23 กุมภาพันธ์ 2553 12:49 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 28

แก้วประเสริฐ


               ลุ่มลึกอิสราวดี  28

      ขณะร่างชายหนุ่มอยู่ท่ามกลางอากาศ  ครั้นแลเห็นอาวุธต่างๆพุ่งเข้าใส่ก็ตีลังกาใช้
กระบองฟาดไปยังอาวุธที่จะมาต้องกาย   ส่วนเจ้าลิงขนขาวเห็นเช่นนั้นก็เอาไม้ที่ผ่าน
การชุบเรืองแสงหวดไปยังบรรดาอาวุธ   ช่วยชายหนุ่มอีกแรงหนึ่งแต่ร่างที่บนอากาศ
หล่นลงหลังจากฟาดอาวุธพ้นไปแล้ว  เรารีบทะยานคว้าเกาะยังผนังฟื้นขอบทันทีร่าง
จึงห้อยอยู่ปากหลุม ส่วนกระบองนาคราชก็เข้าทำลายบรรดาอาวุธจนหักสลายไปสิ้น
       หินที่ชายหนุ่มเหนี่ยวรั้งอยู่ก็หลุดร่วงลงมาทำให้ชายหนุ่มพลัดตกลงไป  แต่ทว่าเขา
รู้สึกเหมือนมีคนมาช่วยรับและดันร่างเขาให้ลอยขึ้น  ดังนั้นชายหนุ่มจึงพุ่งร่างอาศัยเท้า
ที่หยั่งได้  ร่างจึงหลุดพ้นปากหลุมแล้วกระโดดไปยังพื้นทันที   
        ชายหนุ่มนึกถึงแม่นางพรายทั้งสองคงจะมาช่วยเขาด้วยในปากหลุมนั้นมืดมิด
ปราศจากแสงสว่างจากดวงอาทิตย์นางจึงสามารถออกมาช่วยเขาได้   เมื่อชายหนุ่มพ้น
และยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เขาก็ก้มลงกราบยังพื้นดินทันที  แล้วกอบเอาดินพร้อม
เศษหินต่างๆขึ้นมายกขึ้นจรดหน้าผากท่องเวทมนต์พลางซัดไปยังร่างของชายชรา
ที่กำลังส่งเสียงหัวร่ออย่างดีอกดีใจ   ยามแลเห็นร่างของเขาหล่นไปในหลุมอาวุธ
ที่วางหงายคมขึ้นมาด้วยคมหอกจำนวนมากที่มันสร้างพร้อมกลไกลต่างๆอีกมากมาย
ทำไว้เพื่อกำจัดศัตรูที่ล่วงล้ำเข้ามายังปราสาทและสองข้างยังมีลูกธนูที่พุ่งมาอีก 
  
        มันคิดว่าป่านนี้คงจะเสียชีวิตไปแล้ว   แต่มันก็ต้องตาเหลือกเมื่อเห็นร่างชายหนุ่ม
อีกครั้งเสียงหัวร่อมันหายไปทันที    เมื่อแลเห็นก้อนไฟจำนวนมากมายพุ่งกระจาย
เข้ามาหามัน   ดังนั้นชายชราจึงรีบล้วงไปในยามกำสิ่งของบางอย่างแล้วเสก   
ขว้างไปยังลูกไฟต่างๆ    ของที่เจ้าชายชราโฉดก็กลับกลายเป็นห่าฝนใหญ่เข้าดับไฟ
 แต่เศษหินมันเข้ามากระทบยังร่างมันจนต้องเซถอยหลังไปแต่หาได้ทำอันตรายมันไม่
        เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนี้จึงพุ่งร่างเพื่อเข้าหาชายชราทันทีแต่เขาก็ต้องชะงักร่าง  เจ้าชายชรา
นั้นขว้างประคำที่มันถือออกมาขว้างมากลายเป็นพญานกอินทรีย์ใหญ่ตัวมหึมาหลายสิบตัวพุ่ง
ร่างมาหาเขา    ชายหนุ่มมิรอช้ารีบดึงเศษขนนกวายุภักดิ์ขึ้นมาแล้วร่ายพระเวทย์ทันทีพร้อมกับ
ปล่อยเศษขนนกวายุภักดิ์   ขนนกก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกจากฝ่ามือเขาไปกลายเป็นร่างของ
นกวายุภักดิ์หลายสิบตัว   
           พอเจ้าอินทรีย์ยักษ์จำนวนนั้นเมื่อแลเห็นนกวายุภักดิ์ที่รี่ตรงมาหามัน  
ร่างต่างๆของมันชะงักถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ปลุกเสกก็ตาม    แต่ด้วยแพ้อำนาจที่มีอยู่
ของสัตว์ทั้งสองมันข่มกันในตัวเองอยู่แล้ว
ทำให้เจ้านกอินทรีย์ร่างยักษ์ก็ถึงกับพ่ายอำนาจต่อนกวายุภักดิ์ที่ผ่านการเสกของชายหนุ่มพากัน
บินหนีแต่ก็ไม่พ้น  นกวายุภักดิ์ที่ใหญ่และรวดเร็วกว่า  พร้อมมันก็ส่งเสียงร้องขู่คำรามกึกก้อง
สะท้านไปทั่วป่าบริเวณแถวๆนั้น    
           ชายชราเห็นเช่นนั้นมันนึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มนี้ยังเป็นเด็กอ่อนหัดจะมีวิทยาคมแก่กล้าและ
ยังมีของวิเศษในตัวอีก   เฉพาะเพียงแค่เศษขนนกที่มันสวมใส่ยังมีอานุภาพเพียงนี้  มันจึงเรียก
ประคำกลับทันที   แต่ทว่าช้าไปเสียแล้วเจ้านกวายุภักดิ์ทั้งหลายก็ถึงตัวเจ้านกอินทรีย์ต่อสู้กันแต่
อย่างไรก็ตามทั้งจิตวิญญาณมันพ่ายแพ้แก่กันไม่นานเจ้าเหล่านกอินทรีย์ก็ตกตายสิ้น กลายเป็นเศษ
ลูกประคำที่แตกหักไปหมด   แล้วร่างนกวายุภักดิ์ก็พุ่งร่างเข้าใส่ยังร่างของชายชราโฉดทันที

         เจ้าชายชราที่เรืองด้วยเวทย์มันมันรีบเสกมนต์พลางหยิบของภายในย่ามออกมาสาดไปยังร่าง
พวกบรรดานกที่เข้ามาปลายเป็นเปลวเพลิงสกัดกั้นไว้ทันที  เจ้านกทั้งหลายเมื่อไม่สามารถทำอันตราย
แก่ชายชราที่เรืองวิทยาคมได้ก็กลับมาสู่ยังฝ่ามือชายหนุ่มทันที   เขาจึงเก็บเศษขนนกวายุภักดิ์เข้ายัง
ย่ามของเขาไว้    พร้อมทั้งชักดาบออกมาเดินไปหาชายชราทันที   เสียงดาบยามออกจากฟักส่งเสียง
ก้องกังวานมาก    จนทำให้ร่างชายชราถึงกับเขม่นมองดูดาบเห็นประกายเขียวปานปีกแมลงทับก็ให้
ตกใจมากๆ  ด้วยมันจำได้ว่านั่นเป็นดาบของท่านมหาราชครูผู้เรืองฤทธิ์เดชและเป็นอาจารย์ของมันด้วย 
         แต่มันเนื่องจากถูกท่านมหาราชครูขับไล่ออกมา  จึงสร้างความโกรธแค้นแก่มันคิดจะทำลายล้าง
ราชวงศ์ของมหาราชครูทีเข้ารับราชการอยู่ให้สิ้นซาก  จึงได้สมคบกับมหาอำมาตย์ใหญ่ช่วยส่งเสริม
เข้ายึดอำนาจภายในเมืองอิสราวดีเสีย   แล้วแยกตัวออกมาบำเพ็ญตบะเพิ่มเติมให้แก่กล้าสำเร็จแต่
ด้วย  อาจารย์มันหาได้สั่งสอนมันจนหมดไม่จึงไปร่ำเรียนวิชาอีกหลายๆอาจารย์ที่คงจะมีนิสัยคล้ายๆกัน
จนสำเร็จ     มันไม่นึกว่าจะได้เห็นดาบเล่มนี้อีก   ดังนั้นมันจึงถามชายหนุ่มทันที
        “นี่เจ้าหนุ่มน้อย  เอ็งไปได้ดาบนี้มาอย่างไรหรือ”
      ครั้นชายหนุ่มได้ยินมันดังนั้นจึงกล่าวปดมันทันทีว่า
        “ด้วยอาจารย์ท่านได้สั่งสอนและมอบให้แก่ข้าเองแหละ  ทำไมหรือ”  
     ชายชราโฉดได้ยินเช่นนั้นยิ่งแค้นใจยิ่งขึ้นด้วยคิดว่าชายหนุ่มคงจะร่ำเรียนวิชาอาคม
มาจากอาจารย์มันจนหมดสิ้น  แล้วถึงได้มอบดาบวิเศษเล่มนี้ให้แก่มัน  
 จึงไม่ฟังอีล้าค่าอีลมมันจึงย่างสามขุมเข้ามาพร้อมด้วยกระบองที่หัวไม้เท้ามันเป็นรูป
สัตว์ประหลาดที่อาจารย์ที่มันร่ำเรียนมาภายหลังเมื่อสำเร็จวิชาการต่างๆมอบให้มันไว้
    
 บัดนั้นเจ้าลิงทั้งสองได้เข้ามาอยู่ข้างกายชายหนุ่มทันทีหลังจากข้ามหลุมลึกออกมาได้
         ชายชรามองเห็นก็ชะงักร่างมันทันทีเพ่งสายตามองไปยังเจ้าลิงทั้งสอง 
เห็นก็ให้นึกแปลกใจนักด้วยมันมีขนแตกต่างกันมากตัวหนึ่งสีทอง อีกตัวหนึ่งสีขาว
 ส่วนเจ้าสีขาวนั้นมือมันถืออาวุธใดมิอาจทราบได้ส่งแสงแวววาวประกายหลากสีนัก
         เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ส่งมอบกระบองนาคราชให้แก่เจ้าขนทองทันที
ลิงทั้งสองต่างมีอาวุธครบมือมันห้าวหาญนัก  ไม่ทันฟังชายหนุ่มก็พุ่งร่างมันเข้าใส่ยัง
ร่างชายชราทันที    ทั้งสองตัวต่างควงอาวุธรวดเร็วเป็นจักรผันกระจายวงกลมออกเป็น
หลายๆวงเข้าล้อมรอบตัวชายชราทันที    
       ชายชราเมื่อมองกระบองนาคราชเองก็ให้สะท้านใจยิ่งนัก  ด้วยมันหาใช่อาวุธที่คน
เราจะสร้างมันขึ้นมาเองได้ด้วยเป็นอาวุธของเทพยดา  ซึ่งมันรู้ว่าอาวุธไม้เท้ามันมิอาจ
จะต่อกรกับกระบองนาคราชได้  แต่ช้าไปเสียแล้วร่างเจ้าขนขาวยกกระบองตีไปยังร่าง
ของชายชราทันที  
        ชายชรารีบยกไม้เท้าหัวสัตว์ประหลาดเข้ารับมือแต่ไม่อาจทานน้ำหนัก
การาฟาดจากเจ้าขนขาวได้ถึงกับเซร่นๆไป เสียงดังเคล้งๆประกายไฟแลบออกมามากมาย
ไม้เท้ามันเกือบจะหลุดจากมือ   มันไม่คิดว่าเจ้าลิงขาวนี้จะมีพละกำลังมากมายเช่นนี้ซ้ำการ
เข้าตียังเชี่ยวชาญคล้ายฝึกฝนวิชาร่วมสำนักเดียวกับมันก่อนด้วยการใช้ท่าร่างไม่เหมือนการ
ตีทั่วๆไป  ทุกๆกระบวนการตีประกอบด้วยท่าร่างที่พิสดารยิ่ง

       ดังนั้นมันจึงรีบร่ายเวทย์มนต์พร้อมชี้หัวไม้เท้าไปยังร่างเจ้าลิงขาวทันที   ปรากฏประกาย
แสงเจิดจ้าพุ่งเข้าใส่เจ้าขนขาว   เจ้าขนทองเห็นเช่นนั้นมันก็กระโดดเข้าขวางร่างเจ้าขนขาว
ทันทีพร้อมยกหัวไม้เท้าที่เป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียรชี้ไปยังร่างเจ้าชายชราด้วยมันเคยใช้กระบอง
นี้มาก่อนแล้วจึงรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจของกระบองเป็นอย่างดี 
        ฉับพลันดวงตาของพญานาคทั้งเจ็ดก็เปล่งสีแดงจ้าเฉิดฉายเป็นลำแสงเข้าไปยังประกายแสง
ของหัวไม้เท้าชายชราทันที   เมื่อแสงกระทบกันเสียงดัง เปรี้ยงปร้างเป็นระยะๆแล้วหดหายกลับ
คืนยังหัวไม้เท้าของชายชรา  บัดดลหัวไม้เท้าก็ระเบิดแตกกระจายจนทำให้เจ้าเฒ่าโฉดถึงกับต้อง
โยนไม้เท้าทิ้งลงกับพื้น   มันตกตลึงต่อเหตุการณ์เช่นนี้   มันรีบปลดประคำที่เม็ดใหญ่โตออกมา
แล้วร่ายพระเวทย์โยนขึ้นไปบนอากาศทันที
         ทันใดนั้นประคำก็ขยายใหญ่เป็นเปลวเพลิงในลูกประคำเข้าล้อมรอบชายหนุ่มและลิงทั้งสอง
ลุกไหม้เป็นประกายสูงยิ่ง    แผ่ความร้อนมายังชายหนุ่มและลิงทั้งสองทันทีชายหนุ่มนั่งลงกับพื้น
พลางนึกถึงท่านพญาธนาธิบดีนาคาทันทีพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกสามคำ   บัดนั้นก็เกิดพายุพัดกระหน่ำ
เมฆฝนมาจากที่ใดไม่ปรากฏ   สายพายุพัดจนเจ้าเชายชราเซแซดๆไปด้วยแรงแห่งพายุซัดเข้ากับผนัง
ก้อนหินทันใด   แล้วท้องฟ้าฟาดสายฟ้าเปรี้ยงๆฝนก็ตกมายังบริเวณรอบกองไฟที่ล้อมชายหนุ่มและ
ลิงทั้งสองดับลงทันที  กลายเป็นลูกประคำที่ขาดจากสายแตกแยกทันใด    แล้วร่างของท่านพญาธนาธิบดี

ก็ปรากฏกายขึ้น  พลางเข้าพยุงร่างชายหนุ่ม   เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็เข้ากราบคาราวะท่านพญานาคา
ท่านหัวร่อ แล้วกล่าวว่า
       “ไอ้เฒ่าชรานี้มันโฉดชั่วนัก  มันไม่อยู่ในศีลธรรมมักมากในกามคุณยิ่งมันที่เก่งกาจก็ด้วยอำนาจของ
เวทย์มนต์ไสยดำทั้งสิ้น  ถึงอย่างไรมันก็ไม่อาจจะทานอำนาจพุทธคุณไปได้หรอก”
        “แล้วจะกำจัดมันได้อย่างไรหรือขอรับท่านผู้เฒ่า”  ชายหนุ่มถาม
        “ตอนนี้ดวงมันยังไม่ถึงฆาต  แต่ก็ไม่นานนักแล้วล่ะพ่อหนุ่ม”  ท่านพญานาคราชกล่าว
        “เดี๋ยวเราจะจัดการให้เอง  แต่ในปราสาทมันนั้นมีของชนิดหนึ่งให้เจ้าค้นหาเราไม่สามารถบอกได้
ด้วยเป็นวาสนาแต่ละคน   หากเจ้ามีวาสนาก็จะค้นพบเองแหละ  เรารู้ว่าเป็นของที่คู่ควรแก่เจ้ายิ่งนัก”

           เมื่อท่านพญานาคราชกล่าวจบ   เดินไปหาเจ้าเฒ่าโฉดทันที    ส่วนเจ้าเฒ่าโฉดเสมือนมันรู้ว่านี่ไม่
ใช่คนธรรมดายากจะต่อกรได้มันจึง รีบเผ่นหนีแต่ไม่ทันเสียแล้ว   ท่านพญานาคราชชี้นิ้วไปยังร่างของ
มันทันทีเป็นลำแสงสีสวยงามยิ่งนัก เข้าทำลายร่างส่วนแขนมันขาดไปทันใด   เจ้าเฒ่าโฉดเมื่อเสียแขนไป
มันก็รีบเผ่นหนีเข้าป่าไปทันที    เสียงหัวร่อลั่นของท่านท้าวพญานาคราชดังไล่หลังมัน ยิ่งทำให้มันหนี
แทบสิ้นชีวิตหายลับไปจนไม่อาจจะเหลียวหลังกลับมามอง  ลิ้มลุกคลุกคลานยืนได้ก็วิ่งหนึ่งสุดชีวิต
         หลังจากกำราบเฒ่าโฉดชั่วแล้วพลางหันหลังมายังชายหนุ่มที่นั่งพนมมืออยู่พลาง เรียกให้เข้ามาใกล้ๆ
แล้วก็สอนวิชาต่างๆให้ชายหนุ่มทันทีเพื่อใช้ในกาลข้างหน้าต่อไป   ชายหนุ่มซึ่งได้ฟังเพียงไม่กี่ครั้งก็จดจำ
ได้หมดสิ้น  พลางกราบลงที่แทบเท้าท่านพญานาคราช  ท่านพยุงตัวเขาขึ้นพลางกล่าวว่า
       “เห็นทีเราหมดธุระแล้วจะต้องกลับแล้วขอให้เจ้าระวังตัวไว้ให้ดีนะ กาลข้างหน้ายังมีอีกมากมายนักแต่
เจ้าควรเข้าไปยังปราสาทค้นหาสิ่งที่เจ้าจะต้องใช้ในวันข้างหน้าให้พบด้วย”  ท่านพญานาคราชกล่าวสิ้นคำ
ร่างก็ค่อยๆเลือนรางแล้วหายวับไป  ท้องฟ้าก็กลับแจ่มใสดังเดิม  ชายหนุ่มมองไปยังหน้าปราสาทแล้ว
จูงมือเจ้าลิงทั้งสองผ่านเข้าไปข้างใน  ซึ่งเป็นบริเวณโล่งๆ  มีห้องแค่สี่ห้องเท่านั้นหาได้มีอะไรที่ผิดสังเกตใดไม่
        เขาก็นึกแปลกใจนอกจากที่นอนของเฒ่าเจ้าเล่ห์แล้วหามีสิ่งใดพิสดาร
ไม่นอกจากตั่งไม้ที่ใช้เป็นที่นอนของมัน   เขาเดินไปพิจารณาไปตามฝาผนังห้องที่วาดด้วยภาพสีต่างๆเป็นลวดลายแปลกตายิ่งนักจะหาที่ผิดสังเกตหรือก็ไม่มี
  ทดลองกดเคาะมือไปตามฝาผนังก็มีเสียงดังปกติแทบทุกๆแผ่นตลอดจนพื้นต่างๆ   จึงมานั่งยังตั่งไม้พลางทอด
ถอนใจแล้วคิดว่า    เห็นทีเราคงจะไร้วาสนาเสียแล้วกระมังจึงหาของที่ท่านพญานาคราชกล่าวไม่เจอ 
พลางล้มกายลงนอนยังตั่งใช้ความคิดนาๆประการ   หากไม่มีแล้วท่านพญานาคราชใยจึงกล่าวเช่นนี้เล่า
แต่เราหาไม่เจอเองทั่วทุกซอกมุม ฝาผนังก็แล้วหาได้มีสิ่งใดเป็นที่ซ่อนของดังกล่าวได้
        ฉับพลันความคิดเขาก็นึกขึ้นไดว่าทุกๆแห่งค้นหาแล้วแม้กระทั่งพื้นอิฐต่างๆ  มีแห่งเดียวที่เขายังไม่
ได้ค้นคือบริเวณใต้ตั่งที่เขานอนนี่เอง    เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วลากตั่งออกมาจากบริเวณนั้นทันที
แล้วใช้ส้นมีดเคาะๆไปตามพื้นอีกครั้งหนึ่ง  เสียงมันดังปกติยามเขาเคาะไปเรื่อยๆก็มีเสียงแปลกๆรู้สึกว่าเสียง
มันคล้ายโปร่งไม่แน่นเหมือนเสียงที่เคาะทั่วๆไป   จึงค่อยๆเคาะไปตามบริเวณปรากฏว่าเสียงดังโปร่งๆมี
ประมาณหกแผ่นจึงแน่ใจว่าที่เขาค้นหาคงจะอยู่ภายใต้พื้นแห่งนี้แน่นอน  จึงค่อยๆเอาปลายดาบงัดออกมา
ทีละแผ่นๆจนหมด  กลับเห็นเป็นบันไดทอดยาวลงไปข้างล่าง  
       เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงกล่าวกับเจ้าลิงทั้งสองให้คอยเฝ้าปากทางไว้   เจ้าขนทองไม่ยอมมันสั่นหน้าและส่ง
เสียงร้องบอกแก่เจ้าขนขาวให้คอยเฝ้าปากทางไว้แต่ผู้เดียว   ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ปล่อยเลยตามเลยค่อยๆย่าง
เท้าเดินลงไป   พอก้าวจนถึงพื้นเป็นทางยาวทอด  แต่ข้างฝากลับประดับด้วยมุกที่แปลกประหลาดส่งแสง
สีนวลใยแลเห็นไปทั่งบริเวณ   มีประมาณสามสี่ลูกเห็นจะได้ เขาค่อยก้าวเข้าๆไปทีละก้าวด้วยนึกถึงหลุม
ที่ก่อนจะเข้ามา   เจ้าเฒ่าโฉดคงจะสร้างกลไกอะไรไว้หากยิ่งเป็นของสำคัญมันยิ่งสร้างรัดกุมยิ่งขึ้น  เขามองไป
รอบๆบริเวณแล้วค่อยๆย่างเท้าพอพ้นทางเดินเป็นผนังเหมือนประตูห้องๆหนึ่งจึงค่อยๆแง้มเปิดออก ทันใดนั้น
ยามประตูเปิดออกเสียงดังหวีดๆๆพร้อมกับมีเสียงดังครืนๆ   เขารีบหันหลังไปดูเห็นเป็นซี่กรงเหล็กกั้นทางออก
เขาไปเสียแล้ว  เขาไม่สนใจเดินย่างเข้าประตูไปทันทีก็มีเสียงลมดังขึ้นแล้วหอกก็ทิ่มแทงจากพื้นดินส่วนฝาผนัง
ก็มีลูกธนูพุ่งออกมามากมายเขารีบใช้ดาบฟาดฟันไปยังหอกทั้งหลายจนขาดสิ้น  ส่วนลูกธนูนั้นเจ้าขนทองใช้
กระบองนาคราชกระโดดตีจนลูกธนูหักและตกยังพื้นจำนวนมาก  ชายหนุ่มก็เข้าช่วยเจ้าขนทองทันทีจนหมดสิ้น
         
        เมื่อหมดสิ่งกีดขวางแล้วเขาก็มองไปยังมุมห้องแลเห็นเป็นแท่นบูชามีกระบองสีดำมะเหลือมส่งประกาย
สดใสแวววาวยิ่งนัก   เขาจึงเดินไปใกล้ๆเป็นพานทองวางสิ่งของไว้แต่ในพานทองกับวางด้วยของชิ้นหนึ่งซึ่ง
ลักษณะคล้ายดวงตราอะไรทำนองนั้นประดับด้วยเพชรนิลจินดามากมายสวยงามยิ่งนัก   ดังนั้นจึงเอื้อมมือไป
หยิบขึ้นมาพิจารณาแล้วนำมาใส่ในอกเสื้อด้านในทันที   แล้วยกมือคว้ากระบอกสีดำปลายทั้งสองประดับด้วย
ทองล้อมรอบเพชรส่งประกายแวววาว        เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงส่งกระบองสีดำเหล็กที่เขียวจนดำนั้นให้แก่เจ้า
ขนทองทันทีพร้อมนำเอากระบองนาคราชมาเสียบไว้ยังเสื้อชั้นใน   พร้อมหันหันหลังเดินออกมา  สิ่งกีดขวาง
เป็นท่อนเหล็ก ชายหนุ่มใช้ดาบฟันไปยังท่อนบนล่างมันขาดออกจากกัน พอที่จะให้เขาลอดออกมาได้
จึงเดินกลับไปทางเดิมเพื่อขึ้นสู่เบื้องบนทันที
        เจ้าขนทองครั้นได้อาวุธคู่ใจมันก็ดีใจตีลังกาหลายๆรอบ  แล้วควงกระบองเป็นวงกลมราวจักรผันทันที
เกิดเสียงดังสะท้านแสบแก้วใบหู  ชายหนุ่มจึงบอกให้มันหยุดนั่นแหละมันถึงหยุด  เขาค่อยๆแงะเอาไข่มุก
ออกมาทีละลูกๆจนหมดรวมได้ประมาณหกลูก  แล้วเก็บไว้ในย่ามของเขาเพื่อหวังว่าจะอาจมีประโยชน์ต่อไป
ในวันข้างหน้า   แล้วเดินขึ้นบันไดมาพบเจ้าขนขาวนั่งเฝ้าปากหลุมอยู่  จึงดึงมือมันขึ้นมาพากันเดินออกจากวิหาร
เพื่อจะออกเดินทางต่อไป   เขาคิดว่าหากได้ข้ามเขาลูกเบื้องหน้าแล้วอาจจะได้พบหมู่คนบ้างแล้วหันไปตบหัวลิง
ทั้งสองเบาๆพร้อมย่างก้าวออกเดินทันที..........

               *   แก้วประเสริฐ.   *   

n016.gif				
22 กุมภาพันธ์ 2553 14:31 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 27

แก้วประเสริฐ


                ลุ่มลึกอิสราวดี  27

   หลังจากที่เขามองจนกระทั่งฝูงช้างป่าแม่ลูกอ่อน  เดินลับหายไปยังป่าลึกแล้ว  จึงหันหลังกลับ
มุ่งหน้าออกเดินทางเพื่อจะข้ามทุ่งลานกว้าง หลบเลี่ยงหล่มโคนตมบางแห่ง   จนกระทั่งมาถึง
ป่าซึ่งติดกับเชิงเขา     เขาได้ยินเสียงน้ำตกไหลดังมาอีกฟากหนึ่งเยื้องๆเหลี่ยมเขา    ดังนั้นจึงได้
รีบจูงมือลิงทั้งสองออกเดิน    เพื่อค้นหาแหล่งน้ำตกครั้นเดินเลี้ยวซ้ายและขวาซึ่งเต็มไปด้วยก้อน
หินน้อยใหญ่    พ้นเหลี่ยมเขาที่ทอดมาก็พบแหล่งน้ำตกที่สูงชันไหลรินลงมาเป็นชั้นๆหลายๆชั้น
แลดูช่างงดงาม   
    ชายหนุ่มยื่นชมธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ที่เรียงรายล้อมรอบสายลำธารที่ไหลทอดหลั่ง
ไหลลงมาจากเห็นเป็นทางคดเคี้ยว  วกหายไปในป่าด้านล่างของภูเขาลูกนั้น   แนวต้นเฟิร์นขึ้นเขียว
ชอุ่มตามก้อนหิน บ้างก็ขึ้นบริเวณริมขอบของแอ่งน้ำตกทั้งเล็กและใหญ่  ตามก้อนหินใหญ่บางก้อน
เฟิร์นขึ้นดูเขียว   แต่แปลกที่หินต่างๆนั้นช่างหลากหลายสีนัก     แต่ที่ยิงแปลกกว่านั้นคือ บริเวณผนัง
ของภูเขานั้นกับเต็มไปด้วยโพรงต่างๆขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง ทอดเรียงรายห่างกันเป็นระยะๆ
      ปกติที่ผ่านมาเขาจะเห็นโพรงถ้ำเพียงแห่งเดียว  แต่นี้มันไม่ใช่โพรงถ้ำคล้ายๆกับเป็นโพรงอาศัยของ
สัตว์บางจำพวก   แต่เขาไม่คิดอะไรมากจึงเดินไปยังริมลำธารที่ไหลตกทอดมาจากแอ่งน้ำตกเพื่อจะได้
นำกระบอกน้ำที่ใช้ดื่มกิน  เติมน้ำจนเต็มทั้งสามกระบอกแล้วก็นำไปแขวนไว้ในที่เขาใช้กองสัมภาระ
ด้วยความต้องการที่จะลงอาบน้ำให้ชื่นใจสักหน่อย    ครั้นเปลื้องเสื้อผ้าจนหมดร่างแล้วก็โผลงน้ำทันที
ระหว่างการขัดหวีฉวีร่างกายที่ไม่ได้ถูกน้ำมาหลายๆวันนั้น  สร้างความสดชื่นให้แก่ชายหนุ่มยิ่งนัก

     พร้อมกับเรียกลิงทั้งสองให้ลงมาร่วมสนุกสนานด้วย  เจ้าขนทองซึ่งเคยชินกับการอาบน้ำก็พุ่งร่างมัน
ลงมาและว่ายมาหาเขา   ส่วนเจ้าขนขาวมันกล้าๆกลัวๆ มันค่อยๆเอามือจุ่มน้ำแล้วค่อยๆย่างก้าวลงมาที
ละน้อยๆจนในที่สุดมันก็ว่ายมาหาเขาได้   ทั้งสามต่างสาดน้ำแก่กันเจ้าลิงทั้งสองระหว่างเล่นน้ำนั้นก็สะบัด
ขนหัวมันตลอดเวลา     ในขณะที่เพลิดเพลินกับการเล่นน้ำนั้นเขาหาได้สังเกตสิ่งรอบข้างไม่ด้วยไม่คิดว่า
จะมีสิ่งร้ายเกิดขึ้นกับเขา    แต่บัดนี้ที่ปากโพรงทั้งหลายต่างมีหัวของสัตว์ออกมาจ้องมองดูการกระทำของ
ชายหนุ่มและเจ้าลิงทั้งสองทันที   ด้วยมีหลายๆโพรงทุกๆโพรงหินมีสัตว์โผล่หัวออกมามองดู
       เสียงร้อยเจี๊ยวจ๊าวๆของเจ้าลิงทั้งสองดังขึ้นทันทียามมันแลเห็นเจ้าสัตว์ที่โผล่หัวออกมา  พร้อมสะกิด
ชายหนุ่ม  ทำให้เขาเกิดความสงสัยจึงหันหลังไปมอง  ครั้นแลเห็นดังนั้นก็รีบว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่งทันทีพร้อมๆ
กับเจ้าลิงทั้งสอง   ครั้นถึงริมฝั่งก็พอดีกับเจ้าสัตว์เหล่านี้พากันออกมากระโดดลงไปในแอ่งน้ำว่ายมาหาพวก
เขา   รูปร่างมันก็คือกบธรรมดาแต่สีสันมันแตกต่างกันบ้างสีเขียว บ้างสีแดงเรื่อๆสลับเขียวเป็นลายๆข้างๆ
ลำตัวมัน  รูปร่างมันใหญ่โตประมาณกระด้งหรือใหญ่กว่าเห็นจะได้    
      เมื่อมันว่ายน้ำอย่างรวดเร็วนักชายหนุ่มยังแต่งตัวไม่เสร็จ      มันก็กระโดดเข้ามาหาด้วยความเร็วมาก  
พร้อมทั้งแลบลิ้นออกมายาว  ตัวแรกมันใกล้แล้วตวัดลิ้นมาเพื่อหมายมายังชายหนุ่ม  
 ชายหนุ่มครั้นนุ่งกางเกงเสร็จก็รีบหันไปคว้าดาบชักออกจากฝักทันที    พร้อมกับตวัดดาบตัดไปยัง
ปลายลิ้นที่แลบมาถึงตัวเขา   ลิ้นเจ้าสัตว์รูปร่างเหมือนกบขาดกลิ้งไปบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งๆ
เลือดหลั่งไหลนอง  ลิ้นมันกระดุกกระดิกเต้นไปมาๆก็ค่อยสงบ ส่วนเจ้าตัวมันก็ส่งเสียงร้องดังลั่นเลือด
ฉีดไปทั่วบริเวณแถวๆนั้นแดงฉานไปหมด

      ร่างมันถอยหลังเล็กน้อยแล้วก็กระโดดใส่ชายหนุ่มพร้อมอ้าปากที่เต็มไปด้วยฟันซี่เล็กๆเรียงรายไปทั่ว
ชายหนุ่มพลิกร่างตีลังกาหลบมันแล้วฟาดดาบไปยังเจ้ากบประหลาดทันทีร่างมันก็ขาดออกจากกัน   ด้านเจ้า
ลิงขนทองมันชักกระบองนาคราชมาถือไว้แล้วใช้ปลายแหลมแทงไปยังร่างเจ้าสัตว์ประหลาด ส่วนเจ้าขนขาว
ก็เอาไม้ที่ถูกชุบไว้ด้วยน้ำที่ส่งแสงแวววาวหลากสีฟาดไปยังเหล่าเจ้ากบทั้งหลาย  การต่อสู้เกิดชุลมุนทันที
ความรวดเร็วของเจ้ากบนั้นสู้เจ้าลิงทั้งสองไม่ได้    จึงเสียชีวิตไปมากมายแต่มันก็ร้องเรียกพวกภายในโพรงให้
ออกมาช่วยพวกมันทันที   เสียงขานรับพร้อมกับร่างกบกระโดดลงน้ำว่ายเจ้ามาช่วยเพื่อนมันเป็นทิวแถวเรียง
รายเต็มแอ่งน้ำไปหมด   ชายหนุ่มเองก็ตวัดดาบฆ่าพวกมันไปหลายๆตัว
       ในที่สุดร่างเจ้ากบทั้งหลายก็ตายหมดสิ้นเลือดหลั่งนองไปทั่วพื้นดินและไหลลงไปยังลำธารสีแดงฉานไป
ทั่วทำให้สายน้ำสีขาวบริสุทธิ์กลายเป็นสีแดง  พลางตัวถูกน้ำพัดล่องลอยไปตามสายน้ำก็มี  เหลือบนพื้นดินก็มี
  หลังจากฆ่าเจ้าพวกกบประหลาดจนหมดสิ้นแล้ว 
ร่างของชายหนุ่มที่เปรอะเปื้อนเลือดและเจ้าลิงทั้งสองก็จำเป็นต้องลงไปอาบน้ำในแอ่งอีกครั้งหนึ่ง 
       คราวนี้ชายหนุ่มต้องลงไปซักกางเกงแล้วนำมาตากแดดเพื่อรอให้แห้งก่อน  ภายหลังชำระล้าง
เลือดเจ้ากบแล้ว   ก็ชวนกันมานั่งกินอาหารที่ยังกองสัมภาระอีก   แสงตะวันบ่งบอกว่าคล้อยบ่ายมากแล้ว
หากจะออกเดินทางก็คงจะค่ำมืดกันและจะมีอันตรายจากอะไรอีกก็ไม่รู้นี่ขนาดที่เขาคิดว่าไม่มีอะไร   

        ชายหนุ่มมาคิดดูว่าเห็นทีจะต้องหาที่พักอาศัยแถวๆบริเวณนี้สักคืนหนึ่งก่อน  เมื่อคิดได้เช่นนี้หลังจากกิน
อาหารแล้วไปล้างปากกินน้ำที่ลำธารเสร็จ   ก็มองหาหนทางจะเข้าไปพักยังโพรงที่เจ้ากบอาศัยอยู่ดีหรือไม่ยัง
ตัดสินใจไม่ได้  เพราะอย่างไรก็อาจจะพ้นพวกสัตว์ร้ายดีกว่าไปพักยังคาคบด้วยมีแอ่งน้ำเป็นกำแพงกั้นขวางไว้
แต่หนทางไปยังโพรงล่ะจำต้องว่ายน้ำไปอีกหรือ  สัมภาระตลอดเสื้อที่ทำด้วยขนนกจะเปียกหมด  เมื่อความคิด
นี้นี่เองทำให้ต้องเปลี่ยนใจมองหาคบไม้จากต้นไม้ใหญ่ดีกว่า    ครั้นได้เวลาก่อนจะมืดค่ำจึงออกเดินทางเลียบไป
ยังริมลำธารเพื่อจะได้ลงจากเขาที่มีน้ำตกไหล  บางทีอาจจะพบพื้นที่  ที่มีคนอาศัยอยู่บ้างแต่นี่เป็นป่าทึบมีสัตว์ร้าย
มากมายและแต่ละตัวมันช่างใหญ่โต   ซึ่งอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าเข้ามาหากินแถวบริเวณนี้ 
       ครั้นชายหนุ่มเดินเลียบลำธารสุดทางลำธารก็พบหน้าผาสูงชันที่น้ำในลำธารไหลตกอีกชั้นหนึ่ง สูงชันมาก
เขาชะงักงัน   มองหาลู่ทางที่จะลงไปยังเบื้องล่างก็แลเห็นตามไหล่เขามีหินพอที่จะอาศัยย่างเท้าก้าวลงไปได้
ดังนั้นจึงชวนเจ้าลิงทั้งสองติดตามเขาค่อยๆก้าวไปตามหินต่างๆที่ทอดแต่ลื่นด้วยตะไคร่น้ำจับแต่เขาชินชาเสีย
แล้วในเรื่องเหล่านี้    พลางให้เจ้าลิงทั้งสองล่วงหน้าไปก่อนลิงทั้งสองรู้หน้าที่ดีเมื่อเขาส่งเสียบอกมันตอนนี้
มันเข้าใจคำพูดของเขาได้เป็นอย่างดีแล้วด้วยการฝึกหัดที่เขาถ่ายทอดให้แก่มันไว้   ซึ่งมันทั้งสองชาญฉลาดมาก
จำและเข้าใจกิริยาท่าทางตลอดจนคำพูดของเขาได้หมด   มันกระโดดไปยังก้อนหินพร้อมด้วยหินก้อนหนึ่ง
ครั้นไปถึงก้อนหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำมันก็ลงมือขัดบนก้อนหินให้ตะไคร่น้ำหมดไป  เป็นทางๆไปตลอด
แนวทางทั้งสองตัว  
       ชายหนุ่มก็กระโดดไปยังก้อนหินเหล่านี้ทันทีและด้วยความรวดเร็วไม่ชักช้าต่อการทำงานของลิงทั้งสองที่
ต่างช่วยๆกัน  ทำให้เขาสะดวกต่อการยืนบนก้อนหินนั้นได้อย่างมั่นคง   ครั้นลงไปสุดเบื้องล่างแล้วก็เดินตาม
แนวลำธารไปเรื่อยๆจนได้เวลาใกล้ค่ำเต็มที    สักเกตุเห็นพระจันทร์ที่โผล่ท้องฟ้ามาเป็นรูปเสี้ยวของวงพระจันทร์
และเริ่มมีดาวขึ้นพร่างรายระยิบระยับไปที่ขอบปลายฟ้า   ดังนั้นเขาจึงให้เจ้าขนทองสำรวจเพื่อหาที่พักผ่อนบน
ต้นไม้   เจ้าขนทองหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมดึงร่างเขาให้ตามไปพร้อมเจ้าขนขาว   เป็นต้นไม้สูงใหญ่ปลาย
ของมันเกือบจะเทียบไหล่เขาได้

     บัดนี้ชายหนุ่มไม่ต้องอาศัยเถาวัลย์ดุจกาลก่อนแล้วเขาฝึกการปีนป่ายห้อยโหนเถาวัลย์เลียนแบบเจ้าลิงทั้งสอง
ได้คล่องแคล่วดีแล้ว  หากต้นไม้ใหญ่เขาก็อาศัยเขี้ยวเจ้าค้างคาวเป็นตัวช่วยและปักเขี้ยวมันไว้เป็นขั้นๆเพื่อสะดวก
แก่การลงมาของเขา   จนกระทั้งถึงคาคบไม้จัดการปัดกวาดใบไม้แห้งที่ค้างตามคาคบให้หมดสิ้นแล้วนำหนังสัตว์
ออกมาปู    ครั้นเรียบร้อยแล้วก็หยอกเย้าเจ้าลิงทั้งสองเล่น  ตอนนี้ความรักสนิทสนมใกล้ชิดมีมากกว่าเดิมมากนัก
จวบจนร่างของแม่นางพรายปรากฏตัวขึ้นมา   จึงได้เย้าแหย่กับแม่นางพรายทำให้แม่นางพรายถึงหน้าแดงแต่ไม่
กล้าพูดอะไรมาก  เกี่ยวกับการอาบน้ำของเขานั่นเอง
     จนกระทั่งชายหนุ่มทนไม่ไหวเมื่อเห็นแม่นางพรายทั้งสองก่อนเคยพูดจา  บัดนี้กับเงียบงันหน้าแดงไม่ยอม
พูดกับเขาสักคำเดียวเลย   จึงเอ่ยถามไป
       “น้องพี่เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ  พี่เห็นเงียบไม่ยอมพูดจาอะไรเลยสักนิดเดียว” 
       “ไม่หรอกท่านพี่ น้องทั้งสองไม่เป็นอะไรหรอก  เพียงไม่กล้ากล่าวเท่านั้นตอนที่พี่อาบน้ำ”
        “อ้าวมันแปลกอะไรหรือล่ะ น้องเรา”
        “มันไม่สมควรจะพูดนี่นา  ขนาดที่เจ้ากบนั้นน้องรู้ว่าไม่อาจรับมือพี่หรอกยังไม่กล้ากล่าวเลย”
       “อุ้ยๆๆๆ????....”   ชายหนุ่มนึกขึ้นได้สาเหตุที่นางไม่เตือนเขาก็ด้วยเหตุนี้นี่เองจึงหาทางกลบเกลื่อนไป
     “พี่เองยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเราจะไปถึงถิ่นอาศัยของพวกคนได้นะน้อง”     ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
       “น้องคิดว่าอีกไม่นานแล้วล่ะ  ด้วยเรามาถูกทางแล้วแต่ทว่าอาจจะเจอภัยที่คาดไม่ถึงขึ้นอีกจ๊ะ”
        “ยังมีภัยที่คาดไม่ถึงอีกหรือน้อง บอกพี่ได้ไหมจ๊ะ????...”  ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
        “ในสถานที่นี้ล้วนแต่มีสิ่งพิสดารยากจะคำนวณและเห็นได้จ๊ะ”  หญิงสาวกล่าว
        “เอาล่ะจ๊ะ....
         ช่างเถอะในเมื่อเราประสบเหตุการณ์มาก็มากแล้ว   อะไรเกิดก็ให้เกิดไปเถอะ”
ชายหนุ่มกล่าวคล้ายๆปลงตกเสียแล้ว
        “แต่สิ่งที่น้องรู้นั้นนะมันร้ายกาจกว่าสิ่งที่พี่พบมาอีกจ๊ะ”  ประกายแดงกล่าวขึ้น
        “ยังมีอีกหรือจ๊ะที่ร้ายกาจกว่าที่ผ่านพบมา?????....”  ชายหนุ่มสงสัย
        “จ๊ะท่านที่  มันไม่ใช่สัตว์ธรรมดา  แต่เป็นคนเช่นพวกเรานี่แหละจ๊ะ”   ประกายเขียวตอบ
         “อ้อๆๆๆแล้วลิงขนขาวพี่ตั้งชื่อให้มันแล้วหรือยังล่ะจ๊ะ”  หญิงสาวทั้งสองกล่าวขึ้น
          “อ้อ...พี่ตั้งให้แล้วจ๊ะ  มันชื่อ”ประกายแก้ว” ด้วยขนมันขาวแวววาวคล้ายแก้วจ๊ะ”  ชายหนุ่มตอบ
          “อืมมๆๆๆ???.... ประกายแดง ประกายเขียว ประกายทอง ประกายแก้ว   ช่างสอดคล้องกันจริงนะ”
          “พี่นี้ช่างแต่งตั้งชื่อได้เหมาะเจาะยิ่งนัก”   พรายสาวทั้งสองกล่าว
          “ในเมื่อเราทั้งห้าต่างร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาก็ควรจะให้คล้ายๆกันซิจ๊ะ  พี่สังหรณ์ใจอย่างไรก็ไม่รู้
ว่าต่อไป  เจ้าขนทองคงจะเป็นลิงข้างกายน้องประกายแดง ส่วนเจ้าขนขาวจะเป็นลิงของน้องประกายเขียวจ๊ะ”
ชายหนุ่มรำพึงเสียงเบาๆ
          “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีซิ  น้องจะได้แสดงความใกล้ชิดมันทั้งสองตามที่พี่ปรารถนาจ๊ะ”  แม่พรายแดง
กับพรายเขียวกล่าวขึ้น

     ครั้นตะวันของวันใหม่ย่างเข้ามา ทั้งหมดก็ลงจากต้นไม้  ชายหนุ่มไม่ลืมจะถอนเจ้าเขี้ยวค้างตาวทั้งหมด
มาเก็บไว้ดังเดิมอีก   แล้วก็ค่อยๆลัดเลาะออกเดินทางไปตามไหล่เขาเลียบลำธาร  พลันชะงักยามที่แลไปยัง
เบื้องล่าง   มันปลูกสร้างด้วยหินคล้ายปราสาทก็ไม่เชิงคล้ายบ้านก็ไม่ใช่  มันดูแปลกๆที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่มันมีจตุรบัญชรทั้งสี่ทิศทุกๆทางมันโรยไปด้วยทางเดินที่ทำด้วยก้อนกรวดมองดูเห็นแต่ไกลๆ 
อยู่ในท่ามกลางดงไม้ใหญ่ล้อมรอบ    ด้วยความสงสัยครั้นจะหลีกเลี่ยงไปทางอื่นก็ล้วนแล้วแต่ป่าทึบไปทั้งสิ้น
อาจจะหลงทิศทางไปอีก  นึกถึงคำพูดของแม่นางพรายกล่าวว่าอีกไม่ไกลนักก็จะถึงถิ่นที่อยู่อาศัยของหมู่คน
เห็นทีจะต้องผ่านไปทางนี้เสียแล้ว
        หากไม่มีคนอาศัยก็จะดีแต่หากมีคนอาศัยก็จะขอพึ่งพาพักพิงสักพักค่อยออกเดินทางต่อไป   ดังนั้นจึงมุ่งหน้า
เดินเข้าไปหา   ได้ยินเสียงแม่นางพรายกระซิบว่าให้ระวังตัวไว้ผู้ที่อาศัยอยู่มีนิสัยดุร้ายหุนหันและแก่กล้าวิทยาคม
ยิ่งนัก    ครั้นได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็ไม่ประมาทยืนเพ่งสมาธิพร้อมนำสิ่งของทั้งหลายพลางกำหนดจิตเพ่งไปยัง
เหล่าอาวุธทั้งปวงตลอดจนของที่เจ้าลิงทั้งสองพกพาอยู่ด้วยนำมา  นั่งเข้าสมาธิบริกรรมพระเวทย์เพื่อเพิ่ม
พลานุภาพแก่อาวุธตามตำรับตำราย้อนไปกลับกำหนดจิตจน  อาวุธทั้งหมดเปล่งประกายเจิดจ้าเป็นลำแสงครอบ
คลุมร่างชายหนุ่มหลายหลากสียิ่งนัก     เมื่อร่ายพระเวทย์วิทยาคมแล้วจึงนำไปมอบให้เจ้าลิงทั้งสองพร้อมกับ
จับหัวมันทั้งสองแล้วร่ายพระเวทย์กำกับเป่าลงไปยังร่างของเจ้าลิงทั้งสองทันที  ฉับพลันร่างเจ้าลิงทั้งสองสะดุ้ง
เฮือกพร้อมๆกันทุกๆครั้งที่เขาเป่ามนต์ลงไปมันสะดุ้งทุกๆครั้ง          เมื่อแน่แก่ใจแล้วจึงสำรวมจิตตั้งมั่นค่อยๆ
ก้าวไปยังปราสาทหรือบ้านก็ไม่เชิงทันที

        ฉับพลันเสียงหัวร่อดังลั่นๆสนั่นไปทั่ว   น้ำเสียงคล้ายเป็นชายชรามาแล้วหรือเจ้าเด็กน้อย
  ข้ารอเจ้ามานับเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว  ฮ้าๆๆๆ...
เห็นทีว่าไม่ต้องเสียเวลาอะไรมากนัก  มามะมาเข้ามาเลยเจ้าเด็กน้อย
   เสียงดังลั่น  แต่ชายหนุ่มไม่เห็นร่างเนื่องจากมันอยู่ข้างใน   เขามิได้หวาดหวั่นแต่ประการใดพลางตบไปยังเจ้า
ลิงทั้งสองให้ระมัดระวังตัวไว้ด้วย  
 แล้วค่อยๆเดินไปทางเดินเป็นแผ่นหินเรียงรายประหลาดในเมื่อความสังหรณ์
ใจเกิดขึ้นเขาจึงไม่ประมาทค่อยๆหยั่งเท้าไปบนก้อนหินลักษณะเป็นแปดเหลี่ยม
แผ่นพอจะใช้เป็นทางเดินได้โดยค่อยๆหยั่งทดลองไปก่อนทีละก้าวๆ  
     เมื่อขณะที่หยั่งเท้าไปยังแผ่นหินก้อนหนึ่งมันกลับยุบหายไปทันที
ชายหนุ่มรีบชักเท้ากลับ มองลงไปดูมันมืดมากเป็นหลุมลึกดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท
         เขาจึงได้เรียกเจ้าขนทองให้นำกระบองนาคราชออกมาให้เขา 
 เจ้าขนทองก็นำกระบองนาคราชมาส่งให้    เขาจึงนำกระบองทดลองกดลงไปยังอีกแผ่นข้างหน้า
   ปรากฏว่ามันหลุดหายตกลงไปยังข้างล่างทันทีทำให้ทางไปกว้างยิ่งๆขึ้น
    นี่หากเขาชะล่าใจแล้วเมื่อก้าวแผ่นแรกนั้นแล้วกระโดดไปยังอีกแผ่นหนึ่งผล   ก็ทำให้เขาต้องตก
ไปอีกครั้งแน่นอน     เสียงหัวร่อดังลั่นลอดลอยออกมา
        “เออ...มึงนี่ช่างฉลาดนักนะ  ข้าว่าตอนแรกจะฆ่ามึงจัดการด้วยกลไกโดยง่ายๆ 
 แต่เหตุใดรังสีในร่างมึงจึงมีมากมายนัก  กูเองยังสงสัยเหมือนกัน”       เสียงลอดลอยออกมากล่าว    
       “หากมึงแน่จริงก็ให้มาหาข้าให้จงได้  หรือว่าจะเป็นเหมือนคำทำนายมึงไว้
สมกับคำในอดีตที่ทำนายมึงไว้หรือไม่   กูจะทดลองฝีมือมึงดู  ฮ้าๆๆๆๆ....”

      ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้น  แม้สุ่มเสียงนั้นจะชราภาพก็ตาม   แต่มันคงจะคิดร้ายแก่เขามากกว่าดีเป็นแน่แท้ไหนๆ
เมื่อมันอยากทราบฝีมือก็จะทำให้มันสาสมใจนัก  ตามวิสัยของคนหนุ่มเมื่อถูกกระตุ้นย่อมเลือดร้อนขึ้นธรรมดา
ดังนั้นจึง  นำกระบองนาคราชออกจิ้มไปยังอีกแผ่นข้างหน้า  กระบอกนาคราชก็ยาวออกแล้วจิ้มไปทันที
แผ่นหินแผ่นนั้นปกติ     ดังนั้นเขาจึงรวบรวมพละกำลังที่มีมากมายกระโดยลอยตัวข้ามพ้นกระหว่างหลุมแรก    
       ทันใดที่ร่างเขาลอยไปเพื่อไปยังแผ่นหินที่ไม่ยุบนั้น  ภายในหลุมก็ปรากฏมีลูกธนู หอก อาวุธต่างๆ
พุ่งเข้าใส่ร่างเขาที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศทันที..........

                      *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
21 กุมภาพันธ์ 2553 14:28 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 26

แก้วประเสริฐ


                    ลุ่มลึกอิสราวดี  26

     ชายหนุ่มเริ่มฝึกสอนการขว้างก้อนหินแก่แม่นางพรายทั้งสอง  โดยให้ทดลองขว้างไป
ยังลำต้นไม้ที่ห่างไกลพอประมาณ  เหมือนที่เขาฝึกมาไม่ผิดสองสามก้อนไม่ถูกลำต้นเอา
เสียเลย  เมื่อผ่านไปสักครู่ใหญ่ก็เริ่มจะถูกเป้าหมายบ้าง  เวลาผ่านไปๆ    เมื่อครั้นเห็นทั้ง
สองขว้างได้ดีถูกเป้าเกือบทุกๆก้อน   ชายหนุ่มก็เดินไปใช้มีดน้อยขีดวงกลมตามต้นไม้
ต่างๆให้แม่นางพรายทั้งสองขว้างเป้าสลับกันไปมา  จนกระทั่งนางสามารถใช้ก้อนหิน
ได้ถูกต้องเกือบทุกๆต้นแล้ว  
        เขาจึงเริ่มถ่ายทอดวิชาที่ร่ำเรียนมาจากในหนังสือและวิชาของท่านผู้เฒ่าที่เขานำมา
ผสมผสานกันให้แก่นาง   เวลาผ่านไปหลายๆวันเขายังไม่คิดที่จะเดินทางเพื่อต้องการให้
เหล่านางพรายได้ฝึกปรือวิชาต่างๆตลอดจนเวทย์มนต์ที่เขาถ่ายทอดให้โดยไม่ปิดบัง  
ด้วยนางพรายนั้นการฝึกฝนย่อมง่ายโดยกำชับแก่แม่นางทั้งสองห้ามใช้อิทธิฤทธิ์ที่มีโดย
เด็ดขาด  มิฉะนั้นยามเมื่อกลับคืนร่างแล้วจะหาประโยชน์ใดๆมิได้สิ้น
       นางพรายก็เชื่อฟังเขาทั้งๆที่นางเองมีอิทธิฤทธิ์สามารถบังคับอาวุธต่างๆได้ดีอยู่แล้ว
แต่ด้วยเพื่อหวังในอนาคตกาลข้างหน้าจึงทอดทิ้งไปเสียก่อน  เมื่อพวกหล่อนฝึกฝนจน
คล่องแคล่วดีแล้วและยิ่งใช้อิทธิฤทธิ์เข้าประกอบด้วยยิ่งสร้าง   พลานุภาพให้แก่อาวุธนั้น
มากขึ้นกว่าเดิมอีก  สามารถบังคับอาวุธต่างๆให้เป็นไปตามวิชาความรู้ที่ชายหนุ่มพร่ำสอน
พลิกแพลงกระบวนท่าได้ตามใจชอบตามอิทธิฤทธิ์ที่นางมีอยู่ตามวิสัยของพรายทั้งหลาย

       เมื่อชายหนุ่มถ่ายทอดวิชาความรู้จนหมดสิ้นแล้ว    เขาเห็นว่าสมควรจะออกเดินทางได้
แล้วจึง  กล่าวขึ้นว่า
      “บัดนี้พี่เองได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆให้น้องทั้งสองหมดสิ้นแล้ว  อยู่ที่น้องพี่เท่านั้นเองจะฝึกฝน
ให้เชี่ยวชาญมากขึ้นเท่านั้น  แต่พี่สังเกตว่าน้องพี่ใช้อิทธิฤทธิ์ที่มีอยู่เข้าผสมผสานกันอย่างเฉลียว
ฉลาดก็ยิ่งเพิ่มประสิทธิ์ภาพให้แก่อาวุธต่างๆยิ่งขึ้น  นับเป็นการดีมากจ๊ะ”  ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
       “จ๊ะท่านพี่นับว่าสายตาของท่านที่แหลมคมยิ่งนัก  ที่รู้ว่าน้องใช้อิทธิฤทธิ์เข้าประกอบด้วย”
นางพรายสาวกล่าวขึ้น
        “พี่เห็นว่าพรุ่งนี้พวกเรา  ก็คงจะออกเดินทางกันได้แล้วจ๊ะ  แต่ว่าหาทางออกไม่ได้หรือ
ว่ามีแต่คงมิใช่ทางที่เราผ่านนี้หรอก   เห็นทีจะต้องปีนเขาสู่เบื้องบนปลายระหว่างเขาทั้งสองออกไป
เสียแล้วล่ะ”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
        “น้องเองรู้ว่ามีหนทางที่จะไปได้แต่อยู่ไกลมากนักและต้องผ่านสิ่งอันตรายมากๆสู้ทางนี้ซึ่ง
มีอันตรายน้อยกว่าจ๊ะพี่”   นางพรายแดงกล่าวบ้าง
        “แต่ท่านพี่ก็อย่าได้ประมาทเด็ดขาด  ด้วยยังมีสัตว์ร้ายอาศัยอยู่จำนวนมากนักจ๊ะ” นางพรายแดง
ก็กล่าวเช่นเดียวกัน
        “จ๊ะขอบใจน้องทั้งสองมาก  พี่จะคอยระมัดระวังตัวไว้”   ชายหนุ่มขอบใจพรายสาวสวยทั้งสอง

        พออรุณรุ่งสางก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น   เขาทั้งหมดก็ออกเดินทางมาถึงริมหน้าผาที่สูงชัน เขารอ
จนพระอาทิตย์ยามอรุณส่งแสงมาทำให้เห็นสภาพค่อนข้างชัดเจน แม้จะมีหมอกบ้างก็ตาม   แต่ส่วน
ใหญ่จะอยู่แถวบริเวณยอดเขาเป็นส่วนมาก    ส่วนทางที่จะไปเป็นปลายทางของภูเขาจึงไม่สูงชันนัก
มีหมอกบางเบา  รอจนพระอาทิตย์ส่องแสงเหล่าหมอกก็ค่อยๆหายไปจนหมดสิ้น    ดังนั้นเขาจึงค่อย
ปีนไปตามชะง่อนหินที่ยืนออกมาเมื่อยืนได้แล้ว  
         แต่เบื้องหน้ากลับหามีชะง่อนหินยื่นอีกไม่    เขาได้ล้วงเอาเขี้ยวของเจ้าพวกค้างคาวที่เก็บไว้
ในย่ามออกมา   ทดลองแทงลงไปยังหน้าผานั้นเพื่อจะใช้เป็นที่เหนี่ยวรั้งตัวให้มีที่เกาะโหนตัวขึ้นไป 
 เมื่อทดลองแล้วเขี้ยวอันแหลมคมได้ฝังลึกลงไปในเนื้อหิน       เหตุดังนี้เขาจึงถือเขี้ยวของเจ้าสัตว์ร้าย
และลองเขย่าชั่งน้ำหนักดูเห็นว่าสามารถที่จะพยุงตัวขึ้นไปได้    จึงนำเขี้ยวมันมาถือไว้สองข้าง   ใช้ข้าง
หนึ่งเป็นหลักแล้วถึงตัวให้ขึ้นเสียบเขี้ยวอีกอันหนึ่ง   เขาทำแบบนี้จึงสามารถไต่ไปได้เกือบจะถึงหน้าผา
        แต่ทันใดนั้นเองเสียงดังกึกก้องของเหล่านกร้องสนั่น เขาปักเขี้ยวไว้บนหินสองอันใช้ยืนอันหนึ่งแล้ว
เหลียวมามองเห็นเจ้าพวกนกต่างมุ่งมาทางเขา   มันต่างขยายงุ้มเล็บอันแหลมคมหมายขยุ้มร่างเขาไป
ชายหนุ่มก็ไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้   ด้วยมือเขาไม่ว่างครั้นเหลือมือเดียวแต่ก็ไม่ถนัดนักที่จะ
เข้าต่อสู้กับมัน    หากเขาพ้นถึงหน้าผาแล้วก็คงจะหาทางแก้ไขได้หรอก  
       แต่นี่ร่างเขายังห้อยร่องแร่งอยู่กลางอากาศเช่นนี้   ยากนักที่จะป้องกันตัวเองได้   จึงได้รีบปีนต่อไปทันที
 นอกจากนึกแล้วแต่บุญกรรมเท่านั้น    และมิได้สนใจอีกแล้วพยายามไต่โดยใช้เขี้ยวนี้ให้เป็นประโยชน์
อย่างรวดเร็วหมายให้ถึงหน้าผาก่อน   ก่อนที่ เจ้าพวกนกนั้นจะมาทำร้ายแก่เขาได้
 เหลียวไปทำหน้าที่ออกปีนต่อไปด้วยความรวดเร็วกว่าเดิม
      เขาสังเกตเห็นมันคือเหยี่ยวนั่นเองแต่สภาพร่างกายมันไม่เล็กเหมือนเหยี่ยวทั่วๆไปมันใหญ่โตมาก  
 คล้ายๆพวกค้างคาวไม่ผิด  จะเล็กหรือใหญ่ก็ไม่มากกว่ากัน    พวกมันถลาพุ่งเข้ามาถึงเขาทันทีแต่มันก็ต้อง
ชะงักเมื่อเจอกับรังสีของเสื้อนกวายุภักดิ์ที่เขาสวมใส่อยู่    มันร้องกึกก้องแล้วถลาเลยไปมันพยายามหาทาง
ที่จะเข้ามาขยุ้มร่างเขาเพื่อเป็นอาหารของมัน   แต่ไม่สามารถทำได้เพราะรังสีเสื้อที่เขาสวมนั้นมีฤทธิ์มาก
กว่าสามารถป้องกันพวกนกทั้งหลายได้   ครั้นมันได้รังสีและกลิ่นของเสื้อที่ทำจากขนนกวายุภักดิ์มันร้อง
ก้องเสมือนจะบอกแก่พวกๆมัน  แล้วต่างก็พากันบินหายลับไปหมดสิ้น

        ชายหนุ่มแสนจะดีใจและนึกขอบใจเจ้าขนนกแสนสวยที่เขาสวมอยู่     หากมาดแม้นมิได้เสื้อนี้ร่างเขา
ก็คงจะตกเป็นอาหารอันโอชะของมันเสียแล้ว    ชายหนุ่มมิรอช้ารีบไต่ร่างขึ้นไปลืมนึกถึงเจ้าลิงทั้งสอง
เมื่อขึ้นมาถึงหน้าผาได้    เขาก็ล้มตัวลงนอนแผ่หลาทันทีด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าพลางหลับตาพักผ่อน
เพื่อเรียกกำลังวังชาให้กลับมาอีก    
         จนกระทั่งร่างเขาถูกเขย่าจากเจ้าขนทองนั่นแหละถึงได้ลืมตา    ชายหนุ่มสงสัยว่ามันขึ้นมาได้อย่างไร
ในเมื่อหน้าผานั้นสูงชันนัก   แต่ไม่อาจจะถามไถ่รู้ความได้คงเพียงคาดคำนวณว่ามันคงจะหาทางขึ้น
ด้านอื่นๆอีกจนมาพบร่างเขานั่นเอง   ชายหนุ่มคว้ากระบอกน้ำขึ้นมาดื่มด้วยความกระหาย
พร้อมกับยื่นให้แก่เจ้าลิงทั้งสองเจ้าขนทองยกดื่มแล้วยื่นให้แก่เจ้าลิงขาวดื่มต่อไป
   ครั้นเรียบร้อยก็นั่งทานผลไม้กันจนอิ่มหน่ำสำราญใจ
        ชายหนุ่มมองไปข้างหน้าเห็นเป็นทุ่งกว้างใหญ่ที่สลับกันไป บางแห่งเป็นที่โต่งเลี่ยน   บางแห่งก็เป็น
ป่าดงดิบ  ขึ้นตามซอกหินต่างๆ   เรียงรายไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อยสลับกันไปทั่ว    เขาคิดหากเป็นเช่นนั้น
ก็คงจะต้องมีสายน้ำแต่นอน  ตามลักษณะภูมิประเทศที่เขาเคยประสบการณ์ผ่านมาด้วยอากาศที่ค่อนข้างเย็น
เมื่อเขาหายเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว    ก็ออกเดินทางมายังหน้าผาแต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม ด้วยมีหินเป็นเหลี่ยมยื่น
ออกมาทำให้เขาสามารถไต่ลงไปได้
         เพียงไม่นานเขาก็มาถึงยังพื้นดินที่อุดมไปด้วยพืชพันธุ์นาๆชนิด   เดินลัดเลาะไปตามทางวัชพืชน้อยใหญ่
ตัดมุ่งไปทางทิศเหนือทันที    เขาสามารถตรวจสอบได้โดยหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์แล้วกางมือออกดังที่
เคยเรียนหนังสือคราวเป็นลูกเสือที่ฝึกไว้   เมื่อกางแขนออกแล้วหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ทางด้านซ้ายมือก็จะ
เป็นด้านทิศเหนือ  ส่วนทางด้านขวามือก็จะเป็นทิศใต้   หากเป็นค่ำคืนเขาก็สังเกตทิศโดยดูดาวเหนือเป็นหลัก
ทั้งหมดการเดินทางของเขา   มุ่งทางทิศเหนือเท่านั้นเพื่อหาทางออกโดยมิได้มุ่งเดินสะเปะสะปะอีกต่อไปแล้ว
        ดวงอาทิตย์ส่องตรงศีรษะพอดีหมายถึงเที่ยงวันของวันนั้น  เขาจึงได้นั่งลงร่วมทานอาหารกับเจ้าลิงทั้งสอง
เสียงดังฟืดๆๆพุ่งเข้ามากลางวงผลไม้ทันที   หรือเขาอยู่เหนือลมเพราะไม่ได้สังเกตทิศทางลมไว้ด้วยคิดว่าคงจะ
ไม่มีอะไร   เพราะมองจากเบื้องบนหาสัตว์ใดๆไม่พบสักตัวเลย     เสียงต้นไม้เล็กๆหักล้มลงเป็นทางพุ่งมาอย่าง
รวดเร็วมากนักทำให้เขาต้องทิ้งสัมภาระที่กองไว้หลบไปยังต้นไม้ค่อนข้างใหญ่ทันที  ส่วนเจ้าลิงทั้งสองก็กระโจน
ขึ้นไปยังต้นไม้ด้วย   ร่างพุ่งมาชนเข้ากับลำต้นไม้ทันทีมันขวิดสะบัดเขี้ยวมันไปๆมาๆจนเปลือกต้นไม้ฉีกขาดออก
จากกัน   ต้นไม้ที่เขาแอบอยู่แทบจะหักสะบั้นจึงมองเห็นว่ามันคือร่างของหมูป่านั่นเองแต่ตัวค่อนข้างใหญ่มาก
เขี้ยวที่งอกออกจากปากมันยาวงองุ้มเข้ายังจมูกมันกางออกดูหน้ากลัว
         ทำให้เขานึกถึงหนังสือที่เคยอ่านมาว่าหมูป่านั้นแม้กระทั่งเสือร้ายยังเกรงกลัวมัน หากมันเข้าต่อสู้ด้วยแล้ว
ยังต้องเผ่นหนีแก่เจ้าหมูป่ายากจะกินเป็นอาหารได้  นอกจากลูกหมูป่าเท่านั้น    แต่นี่เขากับเผชิญกับพ่อหมูป่าเข้า
เสียแล้ว   ปกติมันจะอยู่รวมตัวกันระหว่างครอบครัวมันเท่านั้นหากลูกๆมันที่โตเต็มที่แล้วก็จะแยกจากฝูงมันไป
เขาไม่คิดจะสังหารมันด้วยสงสารว่า หากเขาทำร้ายมันก็จะต้องทำร้ายครอบครัวมันด้วย   ดังนั้นจึงส่งสัญญาณ
เสียงและมือให้เจ้าลิงทั้งสองหลอกล่อมันเสียไปทางอื่น     เมื่อเจ้าลิงทั้งสองได้รับสัญญาณดังนั้นมันจึงกระโดด
ลงมายั่วเย้าเจ้าหมู่ป่าทันที    เจ้าขนทองแสดงเป็นพระเอกก่อนแยกเขี้ยวยั่วเจ้าแล้ววิ่งหนีไปอีกทาง    ครั้นหมูป่า
เห็นดังนั้นก็ชาร์ตตัวเข้าหาเจ้าขนทองทันที  เจ้าขนทองก็รีบกระโจนขึ้นยังต้นไม้เล็กข้างห้อยเถาวัลย์ยั่วเย้ามัน 
ส่วนเจ้าขนขาวก็รับช่วงต่อจากเจ้าขนทองวิ่งตีลังกาไปต่อจากเจ้าขนทอง
    เมื่อเจ้าหมูป่าเห็นดังนั้นมันก็พุ่งร่างไปหาเจ้าขนขาว  ซึ่งก็ต่างโหนเถาวัลย์ยั่วเย้ามันสลับกับเจ้าขนทอง
ไปจนร่างหมูป่าลับหายไป   แล้วพวกมันก็กลับมาแต่   ทันใดนั้นเองระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังเก็บสัมภาระ
ที่วางไว้พร้อมอาหารก็ต้อง  รีบหนีแอบที่ต้นไม้ทันที   ด้วยร่างเจ้าหมูป่าตัวเมียและลูกๆมันประมาณสามสี่ตัววิ่งไล่เข้ามาแต่มันเลยไปทางเจ้าหมูป่าตัวผู้ที่หายลับไปตามแนวป่าเบื้องหน้าทันที   ชายหนุ่มถอนใจหากเขาจะ
สังหารมันต่อไปครอบครัวมันก็จะแย่    จริงดังที่เขาคิดไว้มันต้องมีลูกน้อยที่ต้องคุ้มครองอยู่หลายๆตัว
 
       จวบจนเก็บสิ่งของได้ครบแล้วก็ออกเดินทางทันที    ขณะเดินหยอกล้อกับเจ้าลิงทั้งสองไประหว่างทางนั้น
เขาก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเสียงเจ้าหมูป่าเสียอีก    เสียงร้องแปร้นๆๆๆดังกระหึ่มไปทั่วป่าด้านหน้าเขาซึ่งกำลังเดิน
อยู่ในที่โล่งๆของลานทุ่ง   ซึ่งมีหล่มโคนตมที่สงสัยว่าเจ้าหมูป่าจะใช้คลุกตัวอยู่ก่อนที่จะพุ่งมาหาเขานั่นเอง
เสียงต้นไม้หักระเนระนาด    ปรากฏเจ้าฝูงช้างใหญ่โขลงหนึ่งต่างเดินทางมาทางเขา   สายลมพัดจากเขาไปหา
พวกเหล่าโขลงช้างมันทั้งหมดต่างหูกางโบกไปมาทันที  เจ้าจ่าฝูงมันพุ่งร่างมาหาทางเขาทั้งสาม
        ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงร้องบอกแก่เจ้าลิงทั้งสองให้วิ่งหนีทันที   ร่างของเขาวิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อเข้าไปยังป่า
ด้านหลังอีกครั้งหนึ่ง    แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงักกึกด้วยป่าที่เขาผ่านมานี้กลับมีฝูงช้างอีกโขลงหนึ่งก็มุ่งมาทาง
เขาและเจ้าจ่าฝูงนั้นงามันยาวงอนแหลมคมขาวออกเหลืองๆพุ่งร่างมาทางเขา  ซึ่งเขาอยู่ระหว่างกลางพอดีทำให้
ชายหนุ่มถึงกับหยุดตลึงต่อเหตุการณ์เหล่านี้       แต่ฝูงช้างที่ออกจากป่าด้านหน้าเขาหาได้ทำอันตรายใดแก่เขาไม่
มันต่างพุ่งร่างแล้วส่งเสียงร้องก้องกังวานเลยผ่านร่างเขาไปไม่สนใจทั้งโขลงพวกช้างพลายทั้งหลายมุ่งหน้าเข้าใส่
ฝูงช้างตอนแรกกลางทุ่งทันที   ทั้งสองฝูงต่างกันเข้าต่อสู่  ระหว่างหัวหน้าฝูงต่อหัวหน้าฝูง  ส่วนช้างพลายอื่นๆก็
เข้าต่อสู้กันแยกเป็นคู่ๆหลายสิบคู่  ต่างใช้งาและงวงฟาดและแทงซึ่งกันและกันเป็นสงครามระหว่างช้างต่อช้าง   
         ทันใดเขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีงวงช้างสองงวงมาสัมผัสยังร่างเขา   แล้วมันทั้งสองต่างก้มตัวงอขาหน้าลง
ชูงวงทั้งสองขึ้นร้องเบาๆ   เขาต้องเพ่งมองดูเมื่อแลเห็นบาดแผลเป็นของแม่ช้างก็จำได้ว่าเคยได้ช่วยเหลือมันไว้
ก่อนนั้นนั่นเอง  แต่เจ้าช้างน้อยบัดนี้ร่างมันจวนจะเป็นหนุ่มสูงใหญ่เป็นช้างพลายด้วย   ชายหนุ่มค่อยใจชื้นทันที
ที่แท้นั้นแม่ช้างลูกช้างได้นำโขลงช้างเหล่านี้มาช่วยพวกเขานั่นเอง    เพียงแต่เขาไม่สังเกตเห็นเท่านั้นว่านอกจาก
หมูป่าแล้วยังมีโขลงช้างกำลังหากินอยู่    เมื่อแม่ช้างที่ได้รับการบาดเจ็บไปแล้วไปหาจ่าฝูงมันและคงจะอธิบายให้
พวกมันฟังถึงการช่วยเหลือเขากับลูกช้างไว้จากอันตราย    ยามเมื่อมันแลเห็นเขากำลังได้รับอันตรายเช่นนี้จึงได้
นำพวกออกมาช่วยเหลือทันที
       การต่อสู้ของช้างสองโขลงดำเนินไปสักหลายชั่วยาม   ช้างที่เป็นจ่าฝูงของแม่ช้างลูกช้างงัดงาต่อสู้และแทง
กันจนเลือดชุ่มไปทั้งสองตัว   จ่าฝูงของช้างสองแม่ลูกก็ได้เปรียบมันงัดงายกร่างของ
จ่าฝูงช้างป่าอีกโขลงหนึ่งขึ้นลอยแล้วถอยหลังออกมา
เสียบงาแทงเข้าไปยังร่างเจ้าจ่าฝูงอีกฝูงหนึ่งที่เสียหลักตะแคงร่างหงายล้มลง   งาของเจ้าจ่าฝูงที่ช่วยเหลือเขาก็เสียบ
เข้าบริเวณหน้าท้องมันผลเลือดหลั่งออกมาพุ่งสาดไปทันที   มันก็กระหน่ำแทงแล้วแทงอีก  จนร่างเจ้าจ่าฝูงโขลง
นั้นล้มลงขาดใจตาย  
        เมื่อบรรดาเหล่าช้างที่จะเข้าทำร้ายเขาเห็นจ่าฝูงมันตายเช่นนี้ต่างก็พากันร้องก้องแล้วหันหลังหนีเข้าป่าไป
ยังที่ผ่านออกมาทันที   เสียงร้องก้องของเหล่าบรรดาช้างที่ได้รับชัยชนะกึกก้องกังวานมากแสดงถึงความยินดี
ของมัน   แล้วเดินดุ่มๆมายังร่างของแม่ช้างและลูกช้าง   ส่วนเจ้าตัวจ่าฝูงคงได้รับบาดเจ็บมากเหมือนกันเลือดมัน
ไหลออกมาเดินโซซัดโซเซเข้ามาร้องเรียกแม่ช้างลูกช้างให้ตามไป    ชายหนุ่มเห็นบาดแผลมันเหวอะหวะเช่นนั้น
ก็สงสารและคิดถึงบุญคุณที่มันช่วยเหลือเขาไว้
     จึงเข้าไปจะดูบาดแผลจ่าฝูงทันที   แต่เจ้าจ่าฝูงมันหันรีหันขวางหูผึ่งแต่เสียงร้องจากแม่ช้างและลูกช้าง
ร้องโต้ตอบให้มันรู้   นั่นแหละมันถึงสงบยอมให้ชายหนุ่มเข้าไปจับต้องได้    ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ส่งเสียงเรียก
เจ้าขนทอง    เจ้าขนทองและเจ้าขนขาวรู้หน้าทีมันก็พุ่งทะยานหายเข้าไปในป่าสักครู่ใหญ่ๆก็หอบเอากิ่งใบไม้นาๆ
ชนิดเข้ามา  แล้วก็ลงมือเคี้ยวใบไม้นั้น  ชายหนุ่มก็ช่วยเคี้ยวด้วยแต่เขาแสดงใบหน้าแหย่เกด้วยรสชาติมันทั้งขื่นๆ
ขมๆปร่าๆอย่างไรชอบกล  แต่ก็เคี้ยวไปแล้วนำไปพอกยังบาดแผลเจ้าตัวจ่าฝูง  ส่วนเจ้าขนทองและเจ้าขนขาว
ก็ไปช่วยเหล่าช้างอื่นๆที่ได้รับบาดเจ็บๆด้วย   สักครู่ใหญ่อาการของช้างจ่าฝูงและบรรดาช้างที่ได้รับบาดเจ็บทุเลา
ขึ้นคงจะหายเจ็บปวดกระมัง   มันพลางงอเข่าหน้าชูงวงขึ้นร้องเสมือนแสดงความขอบใจพวกเขานั่นเอง  แล้วมัน
ก็ลุกขึ้นเดินเพื่อนำฝูงจากไป    แต่ชายหนุ่มรวบรวมใบไม้ที่เหลือส่งให้แก่ลูกช้างแม่ช้างให้ไปด้วยเพื่อใช้รักษาต่อ
ช้างบาดเจ็บอีก   ช้างแม่ลูกต่างก็แสดงความเคารพแก่เขาพร้อมทั้งเอางวงมัดกิ่งไม้ที่มีใบไม้ที่ใช้เป็นยาออกเดิน
ทางติดตามพวกจ่าฝูงซึ่งเดินหายลับเข้าไปยังป่าเบื้องหน้าต่อไป........

                   *   แก้วประเสริฐ.   *

n016.gif				
20 กุมภาพันธ์ 2553 14:11 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 25

แก้วประเสริฐ


                              ลุ่มลึกอิสราวดี  25

               เสียงแม่นางพรายแดง   เมื่อเข้ามาทำหน้าตื่นเต้นพลางกล่าวกับชายหนุ่มทันที
      “ ท่านพี่รีบไปเถอะจ๊ะ พวกค้างคาวดูดเลือดมันมากันเป็นแสนเห็นจะได้จ๊ะ
มันมากันเป็นทางยาวมากๆด้วยล่ะ  เห็นทีจะรับมือมันไม่ไหวแน่เชียวล่ะ”
        “อะไรนะ?????.... ค้างคาวดูดเลือดหรือ   อ้าวที่นี่พี่ยังเข้าใจว่าอาจจะเป็นที่
อยู่ของพวกสัตว์ประหลาดคล้ายๆกิ้งก่าเสียอีกล่ะ   สังเกตเห็นมูลมันเหมือนกันนึก
ว่าเป็นมูลของพวกกิ้งก่าเสียอีกที่หลงเหลืออยู่”   ชายหนุ่มตอบ
        และรีบชวนเจ้าขนทองขนขาวให้ออกนอกถ้ำเพื่อจะหลบหลีก  หากมันมาดังที่
กล่าวเห็นทีจะรับมือมันได้ยากเสียแล้วและรีบเก็บสัมภาระเพื่อจะออกจากนอกถ้ำทันที
แต่ทว่าช้าไปเสียแล้ว   ด้วยปรากฏร่างของค้างคาวพุ่งเข้ามายังที่มันอาศัยอยู่ด้วย  
ตะวันเริ่มจะขึ้นขอบฟ้ามากแล้ว     ร่างมันที่ชายหนุ่มเห็นมันใหญ่กว่าค้างคาวแม่ไก่เกือบ
สามเท่าตัวเห็นจะได้   ปีกมันกว้างใหญ่แต่ที่ปากมันซิมีเขี้ยวยาวแหลมล้นออกมาจากปาก
ของมันด้านล่างของมันอย่างชัดเจนสีออกขาวๆยาวใหญ่มาก  
         ยามเห็นที่อยู่ของพวกมันมีคนอาศัยอยู่มันร้องดังกังวานเหมือนจะแจ้งข่าวให้พวกๆ    
มันรู้     พวกค้างคาวมันก็ส่งเสียงร้องเป็นทอดๆไปยาวไปไกล   พวกที่เหลือต่างก็รีบบิน
มายังปากถ้ำทันที     ค้างคาวตัวแรกมันถลาบินเข้ามาหาชายหนุ่มทันทีแต่แล้วมันก็หยุดชะงัก
บินวนเวียนไม่กล้าเข้าใกล้ชายหนุ่ม   ส่งเสียงร้องคล้ายหนูร้องไม่ผิดมันบินๆไปๆมาๆรอบๆ
ตัวของชายหนุ่ม    แล้วมันก็รีบพุ่งร่างเข้าหาเจ้าขนขาวทันทีด้วยสัญชาติฌานของสัตว์ด้วยกัน
เจ้าลิงขาวหาได้ย่นย่อไม่มันแยกเขี้ยวคำรามกระโจนงับร่างค้างคาวตัวแรกทันที  
ร่างเจ้าค้างคาวตัวแรกถูกเจ้าขนขาวขย้ำจนเหลวแหลกเลือดไหลนองไปทั่ว  
แต่มันมีหลายตัวนับไม่ถ้วนต่างเข้ารุมล้อมเจ้าขนขาว  ส่วนเจ้าขนทองนั้นก็รีบเข้าไปช่วยทันที

        ชายหนุ่มดึงมีดน้อยโยนส่งให้เจ้าขนทอง  และดึงไม้ที่ถูกชุบด้วยน้ำกายสิทธิ์ที่ส่งแสงแวววาว
ออกมาด้านหลังที่เสียบไว้ด้านหลังเขาโยนให้แก่เจ้าขนขาว    เมื่อลิงขนทองขนขาวเห็นเช่นนั้น
มันก็กระโดดเอามือมารับสิ่งที่ชายหนุ่มโยนให้   แล้วตวัดอาวุธเข้าจู่โจมพวกค้างคาว   คราวนี้
มันเมื่อยามมีอาวุธและได้รับการฝึกฝนวิชาการต่อสู้มาอย่างเชี่ยวชาญแล้ว   มันแกว่งอาวุธเข้าโจม
ตีค้างคาวแทนจะเป็นฝ่ายรับ  กลับกลายเป็นฝ่ายรุกเข้าจู่โจมพวกค้างคาวกระเจิงแตกซ่านหลบหลีก
การถูกกิ่งไม้ที่แข็งแกร่ง บ้างถูกตีตกลงมาตาย บ้างส่งเสียร้องโหยหวนถลาปีกที่ถูกตีพุ่งเข้าชนผนังถ้ำ
ส่วนเจ้าขนทองก็ตวัดมีดเข้าเสียบแทงตวัดไปยังปีกของพวกค้างคาวตกมาตายนับไม่ถ้วน บ้างปีกขาด
บ้างลำตายขาดเป็นสองท่อน   แต่พวกมันมีมากตายก็ตายไปส่วนที่เหลือก็ยังเข้าโจมตีไม่หยุดหย่อน
   
        เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ก็ชักดาบออกมาเข้าไปช่วยเจ้าลิงทั้งสอง   แต่พอร่างชายหนุ่มยามเข้าไป
พวกค้างคาวต่างแตกกระเจิงทันทีไม่ใช่ด้วยดาบที่เขาถือ    ไม่รู้ว่ามันเกรงกลัวสิ่งใดใน
ร่างกายเขาเมื่อเขาไปใกล้เจ้าลิงทั้งสองพวกมันก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ทั้งสามนอกจากส่งเสียง
ร้องก้องแล้ววนเวียนดำมืดไปทั่วถ้ำ     เสียงลมกระพือส่งกลิ่นเหม็นสาบสางของเจ้าพวกค้างคาวที่
มากมายทำให้เขาเกิดวิงเวียนศีรษะทันที     ถ้าหากอยู่ภายในถ้ำเห็นที่จะต้องเป็นลมไปกับกลิ่นของ
พวกมันเป็นแน่      จึงเรียกเจ้าลิงทั้งสองอย่าให้ห่างกายเขาพลางค่อยๆเดินถอยหลังออกจากนอกถ้ำ
ภายในถ้ำและนอกถ้ำนั้นล้วนแล้วแต่พวกค้างคาวซึ่งมีจำนวนมากมายต่างรุมล้อมร่างชายหนุ่มไว้
         แต่มันไม่กล้าเข้าภายในรัศมีห่างประมาณสามวาเห็นจะได้    ทันใดนั้นชายหนุ่มก็นึกถึงคำ
ของท่านผู้เฒ่าที่กล่าว่า   เสื้อขนนกที่เขาสวมใส่นี้มีอานุภาพด้วยเป็นขนของนกวายุภักดิ์   เห็นจะจริง
เป็นเช่นนี้ที่สามารถป้องกันภัยอันตรายจากพวกวิหคทั้งหลายได้  มันจะเกรงกลัวต่ออำนาจของขน
นกวายุภักดิ์    เห็นจะจริงด้วยพวกเจ้าค้างคาวก็จัดอยู่ในจำพวกนกมีหูหนูมีปีกจัดได้ว่าเป็นพวกนก
ชนิดหนึ่งเหมือนกัน     หากเป็นเช่นนั้นถึงแม้ว่าเขาจะฆ่าเจ้าค้างคาวมันก็ย่อมต้องเหนื่อยแรงมาก
จนอ่อนล้าได้  หรือหากจะใช้อำนาจของกระบองนาคราชซึ่งสามารถแยกร่างได้ก็ตามก็คงจะฆ่ามัน
ได้ก็จริงแต่ต้องใช้เวลานานนัก   พวกมันคงจะตายไม่หมดด้วยมีจำนวนมากมายนัก   

         ในเมื่อมันไม่กล้าเข้ามาทำอันตรายแก่พวกเขาก็ควรจะหลบหนีไปดีกว่า  นี่พระอาทิตย์ขึ้นสูง
แล้วเจ้าพวกค้างคาวไม่อาจจะต่อสู้กับแสงอาทิตย์ได้ย่อมจะเข้าไปพักอาศัยในที่มืดของถ้ำและคงจะ
ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวเขาเป็นแน่    ด้วยเขาตอนนี้อยู่นอกถ้ำแสงอาทิตย์กำลังจะพ้นขอบฟ้าแล้ว     
ดังนั้นเขาจึงค่อยๆถอยออกมา   เพื่อรอเวลาให้พระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าเสียก่อนแต่ก็ยังมีบางตัวพุ่งร่าง
เข้ามาวนเวียนรอบๆตัวเขา    พวกมันทั้งหมดต่างหนีเข้าภายในถ้ำจนเกือบหมดเหลือเพียงไม่ถึงสิบตัว
เห็นจะได้    สงสัยจะเป็นพวกหัวหน้ามันพยายามวนเวียนสกัดกั้นคล้ายๆจะต้อนพวกเขาให้เข้าไปยัง
ภายในถ้ำอีก   มันบินเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาด้านหลังที่เขาถอยหลัง       เมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้นเห็นที่จะเอา
ไว้ไม่ได้เสียแล้วเจ้าพวกนี้   จึงเอ่ยปากเรียกกระบองนาคราชทันที
         ทันใดนั้นลำแสงได้พุ่งออกมาจากร่างเจ้าขนทองมาสู่ยังมือเขาทันที   เขาสั่งให้กระบองนาคราช
เข้าทำลายล้างพวกค้างคาวดูดเลือดที่พยายามสกัดกั้นเขาไว้    พลันกระบองนาคราชได้แยกร่างออกจาก
กันเท่ากับจำนวนของพวกค้างคาวทันทีแล้วพุ่งเข้าไปไล่ตีพวกค้างคาวที่ยังคอยวนเวียนอยู่   มันเมื่อเห็น
กระบองนาคราชที่ส่งประกายแสงไฟพวยพุ่งออกจากกระบองมันต่างกลัวรีบบินหนีเพื่อจะเข้าไปยังถ้ำ
แต่ไม่ทันการเสียแล้ว   ลำแสงได้พุ่งเข้าไปกระทบร่างมันทั้งหมดแล้วร่วงหล่นสู่พื้นดินพร้อมกับกระบอง
ได้หวดกระหน่ำบนร่างมันซ้ำอีกจนมันถึงแก่ความตายทันที   
         ครั้นกระบองนาคราชฆ่าเจ้าพวกค้างคาวได้แล้วก็รวมตัวกัน   พุ่งกลับมายังอุ้งมือของชายหนุ่มทันที 
ชายหนุ่มจึงกล่าวให้กระบองกลับไปที่อยู่ดังเดิมได้   กระบองนาคราชก็กลายเป็นลำแสงพุ่งไปยังร่างเจ้า
ขนทองแล้วเข้าไปเสียบยังเอ็นที่หุ้มดวงแก้วของงูยักษ์        เขาเดินก้าวไปดูร่างของเจ้าค้างคาวดูดเลือด
ที่ร่างมันเหลวแหลกไปเกือบสิ้นแต่ด้านหัวบางตัวยังอยู่ครบ   มันคล้ายๆกับค้างคาวแม่ไก่ทั่วๆไปแต่เพียง
มันดูน่ากลัวและน่าเกลียดมากว่า   เขี้ยวมันยาวออกมรจรดเกือบจมูกมัน   บางตัวที่อ้าปากภายในแลเห็น
ฟันที่แหลมคมเรียงรายกัน   บางตัวลิ้นมันยาวออกมามากดวงตามันเหลือกถลนแทบปลิ้นออกจากเบ้าตา
        ครั้นชายหนุ่มพิจารณาดูแล้ว  เห็นมีตัวหนึ่งซึ่งตัวใหญ่มากกว่าตัวอื่นๆร่างมันเกือบเท่าโอ่งน้ำใบเล็กๆ
แต่เขี้ยวมันยาวมากผิดปกติ    ชายหนุ่มคิดได้ว่าหากจะตัดเขี้ยวมันทั้งสองออกมามอบให้เจ้าขนทองและ
เจ้าขนขาวใช้เป็นอาวุธประจำตัวก็คงจะดีโดยให้เก็บไว้ในย่ามของมันที่ห้อยติดตัวมันตลอดนับแต่เขา
แสดงความจำนงแก่มันแล้ว    หากได้เขี้ยวค้างคาวที่แลดูใหญ่แข็งแรงขาวแหลมคมด้วยเป็นอาวุธของ
เจ้าทั้งสองก็คงจะเหมาะกับรูปร่างของมัน    ดังนั้นเขาจึงนำมีดน้อยออกมาแซะไปยังร่องของเขี้ยวเจ้า
ค้างคาวดูดเลือดจนถึงโคนแล้วก็ตัดมันดึงออกมาทั้งสองเขี้ยว   เขานำมาทดลองกับต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่
ข้างๆ   ผลปรากฏว่าต้นไม้ใหญ่ฉีกขาดเขาแทงและตวัดไปยังกลางลำต้นไม้ทันที    
        พลันต้นไม้ใหญ่ก็ล้มครืนลงหักแยกจากกัน  เมื่อทดลองกับต้นไม้แล้วก็นำไปยังก้อนหินใหญ่
ที่มีมากมายแล้วนำเขี้ยวเจ้าค้างคาว    แทงเข้าใส่ยังก้อนหินก้อนใหญ่นั้นทันที   
ผลหินก้อนนั้นแตกแยกกัน      ถ้าหากมันไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของเสื้อขนนกวายุภักดิ์แล้ว
เห็นทีว่าพวกเขาหากเจอกับมันก็ยากจะป้องกันตัวเองได้และอาจจะเสียชีวิต
ไปกันหมดด้วยมันมีมากมายนัก  ส่วนตัวอื่นๆที่ตายล้วนแล้วแต่มีเขี้ยว
เหมือนกันแต่ไม่ใหญ่โตเท่าตัวหัวหน้ามัน
    
        ดังนั้นเขาจึงทยอยตัดเขี้ยวมันทั้งหมดมาเก็บไว้ในย่ามเพื่ออาจจะจำเป็นใช้ในโอกาสข้างหน้าซึ่ง
เขาเองก็ยังไม่รู้ชะตากรรมแต่อย่างไรแต่หาสิ่งป้องกันตัวไว้ก็เห็นจะดี   ครั้นจัดการเรียบร้อยแล้วจึงเรียก
เจ้าลิงทั้งสองทำสัญญาณบอกให้มันรู้แล้วมอบเขี้ยวอันใหญ่ที่เป็นหัวหน้าค้างคาวดูดเลือดมอบให้แก่
มันคนละเขี้ยว   เมื่อเจ้าลิงทั้งสองรับมาแล้วมันเบิ่งตามองและทดลองดังที่เขากระทำด้วยที่มันเห็น
แล้วนำมาฝึกพร้อมกับวิชาที่เขาอบรมสั่งสอนซึ่งมันใช้แทนอาวุธสั้นได้เป็นอย่างดีคล่องแคล่ว  
      ชายหนุ่มนั่งลงมองดูการใช้อาวุธที่เป็นเขี้ยวของเจ้าค้างคาวยักษ์  พลางอมยิ้มนึกถึงว่ามันทั้งสองนี้
ช่างชาญฉลาดผิดกับลิงทั่วๆไป  สมแล้วที่เจ้าลิงขาวเป็นจ่าฝูงปกครองลิงทั้งปวง  
ถึงแม้ว่าเจ้าขนทองมันจะยังไม่เคยเป็นจ่าฝูงก็ตาม   แต่ความกล้าหาญไม่กลัวตายอนาคต
มันคงจะได้เป็นผู้นำแน่นอนชายหนุ่มคิด  
          นี่ขนาดมันยังตัวเล็กยังสู้มิยอมถอยจนตัวจะตาย   ถ้าหากเขาไม่เข้าไปช่วยมันก่อน
และนำมาอุปถัมภ์ไว้    และบัดนี้ยิ่งเขาอบรมสั่งสอนจนเข้าใจกันและกันได้ดี
เพียงบางครั้งเขากล่าวแค่ฟังเสียงเท่านั้นมันก็ทำตาม  แสดงว่ามันชักจะฟังภาษาของเขาได้บ้างแล้ว 
 ส่วนเจ้าลิงขาวคงอาจจะต้องอีกนานกว่าจะฟังเสียงเขาเข้าใจได้  
 แต่เขาคิดว่ามันเป็นถึงจ่าฝูงย่อมมีอะไรที่พิเศษในตัวมันอยู่แล้วคงจะไม่ยากนัก
อีกประการหนึ่งมันอาศัยกับท่านผู้เฒ่าที่ชาญฉลาดย่อมอาจจะเรียนรู้คำพูดของท่านได้  เมื่อคิดได้เช่นนี้
เขาก็จะเริ่มใช้เสียงกับพวกมันก่อนนอกเสียจากไม่เข้าใจ   นั่นแหละถึงจะใช้สัญญาณมือซึ่งมันรับรู้ได้เป็น
อย่างดีเพื่อเป็นการฝึกฝนมันให้รับรู้ภาษาไปอีกทางหนึ่งในระยะเวลาการเดินทาง   เขาจำเป็นต้องพูดทั้งๆ
ที่เขาเองไม่ค่อยจะเป็นคนพูดมากก็ตามที   แต่จำเป็นแล้วต้องกระทำเช่นนี้
       เขามาคิดถึงแม่นางพรายทั้งสองว่าหากในเวลาที่นางสามารถปรากฏตัวได้ก็จะฝีกฝนวิชาความรู้เวทมนต์
ตลอดจนอาวุธที่เขาร่ำเรียนมาในตำราและผสมผสานกับวิชาของท่านผู้เฒ่าให้แก่นางทั้งสองด้วย   เนื่องจาก
นางเคยกล่าวว่าอาจจะกลับคืนสู่ร่างได้อีกครั้ง   เพื่อจะได้มีวิชาความรู้ด้านนี้ไว้ป้องกันตัวเองหรือบางทีอาจ
จะช่วยเหลือเขาได้เมื่อถึงคราวจำเป็น    เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วก็มองหาหนทางเพื่อจะเลาะลัดข้ามเขาลูกนี้ไปซึ่ง
เจ้าลิงขาวเองก็หมดปัญญาด้วยมันไม่สามารถรอบรู้หนทางหมด   เพียงแค่รู้และจำจดในสิ่งผ่านมาได้เท่านั้น
เอง  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องหาทางเอาเอง

        เขามองเห็นทางเดินที่เป็นแหง่หินยื่นออกมาเรียงรายรอบๆภูเขาหลังจากเดินค้นหาทางออกไปไม่พบทาง
ที่จะออกไปได้เลย       จึงได้พักผ่อนยังเหลี่ยมเขาที่ต่อเนื่องกันซึ่งไม่สูงชันนักคิดว่าพรุ่งนี้คงจะต้องปีนเขา
เพื่อข้ามไปเสียแล้ว      จวบจนพระอาทิตย์ได้ใกล้ค่ำๆจึงหาบริเวณพักผ่อนแต่คราวนี้ไม่สามารถจะอาศัยยังคา
คบไม้ได้อีก  เพราะที่นี่ล้วนแล้วแต่ลานหินทั้งสิ้น  จึงมองไปที่เป็นเหลือบหินพอจะบังลมและน้ำค้างได้
     จึงได้จัดการปูหนังเสือเพื่อใช้พักผ่อน ส่วนหนังกระทิงก็ปูให้เจ้าลิงทั้งสองนอนเพื่อคลายความเย็นที่กำลัง
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย    เขาคิดว่าสถานที่นี้เต็มไปด้วยหินผาต่างๆคงจะเยือกเย็นกว่าที่ผ่านมาแน่นอน     
           ครั้นเวลาค่ำย่างกรายมาถึง     แม่นางพรายทั้งสองก็ออกมาปรากฏกาย  เขาจึงได้แจ้งให้แม่นางทราบ
เมื่อนางพรายทั้งสองทราบความคิดอ่านของเขาเช่นนี้ต่างก็ดีใจต่างโผเข้ามากอดเขาและจูบที่แก้มเขาทั้งสองข้าง
เล่นเอาชายหนุ่มตกตลึงหน้าแดงฉานทันที   ร่างกายนางพรายทั้งสองช่างหอมหวนอะไรเช่นนี้ยิ่งปทุมเธอมาสัมผัส
ทำให้ชายหนุ่มถึงกับร้อนวูบๆวาบๆทันที    แต่ด้วยความที่เคยฝึกสมาธิไว้จึงข่มอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว  แล้ว
ค่อยๆดึงร่างนางออกกล่าวว่า
         “ตั้งแต่นี้พี่จะเริ่มฝึกอาวุธตลอดเวทมนต์ต่างๆให้น้องทั้งสองไว้ ยามใดที่น้องคืนร่างได้จะได้เป็นวิชาป้องกันตัวจ๊ะ”
          “เพียงแค่พี่กล่าวเช่นนี้น้องทั้งสองก็แสนจะดีใจ  อันที่จริงน้องไม่มีความรอบรู้ในเรื่องอาวุธเลยจ๊ะ
นอกจากมองดูพี่ฝึกและเห็นการต่อสู้   ครั้นจะไปช่วยเหลือก็ไม่ได้  หากวันใดน้องคืนร่างได้ตามบุญวาสนาแล้ว
ก็จะขอร่วมรบคู่เคียงกับพี่ท่านจ๊ะ”   นางพรายทั้งสองกล่าวพร้อมๆกัน

          “ได้ยินแม่นางกล่าวเช่นนี้พี่เองก็แสนจะปลาบปลื้มยินดีเป็นยิ่งนักแล้ว”  ชายหนุ่มกล่าว
           “จริงๆอยู่การร่ำเรียนจบน้องก็เข้าไปยังเมือง นอกจากร่ำเรียนวิชาการทำอาหารและร้อยถักปักร้อยที่แม่
สอนไว้เท่านั้นเองจ๊ะ”   แม่นายประกายแดงกล่าว
            “ส่วนน้องไม่เป็นอะไรเลยนอกจากช่วยทางบ้านเท่านั้น และทำอาหารพื้นบ้านป่าเท่านั้นเองแหละจ๊ะ”
แม่นางประกายเขียวกล่าวเช่นกัน
         “ไม่เป็นหรอกจ้า เราทั้งหมดร่วมเป็นร่วมตายกันมาก็มากแล้ว   เรื่องอื่นพี่ไม่คำนึงถึงหรอกจ้า  แล้วพี่
เองก็เลิกทานอาหารอื่นนอกจากผลไม้เท่านั้นมานานแสนนานแล้วล่ะ”   ชายหนุ่มกล่าวบ้าง
             “แต่ว่าเป็นหน้าที่ของลูกผู้หญิงนะพี่ท่าน  ที่จำเป็นต้องเรียนรู้  อ้อๆ ตอนนี้น้องเองได้สอนการอ่าน
เขียนให้แก่น้องประกายเขียวแล้ว จนนางสามารถอ่านออกเขียนได้ดี  น้องประกายเขียวฉลาดมากจ๊ะพี่ท่าน
สอนไม่เท่าไหร่ก็เรียนรู้สามารถอ่านออกเขียนได้คล่องแคล้วยังกับเรียนมาเป็นปีๆแหละจ้า”
นางพรายแดงกล่าว
             “อืมมๆๆๆก็ดีซิจ๊ะ  พี่เองก็ยังอาศัยร่ำเรียนจากน้องในภาษาถิ่นนี้เลย ด้วยพี่เรียนหนังสือมามันคนละ
แบบกันจ๊ะไม่เหมือนกันเลย”   ชายหนุ่มกล่าว
         “แล้วภาษาที่พี่เรียนมานั้นยากไหม  หากจะสอนให้พวกน้องๆบ้างจะได้ไหมจ๊ะ”  คราวนี้นางพรายเริ่ม
กระตือรือร้นเสียแล้ว
           “ได้ซิจ๊ะน้องยังสอนให้พี่ได้  ทำไมพี่จะสอนให้น้องทั้งสองไม่ได้  เอาล่ะเราเมื่อฝึกอาวุธต่างๆจนน้อง
เชี่ยวชาญคล่องแคล้วดีแล้ว  พี่จะสอนหนังสือเมืองพี่ให้น้องทราบหลังจากการฝึกอาวุธจบไปพร้อมๆกันจ๊ะ”
ชายหนุ่มกล่าวพร้อมอมยิ้ม
            “จ๊ะแล้วพี่ท่านจะเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ”   นางพรายทั้งสองกล่าว
             “เดี๋ยวนี้เลยจ๊ะจะได้ไม่ต้องเสียเวลา   ยามพักคืนใดพี่จะสอนให้ต่อเนื่องกันไปจ๊ะ”   ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
           
          พลางเขาก็ไปคัดเลือกก้อนหินและกิ่งไม้แห้งที่แข็งแรงกะว่าพอกำมือหญิงสาวมาสองกิ่งแล้วนำมามอบ
ให้แก่หญิงสาว   เริ่มแรกเขาก็เริ่มฝึกฝนการขว้างก้อนหินก่อน............

                     *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
19 กุมภาพันธ์ 2553 14:32 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 24

แก้วประเสริฐ


                  ลุ่มลึกอิสราวดี  24

      เมื่อทั้งหมดอำลาท่านผู้เฒ่าแล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางภูเขาเบื้องหน้า
ด้วยเจ้าลิงขนขาวนั้น      ชำนาญทางภูมิประเทศแถบนี้มากมันจึงออกนำหน้า
ติดตามด้วยเจ้าขนทองในระยะห่างกันพอสมควร   ทั้งหมดผ่านป่าไม้ที่อุดม
ไปด้วยความสมบูรณ์ต้นไม้ใหญ่น้อยต่างเขียวชอุ่ม  บางต้นออกดอกสีสวยงาม
       กล้วยไม้หรือก็ออกดอกงามย้อยระย้าสะพรั่งตามคาคบไม้สูงๆสีสันงามแปลก
ตา  บ้างสีเหลือง บ้านชมพูอมขาว  บ้างสีค่อนข้างแดงอมชมพู หลายหลากสี
ทั้งหมดต่างมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้า    ยามพักผ่อนจากการอ่อนล้าชายหนุ่มก็เรียก
เจ้าลิงขนขาวมาเพื่อฝึกปรือวิชาการต่อสู้   แต่เนื่องจากมันเป็นลิงที่ฉลาดและผ่าน
การฝึกฝนจากท่านผู้เฒ่ามาบ้างแล้ว    จึงไม่ยากนักที่เขาจะอบรมสั่งสอน  
       ชั่วระยะไม่นานนักด้วยเวลาผ่านมาหลายวันทำให้บังเกิดความใกล้ชิดสนิทสนม
มากยิ่งขึ้น   เจ้าขนทองและเจ้าขนขาวต่างก็เข้ากันได้ด้วยดี   ส่วนหน้าที่การหาอาหาร
นั้นเจ้าขนทองถือตัวเองว่าเป็นคนก่อนเก่า  จึงตกเป็นหน้าที่ของเจ้าขนขาวที่ต้องไป
เที่ยวเก็บผลไม้ต่างๆ    มาให้พวกเขาทานกันความเฉลียวฉลาดที่ชายหนุ่มสักเกตุดู
ว่ารู้สึกเจ้าขนทองจะมีมากกว่าเจ้าขนขาวด้วยลักษณะการกระทำของมันทั้งสอง   

         เขาให้มันทั้งสองต่อสู้กันเพื่อฝึกฝนวิชาการต่อสู้   ที่เขาได้ถ่ายทอดออกมาให้
ต่างเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและฝีมือเจ้าขนทองจะเหนือกว่าเจ้าขนขาวมากนัก   
จนบัดนี้การขว้างปาด้วยก้อนหิน การใช้ไม้แทนอาวุธต่างคล่องแคล้วว่องไวมาก  
 ปกตินิสัยของลิงย่อมว่องไวอยู่แล้วเมื่อได้รับการฝึกฝนยิ่งบังเกิดความรวดเร็วมาก
ขึ้นกว่าเดิม   การเคลื่อนไหวประดุจดังสายลมแทบจะมองไม่เห็นในการหลบหลีก
การหนีการเข้าต่อสู้การออกมาเพื่อต้านรับนั้นผสมผสานกันอย่างดีและอีกสิ่งหนึ่งที่
เขายังได้รับความรู้จากเจ้าขนขาวด้วยวิชาที่มันนำมาใช้ซึ่งได้รับการอบรมสั่งสอนมา
จากท่านผู้เฒ่าอีกด้วย     
         ดังนั้นเขาจึงนำวิชาของเขากับของท่านผู้เฒ่ามาผสมผสานกันจนคล่องแคล้ว
ด้วยการที่เขาฝึกปรือก่อนจะถ่ายทอดให้มันทั้งสอง    เวลาผ่านไปค่ำไหนก็นอนนั่น
จนกระทั่งมาถึงช่องแคบไม่ใหญ่มากนัก   ทั้งหมดก็พ้นบริเวณหุบเขาผ่านออกมากสู่
อีกด้านหนึ่ง     ชายหนุ่มแลไปเห็นเป็นที่โล่งเตียนและเต็มไปด้วยฝูงสัตว์น้อยใหญ่
ต่างเดินเพ่นพ่านหาอาหารเป็นพวกๆ   มีทั้งควายป่า   กวาง เก้ง หมาป่า  ช้างสูงใหญ่
ตลอดจนเสือ สิงห์และเหล่าสัตว์อีกมากมายนัก    
       ซึ่งพวกเขาจำต้องออกเดินทางผ่านฝ่าฝูงสัตว์เหล่านี้ไปด้วยเป็นบริเวณ
ที่ปราศจากต้นไม้ใหญ่  จะมีบ้างก็ไม่กี่ต้น      แต่ก็เป็นบางแห่งที่มีต้นไม้
ขึ้นเป็นหย่อมๆไป    เขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเหตุใดพวกมันถึงไม่เข้าไปภายใน
บริเวณหุบเขาที่เขาผ่านมาซึ่งอุดมไปด้วยพืชพันธุ์นานานัปการ   กลับมาอยู่ในบริเวณ
ที่แห่งนี้ทั้งหมดที่มีแต่วัชพืช     จึงเกิดการเข่นฆ่ากันจากพวกกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร 
      ดังนั้นพวกมันจึงต่างมีความหวาดระแวงกันต่อกันต้องระวังภัยที่จะมาถึงเมื่อใดก็ได้
เหตุดังนี้มันถึงอยู่รวมๆกันเป็นพวกๆ   ชายหนุ่มมองหาหนทางจะหลีกเลี่ยงเจ้าพวกนั้นแต่
ก็ไม่มีที่จะหลบเลี่ยงไปได้นอกจาก    ฝ่าไปยังฝูงกวางเท่านั้นแต่ทว่าบริเวณนั้นกว้างขวาง
มากยากจะหลีกไปซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด
     
      เมื่อเป็นเช่นนี้เขาคิดว่าคงจะรอให้ตกเย็นสักหน่อยเพื่อให้สัตว์ทั้งหลายหากินแล้วต่างก็
จะกลับไปสถานที่มัน    จึงจะออกเดินทางไปด้วยมิอยากจะฆ่าสัตว์เหล่านี้เพราะเขาไม่มี
ความต้องการจะกินเนื้อพวกมัน  จนบัดนี้เขาเว้นจากการกินเนื้อสัตว์มานานแสนนานแล้ว
นั่นเองกินแต่พวกผลไม้     แต่เรื่องนี้ซิมันจะสร้างปัญหาให้เขาด้วยจึงจะต้องรีบหาหนทาง
เพื่อผ่านทุ่งบริเวณเหล่านี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  ในที่ไกลตานั้นเขามองเห็นมีแนวป่าอยู่
ขึ้นเขียวๆใกล้ๆกับภูเขาแต่เอ๊ะเขาฉงนในใจ  เหตุใดหรือพวกมันถึงไม่ไปหากินแถวๆนั้น
หรือว่าจะมีสิ่งที่น่ากลัวสำหรับพวกมันอาศัยอยู่    แต่ช่างเถอะเมื่อเหตุการณ์มาถึงตอนนี้แล้ว
เขาก็ผ่านสิ่งร้ายๆมามากพอสมควรจึงมิได้หวั่นเกรงแต่ประการใดไม่    
        จึงนั่งพักผ่อนกับเจ้าสองตัวในช่วงที่เว้นว่างเช่นนี้เขาไม่มีอะไรจะทำจึงนึกได้ว่า  ถ้าหาก
เขาจะทำย่ามอีกสักสองใบเพื่อให้เจ้าลิงทั้งสองใช้จากหนังกระทิงที่พอจะทำได้ ซึ่งไม่ได้ใช้
อะไรมาทำก็จะเหมาะ   ดังนั้นจึงนำเอาหนังกระทิงมาตัดเป็นย่ามร้อยด้วยเอ็นจนเป็นย่ามได้
สองใบ  เสร็จแล้วจึงเรียกเจ้าทั้งสองเข้ามาพร้อมนำมาคล้องสะพายให้กับเจ้าทั้งสองแล้ว
ส่งสัญญาณให้มันรับรู้การใช้และไปหาอาหารมาตุนไว้   เจ้าทั้งสองรับรู้ในการส่งสัญญาณมือ
ของเขาแล้วทั้งสองก็หันหลังกลับพุ่งร่างทะยานไปในป่าเบื้องหน้าทันที

       ชายหนุ่มรอจนกระทั่งเจ้าขนทองปรากฏกายขึ้นพร้อมในย่ามเต็มไปด้วยผลไม้นาๆชนิด
สักพักเจ้าขนขาวก็กลับมาพร้อมผลไม้เต็มย่ามเช่นกัน   ทั้งหมดก็ลงมือกินอาหารทันทีสำรอง
ไว้เพื่อจะออกเดินทางต่อไปยามอากาศตกเย็นจวนใกล้ๆค่ำ   ครั้นได้เวลาแล้วจึงนำเจ้าทั้งสอง
ออกเดินทางฝ่ากลางทุ่งที่ยังร้อนระอุอยู่มุ่งหน้าตรงไปอย่างรวดเร็ว  ด้วยบรรดาสัตว์น้อยใหญ่
ต่างกลับกันคงเหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั้น   ซึ่งมีพวกหมาป่ากำลังกัดแทะเนื้อที่เหลือจากเสือ
กินทิ้งไว้   เขาเดินหลีกเลี่ยงพวกมันหมายมุ่งไปยังแนวป่าที่มองเห็นว่าไม่ไกลนักแล้ว  ยิ่งใกล้
เข้าไปยิ่งแปลกใจมากเพราะหาได้มีสัตว์อื่นๆจะเข้ามาใกล้เลยสักตัวเดียว
       ครั้นผิดสังเกตเช่นนี้จึงตบไปยังไหล่ของเจ้าลิงทั้งสองเสมือนจะเตือนภัยให้แก่มัน  และมัน
เหมือนจะรู้ตัวเหมือนกัน ด้วยขนของมันต่างพองไปทั้งลำตัวหันหน้ามองมาทางเขา    ชายหนุ่ม
จึงลูบหัวทั้งสองเบาๆคล้ายจะปลอบใจมัน  แล้วก็มุ่งหน้าไปเข้าแนวป่าทันที     เสียงดังแซดๆๆ
ดังขึ้นชายหนุ่มชักดาบออกมาถือ    พร้อมกับได้ยินนางพรายกระซิบเตือนข้างหูเขาว่าให้ระวัง
ไว้มีสัตว์ประหลาดกำลังจะมาทำร้ายเอา    

       ในท่ามกลางอากาศที่ยังสลัวๆนั้นเขาเห็นสิ่งหนึ่งมองดูคล้ายเถาวัลย์แต่แปลก
ที่ปลายมันมีสองแฉกสีแดงเข้มพุ่งมายังพวกเขาแต่ไม่ถึง กลับหดหายไปอีก   
เมื่อเขาเดินล่วงหน้าไปเสียงดังโครมครามของต้นไม้ที่หักดังเข้ามา   ปลายคล้ายเถาวัลย์สีแดง
ก็พุ่งเข้ามาอีกคราวนี้มันตวัดมายังร่างเขาทันที    ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบตีลังกา
ถอยหลังพร้อมกับฟันดาบใส่ยังคล้ายเถาวัลย์สีแดงทันใด    สายเถาวัลย์นั้นก็ขาดออกมา
          พร้อมกับเลือดพุ่งฉีดใส่  ชายหนุ่มรีบหลบสายเลือดนั้นทันที   เสียงร้องกึกก้องดังกังวาน
ทันใดหัวของสัตว์ประหลาดได้โผล่หน้าออกมา   นี่เพียงแค่ท่อนหัวมันเท่านั้นยังกับภูเขาลูก
ย่อมๆทีเดียว   แล้วร่างมันพร้อมขาก็โผล่ออกมาใบหน้ามันแหลมเสี้ยมมีหนามแหลมคม
ตลอดด้านหลังมันซึ่งโผล่มาแค่ครึ่งตัวร่างมันช่างใหญ่โตนัก   หัวมันผงกๆไปๆมาๆส่ายสายตา
เมื่อแลเห็นเขากับเจ้าลิงทั้งสองมันก็แลบลิ้น  แต่ทว่าลิ้นที่เขาเห็นเป็นเถาวัลย์สีแดงนั้นเหลือ
แค่เพียงครึ่งเดียวเลือดไหลหยดเป็นทางริมปากมันก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของมันเอง   แล้วมัน

         พุ่งร่างเข้าใส่เขาพร้อมเล็บหน้าที่แหลมคมทั้งสองทันที   ชายหนุ่มรีบกระโดดหลบไปข้าง
ต้นไม้ใหญ่  ส่วนเจ้าลิงทั้งสองต่างกระโจนเข้าใส่สัตว์ร้ายร่างยักษ์นั้นทันที     ตัวหนึ่งขึ้นไปบน
หัวมัน อีกปลายหนึ่งหายไปคิดว่าไปยังด้านหางของมันด้วย   เขาพึ่งสังเกตเห็นว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้ดุจ
คล้ายกิ้งก่ามาก    แต่ผิดกับว่าตัวมันใหญ่โตเท่านั้นเอง   นั่นซิจึงทำให้พวกสัตว์ต่างๆไม่กล้าเข้ามา
ในดงไม้นี้ด้วยเกรงภัยจากมัน    หัวมันยังส่ายไปส่ายมาแล้วย่างเข้าหาร่างชายหนุ่ม   เขาได้ล้วง
หยิบก้อนหินสีแดงออกมาแล้วขว้างไปยังดวงตามันทันที   ผลว่าหินทั้งสองหายวับไปในดวงตา
มันเลือดทะลักไหลแดงฉาน    มันตาบอดเสียแล้วพร้อมส่งเสียงร้องก้องคำรามลั่นสนั่นไปทั่ว
บริเวณนั้นด้วยความเจ็บปวด   พร้อมร่างมันก็พุ่งออกมาจนพ้นแลเห็นทั้งตัวหางมันยาวมากๆ
ส่วนเจ้าขนทองกำลังกัดเนื้อท่อนหัวมันจนเป็นแผลเหวอะหวะ  ส่วนเจ้าลิงขนขาวก็กัดฝังเขี้ยว
มันไปยังท่อนก่อนปลายหาง   ส่วนหางมันฟาดไปยังบรรดาต้นไม้เล็กๆหักสะบั้นทันที
เสียงร้องของมันทำให้พวกสัตว์ทั้งหลายต่างหนีกันกระเจิงไป  นกบินว่อนหนีไปแต่มันหาได้
        ลดทอนความดุร้ายมันก็หาไม่เสมือนมันยังได้กลิ่นของเขาอยู่   จึงอ้าปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยว
แหลมคมที่เรียงรายเต็มปากมัน  เข้างับมายังชายหนุ่มมันที   ต้องทำให้เขารีบกระโดดหลีกไป
อีกต้นหนึ่ง  ต้นไม้ที่เขาใช้หลบภัยนั้นต่างหักคาปากมันทันที   คราวนี้ชายหนุ่มปลดคันธนูพร้อม
หยิบลูกธนูที่มีประกายแวววาวสดใสออกมา   แล้วยิงไปยังหัวมันตรงแสกหน้ามันลูกธนูส่งเสียง
หวีดหวิวๆพร้อมพุ่งเข้าเสียบยังแสกหน้าจมหายไปเกือบหมด  ร่างมันหยุดชะงักลงพร้อมทั้ง  

        ร่างเจ้ากิ้งก่าก็ดิ้นพลาดๆทันที    ส่วนเจ้าลิงทั้งสองที่ต่างกัดร่างมันจนเหวอะหวะไป
 ต่างกระโดดหนีออกจากร่างมันพุ่งตัวไปยังกิ่งไม้พลางแกว่งร่างไปตามต้นไม้เพื่อเข้าต่อสู้อีก
   แต่ทว่าร่างเจ้ากิ้งก่ายักษ์นั้นกับดิ้นพลาดๆเป็นบริเวณกว้าง ทำให้บรรดาต้นไม้เล็กใหญ่ต่าง
หักล้มลงส่งเสียงดังสนั่นไปทั่ว   แล้วร่างของมันก็หงายท้องทุกส่วนร่างของมันกระตุกๆเบาๆ
แล้วก็หยุดเงียบไป  ชายหนุ่มเดินเข้าไปดูเห็นเลือดและสมองมันไหลออกมามากมาย
เขาดึงลูกธนูที่ปราศจากเลือดติดมาเสียบยังกระบอกไม้ที่เดิม
         ครั้นเจ้าลิงทั้งสองเหมือนจะรู้พุ่งกายลงมายืนอยู่ใกล้ๆร่างชายหนุ่ม  พร้อมขย่มตัวมันร้อง
เสียงดัง คงจะแสดงถึงชัยชนะที่มีต่อเจ้าสัตว์ประหลาดนี้กระมัง   แล้วนำดาบออกมาชำแหละยัง
ดวงตากลมโตใหญ่คว้านหาก้อนหินสีแดงสองลูกนำออกมาเก็บไว้ใช้ต่อไป   พอจัดการกับเจ้า
ร่างยักษ์แล้ว  ก็ออกเดินทางมุ่งต่อไปยังภูเขาที่อยู่เบื้องหน้า   เพื่อค้นหาสถานที่พักผ่อน 
  การค้นหาผ่านไปสักพักก็พบโพรงถ้ำกว้างใหญ่มากทั้งโพรงปากถ้ำก็สูงใหญ่เช่นเดียวกัน  

        จึงเดินเข้าไปสำรวจภายในโดยจุดคบเพลิงส่องนำทางเพื่อความไม่ประมาท  ค่อยๆเดินเข้าไป  
เกรงว่าภายในคงจะมีสัตว์ร้ายอาศัยแต่ไม่พบสิ่งใด    หรือว่านี่คือสถานที่เจ้ากิ้งก่าคงใช้อาศัยอยู่เหตุ
ไฉนจึงมีร่อยรอยคล้ายๆจำนวนมากอาศัยอยู่    เขาคิดว่ามันจะต้องมีสองตัวหรือมากกว่านั้นอีก
 หรือว่ามันแยกย้ายไปหาอาหารกัน ซึ่งภายในเป็นโพรงถ้ำที่สูงกว้างขวางนัก
   ครั้นสำรวจแล้วไม่เห็นมีสัตว์ร้ายใดๆแม้กระทั้งงูก็ไม่มี  มีแต่หินย้อยบางแห่งหักแตกตกลงมา
       ดังนั้นชายหนุ่มจึงนำคบเพลิงไปหาที่พักแล้วใช้หนังสัตว์ทำความสะอาดบริเวณ
พอที่จะอาศัยได้เท่านั้น   ร่างนางพรายทั้งสองก็ปรากฏกายขึ้นพลางยิ้มให้แก่ชายหนุ่มแต่ยิ้มหล่อนดู
ค่อนข้างแปลกๆกว่าเก่ามากนัก     ต้องทำให้ชายหนุ่มจ้องมองดูแม่นางพรายทั้งสองทันที  
 สังเกตเห็นว่าคราวนี้หล่อนช่างผิดกับคราวก่อนมากคือมีใบหน้าแดงซ่านและค่อนข้างตะลึงเอียงอาย
เมื่อยามจ้องมองมายังร่างของชายหนุ่มมองหล่อนพิจารณาอย่างละเอียดกิริยาท่าทางจะเอียงอายนิดๆ    
        ดังนั้นจึงถามแม่นางทั้งสองไปว่า
      “น้องเราเป็นอะไรไปหรือเปล่า   พี่เห็นหน้าน้องดูแปลกๆนะ”
       “หามิได้พี่ท่าน  เราทั้งสองไม่เป็นอะไรหรอกแต่ชมดูการต่อสู้ของท่านพี่เท่านั้นเอง”  นางพราย
แดงกล่าวเหมือนจะเลี่ยงๆไป  แต่ท่าทีแสดงอาการขวยเขินนัก
        “อ้าวแล้วทำไมอากัปกิริยาจึงไม่เหมือนเดิมล่ะ????....”         ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
   คราวนี้ทั้งสองอ้ำอึ้งๆไปต่างมองหน้ากัน   นางพรายเขียวตอบทันที
         “ก็พี่ท่านทำไมช่างหล่อเหลานักนะซิ  ไม่คิดว่าพอท่านพี่โกนหนวดเคราและจัดระเบียบผมแล้ว
รูปร่างจะเปลี่ยนไปเช่นนี้  พวกน้องคิดไม่ถึงจริงๆจ๊ะ”    นางพรายตอบด้วยสีหน้าแดงระเรื่อๆ
         “โถๆๆแค่นี้เองหรอกหรือ  พี่ยังนึกว่าน้องคงจะไม่สบายเสียอีก”    ชายหนุ่มกล่าว
        “ไม่เห็นแปลกอะไรเลย ก่อนนั้นพี่เองก็เป็นแบบนี้แหละ  ผิดก็เพียงแต่ทรงผมเท่านั้นเองจ๊ะ”

        “สมแล้วที่มีคนคอยคำนึงถึงไม่ยอมสร่างซาเลย”   แล้วทั้งสองก็หัวร่อต่อกระซิกต่อกัน
         “ใครหรือน้องเราที่เฝ้ารอคอยพี่นะ????....”    คราวนี้ชายหนุ่มยิ่งสงสัยมากยิ่งขึ้น
          “น้องเองก็บอกท่านพี่ไม่ได้หรอกจ๊ะ”        นางพรายแดงกล่าว
          “ลำบากแก่ใจน้อง  พี่ก็ไม่ถามอีกแล้วล่ะ งั้นพี่จะขอพักผ่อนหน่อยนะ”  ชายหนุ่มกล่าวทั้งที่
ยังสงสัยในคำพูดของแม่นางพราย  และอากัปกิริยาของนางทั้งสอง
         “จ๊ะท่านพี่ตามสบายเถอะ   เดี๋ยวน้องจะออกไปดูนอกถ้ำหน่อย  ส่วนแม่ประกายเขียวจะคอย
เฝ้าดูแลท่านพี่ที่นี้จ๊ะ”  นางพรายประกายแดงกล่าวแล้วลอยละล่องออกจากถ้ำไปทันที
              
     จวบฟ้าใกล้สางค่อนรุ่งนี้ย่างกรายเข้ามาอีก  อากาศภายในช่างเย็นนักหากยังมีแสงเพียงแค่สลัวๆเท่านั้น
แต่ภายนอกลมพัดเอื่อยๆหอมกลิ่นของดอกไม้ลอยมากระทบจมูกชายหนุ่มช่างหอมชื่นใจนัก  
 เขาพึ่งสังเกตว่าปากถ้ำนี้ก็มีวัชพืชคลุมอยู่มีดอกเริ่มบานสะพรั่งและโชยกลิ่นหอมแปลกประหลาดนัก
เขาที่เคยสงสัยแต่เมื่อแลเห็นก็หายสงสัย  กลิ่นนี้นี่เองยามลมโชยเข้ามาจึงหอมละมุนยิ่งนักชายหนุ่มคิด
      เขาหันไปมองเจ้าสองตัวเห็นมันตื่นตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้แต่ด้วยสัญชาติฌานสัตว์ย่อมไม่ตื่นนอนสายอยู่
แล้วนั่นเอง  แต่มันไม่ไปไหนเพียงแต่นั่งเฝ้าคอยดูแลเขา   ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินไปยังภายในถ้ำซึ่งอาจจะ
มีน้ำที่หยดไหลจากหินย้อยบ้างตามที่เคยปรากฏเสมอๆที่เขาเข้าพักตามถ้ำผ่านมา   แล้วก็จริงดังนั้นจึงรีบ
ชำระล้างใบหน้าให้สะอาดพร้อมทั้งลูบไล้ตัว  และเรียกลิงทั้งสองมาให้ดื่มกินพร้อมเติมน้ำในกระบอก
เก็บน้ำให้เต็มไว้เพื่อจะได้เดินทางต่อไปไม่ต้องขาดน้ำอีก   ทันใดนั้นเองแม่นางพรายแดงก็เข้ามาหาเขา
พลางกล่าวแก่เขาทันที่ว่า............

              *  แก้วประเสริฐ.  *

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ