18 กุมภาพันธ์ 2553 13:04 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 23
“ โอ้ๆๆ....โอ้ๆ...ท่านมหาอุปราชใช่ไหมพระเจ้าค่ะ”
เสียงชายชรากล่าวพร้อมย่อร่างลงนั่งพับเพียบพนมมือทันที ด้วยสีหน้าแสดงความดีใจ
“ท่านผู้เฒ่ากล่าวอะไรหรือ?????....ท่านผู้เฒ่าจำผิดหรือเปล่า”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยในอากัปกิริยาของผู้ชราที่ เขาคิดว่า
คงจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ทำให้นึกคิดถึงเหตุการณ์ที่ริมแม่น้ำอิรวดีขึ้นมาทันใด
น่าจะมีการเข้าใจผิดแน่นอนด้วยเราไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับบุคคลพวกนี้เลยนี่นา ชายหนุ่มรำพึง
ครั้นชายชราได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ พลางเงยหน้าขึ้นพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า
“ไม่ผิดหรอกพระพุทธเจ้าข้า ข้าอยู่กับท่านมาตั้งแต่ท่านยังเล็กนักและเลี้ยงดูแลท่านมา
พระเจ้าข้า” ชายชราย้ำอีกครั้ง
ทันใดนั้นชายหนุ่มได้ยินเสียงกระซิบของแม่นางพรายข้างหูว่า
“ไม่ผิดหรอกก่อนนั้นพี่ ท่านเคยดำรงมหาอุปราชมาก่อนจ๊ะ แต่ทว่าท่านพี่???.....”
“อะไรหรือแม่นาง เราเองเกิดคนละยุคกับปัจจุบันนี้นะ “ชายหนุ่มยิ่งกล่าวยิ่งงุนงงมากขึ้น
“ถูกแล้วท่านพี่ก่อนนั้นท่านดำรงในตำแหน่งมหาอุปราชแห่งนครนี้มาก่อน แม้นว่าปัจจุบัน
เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปจ๊ะท่านพี่” นางพรายทั้งสองกล่าวพร้อมๆกัน
“เอาอะไรมาพูดจ๊ะแม่นาง ในเมื่อเราก็รู้ตัวอยู่มิได้ฟั่นเฟือนไปนี่นา”
“ท่านพี่ลองนึกซิ เมื่อก่อนนั้นกับตอนนี้ทำไมถึงได้แตกต่างกันล่ะท่านพี่” นางพรายย้ำอีก
คราวนี้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ จริงซินะก่อนนั้นกับปัจจุบันนี้มันแตกต่างไปหมดอะไรๆก็ดูไม่
เหมือนอดีตที่เราเคยอยู่เลย เอาล่ะไหนๆก็ไหนๆ” สุภาษิตว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”
หากเราจะอธิบายอย่างไร ก็คงจะไม่มีใครยอมรับฟังเราหรอก จึงได้เปลี่ยนท่าทีตามสภาพการ
นั้นๆ จึงย่อร่างลงก้มพยุงร่างชายชราให้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวขึ้น
“ในเมื่อท่านผู้เฒ่าว่าเราเป็นท่านมหาอุปราช ไหนๆลองเล่าให้เราฟังซิเราหลงๆลืมๆไปหมด
สิ้นแล้ว ว่าตัวเราเคยเป็นอะไรมาก่อน” ชายหนุ่มกล่าว
“ได้พระเจ้าข้า ขณะที่เราสองกำลังฝึกอาวุธกันอยู่ภายในอุทยานสวนกันอยู่นั้น ภายหลัง
การฝึกเสร็จสิ้นลง พระองค์ขณะที่เป็นวัยหนุ่มหมาดๆอยู่ชวนข้าเล่นซ่อนหากัน ข้าฯเองไม่
อาจจะทัดทานแต่ประการใดไม่ แล้วพระองค์ก็ไปแอบซ่อน ข้าฯเองค้นหาเท่าไหร่ไม่เจอจวบ
จน พระบิดาของพระองค์เมื่อทราบเหตุด้วยทรงมีพระโอรสเพียงพระองค์เดียวกริ้วข้าฯยิ่งนัก
แต่ด้วยความภักดีที่ข้ามีต่อราชสำนักและเคยช่วยเหลือพระบิดาพระองค์มา จึงงดเว้นโทษประหาร
แต่ได้มาสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้นมากักขังห้ามข้าฯออกจากปราสาทนอกเขตกำแพงเสียจนกว่า
พระองค์จะเสด็จมาถึงจะอนุญาตให้ ข้าพระพุทธเจ้าพ้นผิดพระเจ้าข้า” ชายชรากล่าวด้วยสีหน้า
รัดทดยิ่งนัก
“อ้าวแล้วเหตุใดปราสาทหลังนี้ถึงได้ทรุดโทรมมากนักล่ะท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าว
“เหตุดังนี้ด้วย ภายหลังจากข้ามาถูกกักกันเสียหลายๆปี ทางเมืองได้ถูกข้าศึกเข้าล้อมและ
เสียเมืองให้แก่นครที่มารุกราน ครั้นข้าพุทธเจ้าจะออกไปช่วยหรือก็ติดโทษานุโทษด้วยอำนาจ
เวทย์มนต์ที่เสด็จพ่อของพระองค์ขีดกำกับไว้ด้วยพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่าข้าจะมีวิชาอาคมมากมายก็จริงแต่สู้ฤทธิ์อำนาจของเสด็จพ่อพระองค์ไม่ได้
อีกประการหนึ่งก่อนที่จะมาอยู่ที่นี้ได้ให้สัจจะแก่เสด็จพ่อพระองค์ไว้ว่า
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแก่เราก็ตามมิให้เราออกจากปราสาทได้จนกว่าพระโอรสเราจะคืนกลับนคร
นั่นแหละถึงจะพ้นอำนาจของเรา ข้าฯเองก็ให้สัจจะไว้ แต่ด้วยต่อมาข้าฯได้ฝึกฝนวิชาอาคมจน
สามารถพ้นจากอำนาจเวทย์มนต์ของเสด็จพ่อพระองค์ แต่ด้วยมีสัจจะวาจาไว้แล้วจึงต้องทนอยู่มา
นานนับนานพระเจ้าข้า” ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมองยิ่งนัก
“ต่อมาได้รับทราบว่าเมืองเสด็จพ่อพระองค์ล่มสลายด้วย เสด็จพ่อพระองค์ให้ประชาชนอพยพ
ไปหมดสิ้นแล้ว ใช้อำนาจมนตราทำลายเมืองเสียสิ้นแล้วพระองค์ก็ปลงประชนม์ชีพภายในเมือง
นั้นนั่นเอง มิให้ข้าศึกกับพวกก่อการร้ายสำเร็จตามที่มั่นมุ่งหมายไว้
ที่ข้าทราบก็ด้วยมีทหารเอกได้มาแจ้งแก่ข้าฯพระพุทธเจ้าข้า”
ชายชรากล่าวด้วยหยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาอันแจ่มใส แม้ว่าร่างกายจะเฒ่าชราก็ตามที
ชายหนุ่มครั้นได้รับฟังแล้วให้รู้สึกสะท้านใจลึกๆไม่ทราบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไหนๆเมื่อ
ยอมรับต่อคำของชายชราแล้วก็เห็นทีจะต้องปล่อยเลยตามเลย
“เอาล่ะท่านผู้เฒ่าลุกขึ้นเถอะในเมือเป็นเหตุการณ์เช่นนี้ หมายถึงว่าการเป็นมหาอุปราชได้สิ้น
สุดลงเสียแล้ว ท่านเราก็เสมือนบุคคลธรรมดาแล้ว อย่าได้ยึดถือขนบธรรมเนียมไปอีกเลยนะ อ้อๆๆ
ท่านมีนามว่าอะไรล่ะ คุยกันมานานยังไม่ทราบชื่อท่านเลย” ชายหนุ่มถามชราชราทันที
“ข้าพระพุทธเจ้ามีนามว่า “มังมหาสุรเดชาธิบดี” พระเจ้าข้า
“ไหนๆว่าไม่ต้องถือขนบธรรมเนียมกันอีกแล้วให้เรียกชื่อเฉยๆนะ
คำ มหาอุปราชก็ยกเลิกไปก่อนจนกว่า เราสองจะหาทางตั้งเมืองขึ้นมาใหม่นั่นแหละ
ถึงจะย้อนกลับขนบธรรมเนียมประเพณีอีกครั้ง
ส่วนเรานั้น เราเองก็จำชื่อไม่ได้ว่าชื่ออะไรไหนๆท่านลองกล่าวให้เราฟังซิ”
ชายหนุ่มกล่าวมิได้บอกชื่อจริงในปัจจุบันให้ชายชราทราบ
“ในเมื่อพระองค์อนุญาตเช่นนี้แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็น้อมรับคำบัญชาพระเจ้าข้า
อันนามของพระองค์มีชื่อว่า มังสุรกานต์นรินทร์เดชา” พระเจ้าข้า
“มังสุรกานต์นรินทร์เดชา” อือๆๆชื่อนี้คลับคล้ายคลับคลาจริงๆนะ”
ทำให้เขานึกถึงความฝันที่ยามก้าวล่วงเข้าแผ่นดินนี้ หญิงสาวในฝันมักเอ่ยนามนี้เสมอๆ
แต่เขาไม่สนใจนึกว่าแค่เพียงความฝันเท่านั้น ยามเมื่อชายชรากล่าวเช่นนี้ทำให้นึกขึ้นได้อีก
“แต่ชื่อเรากับท่านดูออกจะคล้ายๆกันนะ” ท่านผู้เฒ่า
“ เหตุที่เป็นเช่นนี้ ด้วยเรากับเสด็จพ่อท่านเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย อีกอย่างหนึ่งเราก็ไม่
มีครอบครัวไม่มีทายาทสืบทอดสกุลเรา พระองค์จึงให้ชื่อท่านคล้ายๆกับเราเพื่อจะได้สมานน้ำใจ
ไมตรีกันไว้
เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ทำให้ข้านึกบางอย่างได้แล้ว สงสัยว่าเสด็จพ่อพระองค์คงจะทราบ
เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เกรงเราจะได้รับอันตรายถึงได้กระทำการเช่นนี้
ด้วยพระองค์รู้จิตใจเราดีว่าเป็นคนภักดีต่อเสด็จพ่อพระองค์และรักสัจจะวาจายิ่งกว่าชีวิตนั่นเอง”
ชายชรายิ่งกล่าวน้ำตาก็รินหลั่งไหลมาอีกครั้งหนึ่ง พลางยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้เสียงดังลั่น
“ในเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปเช่นนี้ท่านอย่างได้เสียใจไปอีกเลย พวกเราต่างมาช่วยคิดอ่านกอบกู้
สร้างนครขึ้นใหม่ดีกว่าจะมาเสียอกเสียใจเช่นนี้นะท่านผู้เฒ่า อ้อๆอย่าลืมนะว่าคำราชาศัพท์ต่อไป
นี้ห้ามกล่าวโดยเด็ดขาด ให้กล่าวกับเราแบบชาวบ้านธรรมดาก็แล้วกันนะ” ชายหนุ่มกล่าว
ดังนั้นชายชราจึงหยุดความเสียใจพลางหันไปถามชายหนุ่มว่า
“ขอล่วงเกินแล้ว เหตุใดท่านจึงมาถึงที่นี่ได้ล่ะขอรับ”
“เราเองก็ไม่รู้ท่านผู้เฒ่า เพียงแต่ว่ากว่าจะมาถึงที่นี่ได้ก็ผ่านอุปสรรคนานานัปการไม่ถ้วน
แต่จะด้วยเป็นบุญของเราจึงได้เดินทางระเหเร่ร่อนมากระมังท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าว
ชายชราหันไปมองเจ้าขนทองและดาบตลอดจนเสื้อที่เขาสวมจึงกล่าวว่า
ขอรับ????....แต่สงสัยว่าเหตุใดจึงมีเจ้าลิงขนทองที่ไม่ธรรมดา ดาบและเสื้อที่ทำด้วยขนนก
อันขนนกที่เป็นสิ่งหายากยิ่งนัก ด้วยเป็นขนของนกวายุภักดิ์ซึ่งมีฤทธิ์เดชมาก มันชอบกินงูและ
สิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร ยากนักที่จะรอดพ้นจากจงอยปากและอุ้งเล็บมันได้ อนึ่งเจ้าลิงขาวของเรา
มันก็อยู่ยงคงกระพันชาตรีนัก เหตุใดจึงพ่ายแพ้แก่เจ้าลิงของท่านได้ขอรับ” ชายชราถามด้วย
ความสงสัย
“ ด้วยเจ้าลิงขาวนั้นไม่เคยเกรงกลัวเป็นจ่าฝูงของลิงทั้งหลายและไม่เคยพ่ายแพ้แก่ลิง
ใดๆมาก่อน ถึงจะมีลิงที่ยกพวกมาต่อสู้กับมันก็ต้องล้มตายและหนีไปเกือบทุกๆครั้ง”
“อ้อๆๆ....อันขนนกข้าฯเองได้ฆ่ามันมันมาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่อาจต่อต้านอาวุธข้าได้
เมื่อมันตายเกือบหมดหนีไปได้เพียงสองสามตัวเท่านั้น ข้าฯเองเสื้อผ้าขาดหมดไม่มีเสื้อใส่จึง
ได้นำขนมันมาทำเป็นเสื้อใส่ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเจ้าลิงขนทองนั้นข้าเองช่วยมันที่พวกมัน
ต่อสู้กับฝูงลิงขนสีดำมีจำนวนมากได้ล้มตายไป จนเหลือเพียงตัวเดียว
ในขณะที่มันเป็นลูกลิงอยู่ ข้าจึงได้ช่วยเหลือมันแล้วจึงได้ฆ่าเจ้าพวกลิงขนดำเสียสิ้น
แล้วเลี้ยงดูมันก็มาอยู่เป็นเพื่อนข้าเปรียบดังสหายรักก็ได้
ส่วนแม่นางพรายทั้งสองตอนนี้อาศัยยังฝักดาบและมีดน้อยข้าฯแล้วชายหนุ่มก็เล่าเรื่องทั้งหมด
ให้ชายชราฟังตั้งแต่ต้นจนจบ”
ชายชรารับฟังแล้วก็ยังอดสงสัยมิได้ จึงกล่าวขึ้นว่า
“เหตุใดเจ้าลิงขนทองของท่านจึงสามารถสร้างบาดแผลให้กับลิงขนขาวของข้าได้ล่ะด้วยมัน
อยู่ยงคงกระพันชาตรี ยากจะหาอาวุธใดๆทำร้ายมันได้ นี่มันเป็นบาดแผลเหวอะหวะไปทั่ว”
“ที่เป็นเช่นนี้ ด้วยเจ้าขนทองของข้ามันมีเขี้ยวพิเศษที่เป็นแก้วใสบริสุทธิ์ “ กล่าวพลางก็
เรียกเจ้าขนทองเข้ามา แล้วแหกปากให้ชายชราดูเขี้ยวที่แหลมคมเป็นแก้ว ยามกระทบกับแสง
อาทิตย์ก็เป็นประกายแวววาวหลากสี
ครั้นชายชราเห็นดังนั้นถึงกับอุทานออกมา ความสงสัยหายไปสิ้นยามแลเห็นเขี้ยวแก้ว
ของเจ้าขนทอง
“อ้อ...ด้วยเหตุดังนี้นี่เอง มันเป็นเขี้ยววิเศษสามารถทำลายล้างอาถรรพ์ต่างๆได้ด้วยธรรมชาติ
มอบไว้ให้แก่มัน ดีนะที่มันรักพระองค์ อุ๊ย???...ของท่านขอรับและเป็นลิงที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ
ยิ่งนักและฉลาดด้วยสามารถยอมตายแทนเจ้าของได้ขอรับ” ชายชรากล่าว
“ข้าฯขอเชิญท่านเข้าไปข้างในปราสาทหน่อย ด้วยภายในข้าเองได้สะสมสิ่งต่างๆไว้อาจจะเป็น
ประโยชน์แก่ท่านในภายภาคหน้าได้ขอรับ” ชายชราเชื้อเชิญพร้อมผายมือให้ชายหนุ่มเดินนำหน้า
เมื่อเหตุการณ์ลงเอยด้วยดีต่างเข้าใจกันและกันแล้ว ทั้งสามก็พากันเดินเข้าไปยังปราสาท
ชายชราเรียกเจ้าลิงขนขาวเข้ามาและแสดงอาการให้มันรับรู้ว่า
เป็นพวกเดียวกัน เจ้าลิงขนขาวหันมา
มองชายหนุ่มและเจ้าขนทอง พลางเดินเข้าไปเกาะแขนชายหนุ่มทันที
เจ้าขนทองเห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงขู่คำรามแยกเขี้ยวทันที ชายหนุ่มก็ส่งเสียงห้ามปราม
และส่งสัญญาณให้มันรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน นั่นแหละเจ้าขนทองถึงหยุดการกระทำของมัน
ส่วนเจ้าลิงขนขาวก็หันมาทางเจ้าลิงขนทองพลางแสดงอาการอ่อนน้อม
ต่อเจ้าขนทอง
ตามวิสัยของลิงว่ายอมแพ้แก่เจ้าขนทองด้วยการประจบประแจงเขาคิด
ดังนั้นมันทั้งสองต่างก็เข้ากันได้และหยอกล้อตีลังกาเล่นด้วยกัน พร้อมทั้งเจ้าขนขาวก็ส่งเสียงเรียก
พวกพ้องมันให้มารู้จักกับเจ้าขนทองทันที บรรดาลิงทั้งหลายต่างก็เข้ามาทำความรู้จักกับเจ้าขนทอง
ในไม่ช้านัก ลิงทั้งหมดก็เข้ากันได้และต่างหยอกเย้ากันตามประสามัน แต่เจ้าขนทองก็ยังไม่ยอมผละ
จากชายหนุ่ม จนกระทั่งชายหนุ่มส่งสัญญาณให้มันนั่นแหละ มันถึงได้ไปเข้ากับพวกฝูงลิงทั้งหลาย
เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนี้แล้ว ก็แจ้งให้ชายชราเดินนำหน้าเพื่อเข้าไปในปราสาททันที ภายในนั้น
มีแสงสว่างชัดเจน เนื่องจากประตูหน้าต่างทั้งหมดตรงกันลำแสงสามารถลอดช่องส่งมาถึง ทำให้ภาย
ในสว่างไสว ชายชราไปเปิดห้องต่างๆให้ชายหนุ่มมองดู ที่ห้องหนึ่งปรากฏมีทรัพย์สินมากมายนัก
หากจะคิดสร้างเมืองย่อมเพียงพอแก่ค่าใช้จ่ายได้อย่างง่ายดาย นับว่าชายชราคนนี้ชาญฉลาด
ยิ่งนักคาดการณ์ได้ถูกต้องต่อเหตุการณ์ต่างๆได้เป็นอย่างดี
อีกห้องหนึ่งกับสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย มีดาบ ธนูพร้อมลูก หอก ง้าว โล่อีกนาๆนับชนิด
วางเรียงรายเหมาะแก่การไขว่คว้า อีกห้องหนึ่งเป็นที่พักผ่อนของชายชราเพื่อใช้ในการฝึกสมาธิ
แต่ชายหนุ่มหาได้สนใจทรัพย์สินใดๆไม่และสิ่งอื่นๆ ยังมีห้องว่างอีกสองห้องแต่เป็นที่โล่งเปล่า
ไม่มีสิ่งใดๆนอกจากเตียงเปล่าๆเท่านั้น ซึ่งเตียงนั้นกลับทำด้วยหินทั้งสิ้น
ครั้นชายหนุ่มตรวจเห็นเสร็จก็คิดจะล่วงหน้าเดินทาง จึงหันไปกล่าวกับชายชราทันทีว่าจะต้อง
ออกเดินทางต่อไปแล้ว ครั้นชายชราทราบดังนั้นก็จะขอร่วมเดินทางไปด้วยแต่ชายหนุ่มกล่าวว่า
“ข้าฯเองเห็นว่าท่านอยู่ที่นี่ก่อนดีกว่า หากต้องการจะให้ท่านช่วยเหลือจะให้คนมาส่งข่าวให้
ทราบภายหลัง” ชายหนุ่มกล่าว
“แต่ทว่าคนที่จะมาส่งข่าว คงไม่อาจจะมาถึงที่นี้ได้หรอกด้วย ข้างหน้านั้นยังมีภัยอันตรายมากนัก
ข้าฯคิดว่าให้ท่านนำเจ้าขนขาวไปด้วย หากมีเหตุจำเป็นต้องใช้ข้าก็จะได้ใช้มันมาส่งข่าวด้วยมันชำนาญ
ถิ่นบริเวณเท่านี้อย่างดียิ่งและป้องกันตัวมันเองได้” ชายชรากล่าว
“อ้อๆๆ....เดี๋ยวท่านรอก่อนนะ” พูดจบชายชราหายเข้าไปข้างในปราสาททันที สักครูหนึ่งก็ออกมา
พร้อมด้วยสร้อยที่ห้อยด้วยวงกลมแต่ภายในเป็นรูปดาวห้าแฉกล้อมรอบด้วยเพชรพลอยสีต่างๆแลดูงามนัก
“นี่คือดวงตราประจำแผ่นดินแห่งนครเสด็จพ่อของท่าน หากแสดงต่อเมืองที่ยังให้ความเคารพแก่เสด็จ
พ่อท่านแล้ว ย่อมจะศิโรราบและสามารถนำหน่วยทหารมาช่วยเหลือในการนี้ได้ ข้าฯคิดว่ามีแต่ท่านเท่านั้น
ที่เป็นโอรสองค์เดียวเหมาะแก่ของสิ่งนี้ ขอให้ท่านนำติดตัวไปด้วย อ้อๆ...อีกอย่างนี่คือเสื้อไหมสีทองที่ใช้
สวมใส่สามารถป้องกันอาถรรพ์ใดๆและทำให้อาวุธมิอาจจะต้องกายได้ด้วยรังสีของมันจะปกคลุมร่างกาย
ท่านไว้ ขอให้ท่านจงสวมใส่ไว้ชั้นในด้วย” ชายชรากล่าวพร้อมยื่นมอบส่งให้ชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มรับมาแล้วเปลื้องเสื้อขนนกออกสวมใส่เสื้อคล้ายๆเสื้อกั๊กแล้วจึงนำเสื้อขนนกสวมอีกชั้นหนึ่ง
พลางเก็บสร้อยที่ห้อยด้วยดวงดาวนั้นสวมคอไว้แล้วสอดรูปวงกลมเข้าไปยังในชั้นในของเสื้อกั๊กอีกที
ครั้นเรียบร้อยแล้วจึง กล่าวลาชายชราทันที ชายชรากล่าวอวยพรพร้อมหันไปสั่งเจ้าลิงขนขาวให้ติดตาม
ชายหนุ่มไปด้วย ลิงขนขาวเหมือนจะรู้เข้าไปกอดชายชราทันทีแล้วค่อยผละมายังชายหนุ่ม
กุมมือเจ้าขนทองเพื่อจะออกเดินทางติดตามชายหนุ่มต่อไป
เมื่อเหตุการณ์เรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มแล้วยกมือโบกอำลาชายชรา ออกเดินทางพร้อมกับลิงขนทองและขนขาวทันที...............
* แก้วประเสริฐ. *
17 กุมภาพันธ์ 2553 14:13 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 22
ครั้นหลังจากที่ต่างชำระล้างเลือดสะอาดดีแล้ว ชายหนุ่มก็ขึ้นจากแอ่งน้ำ
พร้อมกับเจ้าขนทอง ส่วนเจ้าขนทองก็สะบัดน้ำให้หลุดจากขนมันพร้อม
กับตีลังกาไปหลายๆรอบ ชายหนุ่มรีบแต่งตัวเพื่อจะออกเดินทางต่อไป
อากาศช่วงนี้ค่อนข้างเย็น ด้วยก้อนเมฆมาบดบังดวงอาทิตย์ทำให้ร่มรื่น
ภายหลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็มาทานผลไม้ร่วมเจ้าลิงขนทอง ซึ่งเขา
เองยังไม่รู้ว่าหนทางจะไปทางใดเพียงแต่คิดว่าจะหาทางออกจากป่าเขาดงดิบ
ซึ่งอุดมไปด้วยภูเขามากมายนัก
จึงได้ชวนเจ้าขนทองเดินเลียบไปทางเชิงเขาผ่านหน้าผาที่ทอดเป็นทางเป็น
ระยะ บ้างก็เรียบบ้างก็ขรุขระ ชายหนุ่มมองไปยังอีกด้านหนึ่งของภูเขาที่ใกล้ๆ
กันเห็นมีสะพานไม้เก่าๆทอดเรียงรายไปตามไหล่เขา คิดว่าคงจะเป็นการสร้าง
โดยน้ำมือของมนุษย์แน่นอน แต่สะพานดูช่างเก่ามากๆเสียด้วยจะใช้การได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้
ดังนั้นเขาจึงต่างพากันเดินเลียบหน้าผาไปเพื่อหมายค้นหาทาง ซึ่งเขาคิดว่า
ในเมื่อมีสะพานทอดของอีกเขาลูกหนึ่งแล้วก็คงจะมีการเชื่อมต่อกัน
ระหว่าเขาต่อเขาแน่
แต่อยู่ที่ใดล่ะชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง จวบจนตะวันเริ่มสูงขึ้นอากาศก็เริ่มจะ
ร้อนอบอ้าว
ชายหนุ่มมองไปยังเบื้องล่างเห็นเป็นลำธารสายน้ำเล็กๆที่ทอดยาวเหยียด
แต่กับมีควันลอยเป็นกลุ่มๆคล้ายหมอกจนไปสิ้นสุดทางที่คดเคี้ยวลับเหลี่ยมเขา
หากว่าเขาไม่ได้เดินอยู่บนหน้าผาที่เป็นทางเดินแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะข้ามลำธารนี้ได้อย่างไรกัน น้ำในลำธารคงจะร้อนมากและจนปรากฏหมอกควันขึ้น ไอของหมอกยามเมื่อมากระทบผิวกายเขายังรู้สึกว่าค่อนข้างแสบร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้เห็นว่าจะต้องอาศัย
สะพานหากมีข้ามไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งที่เรียบชัน
หาทางไต่เกาะได้ยากยิ่งนักอีกหมอก
ควันก็เกิดละอองจับยังหินผาย่อมจะลื่นมากๆเสียด้วย
ชายหนุ่มสอดส่ายสายตาไปข้างหน้าแล้วเดินทางไปเรื่อยๆ
คิดหวังว่าโอกาสที่จะพบสะพานก็คงจะมี ครั้นเดินทางไปตามเรียบผสมขรุขระ
แล้วก็เป็นอุโมงค์ที่ถูกเจาะทะลุให้เป็นทางเดินต่อไป
จึงได้เดินตรงไปแล้วลอดช่องลอดที่เป็นทางเดิน ใช้เวลานานพอประมาณจึงพ้นจากอุโมงค์นั้น เพื่อพ้นปากทางออกของอุโมงค์
เบื้องหน้าเขาก็พบสะพานทอดไปสู่ยังภูเขาอีกลูกหนึ่ง
ชายหนุ่มดีใจมากจึงได้รีบจูงมือเจ้าขนทองให้เร่งการเดินทาง
เพื่อให้ถึงสะพานดังกล่าว
พอถึงสะพานที่ทำด้วยไม้แต่ทว่ามันผุมากจะใช้ได้หรือเปล่า เชือกเถาวัลย์ที่ใช้ใน
การผูกมัดก็ค่อนข้างเก่า ชายหนุ่มเกิดความลังเลใจทดลองเขย่าสะพานดูเห็นว่าพอจะใช้
งานได้ในบางช่วง ฝ่ายเจ้าขนทองเห็นดังนั้นมันพุ่งร่างไปยังสะพานก่อนชายหนุ่มซึ่งยัง
เกิดความลังเลใจ มันซึ่งบัดนี้มีรูปร่างใหญ่โตมากจริงๆ หัวมันสูงเทียมกับไหล่ของเขาแต่
น้ำหนักคงจะมากกว่าเขามากนัก มันรู้โดยสัญชาติฌานมันว่าคงเป็นหน้าที่ของมันที่จะ
ทดสอบสะพานนี้ก่อนชายหนุ่ม ร่างมันเดินไปขย่มสะพานไปเรื่อยๆจนถึงกลางสะพาน
ไม้ที่ผุบางอันร่วงหล่นไปยังพื้นที่มีน้ำในลำธารรองรับ ชายหนุ่มมองตามลงไป
เขารู้สึกตกใจด้วยเห็นไม้ที่แห้งผุนั้นเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นทันที หากแม้นเป็นเขาและเจ้า
ขนทองก็อย่าหมายมีชีวิตรอดไปได้ ด้วยน้ำในลำธารมีความร้อนสูงหรืออาจจะเป็นกรด
ที่ทำลายทุกๆสิ่ง เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้พอเหลือบสายตาไปก็เห็นเจ้าขนทองไปอยู่ยังอีก
ฟากหนึ่งของภูเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงค่อยๆย่างเท้าหยั่งลงไปและจับเชือกที่ทำถ้วยเถาวัลย์
ค่อยๆเหนี่ยวไว้ ก้าวไปทีละก้าวๆจนเกือบถึงปลายสะพานทันใดนั้นเอง เชือกที่ผูกสะพานก็
ขาดออกจากกัน ด้วยรับน้ำหนักเขาไม่ได้ด้วยเจ้าขนทองล่วงหน้าไปแล้วทำให้เชือกเกิดการผุ
กร่อนมากยิ่งขึ้น สะพานได้ขาดแยกจากกันทันที
ชายหนุ่มคว้าเชือกที่มีกระดานผุๆนั้น เชือกและกระดานหล่นฟาดกับผนังของภูเขาทันที
เสียงดังโครมของเศษไม้สะพานที่ผุ ร่วงหล่นไปยังสายน้ำทันทีเกิดเพลิงลุกไหม้อย่างรุนแรง
ส่วนร่างของเขาห้อยต่องแต่งอยู่ปลายสะพานที่ขาดจากกัน เขาปล่อยร่างที่เคว้งคว้างปลาย
สะพานที่ห้อยอยู่ เสียงเจ้าขนทองขู่ร้องเจี๊ยกๆๆดังลั่นไปทั่วมันแสดงอาการเหมือนจะมาช่วยเหลือเขา
มันยืนอยู่หน้าผาของภูเขาที่มีสะพานเชื่อมต่อไปเรื่อยๆ
ดังนั้นชายหนุ่มค่อยๆไต่เชือกและเหยียบบนไม้ที่ห้อยร่องแร่ง ค่อยๆไต่ขึ้นมาทีละน้อยๆ
พอพ้นเชือกที่เขาเหยียบพ้นแล้วก็ขาดร่วงหล่นไป เขาค่อยๆรีบไต่ขึ้นมาจนถึงหน้าผาที่เจ้าขนทอง
มันรีบเอื้อมมือมาฉุดร่างเขาทันที อาศัยเจ้าขนทองทำให้ชายหนุ่มพ้นจากสะพานไม้ที่ห้อยอยู่ได้
เมื่อพ้นเหตุการณ์ร้ายผ่านไปเขาถึงกับทอดหายใจเฮือกใหญ่และนั่งลงทันทีบนสะพานไม้
ที่ทอดยาวเหยียดไปข้างหน้า เขารู้สึกอ่อนล้าแขนทั้งสองข้างที่เกร็งดึงร่างไว้ตลอดเวลาในระหว่าง
ที่เหนี่ยวไต่ขึ้นมา พอพักสักครู่หายเมื่อยล้าแล้วก็ชวนเจ้าขนทองออกเดินทางไปตามสะพาน
ที่ทอดยาวไกล ชายหนุ่มลังเลสงสัยว่าจะไปทางใดดี ด้วยทั้งสองด้านนั้นถูกเขาบดบังไปเสีย
สิ้นเห็นแต่เพียงสะพานสองฟากเท่านั้นเอง
ในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วเขาจึงตัดสินใจออกเดินทางไปทางที่ยังมองเห็นต้นไม้ที่เขียวขจี
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นไม่มีต้นไม้เลย ดังนั้นชายหนุ่มจึงชวนเจ้าขนทองเดินไปทางด้านขวามือค่อยๆ
ย่างทดลองไม้สะพานไปเรื่อยๆ ด้วยบทเรียนที่ข้ามสะพานระหว่างเขาต่อเขานั้นทำให้ชายหนุ่มต้อง
ระมัดระวัง นี่ขนาดเขาระมัดระวังแล้วยังเกิดปัญหาได้ด้วยความเก่าของไม้ เขาคิดว่ามันคงจะสร้าง
มานมนานแล้ว หาได้สร้างไม่นานความเก่าตลอดจนเถาวัลย์ที่ใช้ผูกมัดบ่งบอกอายุของมันให้รู้ได้
เมื่อทั้งสองเดินทางมาสิ้นสุดยังปลายสะพานเห็นเป็นทางเรียบๆทอดลงสู่เบื้องล่างของขุนเขา
ซึ่งอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่ล้อมรอบไปหมด ต้นไม้นาๆชนิดขึ้นแต่เขามองไปข้างหน้ากับเห็นซากของ
ปราสาทหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ อายุอานามคงนานมากๆด้วยบางแห่งก็ยังดูดีแต่บางแห่งก็
เป็นซากปรักหักพังตามที่สายตาเขามองเห็นแต่ไกลๆ จึงชวนเจ้าขนทองเดินฝ่าดงไม้มุ่งหน้าหมาย
ที่จะไปดูยังปราสาทนั้นทันที
พอเดินไปอีกไม่เท่าไหร่เขาก็พบบรรดางูต่างๆพันอยู่ตามกิ่งไม้และพื้นดิน แต่ยามที่เขาเดินไป
นั้นบรรดาอสรพิษทั้งหลายต่างรีบหนีหลบไปเสียสิ้น คงเหลือไว้แค่ทางเดินให้เขาและเจ้าขนทองเท่านั้น
เขามองไปรอบๆล้วนแล้วแต่อสรพิษทั้งสิ้นส่วนที่ไกลหน่อยก็แผ่พังพานขู่เสียงฟู่ฟ๊อดๆๆ
ได้ยินมาถึงเขาแต่มันไม่กล้าเข้ามาใกล้ๆ เพียงแค่ส่งเสียงขู่เท่านั้น
เสียงร้องของนกดังมากๆเขารีบแหงนหน้ามองดูบนท้องฟ้า เห็นบรรดานกที่เขาไม่เคยเห็นมา
ก่อนในชีวิตตัวมันช่างใหญ่โตมาก
หัวมันมีหงอนสีแดงปากงองุ้มปกคอมันออกสีขาวเหลือบทอง
ลำตัวมันสลับไปด้วยสีต่างๆ แลดูสวยงามยิ่งนักยามกระทบกับแสงของดวงอาทิตย์ มันมากันเป็นฝูงๆ
เขากะราวประมาณเกือบสิบกว่าตัวเห็นจะได้
มันส่งเสียงร้องประหลาดนักผิดกับบรรดานกทั่วๆไป
เสียงร้องของมันกับทำให้บรรดาอสรพิษทั้งหลายต่างหนีลงพื้นดินแล้วหนีหายไปทันทีด้วย
ความเกรงกลัวยามได้ยินเสียงร้องของนกประหลาดนี้ มีตัวหนึ่งบินถลาปีกลงมาหาเขา
โอ้โฮๆๆร่างมันขนาดเท่าสุ่มที่ใช้ขังไก่แต่หางมันกับยาวมากหลากสี กรงเล็บมันกางออกเห็นความ
แหลมคมของมันได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มรีบดึงมือเจ้าขนทองหลบไปข้างต้นไม้ใหญ่ทันที
เสียงลมกระพือของปีกมันช่างรุนแรงนักบรรดาต้นไม้เล็กต่างลู่เอนตามแรงกระเพื่อมของปีกมัน
แล้วร่างมันก็ถลาขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง แต่คราวนี้มันร้องเสียงแปลกประหลาดบรรดานกที่แยกกัน
แต่เป็นฝูงต่างพุ่งร่างมันถลาลงมาหาเขาแทบหมดทุกๆตัว
ชายหนุ่มรีบมองหาสถานที่จะหลบมันแต่
ทว่าไม่มีที่จะหลบได้นอกจากเหล่าต้นไม้ใหญ่เท่านั้น
บัดนี้เกิดแรงลมคล้ายพายุพัดกระหน่ำจนกิ่งไม้
บางกิ่งหักสะบั้นทันที ขอนไม้ของกิ่งหักหล่นมาเกือบจะถูกตัวเสียงโครมสนั่นลั่นไปหมด
เมื่อหาทางหนีไม่ได้เช่นนี้เขาจึงจำเป็นต้องต่อสู้กับมันอีกด้วยความจำเป็นทั้งที่เขาไม่อยากจะต่อสู้
กับมันด้วยเรือนร่างขนมันช่างสวยงามยิ่งนัก แต่เมื่อจำเป็นเช่นนี้เขาจึงล้วงไปในย่ามหยิบก้อนหินสีแดง
ออกมาหลายๆก้อน
เมื่อนกประหลาดตัวหนึ่งถลาปีกพร้อมกางเล็บใกล้เข้ามา
เขาขว้างก้อนหินใส่ในตัวมันทันที
ผลปรากฏว่ามันร้องดังลั่นพร้อมทั้งบินขึ้นไปบนฟ้าอีกคราหนึ่ง และแล้วมันก็หุบปีกถลาลงไปยังอีกฟากหนึ่งของชายป่าดงดิบ
เสียงดังโครมครามๆเหล่าแมกไม้แตกกระจายไปด้วยแรงดิ้นของมัน
เมื่อบรรดานกประหลาดเห็นเช่นนี้ ต่างก็รีบหุบปีกถลาเข้าใส่ชายหนุ่มทันทีส่วนเจ้าขนทองรีบไปแอบ
ยังด้านหลังของชายหนุ่ม เมื่อได้ระยะก็ขว้างก้อนหินสีแดงเลือดงูยักษ์ใส่บรรดานกทั้งหลายด้วยความแม่นยำ
เสียงร้องอย่างโหยหวนดังลั่นป่า ร่างนกประหลาดหลายๆตัวถูกก้อนหินสีแดงขว้าง ต่างก็ร่วงหล่นตายไปเกือบหมดสิ้น
คงเหลือเพียงบางตัวเท่านั้นที่มันไม่กล้าเข้ามาด้วย
คงเห็นพวกมันต่างหล่นตายไป
และแล้วมันก็ร้องก้องสะท้านท้องฟ้า
เหลือประมาณสองสามตัวรีบบินหนีหายไปกับท้องฟ้าฝ่าก้อนเมฆหายไป
หลังจากนั้นชายหนุ่มเมือเห็นบรรดาเหล่านกประหลาดหนีหายไปหมดแล้ว จึงได้เดินไปดูซากร่างนกประหลาดตัวมันช่างใหญ่โตมากๆ แต่สีมันช่างงดงามอะไรเช่นนี้เขาจึงทดลองถอนขนมันขึ้นมาขนที่นิ่มๆน่ารัก
ทำให้เขานึกได้ว่าเขาเองไม่มีเสื้อใส่
หากนำขนนกนี้มาจัดทำเป็นเสื้อก็คงจะดี
เมื่อมีความคิดเช่นนั้นจึงได้ถอน
นกทันทีเลือกเอาที่พอจะทำเสื้อใส่ได้
เขานั่งจัดระเบียบขนแล้วใช้เอ็นร้อยผูกมัดพร้อมใช้มีดน้อยที่แสนคมตัด
ให้เป็นรูปร่างพอจะสวมใส่ ดูไปก็คล้ายๆเสื้อม่อฮ่อมของชาวเชียงใหม่ไม่ผิดแต่ความละเอียดนั้นไม่มีเพียงแค่
พอสวมใส่ได้เท่านั้น แต่สีสันมันยามกระทบกับแสงอาทิตย์ช่างส่งประกายแวววาวสดใสหลากสีสวยงามนัก
ครั้นจัดการกับขนนกประหลาดแล้วเขาก็นำมาสวมใส่ ทำให้ร่างกายเขาแลดูสง่างามประกอบกับใบหน้า
ที่คมขำเรียกว่าหล่อก็ไม่ปาน
เข้ากับเคราหนวดที่เขียวครึ้มผมที่ถูกมัดยาวไว้เบื้องหลัง
แปรเปลี่ยนสภาพเขาไปเสียสิ้น เมื่อทุกอย่างพร้อมเรียบร้อยแล้วจึงออกเดินทางต่อเจ้าขนทองมองร่างเขาด้วยความประหลาดใจนัก
พลางออกนำหน้าลัดเลาะผ่านทางเดินที่คล้ายๆกับมีคนทำทางไว้ให้แล้ว
เพื่อมุ่งสู่ปราสาทที่แลเห็นแต่ไกล
อากาศเริ่มเย็นขึ้นด้วยเวลาตกล่วงบ่ายไปแล้ว พระอาทิตย์ส่งแสงเหนือยอดเขาไม่มากนัก หากยังไม่ถึง
ปราสาทเห็นทีจะต้องหาที่พักแล้วออกเดินทางต่อไป ดังนั้นจึงรีบเดินทางแต่ไม่ค่อยจะรีบร้อนสักเท่าไหร่ ส่วน
เจ้าขนทองก็พุ่งหายไปสักพัก พร้อมกลับมาด้วยผลไม้แปลกๆที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยแต่คิดว่าคงจะกินได้
ด้วย เจ้าขนทองเป็นสัตว์ที่แสนฉลาดย่อมจะล่วงรู้ว่าผลไม้ใดกินได้หรือไม่ได้จึงไม่ค่อยสนใจมากนัก
ครั้นตกเวลาเย็นเขาก็มาถึงที่บริเวณปราสาท หน้าปราสาทเป็นลานกว้างๆบริเวณเป็นกำแพงกั้นล้อมรอบ
แต่ทว่าแตกหักทะลายไปทั่ว และบริเวณปราสาทซึ่งบางส่วนหักพังไปตามกาลเวลา แต่ยังมีส่วนหลงเหลืออยู่
บ้าง แต่เขาต้องชะงักทันทีด้วยหน้าปราสาทส่วนที่ดีและยอดปราสาทกับมีบรรดาลิงจำนวนมากมายนัก
ดังนั้นเขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆนักได้แต่ยืนมอง ทันใดนั้นเหล่าลิงเมื่อเห็นร่างชายหนุ่มพร้อมเจ้าขนทอง
ต่างก็วิ่งพรูกันเข้ามาแยกเขียวบ้างตีลังกาทะยานตัวนำหน้ามา เจ้าขนทองเห็นเช่นนั้น ก็พุ่งร่างทะยานใส่ทันที
พร้อมแยกเขี้ยวแก้วมันออก แสงของเขี้ยวแก้วกระทบกับแสงอาทิตย์ส่งประกายใสแวววาวทำให้บรรดาเหล่า
ลิงที่เฝ้าปราสาทอยู่ต่างชะงักไปหมดสิ้น เสียงขู่ที่คำรามกึกก้องต่างหยุดชะงักมันมองมายังเจ้าขนทองร่างมัน
ทั้งหมดเล็กกว่าเจ้าขนทองมากนัก พากันตีลังกาถอยหลังไปทันที
เมื่อเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มเห็นเจ้าขนทองกู่ก้องพลางขย่มร่างมันไปๆมาๆ ยิ่งทำให้บรรดาลิงทั้งหลายต่าง
ก็รีบเผ่นหนีทันที ชายหนุ่มอดหัวร่อออกมาเสียมิได้เนื่องจากเห็นอาการลิงเหล่านี้ต่างแสดงอาการดุร้ายแต่พอ
พบเจ้าขนทองกับกลัวเจ้าขนทองเผ่นหนีไปละทิศละทางจ้าละหวั่น เหลือจะเป็นด้วยอำนาจของมันสู้เจ้าขนทอง
ไม่ได้จึงเกรงกลัว สักครู่ใหญ่ๆก็มีเสียงดังกังวานขู่ของลิงเข้ามาจากภายในปราสาทร่างที่ปรากฏเป็นร่างลิง
ขนาดพอฟัดพอเหวี่ยงกับเจ้าขนทอง แต่ทว่าขนทั้งตัวมันเป็นสีขาวเป็นสำลีส่งประกายแววสดใสมันพุ่งร่างเข้าหาเจ้าขนทองทันที เหล่าบรรดาลิงทั้งหลายต่างๆก็ขย่มร่างขู่ด้วยพอเห็นเจ้าลิงขนสีขาว
ชายหนุ่มคิดว่าคงจะเป็นหัวหน้าของบรรดาเจ้าลิงทั้งหลายเหล่านี้แน่นอน
พอร่างเจ้าลิงขาวทะยานมาถึง ก็พุ่งร่างเข้าใส่ร่างเจ้าขนทองทันที เจ้าขนทองหาเกรงกลัวใดไม่ต่างตัวต่าง
ฟัดกันต่อสู้กันชุลมุนไปหมด แต่ร่างเจ้าลิงขาวนั้นรู้สึกจะเสียเปรียบเจ้าขนทองเล็กน้อยพละกำลังเจ้าขนทอง
มีมากกว่าเจ้าลิงขาว ด้วยเหตุที่เจ้าขนทองกินดีงูยักษ์เข้าไปทำให้เกิดพละกำลังมหาศาลความได้เปรียบเสีย
เปรียบสักครู่ใหญ่ ก็ปรากฏผลแพ้ชนะขึ้นด้วยร่างเจ้าลิงขาวปะทะสู้เจ้าขนทองไม่ได้ถูกเจ้าขนทองกัดและ
สะบัดร่างมันกระเด็นยามปะทะกันทุกๆครั้งไป จนร่างสีขาวมันเปื้อนเลือดแดงปนขาวไปทั่ว
ทางด้านเจ้าขนทองหาได้มีบาดแผลแต่ประการใดไม่ ชายหนุ่มบังเกิดความสงสารเจ้าลิงขาวขึ้นมา
ก็เรียกเจ้าขนทองให้กลับมา ไม่เช่นนั้นเห็นทีเจ้าลิงขาวก็คงจะต้องจบชีวิตภายใต้เขี้ยวแก้วแน่นอน เมื่อเจ้า
ขนทองได้ยินเสียงเรียกเช่นนั้น มันก็พุ่งทะยานเข้ามาหาเขาทันทีแต่ยังส่งเสียงขู่คำรามเหมือนจะบอกเจ้าลิง
ขาวว่าหากชายหนุ่มไม่เรียกก่อนมึงตายแน่ ชายหนุ่มคิดพลางหัวร่อ
ทันใดนั้นเสียงตวาดดังกึกก้องของชายร่างชราที่ปรากฏร่างก้าวออกมาเรียกเจ้าลิงขาวทันทีเจ้าลิง
ขาวครั้นได้ยินเสียงเรียก ก็หันหลังพุ่งร่างมาหาชายชราที่มีใบหน้าอิ่มเอิบและเคราหนวดผมเป็นสีขาวโพลน
ไปทั่วศีรษะ พลางลูบไปยังหัวเจ้าลิงขาวพลางหลับตาร่ายมนต์เป่าไปยังร่างเจ้าลิงขาวทันที บาดแผลต่างๆ
ของเจ้าลิงขาวก็รู้สึกว่าจะหายไปหมดสิ้น ครั้นแล้วชายชราก็เขม่นมองมายังชายหนุ่มทันที เมื่อชายชรา
มองเห็นร่างชายหนุ่ม ดวงตาของชายชราคนนั้นก็พลันเบิกโพล่ง พร้อมกล่าวคำอุทานออกมา..........
* แก้วประเสริฐ. *
16 กุมภาพันธ์ 2553 14:56 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 21
ร่างเสือร้ายไต่ลำต้นไม้ใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อก้อนหินสีแดงที่ขว้างไปกระทบร่างมัน
พลันร่วงหล่นทันทีหาได้ทำอันตรายแก่มันไม่ มันส่งเสียงคำรามกึกก้องลั่นยามค่ำคืนทำ
ให้เหล่าบรรดาสิงสาราสัตว์ต่างๆแตกตื่น กระเจิงไปจนหมดสิ้น ร่างมันก็คืนคลานเข้ามา
ชายหนุ่มปลดคันธนูพร้อมทั้งโกร่งคันธนูกับลูกศรที่ส่งประการแวววาว แล้วพลัน
ปล่อยหมายยังดวงตาอันใหญ่โตของเจ้าเสือร้าย ลูกธนูไปสองดอกพุ่งออกพร้อมๆกัน
พลันประกายตาวูบลง แต่กลับลืมตาขึ้นมาอีกลูกธนูได้ร่วงหล่นไปยังโคนต้นไม้ หาได้
ทำอันตรายใดๆแก่มันได้
ด้วยอาวุธของเขาทั้งสองนั้นผ่านการชุบธาตุกายสิทธิ์มาและเป็นเลือดของงูยักษ์
ที่ยากจะหาสิ่งใดต่อต้านมันได้ แต่คราวนี้ไม่อาจทำร้ายเสือร้ายตัวนี้เลย ชายหนุ่มรำพึงคิด
เห็นว่ามันคงจะไม่ใช่สัตว์ร้ายธรรมดาไปเสียแล้ว หรือเป็นดั่งแม่นางพรายกล่าวไว้ไม่ผิด
คราวนี้ชายหนุ่มชักใจไม่ดี ส่วนเจ้าขนทองนั้นเหมือนมันจะรู้ได้รีบไต่ขึ้นไปบนยอดไม้
ทันที ร่างของแม่นางพรายก็ขึ้นไปนั่งยังกิ่งไม้ด้วยมองดูชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วงใย
คงเหลือเพียงแต่ชายหนุ่มคนเดียวที่คาคบไม้ ชายหนุ่มพลางดึงดาบที่อยู่เบื้องหลัง
ออกมา แล้วยกดาบขึ้นจรดหน้าผากพลางร่ายพระเวทย์ทันที พอดีกับเจ้าเสือร้ายที่ร่าง
มันคงกระพันนัก ก็ไต่ขึ้นมาได้ค่อนตัว แต่เนื่องจากคาคบไม้ไม่อาจจะให้มันเข้ามาได้
ทั้งหมดจึงเพียงขึ้นมาได้เพียงครึ่งเดียว ท่อนร่างมันใช้เล็บเกาะต้นไม้ไว้แน่น ส่วนท่อนบน
มันกางเล็บข้างหนึ่งตะปบไปยังร่างของชายหนุ่ม ที่ร่างพิงหลังกิ่งไม้ใหญ่พร้อมทั้งแยก
เขี้ยวอันใหญ่โตมือข้างเดียวไขว่คว้าตลอดเวลา
คมเล็บมันเฉียดร่างชายหนุ่มซึ่งเอนหลบไปๆมาๆเท่าที่สามารถทำได้
ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้ดาบที่ได้ร่ายพระเวทย์กำกับไว้แล้วฟาดไปยังมือเสือร้ายที่
หมายทำร้ายเขา คราวนี้ได้ผลมือด้านที่ตะปบขาดจากกันหล่นไปยังโคนต้นไม้ เลือด
พุ่งสาดดังสายน้ำพุ พุ่งเข้าใส่ร่างชายหนุ่มแดงฉานไปทั่ว มันส่งเสียงร้องโหยหวน
เมื่อชายหนุ่มเห็นคมดาบได้ผล ก็พุ่งร่างที่ปราศจากมือไขว่คว้าเข้าแทงไปยังร่างของ
เสือร้ายที่อยู่บนคาคบเพียงครึ่งเดียว ดาบได้ทะลุออกด้านหลังพร้อมเลือดที่หลั่งไหล
ออกมามากมาย ร่างของเสือร้ายคำรามลั่นแล้วหงายหลังตกลงไปยังโคนต้นไม้ทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบไต่เถาวัลย์ลงมายังพื้นดินเพื่อหมายที่จะกำจัดมัน
ด้วยโอกาสเป็นของเขา แต่เสือร้ายทั้งๆที่เหลือมือมันข้างเดียวพลันใช้สามขากระโจน
ใส่ร่างเขาด้วยความดุร้ายเจ็บปวด แต่ร่างมันกับลอยกลางอากาศแล้วหล่นมาอีกเมื่อเห็นว่า
ไม่อาจจะทำอันตรายแก่ชายหนุ่มได้ มันได้รีบหันร่างวิ่งกระโผลกกระเผลก
หนีหายไปยังป่าทึบทันที พร้อมทิ้งรอยเลือดหยดไหลเป็นทางไป ตามใบหญ้าหากแต่
อากาศที่มืดมิด ทำให้เขาไม่สามารถติดตามร่างเสือร้ายได้จึงจำเป็นต้องค้นหาจนพบ
เก็บลูกธนูและก้อนหินสีแดงไว้พร้อมทั้งไต่ร่างที่ยังเปื้อนเลือดขึ้นไปยังต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง
เขาคิดว่าหากเป็นพรุ่งนี้ก็จะติดตามไปฆ่ามัน หากปล่อยไว้เสือที่ลำบากจะเป็นอันตราย
แก่ผู้ที่ผ่านมาต่อไป ดังนั้นจึงรีบทำความสะอาดโดยนำใบไม้ที่เขาเอื้อมมาได้มาเช็ดรอยเลือด
ที่กำลังจะแห้งเป็นวุ้นๆ ส่วนเจ้าขนทองเมื่อเห็นเจ้าเสือร้ายหนีไปแล้วก็ไต่ลงมาแล้วนำใบไม้
มาช่วยชายหนุ่มเช็ดรอยเลือดด้วย นางพรายทั้งสองก็ลงมาช่วยเหลือด้วย พลางกล่าวว่า
“น้องไม่อาจจะเข้าใกล้มันได้เลยท่านพี่ ด้วยมันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาแต่เป็นการแปลงกาย
ของผู้มีวิทยาคมอันแก่กล้า รังสีมันแผ่กระจายไปทั่วจนน้องทั้งสองไม่อาจจะเข้าใกล้มันได้จ๊ะ”
“นั่นซิท่านพี่ หากไม่กำจัดมันก็จะเป็นเภทภัยอันใหญ่หลวงต่อไปนะ” นางพรายเขียวตอบ
“เจ้าน้องประกายทองก็เหมือนพวกน้องนี่แหละ เขี้ยวแก้วมันไม่อาจจะทานฤทธิ์เดชของ
เสือร้ายแปลงนี้ได้ด้วย มันอยากจะเข้าช่วยแต่ด้วยรังสีมันรุนแรงมาก
ไม่อาจจะเข้าใกล้ได้จ๊ะ” นางพรายแดงกล่าวเช่นกัน
“แต่มันก็แพ้แก่ดาบนี้นะจ๊ะ” ชายหนุ่มกล่าวบ้าง
“อันดาบนี้ถูกปลุกเสกและทำจากธาตุอาถรรพ์นานัปการสามารถปราบภูตผีปีศาจตลอดวิทยาคม
และร่างที่คงกระพันชาตรีได้ด้วย แล้วยิ่งท่านพี่ปลุกเสกซ้ำขึ้นอีกยิ่งทำให้มีฤทธิ์อานุภาพยิ่งกว่าเดิมจ๊ะ”
“อ้อๆ????.....งั้นหรือ ถึงว่าซิพี่เพียงแค่ฟาดไปครั้งเดียวมือมันก็ขาดกระเด็นตกไปยังโคนไม้ไว้
พรุ่งนี้เราค่อยไปดูก็แล้วกันนะ พี่เองก็ใจเสียเหมือนกันที่เห็นลูกธนูและหินแดงไม่สามารถทำอันตราย
มันได้ หากดาบนี้ไม่สามารถทำอันตรายใดๆแก่มันได้พี่เองก็คงจะต้องจบสิ้นลงในคราวนี้แล้วนะ”
“แต่น้องคิดว่าคนที่มีบุญบารมีอย่างพี่นั้น จะต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองเสมอๆจ๊ะ”
“น้องเชื่ออย่างงั้นหรือ” ชายหนุ่มตอบพลางหน้าคิ้วขมวดทันที
“จ้าท่านพี่ น้องเชื่ออย่างนี้เสมอมา หากไม่เช่นนั้นน้องคงจะไม่มาคอยรับใช้ท่านพี่หรอก”
นางพรายทั้งสองกล่าว
“เอาล่ะน้องทั้งสอง พี่เพลียเหลือเกินขอพักผ่อนก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปพิสูจน์มือเจ้าเสือร้าย
อีกครั้งว่ามันจะแปรเปลี่ยนเป็นอะไรไป” ชายหนุ่มกล่าว
“จ้ะพี่....น้องจะคอยระมัดระวังให้หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็จะรีบปลุกท่านพี่จ๊ะ”
ชายหนุ่มหันไปลูบหัวเจ้าขนทองด้วยความเอ็นดูแล้วดึงร่างมันให้นอน แต่มันไม่ยอมกลับลุกนั่ง
เสมือนมันยังตื่นเต้นต่อเหตุการณ์นี้อยู่อีก ส่วนด้านชายหนุ่มเมื่อเอนกายนอนลงก็ผล๊อยหลับไปทันที
จวบจนวันใหม่ย่างกรายเข้ามา แสงอาทิตย์อ่อนๆก็สว่างไสวขึ้นค่อยๆสูงตามลำดับ ความร้อน
กรายเข้ามา ชายหนุ่มจัดการชำระล้างใบหน้าและฟันแล้ว ส่วนเลือดคงปล่อยให้แห้งกรังหากไป
พบลำธารก็จะนำมาซักชำระล้างร่างกายอีกที เมื่อจัดการกับสัมภาระครบแล้วก็ชวนเจ้าขนทองไต่
ลงจากต้นไม้ใหญ่ทันที ครั้นลงมายังโคนต้นแล้วเที่ยวค้นหาซากมือของเสือร้ายไม่พบกลับไปพบ
ท่อนแขนของมนุษย์แทน ชายหนุ่มเบิกตาโพลงทันทีนึกถึงคำพูดของแม่นางพรายทันที
ว่าเสือร้ายตัวนี้หาใช่สัตว์ใดไม่เป็นเสือแปลง เห็นจะจริงด้วยสิ่งที่เขาเห็นเป็นท่อนแขนของ
มนุษย์ชัดๆ เขานำกิ่งไม้ไปเขี่ยท่อนแขนนั้นขาดระหว่างข้อแขนขึ้นไป จึงหันไปมองยังรอบๆ
บริเวณเห็นเป็นรอยแห้งกรังของเลือดที่จับตามใบหญ้าเป็นทางยาวเข้าไปยังป่าดงดิบ ดังนั้นเขาจึง
จูงมือเจ้าขนทองสะกดรอยตามรอยเลือดซึ่งไหล บ้างเป็นกองใหญ่เขาคิดว่ามันคงจะหยุดเลียแผล
หรืออาจจะใช้วิทยาคมห้ามเลือดแต่ไม่สามารถห้ามเลือดได้ ด้วยยังมีรอยหยดไปตามทางที่สูงบ้าง
ต่ำบ้าง
พอพ้นแนวป่าไม้เขาทอดสายตามองไป เห็นเป็นวัดร้างวัดหนึ่งซึ่งเป็นรอยหักพังมิได้รับการ
เหลียวแลเลย โบสถ์ทำด้วยไม้หาใช่อิฐปูนไม่ มีศาลาที่พุแทบพังและกุฎีสองหลังใกล้กับกับศาลานั้น
แต่รอยเลือดนั้นหายไปยังกุฎีหลังหนึ่ง เห็นเณรกำลังเก็บกวาดใบไม้แห้งอยู่ ชายหนุ่มจึงเดินเข้า
ไปนมัสการเณรซึ่งรูปร่างสูงใหญ่หาใช่เด็กเล็กๆไม่ เมื่อเณรเห็นร่างชายหนุ่มก็ต๊กใจทิ้งไม้กวาดทันที
แต่ปากท่านยังกล่าวคำ
“เจริญพรเถอะโยม” เณรกล่าวขึ้น
“อ้าวแล้วเดินทางมาถึงที่นี้ได้อย่างไรกันล่ะ ในป่านี้เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายต่างๆนะ อาจารย์อาตมา
กับตัวอาตมาเองอยู่แค่สองคนเท่านั้น แต่อาจารย์ท่านเก่งสัตว์ร้ายไม่สามารถเข้ามาในบริเวณเหล่านี้ได้”
เณรบรรยายให้ชายหนุ่มฟัง
“ถ้าอย่างนั้นพวกท่านฉันท์อะไรเป็นอาหารล่ะ”
“อ้อๆ...อาตมาก็ฉันท์ผลไม้แทนอาหารจ๊ะพ่อหนุ่ม” เณรกล่าว
“ตัวกระผมตามรอยเลือดมาเห็นหายไปยังกุฎีนั้นจ๊ะพ่อเณร” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
คราวนี้เณรน้อยสะอึกอ้ำๆอึ้งๆทันที
ชายหนุ่มชี้มือไปยังกุฎีที่เห็นข้างหน้านั้น เดี๋ยวจะเข้าไปมนัสการท่านเสียหน่อย
“อย่าเลยอาจารย์ท่านกำลังพักผ่อน” เสียงเณรตอบสั่นๆ
“ไม่เป็นไรหรอกพ่อเณร ไหนๆมาถึงแล้วก็ไหว้พระเสียบ้างเพื่อเป็นสิริมงคล”
ชายหนุ่มกล่าวขึ้น แต่ก็ให้สงสัยอากัปกิริยาของเณรนั้นทันทีหรือว่าเขาคิด อึอึ...
จะเป็นไปได้หรือ แต่รอยเลือดมันฟ้องนี่นา
ดังนั้นชายหนุ่มยกมือไหว้ลาแล้วมุ่งหน้าไปยังกุฎีที่เห็นทันที เณรเห็นดังนั้นก็เข้ามา
ขว้างหน้าไว้ คราวนี้เขาไม่สนใจแล้วผลักมือของเณรออกพร้อมตัวให้ห่างไป แล้วรีบก้าว
เดินไปทันที เณรจะเข้าขวางอีกแต่ถูกเจ้าขนทองแยกเขี้ยวคำรามหันมาใส่ทางเณร ทำให้
เณรน้อยชะงักทันทีไม่กล้าก้าวเข้าทัดทานแต่อย่างไร
ครั้นชายหนุ่มมาถึงบริเวณกระท่อมที่ปลูกเป็นกุฎีนั้นเห็นรอยเลือดกองเบ้อเริ่มก็แน่ใจ
ทันทีว่าพระในนั้นหาใช่พระธรรมดาไม่ คงจะสามารถแปลงกายได้แต่หากเป็นเช่นนั้นคง
จะแก้กล้าอาคมเป็นยิ่งนักและเมื่อสามารถฆ่าสัตว์ได้ก็หาใช่พระไม่แล้ว ด้วยผิดศีลอย่าง
มหรรณ์ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว เขาคิดเช่นนั้นด้วยทราบมาว่าหาก
ผู้ใดร่ำเรียนมามากและผิดครูเมื่อใด ยิ่งเมื่อเรียนวิชาอาคมมากๆเข้าคง
จะคุมตัวเองไม่ได้ หากสามารถแปลงกายได้ จะคืนกลับสู่ความเป็นคนแล้วต้องคอยตะวัน
ส่องแสงก่อนถึงจะกลับคืนร่างเดิมได้ แล้วชายหนุ่มก็ก้าวข้ามประตูเข้าไปในกุฎี
แต่เขาระมัดระวังตัว พลันก็แลเห็นพระรูปหนึ่งนั่งคลุมร่างด้วยจีวรแต่แขนหายไปข้าง
หนึ่ง หันหน้ามามองเขาด้วยความไม่พอใจด้วยสายตาดุร้ายนัก
“พลางตวาดว่า...มึงเข้ามาทำไมหรือยังไม่พอใจอีกหรือที่ทำกับกูเช่นนี้” พระอลัชชี
กล่าวขึ้น
พร้อมทั้งปลดผ้าจีวรออกแต่ อนิจจาร่างท่อนร่างของพระอลัชชีรูปนั้นท่อนล่างยังเป็นเสืออยู่
อาจจะเป็นไปได้ว่าดาบอาคมของเขา ทำให้วิชาของพระรูปนั้นเสื่อมได้ถึงไม่สามารถคืน
กลับสู่ร่างมนุษย์ดังเดิม คืนได้แค่บางส่วนเท่านั้น ร่างนั้นพลันยืนลุกขึ้นทันใด
ไม่เพียงเท่านั้นร่างนั้นได้กระโจนเข้าใส่ร่างชายหนุ่มทันที จนร่างเขา
ต้องหงายหลังด้วยแรงผลักกระแทกอย่างรุนแรงเพราะร่างที่พุ่งมาแรงพละกำลังมาก
ต่างกอดรัดฟัดเหวี่ยงปล้ำกันพักหนึ่ง ชายหนุ่มก็หลุดสะบัดร่างได้ถอยออกมา พร้อมกับ
ชายหนุ่มชักดาบออกทันทีพร้อมตวัดดาบฟันไปยังร่างที่เป็นคนครึ่งเสือร้ายนั้น
เสียงร้องดังลั่นมือข้างเดียวที่ยังเป็นเสือเล็บได้ตะกรุยตะกายมายังร่างเขาที่ปราศจากเสื้อผ้า
ทำให้เกิดรอยแดงขึ้นทันที ไส้ของเสือร้ายในร่างพระก็ทะลักออกกระจุยกระจายไปทั่วบริเวณกุฎี
บ้างขาดวิ่นส่งกลิ่นคาวเลือดฟุ้งไปทั่ว เสียงร้องอย่างโหยหวนเรียกเณรลูกศิษย์มันทันทีแล้วร่างมัน
ก็ล้มฟาดกับพื้นกุฎีสิ้นใจตายทันที
เสียงร้องของเจ้าเสือร้ายในร่างอลัชชีดังนั้น ปรากฏร่างเสือร่างน้อยได้พุ่งเข้ามา
เมื่อเสียงเรียกของอาจารย์มันร่ำร้อง ยามเห็นร่างอาจารย์มันนอนสิ้นชีพลง
มันหันรีหันขวางแล้วก็กระโจนใส่ร่างชายหนุ่ม ร่างที่ไม่ทันระมัดระวังและไม่คิดว่า
จะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นถึงกลับหงายหลังดาบกระเด็นหลุดจากมือ
เจ้าเสือร้ายในร่างเณรก็คร่อมบนร่างเขาพร้อมแยกเขี้ยวเข้าเพื่อขบกัด เจ้าขนทองเห็นเช่นนั้น
ก็พุ่งร่างไปยังบนหลังเสือฝังเขี้ยวแก้วมันกัดกระชาก ทำให้เสือร้ายนั้นหันขวับมายังร่างเจ้าขนทอง
ทันทีพร้อมส่งเสียงร้องคำราม แต่ร่างมันยังคร่อมร่างชายหนุ่มอยู่
เมื่อได้จังหวะเช่นนี้เขาไม่รอให้โอกาสทองผ่านไปจึงชักมีดน้อยที่เหน็บไว้ข้างเอวแทงไปยังหน้าท้อง
เสือน้อยทันที พร้อมทั้งคว้านไปทั่วบริเวณท้องน้อยมัน ไส้ได้ทะลักออกมาร่างเขาเต็มไปด้วยเลือดและลำไส้
เจ้าเสือน้อยก็ล้มฟุบทับบนร่างร่างหนุ่มทันที เจ้าขนทองเห็นเช่นนั้นก็กระโจนออกพร้อมดึงหางเสือที่สิ้นชีพ
แล้วดึงร่างมันออกมาด้วยพละกำลังมหาศาล จนพ้นลำตัวของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นและมองไปยังร่างเสือน้อยและเสือใหญ่ เมื่อทั้งสองสิ้นชีพไปแล้วอาคมก็เสื่อม
ร่างค่อยๆกลายเป็นร่างของพระและเณร เขามองดูด้วยความเวทนานัก พลางคิดว่านี่แหละหนาการร่ำเรียน
อาคมมากๆเข้าถึงแม้จะสามารถแปลงกายหากผิดครูย่อมจะเข้าสู่ตัวและไม่สามารถควบคุมวิชาอาคมได้ คงจะ
ร่ำเรียนวิชาเสือสมิงเป็นแน่แท้
เขาจึงจูงมือเจ้าขนทองออกมานอกกุฎีนั้นทันทีพร้อมทั้งจุดไฟโดยนำหญ้าที่
แห้งและกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นมาสุมที่กุฏซึ่งหลังคาทำด้วยใบหญ้าอยู่แล้วเป็นเชื้อเพลิงทันที ไฟก็ลุกไหม้กุฎีสอง
หลัง เขายืนดูห่างๆจนแน่แก่ใจว่ามอดไหม้หมดสิ้น
ส่วนศาลาและโบสถ์ไม้นั้นเขาคงปล่อยไว้ตามเดิมไม่กล้าทำลาย
พลางจูงมือเดินเข้าไปยังโบสถ์กราบพระปูนองค์ไม่ใหญ่นักขอขมาต่อสิ่งที่ได้ล่วงเกินแล้ว
ก็แผ่อุทิศส่วนกุศลที่เขาพึงมีให้แก่ พระและเณรด้วย เพื่ออย่าได้จองเวรกันและกันเมื่อเรียบร้อย
แล้วก็ออกจากสถานที่นี้
หาทางลัดเลาะเพื่อให้พ้นภูเขาลูกนี้ต่อไป เสียงน้ำไหลได้ยินมาอย่างชัดเจนจึงต่าง
ได้มุ่งตรงไปยังเสียงที่ได้ยิน เห็นเป็นแอ่งน้ำกว้างใหญ่ที่มีลำธารไหลมายังแอ่งน้ำและไหลลงไปยังเบื้องล่าง
เขาจึงได้จัดการวางสัมภาระไว้แล้ว เปลื้องกางเกงออกพร้อมลงไปอาบน้ำชำระ
ล้างเลือดที่แห้งกรังของเสือร้ายที่เปื้อนไป
ทั่วตัวออกจนน้ำที่ไหลแดงฉานไปทั่ว ค่อยๆไหลรินหายไปทั้งสองได้อาบน้ำและหยอกล้อกันภายใน
แอ่งน้ำใหญ่อย่างสำราญใจ............
* แก้วประเสริฐ. *
15 กุมภาพันธ์ 2553 14:00 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 20
ทั้งสองต่างหยอกล้อกันเพื่อแก้เหงาและมองดูทัศนียภาพอันสวยสดงดงาม
ยิ่งนัก เมื่อบัดนี้ชายหนุ่มหลังจากโกนหนวดเคราแล้ว ใบหน้าเขาผิดแผกกับ
ตอนแรก แลดูคมขำสง่างามยิ่งนักยิ่งผมซึ่งเกล้ารัดกับหนังศีรษะปล่อยปลาย
ผมไว้ด้านหลัง ประกอบกับร่างที่ปราศจากเสื้อผ้ามีแค่เพียงคันธนูดาบกับกระบอก
ที่ใส่ลูกธนูซึ่งมีประกายหลากสีสดใสสวยงามลอดออกมา กับเอ็นที่ห้อยดาบไว้
ที่สะพายแล่งไว้ไหล่ทั้งสองข้างห้อยด้วยกระบอกน้ำและเถาวัลย์ที่คล้องอยู่
ยิ่งทำให้ดุจเหมือนนักรบโบราณ มีดน้อยก็เหน็บไว้ที่ผ้าคาดเอวฝักสอดภายใน
กางเกงขาสั้นที่ถูกตัดออก ส่วนเท้านั้นเดินเท้าเปล่า
ร่างที่ผึ่งผายของเขาหากหญิงใดพานพบก็จะต้องอดที่จะชำเลืองมองเสียมิได้
แต่ในที่นี้เขามีแค่เพียงเจ้าขนทองและนางพราย หากมาเห็นสภาพนี้ไม่รู้ว่านางจะ
กล่าวประการใด ซึ่งเวลานี้นางยังอาศัยอยู่ในฝักดาบและมีดน้อยเท่านั้น
เมื่อเดินไปตามทางที่ราดด้วยก้อนหินกรวดเล็กๆน้อยๆใหญ่บ้างเล็กบ้าง
จนมาสุดปลายทางเป็น ปากถ้ำใหญ่แต่ถูกปิดไว้ด้วยก้อนหินมากมาย
ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลาไปเปิดปากถ้ำ ถึงแม้นว่าจะสงสัยก็ตามทีแต่เขาเพียง
แค่มองดูและหาหนทางเดินต่อไป ก็พบเป็นทางเล็กๆที่ทอดเข้าสู่ป่าลึกเป็นทางที่ปกคลุม
ด้วยวัชพืชน้อยๆ ส่วนสองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่ส่งกิ่งก้านปกคลุมเห็นเพียงแค่
แสงอาทิตย์ที่เล็ดรอดสอดส่องเท่านั้น นี่ก็ตะวันเกือบจะบ่ายคล้อยแล้ว
ดังนั้นชายหนุ่มจึงจูงเจ้าขนทองเลี่ยงหลบลงข้างทางเดินไปตามทางแคบเล็กๆ
จะว่าเล็กก็ไม่เชิงนัก หากคงจะเป็นทางของม้าสวนผ่านไปมาได้เท่านั้นเอง
ในระหว่างเดินไปตามทางนั้นได้ยินเสียงนกต่างๆร้องขานรับกันทำให้เขาเกิดอารมณ์
สุนทรีขึ้นมา สายลมที่พัดพาเอาอากาศที่แสนจะสดชื่น ล้วนแล้วแต่ทำให้เขาจิตใจสงบ
เยือกเย็นมากทุกๆสิ่งล้วนแล้วแต่บริสุทธิ์ปราศจากมลทินใดๆ ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์
ที่ผ่านมาในอดีตเสียมิได้ แต่มิอาจจะกลับไปได้อีกแล้วตั้งแต่เขาค้นหาทางกลับจนป่านนี้
ยังไม่มีวี่แววเอาเสียเลย จำต้องปล่อยให้เป็นไปตามเหตุการณ์นั้น
โดยบัดนี้เขาทิ้งอดีตไปเสียแล้ว หากนำมาเปรียบเทียบกันแล้วปัจจุบันนี้ล้วนแล้ว
แต่ธรรมชาติที่แสนสะอาดบริสุทธิ์ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบไว้ให้แก่มวลมนุษย์
ที่งดงามดีกว่าในเมืองที่มีความศิวิไลย์เสียอีก ซึ่งอุดมไปด้วยความหลอกลวงร้อยเล่ห์มากนัก
คนด้อยปัญญามักจะถูกคนที่มีปัญญามากว่ากดขี่ข่มเหงตลอดเวลา หลากเล่ห์ร้อยแปดพันเก้า
ชิงดีชิงเด่นหลงมัวเมาในอำนาจตัวเอง เป็นคนเห็นแก่ตัวไม่มีความเมตตาสงสารคนอื่นๆเลย
ส่วนสถานที่นี้กับเพียบพร้อมไปด้วยความสดใสสะอาดบริสุทธิ์นัก ถึงแม้ว่าจะมีการ
ฆ่ากันก็เพียงเพื่อเป็นอาหาร เมื่ออิ่มแล้วก็ไม่ทำลายกันอีก ผิดกับในเมืองเสียสิ้นที่มีแต่ความ
โลภไม่เพียงพอรู้จักหมดสิ้นไป เขานึกแล้วต้องรีบสะบัดศีรษะเบาๆเพื่อขจัดสิ่งทั้งหลายที่
สอดแทรกเข้ามาให้ละลายไป เสียงสวบๆพุ่งตรงเข้ามาแต่เขาหาได้รู้สึกตัวไม่ด้วยมัวแต่นึก
ถึงเรื่องในอดีตไปเสียสิ้น จวบจนได้ยินเสียงร้องของเจ้าขนทองกู่ก้องคำราม
นั่นแหละเขาถึงได้รู้สึกตัวหันไปมอง
แต่ช้าไปเสียแล้วร่างทะมึนยังกับขุนเขาเล็กๆขนาดย่อมๆพุ่งตรงเข้ามาหาเขาทันที เพียงแค่
ชั่ววูบของสายตา ร่างเขาก็ถูกขวิดกระเด็นลอยสูงไปในอากาศเสียแล้วแต่ด้วยการฝึกฝนมาและ
ผ่านการต่อสู้มาแล้วทำให้เขา พลิกร่างในกลางอากาศเอื้อมมือไปคว้ายังกิ่งไม้ แต่ก็ทำให้เขา
รู้สึกเจ็บไปแถวชายโครงด้านซ้ายมือ เมื่อเหลือบมองลงไปเห็นเป็นกระทิงเปลี่ยวร่างออกสี
น้ำตาลอมดำ เขาของมันสีน้ำตาลยาวแหลม แต่อีกเขาหนึ่งกับรู้สึกว่าสั้นไปกว่าเขาที่ยาว
แหลมคมมีขนขึ้นบริเวณรอบๆเขาแหลมของมัน ตัวมันช่างใหญ่โตยิ่งนักผิดกับกระทิงทั่วๆไป
เจ้าขนทองพุ่งร่างหลบหลีกการขวิดของกระทิงไปๆมาๆแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังมันทันที
แต่เจ้ากระทิงตัวใหญ่หาได้ย่นย่อไม่ มันสะบัดร่างเจ้าขนทองจนกระเด็นเข้าพงหญ้าไปทันที
แล้วพลันหมุนตัวมันพุ่งก้มหัวมันเสียงดังฟืดๆๆดังลั่นจากปลายจมูก มันก้มหัววิ่งตรงไปยังร่าง
ของเจ้าขนทอง ถึงแม้ว่าร่างมันจะใหญ่โตนักแต่ความรวดเร็วหาได้ลดหย่อนตามลำตัวมันไม่
เจ้าขนทองกลิ้งตัวกระโดดคว้ากิ่งไม้หลบหลีกทันทีพร้อมร้องเสียงขู่ก้องคำราม
กระโดดไปๆมาๆเพื่อจะหาทางที่จะไปต่อสู้กับมันอีก เจ้ากระทิงก็สะบัดหัวมันไปๆมาๆรี่เข้าใส่ยัง
ร่างเจ้าขนทองอีกครั้งหนึ่ง เจ้าขนทองรีบกระโดดหลบไปทางด้านขวามือคว้าเถาวัลย์แกว่งตัว
มันไปมาแล้วดึงหางเจ้ากระทิงพร้อมทิ้งตัวลงบนหลังแล้วแยกเขี้ยวกัดบนหลังกระทิงทันที
คมของเขี้ยวแก้วฝังลึก มันกระชากจนเกิดแผลเหวอะหวะหลายแห่งเลือดไหลหลั่งมากมาย
ยิ่งทำให้เจ้ากระทิงเกิดอารมณ์บ้าระห่ำ มันขวิดต้นไม้ที่ขวางหน้าแตกกระจาย
แล้วเอาร่างมันถูเข้ากับต้นไม้ใหญ่ เจ้าขนทองจำเป็นต้องกระโดดขึ้นต้นไม้ทันที
ชายหนุ่มไต่ไปตามก้านกิ่งไม้แล้วค่อยๆไต่ลงมา เขากุมมือไปยังชายโครงซ้ายที่ออกบวมๆแต่
ไม่มีเลือดสักหยดเดียวทั้งๆที่ถูกเขาอันแหลมคมขวิดเต็มที่หรือว่าร่างเขาจะคงกระพันชาตรีไปเสียแล้ว
หรือว่าฟลุ๊ค แต่มันไม่น่าเป็นไปได้นี่นาเขาคิด แล้วพลางปลดคันธนูพร้อมหยิบลูกธนูที่มีแสงประกาย
แวววาวสดใสออกมาทันที ครั้นชายหนุ่มลงมาจากต้นไม้ได้ก็ส่งเสียงเรียกทันทีเมื่อเขาพร้อมแล้ว
เจ้ากระทิงครั้นได้ยินเสียงพลางหันขวับมาทางเขา แล้วตระกรุยขาหน้าจนเศษดินกระเด็นไป
ข้างหลังเป็นหย่อมๆแล้วก้มหัวมันพุ่งมาหาเขาทันที
ชายหนุ่มออกมายืนจังก้าพลางน้าวสายธนูที่มีลูกธนูถึงสามดอกทันที พร้อมคอยรอจังหวะมัน
รอจนเข้ากระทิงพุ่งเข้ามาในระยะของธนูแล้วเขาก็ปล่อยสายธนู เสียงดังหวีดหวิวๆๆลูกธนูพุ่งเข้าสู่เป้า
ทันที ด้วยตัวมันใหญ่ดวงตาโปนโตของมันที่จ้องมาทางเขาลูกธนูสองดอกเข้าสู่ดวงตามันทันที อีกลูก
หนึ่งเข้าเสียบยังแสกหน้ามันช่วงต่ำกว่าเขาเพียงเล็กน้อย ด้วยแรงพุ่งทะยานมาความรวดเร็วหาได้
หยุดร่างของมันไม่ ชายหนุ่มรีบกระโจนหนีบังต้นไม้ใหญ่ทันที ร่างเจ้ากระทิงพุ่งเฉียดร่างเขาไปนิด
เดียว ร่างมันเลยพุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นักกระแทกจนต้นไม้นั้นหักสะบั้นลง
ทันที มันยืนอยู่สักครู่หนึ่งขาหน้าค่อยๆทรุดลงและนอนหมอบลงตรงนั้น
ชายหนุ่มคิดมันคงจะสิ้นชีวิตเสียแล้วกระมัง แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ตัวมันนักเพียงรอ
คอยสักพัก เข้าขนทองกระโดดเข้ามาเกาะแขนเขาทันที ชายหนุ่มรู้สึกปวดชายโครงซ้ายถึงกับทรุดร่างลง
นั่งทันทีพลางมองดูเห็นเป็นรอยเขียวช้ำๆปูดออกมา พลางเอามือขยี้รอยปูดที่เขียวเขาต้องร้องออกมากด้วย
ความเจ็บปวด เจ้าลิงขนทองเห็นเช่นนั้นมันพลางตีลังกาแล้วกระโจนหายไปในพงไม้ทันที เขามองดูรอย
ช้ำเป็นปืดๆใหญ่ๆตามลักษณะปลายเขาของมัน ค่อยๆขยี้ใบหน้าแหย่เกด้วยความเจ็บปวด อาการปวดเริ่มจะ
รุนแรงยิ่งขึ้นเพราะความช้ำของเนื้อ เขาถึงกับค่อยๆเขยิบร่างเข้าพิงกับต้นไม้ใหญ่ไม่สนใจร่างของเจ้ากระทิง
เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆเจ้าลิงขนทองก็กลับมาพร้อมกับใบไม้ลักษณะแปลกๆมีขนตามใบด้วย เมื่อมัน
มาถึงก็เคี้ยวใบไม้ที่มีขนนั้นทันทีแล้ว นำมาส่งมอบให้เขา ด้วยความที่เคยชินและอยู่ด้วยกันมานานทำให้เขา
ล่วงรู้ถึงการกระทำของมันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จึงได้นำมาพอกยังที่มีรอยช้ำเขียวๆทันที พอใบไม้ที่ถูกเคี้ยว
แหลกโดยเจ้าขนทองกระทบกับผิวหนังเขา
ความเย็นได้แผ่ซ่านออกมาทันทีมันดูดตุบๆอาการปวดค่อยๆเริ่มทุเลา จน เวลาผ่านไปสักอึดใจเดียว
อาการปวดดังกล่าวก็หายไปยังกับปลิดทิ้งพร้อมอาการบวมก็ยุบทุกเลาขึ้น
แทบเป็นปกติ เขานั่งคอยสักพักจนแน่แก่ใจแล้วว่าเป็นปกติดีจึงได้กล่าวขอบใจเจ้าขนทองแล้วดึงร่างมัน
เข้ามากอดแล้วจูบไปที่หัวมันเพื่อแสดงถึงความขอบใจ เจ้าขนทองเงยหน้าขึ้นแยกเขี้ยวเหมือนรับรู้อาการที่
เขาแสดงต่อมัน
เขาเดินไปยังร่างเจ้ากระทิงร่างยักษ์ทันทีเห็นมันนอนหงายข้างๆตั้งแต่ไม่ใดไม่ทราบได้
เขาจึงดึงลูกธนูสามดอกออกจากร่างมัน แปลกเขาคิดธนูที่มีประกายหาได้มีเลือดของเจ้ากระทิงติดสักหยด
เดียว ทั้งๆที่บริเวณนั้นนองเต็มไปด้วยเลือดเจ้ากระทิง หากเป็นเมื่อก่อนนี้เขาก็คงจะเอาเนื้อมันมาทำอาหาร
กิน แต่บัดนี้เขาได้ละเว้นเสื้อสัตว์ไปตั้งนานแล้วจึงไม่คิดจะกินเนื้อมันอีกต่อไป แต่หนังมันคงจะเป็นประโยชน์
แก่เขาบ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงได้จัดการลอกหนังมันพร้อมเดินไปค้นหาลำธารน้ำเพื่อชำระล้างเลือดของมัน
ซึ่งเขาคิดว่าคงไม่ไกลนักด้วย ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลเบาๆจึงเดินค้นหาก็ปรากฏเห็น
มีสายน้ำลำธารที่แยกจากน้ำตกมา หากไม่พบก็เห็นทีจะต้องโยนหนังกระทิงนี้ไปเสียด้วยเกรงจะเน่า
ครั้นเดินไปสักหน่อยก็เห็นสายลำธารเล็กๆที่แยกมาจากน้ำตกจึงได้จัดการชำระล้างหนังกระทิงที่มีขนสี
น้ำตาลปนดำ จนสะอาดแล้วนำขมิ้นในย่ามที่รู้สึกว่าจะแห้งไปบ้างออกมาทุบด้วยก้อนหินแล้วทาไปทั่วผืนหนัง
ด้านใน นำไปตากแดดที่มีแสงแดงแรงจ้านั้น แล้วมานั่งทานอาหารผลไม้กับเจ้าขนทองเพื่อรอเวลาให้หนังแห้ง
ก็จะได้ออกเดินทาง
ฉับพลันเขาได้ยินเสียงสัตว์นาๆชนิดกำลังกัดกันที่ยังร่างเจ้ากระทิงยักษ์เขาหันไปมองดูในระยะห่างนัก เป็นพวกฝูงหมาป่ากำลังเห่ากรรโชกไล่งับเจ้าเสือลายพาดกลอนประมาณสองสามตัวที่กำลังกัด
กินร่างเจ้ากระทิงยักษ์อยู่ ส่วนพวกหมาป่าเพียงแค่เห่าไล่ แต่เจ้าเสือลายพาดกลอนหาได้เกรงกลัวมันไม่ บางตัว
คิดว่าคงรำคาญ มันก็กระโจนเข้าใส่พวกฝูงหมาป่าราวประมาณสักสิบกว่าตัวที่ต่างแยกย้ายกันออกไป ทำให้
พวกหมาป่าวิ่งหนีทันที แล้วมันก็หันกลับมากินเนื้อต่อไป
เขาคิดทันทีว่า หากเขาได้เจอกับพวกหมาป่าซึ่งตัวมันไม่เล็กเอาเสียเลยเขาจะทำอย่างไรดี ด้วยกิติศัพท์ว่า
สัตว์พวกนี้จะมากันและเข้าทำร้ายศัตรูมันเป็นพวกๆคราวละหลายๆตัว เห็นทีคงจะต้องเหนื่อยแรงอีก หากเขา
กำลังเจ็บช้ำอยู่นี้ไม่แน่ว่าจะสู้มันได้อีก แต่สัญชาติสัตว์ป่าหากอิ่มหน่ำแล้วมันจะไม่ยุ่งเกี่ยวนอกจากมันจะหิว
เท่านั้นเองถึงจะออกหากินล่าเหยื่อต่อไป เขารู้มาจากหนังสือที่เคยอ่านมาและเขาชอบอ่านด้วยเกี่ยวกับชีวประวัติ
ของสัตว์ป่าทั้งหลายสมัยยังร่ำเรียนหนังสืออยู่ แต่นี่เขาต้องมาประสบกับความจริงเสียแล้วโดยที่เขาคิดไม่ถึง
จนเมื่อถึงเวลาคิดว่าหนังกระทิงคงจะแห้งแล้ว ด้วยตะวันเริ่มจะคล้อยลงมากๆอากาศเริ่มจะสลัวๆจึงเดิน
ไปเก็บหนังกระทิงมาม้วนห่อไว้ด้วยเอ็น ด้วยอากาศบริเวณแถวนี้ร้อนมากๆ อาศัยเขาอยู่ภายใต้ร่มบังของเขา
และมวลแมกไม้จึงทำให้อากาศค่อนข้างจะเย็นบ้าง ครั้นเตรียมตัวเสร็จแล้วเห็นว่าจะออกเดินทางต่อไปไม่ได้
จึงเที่ยวค้นหาสถานที่เพื่อใช้ในการพักผ่อน
ดังนั้นจึงปีนขึ้นไปยังไหล่เขาอีกครั้งหนึ่งเพื่อค้นหาถ้ำหรือโพรงหิน ตามบริเวณ ข้างๆภูเขาที่ราดทางเดิน
ที่พอจะอาศัยได้เพื่อหลุดพ้นจากสัตว์ออกหากินในกลางคืน ด้วยเขาไม่ต้องการที่จะฆ่าพวกมันอีกแต่ค้นหาเท่าไร
ก็ไม่พบ จึงย้อนกลับลงมาอีกครั้งเพื่อมองหาต้นไม้ใหญ่ที่พอจะอาศัยคาคบไม้ได้ในที่สุดเมื่อเดินลึกเข้าไปอีกไม่
เท่าใดนักก็เจอต้นไม้ใหญ่สูงมีคาคบกว้างใหญ่พอที่จะให้พวกเขาอาศัยได้ จึงได้ให้เจ้าขนทองจัดการเหมือนเก่า
แล้วรีบปีนขึ้นไป ก็พอดีอากาศมืดมิดพอดีพอลงพักผ่อนได้สักพัก ร่างนางพรายทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้นพลาง
ถามว่า
“พี่ท่านอาการเป็นอย่างไรบ้าง น้องเองรู้แต่มิอาจจะช่วยเหลือได้อย่างไร พอจะกระซิบบอกมันก็มาถึงตัว
ของพี่แล้ว” นางพรายเขียวกล่าว
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอกจ้าน้องนาง เจ้าขนทองได้ไปหาใบยามาสมานพอกให้แล้วตอนนี้เกือบจะหายดีแล้วจ๊ะ”
“แต่คืนนี้ให้พี่ระวังตัวไว้ด้วยนะ ด้วยจะมีสิ่งลี้ลับซึ่งน้องเองไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ ด้วยมันแก่กล้า
ไสย์เวทย์มากจ๊ะ” ชายหนุ่มถาม
“น้องเองก็บอกไม่ได้จ้า ด้วยมองเห็นเพียงแค่เลือนรางไม่ชัดเจนเท่านั้นเอง” นางพรายแดงตอบ
“จ๊ะแล้วพี่จะคอยระมัดระวังตัว ขอให้น้องแจ้งพี่โดยเร็วหากพี่ผล๊อยหลับไปนะจ๊ะ”
“จ้าๆ...น้องจะคอยเฝ้าดูแลทั้งคืนแหละ ขอให้ท่านพี่นอนพักผ่อนเอาแรงเถอะ”
“งั้นพี่ก็จะขอพักผ่อนล่ะจ๊ะ” ชายหนุ่มกล่าว
พร้อมทั้งล้มตัวลงนอนแต่คำพูดของแม่นางพรายสาวแสนสวย หาได้ทำให้เขาหลับลงไปไม่กลับคิดมาก
ยิ่งขึ้นว่าจะหาทางป้องกันตัวได้อย่างไรดี จนเวลาผ่านไปๆชายหนุ่มก็เคลิ้มหลับไป
กระทั่งเขาได้ยินเสียงกระซิบข้างหูเขาและนางเขย่าตัวพร้อมๆกัน จึงรีบสะบัดใบหน้านั่งขึ้นทันที หันไป
มองเจ้าขนทองเห็นมันตื่นขึ้นก่อนแล้วตามวิสัยสัตว์ที่ว่องไวต่อภัยทั้งหลาย
แสงจันทร์ทอกระจ่างเต็มดวงสาดส่องไปทั่งพื้นบริเวณของพื้นดิน ที่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นห่างๆกัน
กับต้นหญ้าน้อยใหญ่เป็นแสงสว่างที่มองแลเห็นพื้นที่แถวบริเวณนั้น เสียงร้องโฮกๆปี๊ปๆๆๆ
ดังแว่วใกล้เข้ามา
สิ่งที่เขาเห็นมันเป็นร่างของเสือโคร่งขนาดใหญ่ประมาณสูงกว่าม้าที่เขาเห็นตอนต้นเสียอีก มันเดิน
ย่างสามขุม ขู่คำรามลั่นร่างมันแลเห็นสีเหลืองคาดดำเด่นตานัก หากกะความสูงมันเกือบจะถึงคาคบที่เขา
อาศัยอยู่ได้ไม่มากมายนัก เมื่อมาถึงมันเดินวนเวียนไปๆมาๆรอบๆโคนต้นไม้แล้วแหงนหน้ามันขึ้นมอง
แปลกปกติแล้วนัยน์ตาสัตว์ที่กินเนื้อจะมักออกสีเขียวๆ ส่วนสัตว์ที่ไม่กินเนื้อมักจะออกสีแดงเรื่อๆ แต่ตา
มันกับดวงโตเกือบเท่าชามใบหย่อมๆหาเป็นสีเขียวปัด มองดูกลับคล้ายๆแววตาของคนทั่วๆไปผิดกับสัตว์
ทั้งหลาย แปลกๆเขาคิดหรือว่ามันจะไม่ใช่สัตว์ธรรมดา พอมันแน่แก่ใจแล้วพลางกระโจนขึ้น
มายังคาคบที่เขาอาศัยทันที
ชายหนุ่มล้วงก้อนเลือดของงูยักษ์ที่ได้แปรสภาพกลายเป็นหินสีแดงออกมาแล้วก็
ขว้างไปยังร่างของเสือร้ายที่สูงใหญ่ที่แลเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้แสงของพระจันทร์...........
* แก้วประเสริฐ. *
14 กุมภาพันธ์ 2553 14:27 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 19
ทันใดนั้นชายหนุ่มหลังจากฆ่าเจ้าพวกผีต่างๆไม่ยอมหมดสิ้นสักทีจนชักจะอ่อนล้า
ก็ให้นึกถึงท่านพญางูธนาธิบดีนาคาขึ้นมาได้ ที่มอบกระบองนาคราชกับมนต์กำกับ
จึงเอ่ยเรียกกระบองนาคราชทันที
“นาคราชเอ๋ย เจ้าจงออกมาซิ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นทันที
ฉับพลันเกิดรังสีแสงพุ่งจากร่างของเจ้าขนทอง มาสู่ยังอุ้งมือชายหนุ่ม
เมื่อเขารับกระบองมาไว้แล้ว ก็ยกมือประสานเหนือหน้าผากพลางร่ายพระเวทย์มนต์
กำกับทันที แล้วก็โยนกระบองขึ้นฟ้าออกไป
กระบองนาคราชก็ส่งประกายแสงเจิดจ้า แล้วแบ่งแยกออกเป็นจำนวนมากทันที
แต่ละกระบองต่างเปล่งรังสีเจิดจ้า แยกกันเข้าทำลายเจ้าพวกผีต่างๆ เพียงแค่ชั่วอึดใจ
ไม่ทันเท่าใด
เหล่าบรรดาผีร้ายทั้งหลายที่ต่างกระโจนหนีต่างร้อง ก๋อยๆๆๆกร๊วกๆๆๆ
แล้วเผ่นหนีทันทีแต่ก็ไม่สามารถรอดหลุดพ้นกระบองนาคราชไปได้ ต่างถูกแทงบ้างตีบ้าง
ร่างเหลวแหลกและหายวับไปจนหมดสิ้น ไม่เท่านั้นยังไปทำลายพวกบ้านต่างๆจนพัง
พินาศสิ้น เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวชายหนุ่มเข้าใจว่าคงจะเป็นที่เก็บของมันหรือไม่ก็
เป็นที่สร้างและพักอาศัยมันจึงผิดแผกไปจากการทำลายทั่วไปและมันถึงได้มีมากมายเช่นนี้
ส่วนที่รบติดพันกับชายหนุ่มก็ถูกชายหนุ่มฆ่าตายลงมากต่อมาก ด้านเจ้าขนทองก็กระโดด
ขบกัดด้วยเขี้ยวแก้วมันฆ่าไปอีกหลายสิบตัว ส่วนด้านนายพรายนั้นซึ่งมีฤทธิ์เดชไม่เบาต่าง
ใช้อำนาจรังสีเข้าทำลายล้างเจ้าผีต่างๆมีอาจจะเข้าใกล้นางได้ ยามที่เจ้าผีเข้าไขว่คว้ามายัง
ร่างนางนั้นก็เพียงแค่คว้าลมเท่านั้น ด้วยนางพรายทั้งสองเป็นภูตพรายหาได้มีตัวตนใดไม่
ไม่นานนักกระบองนาคราชก็รวมตัวกันขึ้นเป็นหนึ่งเดียวแล้วพุ่งมาหายังชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มรับกระบองแล้วสั่งให้ไปพักยังที่เดิมได้ กระบองนั้นก็พุ่งเป็นแสงไปยังดวงแก้วที่
ถูกหุ้มห่อด้วยเอ็นแล้วหายไป
ภายหลังจากปราบปรามเจ้าผีร้ายแล้วก็เป็นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว อากาศก็มืดมิดทันที
เนื่องจากบรรดาคบเพลิงต่างหายไปหมด ชายหนุ่มจึงจำต้องจุดคบไฟขึ้นมาแล้วใช้ส่องทาง
เพื่อกลับไปยังคาคบ เพื่อรอวันใหม่ต่อมาหาก แต่เหตุการณ์ต่อสู้ต่างๆก็ถูกเล่าสนทนากัน
ครั้นแล้วแม่นางพราย พรายแดงพลันกล่าวว่า
“พี่ท่านนี่หากไม่ได้กระบองนาคราชของท่านท้าวพญาธนาธิบดีแล้วเห็นทีว่าเรายากจะ
จัดการเจ้ากองก๋อยและเจ้าโขมดหมดสิ้น น้องทราบว่ามันมีแค่เจ็ดแปดตน แต่เหตุใดมันจึง
เกิดขึ้นได้มากมายก็ไม่รู้หรือว่า ฐานกำเนิดมันจะอยู่ในกระท่อมหรือหลังคามุงหญ้าเสีย
เป็นแม่นมั่น ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้อีกนะพี่ท่าน”
“นั่นซิน้องรัก พี่เองรับฟังจากน้องว่ามีแค่เจ็ดแปดตนก็คิดว่าคงไม่หนักหนาอะไร
แต่ที่ไหนได้กลับมาแทบไม่ขาดสายเชียวล่ะ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นบ้าง
“แต่ช่างเถอะในเมื่อเราสามารถทำลายมันหมดสิ้นก็ดีเหมือนกัน ต่อไปคนที่จะมาที่
นี่ก็คงจะหมดปัญหา เท่ากับเราช่วยทำบุญอนุเคราะห์มันให้ไปเกิดใหม่และช่วยเหลือคน
ที่อาจจะพลัดมาที่นี้เหมือนดังพวกเรานะน้องรัก”
“จ๊ะๆ...พี่ท่านให้คิดว่าเราช่วยเหลือพวกมันก็แล้วกันนะจะได้ไม่ต้องกังวลใจอะไรไป”
“ถ้าอย่างนั้นเราพักผ่อนกันได้แล้ว ด้วยพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางและยังไม่รู้เลยว่าจะ
ต้องเจอกับอะไรๆอีก เก็บกำลังเราไว้ก่อนดีกว่า ส่วนน้องพี่ก็ไม่ต้องเฝ้าพี่หรอกคงจะไม่มี
อะไรเกิดอีกแล้วล่ะ เพื่อกลางวันน้องจะได้มีพละกำลังมากอาจจะมาช่วยเหลือพี่ได้บ้างจ๊ะ”
“อย่างนั้นตามใจท่านพี่ก็แล้วกัน แต่ เอ๊ะ????....แล้วน้องจะนอนได้ที่ใดในเมื่อสถานที
จำกัดเช่นนี้”
“เอาอย่างนี้ก็ได้นะน้องรัก น้องมานอนใกล้ๆกับพี่นี่แหละจ้า อย่าคิดมากอะไรเลยนะ”
ทำให้หญิงสาวทั้งสองถึงกับหน้าแดงทันที แต่ด้วยใจที่มีส่วนสัมพันธ์กันมาอย่างลึกซึ้งจึง
เกิดความรักชายหนุ่มขึ้นทีละน้อยๆจนจะแนบแน่น ก็บังเกิดความเอียงอายตามวิสัยอิสตรีทั่วๆไป
แต่หล่อนก็ไม่ขัดใจชายหนุ่ม เมื่อชายหนุ่มล้มตัวลงนอนจึงได้เข้าไปนอนแนบข้างทั้งสองข้างทันที
กลิ่นกายสาวหอมฟุ้งคล้ายดอกไม้ป่าโชยเข้ามายังจมูกชายหนุ่มทันที แต่เขาก็บังคับอารมณ์ไว้
ได้มิได้ล่วงเกินไปกว่านี้ จนกระทั่งม่อยหลับไป
พระอาทิตย์ส่องแสงบอกเวลาสายแล้วทาบทอส่องลอดช่องใบไม้ใหญ่มากระทบยังใบหน้าของ
ชายหนุ่มทำให้เขารู้สึกตัวพลางลุกขึ้น ปรากฏว่าร่างแม่นางพรายหายไปแล้ว ส่วนเจ้าขนทองก็ไม่อยู่
เขาคิดว่ามันคงจะไปหาอาหารผลไม้มาให้ จึงได้รีบล้างหน้าชำระร่างกายอย่างลวกๆ เสื้อผ้าเขานั้น
ขาดหมดสิ้นด้วยการต่อสู้กับพวกผีร้าย
เขาจึงถอดเสื้อออกโยนทิ้งไป เหลือแต่ร่างกายที่บึกบึนปรากฏกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
เหตุด้วยจากการฝึกฝนอาวุธโบราณและผ่านการต่อสู้มาทำให้ร่างกายของชายหนุ่มกำยำล่ำสันขึ้น
กลับเป็นร่างกายที่สมส่วนสมชายชาตรีประกอบกับร่างที่สูงได้ขนาดเขาเอง
แต่แล้วบังเอิญเขาจับไปยังบรรดาเคราและผมเผ้า จึงคิดว่าเห็นทีเราจะต้องโกนมันเสียบ้าง
มันยาวจนเขาเกะกะรำคาญไปหมด
หากเขาหาสถานที่ลำธารน้ำได้ก็คงจะดีและคิดว่ามีดน้อยที่แสนคมนี้คงจะทดแทน
ใบมีดโกนได้ ปกติหากเป็นสถานทีก่อนนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มีหนวดเคราผมเช่นนี้เลย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็ต้องนั่งรอเจ้าลิงขนทองซึ่งยังไม่กลับมาและจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ
ให้เข้าทีเข้ารอย เขานั่งรอสักครู่ใหญ่ก็ปรากฏร่างเข้าลิงน้อยห้อยโหนกิ่งไม้และเดินมา
ถือของพะรุงพะรังเต็มไปด้วยผลไม้นาๆชนิด เขารีบปีนเถาวัลย์ลงมายังข้างล่างทันทีเพื่อ
จะเข้าร่วมกินอาหารกับเจ้าขนทอง
ครั้นจัดการอาหารมือสายแล้วเขาก็ส่งสัญญาณให้เจ้าขนทองไปนำเถาวัลย์ที่ผูกไว้ลงมา
ในเมื่อทุกๆอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทางไปตามไหล่เขาที่เต็มไปด้วย
หินขนาดเล็กใหญ่มากมาย ลัดเลาะไปตามเหลี่ยมหินที่มีซอกพอจะเดินทางไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
มุ่งตัดตรงไปเรื่อยๆ เจ้าขนทองลุล่วงหน้าไปก่อน เมื่อเห็นทางจะไปได้มันจะหันมากวัก
มือเรียกเขาทันที
ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงคล้ายๆน้ำไหลตกลงมารู้สึกดีใจมาก ด้วยหลายวันนี้เขาไม่ได้
อาบน้ำชำระร่างกายเลยและน้ำในกระบอกก็แทบจะไม่เหลือมีเพียงติดในกระบอกเล็กน้อย
เท่านั้น ครั้นไปตามทางที่เจ้าขนทองบอกพอพ้นก็เป็นเนินสูงไหล่ลาดพื้นดินเป็นแอ่งน้ำ
น้ำตกไหลมาจากภูเขาอีกลูกหนึ่งทัศนีย์ภาพช่างสวยสดงดงามอะไรเช่นนี้เขารำพึงกับตัวเอง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่แสนประหลาดแก่เขา คือเหนือบริเวณทางน้ำที่ไหลจากน้ำตกนั้น
กลับเป็นแอ่งน้อยๆแต่มีควันและน้ำในแอ่งเดือดปุดๆๆประกายน้ำในแอ่ง
ถึงกับมีสีสันดั่งกับสายรุ้งมิปานหลากหลายสี ยามกระทบกับแสงแดดแวววาวยิ่งนัก
เขาและเจ้าขนทองต่างเดินไปชมดูสิ่งที่เห็น มันช่างงดงามราวอัญมณีในแอ่งน้ำ
คล้ายมีดอกไม้สีทองเคลือบด้วยแต่มีหลากหลายสีแวววาวสวยงามนัก น้ำหลากสีคล้ายผุด
เดือดๆขึ้น ด้วยความสงสัยต่อน้ำเหล่านี้ ชายหนุ่มจึงค้นหากิ่งไม้แห้งที่หล่นได้ขนาด
พอประมาณแล้วนำไปแหย่ลงในแอ่งน้ำทันที
เมื่อเขานำปลายไม้ที่จิ้มลงไปยังแอ่งน้ำหลากสีนั้นค่อนไม้เห็นจะได้มาดูเห็นประกาย
แวววาวหลากสีสดใส ติดกับไม้ที่แหย่ลงไป ชายหนุ่มสังเกตว่ากิ่งไม้ที่นำไปแช่นั้น
กับคล้ายจะใหญ่กว่าไม้ที่ไม่ได้ถูกน้ำประหลาด จึงทดลองหักดู
ปรากฏว่ามันหักได้ระหว่างขั้นที่ถูกน้ำประหลาดทันที เขายกขึ้นมามองท่อนไม้ที่กลับมีสี
ประหลาดนั้นเห็นว่าภายในกิ่งไม้นั้นก็ตันคล้ายจะแน่นหนาจึงพิจารณาแล้วทดลองหักดู
กลับแข็งแกร่งไม่สามารถหักได้ จึงนำไปทดลองฟาดกับก้อนหินก้อนใหญ่ทันที
ผลปรากฏว่าก้อนหินนั้นแตกแยกจากกันทันที หรือว่านี่เป็นบ่อน้ำกายสิทธิ์ที่พวกเทพยดา
จัดสร้างขึ้นมาสร้างขึ้น หรือเกิดโดยธรรมชาติไว้สำหรับชุบอาวุธบรรดาเทพทั้งหลาย
ชายหนุ่มนึกรำพึงกับตนเอง เมื่อคำนึงถึงเหตุการณ์เช่นนี้ เขาจึงนำท่อนไม้ที่ผ่านการชุบ
นำมาส่งมอบให้เจ้าขนทองทันที เพื่อใช้เป็นอาวุธแก่เจ้าขนทอง แล้วพลางปลดลูกธนู
ที่ทำจากไม้รวกตันออกมาทั้งหมดพร้อมคันธนูด้วย พร้อมนำไปแช่ยังน้ำหลากสีทันที
เมื่อจัดการกับลูกธนูและคันธนูจนหมดแล้ว พลางหันหลังมองไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างๆที่
ขึ้นโอบเรียงรายแอ่งน้ำนี้ไว้ แล้วพร้อมน้าวคันธนูและลูกธนูยิ่งไปยังต้นไม้ใหญ่ ลูกธนูหลากสี
แหวกอากาศเสียงดังหวิวๆๆ เข้าทะลวงต้นไม้ใหญ่กว่าโอบ ทะลุผ่านไปยังต้นไม้อื่นๆอีกหลายๆ
ต้น ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตะลึงในครั้งนี้ พร้อมทั้งอุทานเบาๆ เขาไม่คิดว่าอานุภาพของธนูที่ผ่าน
การชุบน้ำประหลาดนี้จะมีอานุภาพมากมายเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงไปดึงเก็บลูกธนูออกมาช่างง่ายดายนักด้วยธนูมีความแหลมคม
มากกว่าตอนที่เขาเหลาปลายให้แหลมๆเสียอีก ส่วนคันธนูก็มีความแข็งแกร่ง
เหนียวแน่นมากจนต้องใช้พละกำลังมากมาย หากเป็นสมัยก่อนเขาคิดว่าคงจะไม่สามารถ
จะโน้มน้าวคันธนูนี้ได้ แต่อานุภาพของเลือดและดีงูยักษ์ที่เขากินลงไปนั่นสร้างพละกำลังให้
แก่เขามากมายเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปได้
หลังจากนั้นทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทางค่อยๆไต่ไปตามหน้าผาไหล่หินที่ยื่นออกมาลงไปยัง
แหล่งน้ำทันที ส่วนเจ้าขนทองนั้นไม่เป็นปัญหาแก่มันเลยมันถือกิ่งไม้ที่หลากสีแล้วกระโดดเกาะ
ไต่ลงไปยังเบื้องล่างได้อย่างง่ายดาย เขาอีกซิต้องค่อยๆพยุงร่างไต่ตามมันไปเรื่อยๆจนในที่สุด
ก็ถึงเบื้องล่าง สิ่งแรกคือการเก็บน้ำที่ดูใส่แต่ทว่าออกเขียวๆนิดๆใส่ลงในกระบอกน้ำทันที
ครั้นแล้วก็วางสัมภาระไว้ริมลำธารแล้วก็เปลื้องผ้าทั้งหมด
กระโจนลงไปยังลำธารที่ไหลมาตามซอกหินไหล่เขาที่น้ำตกไหลมา
โดยลืมไปว่า เขาไม่ได้อยู่แค่เจ้าขนทองแต่ยังมีนางพรายรวมอยู่ด้วย เขาแหวกว่ายเล่นน้ำ
และกวักมือเรียกเจ้าขนทองให้ลงมาด้วย เจ้าขนทองนั้นหาได้เกรงกลัวน้ำไม่มันกลับกระโจนแล้ว
ว่ายมาหาเขา ต่างหยอกเย้าล้อเล่นกันโดยกวักน้ำเข้าใส่กันทันที
แต่เขารู้สึกว่าน้ำในที่นี้ช่างเย็นและชื่นใจอย่างประหลาดมีสิ่งบางอย่าง
แทรกซึมข้าสู่ภายในร่างกายเขาด้วย แต่หาได้สนใจไม่เพียงแค่เพื่อต้องการให้ชื่นใจเท่านั้นเอง
เขานึกขึ้นได้ว่าหากพบแหล่งน้ำแล้วจะจัดการกับหนวดเคราจึงว่ายน้ำตรงไปยังที่เก็บสัมภาระ
แล้วนำมีดน้อยออกมา ค่อยๆใช้มีดน้อยนั้นโกนหนวดเคราโดยใช้มือคลำๆเอาจนเกลี้ยงเกลาหมดสิ้น
ปล่อยให้บรรดาหนวดเคราลอยตามน้ำไป ครั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจ้องไปยังผิวน้ำเห็นลางๆว่าดีแล้ว
จึงลงไปเล่นน้ำต่อจนเห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงชวนเจ้าขนทองขึ้นจากน้ำมานุ่งกางเกงซึ่งบัดนี้กางเกง
ขายาวเขาท่อนล่างขาดวิ่นไปหมด จึงนำมาตัดขาที่เสียไปให้เหลือเพียงที่ใช้ได้เป็นกางเกงขาสั้นไป
ส่วนผมที่ยาวรุงรัง เขาก็นำเอ็นลิงขนดำมารวบผมแล้วมัดไว้ให้ไปอยู่เบื้องหลังเขา
ครั้นจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงนำกางเกงมาสวมใส่เก็บภาระต่างๆขึ้น
แล้วก็ออกเดินทางโดยลัดเลาะไปตามลำธารเพื่อมุ่งหน้าจะข้ามเขาลูกนี้
เขารู้สึกว่าหนทางของ ทางเดินเริ่มสูงชันขึ้นไปเรื่อยๆเขาไต่เรียบเขาไปจนกระทั่งผ่านพ้นไปจนในที่สุดเขา
สู่ยังภูเขาเล็กๆและมองไปข้างล่างเห็นเป็นทุ่งหญ้าและต้นไม้ใหญ่ๆอีกมากมาย เมื่อลงจากเขาลูกเล็กแล้ว
ไปยังพื้นที่ราบเขาก็มุ่งตัดตรงฝ่าทุ่งหญ้าที่เขียวชอุ่ม บ้างมีดอกซึ่งพลิ้วไหวตามกระแสลมพัดพาอ่อนไหว
ลู่ลมไปๆมาๆ พอลัดเลาะพ้นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แล้ว
เห็นเป็นซอกเล็กๆที่มีแต่ก้อนกรวดโรยไปคล้ายเป็นทางเดินที่ถูกสร้างขึ้นไว้
คงจะเกิดจากเงื้อมมือมนุษย์มากกว่าเป็นทางเดินธรรมชาติแน่นอน
ดังนั้นจึงเดินไปตามทางนั้นครั้นพ้นเหลือบหินก็มองเห็นซากปราสาท
ตามที่แม่นางพรายกล่าวไว้มิผิด แต่เป็นซากที่สลักหักพังคงเหลือไว้เป็นบางส่วนเท่านั้น.........
* แก้วประเสริฐ. *