกียรติแก่เรามาก เรารีบเดินทางมา
และให้เจ้าขาวนำพวกเดินทางล่วงหน้ามาก่อน หากข้าเองจะช่วยเหลืออะไรขอท่านทั้งหลายอย่างได้เกรงใจ
บอกแก่ข้าได้เถิด” ผู้เฒ่าพลางน้อมรับคาราวะตอบ
“บัดนี้สิ่งที่ข้ารอคอยได้มาครบเรียบร้อยแล้ว ปัญหาที่ข้าเองกังวลก็หมดสิ้นไป นับต่อไปนี้เห็นทีได้
เวลาจะต้องบุกโจมตีเมืองอิสราวดีให้แก่แม่นางอิศวรดีนารีมาถึงแล้ว ขอให้ท่านทุกๆคนเตรียมตัวได้แล้ว
ตามที่ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่ได้แจ้งแก่ท่านทั้งหลาย หากท่านใดสงสัยจงกล่าวขึ้นมาได้เลย”
บรรดาขุนทัพนายกองทั้งหลายต่างกล่าวพร้อมเพรียงกันว่าไม่มีสิ่งใดพร้อมจะเข้าสู่สงครามได้ทุกเวลา
หากพระมหาอุปราชสั่งการมา
ชายหนุ่มหันมาทางแม่นางอิศวรดีนารีพลางกล่าวขึ้นว่า
“ข้าเองก่อนสงครามจะบังเกิดขึ้นขอให้พระแม่เจ้าจงติดตามข้า เพื่อเดินทางไปเลียบกำแพงเมืองเพื่อ
ให้บรรดาเหล่าทหารเมืองอิสราวดีได้พบว่า พระแม่เจ้าแห่งเมืองอิสราวดียังอยู่แล้วมาตีเมืองเพื่อกู้ราชบัลลังก์
คืนด้วยทราบจากฝ่ายในเมืองว่าทหารทั้งหลายได้เกิดการแตกออกซึ่งกันและกันแล้ว”
“หากเป็นพระประสงค์ของท่านมหาอุปราชข้าเองก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใดเพค่ะ” แม่นางอิศวรดีนารีกล่าว
ทันใดนั้นเสียงกลองศึกได้ดังกังวานขึ้นมา
“ทหารได้มารายงานว่ามีกองทัพยกออกจากเมืองมาจำนวนมากนำโดยแม่ทัพใหญ่พร้อมด้วย ฤๅษีสองรูปนำทัพมาเองพระเจ้าข้า”
ชายหนุ่มหันมาทางท่านผู้เฒ่าพลางเอ่ยขึ้นว่า
“การศึกครั้งนี้เห็นจะหนักด้วย ฤๅษีทั้งสองทุศีลมาด้วยทั้งสองตน ศึกครั้งนี้คงจะหนักหน่วงนัก ขอเชิญท่าน
ผู้เฒ่าจงร่วมศึกพร้อมกับข้าด้วยเถิด ลำพังข้าเองคงจะรับมือไม่ไหวเป็นแน่แท้”
“หาเป็นอย่างไรไม่ท่านมหาอุปราชด้วย แม้นฤๅษีสองตนนี้มาซึ่งเก่งกล้าอาคมข้าก็หาได้หวั่นไหวใดๆไม่ ศึก
ครั้งนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด” ท่านผู้เฒ่ากล่าว
“หามิได้ที่ข้าเองต้องไปด้วยต่างจะได้ช่วยกัน หากเป็นฤๅษีตนเดียวก็คงจะไม่อาจรับมือท่านผู้เฒ่าได้แต่นี่มัน
มาทีเดียวสองตนนะท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าว
“หากเป็นเจตนารมณ์ของท่านมหาอุปราชก็ไม่ขัดข้อง งั้นเราออกเดินทางทันที” ท่านผู้เฒ่ากล่าว
ชายหนุ่มพลางหันไปทางสาวทั้งหกและแม่ทัพนายกองพลางสั่งว่า
“การศึกครั้งนี้หาใช่ธรรมดาไม่ ขอให้แม่ทัพใหญ่จัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ในที่ตั้ง และมอบทหารให้ข้าสัก
สามร้อยนายที่จะไปร่วมรบกับข้า แต่ให้เหล่าทหารเมือง ซิตเว หล่อยก่อ ปะอาน ซึ่งล้วนแล้วแต่ชำนาญอาวุธยา
พิษทั้งสิ้นเป็นทัพหน้าคอยหยั่งเชิงให้จัดกำลังจากเมืองทั้งสามอย่างละร้อยคนพร้อมอาวุธที่ชุบด้วยยาพิษและธนู
หน้าไม้ต่างๆ ไปกับข้าและท่านผู้เฒ่าด้วย”
ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบดังนั้นก็หันไปสั่งแม่ทัพยังเมืองทั้งสามให้ถือปฏิบัติทันที เหล่าแม่ทัพทั้งสามเมืองต่าง
รับคำและออกไปคัดทหารที่เชี่ยวชาญอาวุธพิษอย่างละร้อยนาย เมื่อชายหนุ่มหันไปสั่งแม่นางทั้งหกว่าอย่าได้ติด
ตามเราเลยให้เพียงคอยดูอยู่บนค่ายเท่านั้นห้ามติดตามไปเด็ดขาด เมื่อสั่งทหารทั้งหลายให้จัดเตรียมทัพรออยู่นอก
ค่ายแล้วสั่งให้ลั่นกลองรบทันที
พร้อมทั้งท่านผู้เฒ่าเจ้าลิงขนทองขนขาวทะยานเจ้าสีเทาออกนำทหารสามร้อยนายเคียงคู่ไปกับท่านผู้เฒ่า
เจ้าลิงทั้งสอง ออกไปเผชิญหน้ากับเหล่าทหารซึ่งนำโดยแม่ทัพเมืองอิสราวดี เมื่อต่างเผชิญหน้ากัน
ฤๅษีทั้งสองด้านซ้ายมือคือฤๅษี อิกาวะแห่งป่าพฤกษ์มาระ ขวามือฤๅษี ปัญจนราแห่งเทือกเขาพิคะเวนศรี
ก็ออกมาด้านหน้าของกองทัพอิสราวดีทันที ทั้งสองเมื่อเห็นเป็นชายหนุ่มกับผู้ชราต่างก็หัวร่อกันลั่นสนั่น
สนามรบ
ต่างก็ไม่พูดจาประการใด ฤๅษีทั้งสองต่างร่ายพระเวทย์ทันทีพลางโยนสิ่งของขึ้นไปในอากาศ ท้องฟ้าที่สว่าง
แจ้งก็พลันมืดมิดด้วยปรากฏพายุพัดกระหน่ำเข้าสู่กองทัพของชายหนุ่มและท่านผู้เฒ่าทันที
ท่านผู้เฒ่าหัวร่อร่าพลางร่ายพระเวทย์สะบัดมือขึ้นไปยังท้องฟ้าทันใด ท้องฟ้าที่ประกอบด้วยความมืดมิดและ
พายุก็หายไปทันที ยังเหลือบนท้องฟ้าล้วนแต่เป็นนกรูปร่างใหญ่โตมโหฬารเต็มไปหมด ชายหนุ่มพลางล้วงไป
ในย่ามหยิบขนนกวายุภักดิ์พลางร่ายพระเวทย์แล้วโยนขึ้นไปในอากาศ ปรากฏร่างนกพญาวายุภักดิ์จำนวนมาก
โผขึ้นเข้าต่อสู้กับบรรดานกยักษ์ทันใด แต่อำนาจของนกพญาวายุภักดิ์มีมากมายข่มอำนาจของนกยักษ์ต่างๆเสีย
สิ้นเสื้อคลุมร่างของชายหนุ่มก็เปล่งรังสีกระจายไปทั่วๆกลายเป็นบรรดานกวายุภักดิ์เข้าจู่โจมบรรดาทหารของ
เมืองอิสราวดีทันทีต่างพ่นไฟออกจากปากนกพญาวายุภักดิ์เผาผลาญเหล่าทหารแม่ทัพนายกองล้มตายไปเสียเป็น
ส่วนใหญ่ บ้างก็ร้องโหยหวนด้วยเพลิงได้ลุกไหมบรรดาเสื้อผ้าทำให้กองทัพจำนวนมากมายแตกกระจายทันที
ฝ่ายฤๅษีทั้งสองเห็นดังนั้นก็ให้ตกใจเป็นกำลังไม่คิดว่าชายหนุ่มกับผู้เฒ่านี้จะแก้ไขสิ่งของของมันได้ มัน
รีบล้วงไปในย่ามของมัน พลันหยิบกระดิ่งกับ ลูกประคำออกมาเสกแล้วโยนขึ้นฟ้าไปทันที กระดิ่งพลันขยาย
ออกใหญ่ส่งเสียงดังกังวานสะเทือนเลื่อนลั่นทำให้บรรดาทหารของชายหนุ่มต่างรีบปิดหูทั้งสองทันทีร่างทรุดกาย
ลง ผู้เฒ่าและชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ต่างล้วงประคำและก้อนแก้วสีแดงออกมาภาวนาเวทย์มนต์แล้วโยนไปบน
ท้องฟ้าทันใดนั้นเอง ประคำของผู้เฒ่าก็กลายเป็นระฆังใบใหญ่เข้าครอบยังกระดิ่งของเจ้าฤๅษีแห่งป่าพฤกษ์มาระ
แล้วเสียงดังของกระดิ่งก็หายไปเสียงระเบิดภายในระฆังใบยักษ์สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว
ส่วนประคำของฤๅษีปัญจะนราแห่งเทือกเขาพิคะเวนศรีก็กลายเป็นลูกไฟพุ่งตรงไปยังร่างชายหนุ่มและผู้เฒ่า
กับบรรดาทหารฝ่ายชายหนุ่ม แต่ก้อนแก้วสีแดงนั้นพลันกลัยกลายเป็นกระบองจำนวนมากมายฉีดน้ำสีแดงดัง
สายเลือดเข้าใส่ยังบรรดาลูกไฟทั้งหลายดับสิ้นแล้วกระบองนั้นก็ทุบตีลูกประคำของฤๅษีที่แยกตัวออกเป็นเม็ดๆ
รวมตัวเพื่อกลับคืนสู่เจ้าของ ก็พลันแตกกระจายไปเสียสิ้น ครั้นทำลายแล้วก็กลายเป็นก้อนแก้วหวนมายังชายหนุ่มอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงนำเก็บไว้ในย่ามแล้วหันไปสั่งทหารให้ยิงธนูไปยังฤาษีทั้งสองและทหาร
ที่เหลือของเมืองอิสราวดีทันที
บรรดาเหล่าทหารของเมืองซิตเว เมืองหล่อยก่อ เมืองปะอาน บรรดาลูกธนูลูกหน้าไม้ต่างๆที่ล้วน
อาบยาพิษก็พุ่งเข้าใส่ยังร่างฤๅษีและบรรดาทหารแม่ทัพใหญ่ ต่างล้มตายแม้กระทั่งแม่ทัพใหญ่เมือง
อิสราวดีก็สิ้นชีวิตไปหมด ลูกธนูต้องร่างของฤๅษีทุศีลหาได้ทำอันตรายใดๆไม่ ผู้เฒ่าพลางร่ายพระเวทย์เป่า
ไปยังร่างฤๅษีทั้งสองเพื่อคัดขจัดมนต์ตราที่ทำให้ร่างอยู่ยงคงกะพันทันที ทำให้บรรดาลูกธนูอาบยาพิษ
ของฝ่ายทหารชายหนุ่มต้องร่างฤๅษีทั้งสองล้มตายด้วยยาพิษตกจากหลังม้าขาดใจตายทันที
บรรดาทหารที่ส่งมาต่างไม่มีผู้ใดเล็ดรอดกลับเข้าเมืองได้แม้สักผู้เดียว ทำให้ทหารที่เห็นบนกำแพงตกใจสิ้น
ส่วนด้านบนท้องฟ้านกวายุภักดิ์ต่างก็เข้าต่อสู้กับนกยักษ์ต่างๆและสังหารไปจนหมด แล้วพุ่งกลับลงมา
หาชายหนุ่มกลายเป็นขนนกวายุภักดิ์สู่มือชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มยกขนนกจูบเบาๆแล้วนำเก็บใส่ย่าม แล้วควบ
ม้าไปยังร่างฤๅษีทั้งสองตัดคอออก แล้วขี่ม้าชูไปยังกำแพงเมืองซึ่งเจ้ามหาอำมาตย์ทรยศยืนมองดูอยู่บนเชิงเทิน
กำแพง ต่างตกใจสั่งให้เหล่าทหารพลธนูทุกๆคนเตรียมพร้อม แต่ชายหนุ่มหาได้เข้าใกล้กำแพงเมืองใดไม่กลับ
นำหัวของฤๅษีทั้งสองขว้างไปด้วยกำลังมหาศาลอันเกิดจากดีของพญางูยักษ์ที่ดื่มกินไป หัวเจ้าฤๅษีทั้งสองหัว
ก็ลอยข้ามกำแพงเข้าไปยังในเมืองทันที
ส่วนร่างฤๅษีที่ปราศจากหัวและเหล่าแม่ทัพใหญ่นายกองทหารทั้งหลายก็ปล่อยทิ้งไว้ในสนามรบหาได้สนใจ
ใยดีไม่ แล้วสั่งให้ทหารพลธนูทั้งหลายกลับยังค่ายพัก ทำให้บรรดามหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่ตลอดจนแม่ทัพ
นายกองทั้งหลายพึ่งทราบแน่แก่ใจว่า เหตุไฉนท่านมหาอุปราชจึงไม่สั่งให้พวกเขาเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีนั้น
ก็ด้วยเหตุดั่งนี้ ทหารของชายหนุ่มต่างส่งเสียงโห่ร้องกันดังลั่นสนั่นเข้าไปในเมือง ข่าวดังกล่าวก็ล่วงรู้ไปยัง
แม่ทัพนายกองทั้งหลายที่ล้อมเมืองทั้งสี่ด้าน ที่ไม่ได้เห็นต่างเสียดายไปตามๆกัน
ครั้นมังสุระบดีอำมาตย์กบฏเข้าไปหาอาจารย์มันทั้งสองพร้อมรายงานให้ทราบถึงเรื่องราวต่างๆของการ
ต่อสู้แก่ นักพรตและนักบวชทราบ มันทั้งสองต่างมองหน้ากันทำตาปริบๆครั้นจะปลีกตัวหรือก็ให้ละอายแก่ใจ
มันยิ่งนัก ด้วยทราบว่าหากนับด้วยแล้ว ฤๅษีทั้งสองนั้นมีอิทธิฤทธิ์กว่ามันทั้งสองมากนักที่ไม่รับอาสาออกไปก็
เชื่อมั่นว่าฤๅษีทั้งสองคงจะต้องปราบศัตรูได้อย่างราบคาบถึงได้ให้แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดีนำกำลังพลอัน
มากมายออกไป ครั้นชนะแล้วก็จะได้โจมตีค่ายใหญ่ ครั้นมันจะปฏิเสธหรือก็ใช่ที่เดี๋ยวศิษย์มันจะว่ากล่าวได้
นอกจากอ้ำอึ้งไป
ครั้นตัดใจได้แล้วก็แจ้งแก่ศิษย์มันว่าพรุ่งนี้จะออกรบด้วยกัน พลางให้จัดสถานที่บูชาตั้งขึ้นเพื่อมันจะได้
ทำพิธีอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นเจ้าเมืองใหม่แห่งอิสราวดีก็จัดหาสิ่งของที่มันทั้งสองประสงค์ได้แล้วก็รีบออกไปเรียก
เหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหลายที่เข้าข้างมันอยู่ประชุมต่อไปเพื่อหาทางป้องกันเมือง ฝ่ายมหาอำมาตย์ก็
เอ่ยขึ้น
“การณ์ครั้งนี้เราควรจะปกป้องแต่ในเมืองไว้ก่อนหากมาดแม้นว่า ท่านอาจารย์ทั้งสองพ่ายแพ้
อีกก็จะให้ตีฝ่าวงล้อมออกไป หาทางมายึดเมืองต่อไปจะดีหรือเปล่าพระเจ้าข้า”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันว่าหากการต่อสู้วันพรุ่งนี้เกิดพ่ายแพ้อีกเห็นทีจะต้องหาทางตีฝ่าวงล้อมออกไป”
เจ้าเมืองทรยศกล่าว
“แต่รองแม่ทัพใหญ่พลางกล่าวว่าบัดนี้ทหารทั้งปวงต่างขวัญเสียไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงทหารที่ยัง
ซื่อสัตย์เท่านั้นพระเจ้าข้า”
“ช่างหัวมันเถิดเป็นอย่างนี้ใครเล่าจะไม่เสียขวัญ แต่เราพยายามปลุกปลอบขวัญกำลังใจให้แก่พวกมัน
ว่าหากได้ชัยชนะจะกำนัลด้วยของขวัญมีค่าอย่างงามเพื่อล่อใจพวกทหารทั้งหลายไว้” เจ้าเมืองทรยศกล่าวขึ้น
“ข้าพระองค์จะติดตามพระองค์ไปทุกๆหนแห่งพระเจ้าข้า และจะออกไปปลอบขวัญเหล่าทหารทั้งปวง
ให้ทราบพระเจ้าข้า” รองแม่ทัพใหญ่มังสุรศรีกล่าวรายงาน
“ถ้าอย่างงั้นข้าเองขอแต่งตั้งเจ้าขึ้นดำรงแม่ทัพใหญ่แทนมังละสุทีก็แล้วกัน ให้เจ้ารีบไปจัดการได้”
“พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะไปดำเนินการตามรับสั่งทันที” กล่าวเสร็จก็ถอยออกมาแล้วไปแจ้งแก่
บรรดาทหารทั้งปวงถึงการรับสั่งของเจ้าเมือง ทำให้บรรดาทหารทรยศต่างดีใจกันทั่วถ้วนหน้า
ครั้นวันรุ่งขึ้นทางเมืองอิสราวดีก็เคลื่อนกำลังพลทหารออกมานำโดยมังสุรศรีแม่ทัพใหญ่ประกอบด้วย
นักพรตชีวะกะแห่งขุนเขาจิระเวคิน และนักบวชแห่งขุนเขาบุระกะ ออกขี้ม้านำหน้ามายังสนามรบทันที
ด้านชายหนุ่มกับท่านผู้เฒ่าก็นำทหารแห่งเมือง ซิตเว ปะอาน และเมืองหล่อยก่อออกมาดังเดิม และยัง
สั่งทหารทั้งปวงว่า หากการครั้งนี้สำเร็จเหมือนดั่งเดิม ก็ให้สั่งให้บรรดาทหารทั้งหลายที่รายล้อมเมืองเตรียม
กำลังพลให้พร้อมเพื่อจะได้ตีเมืองอิสราวดีต่อไป.............
* แก้วประเสริฐ. *
14 มีนาคม 2553 22:27 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 54
ชายหนุ่มครั้นสั่งทหารทั้งสามร้อยนายให้หยุดแล้ว ก็บังคับเจ้าสีเทาให้เหยาะย่างอย่างช้าๆไปถึง
ยังเบื้องหน้าของนักพรตแห่งขุนเขาอูกะระ พลางพิจารณารูปร่างลักษณะเป็นคนร่างผ่ายผอมนัก
สะพายย่ามบนไหล่ซ้าย ครั้นเห็นดังนั้นจึงถามไปว่า
“การศึกสงครามนั้นหาใช่เป็นหน้าที่ของนักบวชเช่นท่านใยจึงไม่ถือศีลกินเจ มายุ่งเกี่ยวทำไมหรือ”
นักพรตครั้นได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น พลันแหงนหน้าหัวร่อดังเสียงสนั่นแล้วตวาดไปว่า
“เอ๊ยๆๆๆ???... เจ้าหนุ่มปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมใยจึงจะมาตายเสียใยเล่า ให้ไปตามแม่ทัพใหญ่เจ้า
ออกมา เจ้ายังหนุ่มแน่นหรือว่าแม่ทัพเจ้ากลัวเราเสียหัวหดไปหมดแล้วรึ”
“อันไม่แม่ทัพใหญ่เรานั้นหาได้เกรงกลัวท่านนักพรตไป แต่ทว่าเห็นว่าเพียงแค่เราเองก็สามารถปราบ
เมื่อยามฆ่าควายใยต้องใช้มีดใหญ่ด้วยเล่า” ชายหนุ่มตอบ
ครั้นได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น นักพรตทุศีลก็บังเกิดโทสะอย่างเกรี้ยวกราดยังนัก ที่เห็นเขาเป็นควาย
“เจ้าปากสามหาวนักเห็นเราเป็นควายไปหรือ นับประสาเจ้าเพียงแค่ฝ่ามือเดียวของเราก็สามารถฆ่าเจ้า
ได้แล้ว ยังมากล้าตีฝีปากแก่เราอีก”
“คนอย่างข้านั้นหากแม้นตายด้วยคนที่มีศีลธรรมเราเองก็ยินยอมพร้อมใจ แต่หากเป็นนักพรตทุศีลที่แม้
บัดนี้กลิ่นเหล้ายังคละคลุ้งมาอีก นี่หรือคำว่านักพรตข้าเองเห็นจะเปลี่ยนคำเรียกนักพรตว่าเป็นพวกเดรัชถีคง
จะเหมาะสมกว่ากระมัง ด้วยท่าทางท่านคล้ายสัตว์เลื้อยคลานเสียมากกว่าที่เขาเรียกกันว่าสัตว์เดรัชฉานไงเล่า”
คำพูดของชายหนุ่มยิ่งสร้างความกริ้วโกรธแก่นักพรตยิ่งนักถึงกับตัวสั่น มันสำรอกถ่อยคำหยาบคายออกมา
แล้ว พลางล้วงมือไปในย่ามพลางยกออกมาร่ายมนต์ พลางเป่ายังฝ่ามือตนเอง บัดดลฝ่ามือมันก็ใหญ่โตมโหฬาร
สิ่งที่มันขว้างออกมากลายเป็นดวงไฟมากมายพุ่งเข้าหาร่างชายหนุ่มทันที แต่ดวงไฟเหล่านั้นหาได้เข้าใกล้ร่าง
ของชายหนุ่มก็หาไม่ เพียงวนเวียนรายล้อมหมุนเป็นดุจกงจักร
ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นพนมพลางเป่าเข้าใส่ยังลูกไฟทันที บัดดลลูกไฟทั้งหลายก็ย้อนกลับไปใส่ร่าง
ของนักพรตทั้งสิ้น ไม่เท่านั้นยังเลยร่างนักพรตต่างพุ่งใส่ยังทหารที่ยืนเรียงรายไป ลูกไฟได้ไหม้เสื้อผ้าบรรดา
ทหารของเมืองอิสราวดีต่างร้องคร่ำครวญโหยหวน ร่างถูกเผาสิ้นชีวิตทันที บรรดาเหล่าทหารห้าร้อยคนก็แตก
กระจัดกระจายแยกออกไปทันที
นักพรตเห็นเช่นนั้นก็เป่ามนต์ทำให้ลุกไฟทั้งหลายดับมอดไปทันที พลางยกฝ่ามือทั้งสองอันใหญ่ปานภูเขา
ลูกย่อมๆฟาดมายังชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มหักม้าเจ้าสีเทาซึ่งมีความจัดเจนรวดเร็วนักหลบหลีกฝ่ามือไปมา ฝ่าอัน
ใหญ่โตก็ฟาดยังพื้นดินเป็นรอยใหญ่โตฝุ่นตลบคลุ้งไปทั่ว มันรีบลงจากหลังม้าด้วยหากอยู่บนหลังม้าความคล่อง
แคล้วว่องไวก็จะน้อยลง มันเดินย่างเข้าหาชายหนุ่มร่างมันมาได้อย่างรวดเร็วนัก ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็พลัน
ล้วงในย่ามตนเอง คราวนี้เขาสวมเสื้อขนนกวายุภักดิ์ที่บรรดาแม่นางสอยเย็บให้เป็นอย่างดีก็ยกก้อนหินสีแดง
ฉานพลันร่ายมนต์แล้วขว้างไปยังฝ่ามือของนักพรตทุศีลทันที
บรรดาก้อนแก้วหินสีแดงก็พลันพุ่งเข้าหาฝ่ามือยักษ์ทั้งสองทะลุแล้วแตกกระจายออกด้วยอำนาจเวทย์มนต์
ที่ชายหนุ่มกำกับแตกแยกเป็นสะเก็ดชิ้นเล็กชิ้นน้อยพุ่งเข้าร่างของนักพรตทุศีลทะลุผ่านไปยังบรรดาเหล่าทหาร
ของเมืองอิสราวดี ต่างพากันล้มตายกันไปเกือบหมดสิ้น ฝ่ามือของนักพรตที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นก็กลับเล็ก
ลงดังเดิมแต่มันได้แตกกระจายเหลือเพียงข้อมือทั้งสองเท่านั้น และร่างมันยังถูกแก้วสีแดงทะลุผ่านระเบิดจน
ร่างมันแยกชิ้นส่วนกระจายไปในอากาศและพื้นดินสิ้นชีวิตทันที
เมื่อเหล่าทหารของเมืองอิสราวดีที่รอดเหลืออยู่ต่างก็พากันหนีเข้าเมือง ส่วนทหารบนเชิงเทินกำแพงเมือง
เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ให้ต่างตกใจรีบเปิดประตูเมืองรับทหารพวกตนเข้าเมือง เมื่อนักพรตทุศีลสิ้นชีวิต
ไปแล้ว เหล่าทหารที่เหลือรอดมาได้ไม่กี่คนก็รีบไปรายงานให้แม่ทัพใหญ่ทราบ แม่ทัพใหญ่ที่ยืนบนเชิงเทิน
พร้อมด้วยมหาอำมาตย์ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด ด้วยแลเห็นการต่อสู้ครั้งนี้อย่างชัดเจนมันไม่คิดว่าชายหนุ่มนี้
ซึ่งสวมเสื้อคลุมประหลาดจะเก่งกล้าสามารถปราบนักพรตได้ ก่อนนั้นมันพากันยิ้มแย้มเมื่อเห็นฝ่ามือ
ของนักพรตใหญ่ปานขุนเขาไล่ตบไปยังร่างชายหนุ่ม และเห็นดวงไฟพุ่งเข้าแต่ไม่อาจทำอันตายใดๆแก่
ชายหนุ่มได้มันก็สงสัยอยู่แล้ว ครั้นเห็นชายหนุ่มโต้ตอบด้วยอะไรมันมองไม่ชัดเจนนอกจากสีแดงๆเท่านั้น
ส่วนทหารห้าร้อยนายรอดกลับมาไม่ถึงร้อยนาย ทั้งสองก็รีบไปรายงานให้เจ้าเมืองทราบทันที
ครั้นชายหนุ่มปราบนักพรตทุศีลได้แล้วก็สั่งให้ทหารถอยกลับเข้ายังหน้าค่ายใหญ่ไม่ต้องรออะไรอีก
ด้วยคิดว่าอีกไม่ช้านักฝ่ายทางในเมืองมันก็คงจะออกมาต่อสู้อีก ฝ่ายทหารของชายหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่าง
ก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดีเสียงสนั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปจนไกล ต่างพากันยกย่องชมเชยท่านมหาอุปราช
กัน บรรดาแว่นแคว้นที่มาร่วมทัพ บรรดานายทัพนายกองต่างพากันคิดหากชายหนุ่มใช้พระเวทย์แล้วพวกมัน
ก็คงจะไม่เหลือแม้แต่คนเดียว แต่ด้วยความมีเมตตาของท่านมหาอุปราชที่ยังรักใคร่เอ็นดูพวกมันยิ่งพากันเทิดทูน
และแล้วทหารก็เข้ามารายงานว่าองค์หญิงอิสรวดีนารี พร้อมด้วยแม่ทัพใหญ่มาถึงแล้วพร้อมด้วยทหาร
ดังนั้นชายหนุ่มจึงบอกเลิกกองทหารให้กลับไปพักผ่อนได้ ส่วนชายหนุ่มก็เดินทางเพื่อไปเข้าเฝ้าทันที
เมื่อทั้งสองพบกัน เจ้าหญิงอิศวรดีนารีก็น้อมพระวรกายถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มทันทีว่าบัดนี้ท่านแม่ทัพใหญ่
ได้นำทหารที่ทางนายกองเหมี่ยวนรธาจำนวนหกพันนายเข้ามายังค่ายทหารเรียบร้อยแล้ว
ครั้นเมื่อทั้งสองนั่งลง ชายหนุ่มก็แนะนำแม่นางทั้งห้าให้เจ้าหญิงอดีตกษัตริย์อิสราวดีได้รู้จักกัน
และชายหนุ่มก็แนะนำที่ปรึกษาใหญ่ของตัวเองให้เจ้าหญิงรู้จัก เมื่อทั้งหมดรู้จักกันแล้ว บรรดาแม่หญิงทั้งห้า
ที่คิดว่าตัวเองเลอเลิศในด้านความสวยแล้ว หากเทียบกับแม่นางอิศวรดีนารีก็ยังห่างไกลกันนัก และทราบว่า
แม่นางนั้นเป็นคู่หมั่นคู่หมายของชายหนุ่ม ก็ต่างพากันเข้าถวายฝากเนื้อฝากตัวแก่แม่นางอิสรวดีนารีทันที
ครั้นแม่นางอิสรวดีนารีทราบถึงผลงานของแม่นางทั้งห้าต่างก็เข้าสวมกอดบรรดานางทั้งห้าพร้อมกับเอ่ยว่า
“ข่าวของพวกแม่นางพี่เองก็ทราบมาแล้ว เราทั้งหมดขอให้ต่างอย่าได้รังเกียจเดียดฉันท์ถือมานะใดๆเลยนะ
ให้ถือว่าเราเป็นพี่น้องกัน ร่วมมือกันสร้างอาณาจักรแห่งลุ่มแม่น้ำอิรวดีกันด้วยเถิด เมื่อต่างคนต่างไล่อายุกัน
แล้วแม่นางอิสรวดีนารีนั้นนับได้ว่ามีอายุมากที่สุด รองลงมาก็แม่นางจันทิราแม่นางเรวดีอรทัย แม่นางกัลยาเทวี
แห่งแคว้นตองอู ติดตามด้วยแม่นางสิริกัลยา และแม่นางสิรินภาวดีตามลำดับการเรียกขานพี่น้อง”
แต่แม่นางทั้งห้าพลันกล่าวแก่แม่นางอิสรวดีนารีว่า
“เสด็จพี่เพค่ะ ยังมี่อีกสองแม่นางเพค่ะ” ทำเอาพระแม่เจ้าอิสรวดีนารีถึงกับงุนงงไปทันที เมื่อแม่นางทั้งห้า
เห็นดังนั้นจึงเล่าเรื่องแม่นางพรายทั้งสองให้ฟังว่า เป็นบุคคลที่ช่วยเหลือเจ้าชายตั้งแต่ยังอยู่ในป่าดงดิบมีนามว่า
ประกายแดงเป็นพี่ ประกายเขียวเป็นน้อง และยังมีลิงอีกสองตัว ตัวหนึ่งสีทอง ชื่อประกายทอง ลิงที่ตัวสีขาว
ชื่อประกายแก้ว เพค่ะ”
ครั้นพระแม่เจ้าอิสรวดีนารีได้ฟังดังนั้นถึงกลับทรงพระสรวลเบาๆว่า ท่านมหาอุปราชนั้นไม่เบานักนะน้อง
พี่หากรวมทั้งหมดก็เป็นแปดนางเข้าไปแล้ว นี่ยังไม่รู้ว่าจะมีอีกสักเท่าไหร่กันแน่ ทำเอาเหล่าแม่นางทั้งห้าพา
กันหัวร่อ พร้อมทั้งทูลว่า
“จะเท่าไหร่ก็ช่างเถิดเพค่ะเสด็จพี่ พวกเรามีท่านมหาอุปราชองค์เดียวก็เพียงพอแล้ว ให้เป็นไปตามพระ
ประสงค์ของท่านพี่มหาอุปราชก็แล้วกัน” แม่นางจันทิรากล่าว ทั้งหมดก็พากันหัวร่อหยอกเย้ากันเป็นที่สนุก
สนานยิ่งนัก ครั้นชายหนุ่มก้าวเข้ามาต่างก็พากันเงียบหมดหันหน้ามามองตาซึ่งกันและกันแล้วก็อมยิ้ม
“มีเรื่องอะไรหรือเห็นหัวร่อกันดังลอดออกมาทำให้พี่สงสัยนัก” ชายหนุ่มกล่าว
“มิมีเรื่องอะไรหรอกท่านพี่” แม่นางจันทิรากล่าว
“พวกเราสาบานกันว่าจะรักใคร่กลมเกลียวซึ่งกันและกันมิต้องให้ท่านที่ต้องเป็นห่วงเท่านั้นเอง”
“ยังงั้นหรือน้องเราทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้พี่ก็สบายใจแล้ว เอาเถอะอยู่คุยกันก่อนนะเดี๋ยวพี่จะไปปรึกษากับ
ท่านมหาอำมาตย์และเหล่าขุนทหารสักหน่อย ตามสบายนะ” ชายหนุ่มกล่าวเสร็จก็เดินออกไป
ทำให้บรรดาสาวๆทั้งหลายต่างกระเซ้าเย้าแย่กันเป็นที่สนุกสนานสำราญ และบอกว่าหากจะรู้อะไรดีๆก็ต้อง
ถามแม่นางพรายทั้งสอง ซึ่งติดตามท่านพี่ตลอดเวลาถึงจะรู้เรื่องละเอียดนัก
“แล้วพี่จะพบแม่นางพรายทั้งสองได้เมื่อไหร่ล่ะพวกน้องเรา” พระแม่เจ้าอิสรวดีนารีทรงตรัส
“เรื่องนี้ต้องไปขอร้องท่านพี่ถึงจะได้ท่านพี่ ด้วยแม่นางพรายทั้งสองนั้นถึงอยู่เราก็มองไม่เห็นหรอกนอก
จากแม่นางจะทำให้พวกเราเห็นเท่านั้น แต่ว่านางนั้นเชื่อฟังท่านพี่นัก หากท่านพี่ให้ปรากฏร่างก็คงได้เห็นหรอก”
พวกแม่นางทั้งห้าเอ่ยขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อท่านพี่ประชุมเสร็จพวกเราก็ไปหาท่านพี่พร้อมๆกันนี่แหละ” พระนางเจ้าอิสรวดีนารีเอ่ย
“ต้องเป็นเวลากลางคืนท่านพี่ ให้พวกเราคืนนี้เข้าไปพร้อมๆกันและเอ่ยปากขอร้องท่านพี่เถอะ”
“ตกลงพอพระอาทิตย์ตกดินแล้ว พวกเราเข้าไปหาท่านพี่ด้วยกันนะ พี่เองก็อยากจะเห็นแม่นางพรายจริงๆ
ว่านางมีรูปร่างงดงามเพียงใด ด้วยบรรดาพวกน้องๆนั้นล้วนแต่งดงามทั้งสิ้น” แม่นางเจ้าทรงเอ่ย
ครั้นยามย่ำค่ำล่วงเข้ามา พวกนางทั้งหกก็ค่อยทยอยกันมาพบแล้วค่อยๆย่อง พลางทำสัญญาณแจ้งแก่ทหาร
ยามที่เฝ้าอยู่ว่าอย่าส่งเสียงหรือไปรายงานใดๆแก่มหาอุปราช เดี๋ยวเราจะค่อยๆเข้าไปเอง บรรดาทหารยาม
ทั้งหลายเมื่อได้ยินรับสั่งเจ้าเหนือหัวอดีตกษัตริย์แห่งอิสราวดีกล่าวเช่นนั้นต่างมองหน้า แต่กลับทูลว่า
“หากเป็นพระประสงค์ของพระแม่เจ้า แต่ขอได้โปรดแจ้งแก่ท่านมหาอุปราชด้วยว่าเป็นคำสั่งของพระแม่เจ้า
อย่าพวกข้าต้องรับโทษแต่ประการใดพระเจ้าข้า”
พระแม่เจ้าก็ทรงพระสรวลแล้วรับปากแก่ทหารยามทั้งหลาย ครั้นเดินถึงหน้าห้องของพระมหาอุปราชก็ได้
ยินเสียงหัวร่อของหญิงสาวแล้วเสียงก็หายไป พลางชายหนุ่มก็บอกขอเชิญแม่นางทั้งหกเข้ามาได้แล้ว ซึ่งทำ
ความแปลกใจว่าเหตุใดท่านมหาอุปราชจึงรู้ แม่นางจันทิราก็เอ่ยว่า
“ท่านพี่จะไม่รู้ได้อย่างไรเล่าท่านพี่ ด้วยแม่นางพรายได้บอกท่านพี่แล้วล่ะ”
“อ้อๆ???....อย่างงั้นหรือ “ กล่าวเสร็จก็แหวกม่านเข้าไปหาชายหนุ่มทั้งหกนางทันที พระแม่เจ้ามองค้นหานาง
พรายที่ทราบมาแล้วแต่ไม่เห็นแต่ประการใด จริงดังที่แม่นางจันทิรากล่าวไม่ผิดไปเลย จึงกล่าวกับชายหนุ่มว่า
“อยากจะทำความรู้จักกับแม่นางพรายประกายแดงประกายเขียวด้วย ขอให้ท่านพี่แจ้งแก่แม่นางทั้งสองขอให้
ปรากฏร่างด้วยเถิด” แม่เจ้าอิสราวดีนารีเอ่ยขึ้น
“อย่างงั้นเองหรือ อ้าวเขาก็ยืนกระหนาบข้างพี่ซ้ายขวาอยู่แล้วนี่นา” ชายหนุ่มกล่าว
“แต่น้องไม่แลเห็นแม่นางเลยเพค่ะท่านพี่” พระแม่เจ้าอิสรวดีนารีเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มหัวร่อพลางหันไปทาง
แม่นางพรายทั้งสองพลางเอ่ยขึ้น
“น้องเราทั้งสอง บรรดาพี่น้องของเจ้าเขาอยากจะเห็น จงปรากฏกายให้เห็นด้วยเถอะนะ”
ครั้นแม่นางพรายประกายแดงประกายเขียวได้ยินเช่นนั้น ร่างก็พลันค่อยๆปรากฏขึ้นทันใด ทำเอาพระแม่
เจ้าอิสรวดีนารีทรงตลึงไปทันใด ด้วยทั้งสองช่างสวยงดงามอะไรจะปานนั้นแม้แต่แม่นางเองที่จัดได้ว่าสวยแล้ว
ก็หาเทียบกับแม่นางพรายทั้งสองได้ แต่ด้วยชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวก็ยิ้มพลางก้าวเข้าไปหาทั้งสองนางแล้วเข้าสวมกอด
พลางตรัสว่า
“โอ้ๆๆๆ...ช่างงดงามอะไรเช่นนี้ “ กล่าวจบก็จุมพิตแม่นางพรายทั้งสองแล้วดึงร่างมานั่งรวมกันกับแม่นาง
ทั้งห้าทันที นางพรายประกายแดงและประกายเขียวพลางน้อมกายถวายความเคารพแม่นางอิสรวดีนารีทันที
“ไม่ต้องเรื่องมากหรอกน้องเรา ไหนๆลองเล่าให้พี่ฟังซิว่าตอนพบท่านพี่ความเป็นมาอย่างไรพี่อยากใคร่รู้”
ครั้นแล้วแม่นางพรายทั้งสองก็ผลัดกันเล่าความแต่หนหลังให้พระแม่เจ้าแห่งอิสราวดีฟังทันที เมื่อแม่นางทั้ง
หกรู้เรื่องราวละเอียดก็ยิ่งเอ็นดูรักใคร่แม่นางทั้งสองยิ่งขึ้นด้วยการผจญภัยต่างๆปกป้องชายหนุ่มมาตลอดเวลา
ทั้งหมดต่างก็ให้สัญญาต่อกันและกันว่าจะปรนนิบัติร่วมกันแก่ชายหนุ่ม ทำเอาชายหนุ่มซึ่งยืนฟังอยู่ถึงกับหน้า
แดง ครั้นจะเอ่ยประการใดก็มิอาจเอื้อมได้จึงเพียงแค่ยิ้มๆเท่านั้นเอง
ปล่อยให้บรรดาสาวๆทั้งหมดสนทนากันหยอกเย้ากระเซ้าเย้าแหย่ซึ่งกันและกันเป็นที่สนุกสนาน ส่วน
ชายหนุ่มก็เอนกายลงพักผ่อนนอนฟังการสนทนา ไป พลางก็ขบคิดว่าพรุ่งนี้แล้วซินะจะต้องเผชิญหน้ากับ
อาจารย์คนใดของเจ้ากบฏอีก การศึกวันพรุ่งนี้เห็นจะยากขึ้นตามลำดับ นี่ท่านผู้เฒ่ามังมหาสุรเดชาธิบดีจะมา
เมื่อใดหนอ ชายหนุ่มครุ่นคิดการศึกไปจนกระทั่งหลับไป ครั้นตื่นขึ้นมาในยามรุ่งสางก็แลเห็นแม่นางพราย
ทั้งสองยังนอนเคียงข้างอยู่ พลางสวมกอดแม่นางทั้งสองจนแม่นางพรายสะดุ้งพลางลุกแล้วค่อยกลับไปยังที่อยู่
ดังเดิม ชายหนุ่มหลังจากทำความสะอาดชำระล้างร่างกายแล้วก็ออกมานอกที่พัก เข้าประชุมยังห้องใหญ่ซึ่ง
บัดนี้เรียงรายไปด้วยเหล่าที่ปรึกษาอำมาตย์ใหญ่น้อยขุนทัพนางกองรอคอยอยู่ จึงเข้าไปนั่งยังที่สำหรับตน
พลางกล่าวขออภัยทุกๆคน แล้วก็เข้าเรื่องประชุมเกี่ยวกับการรบพุ่งต่อไป..........
* แก้วประเสริฐ. *
14 มีนาคม 2553 16:45 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 53
เมื่อชายหนุ่มนำทัพเข้าร่วมกับท่านที่ปรึกษาใหญ่มหาอำมาตย์เหมี่ยวมังกะยอชวา ร่วมกันปรึกษาเรียบร้อย
ก็นำกำลังพลไปสมทบกับแม่ทัพใหญ่เหมี่ยวสุรินทร์นราเข้ารายล้อมเมืองอิสราวดีทันที พร้อมร่างหนังสือ
ให้ทหารม้าเร็วนำไปส่งให้แก่เหมี่ยวสุรินทราบดีแม่ทัพใหญ่เพื่อแจ้งแก่องค์หญิงอิศวรดีนารีเพื่อให้เคลื่อน
กำลังมาร่วมสมทบด้วย หนังสืออีกฉบับหนึ่งก็ให้เจ้าลิงขาวไปส่งมอบให้แก่มังมหาสุรเดชาธิบดีด้วยพ้น
จากสัจจะวาจาแล้ว ให้รีบเดินทางมาร่วมทัพกอบกู้แผ่นดินอิสราวดีต่อไป
ครั้นทหารม้าเร็วได้รับหนังสือและเจ้าลิงขาวซึ่งชายหนุ่มทำสัญญาณแจ้งก็ขึ้นม้ารีบออกเดินทางไปทันที
ในระหว่างการล้อมเมืองอิสราวดีนั้น ชายหนุ่มสั่งมิให้โจมตีเพียงแค่ล้อมตัดเสบียงอาหารจากราษฎร์ที่ทำมา
หากินนอกเมืองเสียสิ้นแล้วนำตัวพวกราษฎร์ทั้งหมดให้มาอยู่ยังด้านหลังแห่งกองทัพแต่ห้ามทหารทั้งปวง
ทำอันตรายแก่ชาวเมืองอิสราวดีและให้ปลอบขวัญว่าเป็นทหารของเจ้าแม่ อิสรวชิรบดินทร์เดชา เพื่อกอบ
กู้ราชบัลลังก์คืน เหล่าราษฎร์ทั้งหลายครั้นทราบเช่นนั้นก็พากันยินดีต่างเชื่อฟังแม่ทัพที่แจ้งให้ทราบรวบ
รวมสิ่งของตลอดจนมอบเสบียงอาหารที่เก็บเกี่ยวให้แก่ทหารของชายหนุ่มเป็นจำนวนมาก
ชายหนุ่มเพียงรอเจ้าหญิงและมหาอำมาตย์ที่เคยเลี้ยงดูตนเองก่อน ภายในเมืองอิสราวดีผู้รักษาการณ์เมือง
อิสราวดีตอนนี้ เมื่อได้รับอาจารย์ทั้งห้ามาช่วยงานก็จัดงานเถลิงขึ้นครองราชย์ทันที บรรดาทหารเมืองอิสราวดี
ต่างไม่พอใจแต่ก็ไม่รู้จะทำประการใดไม่ ด้วยอำนาจนั้นเป็นของมันแต่ผู้เดียว ครั้นเมื่อทราบว่าเหล่าข้าศึกที่มา
รายล้อมเมืองทั่วทุกทิศเป็นของเจ้าแม่แห่งเมืองอิสราวดี แม่ทัพนายกองบางคนก็ลอบหนีออกมาเข้าสมทบกับ
ทหารของชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มก็จัดมอบกำลังส่วนหนึ่งให้ควบคุมปกครองเพื่อจะได้เข้าตีเมืองอิสราวดี
เวลาได้ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนเจ้ามังสุระบดีที่เถลิงขึ้นเป็นกษัตริย์ในนามว่ามังมหาสุระบดีราชันย์ก็ให้แปลก
ใจยิ่งนัก เวลาผ่านมาเนิ่นนานทำไมทัพต่างๆที่รายล้อมมืดฟ้ามัวดินหาได้ยกพลเข้าโจมตีไม่ มันจึงรีบปรึกษากับ
อาจารย์ทั้งห้าทันที อาจารย์ทั้งห้ามันมีนามว่า สุรสีห์เป็นนักพรตแห่งขุนเขาอูกะระ อิกาวะ ฤาษีแห่งป่า
พฤกษ์มาระ นิรุเวคินนักบวชแห่ง ขุนเขาบุระกะ ชีวะกะนักพรตแห่งขุนเขา จิระเวคิน
และ ปัญจะนรา ฤาษีแห่งเทือกเขา พิวะเวนศรี ต่างล้วนแล้วไม่อยู่ในศีลมีนิสัยเหี้ยมโหดมักมากในกามคุณ
ครั้นมาอยู่เมืองอิสราวดีล้วนประกอบด้วยหญิงสาวที่สวยงาม พวกมันต่างลุ่มหลงในอิสตรียิ่งนัก
เจ้าเมืองคนใหม่แห่งอิสราวดี เจ้ามังมหาสุระบดีราชันย์ก็รู้ใจบรรดาอาจารย์มันถึงกับเสนอสนองกามารมณ์ให้
แก่บรรดาอาจารย์มันมิขาด ทำให้เหล่าบรรดาอาจารย์มันสุขสำราญทั้งสุราอาหารเหล่านารีทั้งหลาย
จนเพลิดเพลินบันเทิงใจ หาได้ถือปฏิบัติธรรมดังแต่เก่าก่อน ด้วยทุกๆคนเชื่อมั่นวิชาที่ร่ำเรียนมานั้นสำเร็จแล้ว
ล้วนแต่มีอาวุธวิเศษจึงไม่เป็นที่ห่วงใดๆทั้งสิ้น ต่างกล่าวพร้อมกันว่าไม่ต้องห่วงหากถึงที่สุดพวกข้าจะไปเอง
เจ้ามังมหาสุระบดีราชันย์เชื่อมั่นในอาจารย์มันยิ่งนัก ครั้นทราบว่ามีข้าศึกมารายล้อมมากเช่นนั้นก็หาได้หวั่น
เกรงใดๆไม่ แต่มันก็คิดจะหยั่งเชิงทหารทั้งหลายที่มาเรียงรายล้อมเมือง จึงได้สั่งให้ประชุมเหล่าบรรดาอำมาตย์
แม่ทัพนายกองทั้งหลาย แม่ทัพใหญ่จึงกล่าวว่า บัดนี้มีนายทัพนายกองบางนายเล็ดลอบหนึ่งออกไปสมทบกับ
ฝ่ายตรงกันข้ามมากมาย ข้าพระองค์ได้จัดการให้ทหารสอดแนมหากพบพิรุธแก่ทหารผู้ใดก็ให้จับกุมตัวไว้แล้ว
แต่ยังอยู่ในช่วงศึกสงครามจึงมิได้ฆ่าทิ้งเสีย เพียงแต่ค่อยๆสอบไปพระเจ้าข้า มังละสุทีกล่าวรายงาน
ครั้นมังมหาสุระบดีทราบดังนั้น ก็สั่งว่า
“ไม่ต้องสอบสวนมันหรอก ให้นำพวกมันไปประหารชีวิตได้เลย ตลอดจนยึดทรัพย์สมบัติมาให้หมดสิ้น”
“พระเจ้าข้า หากเสร็จประชุมก็จะไปดำเนินการตามพระประสงค์พระเจ้าข้า”
“เออๆ...ดีแล้วท่านแม่ทัพใหญ่ แต่ว่าข้าเองอยากจะรู้กำลังข้าศึกว่ามีความแข็งแกร่งเพียงใดถึงกล้ามาล้อม
เมืองเรา ให้ท่านจัดทัพออกไปหยั่งเชิงมันก่อนเถอะนะ”
“พระเจ้าข้า มังละสุทีแม่ทัพใหญ่กล่าว”
“ท่านมหาอำมาตย์ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเล่า ให้เสนอขึ้นมาได้”
เหมี่ยวอรินทราจึงนำแผนที่ออกมากางยังบนโต๊ะแล้วเชิญพระเจ้ามังมหาสุระบดีราชันย์ตรวจสอบการปกป้อง
เมือง ครั้นเจ้าเมืองแลเห็นบนแผนที่ได้จัดวางธงเรียงรายและสอบถามจากมหาอำมาตย์ใหญ่ก็ให้พอใจยิ่งนัก
พลางกล่าวชมเชยว่า ช่างละเอียดรอบคอบนัก ให้แม่ทัพใหญ่จัดการตามนี้ก็แล้วกัน
มังสีหะมะทาเสนาบดีใหญ่ก็รายงานว่า
“บัดนี้เสบียงภายในเมืองอาจะใช้ได้ไม่เกินสามเดือนพระเจ้าข้า
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ให้จัดการริบทรัพย์สินบรรดาพ่อค้าที่ใช้ในการอาหารมาให้หมดสิ้นก็แล้วกันเพื่อจะได้ใช้เลี้ยง
กองทัพของเราให้เข้มแข็ง เป็นเสบียงต่อไป”
“แล้วเหล่าประชาชนเล่าพระเจ้า”
“ช่างหัวมัน อย่าไปคำนึงถึงมันหรอก ให้นึกถึงพวกเราไว้ก่อน ให้ทำตามคำสั่งของข้าก็แล้วกัน “
แล้วหันไปสั่งยังแม่ทัพใหญ่ทันที
“ให้ท่านนำทหารไปยึดเหล่าอาหารทั้งหลายของประชาขน เหลือไว้ให้มันเพียงเล็กน้อยนอกนั้นนำมาเข้าเป็น
เสบียงทั้งหมด”
“พระเจ้าข้า” มังละสุทีรับสนองพระราชโองการ
ประชาชนในเมืองก็เกิดความวุ่นวายทันทีเมื่อทราบและกระจายข่าวออกไปจากประชาชนที่เห็น
บรรดาทหารต่างเข้ายึดเสบียงอาหาร ต่างก็รีบปิดร้านและนำไปซุกซ่อนไว้เพื่อพวกตัว แต่เหล่าทหารของเมืองก็
ไม่ละเว้นรีบพังทลายประตูร้าน หากขัดขืนก็จะถูกสังหาร สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมืองอิสราวดีทันที
ด้านเหมี่ยวนรธาที่แอบแฝงปลอมตัวเป็นมังมะค่าพ่อค้าพานิชก็แจ้งให้มังสุระยะข่าหาทางแจ้งข่าวนี้ออกไป
ทางชายหนุ่มทันที
ด้านมังสุระยะข่าไม่สามารถจะออกจากตัวเมืองได้ก็ลอบยิงธนูออกจากนอกเมืองและแจ้งว่าบัดนี้ทางเมือง
อิสราวดีจะจัดส่งกำลังออกไปสู้รบ พร้อมแจ้งว่าในป่าเบื้องหลังหุบเขามีหน่วยกำลังพิเศษที่ท่านนายกองได้
ฝึกสร้างไว้มากให้ไปส่งข่าวและมอบหนังสือนี้ เหล่าทหารพิเศษก็จะออกมาช่วยศึกด้วย
เมื่อทหารเก็บลูกธนูก็รีบส่งให้แม่ทัพใหญ่ทันที แม่ทัพใหญ่ก็นำไปให้ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาแจ้งแต่
ชายหน่มให้ทราบ ครั้นชายหนุ่มทราบเรื่องดังกล่าวก็หัวร่อ จึงกล่าวว่า
“ท่านอย่าเป็นห่วงไปใยเลยข้าทราบจากทหารแม่ทัพนายกองที่มามอบตัวแล้วถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่เข้า
จู่โจมนั้นก็ด้วยคอยแม่นางให้มานำทัพหากบรรดาเหล่าพลทหารครั้นเห็นองค์เหนือหัวเก่าก็จะอาจจะเปลี่ยน
ใจทำให้เกิดการต่อสู้กันเอง หากเรานำทัพไปเองนั้นเหล่าพลทหารของเมืองอิสราวดีที่มีความแกร่งกล้านัก
ก็จะหาอ่อนน้อมเกรงกลัวใดไม่ยินยอมสู้ตาย ข้าเองถึงให้รอและให้ทางไอ้อำมาตย์มันเกิดความระแวงและ
ได้ผลด้วยบัดนี้ฝ่ายประชาชนชาวเมืองอิสราวดีเกิดการปั่นป่วนอาจจะเป็นผลดีแก่เราได้” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“นั่นซิท่านมหาอุปราชช่างมีความละเอียดการศึกยิ่งนัก ข้าเองก็ให้สงสัยเหมือนกันว่ากำลังพลเรานี้
ก็มีมากมายกว่าในเมืองมากมายนักใยท่านถึงมิได้สั่งให้ยึดเมืองทันที”
“ที่เป็นเช่นนี้ไม่อยากให้ทหารเมืองอิสราวดีเสียมากไป ด้วยรู้นิสัยของบรรดาเหล่าทหารเมืองอิสราวดี
ว่ายอมตายดีกว่ายอมเสียเมือง ขอท่านที่ปรึกษาใหญ่รอระยะเวลาไม่นานนักหรอก ด้วยข้าเองนั้นได้รับ
หนังสือจากลิงขาวแล้วว่าท่านมังมหาสุรเดชาธิบดีใกล้จะมาถึงแล้ว ส่วนเจ้าลิงขาวก็นำพรรคพวกที่เป็น
ลิงตลอดจนบรรดาฝูงลิงอื่นๆมาอีกจำนวนมาก การครั้งนี้จะสร้างความปั่นป่วนแก่เจ้ากบฏยิ่งนักด้วย
มันคิดคาดมิถึงนั่นเอง ที่ข้าเองกังวลใจมากที่สุดคือบรรดาอาจารย์มัน นั้นล้วนแต่เก่งกล้าสามารถทาง
เวทย์มนต์ตลอดอาวุธของมันคงจะเป็นอาวุธวิเศษ ด้วยข้าเองเคยผจญมาแล้ว ส่วนเวทย์มนต์ของข้านั้น
อาจจะไม่สามารถต้านรับมันได้จึงต้อง พึ่งพา มังมหาสุรเดชาธิบดีซึ่งท่านผู้เฒ่าที่ว่าเคยเลี้ยงข้ามาแต่เยาว์วัย
ล้วนเก่งกล้าทางวิทยาคมอาจจะกำราบอาจารย์มันได้บ้าง หากมาดแม้นมิอาจจะรับได้เห็นทีข้าจะต้องพึ่งพา
ท่านพญาธนาธิบดีนาคราชเสียแล้ว” ชายหนุ่มกล่าว
“ด้วยเหตุดังนี้ข้าเองคิดว่า เหล่าทหารของเราแม้จะมากมายนับแสนๆก็หาจะต่อสู้กับอำนาจเวทมนต์และ
ของวิเศษมันได้ ก็ย่อมจะเสียไพร่พลโดยใช่เหตุ แต่มาบัดนี้มันจะส่งกำลังมาหยั่งเชิงเรา ข้าให้ท่านแม่ทัพใหญ่
ส่งแม่ทัพนายกองเข้าไปหยั่งเชิงมันแต่อย่าได้รุกล้ำเข้าเมืองอิสราวดีเด็ดขาด หากชัยชนะได้กลับมาให้รีบกลับค่าย
ทันที หากมันจัดกำลังอีกก็ให้เปลี่ยนแม่ทัพนายกองทหารเข้าสู้ก็แล้วกัน สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเมื่อความ
คิดอ่านข้าพเจ้าเมื่อองค์หญิงและท่านมังมหาสุรเดชาธิบดีมาพร้อมนั้นแหละข้าถึงจะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที”
ครั้นที่ปรึกษาใหญ่และแม่ทัพใหญ่ตลอดจนแม่ทัพนายกองทั้งหลายได้ฟังเช่นนั้น ต่างคิดว่ามหาอุปราชนั้น
ช่างรอบคอบละเอียดยิ่งนัก ล้วนรักไพร่พลทหารยิ่งนัก หากมาดแม้นเป็นการโจมตีของเมืองที่ได้เปรียบเช่นนี้
บัดนี้ก็คงจะเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีแล้วโดยไม่คำนึงสิ่งใดๆ ทำให้บังเกิดความห้าวหาญยิ่งนัก เมื่อทางฝ่ายเมือง
อิสราวดีจัดทหารออกมาจำนวนมากลั่นกลองรับ ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ก็ให้แม่ทัพเมืองซิตเวเข้าต่อต้านก่อน
เสียงกลองศึกระงมไปทั้งสองฝ่าย ทหารทั้งสองต่างยิงธนูนำทางก่อนแต่บรรดาทหารของเมืองอิสราวดีต้องอาวุธ
ธนูของทางเมืองซิตเวถึงแม้ไม่หนักหนานักแต่ก็ล้มตายเสียมากมายด้วย อาวุธธนูของเมืองซิตเวนั้นล้วนแล้วอาบ
ยาพิษทั้งสิ้น เมื่อต้องเนื้อเป็นแค่แผลเล็กน้อยพิษยาก็จะซึมซาบสู่หัวใจสิ้นชีวิตทันที
ด้วยดังนี้แม่ทัพเมืองอิสราวดีก็สั่งให้ถอยกลับเข้าเมืองทันทีแล้วเข้าไปรายงานแก่แม่ทัพใหญ่ทันใด ว่าอาวุธ
มันล้วนแล้วแต่มีพิษ ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบดังนี้ก็ให้โกรธยิ่งนักว่าไฉนไม่ตระลุยเข้าไปจัดการกับเหล่าพลธนูถึง
แม้ว่าจะเสียทหารไปหากถึงพัวพันกันมันย่อมใช้ธนูมิได้ จึงสั่งให้แม่ทัพนายกองคนเดิมยกกำลังออกไปอีก
ครั้นแม่ทัพนายกองทราบดั่งนี้ต่างก็มองหน้ากัน แล้วก็จัดทหารขึ้นใหม่ยกกำลังออกไปอีก คราวนี้ให้จัดโล่
กำบังธนูทางอากาศไว้แล้วเคลื่อนพลเข้าปะทะทันที ทางฝ่ายชายหนุ่มก็เปลี่ยนกลยุทธ์สลับไปยังเมืองอื่นๆบ้าง
เมื่อทัพทั้งสองปะทะกันก็เกิดการสู้รบกันชุลมุน แต่ด้วยการวางกลยุทธ์ของทหารเมืองมะละแหม่งซึ่ง
ใกล้แคว้นอิสราวดีย่อมเรียนรู้ไว้แล้ว การปะทะผ่านไปไม่นานฝ่ายทหารเมืองมะละแหม่งก็ประสบชัยชนะ
แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้กำแพงเมือง ยกกำลังกลับมาไปรายงานผลให้ทราบทันที ครั้นแม่ทัพใหญ่ของเมืองอิสราวดี
ทราบว่าเกิดการพ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่งแม่ทัพและนายกองต่างสิ้นชีวิตไปคงเหลือกลับมาเพียงนายกองบางนาย
เท่านั้นก็ให้โกรธยิ่งขึ้น แต่เวลาใกล้ค่ำแล้วก็รีบไปรายงานที่ปรึกษาใหญ่เพื่อทูลแก่เจ้าเมืองต่อไป และว่าพรุ่งนี้
จะยกกำลังออกไปอีก
ครั้นเจ้าเมืองอิสราวดีทราบดังนี้ก็ให้ตกใจยิ่งนัก มันจึงรีบไปเรียนอาจารย์ท่านนักพรตสุรสีห์ทันทีว่าการศึก
ครั้งนี้มิง่ายดายนักเสียแล้ว ฝ่ายนักพรตสุราสีห์แห่งจุนเขาอูกะระ ท่านพลันหัวร่อลั่นว่า
“พรุ่งนี้ข้าเองจะนำทัพออกไปเองให้เจ้าอย่าได้เป็นห่วงใยนัก มันจะต้านทานเราได้ก็ให้มันรู้ไป”
กล่าวแล้วก็หันไปกอดสาวสนมทั้งหลายที่คอยปรนนิบัติอยู่เคียงข้างพร้อมยกจอกสุราส่งให้มังสุระบดีทันที
มังสุระบดียกมาดื่มแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“หากอาจารย์กล่าวเช่นนี้ศิษย์เองก็สบายใจยิ่งนัก แล้วอาจารย์จะนำกำลังไปเท่าไหร่ล่ะอาจารย์”
นักพรตพลันหัวร่อบอกว่า
“เจ้าไม่ต้องนำทหารไปมากนักหรอก ข้าเองจะนำทหารเพียงห้าร้อยนายเท่านั้น” กล่าวแล้วก็ยกจอกสุรา
ขึ้นดื่มพร้อมหยอกเย้าสตรีต่อไป
“พรุ่งนี้ศิษย์จะจัดทหารให้อาจารย์เท่าที่อาจารย์แจ้งก็แล้วกัน ข้าขอลากลับก่อนนะอาจารย์”
“ไปเถิดศิษย์รัก ข้าจะเผาทหารมันให้วอดวายตกตายในกองเพลิงสิ้น” แล้วมันก็หัวร่อลั่นเสียงดังสนั่น
เจ้ามังมหาสุระบดีราชันย์ก็เดินออกจากที่พักอาจารย์มัน พร้อมสั่งให้อำมาตย์ที่ปรึกษาไปแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่
ว่าให้ตระเตรียมทหารห้าร้อยนาย ด้วยอาจารย์มันจะนำทัพไปเอง
พรุ่งตอนสายของวันใหม่ย่างกรายมาถึง ประตูเมืองเปิดออก เหล่าทหารม้าห้าร้อยนาย นำหน้าด้วยนักพรต
แต่งคลุมกายสีขาวด้านเสื้อผ้าสีเขียวขี่นำหน้าเหยาะย่างเข้ามายังค่ายทหารของชายหนุ่มทันที
แม่ทัพ ทหารก็เข้าไปรายงานชายหนุ่มว่าเมืองอิสราวดีคราวนี้มาแปลกยกกำลังพลออกมาเพียงห้าร้อยนาย
แต่มีนักพรตแต่งกายสีขาวเหยาะย่างม้าเดินทางมาเรื่อยๆ ชายหนุ่มจึงรีบสั่งให้ไปเรียกแม่ทัพใหญ่เข้ามาหาทันที
เมื่อแม่ทัพใหญ่มาถึง ชายหนุ่มก็สั่งว่าไม่ต้องให้แม่ทัพทหารเมืองตองยีออกรบ เพียงจัดกำลังพลให้เราสัก
สามร้อยนายเท่านั้นเองก็พอเราจะออกไปเอง ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบคำสั่งแล้วก็ให้นึกแปลกใจว่าเหตุไฉน
ชายหนุ่มถึงไม่ให้จัดเป็นกองทัพใหญ่เข้าโจมตีทหารเมืองอิสราวดีเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่กล้าคัดค้านประการใด
จึงไปแจ้งทางแม่ทัพฝ่ายเมืองตองยีว่าให้จัดกำลังพลตามคำสั่ง ครั้นแม่ทัพเมืองตองยีทราบก็ตกใจว่าเหตุไฉนองค์
ชายถึงจะเสด็จเอง ด้วยความสงสัยจึงนำทหารเพียงแค่สามร้อยนายมายืนรอท่านมหาอุปราชทันที
ครั้นเมื่อแม่นางทั้งห้าทราบข่าวรีบมาหาชายหนุ่มทันทีเพื่อจะขอติดตามไปด้วย แต่ถูกชายหนุ่มห้ามปรามไว้
พลางเอ่ยขึ้นว่า
“ศึกครั้งนี้หาได้เหมือนกับศึกทั่วๆไป ด้วยไอ้อาจารย์พวกกบฏมันออกมาเอง ด้วยมันประมาทนำทหารมาเพียง
ห้าร้อยนายเท่านั้น มันต้องใช้ของวิเศษและเวทย์มนต์คาถาเพื่อจะทำลาย หากเรานำคนไปมากๆก็ย่อมเข้าทางมัน
ฉะนั้นพี่เองถึงต้องออกไปเอง ด้วยร่ำเรียนเวทย์มนต์และมีของพอที่จะต้านมันได้ ถึงอย่างไรพี่ก็เอาตัวรอดกลับ
มาได้น้องพี่อย่าเป็นห่วงใยไปเลย หากน้องพี่ไปพี่เองจะเกิดเสียสมาธิไม่แน่วแน่ด้วยเกิดความเป็นห่วงลังเลใจ ศึก
ครั้งนี้หาธรรมดาไม่น้องรักของพี่” ชายหนุ่มกล่าว
“งั้นน้องเข้าใจแล้วล่ะ ขอให้ท่านพี่ระมัดระวังตัวด้วยนะ หากมาดแม้นพี่เป็นอะไรไปพวกน้องก็จะไม่อยู่มี
ชีวิตอีกต่อไป ต่างตกลงกันแล้วว่าหากขาดท่านพี่เมื่อใดต่างจะขอตายตามท่านพี่ไปด้วย”
“พี่ได้ยินคำนี้ก็ชื่นใจแล้ว แต่น้องอย่าลืมซิพี่ยังมีแม่นางพรายสองนางคอยช่วยเหลือพี่อยู่ด้วยนะ หากติดขัด
อย่างไร แม่นางพรายย่อมจะบอกแก่พี่เองแหละ ตลอดยังมีเจ้าขนทองขนขาวไปด้วยอีก ขอน้องมิต้องห่วงหรอก”
ชายหนุ่มกล่าวกับแม่นางทั้งห้า ทำให้แม่นางทั้งห้าพลอยหายความห่วงใยไปบ้าง
ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนี้ก็ควบเจ้าสีเทาพร้อมเจ้าขนทองขนขาวออกนำหน้าเหล่าทหารเมืองตองยี
ออกสู่สนามรบหน้าเมืองอิสราวดีแล้วสั่ง
ให้หยุดกองกำลังไว้พลางมองไปบนฟ้าแต่ไม่กล่าวประการใด แลไปเห็นนักพรตคลุมร่างสีขาวภายในเป็นสีเขียว
เหยาะย่างมาอย่างช้าๆ ก็รู้ด้วยปัญญาว่าเห็นทีคราวนี้มันจะใช้เวทย์มนต์และของวิเศษแน่นอน จึงควบเจ้าสีเทา
ออกไปข้างหน้าคนเดียว เพื่อเผชิญหน้ากับนักพรตทันที..........
* แก้วประเสริฐ. *
13 มีนาคม 2553 18:24 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 52
ข่าวการสวรรคตของสมิงนราบดินทร์ทราบไปยังฝ่ายในพระมเหสีและเหล่าสนมกำนัลทั้งหลายต่างตกใจ
เป็นยิ่งนักมิอาจจะล่วงรู้ชะตากรรมของตนเองว่าจะเป็นอย่างไร ครั้นชายหนุ่มเข้าเมืองก็พบท่านมหาอำมาตย์ของ
เมืองมะละแหม่งน้อมถวายการต้อนรับและอัญเชิญเข้าสู่ท้องพระโรงทันที ชายหนุ่มพร้อมเหล่านายทัพนายกอง
รวมทั้งหญิงสาวทั้งห้าที่แต่งกายเป็นทหารก็พากันเข้าไปยังท้องพระโรงตามชายหนุ่มเคียงข้าง เมื่อชายหนุ่มมา
ถึงยังบัลลังก์ ก็ขึ้นนั่ง ส่วนบรรดาแม่ทัพนายกองที่ถูกคุมตัวในการศึกก็ทยอยเข้ามาฝ่ายพลทหารก็คอยอยู่ข้าง
นอก
เมื่อชายหนุ่มนั่งลงยังบัลลังก์แล้วก็ให้แก้มัดเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งปวง พลางชมเชยสมิงนราบดินทร์
ต่างๆนานาว่าสมกับเป็นเชื้อชาติชายทหารยิ่งนัก ที่รักไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้อำมาตย์ท่านจงจัดการให้สมกับ
เกียรติพระยศตามประเพณีทุกๆประการ เราจะไม่ลงโทษแก่พวกอำมาตย์และเหล่าขุนนางทหารใดๆทั้งสิ้น
ครั้นบรรดาอำมาตย์และเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายครั้นได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ต่างก็พากันน้อมถวาย
บังคมทูลให้สัตย์ปฏิญาณตนว่าจะขอซื่อสัตย์รับใช้ตราบชั่วชีวิตที่พระองค์ทรงพระราชทานอภัยให้
แล้วสั่งให้มหาอำมาตย์เข้าไปเชื้อเชิญพระมเหสีตลอดเหล่าวงศานุวงศ์ให้เข้ามาหาโดยด่วน ครั้นเมื่อได้
รับคำบัญชาดังนั้น มหาอำมาตย์แห่งเมืองมะละแหม่งก็ทูลถวายบังคมแล้วเข้าไปยังฝ่ายในตามรับสั่ง
ประมาณสักครู่ใหญ่ๆ พระมเหสีและเหล่าบรรดาวงศานุวงศ์ต่างๆก็เข้ามาถวายบังคมแก่ชายหนุ่มทันที
ดังนั้นชายหนุ่มจึงลุกจากราชบัลลังก์ เข้าไปน้อมถวายบังคมทูลแล้วอัญเชิญให้นั่งยังที่ส่วนพระองค์มเหสีทันที
พร้อมทั้งชมเชยกษัตริย์แห่งเมืองมะละแหม่งให้พระมเหสีและเหล่าวงศานุวงศ์ทราบถึงความกล้าหาญชาญชัย
เป็นอันมาก
“ขอพระนางอย่าได้เป็นห่วง เราจะถวายพระเกียรติพระศพให้สมศักดิ์ศรีตามขนบธรรมเนียมประเพณีของ
เมืองทุกๆประการ เราอาจจะไม่อยู่นานเมื่อเสร็จก็จะรีบออกเดินทางทันที” ชายหนุ่มกล่าว
“ตามกฎมณเฑียรกำหนดไว้ว่าหากตกเป็นเชลยแล้วให้ข้าจงอยู่ใต้เบื้องยุคลบาทของ
พระองค์ตลอดไป เพค่ะ” พระมเหสีกล่าวทูลขึ้น
“ไม่หรอกกฎของเมืองใดๆล้วนแล้วต่างกันทั้งสิ้น แต่สำหรับข้าเองนั้นหาได้ยึดถือมั่นในขนบธรรมเนียมนี้
แต่ประการใดไม่ ขอพระแม่เจ้าจงอย่าได้ยึดติดมั่นเถิด ขอให้ทรงเสวยความสำราญตามพระราชหฤทัยเถิด”
“เหตุด้วยว่าเมื่อเมืองจะสิ้นกษัตริย์ไปมิได้ ข้าเองจำเป็นอย่างยิ่งต้องแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่แต่ว่าข้าจะให้
คนของข้าขึ้นครองราชย์สมบัติหาใช่ว่าจะไม่ไว้ใจพวกท่านก็หาไม่ ขอพระแม่เจ้าจงทรงเห็นพระหทัยหม่อมฉัน
ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
“แล้วแต่ท่านมหาอุปราชจะคิดทำการใดก็สุดแล้วแต่พระองค์เถิด หม่อมฉันยินดียอมรับทุกประการ เพค่ะ”
“แล้วพระองค์มีราชบุตรธิดากี่พระองค์ ข้าเองอยากรู้นัก”
“หม่อมฉันมีเพียงราชบุตรีพระองค์เดียว ส่วนนางสนมมีราชบุตรประมาณสักสามพระองค์ชายเพค่ะ”
ครั้นชายหนุ่มทราบดังนี้แล้ว จึงเรียกมังกะยอกับมังนิละกะเข้ามากระซิบสอบถามทันทีว่าผู้ใดมีครอบครัวหรือยัง
ครั้นทราบว่ามังกะยอหาได้มีครอบครัวใดไม่ก็ทรงยินดี แล้วให้กลับไปประจำหน้าที่ได้ เมื่อทั้งสองทูลเสร็จก็
กลับไปยืนคอยรับสั่งต่อไป
“หม่อมฉันขอถามพระแม่เจ้าว่าพระธิดาของพระองค์ออกเรือนหรือยังล่ะ”
“ขอเรียนแด่ท่านมหาอุปราช ยังเพค่ะ”
“แล้วมีนามใดหรือพระแม่เจ้า”
“ทรงนามว่า ยุพาวดี อายุได้ ยี่สิบสามพระเจ้าข้า”
“อ้องั้นดีแล้วล่ะ ขอบพระหทัยพระแม่เจ้า ข้าเองจะสู่ขอพระธิดาแก่พระแม่เจ้าได้หรือไม่พระเจ้าข้า”
“ในเมื่อพระองค์มีพระประสงค์เช่นนี้หม่อมฉันมิอาจขัดข้องประการใดเพค่ะ”
“เอาล่ะดีแล้ว ข้าขอขอบพระหทัยพระแม่เจ้ามากนัก”
แล้วชายหนุ่มก็หันไปทางมวลเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองของเมืองมะละแหม่งแล้วทรงตรัสในท่ามกลาง
ทันทีแล้วประกาศแก่บรรดาทั้งหลายว่า
“ บัดนี้เมืองมะละแหม่งพระเจ้าสมิงนราบดินทร์ได้ทรงสวรรคตในท่ามกลางสนามรบ สมพระเกียรติยศ
เป็นอย่างยิ่งข้าเองอดชมเชยในวีรกรรมของพระองค์เสียมิได้ หากเมืองมะละแหม่งนี้ขาดเจ้าเมืองไปก็อันอาจ
จะทำความวุ่นวายแก่บรรดาประชาราษฎร์ได้ จึงใคร่ขอใช้อำนาจประกาศแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ขึ้นในบัดนี้
ให้ท่านมังกะยอขึ้นครองราชย์สมบัติสืบต่อไป ด้วยเหตุที่ท่านมังกะยอหาได้มีครอบครัวแต่ประการใด ขอให้
ท่านมังกะยอเดินมาหาข้าด้วย”
ครั้นพระมหาอุปราชกล่าวจบก็เกิดเสียงพรึมพรำขึ้นแต่หามีผู้ใดคัดค้านกระด้างกระเดื่องใดไม่ พระองค์
ทรงมองหน้าบรรดาอำมาตย์และเหล่าขุนทหารทั้งปวงเห็นมิแสดงอาการแต่อย่างใด จึงประกาศต่อไปว่า
“บัดนี้ท่านมังกะยอก็หาใช่สามัญชนประการใดไม่เป็นเชื้อสายของกษัตริย์มาก่อนจึงสมควรเถลิงราชสมบัติ
นี้และข้าได้สู่ขอพระราชบุตรีของพระแม่เจ้าเมืองมะละแหม่งไว้เรียบร้อยแล้วจึงขออัญเชิญเจ้าหญิงยุพาวดีออก
มาด้วย เพื่อข้าจะจัดการพระราชทานสยุมพรสมรสให้มาดแม้นว่าจะรวดเร็วก็ด้วยความจำเป็นของข้า”
เมื่อมังกะยอก้าวหน้ามาถึงเบื้องหน้าชายหนุ่ม ย่อเข่าลงชายหนุ่มก็สวมมงกุฎบนศีรษะมังกะยอทันทีส่วน
เจ้าหญิงยุพาวดีที่ก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง ชายหนุ่มหยิบเอาก้อนแก้วสีแดงออกมาสองก้อนคัดเลือกที่สวยที่สุด
แล้วมอบให้มังกะยอและเจ้าหญิงยุพาวดี แล้วให้ทั้งสองเข้าไปถวายบังคมแก่พระมเหสีทันที ทั้งสองก็พากัน
เดินไปหาพระมเหสีแห่งเมืองมะละแหม่งแล้วน้อมกายลงกราบยังเบื้องบาทพระแม่เจ้าทันที พระนางเองก็
ทรงให้ศีลให้พรแก่ทั้งสอง พลางหันมาขอบใจแก่พระมหาอุปราชทันทีที่ยังมิได้ลืมเลือนสมิงนราบดินทร์
พระสวามีหาผู้สืบเชื้อสายโดยตรงและทราบว่าราชบุตรเขยนั้นมีเชื้อสายกษัตริย์ด้วยก็ยิ่งปลาบปลื้มพระหทัย
ยิ่งนัก ถึงกลับหลั่งน้ำพระเนตรทันทีด้วยความดีใจพระหฤทัยยิ่งนัก
ชายหนุ่มก็เรียกทั้งสองเข้ามาแล้วทรงนำน้ำในคนโทที่นางสนมกำนัลนำมาถวายตามรับสั่งรดยังฝ่ามือของ
ทั้งสอง แล้วให้พระมเหสีมารดน้ำแก่เจ้าบ่าวสาวแทนมงคล หันไปกล่าวว่าด้วยกะทันหันขอพระแม่เจ้าอย่า
ได้ยึดถือขนบธรรมเนียมมากนัก ข้าเองยังไม่ติดยึดถือใดๆ ครั้นจัดการแต่งตั้งกษัตริย์เมืองมะละแหม่งเรียงร้อย
แล้วให้มังกะยอนั่งยังบนบัลลังก์เคียงข้างพระมเหสีคนใหม่แห่งเมืองมะละแหม่ง
ส่วนพระองค์ก็ เดินก้าวออกมาเบื้องหน้าพลางประกาศว่า
“ บัดนี้ข้าได้เปลี่ยนราชวงศ์ขึ้นใหม่ ข้าขอแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ในชื่อว่า “สมิงกะยอนราบดินทร์”
แห่งราชวงศ์ “นราบดินทร์เดชาฤทธิ์ไกร” รัฐมอญทั้งปวง ที่ชายหนุ่มทำเช่นนี้เพื่อมิให้ราชบุตรอันเกิดจาก
เหล่าสนมกำนัลได้เกิดความฮึกเหิมคิดการช่วงชิงราชสมบัติอีกต่อไปและด้วยแอบมีหนังสือถึงมังกะยอไว้
ด้วยทรงรำลึกนึกถึงองค์เจ้าเมืององค์เดิม ให้เป็นราชวงศ์ใหม่ใช้ชื่อเจ้าเมืองเก่าผสมผสานเพื่อมิให้เกิดรอย
ร้าวฉานแก่บรรดาขุนทหารทั้งปวงจะคิดการไม่ดีต่อไป จึงประกาศนับแต่นี้ ส่วนแม่ทัพใหญ่นั้น
ให้ท่านมังนิละกะเป็นแม่ทัพใหญ่เมืองนี้ส่วนท่านรองแม่ทัพใหญ่เดิมนั้นข้าแต่งตั้งให้เป็นมหาอำมาตย์ใหญ่
ส่วนท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ให้เป็นที่ปรึกษาของท่านสมิงกะยอนราบดินทร์ด้วยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
มีใครบ้างจะขัดคำสั่งข้าให้แจ้งมาด้วย”
แต่หาได้มีผู้ใดกล้าบังอาจกล่าวใดๆขึ้นมานอกจากมองหน้ากันก็ยังมิกล้า
เพียงส่งเสียงยอมพร้อมใจกันทั้งสิ้นทุกๆคน
“เมื่อข้าจัดการเมืองมะละแหม่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วหากการสำเร็จสมประสงค์ของข้าก็จะคืนแว่นแคว้นต่างๆ
ให้กลับมาอยู่ภายใต้ปกครองของเมืองมะละแหม่งต่อไป มะรืนนี้ข้าก็จะออกเดินทางแล้ว” กล่าวเสร็จก็หันมาทาง
เจ้าเมืองใหม่ พลางรับสั่งว่า
“เจ้าเมืองใหม่ขอให้ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนท่านก็เห็นข้าเคยถือปฏิบัติมาแล้วเป็นตัวอย่างให้รักและสร้าง
ความร่มเย็นเป็นสุขถือประชาราษฎร์เป็นใหญ่ทำนุบำรุงเหล่าทหารให้อย่างยุติธรรมจงเด็ดขาดอย่าเชื่อฟังคน
ประจบสอพลอเด็ดขาด จงใช้สติปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบโดยปรึกษากับพระมเหสีของเจ้าซึ่งข้าเองทราบว่า
เป็นคนที่เก่งกล้าสามารถในการรบพุ่งและยังเก่งทางด้านการเมืองอีกด้วยเป็นสำคัญ ส่วนที่ปรึกษาท่านก็ควรให้
เกียรติทำนุบำรุงเหล่าอำมาตย์ทหารทั้งปวงอย่าให้ต้องเดือดร้อน การเลื่อนขั้นตำแหน่งให้จัดการคัดเลือกทุกๆปี
ทดสอบทดลองเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เหล่าอำมาตย์และขุนทหารทั้งปวง ใครดีก็ว่าดีใครไม่ดีก็จัดการลงโทษ
อย่าไว้หน้าใครๆ ให้ใช้ความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดเป็นที่ตั้งตามโทษานุโทษทุกๆประการเจ้าเข้าใจที่เราสั่งหรือไม่”
“ข้าพระองค์แม้นจะเป็นเจ้าเมืองก็จริงอยู่แต่ในห้วงจิตสำนึกยังเป็นข้าเบื้องใต้ยุคลบาทพระองค์เสมอๆ
พระพุทธเจ้าข้า” เจ้ามังกะยอกล่าว ส่วนพระมเหสียุพาวดีก็ทูลขึ้นว่า
“ข้าน้อยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหาอุปราชยิ่งนักที่ทรงให้เกียรติแก่เสด็จพ่อโดยตั้งชื่อ
ราชวงศ์ใหม่ว่า “นราบดินทร์เดชาฤทธิ์ไกร” อันมีนามพระบิดาของหม่อมฉันหมายถึงพระองค์ทรงให้เกียรติแก่
พวกเราเป็นอย่างยิ่งแล้วเพค่ะ” กล่าวเสร็จก็ลุกจากเก้าอี้ย่อกายถวายบังคมทันที
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ทรงพระสรวลพลางดำรัสว่า
“อันการกระทำทุกอย่างของข้านี้ใช่ว่าจะลุล่วงหวังลาภยศชื่อเสียงก็หาไม่เพียงคิดรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆ
ให้เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกันช่วยเหลือเจือจุนซึ่งกันและกันไม่แบ่งแยกพงศ์เผ่ากัน ส่วนข้าเองหลังจากรวบ
รวมแว่นแคว้นต่างๆได้ข้าก็จะไปสร้างเมืองใหม่ยังที่ไกลๆหาได้คิดก้าวก่ายทางแผ่นดินนี้อีก การรวมเป็นหนึ่ง
เดียวด้วยใจดวงเดียวก็เพื่อป้องกันข้าศึกต่างประเทศที่มักจะมาคุกคามกันเนืองๆนั่นเอง”
“ข้าพระองค์ได้ฟังดำรัสของพระองค์ก็ให้แปลกพระหทัยยิ่งนักว่าพระองค์จะสร้างเมืองใหม่คือศิระสุริยันต์
ยังที่ใดหรือเพค่ะ เพื่อว่าจะได้หาทางไปเยี่ยมพระองค์บ้างเพค่ะ”
ชายหนุ่มทรงพระสรวลเบาๆ ยิ้มพลางกล่าวว่า
“เอาล่ะหากสำเร็จสมความคิดอ่านแล้วเราจะแจ้งให้เจ้าเมืองต่างๆทราบเองแหละแต่ขอเก็บ
เป็นความลับก่อนก็แล้วกันขอให้เจ้าจงช่วยพระสวามีด้วยสุดความสามารถนะ”
“อันมะรืนนี้ข้าจะออกเดินทางจึงใคร่ได้ทหารฝีมือดีจากเจ้าช่วยเหลือด้วยเจ้าเมืองจะเห็นประการใด”
“พระองค์ไม่ทรงดำรัสข้าพระองค์ก็จะให้แม่ทัพใหญ่จัดทหารมอบให้แล้วพระเจ้าข้า”
“เอาล่ะขอบใจท่านยิ่งนัก เราจะกลับค่ายใหญ่แล้วส่วนเจ้าก็ให้ทหารไปเก็บของส่วนตัวมาก็แล้วกันนะ”
“พระเจ้าข้าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหามิได้พระเจ้าข้า”
แล้วชายหนุ่มก็หันไปทางพระมเหสีองค์เดิมพลางน้อมกายลงกล่าวอำลากลับค่ายใหญ่ทันที พระมเหสี
องค์เดิมก็ถือโอกาสขออภัยแล้วทรงสวมกอดชายหนุ่มพร้อมอวยพรนานัปการ ครั้นเวลาสมควรก็ออกจากเมือง
มะละแหม่งพร้อมด้วยเหล่าทหารและให้ทหารนำทหารที่เสียชีวิตคลุมด้วยธงประจำกองทัพเข้าฝังในป่าทันที
พร้อมทั้งส่งข่าวไปให้มหาอำมาตย์ใหญ่ทราบว่าได้จัดการเมืองมะละแหม่งและขอบใจเหล่าทหารตองอูที่เข้า
ช่วยให้เดินทางกลับได้ ฝ่ายทหารตองอูนั้นกลับทูลว่าพระเจ้ามังสุริโยว่าให้เพียงส่งข่าวให้ทราบเท่านั้นและให้ติด
ตามคอยรับใช้ไปร่วมรบด้วย ทำให้ชายหนุ่มซาบซึ้งและได้ให้ทหารนำสาสน์ไปให้แก่มังสุริโยแห่งตองอูทันที
ครั้นกลับถึงค่ายใหญ่แล้วสำรวจทหารทราบว่าเสียชีวิตไม่มากนักก็ปลาบปลื้มใจยิ่งนักครั้นพักผ่อนโดย
ได้รับการปรนนิบัติจากแม่นางทั้งเจ็ดรวมถึงแม่นางพรายซึ่งสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดียิ่งทำให้ชายหนุ่มถึง
กับซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ต่างหยอกเย้าคุยกันจนหลับใหลไปตอนเที่ยงคืน เมื่อยามอรุณก็ได้รับรายงานว่า
ทางเมืองมะละแหม่งได้จัดส่งทหารนำโดยแม่ทัพใหญ่มาด้วยจำนวนมาก มังนิละกะนำมาเองแจ้งว่ามีทหาร
ที่ไว้ใจได้เพียงแค่สองหมื่นเศษเท่านั้นและจะขอร่วมเดินทางไปรบด้วย แต่ชายหนุ่มห้ามไว้ว่าในเมือง
ยังเป็นคนของอำมาตย์และแม่ทัพใหญ่เก่าอยู่อีกแล้วก็แนะนำด้านการปกครองทหารให้มังนิละกะถึงกุสโลบาย
ต่างๆเรียนรู้ไว้ให้พยายามตัดพวกที่ยังฝักใฝ่แม่ทัพใหญ่ออกแล้วให้ทำการทดสอบประลองยุทธ์จากทหารที่
มาสมัครใหม่ให้แต่งตั้งแทนและโยกย้ายทหารที่ไม่น่าไว้วางใจออกจากตำแหน่งที่ควบคุมทหารหากมากก็ปลด
ออกจากทำการแต่งตั้งทหารที่จัดสร้างขึ้นใหม่แทนแต่ หากมันยังคิดส่องสุมก็ให้จัดหน่วยพิเศษขึ้นจัดการ
ฆ่าทิ้งเสียอย่าปล่อยเอาไว้ ด้วยพวกนี้ไว้ใจไม่ค่อยจะได้ จงจำคำเราไว้
อีกประการหนึ่งให้คอยจับตาดูที่ปรึกษาและมหาอำมาตย์ไว้อย่าให้คลาดสายตา หากมีอะไรก็ให้รีบ
แจ้งให้เรารู้ทันทีและให้ไปแจ้งต่อเจ้ามังกะยอไว้ด้วยว่านี่เป็นคำสั่งของเรา พร้อมส่งหนังสือลับไว้ให้ แต่
ให้ใครเห็นเป็นอันขาดแก่มังกะยอส่วนตัวเจ้าเองก็ อย่าไว้ใจใครๆเด็ดขาดเรามิอาจ
กล่าวต่อหน้ามวลทหารของมอญได้ จึงให้เจ้าจัดการแทน มังนิละกะรับทราบแล้วก็ขอตัวกลับเพื่อรีบไปดำเนินตามแผนของท่านมหาอุปราชต่อไป แล้วชายหนุ่มก็ให้เคลื่อนทัพถอนกำลังพลออกนำกำลังของมอญ
และตองอูรวมกันได้หลายหมื่นออกเดินทางผ่านแว่นแคว้นรัฐมอญ ซึ่งต่างออกมาต้อนรับ
และมอบเสบียงอาหารให้ซึ่งเจ้าเมืองต่างๆนั้นเป็นคนของชายหนุ่มทั้งสิ้น
จวบบรรลุถึงทัพของท่านมหาอำมาตย์ใหญ่เหมี่ยวมังกระยอชวาที่ปรึกษาว่า
ทางด้านอิสราวดีส่งกองทัพมาเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยแว่นแคว้นรัฐมอญแต่ถูก แม่ทัพใหญ่ตีแตกยับเยินกลับเมือง
ไปแล้ว ตอนนี้แม่ทัพใหญ่ยังตั้งทัพคอยพระองค์อยู่
แล้วชายหนุ่มและท่านที่ปรึกษาใหญ่ก็นำทัพไปรวมกับทัพของแม่ทัพใหญ่ทันที เข้ารายล้อมเมืองอิสราวดี
ปิดทางการค้าขายของชาวเมืองทั้งสิ้น ทำให้เกิดระส่ำระสายแก่ชาวเมืองอิสราวดีอย่างมหาศาลจนวุ่นวาย.........
* แก้วประเสริฐ. *