11 พฤศจิกายน 2553 22:06 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๘
พอพ้นจากประตูวัดมาสักหน่อย เขานึกถึงแม่นางรูปงามได้ก็เลยปั่นจักรยานแวะไปเยี่ยม
ระหว่างทางนั้น สาวอ้อยก็เอ่ยขึ้นว่า
น้าคงจะคิดถึงแม่นางรูปสวยล่ะซิ ถึงได้วกกลับไปทางโน้น????..... กล่าวจบก็หยิกหลังชายหนุ่มทันที
เล่นเอาชายหนุ่มสะดุ้งโหยง หันไปกล่าวขึ้นว่า
อ้อยทำไมพูดเช่นนั้น ก็เขามีคุณแก่น้านี่จ๊ะ???.... ชายหนุ่มนึกแปลกจริงๆเด็กสาวนี่
จริงๆนะอ้อยคนสวย ฮ่าๆๆ ??... อีกหน่อยก็จะมาอยู่ด้วยกันแล้ว อ้อย ก็รู้ไม่ใช่เหรอ???....
จ๊ะใช่จ๊ะ.... ถามจริงๆเถอะน้า ระหว่าง อ้อยกับแม่นางแสนสวยคนนั้นน่าสนใจใครมากกว่าใครหรือ???...
ก็สนใจทั้งคู่แหละ อ้อย ด้วยต่างมีคุณแก่น้าจะไม่ให้น้าวางเฉยๆได้อย่างไร????......
แล้วเขาก็ไม่กล่าวอะไรอีกรีบปั่นจักรยาน เพื่อไปยังต้นตะเคียนต้นนั้นทันที
อากาศที่เยือกเย็นด้วยเป็นเนินเขาสูง ตอนนี้มืดครึ้มปกคลุมไปทั่ว
สมพัดแรงโชยมาต้องกายชายหนุ่มจนรู้สึกว่าเย็น ปกติแล้วเขาเป็นคนไม่กลัวความเย็นแต่แปลกกลับรู้สึกว่า
มันช่างเย็นสบายๆมากนัก ลมโชยแผ่วเบาๆ.......
แสงของนวลจันทร์ยังส่องประกายสวยงามอยู่ สาดแสงไปทั่วบริเวณนั้นเป็นบางแห่ง ตอนนี้จิตใจเขาไม่
เหมือนเดิมเสียแล้ว ความรู้สึกบอกว่าความหวาดกลัวแต่ก่อนหายไปหมด จิตใจเขาเข้มแข็งขึ้นอย่างไม่น่าจะ
เป็นไปได้ หรือว่าด้วยอำนาจของการฝึกสมาธิของเขา แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจนักด้วยเพราะพึ่งจะฝึกมาได้ไม่กี่
ชั่วโมงเท่านั้น เขาคิดพลางทบทวนวิชาต่างๆที่หลวงพ่อให้เขาท่องไว้ เลยทำให้ไม่ได้สนใจหญิงสาวที่นั่ง
อยู่ข้างหลังเขาที่กอดเอวเขาแล้วซบร่างบนแผ่นหลังเขา เพียงรู้สึกว่ามันช่างอบอุ่นนุ่มนิ่มดีเท่านั้น
สักครู่ใหญ่เขาก็มาถึงโคนต้นตะเคียน เขานำรถไปวางพิงไว้ที่ต้นไม้ค่อนข้างจะเล็กแต่ก็พออาศัยได้ แล้ว
ก็เดินเคียงคู่กับหญิงอ้อยที่คอยแต่จะเกาะแขนเขาแจ เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นตะเคียนที่ชายหนุ่มต้องการ
นั่นแหละสาวอ้อยถึงหันหลังกลับไปยืนอยู่เคียงข้างรถไว้ เพียงแค่หันไปมองว่าเขาจะทำอะไรบ้าง
เขาเดินไปที่ยังใต้ต้นตะเคียนพลางลูบและกล่าวเบาๆ เอ่ยปากเพื่อจะบอกเรื่องท่อนไม้ที่หล่อนให้ไว้...
แม่นางท่อนไม้ที่แม่นางให้นั่นแม่ฉันเขากำลังแกะสลักอยู่ คงอีกไม่นานก็คงจะได้ไปอยู่ด้วยกันนะ แม่นาง
จะว่าอย่างไรบ้างล่ะ???.... เขากล่าวลอยๆ
ต้นตะเคียนสั่นไหวทั้งต้นเสมือนจะรับรู้ ในการกระทำของเขาแต่นางหาได้ปรากฏร่างไม่ เขามองไปบนยอด
ต้นไม้ที่สั่นไหว แต่ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เขายืนซึมด้วยความเศร้า หรือว่าเขาจะทำล่วงเกินไปหรือเปล่า เขานึกว่า
หากเขาล่วงเกินไป โดยให้แม่แกะสลักนางไว้ก็จะได้ไปให้แม่ไม่ต้องทำอีกแล้ว เขาคิด
ทันใดนั่นก็มีเสียงแว่วๆล่องลอยมากกระทบหูเขา ฉันทราบอยู่แล้วล่ะจ๊ะ....จ๊ะฉันจะไปอยู่ด้วยจ้าต่อไปวิมานนี้
ก็จะหายไปเองแหละ ด้วยท่านพ่อรู้แล้วว่าฉันได้ที่อาศัยอยู่แล้ว ท่านยังกล่าวว่าคงจะสุขสบายไม่เหมือนก่อนนะ
เขาพลางกล่าวลอยๆว่า ความสบายนั้นอาจจะไม่เหมือนวิมานก็จริง แต่ฉันจะพยายามหาความสุขให้แก่เธอจ้า
ฉันขอรับรองเรื่องนั้น ส่วนอาหารการกินสำหรับเธอคงไม่เป็นปัญหาหรอก ฉันเชื่อเช่นนั้น
คราวนี้เขาได้ยิน เสียงแผ่วเบาๆพร้อมกับเสียงห่อร่อ เธอไม่ต้องห่วงหรอกแต่ในกาลต่อไปขอให้ดูแลฉันให้ดีๆ
ก็เพียงพอแล้วจ้า แล้วเสียงนั้นก็จางหายไป
ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันลาไปก่อนนะ นี่ก็ค่อนข้างจะดึกมากแล้วเขากล่าว พร้อมกับไปโอบต้นตะเคียนต้นนั้นแต่
ไม่สามารถโอบรอบได้ ด้วยต้นตะเคียนใหญ่เกินกว่าเขาจะโอบ แล้วกล่าวว่าฉันไปก่อนนะเธอไม่ต้องส่งฉันอีก
แล้วล่ะ
เสียงแว่วๆผ่านมาเข้าหูเขาพร้อมเสียงหัวร่อเบา แต่ก็ต้องระวังตัวหน่อยนะเพราะจะมีคนมาลองดีกับเธอจ๊ะ
อย่างนั้นหรือขอบใจเธอมากนะ แต่คิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก เธอพักผ่อนเธอนะ
แต่ฉันจะคอยดูให้ห่างๆก็แล้วกัน แต่ไม่เข้าไปก้าวก่ายเธอหรอก เสียงหวานๆสดใสกล่าวขึ้นลอยๆตามสายลม
พอกล่าวจบเขาก็หันหลังมายังที่รถจักรยานเพื่อขี่กลับบ้าน ส่วนสาวอ้อยรู้สึกว่าสีหน้าไม่ค่อยสู้จะดีนักแต่เขาก็
ไม่สนใจ พลางกล่าวว่า
ไปเธอ อ้อย อย่าคิดมากอะไรเลย พวกเราทั้งนั้นแหละ
จ้าน้า.....แต่คราวนี้หล่อนไม่ได้ช่างพูดเหมือนเดิมเสียแล้ว
เขานำรถจักรยานมาขี่ด้วยความรวดเร็ว มันค่อนข้างจะดึกมากด้วย อาศัยมีเพื่อนสาวนั่งมาด้วยทำให้ใจชื้น
ไม่เหมือนก่อนนั้นที่เขามาคนเดียว ผิดกันมากมายเพราะรู้สึกจิตใจเข้มแข็งมากกว่าแต่ก่อน เขาขี่ผ่านเนินเขาไปแต่
ทว่าพอเลยป่าช้าไปสักพักใหญ่ๆ ก็รู้สึกในใจว่ามีสิ่งแปลกประหลาดแฝงรอบติดตามเขามา ตอนแรกเขาไม่คิดอะไร
มากนัก คงคิดว่าเป็นแม่นางรูปงามคงจะตามมา แต่ไม่ใช่กลับรู้สึกได้กลิ่นเหม็นสาปสางลอยตามลมมาด้วย
ทันใดนั้นสาวอ้อยก็กระซิบบอกเขาว่า.......
น้า จ้าน้า.....มันมาเล่นงานเราแล้วแต่ไม่ใช่พวกในป่าช้าบ้านเราหรอกจ้า ไม่รู้มันมาจากไหนท่าทางมันดุร้ายมาก
จริงๆเป็นผู้หญิงอุ้มเด็กมาด้วยล่ะ???.....
คราวนี้เขาชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของสาวอ้อย พลางรำลึกนึกถึงพระพุทธคุณและบทที่หลวงพ่อสอนให้ เขาเริ่ม
ตั้งสมาธิแต่ไม่มั่นคงเหมือนอยู่กับหลวงพ่อ ด้วยกำลังปั่นจักรยานอยู่ นอกจากภาวนาคาถาที่หลวงพ่อสอนไว้ไป
ด้วยเท่านั้น
สักพักเสียงลมพัดอู้ๆมา บรรดาต้นไม้ต่างๆเอนไหว แกว่งไกวไปมา สายลมนั้นกลับพุ่งมาทางเขา เขามองเขม่น
ไปทางอื่นหรือกับไม่เห็นไหวเอนเหมือนเลย เขานึกถึงคำของแม่ตะเคียนรูปงามได้ก็บอกสาวอ้อยทันที
อ้อยๆๆ....น้าจะหยุดรถก่อนนะ อ้อยไม่ต้องทำอะไรหรอก เดี๋ยวน้าจะจัดการเองแหละ
จ๊ะน้า....ฤทธิ์มันแรงมากจริงๆ แรงกว่าฉันเสียอีกหากสู้ก็คงจะสู้เขาไม่ได้หรอก มันเป็นผีตายท้องกลมและยัง
มีผีอาคมเสียด้วย อ้อ...ตอนนี้มันมากันอีกสองตัวแล้วล่ะจ้า เป็นชายร่างดำทะมึนทั้งคู่เชียว หญิงสาวกล่าวเตือนเขา
เมื่อลมพัดมาจนจะถึงเขาก็หยุดชะงักลงไม่เข้ามากระทบร่างเขา แต่หูเขาก็ได้ยินเสียงร้องกล่อมลูกดัง
อยู่บนต้นไม้ใหญ่ริมทาง
เอ....เอ๋....เอ.... อย่างอแงแม่นะ เดี๋ยวแม่จะหาของเล่นมาให้หนูเล่นนะ เสียงเยือกเย็นแต่ยานเย็นยิ่งนักร้องขึ้นมา
เขาแหงนหน้ามองไปบนต้นไม้ใหญ่ บนคาคบเห็นหญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กแกว่งแขนไปแกว่งแขนมาเหมือนจะอุ้ม
เด็กให้หายร้องงอแง เขาสะดุ้งครั้นยามเห็นเด็กที่หญิงนั้นอุ้มโผล่หน้ามาจากวงแขนแม่ แต่หัวมันช่างใหญ่โตมาก
นัก ดวงตาหรือแม้แต่อากาศจะมืดแต่เขากลับเห็นมันช่างเป็นดวงตากลมใหญ่โตสีออกแดงมาก
แม่จ้าๆๆๆ....ทำไมแม่ไม่ลงไปเอามันมาให้หนูล่นล่ะจ๊ะ.... เสียงเด็กกล่าวกับแม่ หนูจะได้มีเพื่อนเล่นจ้า....
คอยลุงเขากำลังมาก่อนนะลูก แต่เมื่อลูกต้องการงั้นแม่จัดการก่อน ผู้เป็นแม่พูดจบเอื้อมมืออันยาวเหยียดจากบน
ต้นไม้มาหวังเพื่อจะคว้าร่างชายหนุ่มมาให้ลูกเล่น มือของมันช่างน่าเกลียดน่ากลัวอะไรเช่นนี้ อุดมไปด้วย
น้ำเหลืองออกสีเหลืองไหลหยดเป็นทางลงมา แขนเป็นตะปุ่มตะปั่มเม็ดเล็กบ้างใหญ่บ้าง
ชายหนุ่มมองดูแต่เขามิได้เกิดความกลัวเหมือนก่อน หรือว่าเนื่องจากเขาคลุกคลีและเห็นมาแล้วก็ได้ จึงได้
รวบรวมสตินึกถึงคุณพระรัตนตรัย ขออาศัยบารมีของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึง เขาภาวนา พุทธังสรณังคัจฉามี
ไปพลางๆ มืออันน่าเกลียดน่ากลัวเมื่อใกล้เข้ามายังร่างเขาห่างกันประมาณสองสามวาก็หยุดชะงักมิอาจจะ
เข้ามาใกล้ๆเขาได้อีก เสียงร้องอุทานดังลั่นจากหญิงแม่ลูกอ่อนทันที
แล้วมันหันไปกล่าวกับลูกว่า เอ๊ะแปลกจ๊ะลูกแม่เข้าไปต้องตัวมันไม่ได้เสียแล้วล่ะ เสียงลูกมันร้องว่างั้น
หนูไปจัดการเองก็ได้แม่หนูไม่กลัวมันหรอก พูดพลางมันกระโดดจากตักแม่มัน โผลงจากต้นไม้เข้ามาหาเขา
แต่มันก็ต้องชะงักทันที มันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เสียงร้องมันช่างโหยหวนก้องกังวานไปทั่วขุนเขา
เนื่องจากอากาศและบริเวณแถวนั้นเงียบสงบ แม้แต่เสียงจิ้งหรีดจักจั่นตลอดสัตว์อื่นๆก็ไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นเลย
แม่ๆๆๆช่วยลูกด้วยๆๆๆๆ มันร้องเต้นเร่าๆ เสียงดังฉาดๆๆๆไปบนใบหน้าเด็กหัวโตแต่ร่างกายมันเล็ก
มากเหมือนเด็กอ่อนทั่วๆไป ใบหน้ามันสะบัดไปตามแรงตบไปๆมาๆ พร้อมร่างมันก็กระเด็นไปปะทะต้นไม้
ใหญ่ที่แม่มันนั่งอยู่ มันร้องไห้ใหญ่ตะโกนเรียกแม่มันให้มาช่วยทันที การทำนี้หาใช่ใครอื่นทำกลับเป็นสาว
อ้อย เข้าไปขวางร่างชายหนุ่มไว้ แล้วเอื้อมมือตบใบหน้าเจ้าเด็กหัวโต เสียงฉาดๆดังสนั่นแล้วถีบร่างมันกระเด็นไป
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ สร้างความตกใจให้แก่แม่ของมัน มึงเองหรืออีเด็กสาว หน๋อยแน่ชักเอาใหญ่แล้วมาทำ
ลูกกูได้ ว่าแล้วแม่มันก็ย่างเท้าลงจากยอดต้นไม้ ก้าวขาอันยาวๆลงมา พุ่งร่างมันไปประคองร่างผีเด็กหัวโตทันที
เจ็บมากไหมลูก????.....มันถามด้วยความห่วงใย
เจ็บมากเสียด้วยซิแม่ ซ้ำยังโดนถีบอีก มันเป็นผีเหมือนพวกเราแหละแม่ เด็กผีหัวโตฟ้องแม่มันทันที
คราวนี้แม่มันโอ๋ลูกมันสักพัก แล้ววางลูกมันลง หันมาทางสาวอ้อย พลางชี้หน้าด่าทันที
อีสัตว์.....มึงเป็นผีเหมือนกูทำไมมึงจึงไปช่วยมันล่ะ??.....
อ้าวๆๆ....ก็ลูกมึงและมึงมารังครวญน้ากูก่อนนี่หว่า กูก็ต้องช่วยเขาซิว๊ะ???....หญิงสาวตอบ
ดีล่ะมึงกับกูจะได้เห็นดีกัน.... ฉับพลันร่างมันก็สูงใหญ่ยกเท้าหมายกระทืบหญิงสาว แต่หญิงสาวหาเกรงกลัวไม่
พลางหลบหลีกและถีบไปยังเอวของผีแม่ลูกอ่อนทันที ถึงแม้ว่าจะตัวไม่สูงใหญ่เท่าผีแม่ลูกอ่อน ดังที่ชายหนุ่มเห็น
แต่ที่แท้จริงนั้นร่างของสาวอ้อยสูงใหญ่พอๆกับผีแม่ลูกอ่อนเพียงแค่บังตาเขา มิให้ชายหนุ่มตกใจเท่านั้น
ร่างของผีแม่ลูกอ่อนกระเด็น ซ้ำยังถูกสาวอ้อย ถลกผ้าถุงเตะเข้าใส่ไปอีกหลายๆครั้ง จนร่างนั้นพลิกไปพลิกมา
เสียงมันร้องอย่างโหยหวน มันสู้สาวอ้อยไม่ได้ก็ด้วยสาวอ้อยเรียนรู้วิชาอาคมมาจากหลวงพ่อเสมอ
ยามท่านท่องมนต์ และเรียกบรรดาเด็กๆมาอบรมและมอบวิชชาบางอย่างใช้ป้องกันบริเวณวัดจากพวกผีในป่าช้า
จึงได้จำไว้และมีเกราะกำบังตัวเอง พละกำลังก็เหนือกว่ากันมาก ส่วนผีแม่ลูกอ่อนนั้นไม่ได้มีวิชาความรู้อาศัยฤทธิ์เดช
ที่เป็นผีเฮี้ยนด้วยแรงตายท้องกลมเท่านั้นเอง
มันกุมท้องและคว้าลูกมันมากอดไว้ พลางหันไปกล่าวกับหญิงสาวชายหนุ่มว่า....
ดีล่ะ...มึงอย่าหนีไปไหน แม้กูจะสู้มึงไม่ได้ เดี๋ยวเถอะจะมีคนมาช่วยกู อย่าเสือกหนีไปก่อนล่ะ อ้าวๆๆๆเขามาแล้ว
แล้วมึงจะได้เห็นดีว่าคนของอาจารย์ดำเป็นอย่างไร????..... เสียงผีแม่ลูกอ่อนกล่าวขึ้น
ทันใดนั้นเองเสียงพายุพัดกระหน่ำอย่างหนัก จนผ้าขาวม้าปลิวไหวและจักยานที่เขาจอดวางไว้ล้มลง
ชายหนุ่มมองไปเห็นเป็นร่างทะมึนๆสองร่างก้าวข้ามเนินเขา
เสียงหัวร่อของผีแม่ลูกอ่อนดังลั่น เสียงมันช่างบาดหูเขานักทั้งเสียงหวีดแหลมเล็ก เสียงห้าวๆ เสียงดังเด็กๆ
มันทั้งสองแม่ลูกหัวร่อต่อกระซิกกันใหญ่ ที่จะได้มีพวกมาช่วยเหลือแก้แค้นแทนมัน จึงกล่าวเยาะเย้ยว่า
คราวนี้ล่ะมึงเอ๋ย???...มึงจะได้สำนึกว่ามึงจะเก่งอีกหรือไม่เมื่อคนของอาจารย์ดำมาแล้ว มันกล่าวไปหัวร่อไป
พลางหันมาแลบลิ้นอันยาวเหยียดส่ายไปส่ายมา พร้อมทั้งแหกอก ทำนัยน์ตาถลนทั้งแม่และลูก หัวร่อไป
กล่าวไป มึงคอยดูหุ่นพยนต์ของอาจารย์ดำว่าร้ายกาจร้ายแรงขนาดไหน
เขาไม่เหมือนกูนะโว้ยเป็นผีอาคมที่ปราบผีในป่าช้ามึงหมดสิ้นและยอมเป็นพวกเขาไปแล้วล่ะ??.....
ชายหนุ่มหันไปเรียกสาวอ้อยทันที
อ้อยๆๆ...มาอยู่ข้างกายน้านะอย่าออกไปจากบริเวณที่น้าทำไว้นะ....
กล่าวแล้วชายหนุ่มก็หยิบไม้เล็กๆที่หาได้แถวบริเวณนั้น แล้วมากรีดเป็นวงกลมทีละชั้นๆจนครบเจ็ดชั้น
แต่ละวงเขาพึมพรำไปด้วยทุกๆวง ภายในวงนั้นมีบริเวณกว้างพอสมควร เขาเข้าไปนั่งโดยเรียกสาวอ้อยมานั่งข้างๆ
สาวอ้อยเห็นดังนั้นก็ทราบทันทีว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไรบ้าง จึงเดินมานั่งห่างจากชายหนุ่มเล็กน้อย เขานั่งหลับตา
ทันทีเมื่อเห็นร่างทะมึนดำมะเลื่อมสองร่างย่างสามขุมเข้ามาหาเขา เขาสำรวมจิตใจภาวนาคาถาที่หลวงพ่อทองพึ่งสอน
สำรวมจิตให้มั่นคงทันที พลางล้วงมือหยิบสิ่งของมากำไว้ในฝ่ามือของเขาแล้วภาวนามนต์ที่พ่อสอนไว้ใช้
ความรู้สึกบอกเขาว่าภายในฝ่ามือที่กำของไว้ดิ้นขลุกๆขลักๆอยู่ แต่เขายังไม่ได้แบมือออกเพียงแต่เมื่อเสร็จธุระ
เขาก็ลืมตาขึ้น เห็นเจ้าร่างทะมึนดำมะเลื่อมก้าวขาเข้ามา พอมาถึงวงแรกมันชะงัก แต่ก็ยังยืนนิ่งคล้ายๆภาวนา
อะไรบางอย่างแล้วก็ข้ามผ่านมาได้สองสามชั้น
ชายหนุ่มนึกทันทีว่าไอ้เจ้าสองตัวนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว หากเป็นผีอื่นคงไม่สามารถผ่านวงกลมเขาเข้ามาได้แม้สัก
วงเดียว นึกถึงผีแม่ลูกอ่อนว่าเป็นหุ่นพยนต์ของอาจารย์ดำเขาจึงไม่สงสัย ด้วยเป็นวิชาอาคมนั่นเอง เมื่อเห็นว่ามัน
จะก้าวผ่านวงกลมที่ห้ามาได้อีก เขาก็หลับตาภาวนามนต์ที่พ่อสอนไว้แล้วแบมือทันที
เสียงหวีดหวิวๆดังลั่นหลุดพุ่งออกจากฝ่ามือเขาทันที เขาลืมตามองไปเห็นเป็นร่างของควายยักษ์สองตัวพุ่งเข้าใส่
ไปยังที่ดำทะมึนหุ่นพยนต์นั้นทันที ฉากการต่อสู้ระหว่างควายธนูของพ่อเขากับหุ่นพยนต์ของอาจารย์ดำก็เกิดขึ้น
ควายธนูตัวหนึ่งร่างกายสีเป็นเงินยวงสะท้อนแสงจันทร์นวลกระจ่าง อีกตัวหนึ่งร่างออกสีน้ำตาล ทั้งสองตัวมี
โหนกคอสูงชัน เขาแหลมมันโง้งปลายแหลมกว้างใหญ่ ต่างแยกกัน แยกตัวแบ่งเข้าต่อสู้กับหุ่นอาคม
เจ้าตัวสีเงินมันพุ่งเข้าใส่ยังร่างหุ่นพยนต์ที่ดำมะเลื่อมรู้สึกจะใหญ่กว่าอีกตัวหนึ่ง
พลางก้มหน้าสู่พื้นให้เขาแหลมคมมันเข้าหาศัตรู ลมหายใจมันเป็นทางยาว เสียงดังพรืดๆ
ส่วนตัวสีน้ำตาลก็ทำแบบเงินตัวสีเงินพุ่งเข้าหาหุ่นพยนต์อีกตัวหนึ่ง
เจ้าหุ่นพยนต์ก็ไม่ใช่ย่อยมัน พุ่งร่างเข้าหาควายธนูบ้างเตะบ้างพยายามจับเขาแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปยังควายธนูเพื่อ
จับเขาของเจ้าควายทั้งสองได้ กลับถูกควายธนูขวิดเอาเสียเลือดไหลนองไปตามๆกัน
การต่อสู้ผ่านไปรู้สึกจะยาวนานมากก็ยังหาผู้ใดชนะกันไม่ได้ด้วยมิได้อ่อนแรงด้วยกันทั้งคู่
แต่ร่างของเจ้าหุ่นพยนต์นั้นท่าทางจะอ่อนเพลียก่อนและเสียเปรียบทางด้านพละกำลังยิ่งต่อสู้ยิ่งอ่อนแรงลงส่วน
เจ้าควายธนูไม่ได้มีบาดแผลใดๆเลย ร่างกายกับรู้สึกฮึกเหิมขึ้นกว่าเก่ายิ่งสู่ยิ่งฮึกเหิมมากขึ้นเท่านั้น
รู้สึกว่าจะมีพลังงานเข้ามาหนุนร่างของควายธนูเพิ่มขึ้นทุกขณะต่อสู้กัน ยิ่งต่อสู้เจ้าหุ่นพยนต์ยิ่งอ่อนแรง
จนในที่สุด เขาของควายธนูก็ขวิดไปยังลำตัวของเจ้าผีหุ่นพยนต์ขาดออกจากกัน
เลือดไหลทะลัก ไส้ไหลออกมาทั้งสองร่าง ร่างมันก็ค่อยๆหายวับไป
เจ้าผีแม่ลูกอ่อนครั้นเห็นดังนั่นเตรียมตัวจะหนี แต่สายไปเสียแล้ว ร่างของเจ้าควายธนูตัวสีน้ำตาลวิ่ง
เข้ามาถึงตัวพร้อมขวิดร่างของผีแม่ลูกอ่อน พร้อมลูกมัน เลือดนองขาดออกจากกัน เสียงร้องอย่างโหยหวน
ระบมด้วยความเจ็บปวด ครวญครางดังลั่นไปทั่วบริเวณนั้น เสียงจากผีแม่ลูกอ่อนดังลั่น
พร้อมกับเสียงผีเด็กหัวโตด้วย แต่มันก็กลับมารวมตัวกันใหม่ได้อีกรีบจะพยายามหนีจากไปให้พ้น
ทันใดนั้นเองก็มีมือที่ลอยมาจากในอากาศมาคว้าร่างของผีแม่ลูกอ่อนกับผีเด็กหัวโตจับไว้ เสียงร้องของ
ผีทั้งสองร้องลั่นอย่างโหยหวน รำพัน คร่ำครวญใหญ่
ข้ายังไม่ไปๆๆๆ....ข้าขอตัวอยู่ก่อนเถิด....อย่านำข้าไปเลยนะ
เสียงล่องลอยมาแต่เขามิอาจเห็นตัวได้ เพียงได้ยินเสียงว่า
มึงหมดเวลาเสียแล้วล่ะ.....ไปๆๆๆเสียดีๆก่อนข้าจะลงโทษเอ็งหนักกว่านี้ ไปรับกรรมของมึงที่สร้างไว้เถิด
นี่มึงรู้ไหมมึงมาก่อกรรมเพิ่มขึ้นอีกมาก เพราะไปหลงเชื่อไอ้หมอระยำตนนั้น อีกไม่นานหรอกกูก็จะไปจับตัว
มันมาอยู่รวมกับมึง แล้วร่างนั้นก็นำร่างผีแม่ลูกอ่อนและเด็กหายวับไป........
อากาศก็คืนกลับสู่ความสงบ พายุที่พัดกระหน่ำก็หายไป เสียงเงียบสงบก็บังเกิดขึ้นอีกวาระหนึ่ง
ฉับพลันเสียงหัวร่อสดใสดังขึ้น กล่าวกลับชายหนุ่มได้ยินเพียงเขาเท่านั้นว่าเสด็จพ่อฉันมาช่วยจ้า
ให้เขามารับมันไปเก็บไว้ ฉันไปเรียนท่าน ท่านทรงกริ้วมาก เลยใช้คนของท่านมาเก็บไปไว้รอชดใช้กรรม
อีกอย่างอายุมันถึงวาระแล้วแต่ถูกปลุกด้วยอำนาจเวทมนต์จึงอยู่ได้ ฉันเห็นว่าหากปล่อยไปก็จะไป
รังควาญคนอื่นอีกสร้างเวรไม่รู้จักจบ จึงไปเรียนเสด็จพ่อ พระองค์ทรงกริ้วมากสั่ง
ให้ท่านพระยามัจจุราชใช้เด็กมาจับตัวไปแล้วจ้า แล้วเสียงนั้นก็ลอยหายไป.............
หลังจากพ้นเหตุการณ์ไปแล้วชายหนุ่มก็รีบปั่นจักรยานกับบ้าน เมื่อเขาเก็บของเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปบนบ้าน
พ่อแม่เขายังไม่นอน แต่พ่อแต่งกายแปลกคือพึ่งออกจากห้องพระมายังมีผ้าคาดเฉวียงบนไหล่อยู่ ครั้นมาถึง
เขาเข้าไปกราบพ่อแม่ แล้วท่านเรียกให้นั่งแล้วกล่าวว่า
เห็นทีพ่อจะต้องรีบสอนเอ็งเสียแล้วเวลาไม่คอยท่าด้วย ฉันด้วยแม่เข็มกล่าวขึ้นบ้าง
เออๆๆ...ดีๆแม่เข็ม ต่างคนต่างสอนกันนะ ข้าว่าจะสอนเรื่องกสิณ 10 ก่อนแล้วค่อยต่อวิชาอาคมให้ด้วยหลวงพ่อ
ท่านได้สอนเรื่องฌานสมาบัติให้แล้ว
เขานั่งฟังพ่อแม่พูด ถึงกับอ้าปากหวอ นี่พ่อรู้เรื่องเขาตลอดเลยหรือ เสียงกระซิบข้างหูว่าทำไมพ่อแม่จะไม่รู้ล่ะพี่
อิอิ น้าๆจ๊ะ น้าขอเรียกว่าพี่ก็แล้วกันนะๆๆ อีกหน่อยเราก็.... แล้วเสียงหล่อนหยุดชะงักไม่กล่าวอะไรอีกเลย
เขาพยักหน้าหงึกๆ ตามสบายเขากล่าวเบาๆไม่ให้พ่อแม่ได้ยิน
แหมดีจริง ใจดีด้วยพี่เรา อิอิ อ้อยรักตายเลยล่ะ แล้วเสียงก็หายไป
เดี๋ยวเอ็งเสร็จธุระเอากันคืนนี้เลยล่ะ ไปห้องพระกับพ่อ กูจะสอนวิธีให้ พ่อกล่าว
ครับๆ....กล่าวเสร็จเขาก็เดินไปกับพ่อ อดหันหน้ามามองทางแม่ไม่ได้
ไปเถอะลูก บุญของเอ็งแล้วพ่อเอ็งไม่ค่อยเหมือนใครๆเขาด้วย พรุ่งนี้มาหาแม่จะสอนวิชาที่แม่รับถ่ายทอดจากตา
ให้เจ้าให้หมดไม่ยากหรอก ส่วนใหญ่เป็นวิธีแก้อาคมทั้งสิ้น แม่เข็มตอบ
ครับๆ แล้วเขาก็เดินตามพ่อไปเข้าห้องพระ เมื่อเขากราบพระและ พระฤๅษีแล้ว มานั่งพ่ออธิบายวิชาอาคมให้ฟัง
เขารับฟังไว้ ในเรื่องกสิณทั้งหมด แล้วให้เขาฝึก กสิณไฟก่อน คือให้นั่งเพ่งเทียนที่พ่อจุดไว้โดยให้เขาไปนั่งที่หน้า
โต๊ะหมู่พระฤๅษี เพ่งเทียนไปหลับตาไป ได้ยินเสียงพ่อกล่าวว่า ให้แสงเทียนนั่นมองเห็นแล้วรวมตัวกันเป็นจุดๆเดียว
ให้มันขยายใหญ่และเล็กได้ตามใจต้องการของเอ็ง
พยายามทำไว้ด้วยเอ็งก็เรียนสมาธิกับหลวงพ่อมาแล้วไม่เท่าไหร่ เอ็งก็ทำสำเร็จกสิณใดกสิณหนึ่งได้แล้ว
แล้วค่อยไปทำกสิณอื่นต่อ หากได้กสิณใดกสิณหนึ่งแล้วกสิณอื่นก็ไม่ยากหรอกจะคล้ายๆหรือ
บางทีก็จะเหมือนๆกันแหละ สามารถนำธาตุต่างๆมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เช่นกสิณไฟก็สามารถสร้างไฟ
ให้เกิดขึ้นได้เอง ซ้ำยังมีอิทธิฤทธิ์ใช้กับอาคมได้อย่างดีแรงกล้าอีกด้วย จำเอาไว้ เขารับคำพ่อเริ่มทำตาม
ที่พ่อบอก ครั้นสักพักที่พ่อควบคุมได้ยินเสียงพ่อเดินจากไป เขาทำสักพักรู้สึกว่าจะไม่ได้ยินอะไรรอบข้างเขาอีกเลย
เขาเริ่มร่ำเรียนทั้งหลวงพ่อ พ่อแม่เขาไม่มีเวลาไปไหนเลย ท่านบอกว่างานเอ็งมันจวนตัวแล้วล่ะ ฉะนั้นต้อง
เรียนให้จบโดยเร็ว แต่ข้าเชื่อว่าปัญญาอย่างมึง ที่หลวงพ่อท่านมาถูกทางแล้วไม่ช้าหรอกลูก ก็จะเรียนจบ
เอ็งไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ฝึกมันทั้งกลางวันกลางคืนเลย
ดังนั้นเขาจึงต้องเริ่มฝึกฝนวิชาอาคมต่างๆจากหลวงพ่อและพ่อแม่เขาไม่มีเวลาว่างๆเลย พ่อแม่ไปทำไร่ก็ไม่ยอม
ให้เขาไปช่วย ให้นั่งฝึกวิชาอาคม พอท่านกลับมาก็รีบมาทำการทดสอบเพื่อให้แน่แก่ใจของท่านทั้งสองเสมอๆ
เวลาผ่านไปเกือบเดือนเขาก็สามารถร่ำเรียนวิชาอาคมจากหลวงพ่อและพ่อแม่เขาสำเร็จ เขาทดลองท่องให้ฟังก็
แม่นยำตลอดจนเขียนเลขอักขระขอม ยันต์ เรียกสูตรต่างๆ ด้านกสิณเขาก็ฝีกจนสำเร็จ จะด้วยสิ่งที่เขาเคยฝึกมาใน
ปางก่อนก็ได้ เขาจึงผ่านพ้นมาได้ด้วยดี พ่อเขาให้เขาทดลองโดยไปเอาหินที่แกะสลักเป็นรูปสัตว์ที่ตั้งพิงไว้ข้างฝา
มาจับให้นอนหงายยกเท้าขึ้นฟ้า แล้วสั่งว่าให้เขาทำให้มันตั้งขึ้นยืนเหมือนเดิมโดยไม่ต้องจับให้ใช้สมาธิและกสิณ
เข้าช่วยห้ามจับต้องเด็ดขาด หากเอ็งทำได้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว
ชั่วเวลาไม่นานพ่อนั่งมองเขา เขาเข้าสมาธิแล้วลืมตาเพ่งมองหินที่แกะสลักพลันมันพลิกตัวกลับยืนขึ้นได้เหมือน
มันมีชีวิต ยืนขึ้นได้เอง เขาลองสั่งมันให้เดิน แปลกแฮะมันกลับเดินได้ทั้งๆที่เป็นหินแกะสลักแท้ๆ
ฮ่าๆๆๆๆ.....เสียงพ่อเข้าหัวร่อลั่น แม่เข็มเอ๋ยเจ้าโชติมันสำเร็จแล้วล่ะแม่ มามะมาๆมาดูซิแม่
เออๆๆๆ....ข้ารู้แล้วอีชบากับไอ้แกละมันบอกให้แล้วล่ะเสียงแม่เข็มตอบอยู่ในห้อง นี่ข้าก็แกะรูปท่อนไม้นั้นเสร็จ
แล้วตามภาพที่ข้านั่งเห็น ว่าจะเอาไปให้เจ้าโชติมันดูว่าเหมือนกับที่มันเห็นไหม....แม่เข็มกล่าวขึ้น
พ่อหันมาถามเขาว่า เออ...แล้วหลวงพ่อท่านล่ะให้ทดลองเหมือนพ่อหรือเปล่า
ทดลองจ๊ะพ่อ ท่านให้ผมเขียนในแผ่นผ้าแล้วให้ผมลงเลขยันต์ต่างๆพร้อมกับลงในตะกรุดแผ่นทองเหลืองบ้าง
ตะกั่วบ้าง และแผ่นหนังบ้าง โอ้ย.....จิปาถะจ๊ะพ่อ แล้วท่านนำของทั้งหมดเหล่านี้หลายๆอย่างผูกมัดรวมกันไว้
นำไปวางยังหน้าองค์พระบูชาแล้วให้ผม เรียกของที่ผมลงไว้จ๊ะ โดยเหมือนๆกับพ่อให้ทำมิผิดกันหรอกจ้า
และไม่ยอมให้ผมได้ไปวางหรือเข้าใกล้เลย ท่านนำไปวางเอง แล้วให้ผมภาวนาของที่ผมทำขึ้นจ้า
แล้วเป็นอย่างไรล่ะลูก.....เสียงพ่อหัวร่อ
พอผมนั่งสมาธิภาวนาทั้งๆที่ลืมตานะครับ ผ้ายันต์ที่ห่อด้วยตะกรุดมันสั่นใหญ่เชียวล่ะ แล้วก็คลายออกพร้อม
ทั้งผ้ายันต์และตะกรุดมันเต้นใหญ่แล้วก็ลอยมาหาผมครับพ่อ....ชายหนุ่มกล่าว
มันต้องอย่างนี้ซิอ้ายลูกรัก.....เอ็งสำเร็จแล้ว หลวงพ่อว่าอย่างไรบ้างล่ะ????...
ท่านอมยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรมากหรอกพ่อ เพียงกล่าวว่าเอ็งได้วิชากูไปหมดแล้ว
มึงต้องสำรวมอย่าอวดตัวเอง อย่าเหลิงตัวให้ประพฤติในทางดีและอย่าทำให้ใคร หากคนๆนั้นไม่ดีจริงๆ
แล้วห้ามทำให้เด็ดขาด หากจำเป็นทำให้เขาแล้วก็เรียกของมันกลับคืนมานะ ท่านสั่งแค่นั้นจ๊ะพ่อ
เออดีแล้ว ของพ่อกับแม่ เอ็งก็จงทำเหมือนกับหลวงพ่อสั่งไว้ ให้ทำตัวว่าเป็นผู้ไม่รู้วิชาอาคมใดๆทั้งสิ้น
ให้ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม ส่วนหน้าที่มึงจำเป็นแต่ควรแผ่เมตตาใส่บาตรกรวดน้ำให้เขาเสมอๆนะ ด้วย
มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมของมันเอง อาจจะติดตามมาถึงเอ็งได้ ด้วยเขากำหนดมาแล้วมึงจึงต้องมีหน้าที่นี้
คราวนี้ชายหนุ่มอ้าปากหวอ แต่ไม่ได้กล่าวอะไรทั้งสิ้น สักพักแม่เขาก็ก้าวออกมาจากห้องยื่นไม้แกะสลัก
ให้เขาดู พลางถามว่า
เหมือนไหมลูก???.... แม่ถาม
เขามองรูปที่แกะสลัก สะดุ้งสุดตัว อะไรแม่เก่งถึงปานนี้เชียวหรือ และแม่ก็ไม่เคยเห็นแต่ทำไมแกะสลักได้เหมือน
จริงๆเขารำพึง พลางกล่าวว่า
แม่เก่งจริงๆจ๊ะ ช่างแกะได้เหมือนจริงๆเลย จะมอบให้ผมไว้เลยหรือ???... เขาถาม
ยังหรอกลูกต้องให้แม่กับพ่อและหลวงพ่อไปทำพิธีบวงสรวงก่อนถึงจะมาให้ลูกได้จ๊ะ
อ้าวๆๆแล้วเมื่อไหร่ล่ะแม่?????.... เขาถามขึ้น
สงสัยจะเป็นพฤหัสนี้แหละลูก แม่จะได้เตรียมของไว้ให้เสร็จสรรพ ด้วยเขาไม่ใช่ธรรมดานะเป็นถึงลูกคนใหญ่
คนโตเสียด้วยซิ ว่าคืนนี้จะขออนุญาตท่านก่อน ไม่รู้จะว่าอย่างไรพ่อเอ็งก็คงจะเหมือนๆกันแหละด้วยเขาก็รู้เหมือน
กับแม่แหละ กล่าวแล้วก็หยิบพกใส่เสื้อไว้
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็พยายามท่องมนต์ต่างๆไว้เสมอๆ คอยวันที่แม่เขาจะนำรูปแกะสลักมาให้แล้ว ก็คงจะได้เวลาที่จะ
ต้องเล่าอะไรบางอย่างให้พ่อแม่เขาฟังด้วย และขออนุญาตบางอย่างแก่พ่อแม่เขา ชายหนุ่มคิด................
* แก้วประเสริฐ. *
10 พฤศจิกายน 2553 20:35 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๗
ถึงแม้ว่าจะยังเป็นแค่หัวค่ำอยู่ ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว อากาศค่อนข้างมืดครึ้มเพียงสลัวๆเท่านั้น
เนื่องจากบ้านเขาอยู่รายล้อมรอบไปด้วยภูเขา แสงสว่างของพระอาทิตย์เมื่อลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว อากาศบริเวณ
หุบเขานั้นจึงมืดกว่าปกติธรรมดา ท้องฟ้าจะยังมีแสงอาทิตย์อยู่ก็ตาม ดีนะที่เป็นแรมต้นๆ ยังมีแสงจันทร์
ส่องสว่างไสวอยู่ เขานึกถึงคำที่ให้สัญญาว่าจะไปหาหลวงพ่อทองได้ จึงได้รีบแต่งตัวแต่ไม่ลืมที่จะนำเอา
ไม้แกะของอ้อยพกติดตัวไปด้วย พลางเดินไปหาพ่อแม่แล้วกล่าวขอตัวไปพบหลวงพ่อทอง ครั้นออกมาก็แลเห็น
ทั้งสองกำลังนั่งสนทนากัน ส่วนแม่เข็มกำลังแกะสลักท่อนไม้อยู่ คุยพลางแม่แกะสลักไปพลางๆ เขาเข้า
ไปหาบอกว่าจะต้องไปพบหลวงพ่อก่อน เดี๋ยวจะกลับมา
ครั้นพ่อเชียรได้ฟังเช่นนั้นก็ว่าดีแล้วด้วยเอ็งรับปากหลวงพ่อไว้ควรจะรีบๆไป เอาจักรยานพ่อไปด้วยก็
แล้วกันจะได้เร็วขึ้น จอดพิงอยู่ข้างๆเสาใต้ถุนบ้านนะ
ครับๆ.....ชายหนุ่มกล่าวตอบ
อ้อๆๆๆ.... เอ็งคอยเดี๋ยวนะ...... พ่อเชียรกล่าวขึ้น
พูดเสร็จพ่อเชียรก็เดินเข้าไปยังห้องพระหายไปสักพักหนึ่งก็เดินกลับมาพลางยื่นของสิ่งหนึ่งให้แก่เขา
เขานำมามองเป็นควายธนูที่เห็นพ่อวางไว้บนพานที่โต๊ะหมู่พระฤๅษีนั่นเอง เป็นสีเงินหนึ่งตัว หวายหนึ่งตัว
แล้วพ่อเขาก็กล่าวว่า
เอ็งพกติดตัวไปด้วยถึงแม้ว่าเอ็งจะมีสิ่งคอยช่วยเหลืออยู่ก็ตาม แต่อย่าได้ไว้ใจ จำไว้อย่าประมาทเป็นอันขาด
พร้อมทั้งบอกวิธีการใช้และการเรียกควายธนูแก่เขา พ่อได้ปลุกเสกแล้วไม่ต้องใช้คาถามากหรอก
สิ่งที่พ่อกล่าวคาถานั้นแค่ประโยคสั้นๆเท่านั้น เขาจำได้ขึ้นใจ แต่พ่อยังถามว่าเอ็งจำได้ไหมลูก
จำได้ครับพ่อ ไม่ยาวนักหรอก แล้วเขาก็ท่องให้พ่อฟัง
อืมม???.... ความจำเอ็งดีมากคงจะเรียนรู้อย่างอื่นไม่นานหรอกนะ ชายผู้เป็นพ่อกล่าว
ส่วนแม่เข็มกล่าวขึ้นบ้าง พร้อมล้วงหยิบผ้ายันต์สีแดงแต่ค่อนข้างจะเก่าๆมากๆ ในอกเสื้อของแก มาส่งให้ กล่าวว่า
เอ็งพกติดตัวไปด้วยนะ ภัยต่างๆจะทำอันตรายไม่ได้หรอก แต่ว่าเพียงของพ่อเอ็งก็เหลือเฟือแล้วล่ะ?..
เอาติดตัวกันไว้เฉย หากผิดปกติก็หยิบมาแล้วฟาดใส่มันเท่านั้นพอ ผู้เป็นแม่กล่าวแก่ลูกชายคนเดียว
ครับๆงั้นผมไปก่อนล่ะนะ พลางหยิบไฟฉายขึ้นมาเสียบระหว่างกางเกงที่คาดไว้ด้วยผ้าขาวม้า
แถวๆเอวไว้ ผมไปก่อนนะครับ กล่าวพลางยกมือขึ้นไหว้พ่อแม่
เออๆๆๆ!!!....เออไม่ต้องห่วงหรอกแค่ เจ้าเงิน เจ้าหวายก็พอเพียงแล้วล่ะ???.... เวลาใช้เอ็งกำใส่ฝ่ามือแล้ว
ภาวนาคาถาที่พ่อให้ไว้แล้วแบมือออก มันก็จะพุ่งออกจากฝ่ามือเอ็งไป ไม่ต้องกลัวหายหรอกแล้วมันจะกลับมา
หาเองอีก เมื่อมันมาให้แบฝ่ามือไว้ร่างมันก็จะเหมือนเดิม พ่อสั่งเขาไว้อย่างห่วงใย
ไปเถอะลูกเดี๋ยวจะมืดกว่านี้แม่เข็มเตือน เขาก้าวลงบันไดไปยังรถจักรยานค่อนข้างเก่าสักหน่อยแต่ยังใช้
งานได้ดี
อ้อยๆๆๆ.....ไปกับน้าด้วยนะช่วยคุ้มครองด้วย เสียงหวานๆหัวร่อทางด้านหลังเขา
เขาหันไปมองทางเบาะด้านหลังเขา เห็นร่างหญิงสาวสวยนั่งอยู่แล้ว
ขอกอดเอวหน่อยนะน้า.... เดี๋ยวอ้อยจะหล่นเสียก่อนจ๊ะ!!!!!.....
ตามสบายเถอะอ้อย จะทำอะไรเชิญเลย
จริงหรือเปล่าล่ะน้า อิอิ ให้มันจริงดังคำพูดน้านะอ้อยจะจำไว้ พลางส่งเสียงหัวร่อสดใสดังขึ้น
พอถึงตอนนี้เขานึกขึ้นได้ก็เลยชะงักคำพูด????...... และไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เขารีบปั่นจักรยานออกไปชะลอเพื่อเปิดประตูรั้วแต่ เหมือนมีคนมาเปิดให้ก่อนแล้ว
เขางงก็เขาเป็นคนไปปิดเองนี่นา แต่ตอนนี้มันเปิดออกกว้างพอจักรยานจะผ่านไปได้
เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็รู้ว่าคงเป็นด้วยหญิงสาวคนนี้นี่เองแหละ ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรรีบปั่นจักรยานเลี้ยวขวา
มือผ่านไปตามทางที่ขรุขระ อาศัยแสงของพระจันทร์ส่องสว่างเห็นทางรำไรอยู่ จึงไม่ต้องใช้ไฟฉายด้วยความชำนาญ
ทางและร่างกายของเขาที่กำยำบึกบึนไม่นานนัก เขาก็มองเห็นวัดอยู่ข้างหน้า
พอผ่านประตูวัด ก็เห็นเจ้าจุกมายืนคอยรับอยู่แล้วพร้อมด้วยพวกเด็กๆ พลางหัวร่อกันลั่น เจี้ยวจ๊าวไปหมดเข้า
มาทักทายเขา เจ้าจุกถามว่ามาหาหลวงพ่อหรือน้า หน๋อยแน๊ะอีอ้อยมึงหนอมึงกอดน้าเสียกลมเชียวล่ะ
แหม๋ๆๆๆพอเป็นสาวหน่อยคิดจะมี ผ. สระ อัว. เสียแล้วล่ะซิ.....แล้วมันก็แลบลิ้นหลอกหญิงสาวนามอ้อยทันที
โถๆๆๆ.....พี่จุกนี่ช่างปากมากจริงๆนะ หากเป็นได้ก็ดีซิอ้อยไม่รังเกียจหรอก???....กลัวไม่จริงนะพี่จุก...
คราวนี้ชายหนุ่มหันมาถามเจ้าจุกทันที
หลวงพ่อจำวัดหรือยังล่ะจุก????....
ยังหรอกน้า...... หลวงพ่อนั่งคอยอยู่ที่พนักพิงนั่นแหละจ้า.... เจ้าจุกตอบ
งั้นน้าไปก่อนนะจุก ไปเล่นตามสบายเดี๋ยวจะดึกมากหลวงพ่อท่านจะได้พักผ่อน.....ชายหนุ่มกล่าว
อ้อย ก็เหมือนกันไปเล่นกับพี่จุกและพวกซิ ไม่ต้องตามมาด้วยหรอก.....เวลากลับจะเรียกกลับด้วยกัน
จ๊ะพี่..เฮ้ยๆ...จ๊ะน้า.... สาวอ้อยตอบ แล้วก็ลงจากรถจักรยานไปหาเจ้าจุกและพวกทันที ทั้งๆที่เขากำลังขี่รถอยู่
แต่บัดนี้เขาไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว รู้แล้วว่าอะไรคืออะไร
เมื่อขี่รถไปถึงกุฎีหลวงพ่อเห็นท่านนั่งคอยอยู่ ก็รีบเอารถพิงไว้เสากุฎี แล้วล้างเท้าขึ้นบันไดไป
กราบที่เท้าหลวงพ่อ สามครั้ง
เออๆๆๆ....มาแล้วหรือ เป็นอย่างไรมีอะไรอีกหรือเปล่า แต่พ่อแม่มึงให้ของติดตัวมันไม่กล้าหรอกว๊ะ หลวงพ่อ
กล่าวขึ้นลอยๆ
ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับหลวงพ่อไม่เหมือนเมื่อคืนวานครับ เล่นงานผมเสียแทบตายเชียวล่ะ...ชายหนุ่มนึกสยอง
ก็นั่นซิ มันเคยแพ้กันมาแล้ว มันกลัวก็ไม่กล้าแสดงอะไรออกมา ขืนออกมาเห็นทีจะอยู่ที่นี่ไม่ได้เสียแล้วล่ะ
กูเองก็ไม่อยากจะทำมันหรอก แต่เมื่อร้ายมากๆเข้าก็เห็นจะต้องให้อยู่ไม่ได้ต้องให้ไปอยู่ที่อื่นล่ะ???.....
เออ!!!!!.....อีกไม่นานหรอกมันก็ต้องไปแล้วล่ะ ตอนนี้มันกำลังชักชวนพวกจะไปอยู่ด้วยกัน
ทำไมหรือครับหลวงพ่อ????... ชายหนุ่มนั่งพนมมือคอยรับฟังอยู่
ก็เพราะไอ้ดำหมอผี ที่บ้านบางกระดี่ให้พวกมันมาชวนพวกมันนะซิ....เฮ้อๆๆเวรกรรมของมันนะแต่ว่าเถอะก่อน
นั้นมันก็ทำตัวเหลวแหลกอยู่แล้วจึงถูกฆ่าตาย ส่วนไอ้เปรตสี่ตัวก็เหมือนกัน ดีเหมือนกันหมู่บ้านนี้จะได้สุขสบายขึ้น
หลวงพ่อกล่าว
ชายหนุ่มนึกได้ว่า หมู่บ้านบางกระดี่อยู่ห่างไปแค่สองสามเนินเขาก็จะถึง แต่เขาไม่เคยไปเที่ยวงานที่นั่น
เลย เพราะมัวแต่ดูหนังสือเรียนเพื่อสอบและเขาไม่ใช่คนชอบเที่ยวอีกด้วย แม้นจะลือว่าสาวๆแถวๆนั้นสวยมากก็ตาม
เพียงสงสัยว่าเหตุใดจึงมีหมอผี ทั้งๆที่ก่อนนั้นหมู่บ้านนี้ไม่เคยมีหมอผีหรืออาจารย์ใดๆเลยนี่นา ครั้นจะถามหลวงพ่อ
ก็เกรงใจท่าน เพียงนึกในใจว่าสักวันเห็นจะต้องไปแน่ๆรอโอกาสให้แน่นอนเสียก่อน เขาคิดนึกในใจคงไม่นานหรอกจะได้เห็นดีกันแน่นอน
งั้นมึงตามกูมาไปยังกุฎีก่อน กูจะสอนวิชาบางอย่างให้แล้วก็ให้หัดเขียนอักขระขอมไว้ด้วย
ครับหลวงพ่อ ชายหนุ่มตอบสลัดความคิดนั้นออกไปทันที
แล้วหลวงพ่อก็ลุกขึ้นเดินนำหน้าเขาเข้าไปในกุฎี ซึ่งเปิดไฟตะเกียงลานอยู่แล้ว แสงสว่างจ้าแรงมาก แรงกว่าตะเกียง
โป๊ะของบ้านเขาเสียอีก
หลวงพ่อหันไปหยิบหนังสือที่หัวนอนท่านที่กองไว้มากมาย คัดเลือกเอามาให้เขา สองสามเล่ม พลางเอ่ยขึ้นว่า
เอ็งเอาไปท่องไว้แล้วมาท่องให้หลวงพ่อด้วยนะ ส่วนอีกเล่มหนึ่งเป็นวิธีเขียนอักขระขอม อีกเล่มหนึ่งเป็นการ
การเขียนเลขยันต์ต่างๆ เอ็งหัดเขียนตัวหนังสือก่อนก็แล้วกัน แล้วหลวงพ่อก็ให้เขาเปิดหนังสือหน้าแรก ท่านก็ท่อง
ให้เขาฟังตั้งแต่ตัวแรก คือ นะ โม พุทธ ธา ยะ แล้วถึงจะมาถึงตัว กะ ขะ คะ ฆะ งะ ฯลฯ พร้อมชี้ว่าตัวนี้เขียนอย่างไร
หลวงพ่อให้เขาเขียน คำ นะโมพุทธายะก่อน ด้วยอักขระขอม โดยจับมือเขาเขียนตัว นะ บอกว่าตัวเขียนที่ตัว
หัวก่อนถึงจะไปตัวหาง แล้วบอกว่า แต่ละตัวต้องเรียกสูตรไว้ด้วย เช่น ตัว นะ เอ็งจำไว้ นะ กะโรโหติสัมภะโว จง
มาบังเกิดเป็นตัว นะ เป็นต้น ทุกๆตัวอักขระต้องใช้คำ กะโรโหติสัมภะโว ทุกตัวอักขระ แม้จะเป็นเป็นตัวอื่นก็ต้องว่าเหมือนกัน ส่วนเกร็ดย่อยนั้นแล้วแต่มึงจะใช้ เช่น เช่นมนต์เมตตานั้น มึงพอเขียนที่หัวตัวนะก็เริ่มว่า
นะกะโรโหติสัมภะโว จงบังเกิดเป็นตัว นะ แล้วค่อยว่าเกร็ดย่อย นะ เมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเห็นเอ็นดู
ฯลฯเป็นต้น เกร็ดย่อยจะแตกต่างกันไปถ้าทางเมตตาอย่างหนึ่ง ทางคงกระพันชาตรีก็อีกอย่างหนึ่ง ทางไล่ผีไล่คุณไสย์ก็อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกันตามอักขระเลขยันต์ที่ใช้กำกับไว้ ซึ่งมีมากมายนัก อยู่ที่ว่ามึงจะจำได้แค่ไหนเท่านั้น
ทุกๆตัวอักขระต้องตามด้วยเกร็ดย่อยแตกต่างกันไป สำหรับใช้เขียนยันต์ต่างๆ
เอ็งไปหัดเขียนอักขระให้ชำนาญเสียก่อนไม่ต้องสูตรเรียกตัวหรอก แต่หากมึงเรียกได้ก็ดีจะได้ติดจำไว้จะได้ไม่พลาด
หลังจากนั้นหลวงพ่อก็สอนวิชาอื่นๆที่ไม่ได้ใช้ตัวเลขยันต์อักขระให้ไปสวด ซึ่งมีหลายๆบท แล้วท่านก็เอนหลัง
พิงหมอนที่ทำด้วยผ้าจีวรซ้อนๆกันเป็นหมอนฟังเขาท่องมนต์ที่สอน ไว้ หลังจากเขาท่องได้สองสามเที่ยวก็คล่อง
หลวงพ่อถึงกับเอ่ยปากชมเชยเขาทันที
เออๆๆๆๆ....มีความจำดีว๊ะ คนอื่นกูสอนให้ท่องแค่สองสามบทมันยังท่องไม่ได้ แต่นี่มึงตั้งหลายบทใช้
เวลาเดี๋ยวเดียวก็คล่องแล้ว หลวงพ่อชมเชยเขา
อย่างนี้เองซิ???...มึงถึงได้ทุนไปเรียนกรุงเทพฯและสอบเข้าเรียนในสิ่งที่คนต้องการซ้ำได้ลำดับดีๆเสียด้วย
ทั้งๆที่ไม่มีเส้นสายกับเขานะ บางคนเสียเงินเสียทองไปเยอะแยะก็ยังไม่ได้เลย แต่มึงไม่มีอะไรเลยมีแต่วิชาความรู้
ที่มึงร่ำเรียนมาเท่านั้น
คนเก่งกว่าผมก็มีอีกแยะครับหลวงพ่อ ผมแค่ทดลองได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากๆ
หรอกครับหลวงพ่อ ชายหนุ่มตอบ
แต่กูว่ามึงถ่อมตัวมากกว่าว๊ะ อย่าปิดบังกูเลย กูรู้หรอกว่ามึงเป็นอย่างไร ด้วยใจมึงบอกกู.....หลวงพ่อหัวร่อลั่น
ใจมันบอก????.....เขาสงสัยอะไรใจเขาจะไปบอกหลวงพ่อได้อย่างไร???.... ชายหนุ่มนึก
มึงไม่ต้องสงสัยอะไรหรอกว๊ะ ด้วยกูจะสอนวิธีฝึกสมาธิ ความรู้จะขลังหรือไม่ขลังไม่ใช่ตัวอักขระหรอกนะ
ต้องประกอบด้วยจิตสมาธิที่แกร่งกล้ามั่นคง จนเกิดพลังงานชนิดหนึ่งเขาเรียกอะไรว๊ะกูชักลืมๆ... หลวงพ่อนั่งนึก
อ้อๆๆๆ....พลังงานไฟฟ้านะโว้ยมันมีทุกๆแห่ง หากจิตมีมีสมาธิจนเกิดพลังงานไฟฟ้าทุกๆอย่างมันก็ง่ายว๊ะ
หลวงพ่อตอบ เดี๋ยวกูจะสอนมึงให้นั่งสมาธิ มึงท่องไปให้กูแน่ใจก่อนนะ กล่าวเสร็จหลวงพ่อก็หลับตาฟังเขา
เขาจำเป็นต้องนั่งท่องเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าจนได้เวลา หลวงพ่อก็ลืมตาพลางกวักมือเรียกเขา
เออๆๆๆๆพอแล้วมึงได้แล้วไม่พลาดสักคำเดียว ตอนนี้กูจะฝึกให้มึงหัดนั่งสมาธิก่อนนะโว้ย....
แล้วหลวงพ่อก็ทำให้เขาดูเป็นตัวอย่าง โดยท่านไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ ท่านกราบลงสามครั้งแล้วสวดมนต์
เสียงดังๆเพื่อให้เขาจำได้ แล้วหันมาถามเขาว่า
มึงลืมหรือยังการไหว้พระที่กูเคยสอนมึงตั้งแต่เด็กๆนะ???.... หลวงพ่อถาม
ไม่ลืมหรอกครับ ตั้งนะโมสามจบแล้ว สวดพุทธังสรณังคัจฉามิฯ ครบสามท่อนแล้วสวดอิติปิโส พุทธคุณ ธัมมคุณ
สังฆคุณ แล้วสวดบทพาหุง ผมจำได้ไม่ลืมหรอกครับด้วยใช้ประจำก่อนจะนอน
เออๆๆดีๆๆๆแล้ว แค่นี้ก็เอาตัวรอดได้แล้วล่ะว๊ะ แค่ไตรสรคมณ์บทเดียวก็เหลือกินแล้วล่ะ พุทธังสรณังคัจฉามิ
บทเดียว แค่นี้ผีมันก็เข้าใกล้มึงไม่ได้แล้วล่ะ แปลว่าอะไรมึงรู้ไหม???...
ขอเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่งครับ ใช่หรือเปล่าครับ ชายหนุ่มถามกลัวผิด
เออๆๆๆใช่แล้วล่ะว๊ะ!!!!!!...... หากมึงเดินทางไปไหนภาวนาบทนี้บทเดียว ความชั่วร้ายทั้งหลายมันก็ไม่กล้า
เข้ามาใกล้มึงทำอะไรมึงไม่ได้หรอกว๊ะ หลวงพ่อกล่าวไปหัวร่อไป แต่มันใช้กับพวกมนต์ดำที่เขาแก่กล้ากว่าไม่ได้
ด้วยมนต์ดำหรือพวกไสยาศาสตร์นั้นมันตรงกันข้าม คือขาวเป็นดำ แต่อย่างไรมันก็สู้บทนี้ไม่ได้ หากมึง
มีสมาธิแก่กล้าจิตใจมั่นคงไว้มีพลังงานจิตสูงๆ ที่กูให้มึงเรียนเลขมนต์อักขระคาถาไว้ก็เพื่อจะได้ไปช่วยเหลือ
เพื่อนมนุษย์ช่วยเหลือพุทธศาสนาไว้ แก้ไขพวกมนต์ดำที่มันใช้พวกผีทั้งหลายกระทำคนดีๆให้เสียคนไป หลวงพ่อ
กล่าวกับชายหนุ่ม
เพื่อให้เขามีจิตใจมั่นคงเชื่อมั่นในพระพุทธคุณ พระธัมมะคุณ พระสังฆะคุณ ไม่หลงไปในทางอบายใฝ่ต่ำทาง
ไสย์เวทย์มนตร์ดำเท่านั้น เมื่อเขาโดนของที่ปล่อยออกมาจะได้แก้ไขได้ หลวงพ่ออธิบายคร่าวๆให้เขาฟัง
เอาล่ะมึงมานั่งและสวดมนต์บูชาพระก่อนแล้วนั่งทำแบบกู สังเกตดูลมหายใจเข้าออกว่า หายใจเข้าก็จงรู้ว่า
หายใจเข้า หายใจออกจงรู้ว่าหายออก ลมหายใจแรงหรือเบาๆเราต้องรู้ให้หมด วางจิตใจมึงอย่าให้ฟุ้งซ่านคิดไป
ที่อื่นๆทั้งสิ้นปล่อยวางเสีย เอาจิตใจมึงวางลงไว้ที่อาศัยของเขา ที่อาศัยของจิตใจคือ อยู่ที่ทรวงอกมึงระหว่าง
กลางทรวงอกที่เรียกว่าลิ้นปี่นี่แหละ คือที่อาศัยของจิตใจเรา เวลามึงจะนอนหลับไปจิตใจทั้งหลายจะมารวมกัน
ไว้ที่นี่นะ หากจิตมึงฟุ้งซ่านคิดมากหรือมีสิ่งเข้ามาในหัวมึงมากๆ มันก็จะออกไปเที่ยว เมื่อถึงเวลามันก็จะต้อง
กลับมารวมกันที่นี่เหมือนเดิม ด้วยเป็นบ้านพักของมัน มึงจำกูไว้ หลวงพ่อกล่าว
ครับหลวงพ่อผมจะจำคำหลวงพ่อไว้ ชายหนุ่มก้มลงกราบที่ได้รับการแนะนำสั่งสอน
หากมึงรู้ที่อยู่ของจิตดีแล้ว จิตใจมึงก็จะแข็งแกร่งไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น จิตก็จะรวมตัวกันได้ง่ายขึ้นมึง
เริ่มทำได้แล้ว กูจะคอยนั่งควบคุมมึงดู หลวงพ่อกล่าว
ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้น ก็ไปนั่งกราบพระพุทธรูปแล้วสวดมนต์เสียงดังเพื่อให้หลวงพ่อได้ยินด้วย
แล้วนั่งขัดสมาธิวางมือเลียนแบบหลวงพ่อหลับตา พิจารณาลมหายใจเข้าออกให้มาสิ้นสุดที่ระหว่างลิ้นปี่ไว้ไม่
ให้เลยไป เขาทำไปสักพักเขารู้สึกประหลาดใจ เอ๊ะๆๆๆ.....แปลกทำไมใจเขาไม่ฟุ้งซ่านส่งไปข้างนอกก่อน
นั้นเขาก่อนจะนำจิตมาวางที่ลิ้นปี่ เขารู้แค่ปลายจมูกจิตใจเขากับคิดไปต่างๆนานา แต่พอเอาจิตมาวางไว้ที่
กลางทรวงอกลิ้นปี่ รู้สึกจิตใจห้าวหาญขึ้นและไม่หนีไปไหน
เห็นจะจริงอย่างหลวงพ่อท่านกล่าวไว้ สักครู่หนึ่งจิตเขาก็สงบ รู้สึกเยือกเย็นสบายอกสบายใจยิ่งนัก
เพลิดเพลินกับการนั่งสมาธิ จวบจนได้ยินเสียงหลวงพ่อกล่าวขึ้นว่า
เอาล่ะๆ .......เอาเท่านี้ก่อนก็พอนี่ก็นานแล้ว เดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง มึงกลับบ้านได้แล้ว
ครับหลวงพ่อเขาลุกขึ้นจากท่านั่งสมาธิ คลานไปกราบหลวงพ่อเพื่อจะอำลากลับ ถามหลวงพ่อว่าเวลานี้
ประมาณเท่าไหร่ครับหลวงพ่อ
กูคิดว่าสามทุ่มกว่าๆได้กระมัง???....หลวงพ่อตอบ
อะไรๆๆ....เขาว่าเรียนและนั่งสมาธิแค่แป๊บเดียวนี่นา ชายหนุ่มคิด กำลังเพลินๆอยู่เชียวนาไม่น่าจะนาน
เท่านี้เลย
ถ้าอย่างนั้นผมกราบลาหลวงพ่อเลยนะครับ
เออๆๆๆ.....ไว้พรุ่งนี้มาใหม่นะโว้ยอย่าลืมเสียล่ะ กูก็แก่มากแล้ว หลวงพ่อตอบ
ครับหลวงพ่อ ผมจะมาให้เร็วกว่านี้อีกครับกำลังสนุก
หลวงพ่อคิดว่า ไอ้เด็กคนนี้หัวมันก็ไวสมาธิมันก็ดีหรือบุญเก่ามันสร้างสะสมไว้กระมัง เห็นมันเข้าสมาธิจนถึงขั้น
อุปาจารสมาธิแล้ว ก้าวหน่อยก็จะถึงปฐมฌานแล้ว
อืมม!!!!????.....เห็นทีกูรับศิษย์ไม่ผิดแน่ๆ หลวงพ่อรำพัน แล้วหันไปกล่าวว่า
หากมึงเจออะไรก็แล้วแต่ที่มาร้ายมึงตั้งจิตไว้ที่อยู่ของจิตมึงนะ มึงจะได้ไม่ต้องกลัวว๊ะเวลาใช้ของก็ให้เกิดจาก
ที่ตั้งจิตมึงพยายามทำให้เข้มแข็งไว้แล้วทำตามพ่อมึงบอกนะ อย่าลืมล่ะ หลวงพ่อสั่งไว้
ครับหลวงพ่อ กล่าวเสร็จพลางก้มลงกราบอีกครั้งแล้วก้าวลงบันไดไป เห็นร่างเจ้าจุกและเด็กๆทั้งหลายรวมทั้ง
สาวอ้อยยืนรออยู่แล้ว เขาจึงกล่าวว่า ไปก่อนนะจุกๆและพวกเรา
อ้อยล่ะจะไปหรือว่าจะอยู่ที่นี่ก่อน ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาว
ไปซิจ๊ะพี่..อุ๊ยจ๊ะน้า....มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันซิ แล้วหันไปทางเจ้าจุกกล่าวว่า
ข้าไปก่อนนะพี่จุกและน้องๆทั้งหลาย.....เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันใหม่นะ ไปล่ะ......
* แก้วประเสริฐ. *
9 พฤศจิกายน 2553 17:41 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๖
รถเก๋งที่กำลังขับมาด้วยความเร็วไปข้างหน้าก็หยุด ลงแต่ไม่ได้ดับเครื่อง คนขับรถก้าวลงมาจากรถมองไปยัง
ร่างของชายหนุ่ม แต่ระยะทางค่อนข้างไกล ซึ่งชายหนุ่มเอามือปิดปากและจมูกไว้ยืนอยู่ริมข้างทางเพื่อรอให้ฝุ่น
จางลงเสียก่อน ร่างชายกำยำแต่มีรอยสักบนท่อนแขนทั้งสองข้างเพ่งมองสักพัก ก็ก้าวขึ้นบนรถขับรถออกไป
แต่มันหันไปถามเพื่อนที่เป็นชายนั่งข้างเคียงมันคู่กับหญิงอีกคนหนึ่ง ส่วนอีกคนนั่งอยู่ข้างหลังเบียดเสียดกับ
หญิงสาวที่แต่งตัวออกจะเปรี้ยวทันสมัยสามคน
เฮ้ย!!!!...ไอ้สน...นั่นมันไอ้โชติหรือเปล่าว๊ะ แต่เอ๊ะก็มันอยู่กรุงเทพฯนี่นาแต่ใบหน้ามันช่างคุ้นกูนัก
กูก็ไม่รู้ว๊ะ....เพราะมัวเบียดกับแม่สร้อยนี่แหละ ฝุ่นมันแยะมองผ่านกระจกไปเห็นไม่ชัด....
คนถามที่ขับรถหันหลังไปถาม ชายอีกคนว่า
ไอ้เบี้ยวละ!!!....มึงมองคนข้างทางหรือเปล่าว๊ะ
กูก็ไม่ได้สนใจถึงมองไม่เห็นหรอกว๊ะด้วยแม่ตัวดีทั้งสามมันเบี่ยดกูแทบขี้แตกอยู่แล้ว
ช่างหัวมันเถอะว๊ะ ไอ้สนตอบแทน อาจจะไม่ใช่ก็ได้
แต่กูสงสัยว๊ะเพราะว่ามันแต่งตัวเหมือนกับคนในกรุงเทพฯ ไม่เหมือนพวกเรานี่หว่า...
คนขับรถกล่าว ไอ้ห่า!!!.......หากเป็นไอ้โชติก็ดีซิว๊ะ กูจะได้ลงไปประทืบมันหน่อย แก้แค้นมันกูยังจำได้เมื่อสมัย
เด็กๆมันกระทืบกูเสียบานตะทัย เมื่อมีงานที่วัดโคกอีแร้ง มันถือว่าเป็นศิษย์วัด กูกับพวกมึงแค่ไปตบแม่ค้าขายของ
และเตะพังร้านมันเท่านั้นเอง มันกับพวกเด็กวัดเล่นงานกูและมึงเสียอาน มึงจำไม่ได้หรือ?????.......
กูลืมไปแล้วว๊ะไอ้แม้น เราก็โตๆกันแล้วคงไม่เหมือนเก่ากระมัง....
แต่กูไม่ลืมว๊ะ คนขับรถชื่อแม้นกล่าวอย่างไม่ยอมลืมความหลัง
หน๋อยแน่เห็นเป็นคนต่างบางกันทำเป็นอวดใหญ่อวดโตนัก พอทางบ้านวัดเรามีงานกูเที่ยวตามหามันนึกว่ามัน
จะมากลับไม่มา ได้ข่าวว่ามันไปที่จังหวัดเรียนต่อแล้วก็เข้ากรุงเทพฯไปเลย
ไอ้ห่านี่ก็หลายสิบปีแล้วนา ....อย่าคิดมากเลยว๊ะไอ้แม้น หนุ่มชื่อสนกล่าวลอยๆ.......
ไม่ให้กูคิดได้ยังไง มันไม่ให้เกียรติกูซึ่งเป็นลูกกำนันนี่หว่า มึงก็เหมือนกันเป็นลูกผู้ใหญ่บ้านหน๋อยทำเป็นลืม
ไอ้แม้นตอบด้วยแสดงอาการฉุนเฉียว ขับรถกระชากครืดๆๆๆ จนรถข้างหนึ่งตกหลุมน้ำแตกกระจาย รถเซไปๆมาๆ
คราวนี้ไอ้สนเงียบไม่ต่อเถียงกลับไอ้แม้น หันไปตอบหญิงสาวที่ชื่อสร้อยที่นั่งเบียดมันอยู่ซึ่งถามมัน
ใครหรือพี่???......โชตินะ
ไอ้สนตอบหญิงสาวที่แต่งตัวสุดเปรี้ยวว่า
เรื่องสมัยตอนเด็กๆนะสร้อย ไม่มีอะไรหรอกชกต่อยกันเท่านั้นเอง มันดูแลวัดให้หลวงพ่อทองเขา เพียงแต่
แล้วมันก็หยุดชะงักไม่กล่าวต่อ
โอ้ยยยๆๆๆๆ.....เบารถหน่อยพี่แม้น???...จะอ๊วกอยู่แล้วล่ะ....เรื่องมันนานมาแล้วนี่นา
ช่างเถอะ แล้วเมื่อไหร่จะถึงบ้าน บางกระดี่สักทีล่ะ ถนนแย่แบบนี้เล่นเอาไส้คลอนหมดแล้วน๊ะ
เสียงหญิงทั้งหลายต่างร้องเซ็งแซ่ไปตามๆกัน
เดี๋ยวก็ผ่านบ้านไอ้โชติไปอีกสองสามเนินเขาก็ถึงแล้วล่ะ อดทนหน่อยนะ ไอ้สนตอบ
มึงหนอมึงไอ้สน อีสร้อยก็เหมือนกันไม่เห็นเข้าข้างกูเลย ไอ้แม้นกำลังขับรถกล่าวขึ้น
เถอะน่าๆ...พี่แม้นเรื่องมันนมนานมาแล้วนา หญิงสาวชื่อสร้อยเอ่ยขึ้น
เอาล่ะช่างก็ช่าง....ขออย่าได้เจอกันอีกก็แล้วกัน กูเพียงสงสัยเท่านั้นเองแหละว๊ะอีสร้อย
แล้วรถก็ชะลอบ้างวิ่งเร็วๆบ้าง แต่ค่อนข้างเร็วด้วยมันไม่กลังรถจะพังด้วยถือว่าหากพังก็ซื้อใหม่อีก
สักครู่รถก็หายลับตาไปซึ่งเป็นทางโค้งถูกเนินเขาบัง เพียงได้ยินแต่เสียงแล้วก็เงียบหายไป
บรรยากาศกลับคืนมาสู่ความเงียบสงบเหมือนเดิม เสียงนกร้องระงมเหมือนเดิม นี่ก็ล่วงเวลาบ่ายเข้าไปแล้ว
ดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำมาก หากช้าอาจจะพบกับความมืดอีก ดังนั้นเขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ชายหนุ่มก็รีบเดินหลังจากฝุ่นได้จางลงมากแล้ว เขาเดินขึ้นเนินและลงไปตามทางทั้งสองข้างเต็มไปด้วย
ต้นไม้ต่างๆ บ้างก็ออกดอกเล็กๆสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง สักพักใหญ่เขาก็เลี้ยวถนนเล็กๆเป็นซอยที่แยก
ออกจากถนนประมาณไม่ไกลนัก ก็แลเห็นบ้านสองชั้น คือบ้านของเขาเอง แต่พ่อและแม่หายไปไหนหมด
ก็ไม่รู้ บริเวณบ้านถูกกั้นด้วยแนวไม้ไผ่ขัดแตะ เขาคิดว่าพ่อแม่คงจะออกไปทำไร่ซึ่งอยู่เบื้องล่างไหล่เขาอัน
ใช้สำหรับเพาะปลูก และเลี้ยงปลา ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นคอกสำหรับเลี้ยงหมูเป็นเล้าใหญ่ เสียงหมูซึ่งมีหลาย
ตัวร้องลั่น กลิ่นสาปของหมูล่องลอยมากระทบจมูกเขาแม้จะเหม็นแต่เขาก็ทนได้เนื่องจากแม้จะเหินห่างมาเสียหลายๆปีก็ตาม
แต่ความเคยชินด้วยเคยเลี้ยงมันมาตอนเขายังเด็กๆอยู่ หั่นต้นกล้วยผสมปลายข้าวรำให้แก่มันเสมอจึงชาชิน
เสียงหมาเห่ากรรโชกประมาณสองสามตัว เขาเรียกชื่อมัน หมาทั้งสามตัวล้วนแต่ตัวผู้สูงใหญ่ทั้งนั้นหยุด
เห่าทันที พร้อมกระดิกหางแล้ววิ่งมาหาเขา บ้างกระโจนใส่เขามันคงจำเขาได้แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาเสียหลายสิบปี
แต่สัญชาติฌานของหมามันคงจำกลิ่นเจ้าของได้ มันแสดงความดีอกดีใจกันใหญ่ บ้างวิ่งไป แล้ววิ่งกลับมาสลับกัน
เขาเอามือตบหัวมันเบาๆทั้งสามตัว ตอนนี้มันร้องหงิงๆๆเสมือนหนึ่งจะทักทายเขาว่าทำไมหายไปเสียนาน
เขาไล่มันให้ออกไป แล้วเดินย่างเท้าไปยังบันไดเพื่อจะขึ้นบ้าน บ้านนั้นปลูกเป็นสองชั้นก็ตาม ส่วนชั้นล่างนั้น
นอกจากห้องเก็บของแล้วก็มีห้องน้ำ นอกนั้นเป็นที่กว้างตามขื่อแขวนไว้ด้วย จอบ เสียบ พลั่ว และไม้ยาวๆทำเป็น
ตะขอบ้างหรือตะกร้อบ้าง ใต้ถุนบ้านมีแค่สำหรับนั่งเล่นทำด้วยไม้ไผ่กว้างใหญ่
ครั้นถึงบันไดเขาก็ล้างเท้าจากน้ำในตุ่ม พอจะก้าวขึ้นบนบ้านก็ได้ยินเสียงร้องทักห้ามเขาขึ้นทันที???......
จะมาหาใครจ๊ะ????...... เสียงนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาค่อนข้างสวย ยืนอยู่ที่เรือนชานบนชั้นบน มือเท้าสะเอวทั้ง
สองข้างถามเขา ส่วนข้างๆหญิงสาวเป็นเด็กค่อนข้างโตแต่ไว้แกละทั้งสองข้าง ผมแกละผูกมัดทั้งสองข้างปล่อย
ห้อยยาวออกมาข้างหน้าอก ตอนแรกเขาคิดว่าไม่มีใครอยู่บ้านและคิดไม่ถึงว่าจะเห็นหญิงสาวและเด็กผมแกละ
จึงไม่ได้สังเกตว่ามีใครอยู่คิดว่าคงจะไม่มีใคร ครั้นได้ยินเสียงถามเช่นนั้นเขาก็ตกใจ และแปลกใจระคนกัน
เนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงร้องถามไปว่า
อ้าวๆๆๆ!!!!!.....แล้วเธอทั้งสองเป็นใครกันล่ะ?????......
อ้อ????.....ฉันหรือเป็นลูกพ่อเชียรแม่เข็มจ้า เสียงหล่อนตอบช่างเยือกเย็นอะไรเช่นนี้ น้ำเสียงออกจะยาน
เขายิ่งแปลกใจว่าพ่อแม่ไปเอาหญิงสาวและเด็กชายมาเลี้ยงเมื่อไหร่ ไม่เคยเห็นจดหมายไปบอกเลยนี่นา จึงแกล้งถาม
ว่า
อ้าวในเมื่อเธอเป็นลูกพ่อเชียรแม่เข็ม ฉันได้ยินว่าเขามีลูกชายคนเดียวนี่นา!!!!!!...
ลูกชายพ่อเชียรแม่เข็มเขาไปอยู่กรุงเทพฯจ้า ท่านเลยเอาฉันทั้งสองมาเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านดูแลช่วยเหลือจ้า
ในเมื่อเธอเป็นลูกของพ่อเชียรแม่เข็มแล้ว รู้จักหน้าค่าตาลูกชายเขาหรือเปล่าล่ะ.... ชายหนุ่มถาม
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร???..... อย่าก้าวขึ้นมานะเดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือนเสียก่อน หญิงสาวตอบ
ที่จริงชายหนุ่มระหว่างคุยนั้น ก็กำลังก้าวขึ้นบันไดมาทีละขั้นๆ...
พ่อเชียรแม่เข็มไม่อยู่ สงสัยจะมาขโมยของล่ะซิ บอกก่อนนะว่าอย่าคิดเช่นนั้นเด็ดขาด มิฉะนั้นเจอดีแน่ๆ.....
หญิงสาวกล่าวพลางใบหน้าทะมึงบึ้งตึงขึ้นทันที ส่วนเจ้าแกละก็ แสดงอาการเสมือนจะเข้าต่อสู้ด้วย
แล้วหากฉันเป็นลูกพ่อเชียรแม่เข็มล่ะจะขึ้นได้ไหมล่ะ?.... เขาถาม
หากไม่คิดประสงค์ร้าย ก็ต้องรอให้พ่อเชียรแม่เข็มยืนยันก่อน ฉันถึงจะเชื่อนะ....... อีกสักครู่ก็จะกลับมาแล้วล่ะ
ถ้าอย่างนั้นต้องรอให้พ่อเชียรแม่เข็มกลับมาก่อน หากจะรอไปรอที่ใต้ถุนบนแค่นั่นคอยพ่อแม่กลับมา
หากเป็นลูกจริงๆก็ขึ้นมาได้ หญิงสาวตอบ
อ้อๆๆ.....แล้วยิ่งพาผู้หญิงมาด้วยคงจะไม่ใช่กระมัง สวยเสียด้วยซี ฉันได้ยินพ่อเชียรคุยกับแม่ว่าลูกเขายังไม่มี
เมียนี่นา แต่นี่พาหญิงสวยมาด้วยคงจะไม่ใช่กระมัง???..... หญิงสาวและเจ้าแกละพลางเอ่ยพร้อมๆกัน
ฉันมาคนเดียวนี่จ๊ะ ไม่ได้นำใครมาด้วยเลยสักคน???......
อย่ามาโกหกฉันและเจ้าแกละเลย เห็นยืนข้างเคียงใกล้ๆกันคงเป็นเมียกระมัง แหม๋ทำเป็นโสดไปได้น๊ะ???.....
หญิงสาวที่ยืนบนชานเรือนเอ่ยขึ้น ไม่เชื่อแกถามเจ้าแกละมันดูก็ได้ พลางหันไปทางเจ้าแกละกล่าวว่า....
เอ็งบอกมันหน่อยซิว่าจริงหรือเปล่า....
เจ้าแกละเอ่ยขึ้นว่า
จริงๆนะฉันก็เห็นเป็นหญิงสาวพึ่งโตสวยเสียด้วยซิ อย่าปฏิเสธไปเลย มันกล่าวขึ้น.....
เขานึกขึ้นมาได้ทันทีว่าเขาได้นำหญิงสาวอ้อยมาด้วย ตอนที่หลวงพ่อมอบให้แก่เขา แต่เขามองไม่เห็นหล่อน
แต่ใยหญิงสาวคนนี้และเด็กผมแกละจึงมองเห็นหรือว่า?????......เขาไม่กล้าคิดแต่ก็เป็นไงเป็นกันหรือเป็นพวกเดียว
กันจึงมองเห็นกันได้ เขามีนิสัยไม่ชอบขัดใจ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงหล่อนอีก จึงตอบว่า
ในเมื่อเธอต้องการเช่นนั้น ฉันจะลงไปคอยพ่อกับแม่ก็แล้วกันนะ แล้วหันหลังกลับไปนั่งพักที่แค่ไม้ไผ่
พลางปลดสัมภาระออกมาวางข้างๆ ส่วนเจ้าหมาสามตัวมันก็รีบมาคลอเคลียเขา เขามองขึ้นไปยังที่บันไดเห็นร่าง
ของหญิงสาวและเจ้าแกละนั่งลงมากลางบันไดคอยจ้องมองดูเขาตลอดเวลา เสมือนคอยนั่งจับผิดเขาว่าจะทำอะไรบ้าง
เวลาผ่านไปไม่นานนักเขาก็แลเห็นพ่อแม่ เดินผ่านรั้วเข้ามา พ่อเดินนำหน้าแบกจอบไว้บนบ่า
ส่วนแม่กระเดียดกระด้ง พอพ่อแลเห็นเขาเท่านั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาทันที พร้อมร้องเสียงดังทั้งพ่อและแม่
โชติหรือลูกมานานแล้วหรืออ้าวทำไมไม่ขึ้นไปบนบ้านล่ะ
ขึ้นไปได้อย่างไรล่ะพ่อ ก็แม่สาวและเจ้าแกละเขาบอกว่าเป็นลูกพ่อแม่ ไม่ยอมให้ฉันขึ้นบนบ้าน โน่นนั่งเฝ้าอยู่กลาง
บันได อ้าวๆๆๆ!!!!!!????....หายไปไหนเสียล่ะ จริงๆนะพ่อ พ่อเชียรหัวร่อฮึๆๆๆแต่ไม่กล่าวว่าอะไรพลาง
สวมกอดเขาทันที ส่วนแม่เข็มวิ่งเข้ามาสวมกอดพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาเขาใหญ่ พ่อเชียรหลังจากสวมกอดเขาแล้ว
หันไปทางแม่เข็ม พลางกล่าวว่าลูกชบากับเจ้าแกละเล่นงานเอาแล้วล่ะ
มาๆๆๆไปคุยกันบนบ้านเถอะ ลูกของแม่เข็มนะเขาเลี้ยงไว้เองแหละให้ช่วยดูแลบ้านให้เวลาไม่อยู่ คงจะไม่รู้จัก
เอ็งหรอกว๊ะ เลยไม่ยอมให้ขึ้นบ้าน กล่าวจบพลางเอ่ยขึ้นกับเขาว่า....
เออ!!!!!!????...... เอ็งโตกำยำขึ้นมากนะอยู่กรุงเทพสบายไหม? เป็นอย่างไรล่ะหายไปไม่กลับมานอกจาก
จดหมายมาหาพ่อกับแม่เท่านั้น ต่างคนต่างสอบถามเขากันใหญ่ต่างๆนานา จนเขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
แล้วทำไมไม่บอกน้องเขาล่ะว่าเป็นลูกของพ่อ...
ผมบอกเขาแล้วล่ะพ่อ แต่หญิงสาวเขาไม่ยอมให้ขึ้นบ้านจ๊ะ โน่นยังนั่งเฝ้าฉันพร้อมกับเด็กผมแกละด้วย
เขาหันอีกทีเพื่อยืนยันคำพูดเขาที่บอกพ่อกับแม่ไว้ ก็ต้องแปลกใจ เขาไม่เห็นร่างของหญิงสาวและเด็กผมแกละเลย
แม่เข็มหัวร่อลั่น อ้อๆๆๆเป็นอย่างนี้เอง เป็นลูกของแม่ทั้งคู่แหละจ้า
เขาคงเห็นเอ็งเอาหญิงสาวมาด้วยนึกว่าไม่ใช่ลูกแม่ คิดว่าเป็นคนอื่นไปซิ ด้วยเขารู้ว่าพ่อแม่มีลูกชายคนเดียว
พ่อเชียรก็หัวร่องอหาย ผู้หญิงที่เอ็งเอามาด้วยคงจะเป็นเหตุเมื่อคืนนี้กระมัง???.....
พ่อรู้เรื่องหรือว่าฉันโดนอะไร???...
รู้ซิลูกว่าแกเจออะไรบ้าง แต่พ่อเชื่อหลวงพ่อท่าน อีกอย่างหนึ่งมีนางไม้คอยดูแลให้ด้วย นี่เขาก็มาด้วยนะดีนะ
ที่เขาไม่แสดงตน มิฉะนั้นเจ้าแกละกับเจ้าชบาคงกระเจิงหมด
ใครหรือพ่อ???.... ชายหนุ่มถาม
อ้าวๆๆๆ...ก็แม่นางไม้นะซิเขามาด้วยกับเอ็งนะ เดี๋ยวพ่อจะให้แม่เขาแกะรูปให้ แม่เขาเก่งทางเรื่องแกะสลักอยู่
แล้วล่ะ แล้วพ่อแม่จะทำพิธีให้จะได้ไม่ต้องไปไหนคอยรักษาลูกเองแหละ พ่อเชียรตอบคำถามลูก
อย่าพึ่งพูดมากเลย เอ็งหิวข้าวหรือยังล่ะ พ่อแม่รู้ว่าเอ็งจะมาวันนี้ จึงได้รีบออกจากไร่มาก่อน มิฉะนั้นก็มืดๆ
นั่นแหละถึงได้กลับ นี่ก็บ่ายมากแล้วเอ็งคงจะหิวแล้วล่ะ แม่เขาเตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อยแล้วล่ะ...
จ๊ะพ่อฉันก็รู้สึกว่าชักจะหิวเหมือนกัน ดีเราจะได้กินร่วมกัน ไม่ได้กินร่วมกันมานานแล้วล่ะ ชายหนุ่มตอบ
แต่ข้ากับแม่นั้นกินมาแล้ว แต่ไม่เป็นไรจะกินเป็นเพื่อนเอ็งก็แล้วกันนะลูก ชายผู้เป็นพ่อกล่าว
มาๆๆขึ้นบ้านก่อน ห้องลูกแม่จัดการให้เรียบร้อยแล้วล่ะ กินกันไปคุยกันไปก็แล้วกัน แม่เข็มหันมาเตือน
ชายหนุ่มก็ก้มลงกราบที่เท้าพ่อและแม่ก่อนจะยกของสัมภาระของเขาเดินตามหลังขึ้นบันได แต่ก็อดเหลียวซ้าย
แลขวาเสียไม่ได้ เหมือนแม่เข็มเหมือนจะรู้ จึงกล่าวว่า......
ไม่ต้องมองหาหรอกน้องเขาทั้งสองรู้แล้วว่าเอ็งเป็นลูกพ่อแม่เขาก็กลับไปที่ของเขาแล้วล่ะ ว่าแต่เด็กของเอ็ง
ช่างสวยทั้งคู่เลยนะ กล่าวจบแม่เข็มก็หัวร่อลั่น ฮ่าๆๆๆๆๆ.......
ข้าบอกแกแล้วไม่ผิดว่า ดวงของมันไม่เหมือนคนธรรมดานะ ช่างเถอะฟ้ากำหนดมาอย่างนี้ไม่ต้องไปฝืน
หรอก สำคัญว่าเราจะหาวิธีอย่างไรกับหลวงพ่อเท่านั้นเอง พ่อเชียรหันไปบอกแม่เข็ม
อือๆๆๆๆข้าก็พอจะรู้เหมือนกันพี่เชียรว่ามันต้องเป็นแบบนี้นะ ไหนๆลูกเรามันถูกกำหนดไว้ก็ต้องปล่อยไป
แต่เราต้องสอนวิชาอาคมให้แก่มันให้หมดนะ ด้วยข้ารู้ล่วงหน้าว่ามันจะต้องเจอคนรังแกมันอีกแยะและไม่ใช่ธรรมดา
ด้วย....
นั่นซิแม่เข็ม อย่างไรก็ต่างช่วยกันก็แล้วกันนะลูกของเราคนเดียวเป็นอะไรไป แกกับฉันคงเสียใจมากๆนะ
เด็กมันบอกว่าเย็นๆหลวงพ่อก็จะมอบวิชาให้มันเหมือนกันนี่นาพ่อเชียรกล่าวกับเมีย
นับว่ามันมีทั้งบุญทั้งบาปนะ เฮ่อๆๆ... เวรกรรมจริงๆลูกคนนี้ แม่เข็มอุทานออกมา
แต่ข้าเชื่อมั่นเหมือนแกนั่นแหละด้วยนั่งสมาธิเห็นอนาคตมันเป็นไปตามชาติเบื้องหลังของมันเอง
พ่อเชียรกล่าวลอยๆ ชายหนุ่มนั่งฟังงุนงงเขาไม่รู้ว่าทั้งพ่อและแม่พูดเกี่ยวกับเขาเรื่องอะไร จึงคอยรับฟังเท่านั้น
ก็นั่นนะซิเราถึงต้องมอบวิชาอาคมที่รู้ให้แก่มันให้มากๆ ไม่รู้ว่ามันจะรับได้แค่ไหนก็ไม่รู้???.....
แม่เข็มรู้ไหม???.... แล้วหยุดพูด
พลางหันไปมองชายหนุ่มเห็นเดินเข้าไปในห้องนอนสมัยเขายังเด็กๆ คงเหลือเพียงสองคนตายายเท่านั้น
อะไรหรือพี่เชียร???...
พ่อเชียรยกมือป้องปากไปใกล้ๆริมหูแม่เข็มแล้วกระซิบเล่าเรื่องต่างๆให้แม่เข็มฟัง พอแม่เข็มรู้ก็ทำน่าปุเลี่ยนๆ
เฮ้อๆๆๆ ลูกหนอลูก แม่เข็มได้แค่อุทานเท่านั้น ??????............
แล้วรีบไปเปิดตู้อาหารยกสำรับกับข้าว พร้อมยกหม้อข้าวมา ส่วนพ่อเชียรก็เตรียมปูเสื่อไว้กลางบ้านคอยอยู่
แล้วไปช่วยยก จานช้อนและ ถ้วยมาให้เสร็จสรรพ เพื่อคอยลูกออกมา
ครั้นชายหนุ่มออกมาก็เห็นพ่อแม่จัดสำรับกับข้าวรอคอยเขาเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขาบอกว่าขอตัวไปอาบน้ำก่อน
ด้วยยังไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เมื่อวานนี้จ๊ะ เขานุ่งผ้าขาวม้าเดินลงบันไดด้านหลังไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ข้างล่าง
เสียงรดน้ำซู่ๆๆๆ เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ เขาก็เดินขึ้นบันไดมา ทาแป้งเสียขาวฉ่อง ยังนุ่งผ้าขาวม้าเหมือนเดิมอยู่
แล้วมานั่งข้างๆพ่อแม่ที่ตั้งวงสำรับข้าว เห็นแม่ตักข้าวใส่จานไว้เจ็ดจาน ก็แปลกใจถามขึ้นว่า..........
อ้าวๆๆๆ???....เราแค่สามคนทำไมถึงตักถึงเจ็ดจานล่ะ?
แม่เข็มตอบว่า
ก็ให้น้องสองคนและแขกที่มากับลูกอีกสองคนด้วย เพื่อเป็นการต้อนรับเจ้าและเขาด้วยนะ จะได้รู้จักกันไว้ด้วย
แม่เข็มกล่าว พร้อมเอ่ยปากเชิญให้กินอาหารได้แล้ว
ต่อไปเอ็งก็จะรู้เองแหละ มามะมาๆ มากินด้วยกันเน้อ กินพร้อมๆกันนี่แหละจะได้รู้จักกันไว้คอยช่วยเหลือกันนะ
ชายหนุ่มงง... เมื่อเห็นแม่เขากล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็รู้ว่าอะไรคืออะไร จึงบอกให้พ่อแม่กินก่อนแล้วเขาจะค่อยกิน
หลังจากนั้นทั้งหมดก็นั่งกินกันไปคุยกันไป ถามถึงสารทุกข์สุขดิบกัน แต่แปลกจริงๆทำไมพ่อแม่เขาไม่ถามว่า
เขาทำงานอะไร กลับนิ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาเองก็แปลกใจ พอจะเอ่ยปากบอกพ่อแม่ว่าเขาทำงานหน้าที่อะไร
พ่อแม่เขาก็ยกมือห้าม พลางเอ่ยกับเขาว่า......
เอ็งไม่ต้องบอกพ่อแม่หรอก พ่อแม่รู้หมดแล้วว่าเอ็งทำงานอะไรไม่ต้องพูดหรอก
คราวนี้ชายหนุ่มงงเป็นไก่ตาแตกทันที เอๆๆๆ.????.... แกรู้ได้อย่างไรว่าเขาทำงานอะไรกัน เพียงแค่นึกฉงนเท่านั้น
แต่ก็ไม่เอ่ยขึ้นอีก ก้มหน้าก้มตากินข้าวไป กล่าวกับพ่อแม่ว่า เย็นนี้หลวงพ่อท่านให้ไปหาจ๊ะ
เออๆๆดีแล้วพยายามศึกษาให้หมดนะ เลขยันต์คาถาอาคมยากนะลูกต้องใช้ความพยายามหน่อย พ่อกล่าวขึ้น
ครับ แต่ไม่รู้ว่าจะได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ผมเพียงแค่ไว้เอาป้องกันตัวจากพวกผีเท่านั้น
เอ็งเชื่อพ่อเถอะเชื่อพ่อลูก พ่อรู้ว่าหลวงพ่อท่านเป็นคนอย่างไร ยิ่งเอ็งเป็นลูกพ่อกับแม่แล้วมีหรือจะเก็บไว้
คงถ่ายถอดให้หมดแหละ ถึงเกินเวลาที่เอ็งขออนุญาตไว้ก็ไม่เป็นไร ทางโน้นไม่ว่าอะไรเอ็งหรอกเอ็งเชื่อพ่อซิ
เอ็งอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ทางโน้นเขาต้องการเช่นนั้น ไม่เป็นปัญหาหรอกแล้วเอ็งดูไปก็แล้วกัน ผู้พ่อกล่าวขึ้น
แนะแน๊ะ!!!!!!????....... พ่อพูดเป็นนัยๆหรือว่าแกจะรู้จริงๆว่าเขาทำงานเกี่ยวกับอะไร ชายหนุ่มคิด
แต่ก็ดีไปอย่างนะ ส่วนเรื่องการลาเขาไม่เป็นห่วงอย่างแกว่าจริงๆเสียด้วย พลางได้ยินพ่อแม่พูดอีก กินข้าวเสร็จ
เอ็งเอาท่อนตะเคียนมาให้แม่นะ แม่จะได้รีบทำๆให้เสร็จ
จ๊ะแม่.....เขายิ่งงงไปใหญ่อะไรแม่เราก็รู้เรื่องขอนไม้ด้วยหรือนี่ ทำให้นึกถึงคำหลวงพ่อทองกล่าวกับเขาว่า
พ่อแม่เขาเก่งทั้งคู่ไม่เป็นรองท่าน เมื่อได้ยินทั้งพ่อแม่กล่าวก็ยิ่งเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น
เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน อาชีพเขาก็ต้องเรียนรู้ไว้บ้างก็จะดี บางทีอาจจะช่วยเขาได้ไม่มากก็น้อย เขาคิด
ระหว่างพ่อแม่ต่างคุยกัน ถามไถ่กันและกัน จวบตะวันตกดิน อากาศเริ่มหนาวเย็นด้วยบ้านเขาติดใกล้เขา ความเย็น
ย่อมมีมาก เขาเดินไปหยิบตะเกียงที่พ่อแขวนไว้ลงมา แล้วตรวจสอบเติมน้ำมัน แล้วก็จุดไฟที่ไส้แล้วเอาโป๊ะครอบ
จำนวนสองตะเกียงเท่านั้นพอ ด้วยบ้านเขามิได้ใหญ่โตมากนัก แค่นี้ก็สว่างจ้าไปทั่วบริเวณแล้ว
แสงสว่างจ้าลบความมืดหายไป
เนื่องจากเป็นถิ่นทุรกันดารทั้งพ่อแม่เขาจึงสั่งน้ำมันก๊าดมาไว้หลายๆปี๊บ
พร้อมทั้งเทียนไข ทั้งสีขาวและสีเหลือง ส่วนธูปนั้นมีเยอะแยะ
จะมีคนมาส่งของให้เป็นประจำทุกๆเดือน ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นห้องพระเขาเดินไปสำรวจเห็นมี
แต่โต๊ะหมู่บูชามีพระพุทธรูปองค์เดียว อีกโต๊ะหมู่บูชาหนึ่งซึ่งต่ำกว่าพระพุทธรูปมีรูปปั้นฤๅษีตนหนึ่ง
พร้อมทั้งดอกไม้อาหารหวานคาวแก้วใส่น้ำ และรูปแกะสลักด้วยไม้เป็นรูปหญิงสาวสวย กับ เด็กผมแกละส่วนสูง
เขากะประมาณเกือบฟุตเห็นจะได้ ซึ่งวางต่ำกว่าพระฤๅษี โต๊ะหมู่นี้วางห่างไปจากโต๊ะหมู่พระบูชาไปอีกด้านหนึ่ง
ส่วนโต๊ะพระพุทธมีแค่แจกันดอกไม้และแก้วใส่น้ำเท่านั้นเองซึ่งแยกกันคนละโต๊ะหมู่
เขาเพ่งไปยังโต๊ะหมู่ฤๅษีชั้นต่ำลงมามีรูปแกะสลักให้นึกถึงตอนที่เขามาใหม่ๆ คงจะเป็นสองตนนี้แหละเขาแน่ใจ
หรือนี่แหละคือหญิงสาวกับเจ้าแกละนี่เองที่ไม่ยอมให้เขาขึ้นบ้าน ข้างๆรูปแกะสลักมีพานวางรูปปั้นควาย
ไว้ถึงห้าตัว เป็นทองคำหนึ่งตัว เงิน ทองแดง หวาย และเทียน โรยด้วยดอกไม้ต่างๆกัน เขาเพ่งจ้องแต่รูปแกะ
หญิงสาวและรูปแกะไม้เจ้าแกละ เขาจำได้ด้วยมีใบหน้าคล้ายๆกัน ยืนยิ้มใบหน้าสวยงาม ส่วนเจ้าแกละก็ยืนยิ้ม
แต่ก็แปลกที่กลางวันยังแปลงกายได้หรือว่าจะเหมือนเจ้าจุกกับแม่อ้อยนะ ความคิดเขาให้นึก
ถึงรูปปั้นของหญิงสาวชื่ออ้อย ครั้งแรกคิดจะนำมาไว้รวมกันแต่แล้วก็พลันเปลี่ยนใจไป เก็บไว้ในห้องเขาดีกว่า
เขาคิดวางรูปแกะสลักเหมือนกันไว้ข้างๆหมอนที่เขาใช้นอน ครั้นเมื่อเดินเข้าห้องเขาก็ต้องแปลกใจด้วย
มุ้งที่เขายังไม่ได้กางไว้บัดนี้ได้ถูกกางไว้ภายในมุ้งจัดวางสิ่งของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเสียแล้ว
หรือว่าแม่นางไม้หรือแม่อ้อยจะจัดการให้เขาก่อนค่ำๆ เขานึกฉงนในใจมาก.............
* แก้วประเสริฐ. *
7 พฤศจิกายน 2553 16:55 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๕
น้าจ๋าน้าๆๆๆ.....ตื่นเถอะเดี๋ยวหลวงพ่อก็จะกลับจากบินบาตรแล้ว นี่สายแล้วจ๊ะน้า....
ฉับพลันเขาก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่น ทั้งๆที่ยังงัวเงียด้วยนอนดึกมากไป เขามองลอดกระโจมที่กางไว้
ซึ่งเป็นจีวรเก่าๆ แต่บางมองเห็นสิ่งภายนอกได้อย่างชัดเจน เขาเพ่งสายตาออกไปนอกกระโจม
แลเห็น ร่างเด็กผมจุก กับ ร่างของหญิงสาว เขาจำไม่ผิดว่าชื่อ อ้อย นั่งอยู่เคียงข้างกระโจม
เขารีบลุกขึ้น ผลุนผันนั่งทันที ทั้งๆที่อยากจะนอนอีกสักพักหนึ่ง ด้วยศีรษะปวดหนึบๆ
แต่นี่เป็นวัด หากเป็นบ้านเขาคงจะต้องนอนต่ออีกจนกว่าจะหายง่วง ด้วยเมื่อคืนคุยกับหญิงสาว
จนเกือบจะสว่าง พึ่งจะมานอนหลับไม่เท่าใดนัก หลวงพ่อออกไปบินบาตรเมื่อไหร่เขาไม่รู้
หากเป็นปกติธรรมดา เขาต้องติดตามหลวงพ่อไปช่วยถือบิ่นโตและย่ามคอยเดินตามหลังท่านเสมอ
เขาหันไปถามเจ้าจุกว่า อ้าวๆ???...แล้วจุกและพวกล่ะปกติไปพักที่ไหนล่ะ???.....
เจ้าจุกตอบว่า.....ผมก็พักในกุฎีหลวงพ่อแหละ ส่วนแม่อ้อยเขานั่งเฝ้าน้าจนสว่างแหละ เจ้าจุกรายงาน
อ้าวๆๆ???... แล้วสว่างแล้วไม่กลัวแสงสว่างพระอาทิตย์หรือ???...
ไม่หรอกจ๊ะน้า....พวกหนูนั้นหลวงพ่อสอนวิชาอาคมให้เลยสามารถแสดงตนได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
แต่ส่วนใหญ่กลางวันหนูกับพวกจะนอนพักผ่อนจ๊ะ เจ้าจุกตอบ
ส่วนแม่อ้อยเขาเป็นอย่างไรไม่รู้ ฉันบอกให้ไปพักผ่อนได้เขาไม่ยอม ว่าจะคอยนั่งเฝ้าน้าอยู่ทั้งคืน เขาบอกว่า
เป็นห่วงน้าจ๊ะ?????....จุกก็สงสัยเขาเหมือนกันว่าทำไมต้องมานั่งคอยเฝ้าน้าอยู่.... เจ้าจุกตอบ
หรือว่า อิอิๆๆๆ....มันจะรักน้าเข้าแล้วซินะ ปกติมันไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนี่นา....พอเป็นสาวหน่อยก็คิดจะมีความรัก
แล้วมันจะรักน้าและทำอะไรได้หรือ จุกเองก็สงสัยมันเหมือนกันนะน้า???... เจ้าจุกตอบพร้อมหัวร่อลั่น
หญิงสาวนาม อ้อย ......หันไปค้อนเจ้าจุกเสียวงใหญ่แต่มิได้กล่าวอะไรเพียงก้มหน้ามองพื้นเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มหันหน้าไปมองร่างของหญิงสาวที่ออกจะสวยงามนัก พลางกลางว่า...
ขอบใจแม่อ้อยมากนะที่คอยเฝ้าดูแลฉันทั้งคืนเลย นี่ก็สายแล้วไม่ง่วงหรือ???.... ชายหนุ่มถาม
แม่อ้อยหันหน้ามามองเขาท่าทางออกจะเอียงอาย กล่าวขึ้นว่า....
อ้อยไม่ง่วงหรอกจ้า....ใจเป็นห่วงแต่น้านี่แหละถึงจะไปนอนก็คงนอนไม่หลับ ไม่รู้ซินะทำไมถึงเป็นอย่างนี้
เมื่อก่อนนั้น ฉันก็ไม่เคยเป็นและมักจะแอบหนีไปนอนก่อนใคร แต่พอเจอน้านี่แหละทำให้จิตใจอ้อยปั่นป่วนไป
หมดเลยล่ะจ๊ะน้า????.... หล่อนกล่าวแล้วชะงักคำพูด ทำให้ชายหนุ่มชักสงสัยมากขึ้น
อ้าวเป็นอย่างนั้นไป????... ชายหนุ่มอุทานเบาๆ
อย่างนั้น.....น้าก็ทำให้หนูสับสนนะซิ ขอโทษด้วยนะอ้อย... ชายหนุ่มกล่าว
เพื่อน้าอ้อยทนได้จ้า เพียงกลัวว่าน้าจะลืมอ้อยเสียล่ะ????.... หล่อนกล่าวด้วยใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มนั่งคิดหรือว่า????....ชายหนุ่มซึ่งตอนนี้ออกจากกระโจมแล้ว เขาหันไปมองทั้งสอง สำหรับอ้อยนั้น
เขาไม่อยากจะคิดเกินเลยไปกว่านั้น พร้อมกล่าวว่า
อ้อยไปพักผ่อนได้แล้วจ้า ฉันไม่ลืมอ้อยหรอก ยิ่งอ้อยมีน้ำใจแก่ฉันแบบนี้นะ เอาล่ะเดี๋ยวฉันไปทำธุระก่อน
แล้วจะคอยรับหลวงพ่อท่าน จะได้ช่วยเหลือท่านถือของจ้า ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
จ๊ะๆน้า งั้นอ้อยไปพักผ่อนก่อนนะ เดินเหินก็ควรระวังหน่อยนะถนนไม่ค่อยจะดีด้วยอ้อยเป็นห่วงจ้า
อ้อๆๆแล้วน้าจะมาอีกไหมล่ะ???.... เด็กสาวที่เป็นสาวแล้วกล่าวถามขึ้น
มาซิจ๊ะอ้อย ต้องมาเยี่ยมหลวงพ่อก่อน เรื่องเมื่อคืนนี้ทำให้น้าคิดว่าจะขอร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อไว้ป้องกันตัว
เองบ้างจ้า ชายหนุ่มกล่าวลอยๆ....
แล้วน้าจะกลับกรุงเทพฯอีกเมื่อไหร่ล่ะ หนูตามน้าไปได้ไหม น้าจะรังเกียจหนูไหมจ๊ะน้า????.... หญิงสาวถามขึ้น
คงอีกนานเหมือนกันแหละ ขอเขามาเดือนหนึ่งแต่ว่า หากจะขอร่ำเรียนวิชากับหลวงพ่อและพ่อแม่บ้างยังไม่รู้เลยว่า
จะต้องใช้เวลานานเท่าใด หากยังไม่ได้ผลก็คิดว่าจะโทรฯไปลางานเขาต่อไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า ชายหนุ่มกล่าว
พลันเขานึกขึ้นได้ อ้าวแล้วอ้อยจะไปกับน้าได้อย่างไรล่ะในเมื่อต่างภพกันนะ หลวงพ่อจะอนุญาตหรือ???...
ได้ซิจ๊ะน้า เพียงน้าขอกับหลวงพ่อท่านว่าจะขอหนูไปอยู่ด้วย ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอกด้วยน้าเป็นลูกของ
พ่อเชียรแม่เข็มซึ่งหลวงพ่อรักและเกรงใจ ด้วยต่างก็มาต่อวิชาความรู้กันเสมอๆ
เมื่อท่านอนุญาตแล้วน้าก็จะรู้เองแหละจ๊ะ หญิงสาวกล่าวขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่น้าอย่าลืมอ้อยถือเป็นสัญญานะน้า
อืมมม????.... แล้วน้าจะลองพูดกับหลวงพ่อดูนะ แต่อย่าพึ่งหวังอะไรมากนักล่ะ ชายหนุ่มตอบ
เขาแลเห็นใบหน้าหญิงสาวนามอ้อยรู้สึกสดชื่น แสดงอาการดีอกดีใจมาก แล้วหล่อนก็กล่าวว่า......
น้าอย่าลืมสัญญานะว่าจะขอหนูกับหลวงพ่อ หนูจะได้ไปเที่ยวกรุงเทพสักที ไม่เคยไปและจะคอยช่วยเหลือ
น้าดูแลบ้านน้าให้จ้า....และช่วยเรื่องอื่นๆอีกจ๊ะ แล้วหล่อนก็หยุดชะงักไม่กล่าวต่อ ทำให้ชายหนุ่มยิ่งสงสัย
แต่ไม่ได้กล่าวอะไรอีก คงแกล้งทำเป็นค้นหาของในเป้เพื่อจะให้ทั้งสองรู้ว่าเขาต้องไปทำกิจธุระของเขา
อีอ้อยมึงชักจะมากไปแล้วนะโว้ย????..... เสียงเจ้าจุกร้องบอก
น่าๆๆๆพี่จุกก็ ก็อ้อยอยากจะไปเที่ยวกับน้านี่นา แล้วพี่จุกไปคิดไปหรือไม่ล่ะ???.... หญิงสาวย้อนถามบ้าง
เออๆๆกูก็อยากไปเหมือนกัน แต่ห่วงหลวงพ่อและวัดว๊ะ เจ้าจุกหันไปกล่าวกับหญิงสาวนาม อ้อย
ชายหนุ่มสังเกตว่าเด็กสาวอ้อยที่เป็นหญิงสาวนั้นทำไมเรียกเจ้าจุกว่าพี่ ก็เกิดความสงสัย เพียงแต่ไม่อยากถาม
ด้วยเวลาเริ่มจะได้เวลากลับของหลวงพ่อแล้ว จึงกล่าวตัดบทว่า
ไม่ต้องเถียงกันหรอก ไปพักผ่อนกันได้ทั้งสองแหละ เดี๋ยวน้าจะไปคอยช่วยถือของให้หลวงพ่อนะ
จ๊ะน้า เจ้าจุกตอบ ส่วนหญิงสาวอ้อยก็หันมาทวงคำพูดจากเขาอีก น้าอย่าลืมนะน้าที่พูดกันไว้
สัญญาต้องเป็นสัญญานะแล้วร่างทั้งสองก็ค่อยๆจางหายไป......ชายหนุ่มก็สงสัยเหมือนกันเขาไปสัญญาอะไรกับหล่อน
ในเมื่อเขาไม่ได้กล่าวคำมั่นสัญญาสักหน่อย หล่อนเอออวยเองทั้งสิ้น แต่ช่างเถอะในเมื่อหล่อนมีน้ำใจต่อเขาเช่นนี้
เมื่อทั้งร่างสองหายไปแล้ว เขามานั่งนึกย้อนหลังว่าหลวงพ่อคงจะทราบจึงไม่ได้ปลุกเขา
ปล่อยให้เขานอนอย่างสบาย พอเขารีบจัดการกับผ้าจีวรออกมาพับเก็บพร้อมกับหมอนผ้าห่ม นำไปเก็บ
ไว้ให้เป็นที่เป็นทาง เพื่อรอมอบให้แก่หลวงพ่อต่อไป
แล้วรีบไปค้นสัมภาระในกระเป๋านำแปรงสีฟันและยาสีฟันผ้าขนหนู เดินไปยังตุ่มน้ำที่เรียงรายข้างๆหอฉันท์ข้าว
หลวงพ่อจัดไว้หลายๆตุ่มไม่ห่างไกลนัก ตักน้ำขึ้นชำระใบหน้าและลูบตัวเท่านั้น หากอาบน้ำก็คงจะไม่ทันหลวงพ่อ
แน่เขาคิด แต่เมื่อเก็บของๆเขาเรียบร้อย อดที่จะมองไปยังห้องหลวงพ่อนึกถึงเด็กทั้งสอง แปลกๆเขาคิด
ครั้นจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปนั่งคอยหลวงพ่อและพระอื่นๆ ซึ่งมีประมาณไม่เกินห้ารูป
รวมหลวงพ่อเป็นหกรูปเท่านั้น เพื่อหวังจะช่วยเหลือท่าน ที่ชานบันไดหน้ากุฎี นั่งพิงพนักที่จัดขึ้นไว้
เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบคอยเวลากลับมาของท่าน นั่งคิดต่างๆนาๆในเรื่องของเมื่อคืนนี้ ตอนนี้ความหวาดกลัวหายไป
หมดแล้วและยังคิดถึงหญิงสาวแสนสวยแต่งกายชุดโบราณ ซ้ำยังมีหญิงสาวนามอ้อยอีก ทั้งคู่สวยต่างรูปแบบกัน
บุหรี่ยังไม่ทันหมดมวน
เขาก็แลเห็นหลวงพ่อถือบาตรเดินนำหน้าภิกษุเดินเรียงเป็นแถวเดินตามกันมาตามถนน
ที่ค่อนข้างเรียบพ้นพุ่มไม้ มุ่งมาทางกุฎีหลวงพ่อ ที่จริงกุฎีหลวงพ่อไม่ใหญ่โตนัก และยังมีกุฎีอีกหลายหลังซึ่งล้วน
ทำด้วยไม้ธรรมดาหลังคามุงหญ้าคาที่ทำด้วยต้นหญ้าซ้อนทับกันหลายๆชั้น
ด้วยหาต้นจากไม่มีในบริเวณแถวนี้ วัดหรือก็อยู่บนเนินเขา มองต่ำลงไปเห็นต้นไม้นานาชนิด
บ้างก็เป็นแปลงที่ชาวบ้านเพาะปลูกเลี้ยงชีพ แยกเป็นขั้นๆไป
โอ้วว.....ช่างเป็นบรรยากาศที่สวยงามถึงแม้ว่าจะทุรกันดารสักหน่อย ไฟฟ้าไม่มีใช้ ต่างใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด
ทั้งสิ้น บ้านแต่ละหลังปลูกห่างๆกันมาก แต่เขาอยู่ในที่สูงจึงมองเห็นสภาพดังกล่าวได้อย่างชัดเจน
อากาศตอนเช้าช่างบริสุทธิ์สดชื่นนัก ทำให้เขาคิดยามนั่งคอยหลวงพ่อว่า เหตุใดอายุของชาวบ้านและพระถึง
ได้มีอายุยืนยาวนัก ก็ด้วยอากาศนั้นปราศจากมวลสารพิษนั่นเอง และทานอาหารที่ปลูกขึ้นแทบทั้งสิ้น
เขารีบขว้างบุหรี่ทิ้งพร้อมทั้งลงบันได วิ่งไปรับท่านช่วยรับบาตรหลวงพ่อและช่วยภิกษุถือย่าม
กลับมาบนกุฎีทันที ก่อนขึ้นบันไดจะมีโอ่งน้ำไว้คอยล้างเท้า พระทุกๆองค์ก็ต้องทำเช่นนั้นเหมือนกัน
อาศัยที่เคยเป็นเด็กวัดคลุกคลีมาก่อนถึงแม้ว่าจะไม่ได้นอนที่วัดก็ตามที แต่รู้หน้าที่ว่าจะทำอย่างไรบ้าง
ในระหว่างการนำภาชนะมาจัดแยกอาหารออกใสถ้วยแล้วนำใส่ถาด พระที่วัดนี้ท่านฉันท์เอกา หมาย
ถึงว่าฉันท์มื้อเดียวเท่านั้น
พอได้เวลาฉันท์อาหาร หลวงพ่อและพระอีกห้ารูป ต่างก็ทยอยมายังกุฎีหลวงพ่อก้าวขึ้นบันไดมา
แล้วก็พากันนั่งเรียงรายเป็นแถว บนหอฉันท์ที่หลวงพ่อยกสูงไว้ต่างหากเป็นทางยาว หน้าบริเวณหน้า
ห้องของหลวงพ่อซึ่งเป็นลานกว้างพอสมควร หอฉันท์นั้นสร้างติดกับผนังกุฎีตรงข้ามกับห้องของ
หลวงพ่อซึ่งเป็นซี่ๆห่างกันประมาณสองสามนิ้วตลอดผนัง ใช้ระบายอากาศถ่ายเทสำหรับการฉันท์
ครั้นมาพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว พระทั้งหมดพากันก้มลงกราบพระพุทธรูปที่วางด้านขวามือหลวงพ่อ
พร้อมๆกันสามครั้งแล้วก็นั่งเรียงลำดับตามความอาวุโส โดยมิได้กล่าวคุยกันเลยยังที่เคยนั่งตามเดิม
ดังนั้นเขานำถาดใส่อาหารไปมอบให้พระรูปสุดท้ายก่อน เมื่อท่านตักอาหารข้าว ส่วนใหญ่เป็น
ข้าวเหนียวทั้งสิ้น ใส่ลงไปในบาตรแล้วนำพวกอาหารแกงหวานคาวใส่รวมกันในบาตร แล้วยกมือไหว้
พระอาวุโสกว่า พระอาวุโสกว่าก็ยกมือขึ้นรับไหว้รับแล้วนำถาดอาหารมาเลือกใส่ลงในบาตรตามใจชอบ
ทำแบบเดียวกับองค์แรก จนถึงหลวงพ่อที่นั่งอยู่หัวแถว
เขาก็คอยไปรับถาดอาหารจากหลวงพ่อมาวางข้างๆตัว พลางยกมือขึ้นพนมไหว้ รอการฉันท์ของพระให้
เสร็จก่อน จึงจะถึงเวลากินอาหารของเขา ที่ด้านข้างบาตรแต่ละองค์เขานำโถน้ำพร้อมแก้วและโถเพื่อ
ใช้สำหรับคายสิ่งของวางเคียงคู่กันไว้
บรรดาพระทั้งหมดก็นั่งหลับตาภาวนาไปมิได้ทานอาหารทันที ลืมตาขึ้นแล้วพิจารณาของในบาตรสักครู่
หนึ่งจึงลงมือฉันท์อาหารในบาตร หากหมดแล้วจะมาขอเพิ่มอีกไม่ได้เป็นอันขาดต้องกะให้พอเพียงแก่ความ
อิ่มของท่านเท่านั้น ครั้นท่านฉันท์จนเรียบร้อยก็พนมมือกล่าวแผ่เมตตาสรรพสัตว์ทั้งปวงทันที
ก็เป็นอันเสร็จพิธีในการฉันท์อาหารมื้อเดียว ในระหว่างการฉันท์อาหารจะไม่มีพระรูปใดคุยกันเป็นอันขาด
บางรูปมีธุระจะกลับกุฎีก็หันมาก็กราบพระพุทธรูปแล้วก็ค่อยๆถอยหลังออกมา แล้วยืนกลับกุฎีท่านทันที
คงเหลือแต่เพียงหลวงพ่อเท่านั้น ท่านได้กล่าวว่า
เอ็งเก่งนะไอ้โชติ จากกันไปหลายๆปีจนโตเป็นหนุ่มก็ยังไม่ลืมหน้าที่เด็กวัดอยู่เลย......
ครับหลวงพ่อ ผมจะลืมข้าวก้นบาตรได้อย่างไรล่ะ ผมก็เติบโตมาจากบ้านและจากวัดนี่แหละครับหลวงพ่อ
เรียนหนังสืออ่านออกเขียนได้ก็จากหลวงพ่อที่สอนผมมาทั้งนั้นแหละครับ
หลวงพ่อท่านหัวร่อ ฮึๆๆๆ แล้วก็กล่าวกับเขาว่า
เอ็งกินอาหารได้แล้วเดี๋ยวก็คงจะกลับไปหาโยมเชียรกับโยมเข็ม รีบๆกินข้าวซะ
ครับหลวงพ่อ ชายหนุ่มกล่าว
แล้วรีบทานอาหาร เมื่ออิ่มแล้วก็นำถาดถ้วยแกง พร้อมบาตรพระทั้งหมด ไปล้างทำความสะอาดนำมาเช็ดถูกให้แห้ง
นำไปเก็บไว้ในตู้ใส่ของ ส่วนบาตรนั้นพร้อมฝาบาตร ได้นำไปผึ่งตากแดดยังโต๊ะที่ทำเป็นซี่ๆคอยวันรุ่งขึ้นต่อไป
เมื่อเขาจัดการหน้าที่เรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อตอนนี้ท่านได้เข้าไปในกุฎีเรียบร้อยแล้ว เขาก้าวเข้าไปหาท่านภาย
ในกุฎี พร้อมกราบลาเพื่อจะกลับไปบ้าน
ทันใดหลวงพ่อเสมือนกับรู้ใจเขาท่านกล่าวว่า....
ข้าไม่เคยสอนใคร รับใครเป็นศิษย์กูเลย แต่เฉพาะมึงกูจะสอนให้นะ อ้อเรื่องที่มึงรับปากกับ ผีนางอ้อยนั้นไม่เป็น
ปัญหาหรอก แต่มึงต้องคอยระวังมันไว้นะกูชักสงสัยมันเหมือนกันว๊ะ......
ชายหนุ่มตลึง????.... หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมาขอร่ำเรียนวิชาเพื่อป้องกันตัว กับท่าน และจะทำตามสัญญา
ที่เคยกล่าวบอกไว้กับหญิงสาวนาม อ้อย
เมื่อหลวงพ่อทองเห็นดังนั้นก็หัวร่อเบาๆ เรื่องของมึงกูรู้หมดแล้วล่ะ แต่ก็ดีไปอย่างจะได้ช่วยเหลือมึงอีกแรงหนึ่ง
หลวงพ่อกล่าว พร้อมหัวร่อ ฮึๆๆๆ....
คราวนี้เล่นเอาชายหนุ่มงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย....พลางหันไปกราบหลวงพ่อ พลางกล่าวว่า
แล้วแต่หลวงพ่อจะเมตตาครับ
หลวงพ่อตอบว่า ทำไมจะให้มึงไม่ได้ก็กูเลี้ยงมึงมาตั้งแต่ยังเด็กๆอยู่นี่นา เห็นว่ามึงมันห้าวนักไม่กลัวคน กูเลย
ไม่กล้าสอนวิชาอาคมให้แก่มึง กลัวมึงจะถือดีเกินตัวไป แต่นี่มึงเป็นผู้ใหญ่แล้วมีความคิดอ่านแล้วเรียนหนังสือ
ก็สูง มีงานมีการทำ ย่อมคิดได้ว่าอะไรดีไม่ดี วิชากูมันใช้ดีไปก็ดี ใช้ไม่ดีก็จะเข้าตัวมึง กูไม่อยากให้มึงตั้งตัวเป็น
เป็นอาจารย์อวดเก่ง แต่นี่มันจำเป็นด้วยดวงมึง กล่าวแล้วก็ชะงักมิกล่าวต่อไปอีก.....
เสียงหลวงพ่อกล่าวกำชับไว้อีกว่า หากมึงเรียนกับกูแล้ว กูห้ามมึงอย่าได้ไปแสดงตัวว่ามีวิชาอาคมและตั้งตัวเป็น
อาจงอาจารย์เหมือนคนอื่นนะ เพียงเอาไว้ใช้ป้องกันตัวมึงเท่านั้นพอ หรือก็ช่วยเหลือคนอื่นเขาตลอดจนช่วยเหลือ
สร้างผลบุญทางพุทธศาสนาไว้นะโว้ย อีกอย่างหนึ่งเรื่องผู้หญิงมึงต้องระวังให้หนักๆไว้
ทำใจมึงให้เป็นหิน มีสติสัมปชัญญะไตร่ตรองหาเหตุผลเสมอ อย่าลุแก่อำนาจโทสะเป็นอันขาด มึงจำคำกูไว้ด้วย
หลวงพ่อกล่าว....
ครับหลวงพ่อ ผมจะจำคำหลวงพ่อไว้ไม่ให้ผิดพลาดได้หรอกครับ
เออ!!!!!....ข้อนี้กูเชื่อมึง ด้วยมึงมีนิสัยโตขึ้นเหมือนโยมเชียร โยมเข็ม ไม่แสดงตัวใจเย็นนอกจากจำเป็น
และนี่ก็จะไปร่ำเรียนกับพ่อมึงและแม่มึงอีกด้วยนะซิ เออ!!!!ดีพ่อแม่มึงกับกูวิชาอาคมแม้จะแตกต่างกันแต่กิน
กันไม่ลง ตั้งแต่กูธุดงค์ไปหลายๆจังหวัดต่างบ้านต่างเมืองร่ำเรียนวิชามา ก็ยังไม่เคยเห็นใครจะทัดเทียมพ่อแม่
ของมึงได้สักรายเลยว๊ะ แต่โยมเชียรและโยมเข็มกลับไม่แสดงตัวเอง หากตายไปคงจะสูญหมดเสียดายว๊ะ หาก
มึงได้รับการถ่ายทอดไว้ เพื่อช่วยเหลือศาสนาก็จะดีไม่น้อย หลวงพ่อกล่าวขึ้น
ครับหลวงพ่อ ผมเพียงคิดจะเอาไว้ใช้ป้องกันตัวเท่านั้น ส่วนเรื่องผู้หญิงผมคงจะไม่เด็ดขาดหรอกครับ ผมเห็น
ปัญหามีมาก ชายหนุ่มกล่าวกับหลวงพ่อ
แต่ดวงของมึงมันแปลกประหลาดว๊ะ ไม่เหมือนกับคนอื่นๆกูมองเห็นกาลข้างหน้าแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ
เป็นอย่างไรหรือครับหลวงพ่อ???.... ชายหนุ่มถาม
กูบอกไม่ได้หรอกว๊ะ!!!!!..... เดี๋ยวกูจะผิดศีลในข้ออวดอุตริมนุษยธรรมไปเสีย หลวงพ่อเอ่ยขึ้น
แต่ช่างเถอะด้วยชะตามึงมันมาแบบนี้เองนี่หว่า หากมีอะไรมึงมาหากูก็แล้วกันนะ หลวงพ่อสั่งไว้
ครับๆหลวงพ่อ หากเป็นดังที่หลวงพ่อกล่าวผมจะมาหาหลวงพ่อครับ
เอ๊ะๆ!!!!!....กูจะอยู่ทันไหมหนอ หลวงพ่ออุทานออกมาเบาๆ
คงไม่เป็นไรหรอกครับหลวงพ่อ ผมเองทำใจได้แล้วครับ อายุก็มาปานนี้แล้วผู้หญิงผมไม่เคยสนใจนอกจาก
ทำงานอย่างเดียว
แต่มันจะมาหามึงเอง ไม่ใช่มึงไปหามันหรอกว๊ะและอีกอย่างหนึ่ง กล่าวยังไม่จบหลวงพ่อก็หยุดไปเฉยๆ
มึงไม่ต้องถามอะไรกูอีกแล้ว นี่ก็สายรีบไปพบพ่อแม่มึงเถอะ เขารู้แล้วว่ามึงเป็นอย่างไรกำลังคอยอยู่ว๊ะ
งั้นผมกราบลาหลวงพ่อก็แล้วกันนะครับจะได้รีบไป........
เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกูไปหยิบของมาให้มึงก่อน แต่ว่ามึงต้องระวังกำชับมันด้วยนะ กล่าวจบหลวงพ่อก็หันไปทาง
หิ้งพระ เขามองดูเห็นเต็มไปด้วยของพะรุงพะรัง ระเกะระกะ หลวงพ่อค้นหาสักครู่ก็หยิบเอาออกมา
แล้วยกขึ้นระหว่างหน้าอกหลับตาภาวนาอะไรก็ไม่รู้ ชายหนุ่มนั่งมองจนเวลาผ่านไปนานพอสมควร
พลางยื่นให้เขาและยังบอกมนต์กำกับการใช้บังคับให้ด้วย และให้ชายหนุ่มท่องให้ฟังหลายๆเที่ยวจนแน่ใจแล้ว
ซึ่งชายหนุ่มจำได้อย่างแม่นยำด้วยคาถาที่หลวงพ่อบอกไม่ยาวมากนัก ท่านกล่าวว่า
เออ!!!!....หัวมึงไวจำได้ดี อย่างนี้ซิถึงสอบชิงทุนไปเรียนในกรุงได้ พลางหลวงพ่อหัวร่อลั่น...
ใช่แล้วเขาเพียงทบทวนสองสามเที่ยวก็จำได้ขึ้นใจ เขามองของที่หลวงพ่อนำมาให้เป็นรูปไม้แกะเป็นรูป
ผู้หญิงแต่งกายสวยงามนัก มันช่างคล้ายๆใครหนอ ตอนนั้นเขานึกไม่ออกจริงๆ
เออๆๆๆ....มึงนำใส่กระเป๋ากางเกงก็ได้เวลาไปไหนๆ ก็นำไปด้วยก็แล้วกันบอกเขาด้วย เวลากินอาหารอะไร
ก็บอกเขาว่ากินได้ไม่ต้องเรียกไม่ต้องบอก หากหิวก็เลือกกินอาหารได้หรือกินก่อนก็ได้นะ จำหลวงพ่อไว้
ครับหลวงพ่อ แล้วชายหนุ่มก็ก้มลงกราบท่าน
เออๆๆมึงไปได้แล้วไปพบพ่อแม่มึง ตอนเย็นมึงมาหากูด้วยนะ กูจะถ่ายทอดให้มึงให้หมด
คงใช้เวลาไม่นานหรอก แต่เอาไว้ช่วยศาสนาเรานะหากเขาต้องการ อย่าเสือกไปเสนอตัวเองล่ะ....
อาศัยปัญญามึงไม่ช้าหรอกเรียนของกูหมด
ครับหลวงพ่อ ผมจะมานมัสการหลวงพ่อทุกๆเย็นแหละครับ ชายหนุ่มกล่าวพร้อมก้มลงกราบหลวงพ่อ
เออๆๆๆ....โชคดีมีชัยนะ จำเริญๆสุขเถิด พ้นเคราะห์พ้นโศกนะ มาๆๆๆมึงมาใกล้ๆกูหน่อย
ชายหนุ่มคลานไปหาหลวงพ่อทองทันที ท่านก็จับหัวของเขาแล้วเอาอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าปลายแหลมคมเขียนอะไร
บนหัวเขาแล้วเป่าลงบนหัว แปลกจริงๆ ร่างกายเขาเย็นยะเยือกเหมือนใครเอาน้ำแข็งผสมน้ำมาราดหัวเขา ขนเขา
ลุกชันไปหมด เขาจำได้ว่าสามครั้งแล้วตบหัวสามครั้ง แล้วท่านก็บอกว่าไปได้แล้ว
ชายหนุ่มหันมากราบหลวงพ่อทองอีกครั้ง แล้วยกสัมภาระกระเป๋าสะพานบนไหล่ทั้งสอง
ข้างปล่อยสิ่งของไว้ข้างหลัง หันหน้ามาทางกุฎี พลางพึมพร่ำเบาๆ
อ้อยเอ๋ย....น้าทำตามสัญญาแล้วนะ มามะมาไปอยู่ด้วยกันนะ หูเขาแว่วได้ยินเสียงหัวร่ออย่างดีอกดีใจแว่วเข้ามา
เจ้าจุกและพวกเอ๋ย....น้าขอบใจพวกเจ้าทั้งหลายนะ น้าไปก่อนนะแล้วจะมาเยี่ยม
เสมือนมันจะรับรู้ด้วยเกิดลมพัดมาต้องกายเขาเป็นระยะ แต่ไม่ใช่ลมโชยแน่นอน เขาคิดเนื่องจากมองไปที่ยอดไม้
ไม่เห็นใบไม้ไหวเลย เขาเชื่อแล้วว่าผีมีจริงด้วยประสบการณ์เมื่อคืนนี้หากไม่ได้พวกเจ้าจุก กับหญิงสาวชุดแต่งกาย
โบราณมาช่วย
พลันนึกสังหรณ์ใจเมื่อเดินออกจากประตูวัดไปแล้วย้อนกลับไปยังต้นตะเคียนที่เขาเจอหญิงสาว ลมพัดโชยเบาๆ
เขาเดินไปเอามือลูบที่ต้นตะเคียนเบาๆ ความรู้สึกว่าได้กลิ่นหอมเหมือนกับที่เคยเจอเมื่อคืนนี้หวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
เขาบอกกล่าวคนเดียวเบาๆว่า ขอบใจแม่นางมากนะที่คอยช่วยเป็นเพื่อนหากแม่นางอาศัยที่นี้ก็จงรับทราบด้วย
แต่จะมาเยี่ยมเสมอๆ หากแม่นางอาศัยวิมานบนต้นไม้นี้ก็จงขอให้แสดงให้เห็นด้วยเถิด พอสิ้นเสียงกล่าวของเขา
ทันใดนั้นเอง กิ่งไม้ตะเคียนขนาดเท่าข้อมือเขาหักหล่นลงมาต่อหน้าเขา เล่นเอาเขาตกใจเขาหันไปมองดูบน
ยอดต้นไม้ แล้วก้มลงมองที่พื้นเห็นเป็นกิ่งไม้แห้งขนาดย่อมๆยาวกว่าฝ่ามือเขาได้
แปลกเขาคิดมันน่าจะหักมาทั้งกิ่งนี่นา แต่นี่เหมือนกับเป็นท่อนไม้ที่ถูกตัดไว้เรียบร้อยแล้ว เขาหยิบท่อนไม้
ขึ้นมาพิจารณาพลางดมกลิ่นดู ความรู้สึกว่ามีกลิ่นหอมจางๆหรือแม่นางตะเคียนจะมอบให้แก่เขากระมัง
ดังนั้นเขาจึงปลดเป้กระเป๋าออกมาเอาท่อนไม้นั้นใส่ลงไปแล้วสะพายเหมือนเดิม พลางกล่าวขอบคุณเบาๆ
แล้วเขาก็นึกอย่างไรไม่รู้ หันไปจูบเบาๆที่ต้นตะเคียนซึ่งมีกลิ่นหอม ความรู้สึกว่าชื่นใจยิ่งนักจริงๆ
เสียงร้องอุทานผ่านสายลมมาเป็นเสียงแผ่วเบาๆ........
อุ๊ย!!!!!????.......แล้วเสียงนั้นก็จางหายไป นอกจากเสียงสายลมที่พัดใบไม้ต้นนั้นไหวๆไปมาเท่านั้น
พลางกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วเดินย้อนกลับผ่านวัดไปทางหลังวัดเดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่บ้างเล็กบ้างไป
ตามทางที่ขรุขระ บ้างต้องเดินขึ้นเนินเขา ลัดเลาะไปตามไหล่เขา ถนนวกวนไปๆมาๆตลอดระยะทางที่เขาเดิน
แสงอาทิตย์สาดส่องแดดร้อนอบอ้าว จนเขาเหงื่อไหลย้อยท่วมตัวไปหมด แต่ยังดีที่มีสายลมและอากาศที่
ค่อนข้างจะเย็นๆ เขาเดินไปอย่างสบายอารมณ์ด้วยเป็นธรรมชาติอันแท้จริงอากาศสดชื่นยิ่งนัก ได้ยินเสียงนก
ร้องคล้ายๆช่วยเป็นเพื่อนเขา ในระหว่างที่เขาเดินนั้น ปราศจากผู้คนเลย รอบๆด้านมองเห็นภูเขาซ้อนสูงบ้างต่ำบ้าง
บ้านเขาไม่ห่างจากภูเขาเท่าไหร่นัก ใกล้ๆกับลำธารที่ไหลลงมาจากเขา เมื่อสมัยเด็กๆเขามักจะชอบมาเล่นน้ำเสมอๆ
เขาเดินหลีกบ้านที่ปลูกแต่ห่างกันมากกับบ้านเขา อาศัยที่เป็นถิ่นกำเนิดเขาจึงเดินตามทางแยกซึ่งมีทางแยก
มากมาย เขาแม้จะจากไปหลายๆปีจนเป็นหนุ่มก็ยังจำได้อยู่ เมื่อหลบหน้าผาเหลี่ยมเขา ก็มองเห็นบ้านเขาอยู่ไปอีก
ไม่ไกลนักสำหรับเขา แต่หากเป็นชาวกรุงก็คงจะต้องร้องลั่นเชียวล่ะ นั่นมันหมายถึงว่าต้องเดินเป็นกิโลๆ
ทันใดนั้นเสียงรถยนต์ดังบีบแตรขอทาง เนื่องจากเขาเดินอยู่กลางทางเดินเพื่อหลบเลี่ยงหลุมบ่อต่างๆ เสียงรถ
เขาหันไปมองด้วยความแปลกใจ เป็นรถเก๋งราคาค่อนข้างสูงด้วยเขาทำงานในกรุงเทพจึงรู้วิ่งฝุ่นตลบโคลงเคลงไปๆมาๆ เขายกมือขึ้นปิดจมูกกันฝุ่นสีแดงที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว พลางหลบเข้าข้างทางด้วยถนนนั้นเล็ก ใช้สำหรับรถเล็ก
เท่านั้น พอจะสวนกันได้ แต่ฝ่ายหนึ่งต้องชะลอเลี่ยงเข้าข้างทางก่อน คันอื่นถึงจะผ่านพ้นไปได้ เขามองเข้าไปภายในรถเห็นมีคนหลายๆคน ส่วนใหญ่จะเป็นหญิงเสียมากกว่าชาย พวกนั้นต่างร้องเสียงหวีดว้าย โอนเอนไปๆมาๆด้วยถนนหนทางไม่ดีนั่นเอง ต่างพากันหัวสั่นหัวคลอนไปหมด.........
* แก้วประเสริฐ. *
5 พฤศจิกายน 2553 20:51 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๔
หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไป ความวิเวกสงบหวนกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง แสงของนวลจันทร์ยังทอแสง
สว่างไสวไปทั่วลานวัด เสียงเด็กๆยังละเล่นกันอย่างครึกครื้นเสมือนหนึ่งไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น บางครั้ง
สาวน้อย นาม อ้อย ชอบหันหน้ามามองทางชายหนุ่มเสมือนครุ่นคิดอะไรๆในใจกลับไม่ไปเล่นสนุกสนาน
กับพวกดังเดิม เธอเดินเลี่ยงไปนั่งยังขอนไม้ที่วางไว้ริมโบสถ์ บางครั้งก็หันหน้าไปมองทางพวกเด็ก เด็กบางตน
หันมากวักมือเพื่อให้ไปร่วมเล่นด้วย แต่เธอสั่นหน้า บางครั้งก็หันหน้ามาทางบันไดที่ชายหนุ่มนั่งอยู่
คู่กับแม่นางคนสวยที่แต่งตัวแบบโบราณ ความรู้สึกในใจของหล่อนคล้ายๆจะหงุดหงิดได้เพียงนั่งตาเหม่อลอย
คืนนี้ท้องฟ้าสุกสกาวยิ่งนัก หมู่เมฆล่องลอยไปมีเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ปลายขอบฟ้าที่มืดมิด
ดวงดาวพากันส่องแสงระยิบระยับ คงเหลือไว้เพียงดาวดวงหนึ่งเท่านั้นที่ยังคอยเคียงคู่กับดวงจันทร์ทอแสงสกาว
สุกใส
ลมพัดไหวไปๆมาๆกระทบร่างกายชายหนุ่มเป็นบางครั้ง อากาศช่างเย็นนัก
เสียงน้ำค้างที่หยดจากใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้ภายในวัด หยดมาส่งเสียงดังเป็นบางครั้งฟังชัดเจน
ทั้งสองนั่งอยู่บนชานบันไดที่ยกสูงเป็นที่ใช้พักเหนื่อย ทั้งสี่ด้านยกเว้นทางขึ้นบันไดเท่านั้นที่มีทางเว้นไว้ทุกด้าน
ถูกสร้างเป็นพนักทำด้วยไม้ขวางกั้นเป็นทางยาวตามรูปแบบ
เพื่อใช้สำหรับพิงนั่งเล่นของพระภิกษุหลังจากบิณฑบาต หรือนั่งเล่นยามเย็นๆหรือก่อนจะลงโบสถ์สวดมนต์
ชายหนุ่มแปลกใจมากก้มมองดูสิ่งที่ใช้ปูนั่งนั้นกลับเป็นพรมชั้นดี ทอด้วยลวดลายหลากสีเป็นรูปป่าเขาลำเนาไพร
ประกอบด้วยสัตว์หิมพานต์นาๆชนิด เนื้อเป็นปุยขนนุ่มนิ่มยิ่งนัก หล่อนไปนำมาปูเมื่อไหร่ไม่รู้ ตอนต้นเขาก็ไม่ทัน
สังเกตหรอก เพื่อหล่อนจูงมือเขามานั่งทีแรกนึกว่าเสื่อธรรมดา แต่ก็ฉงนใจเหมือนกันที่มันช่างนิ่มเหมือนทำด้วย
ขนสัตว์บางอย่าง พรมแบบนี้ในวัดมีด้วยหรือแล้วหล่อนไปนำมาจากไหนล่ะ เขาเพียงฉงนในใจแต่มิได้ถามหล่อน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่นั่งเคียงคู่บนพรมนั้นต่างจ้องมองดูท้องฟ้าที่สกาวสวยสดยิ่งนัก ชายหนุ่มคิดอะไรบางอย่าง
จึงได้หันไปถามหญิงสาว
คืนนี้พระจันทร์แม้จะแหว่งนิดหน่อยแต่งามยิ่งนักนะเธอ ชายหนุ่มเอ่ยเพื่อหาทางสนทนา
จ๊ะ...คุณโชติ อากาศก็ดีเสียด้วย หากเมื่อกี้ไม่มีเหตุการณ์เราคงจะไม่ได้มานั่งคุยกันหรอกนะ หญิงสาวกล่าว
นั่นซิจ๊ะ แต่เอ๊ะ????..... ผมเองรู้จักคุณยังไม่ทราบนามคุณเลยล่ะ แต่คุณกลับทราบนามผมก่อน ชายหนุ่มเอ่ยบ้าง
ฉันหรือจ๊ะ???... แล้วหล่อนก็เอามือปิดปากหัวร่อเบาๆ แต่เสียงหัวร่อของเธอชายหนุ่มฟังดูมันช่างเสนาะหูยิ่งนัก
ซ้ำนั่งเคียงใกล้ๆกับเธอ กลิ่นหอมจางๆระเหยออกมาจากร่างของหญิงสาว จะว่าเป็นกลิ่นกฤษณา กลิ่นแก่นจันทร์
หรือกลิ่นแป้งกระแจะที่อบด้วยร่ำจากมวลไม้นาๆชนิดแล้วอบด้วยควันเทียนหอม
แต่มันช่างหอมหวนเย้ายวนจิตใจอารมณ์ของเขานัก
ชายหนุ่มสะดุ้งจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวเอ่ยนามของหล่อนขึ้น
อ้อๆๆฉันชื่อ รัตนาวดี จ๊ะ....
รู้สึกว่า เชยหรือเปล่าล่ะจ๊ะ???... หญิงสาวกล่าว
ผมว่าไม่หรอกครับ เพียงแต่แปลกใจนิดหนึ่งว่าไม่เหมือนกับชื่อของหญิงสาวทั่วๆไปเท่านั้น แต่ชื่อไพเราะจัง
ชายหนุ่มกล่าวตอบ
ไม่รู้ซินะ พอฉันเกิดมาท่านก็เรียกชื่อฉันเช่นนี้เลยล่ะจ้า..... หญิงสาวตอบ
อ้าว???...แล้วใครตั้งชื่อให้เธอล่ะจ๊ะ???... ชายหนุ่มถาม
ท่านท้าวมหาราชจ้า หญิงสาวกล่าวขึ้น พร้อมยกมือขึ้นจรดหน้าอกแล้วยกขึ้นเหนือหน้าผากหล่อน
ท่านท้าวมหาราช ฮึ!!!!!!?????...... เขาอุทานขึ้นเบาๆ
ใครหนอท่านท้าวมหาราช หรือว่า????.... ชายหนุ่มสะดุ้งนึกถึงคำพระท่านเคยกล่าวว่า ในโลกนี้ผู้ที่เป็นมหาราช
ที่ยิ่งใหญ่มีเพียงสี่พระองค์เท่านั้นที่ คอยควบคุมดูแลช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ จะเป็นองค์ใดหรือหนอ????....ชายหนุ่มคิด
ท่านองค์ใดหรือแม่หญิง????..... ชายหนุ่มถาม
ท่านท้าวกุเวรมหาราชจ๊ะ หญิงสาวกล่าว
พอฉันเกิดมาพระมเหสีกับพระองค์ตรัสว่า อ้อๆ..กลับมาแล้วหรือ แล้วเรียกชื่อฉันว่า รัตนาวดี
และยังกล่าวว่าเสียดายนะที่มีวิมานอยู่ด้วย แต่ยังไม่ถึงเวลาของลูก และยังกล่าวว่าฉันคือธิดาของท่าน
ก่อนจะลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ให้ฉันไปหาที่อาศัยอยู่พลางๆก่อน อีกไม่นานหรอกพบสิ่งที่ลูกต้องการ
แล้วก็คงจะกลับมาหาพ่อและแม่อยู่ในวิมานของลูก แต่ทว่าตอนนี้ไปอาศัยวิมานที่พ่อเนรมิตไว้ให้ลูกก่อน
พลางชี้มาทางที่ฉันอาศัยอยู่เป็นวิมานน้อยๆซึ่งเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของพระองค์ท่านจ้า.....
หญิงสาวกล่าวพลางสายตามองไปยังทางทิศเหนือเยื้องไปทางทิศตะวันออก
แต่พระองค์ทรงเมตตาย้ำแก่ฉันว่า ทนไปก่อนนะเพราะแรงอธิษฐานฉันแรงมาก ถึงมีวิมานอยู่แล้วแต่ยัง
ยังไม่ถึงเวลาที่จะไปอยู่ในวิมานของฉัน ต้องรอจนกว่าแรงอธิษฐานจะสมฤทธิ์ผลเสียก่อน
หญิงสาวกล่าวพร้อมหยุดชะงักไปสักครู่หนึ่ง...ก่อนจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมแต่หล่อนก็หยุดชะงักเสีย
แล้วหันไปทางชายหนุ่มพลางเอ่ยขึ้นว่า
เธอก็เหมือนกัน ท่านกล่าวเล่าให้ฉันฟังแต่ฉันไม่อาจจะเล่าให้เธอฟังได้ ด้วยท่านได้สั่งห้ามฉันไว้จ้า...
ชายหนุ่มมองใบหน้าที่สดสวย หากเขาจำไม่ผิดหล่อนช่างสง่างามสดสวยกว่าหญิงใดๆที่เขาพบเห็นมา
แม้แต่เด็กสาวชื่อ อ้อย ที่ว่าสวยแล้วหากมาเทียบกับเธอแตกต่างกันอย่างมากมายนัก
ชายหนุ่มอึ้งไปสักครู่หนึ่ง นี่หรือลูกสาวท่านท้าวมหาราชองค์ท้าวเวสสุวรรณ ที่พวกมนุษย์นับถือ
กันมากนักว่า หากใครมีรูปท่านไว้ในตัว พวกบริวารท่านมิอาจจะทำอันตรายได้ ยกเว้นพวกกุมภัณฑ์ซึ่ง
เป็นบริวารของท่านท้าววิรุฬหคมหาราชเท่านั้น นั่นซิถึงได้สดสวยสง่างามงดงามกว่าหญิงทั่วๆไป
ยิ่งนัก เขาทราบเรื่องราวเหล่านี้ด้วยเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะที่เคยเอ่ยพระนามของมหาราชทั้งสี่อยู่
แล้วอีกเมื่อไหร่ล่ะ ถึงจะได้เวลาไปสู่วิมานของเธอ???.... ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
หญิงสาวยิ้ม โอ้ช่างเป็นใบหน้าที่เปล่งประกายสวยงามนัก ยิ่งกระทบกับแสงของนวลจันทร์ยิ่งงามไปอีก
แบบหนึ่ง อย่างยากที่จะกล่าวพรรณาความงดงามได้
ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ ฉันจะเล่านิทานย่อๆ ซึ่งมันผ่านมานมนานในอดีตของฉันในภพหนึ่งซึ่ง
ก่อนที่จะไปเป็นธิดาของท่านท้าวกุเวรมหาราชเสด็จพ่อของฉันเวลานี้
ให้เธอฟังคร่าวๆก่อนนะจ๊ะว่าทำไมแรงอธิษฐานฉันจึงแรงมากนัก.... หญิงสาวกล่าวแก่ชายหนุ่ม
จ๊ะๆ???....ฉันจะคอยรับฟังดู แหมอากาศแบบนี้มันช่างสบายนัก และยิ่งได้รับฟังเหตุการณ์เก่าๆจากเธอ
ชายหนุ่มตอบแก่หญิงสาว อย่างตั้งอกตั้งใจฟังถึงเรื่องราวของเธอในอดีต
หญิงสาวหันมายิ้มกับชายหนุ่ม กลิ่นหอมจากร่างของเธอกลับรุนแรงหอมหวลมากยิ่งทำให้เขาเคลิบเคลิ้มไป
อย่างไม่รู้ตัว สภาพเกือบครึ่งหลับครึ่งตื่นจริงๆ ใจรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รับฟังอดีตเก่าๆที่ยากนักจะได้รับฟัง
หรืออาจจะรู้มาบ้างว่าจะตรงกันกับที่เขารู้หรือเปล่าหนอ???.... ชายหนุ่มเคลิบเคลิ้มคิด
หญิงสาวหลับตาสักพักหนึ่งคล้ายๆย้อนความหลัง แล้วลืมตาเล่าเหตุการณ์ในอดีตของเธอให้เขาฟัง.......
ในสมัยอยุธยาก่อนจะเสียกรุงครั้งแรกนั้น ฉันเป็นเจ้าหญิงของพระมหากษัตริย์ครอบครองกรุงศรีอยุธยา
อยู่ฉันนั้น เป็นธิดาองค์เล็กของพระองค์ ในวัยสาวนั้นฉันไม่สามารถไปไหนๆได้หรอก เสด็จพ่อรักหวงแหนมาก
นอกจากเล่นอยู่แต่ในอุทยานของตำหนักเท่านั้น
ล้อมรอบด้วยเหล่าทหารที่คอยระมัดระวังฉัน เขาเรียกว่าทหารมหาดเล็กหุ้มแพร สมัยนั้นกรุงศรีอยุธยารุ่งเรือง
มากด้วยบารมีของเสด็จพ่อทรงมีช้างเผือกมากมายนัก ฉันจะออกมาได้ก็ต่อเมื่อมาทำบุญใส่บาตรเท่านั้นจะไป
เที่ยวไหนๆไม่ได้ เสด็จพ่อท่านหวงเป็นห่วงฉันมาก ฉันมีคนสนิทเป็นทหารหุ้มแพรคนหนึ่งที่รูปร่างกำยำลำสัน
ซึ่งฉันไว้วางใจมาก รูปร่างน่าตาดีฉันสนใจเขามาก แต่เขากับเป็นคนไม่พูดมากนอกจากทำหน้าที่ของเขาเท่านั้น
ฉันเคยยั่วเขาเล่นเสมอๆ ยิ่งเขาไม่สนใจฉันเท่าไหร่ฉันยิ่งยั่วเย้าเขาเล่นเสมอๆเสด็จพ่อไว้ใจเขามาก
เขามักจะมีเรื่องกับ เจ้าพระยากลาโหมเพราะเรื่องของฉัน ตอนนั้นเจ้าพระยากลาโหมเป็นที่สนิทสนมไว้วางใจ
ของเสด็จพ่อมากเชื่อฟังเจ้าคนนี้ และก็เกรงใจเจ้าคนนี้ มันมักจะส่งสายตาและมายั่วเย้าฉันเสมอๆ เสด็จพ่อ
จึงมอบให้เขาพักอยู่ในตำหนักฉัน แต่อยู่ในที่อีกด้านหนึ่ง ฉันเคยแอบดูเขาในกลางคืนเขามักจะออกมาฝึกอาวุธ
เสมอๆ ฉันรู้สึกว่าเขาใช้อาวุธได้คล่องแคล่วว่องไวมาก เรียกว่าเกือบทุกชนิด ฉันเองก็ยังแปลกใจว่า
เหตุใดคนมีฝีมือเช่นเขา น่าจะไปเป็นทหารสู้รบมากกว่าจะมาเป็นแค่ทหารมหาดเล็กหุ้มแพร
อย่างน้อยเขาควรจะมียศถาบันดาศักดิ์สูง อย่างน้อยก็คงเป็นแม่ทัพได้ฉันคิดอย่างนั้น เหตุใดเสด็จพ่อจึงคอยให้
เขามาอารักขาฉันก็ไม่รู้ใจเสด็จพ่อ หรือว่าเสด็จพ่อจะทราบเบื้องหลังชายหนุ่มคนนี้มาแล้วจึงไว้ใจและมักจะออก
รับแทนเขา ยามที่เขามีเรื่องกับไอ้เจ้ากลาโหมด้วยเขาไม่เกรงกลัวถึงมันจะมีอำนาจมากสูงสุดในหน่วยทหารก็ตาม
มีหลายๆครั้งที่มันขอเสด็จพ่อเพื่อเอาตัวชายหนุ่มคนนี้ไป เสด็จพ่อไม่ยินยอมว่าจะเอาใครไปก็ได้ยกเว้น
ชายหนุ่มคนนี้เท่านั้น มันจึงหงอไม่รู้จะทำประการใด หรือเบื้องหลังพ่อของเขากับเสด็จพ่ออาจจะมีสัมพันธ์กัน
อย่างลึกซึ้งก็ได้ ข้อนี้ฉันไม่รู้ เวลาฉันไปทำบุญใส่บาตร หรือแม้จะสร้างกุศลใดๆก็ตามฉันมักจะนำเขาไปด้วยเสมอ
และให้เขาใส่บาตรร่วมกับฉันเสมอมามิเคยขาด
แปลกนะฉันนึกรักเขาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เหตุหรือด้วยผลกรรมอะไรจึงทำให้ฉันสนใจและเอ็นดู สงสาร รักเขา
มากก็ไม่รู้
หญิงสาวเล่าพลางก็หันหน้ามามองชายหนุ่มที่กำลังตั้งใจฟังหล่อนเหมือนอย่างตั้งอกตั้งจะรู้เรื่องความหลัง
แสงจันทร์เริ่มจะจางลง ความนวลของแสงจันทร์เริ่มจางลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากดวงจันทร์เคลื่อนที่จากเดิมและ
เหมือนคล้อยต่ำๆลงไปมากอยู่เหนือยอดไม้แล้ว หญิงสาวลอบอมยิ้มยิ่งมองยิ่งรู้สึกเสน่หามากขึ้นทุกที
เขาไม่รู้ว่าถูกหญิงสาวได้แอบมองเขาเสมอๆ การเล่าเรื่องสมัยกรุงศรีอยุธยาเขาแม้จะได้เคยศึกษามาบ้างแต่ก็แค่
เพียงผิวเผินเท่านั้น จนกระทั่งเสียงของหญิงสาวชะงักเว้นจากการเล่า นั่นแหละชายหนุ่มถึงได้เงยหน้าถามทันที
แล้วเรื่องต่อไปล่ะครับ???... ชายหนุ่มถามเพราะฟังเรื่องในอดีตของหล่อนอย่างน่าสนใจ
อ้อๆๆๆ?????.....เอาล่ะจะเล่าต่อให้ฟังอีกหน่อยนะนี่ก็จวนจะได้เวลาจากกันแล้วล่ะ หญิงสาวแต่งตัวโบราณ
เอ่ยขึ้น
ตอนนั้นฉันรักเขาเพียงข้างเดียว ในระหว่างใส่บาตรตอนแรกเขาไม่กล้า แต่ฉันบังคับเขาให้ใส่บาตรร่วมกับฉัน
ถวายสังฆทานพระ ไม่ว่าทำบุญอะไรๆก็ตามเขาจะมีส่วนร่วมกับฉันเสมอมา แต่เขาคิดอย่างไรฉันไม่รู้แต่ฉันนั้นได้
ลอบอธิษฐานเวลาทำบุญทุกๆครั้งว่า จะขออยู่ร่วมฉันท์สามีภรรยากันแม้ชาตินี้ไม่ได้ด้วยฐานันดรไม่ทัดเทียมกันก็
ตามหากชาติหน้ามีจริง ขอให้ฉันได้พบเขาและได้อยู่ร่วมกันเสมอๆ เมื่อกล่าวคำเช่นนี้รู้สึกว่าน้ำเสียงหล่อนจะสั่น
พล่า เขามองดูเห็นใบหน้าค่อนข้างจะเอียงอาย แต่เนื่องจากมีแค่แสงจันทร์เท่านั้น จึงไม่อาจจะแลเห็นใบหน้าที่
สวยงามนั้นเปลี่ยนสีเป็นอย่างใดบ้าง แต่ชายหนุ่มหาสนใจไม่ เขาเร่งให้หล่อนเล่าเรื่องต่อไปให้ฟังเท่านั้น ด้วย
เกรงว่าเรื่องจะไม่จบ เพราะหล่อนกล่าวว่าเวลาเหลือน้อยอีกไม่เท่าไหร่ก็ต้องจากไป และเขากับหล่อนจะได้พบ
กันอีกหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงได้คะยั้นคะยอเขาให้รีบๆเล่าให้ฟัง ว่าเขาสนใจเรื่องนี้มาก ดูเหมือนหล่อนจะทราบ
ความในใจของเขา จึงได้เล่าเนื้อความต่อไป.......
ต่อมาเจ้าพระยากลาโหมก่อการกบฏกับพม่า พม่ายกพวกมาตีกรุงศรีอยุธยา เขานำฉันหนีไปพร้อมกับพวกสนม
โดยให้ฉันออกไปทางด้านหลัง เขาบอกหนทางหนีให้ฉัน ฉันบอกให้เขาตามไปด้วย เขาบอกว่าหากเขาตามไปก็จะ
ทำให้ฉันหนีไม่พ้นด้วยพวกพม่ามันตีเมืองได้แล้ว จะขอเฝ้าตำหนักฉันหากบุญมีก็คงจะได้เจอกันหรอก เขาไม่ยอมทิ้ง
ตำหนักและบ้านเมือง เพียงให้สาวสนมปลอมแปลงเป็นฉันเพื่อหลอกพวกพม่า
เขาให้ฉันแต่งตัวแบบชาวบ้านซึ่งเขานำเสื้อผ้ามาให้ ฉันและสนมสองสามคนพร้อมด้วยทหารมหาดเล็ก
ที่เขาไว้วางใจไม่กี่คน ลอบหนีไปตามทางที่เขาบอกไว้ จึงหนีรอดพม่าไปได้ แต่ตัวเขายอมตายเพื่อบ้านเมือง
ต้องมาสิ้นชีวิตด้วยไม่ยอมให้พม่าเข้าเมืองได้ เขาช่วยออกไปต่อสู้กับทหารพม่ายังประตูเมืองพร้อมด้วยทหาร
ที่ยังคงมีความจงรักภักดีบ้านเมือง แต่เหล่าทหารนั้นได้เสียชีวิตหมดเหลือเพียงเขาเฝ้าประตูเมือง
ถึงแม้ว่าประตูเมืองจะเปิดอ้าแล้ว
ด้วยทหารของไอ้กบฏกลาโหมจะมาเปิดประตูเมืองให้แล้วก็ตาม เพื่อให้พวกพม่ายกทหารเข้าเมืองได้ง่าย
แต่พวกพม่าก็ไม่สามารถเข้าเมืองได้ ฉันรู้มาภายหลังจากนางสนมที่ปลอมตัวเป็นฉันและหนีตามฉันมาภายหลัง
ทหารทั้งกองทัพแม่ทัพนายกองของพระเจ้าบุเรงนองก็ไม่สามารถผ่านด่านเขาซึ่งมีเพียงคนเดียวเข้าเมืองได้
แม้จะยิงด้วยธนูเป็นจำนวนมาก ก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่เขาได้ เขาอาศัยเพียงแค่ดาบสองมือเท่านั้นปกป้องอาวุธ
นาๆนับประการ เขาฆ่าพวกแม่ทัพนายกองพม่าตายนับไม่ถ้วน จนพระเจ้าบุเรงนองต้องออกมาบัญชาการเอง พร้อม
ตรัสชมเชยเขา ไม่ให้ใช้ธนูยิงใส่เขาเพื่อจะดูความสามารถด้วยการส่งแม่ทัพนายกองเข้าไปต่อสู้กัน แต่บรรดาทหาร
พม่าต่างก็ตกตายไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้
จวบจนเขาหมดแรงนั่นแหละเขาถึงต้องอาวุธนับไม่ถ้วนยืนพิงกำแพงเมืองตายไม่ยอมล้มลงตายเอาดาบคู่ปักพยุง
ร่างไว้ พระเจ้าบุเรงนองพระองค์เสด็จมาเองประกาศห้ามเหล่าทหารตัดคอหรือทำลายร่างเขาเด็ดขาด พระองค์ทรง
ประกาศก้องให้เหล่าทหารพม่าและทหารไทยที่เป็นพวกไอ้กบฏกลาโหมว่า หากคนไทยมีใจเสมือนดังทหารผู้นี้แล้ว
กรุงศรีอยุธยาคงไม่สิ้น ข้าเองก็ไม่สามารถจะเข้าเมืองได้และสั่งให้ทหารให้นำศพเขาไปทำพิธีอย่างสมเกียรติยศทีใน
วัดในวังหลวง เมื่อจัดการกรุงศรีอยุธยาแล้วก็ทรงสร้างเจดีย์นำผงร่างกายเขาเก็บไว้ในเจดีย์
พร้อมจัดงานฉลองให้แก่เขาเป็นเวลาหลายเพลา ให้เหล่าทหารพม่าเคารพศพก่อนเผาและให้ถือเป็นตัวอย่างไว้
ฉันมารู้ภายหลังจากเหล่าทหารหุ้มแพรและเหล่าสนม ตลอดทหารที่หนีทัพมา ได้มาพบและนำพาฉันไปหลบ
ซ่อนไกลจากถิ่นพวกพม่าจะรู้ได้ ฉันเสียใจมากตรอมใจจนตายไป
ก่อนฉันจะตายฉันได้ทำบุญเป็นการใหญ่เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่เขา ด้วยความรักเขาจะรู้หรือไม่ก็ตามที
แล้วอธิษฐานขอพบเขาสักครั้งไม่ว่าจะเป็นภพใดก็ตามที จะนานเท่าไหร่ฉันก็จะรอคอยพบเขาโดยตั้งจิตมั่นนัก
ด้วยแรงอธิษฐานอันแรงกล้านี่แหละคือเป็นเหตุให้ฉันต้องติดตามเขามาหลายๆภพหลายชาติ
เพื่อตามหาเขาจวบจนทุกวันนี้
นี่แหละคือที่มาของแรงอธิษฐาน ความรักมั่นที่มีต่อเขานี่แหละ..... หญิงสาวเล่าให้ชายหนุ่มฟัง..........
ชายหนุ่มนั่งฟังหญิงสาวแต่งกายประหลาดอย่างเพลิดเพลินก็เลยเอ่ยถามว่า????......
อ้าวแล้วเธอพบเขาหรือยังล่ะ???...
พบแล้วจ้า...... ติดตามมานานแสนนานพึงจะมาพบแล้วล่ะ..... หญิงสาวกล่าวพร้อมกับยิ้มให้ชายหนุ่ม
อ้าวๆ......เธอพบกับเขาแล้วทำไมไม่ไปหาเขาเสียล่ะ???.... ชายหนุ่มกล่าวด้วยความสงสัย
พบแล้วแต่เขาไม่รู้หรอกจ้า ว่าฉันคือใคร.... หญิงสาวกล่าว
ในเมื่อเธอพบแล้วเหตุใดแม่นางจึงไม่บอกเขาล่ะ... ชายหนุ่มยิ่งสงสัย
แต่เขากับฉันมันอยู่คนละภพ เขาจะเชื่อฉันหรือ???.... หญิงสาวตอบ
นั่นซินะ!!!!!.....พบแล้วจะมีประโยชน์ใดเล่า อย่างที่เธอเล่าให้ฟังนะ.... ชายหนุ่มกล่าว
แต่ทว่าหากบุญวาสนาที่สร้างกันไว้ ท่านพ่อมหาราชเคยกล่าวไว้ว่า จะช่วยเหลือฉันจ๊ะแต่ต้องคอยเวลาอัน
เหมาะสมเสียก่อนจ้า.... หญิงสาวกล่าวขึ้น
ในไม่นานซินะเธอจะได้สมหวังเสียที ผมเองก็ยินดีกับเธอด้วย แล้วชายหนุ่มก็หันมายิ้มเสมือนให้กำลังใจ
ฉันเห็นจะต้องกลับเสียทีล่ะ นี่ก็ได้เวลาแล้วอีกไม่เท่าไหร่ก็จะสว่างแล้ว หลวงพ่อท่านก็จะตื่นแล้วออก
ไปบินบาตรแล้วจ้า หญิงสาวกล่าว พร้อมหันไปกราบยังห้องของหลวงพ่อพลางกล่าวพึมพรำเบาๆ
ดีเหมือนกันผมเองก็จะขอนอนสักงีบพักผ่อนหน่อย ชายหนุ่มกล่าวกับหญิงสาวเบาๆ
แล้วเขาและหล่อนก็ยืนขึ้น หล่อนก้มลงหยิบพรมขึ้นมา
ฉันไปก่อนล่ะนะ เธอพักผ่อนได้แล้วล่ะ
จ๊ะขอบใจเธอมากนะที่เล่าเรื่องเก่าๆให้ฉันฟัง แล้วชายหนุ่มก็บิดร่างกายทั้งซ้ายขวาเบาๆ ให้หายเมื่อยขบ
ร่างหญิงสาวก็เดินก้าวลงบันไดเดินไปยังประตูวัดหายไป ส่วนพวกเด็กๆและเด็กสาวก็หายไปไหนหมดเขาก็ไม่รู้
ด้วยกำลังฟังการเล่าของหญิงสาวแต่งกายชุดประหลาดให้เขาฟัง มิได้สนใจต่อพวกเด็กๆ เขาหมุนตัวกลับเดินไปที่
กระโจมจัดการบางอย่างให้เรียบร้อยแล้ว ก้มลงกราบพระบนหมอน นอนคิดไปๆมาๆถึงเรื่องราวต่างๆในคืนนี้ และ
ผล๊อยหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้...............
* แก้วประเสริฐ. *