31 มกราคม 2553 12:52 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 4
ด้วยความสงสัยจึงว่ายน้ำไปยังม่านน้ำตกทันที สิ่งที่เขาแลเห็น
เป็นโพรงขนาดย่อมๆ มีตะไคล้น้ำจับและต้นเฟิร์นขึ้นปิดบังปากโพรง
กิ่งก้านใบเขียวชอุ่ม ชายหนุ่มก้าวผ่านก้อนหินที่ลื่นพยายามเข้าไปดู
แต่พลันหวนคิดได้ว่า หากเขาเข้าไปตอนนี้หากพบสัตว์ร้ายอาศัยก็
ยากนักที่จะป้องกันตัวได้ จึงได้ถอยหลังหันตัวกลับก้าวลงน้ำอีก
แล้วว่ายน้ำไปยังฝั่งที่เขาตากเสื้อผ้ารวมทั้งมีดน้อยไว้ เขานั่งยังริมน้ำ
พลางคิดว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสา
ของมนุษย์ทำให้เกิดความสับสนขึ้นมา ใจหนึ่งก็อยากจะเข้าไปพิสูจน์
อีกใจหนึ่งก็กล้าๆกลัวๆ เขาเอนกายลงนอนตากแดดทั้งที่ตัวล่อนจ้อน
พลางใช้สมองขบคิดเรื่องนี้อย่างหนัก
ในที่สุดด้วยความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นสัญชาติฌานของมนุษย์ทำ
ให้เขาตัดสินใจทันที
“เอาว๊ะ!!!....เป็นไงเป็นกัน หากไม่เข้าไปพิสูจน์จิตใจเราจะว้าวุ่นยิ่งขึ้น”
ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง
ครั้นตกลงใจแน่วแน่แล้ว ก็ลุกขึ้นเดินไปยังที่ตากเสื้อผ้าซึ่งยังหมาดๆอยู่
จัดการรวบแล้วเอาผ้าคาดเอวมัดห่อไว้ที่มุมปลายด้านหนึ่ง ส่วนอีกปลายหนึ่งเขา
ก็นำมีดน้อยมาห่อไว้
ครั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขานำผ้าคาดเองที่หุ้มห่อของทั้งหมด ขึ้นพาดบ่าพัน
คอไว้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อมิให้หลุดหายไป แล้วค่อยๆหย่อนกายลงไปยังแหล่งน้ำ
อีกครั้งหนึ่ง เขาค่อยๆพยุงกายโดยมิให้น้ำได้ถูกกับเสื้อผ้าที่พันรอบคอไว้ พยุง
ร่างกระเพื่อมตัวช้าๆ กระนั้นน้ำยังเปียกเสื้อผ้าที่เขาพาดไว้เปียกบางส่วน ช่าง
เถอะเขาคิด ใจนั้นจดจ่ออยู่ที่หลังม่านน้ำตกซึ่งมีโพรงคล้ายๆถ้ำ
เมื่อมาถึงแล้วฝ่าสายน้ำแห่งม่านน้ำตกเข้าไป เสื้อผ้าก็เปียกชุ่มอีกครั้ง
“โถๆๆ...อุตส่าห์ไม่ให้เปียกยังเปียกอยู่ดี งั้น!!!...รู้อย่างนี้สวมใส่ตั้งแต่แรกก็ดี”
เขาอุทานเสียงออกมา
แล้วรีบแต่งตัวทั้งๆที่เสื้อผ้าที่บางแห่งขาดวิ่นไปอย่างรวดเร็ว เขามองท้องฟ้า
ดูแสงตะวัน เขานึกนี่คงจะตกราวบ่ายโมงกว่าด้วยพระอาทิตย์คล้อยเพียงเล็กน้อย
เหมาะที่จะเข้าไปอย่างน้อยแสงของพระอาทิตย์ก็ยังสอดเข้าไปบ้าง มิฉะนั้นเขาคง
จะมองอะไรไม่เห็นเป็นแน่แท้
ครั้นแต่งตัวเสร็จอย่างลวกๆแล้ว ก็แก้มัดชายผ้าคาดเอว นำมีดน้อยออกมาถือไว้
ด้วยมือขวาส่วนผ้าคาดเอวก็คาดที่เอวโดยฝักเหน็บไว้ด้วย เมื่อเตรียมพร้อมเรียบร้อย
เขาค่อยๆก้าวเข้าไปโดยแหวกต้นหญ้าเฟิร์นซึ่งมีใบหนาและมีหนามเล็กน้อยออก
ด้วยความไม่ประมาท เขาตัดต้นเฟิร์นซึ่งมีขนาดใหญ่พอประมาณ เลาะก้านกิ่งออก
เพื่อใช้ในการแหวกทางนำหน้า ค่อยๆใช้ต้นเฟิร์นเขี่ยไปก่อนจึงค่อยๆเดิน ภายใน
มืดแต่มีแสงสลัวๆ เขายืนปรับสายตาสักพักครั้นลืมตาขึ้นให้สายตาชินกับแสงภาย
ในถ้ำซึ่งมีขนาดปากทางแค่เอวเขาเท่านั้น เขาค่อยๆย่อตัวลงแล้วคลานเข้าไปอาศัย
ต้นเฟิร์นนำทาง เขาคลานสักพักความรู้สึกบอกว่า ภายในค่อยๆใหญ่และสูงขึ้นตาม
ลำดับ จนในที่สุดเขาสามารถยืนได้ เมื่อเขายืนขึ้นแล้วก็ให้สังเกตภายในอีกครั้งพบว่า
มีสายธารน้ำเล็กๆไหลคู่ขนานกับภายในถ้ำแล้วค่อยๆใหญ่ขึ้นตามลำดับคู่ขนาดกับถ้ำด้วย
ดังนั้นเขาจึงมองไปข้างหน้า ก็เห็นแสงสว่างจ้าอยู่ปลายถ้ำเล็กๆด้วยความที่เขา
มีประสบการณ์และศึกษาไว้พอประมาณพอจะทราบว่า ข้างหน้าคงเป็นทางออกของถ้ำ
ระหว่างภูเขานี้ ชายหนุ่มดีใจมากที่ไม่ต้องเสียเวลาปีนป่ายข้ามเขาซึ่งไม่รู้ว่าใช้เวลา
อีกเท่าไหร่ นี่คงเป็นทางลัดที่ธรรมชาติสร้างไว้ให้ เดินทางไปเรื่อยๆแสงสว่างยิ่งใหญ่
ขึ้นใหญ่ขึ้น ความสว่างเริ่มส่องเข้ามาในถ้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นก่อนจะออกจากถ้ำเขาเห็นมีบริเวณกว้างขวางด้านข้างของถ้ำ ชายหนุ่ม
หยุดชะงักเปลี่ยนใจที่จะออกจากถ้ำก่อนพระอาทิตย์จะหมดแสง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จึงเดินไปยังบริเวณที่กว้างขวางสำรวจบริเวณทันที สถานที่นั้นจัดดูคล้ายๆมีคนอาศัยอยู่
มาก่อนถึงแม้ว่าจะผ่านเวลาเนิ่นนาน โดยมีฝุ่นละออกและหยากไย่พอประมาณ เขาเหลือบ
ไปเห็นลักษณะคล้ายใต้มีด้ามไม้อยู่สองสามอัน จึงแน่ใจว่าคงจะมีคนเคยอยู่มาก่อนแน่นอน
ข้างๆใต้นั้นมีหินสองก้อน ทำให้ชายหนุ่มนึกนิยายโบราณที่เขาใช้หินเหล็กไฟมาตีกัน
ให้ประกายไฟเกิด
เขาหยิบหินสองก้อนนั้นขึ้นมาพิจารณาดูก็เห็นเป็นก้อนหินธรรมดาแต่ทว่าออกสีแดงดำ
อมคล้ำๆ ลักษณะผิดกับหินทั่วๆไปจึงทดลองนำมาตีดู เสียงดังกังวานแต่ไม่มีประกายไฟ
เกิดขึ้นเลย เขานึกว่าคงจะตีผิดเหลี่ยมกระมังจึงทดทองใหม่นำแหง่หินมาทดลองตีอีกครั้ง
คราวนี้ปรากฏประกายไฟแว๊ปๆขึ้น ชายหนุ่มดีใจมากจึงนำไม้ที่หุ้มห่อใต้ไว้มาด้ามหนึ่งแล้ว
วางไว้บนหินให้ปลายที่หุ้มห่อยื่นออกมาแล้วนำหินไฟมาตีให้ประกายไฟต้องกระชุไฟนั้น
เขาทดลองหลายๆครั้ง จนประสบความสำเร็จเมื่อประกายไฟต้องกับกระชุที่หุ้มห่อนั้นเกิด
ควันขึ้นมาและมีจุดไฟเล็กๆเขารีบนำขึ้นมาเป่าทันที ทันใดนั้นก็เกิดเปลวไฟลุกขึ้นทันที
ภายในถ้ำบริเวณลานกว้างนั้นก็สว่างกระจ่างดั่งแสงตะวันสอดส่องเห็นสภาพภายใน
ถ้ำได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขารีบเก็บหินกระชุไฟที่เหลือไว้เหน็บไว้ข้างๆเอวแล้วถือกระชุที่ติดไฟ
เดินสำรวจภายในบริเวณนั้นทันที หากไม่สังเกตให้ละเอียดก็จะมองไม่เห็นด้วยที่ผนัง
นั้นมีเหลือบหินซ้อนๆกัน มุมหนึ่งของที่ซ้อนนั้นเป็นบริเวณกว้างพอประมาณมีแท่นหิน
วางอยู่ เหนือแท่นหินนั้น มีซอกโพรงเล็กๆ เข้าก้าวขึ้นบนแท่นหินยกกระชุไฟส่องเข้าไป
ดูก็เห็น มีดาบเล่มหนึ่งและหนังสือสองสามเล่มวางเรียงไว้ เขาค่อยๆยื่นมือซ้ายออกไปดึง
ดาบและหนังสือนั้นออกมาทันที เขาต้องค่อยๆพลิกหน้าหนังสือนั้นสำรวจดูเป็นภาษาที่
เขาอ่านไม่ออกเลย แต่มีภาพต่างๆล้วนแล้วแต่เป็นการใช้สำหรับฝึกอาวุธแน่ๆเขาคิด
ความคิดอ่านที่จะออกจากถ้ำไปก็หยุดชะงักทันที เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าจะขอ
ศึกษาหนังสือเล่มต่างๆนี้ก่อน เขาวางหนังสือลงแล้วหยิบดาบที่มีฝักหนังหุ้มอยู่ลวด
ลายของปลอกช่างวิจิตรพิสดารนักเขาคิด ครั้นดึงตัวดาบออกปรากฏว่าเมื่อกระทบกับแสง
ของกระชุไฟก็เกิดประกายแพรวพราวเป็นประกายรุ้งเจ็ดสีทันที ใบมีดสีเขียวมรกต ทำให้
นึกถึงมีดน้อยที่เขานำมามิได้ช่างมีประพาฬคล้ายๆกัน
หรือว่า????....เขาคิดจะเป็นของคู่กันกระมังถึงได้มีประกายเหมือนๆกัน พลางหยิบ
มีดน้อยชักออกจากฝักทันที ยามใบมีดน้อยกระทบแสงกระชุไฟก็เกิดประกายแสงสีงดงาม
ดุจเดียวกันกับดาบเล่มนี้
แน่ล่ะคงจะเป็นของคู่กันแน่ๆ....ด้วยมีประกายและใบมีดคล้ายๆกัน เขารำพึงกับตัวเอง
แล้วก็จัดการสอดดาบกับมีดน้อยเข้าฝัก มีดน้อยก็เสียบเข้าข้างเอวส่วนดาบก็วางไว้ข้างๆตัวเขา
หันมาเปิดหนังสือ สองเล่มนั้นมีภาพการใช้อาวุธและคำอธิบายซึ่งเขาอ่านไม่ออกเลยสักตัวเดียว
ส่วนเล่มสุดท้ายไม่มีภาพอะไรเลยเป็นแค่ตัวหนังสือเท่านั้น สงสัยว่าจะเป็นเรื่องราวของดาบนี้
กระมังเขาคิดในใจ เมื่อปิดหนังสือทั้งหมดลงเขาก็เดินสำรวจภายในต่อไป แต่ก็ไม่มีอะไรอีก
นอกจากโพรงน้ำแอ่งเล็กๆที่มีน้ำหยดจากหินย้อยลงมายังแอ่งน้ำเล็กๆเท่านั้น สงสัยจะเป็นที่ล้าง
หน้าหรือว่าใช้กินในระหว่างอยู่ที่นี่ แล้วอาหารล่ะเขาคิดพยายามค้นหาตรวจดูแต่ไม่พบอะไรๆทั้ง
สิ้น คงจะไปหาเอานอกถ้ำนี่นา
เอาล่ะน่ะ!!!.....จะพักที่นี่สักพักเขาคิด เพื่อจะขอศึกษาภาพต่างๆนี้ก่อนที่จะออกไปข้างนอกถ้ำ
เนื่องจากเขาเป็นคนชอบศึกษาการเรียนอยู่แล้ว เมื่อพบสิ่งแปลกๆถึงแม้ว่าจะอ่านภาษาในหนังสือ
ไม่ออกก็ตาม แต่เขาก็จะขอศึกษาไว้ไม่เสียหลายนี่นา เขาคิดและเราก็ไม่รีบร้อนอะไรด้วยถึงก็ช่าง
ไม่ถึงก็ช่างในเรื่องค้นหาทางกลับที่พัก ป่านฉะนี้ทางบริษัทคงจะวุ่นวายและได้รับแจ้งจากผู้รับ
งานว่าเขาได้หายตัวไป และทางบริษัทตลอดจนผู้ที่ให้เขาทำงานของบริษัทคงจะติดตามเขาอยู่
ช่างเถอะเขาเองก็จนปัญญาไม่รู้จะหาทางกลับไปได้อย่างไร เอาปัจจุบันไว้ก่อนแหละดีรักษาตัว
ให้รอด วันหนึ่งก็คงจะได้กลับไปแหละ เขาปลอบใจตัวเอง
วันคืนค่อยๆผ่านไปชายหนุ่มก็เฝ้าแต่ค้นคว้าศึกษาภาพนั้นๆและกระทำตาม โดยใช้ดาบและมีด
ประกอบท่าทางการร่ายรำตามภาพที่วาดเอาไว้ เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่เขาไม่รู้ รู้แต่ว่าหาก
เขาหิวก็จะออกจากถ้ำไปซึ่งไม่ห่างกับบริเวณนี้มากนัก ฝั่งทางหน้าถ้ำที่ปรากฏเป็นป่าไม้เหมือนฝั่ง
ทางที่เขาผ่านมา แต่ทว่ามีต้นไม้ออกลูกออกผลมากกว่าเท่านั้น เขาเลือกเก็บผลไม้ที่มีรอยเจาะของ
นกไว้จดจำต้นไม้ไว้ลักษณะผลไม้ เพื่อจะได้ใช้ต่อไปในวันข้างหน้า เมื่อรวบรวมอาหารผลไม้
ได้มากพอ ก็ลำเลียงเข้าถ้ำ เวลานอนเขาก็นอนที่แท่นหินนั้น ส่วนน้ำตัดปัญหาไปด้วยมีแอ่งน้ำ
ใช้ดื่มกิน ส่วนอาบน้ำหรือเขาก็ใช้ลำธารที่ไหลมาจากน้ำตกฝั่งโน้นมาออกทางฝั่งด้านนี้แทน
เมื่อหมดปัญหาเรื่องการกินและน้ำท่าแล้วเขา ก็หมั่นค้นคว้าศึกษาภาพต่างๆนั้นเวลาจะ
ผ่านไปเท่าไหร่เขาไม่รู้ด้วยมุ่งมั่นต่อการฝึกฝน เขานำเอาวิชาความรู้ครั้งฝึกดาบกระบี่กระบอง
ตั้งแต่ยังเรียนหนังสืออยู่ เข้าประกอบท่าร่างผสมผสานกับภาพต่างๆตอนแรกก็ติดขัดแต่พอเขา
ปรับให้กลมกลืนกันก็สามารถเข้ากันได้และรู้สึกว่าเกิด พลานุภาพมากกว่าในภาพเสียอีก ด้วย
เขาออกจากถ้ำไปฝึกฝนกับต้นไม้ต่างๆในท่วงท่าที่ได้ผสมผสานกันกับภาพกับที่เรียนมาด้วย
ในขณะเดียวกันเขาก็ฝึกการขว้างก้อนหินประกอบเข้าไปด้วยตลอดจนการขว้างมีดน้อยของ
เขาให้เข้าเป้าได้อย่างแม่นยำไม่ผิดพลาดเป้าได้ แต่ด้วยความไม่ประมาทเขาจึงยังไม่ออกจาก
ถ้ำ ใช้เวลาฝึกฝนต่อไปจนแน่แก่ใจว่าได้ศึกษาจนครบถ้วนละเอียดแล้วนั่นแหละถึงไว้วางใจ
ครั้นสมความปรารถนาแล้วชายหนุ่มก็เริ่มคิดจะออกเดินทางค้นหาทางกลับที่พักต่อไป
โดยเขาจะนำดาบและมีดน้อยพร้อมตำราที่เขาอ่านไม่ออกติดตัวไป ส่วนภาพต่างๆนั้นเขานำไป
เก็บไว้ยังที่เดิม แต่ด้วยความสวยงามของฝักมีดและดาบทั้งสองจะเป็นที่สงสัยสังเกตหากเขา
ไปพบกับทหารทั้งหลายอีก จึงได้ไปยังลำธารค้นหาก้อนหินที่หยาบๆมานั่งขัดลวดลายต่างๆ
ฝักและด้ามมีดและดาบให้หมด แม้ว่าจะมีพลอยสีต่างๆอยู่และได้กระเด็นออกมา เขาเพียงแต่
เก็บพลอยสีต่างๆไว้ แล้วนั่งขัดฝักดาบและมีดจนกระทั่งเกลี้ยงเกลาไม่มีลวดลายหลงเหลืออีก
ต่อไป ดูสภาพคล้ายฝักดาบและมีดธรรมดาหาความสวยงามเหมือนเดิมอีกและยังน่าเกลียด
กว่าเดิมอีกไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจคนที่พบเห็น พลางคิดว่าไว้พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแต่
ความที่เคยได้อาศัยมานานจนไม่รู้ว่านานสักเท่าไหร่ก็เกิดอาวรณ์ต่อสถานที่นี้ คิดว่าสักวัน
หนึ่งหากเขากลับที่พักเก่าไม่ได้ และได้ท่องเที่ยวจนพอใจแล้วสิ้นปัญญากลับสู่สภาพเดิม
ก็จะกลับมาที่นี้อีกด้วยเป็นสถานที่สงบอาหารก็สมบูรณ์พร้อมทุกประการยกเว้นเนื้อสัตว์
เท่านั้นที่เขาไม่ได้แตะต้องมานานจนจำไม่ได้ว่านานสักเท่าไหร่ แล้วจึงได้เข้าพักผ่อน
บนแท่นหินคิดไปต่างๆนาๆจนหลับไป
เสียงร้องของนกและลิงค่างต่างๆร้องแว่วเข้ามาในถ้ำนั่นแหละเขาจึงตื่นและรีบ
อาบน้ำชำระกายให้สะอาด เขามองภาพตัวเองในน้ำที่ใสราวกับกระจกมิปาน เมื่อเห็น
สภาพแล้วเขาอดหัวร่อไม่ได้ เนื่องจากใบหน้าเขาเปลี่ยนแปลงไปมากมีหนวดเครารกรุงรัง
ตลอดจนผมเผ้าก็ยาวเป็นฟูฝอยปะบ่า บดบังใบหน้าที่เคยจัดได้ว่างามคนหนึ่งไปหมดสิ้น
เมื่อเรียบร้อยแล้ว เขาก็เข้าไปยังที่แท่นแล้วยกมือขึ้นกราบลงบนแท่นหินรำลึกถึงผู้ที่เคยอาศัย
อยู่ก่อนแล้วไหว้ไปยังเทพยดาทั้งหลายที่ดลบันดาลให้เขาได้มายังที่นี่ เมื่อจัดการขอขมาแล้ว
ชายหนุ่มจึงหันหน้าเดินออกจากถ้ำมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่พร้อมเตรียมเสบียงผลไม้ไว้เดิน
ทางด้วย จนกระทั่งร่างเขาหายลับไปกับป่าไม้อันรกชัฏมุ่งหน้าสู่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง.....
* แก้วประเสริฐ. *
30 มกราคม 2553 13:36 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 3
จวบจนมวลเหล่าทหารทั้งหลายต่างแยกย้ายกันไปหมดสิ้น
ชายหนุ่มก็ออกจากที่ซ่อน ท้องเริ่มหิวเตือนชายหนุ่มเพื่อต้อง
การอาหาร ดังนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะหาอาหารจากที่ใดได้
นึกขึ้นได้ว่าภายในป่านั้นคงจะมีผลไม้พอประทังสิ่งหิวโหย
ได้บ้าง แต่ทว่าหากเขาเข้าป่าไปโดยไม่มีอาวุธใดๆสักชิ้นเดียว
ก็จะไม่ปลอดภัยเป็นแน่แท้ นึกถึงคำสนทนาของนายกอง
กับเหล่าทหารกล้าให้ซ่อนอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ การซ่อนของ
เหล่าทหารนั้นหาได้พ้นไปจากสายตาเขาไม่ จึงหมุนตัวกลับ
ไปยังที่ทหารได้ซ่อนยุทโธปกรณ์เพื่อต้องการอาวุธเพื่อใช้ใน
ระหว่างทาง
เมื่อมาถึงกลับเห็นสภาพเหมือนเดิมๆ ก็นึกชมทหารที่
ทำหน้าที่เสียมิได้ ว่าช่างชาญฉลาดจริงๆ หากแม้นเขามิได้
เห็นและรู้ที่แล้วยากยิ่งจะค้นหาได้เจอ จึงจัดการแหวกหญ้า
ที่ขึ้นและยกไม้กระดานออกพลิกไปอีกด้านหนึ่ง เหลือบสาย
ตามองไปภายใน โอ้ว!!!...ช่างมากมายเสียเหลือเกินและอาวุธ
ต่างๆจัดการวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยดียิ่ง ชายหนุ่มค่อยๆ
หยิบเอามาทดลองน้ำหนักมือของเขา มันช่างหนักมากเสียจริงๆ
ชายหนุ่มคิด เขาเพียงต้องการแค่ชิ้นเดียวและไม่ยาวมากนักเพื่อ
สะดวกในการพกติดตัวและใช้ป้องกันตัวในยามจำเป็นเท่านั้น
จึงค่อยๆเลือก จนไปพบดาบสั้นเล็กๆลวดลายออกแปลกไปกว่า
ดาบอื่นๆ ปลอกหุ้มดาบก็มีลวดลายสวยงามนัก
เขาจึงได้ชักดาบเล็กนั้นออกมาตรวจดู พอดาบน้อยได้รับแสง
อาทิตย์ที่ส่องประกายมา พลันเกิดประกายระยิบระยับสีออกเขียว
ดังปีกแมงทับสวยงามนัก เขาจึงยกชั่งน้ำหนักมือตัวเองเห็นว่า
พอจะรับได้ จึงหันไปยังกิ่งไม้แล้วฟันดาบลงไปบนกิ่งประมาณ
เท่าข้อมือเขาเห็นจะได้ เมื่อดาบน้อยกระทบกับกิ่งไม้ปรากฏว่า
กิ่งไม้ยังทรงก้านอยู่ เขานึกว่าคงจะฟาดดาบผิด แต่ทันใดนั้นเอง
กิ่งไม้ดังกล่าวก็หักลงมาทันที เขาเองบังเกิดความตกใจไม่คาดคิด
ว่าดาบน้อยนี้ใยช่างมีความคมกริบ เมื่อผ่านเนื้อไม้เขาแทบจะไม่รู้
สึกว่ากระทบกับไม้เลย นึกว่าฟาดผิดเสียอีก เขายกดาบน้อยเล็ก
ขึ้นมองดู ไม่เห็นสภาพว่าใช้งานเลยยังทรงสภาพเดิมทุกประการ
ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเอง แล้วจับมีดเข้าสอดในฝักดังเดิม
ยกขึ้นจูบเบา พร้อมพึมพรำด้วยความดีใจนำอาวุธแสนสวยดังกล่าว
เสียบเข้ายังบันเอวใต้ผ้าเคียนเอวของเขา
เขารีบจัดการเรียงอายุธให้เหมือนเดิมแล้วยกกระดานปิด
บนกระดานที่เต็มไปด้วยดินและหญ้าปัดเก็บในสิ่งเกิน
เพื่อให้คงสภาพเหมือนเดิม แล้วเขาก็รีบออกจากที่นั้นโดยเร็ว
โดยมุ่งเข้าป่าเขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเมื่อมีเพื่อนคู่กายไว้ใช้ในการ
ป้องกันตัว การใช้ดาบเล็กๆนี้เขาพอจะใช้ได้เนื่องจากผ่านการฝึก
เบื้องต้นมาบ้างและโดยสัณชาติญานของมนุษย์ย่อมสามารถใช้ได้
อยู่แล้ว แต่เขาได้ฝึกฝนมาบ้างสมัยยังเรียนหนังสืออยู่จึงไม่ค่อย
เป็นปัญหานัก จึงได้รีบมุ่งหน้าเข้าป่าเพื่อหาอาหารรองท้องก่อน
ระหว่างทางต้นไม้ที่รกชัฏนั้นไม่มีทางเดินเป็นต้นไม้เล็กใหญ่
สลับกันไปเขา มองหาต้นไม้ที่มีกิ่งก้านยาวพอจะใช้เป็นไม้แหวก
ทางให้สะดวก จึงหยิบมีดน้อยออกมาตัดกิ่งแล้วเลาะก้านออกตัดทำ
ให้เป็นไม้เท้าสำหรับไว้แหวกทางเดินและอาจจะป้องกันพวกสัตว์
มีพิษด้วยในระหว่างที่เขาเดินทาง เมื่อจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็เริ่มออกเดินทางต่อไป สายตาพยายามมองหาต้นมะม่วงป่าด้วย
เขาไม่กล้าที่จะเก็บกินโดยพละการ ด้วยต้นไม้เหล่านี้ออกผลแปลกๆ
ไม่เหมือนที่เขาได้ผ่านพบมา เขานึกถึงต้นมะม่วงได้เพียงอย่างเดียว
และคิดว่าเมื่อมีป่าก็คงจะมีต้นมะม่วง มะกอกบ้าง เขาเดินเข้าไปลึกๆ
เพื่อไปยังภูเขาโดยคิดว่า หากข้ามภูเขาไปแล้วเหตุการณ์ก็คงจะหาทาง
กลับที่พักได้บ้าง
ในระหว่างทางพบแต่พวกลิง สัตว์นานาชนิดกำลัง
หาอาหารเขานึกได้ทันทีว่า หากนกสัตว์นั้นกินผลไม้ได้เขาก็คงจะ
กินได้เหมือนกัน จึงพยายามสอดส่ายสายตาค้นหาต้นไม้ที่มีนกกำลัง
กินอาหารหรือ สัตว์พวกลิงกินอาหารกัน แต่ไม่เห็น ที่เห็นเพียงแต่นก
เกาะส่งเสียงร้อยไพเราะมากแต่เขาไม่มีเวลาที่จะสนใจฟังเท่าไหร่นัก
ด้วยท้องร้องจ๊อกๆตลอดเวลา คอเขาแห้งผากด้วยความกระหายน้ำ
เขานึกได้ระหว่างเรียนหนังสือว่า เถาวัลย์เป็นที่เก็บน้ำ จึงเปลี่ยน
ใจหันค้นหาเถาวัลย์ซึ่งมีมากมายเป็นระโยงระใยไปทั่ว เขาเลือกเอา
เส้นที่ใหญ่พอประมาณ แล้วนำมีดน้อยมาตัด แล้วรีบยกขึ้นดูดตอน
แรกไม่ค่อยมีน้ำแต่พอเขาดูดแรงๆขึ้นก็ปรากฏน้ำไหลมากพอประทัง
ได้ แม้จะมีรสเฝื่อนกร่อยเหม็นเขียวบ้างก็ตาม
เขายิ้มกับตัวเองและนึกว่าไม่คิดว่าชีวิตเขาจะต้องมาตกระกำลำบาก
ในที่นี้เสียได้
เมื่อบรรเทาอาการกระหายน้ำได้ เขาก็ออกเดินทางต่อไปมุ่งสู่ภูเขา
ลูกที่ใกล้ๆเบื้องหน้า ค้นพบต้นมะม่วงป่ากำลังออกผลเต็มไปหมดแต่
อยู่ปลายกิ่งสูงๆ เขาได้แต่แหงนหน้ามองใช้ความคิดว่าจะนำมาทานได้
อย่างไรกัน ด้วยไม่มีเครื่องมือในการเก็บผลไม้นี้จึงได้แต่มองๆและใน
บัดดลเขาก็นึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่พระเอกใช้ก้อนหินเป็นอาวุธต่อสู้
กับยักษ์ หากเราเลียนแบบแล้วนำก้อนหินมาขว้างที่พวงมะม่วงก็คงจะได้
ผลเหมือนกัน
จึงได้รีบค้นหาก้อนหินซึ่งมีมากมาย เขาเลือกเอาขนาดก้อน
ที่พอกับน้ำหนักมือกอบเอามายังที่เหมาะพอจะขว้างผลไม้ได้ เขาเริ่มต้น
ขว้างไปยังพวกมะม่วงที่กำลังจะสุกงอมอยู่โดยสังเกตที่ปลายจุกออกสีเหลือง
อ่อนๆไว้ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าการขว้างปาเขาไม่ถูกเป้าสักครั้งเดียวก้อนหิน
หมดไปแล้วหนึ่งกอง จึงต้องย้อนกับไปเก็บก้อนหินใหม่ แล้วนำมาปาอีก
คราวนี้ถูกบ้างไม่ถูกบ้างแต่ก็ไม่สามารถให้ลูกมะม่วงตกลงมาได้ จนกระทั่ง
เขาเหนื่อยและแขนอ่อนล้า จึงได้นั่งลงพักผ่อนมองดูคิดไปต่อการกระทำก็
พบว่าเขานั้นขาดสมาธิ เพียงแต่มีความตั้งใจเท่านั้นจึงไม่บรรลุผลตามต้องการ
เอาใหม่เขาคิดหากไม่สำเร็จก็จะไม่ไปจากเจ้านะเจ้ามะม่วงพวงนี้
ก็เริ่มไปเก็บก้อนหินมาใหม่ แล้วเริ่มหลับตาตั้งจิตใจสมาธิให้มั่นแล้วก็
ค่อยๆตั้งสติตั้งใจ ขว้างไปไม่ถูกอีก ก้อนที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าผ่านไป
ไม่ได้ผล แต่ด้วยความพยายามอย่างแน่วแน่ประกอบกับสมาธิตั้งมั่น
พอลูกที่หก ถูกกับพวงมะม่วงแต่ผลไม่ยอมตกลงมา เขาคิดสงสัยน้ำหนัก
แรงขว้างคงจะไม่สมดุลเพียงพอ จึงเริ่มอีกที คราวนี้ถูกอย่างจังที่พวงทั้งพวง
แต่ก็ยังไม่ยอมตก เขาคิดพลางหยิบอีกก้อนหนึ่งมาคิดว่าหากจะให้ตกก็ต้อง
ขว้างให้ถูกที่ก้านของพวงนั่นแหละถึงจะได้ผล
ก้อนแล้วก้อนเล่าจนในที่สุด
เขาก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อก้อนหินที่เกือบจะหมดกองนั้นถูกยังก้านพวงมะม่วง
ได้ผลแฮะ...เขาคิด มะม่วงหล่นลงมาทั้งพวง ชายหนุ่มดีใจมากลืมความหิว
ไปชั่วขณะ แล้วนำก้อนหินที่ยังเหลืออีกหลายก้อน เดินไปหาพวกมะม่วงใหม่
เพื่อทดสอบอีกว่ามันจะฟลุ๊กเหมือนพวงแรกหรือเปล่า คราวนี้ปรากฏว่าทุกๆ
ก้อนที่เขาขว้างไปได้ผลทั้งหมด ทุกๆก้อนสามารถทำให้พวงมะม่วงหล่นมา
แทบทุกพวง ชายหนุ่มดีใจมากที่เขาสามารถทำได้เหมือนในภาพยนตร์ที่เขาดู
เมื่อสมัยตอนเรียนหนังสืออยู่ พอความดีใจสิ้นสุดลงความหิวก็เข้ามาสู่เขาอีก
ครั้ง ชายหนุ่มรีบเดินไปเก็บผลมะม่วงคัดเลือกที่พอจะทานได้มาปลอกเปลือก
นั่งรัปทานประทังความหิว จนผลไม้หมดไปหลายๆลูกจนกระทั่งความหิวโหย
หายไป
ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง บัดนี้ร่างกายเขาขะมุกขะมอมเต็มทีผมบนศีรษะยุ่งเหยิง
ไปหมดเสื้อผ้าบ้างขาดวิ่น แทบจะหาชิ้นดีได้ยาก แต่เขาไม่สนใจต่อเสื้อผ้า นอกจาก
มุ่งหน้าเดินทางเพื่อหวังจะข้ามขุนเขาให้ได้ ค่ำไหนก็นอนนั่น น้ำท่าไม่ต้องพูดถึงเขา
ไม่ได้อาบและล้างหน้าเลย นอกจากอาศัยเถาวัลย์ดื่มน้ำประทังและหาอาหารผลไม้ป่า
ที่เขาเริ่มจะปรับตัวเองให้เข้ากับธรรมชาติได้แล้ว เวลาผ่านไปเท่าไรเขาไม่รู้วันเดือนปี
เวลาหรือก็อาศัยพระอาทิตย์และดวงจันทร์ดวงดาวเป็นที่สังเกตว่า มันผ่านวันๆไปแล้ว
เท่านั้นเอง
ชายหนุ่มพยายามปีนป่ายหาหนทางไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไร
ในการที่จะข้ามเขาลูกนี้ เขาผ่านเนินเขา เนินแล้วเนินเล่าไปด้วยหัวใจตอนนี้เขาเริ่ม
แข็งแกร่งทั้งสภาพจิตใจและร่างกาย ทนต่ออากาศที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็
หนาวมากๆ เดี๋ยวก็ร้อนเสียแทบกายจะแตก สลับกันไปทำให้สภาพร่างกายเขาสามารถ
ปรับอุณหภูมิได้อย่างดี ในขณะที่เดินทางนั้นเขาเองก็อาศัยการฝึกปรือวิชาที่ร่ำเรียนมา
ฝึกไปพร้อมๆกับเดินทางและบ้างก็วิ่งบ้างเดินบ้างสลับกันไปเรื่อยๆ จึงทำให้ร่างกาย
ของเขาทุกๆส่วนเกิดกล้ามเนื้อทรงพลังได้อย่างไม่คาดคิด
ครั้นผ่านเนินเขาไปเขาก็พบแหล่งน้ำใสสะอาดเป็นแหล่งน้ำใหญ่พอประมาณมี
ลำธารไหลเป็นน้ำตกสูงชันกำลังไหลเอื่อยๆมา ชายหนุ่มดีใจมาก รีบถอดเสื้อผ้า
แล้วนำไปซักนำไปผึ่งแดดทีพุ่มไม้ ส่วนตัวก็ทะยานลงสู่สายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ
ไปยังแหล่งน้ำเพื่อชำระร่างกายให้สะอาด
เป็นครั้งแรกนับจากอาบน้ำที่แม่น้ำมา ตั้งแต่นั้นมาเขาไม่เคยเลยจะได้อาบน้ำเหมือน
ในครั้งนี้ จึงดำผุดดำว่ายให้เป็นที่สนานอารมณ์ เขาจัดการชำระร่างกายเท่าที่จะทำได้
โดยนำก้อนหินสากๆเล็กๆมาเป็นที่ขัดผิวที่ดำด้วยเหงื่อไคลจับกันเป็นจุดๆทั่วร่างกาย
เมื่อจัดการเรียบร้อย จนคิดว่าสะอาดแล้ว
ชายหนุ่มก็สังเกตไปทั่วๆบริเวณแหล่งน้ำทันที เขาพบสิ่งที่ผิดสังเกตระหว่างม่าน
หลังม่านน้ำตก จึงว่ายไปที่นั่นทันที
“โอ้ววๆๆๆ!!!????....เบื้องหลังม่านน้ำตกนั้นเขาพบถ้ำเล็กๆ หากไม่สังเกตุแล้วจะไม่เห็นเลย.....
* แก้วประเสริฐ. *
29 มกราคม 2553 13:23 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 2
ชายหนุ่มจ้องมองฟังเสียงสนทนาระหว่างแม่ทัพกับนายกอง
ก็ให้คิดด้วยความอยากรู้ว่า ใครกันนะที่ทั้งสองได้พยายามค้น
หามาตั้งนมนานแล้ว เขาคอยจนกระทั้งขบวนทั้งหมดได้เลยไป
จนลับตา จึงยืนขึ้นบิดตัวเองด้วยความปวดเมื่อย แล้วหันตัว
กลับหวังจะคืนสู่ที่พัก
แต่แล้วเขาต้องเบิ่งตาด้วยความตกใจ
ทางที่เขาเคยเดินมาสู่ที่นี้กลับเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ทางเส้น
เดิมหายไปหมด คงเหลือเพียงแนวป่าและขุนเขาดำทะมึน
เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เขาขยี้ตาตัวเองนึกว่าเขานัยน์ตา
เพี้ยนไป พร้อมทั้งหันรีซ้ายทีขวาทีเพื่อให้แน่ใจว่าเขามิได้มอง
ผิดเพี้ยนไปและหยิกเนื้อตัวเองก็รู้สึกว่าเจ็บ ด้วยความตกใจจึง
ร้องอุทานออกมา
“เฮ้ๆ!!!...อะไรกัน...ทำไมถึงเกิดพิสดารอะไรเช่นนี้...?????
“แล้วเราจะกลับที่พักได้อย่างไรกัน มันช่างเปลี่ยนแปลงเสีย
หมด” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงค่อนข้างดังด้วยความตกใจแทบ
สุดขีด ด้วยความไม่เชื่อนึกว่าสายตาหลอน จึงได้เดินเข้าไปยัง
แนวขุนเขา พลางเอื้อมมือไปหมายเด็ดใบไม้ที่ดูแปลกตานัก
“เอ๊ะ????....มันเป็นจริงนี่หว่า....???? “ ชายหนุ่มอุทานเสียหลง
“ตายล่ะหวา พรุ่งนี้ก็นัดเขามารับงานแล้ว จะทำอย่างไรดี
นี่กับมีเหตุการณ์ประหลาดมาขวางทางเดินกลับเสียหมด
แล้วหนทางเดิมไปไหนหมดล่ะ” ชายหนุ่มรำพึงในใจ
ด้วยความไม่เชื่อในสายตา จึงได้ยกมือขึ้นหยิกเนื้อที่ใบหน้า
ด้วยความแรง
“อุ้ยๆ...??? เจ็บนี่หวา ทั้งหมดนี้ก็เป็นจริงซิ”
ชายหนุ่มตะลึงถึงกับขาอ่อน ทรุดร่างลงกับพื้น
“แล้วเราจะกลับได้อย่างไรกัน ในเมื่อมีภูเขาขึ้นเรียงราย ส่วน
ด้านหลังก็เป็นแม่น้ำสายใหญ่กว้างขวางนัก โอ้ยๆๆ???? ปวดหัว
จัง” ชายหนุ่มถึงกับกุมศีรษะ
“แล้วเราจะทำอย่างไรดี หรือว่าหากพ้นภูเขาที่ขวางหน้าไปอาจ
จะพบทางกลับได้กระมัง “ เขาคิดรำพึงรำพันกับตัวเอง
“เอาล่ะอะไรจะเกิดให้มันเกิดไป เดี๋ยวฟ้าสางพระอาทิตย์ขึ้นอาจจะ
เปลี่ยนแปลงก็ได้” ชายหนุ่มคิดแต่ก็ไม่วายคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่
ถึงการแต่งกายแปลกๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ฝูงม้ามันมาจากไหน
คนก็ยังใช้ดาบ หอก ธนู กันอยู่ ยุคเรามันหมดไปนานแล้วนี่นา เขา
ใช้ปืนกันหมดแล้ว เฮ้!!!!...เราประสาทหลอนหรือเปล่านะ
ชายหนุ่มนั่ง งุนงง ต่อเหตุการณ์เหล่านี้
สักครู่ดูเหมือนเขาจะตัดใจได้แล้ว จึงล้มตัวนอนคอยฟ้าสางพระอาทิตย์
มาบ่งบอกเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่ง เขาหลับตาและคิดว่าหากหลับไปอีกที
เมื่อตื่นขึ้นมาก็คงเข้าสู่สภาวะเดิม ทุกอย่างก็คงจะหมดสิ้นไปแหละ เขาคิด
แล้วเขาก็ผล๊อยหลับไปอีกครั้ง ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงนกร้องเจื่อน
แจ้ว เสมือนเรียกพวกพ้องให้หากินอาหาร
พระอาทิตย์เริ่มทอแสงยามเช้าตรู่ อากาศช่างสดใสยิ่งนัก เขานอนมอง
พระอาทิตย์สีแดงกลมโต กำลังโผล่ขึ้นขอบฟ้า ส่งแสงอ่อนๆระยิบระยับ
กับผิวน้ำที่เป็นระลอกคลื่นน้อยๆ ความงามของธรรมชาติเขาหาได้สนใจ
อีกแล้ว พลางตวัดร่างให้ลุกขึ้นฉับพลันรีบหันไปมองทางด้านเบื้องหลัง
ทันที
“อุบ๊ะ!!!!...????.....เฮ้ๆๆ....ทำไมไม่หายไป แล้วทางกลับที่พักเราล่ะ
หายไปไหนหมด เมื่อเขาจ้องมองก็แลเห็นเป็นภาพภูเขาหลายลูกซ้อนๆกัน
และเต็มไปด้วยป่าดงดิบรกชัฏตลอดแนวทางคู่ขนานไปกับสายน้ำอิสราวดี
ชายหนุ่มเกาศีรษะ แกรกๆๆ
พร้อมร้องลั่น
“เฮ้ยๆๆ...เปลี่ยนเหมือนเดิมซิๆๆ เขาตะโกนซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ทว่าก็ยังคง
สภาพเดิมคือภูเขาป่าอยู่นั่นเอง
ชายหนุ่มทรุดกายลงอีกครั้ง พร้อมยกมือทั้งสองขึ้นกุมศีรษะทันที พร้อม
หลับตาพริ้ม ใจหวังว่าหากลืมตาคราวนี้คงจะมีอะไรๆดีขึ้นบ้าง เขาไม่กล้า
จะลืมตา คงปล่อยเวลาผ่านไปๆ จนรู้สึกว่าท้องเริ่มจะร้องเพื่อให้อาหารใส่
ลงท้องคลายความหิว
คราวนี้ชายหนุ่มภาวนาในใจ “เพี้ยง” ขอให้เหมือนเดิมนะ พอเขาลืมสายตา
ก็พบสภาพเดิมคือขุนเขาแมกไม้ เหมือนเดิมจริงๆแต่ไม่เหมือนเก่า
“โถๆๆ...อุตส่าห์อ้อนวอนภาวนาขอให้เหมือนเดิม ก็เหมือนเดิมจริงๆแหละ
พร้อมยกมือขึ้นเขกศีรษะ คิดว่าไม่น่าเล๊ยหากขอให้เหมือนเก่าก็จะดีนะรำพึง
รำพันคนเดียว ช่างเถอะในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เห็นทีต้องยอมรับสภาพ
ล่ะว๊ะ เขาคิด
อะไรเกิดก็ให้มันเกิดไป โลกมันพิสดารเองนี่หว่า อดีตปล่อยมันไว้ก่อนเอา
ปัจจุบันนี้ดีกว่า เอ๊ะแล้วเราจะทำอะไรได้ หากเจอพวกนั้นเขาใช้ดาบกันเราเอง
ไม่เคยใช้ดาบต่อสู้กับใคร นอกจากฝึกจากโรงเรียนพอสังเขปในเรื่องการใช้ดาบ
กระบี่กระบอง ก็เอาเพียงแค่สอบผ่านๆเท่านั้นหาได้สนใจจริงจังไม่ แต่เมื่อเกิด
เหตุการณ์เช่นนี้ แล้วทุกๆคนใช้มีด ใช้ดาบ ใช้หอก ใช้ธนู สำหรับธนูเขาไม่เป็น
เอาเสียเลย แล้วจะต่อสู้กับพวกเขาได้หรือ เขามาคิดและนึกทบทวนวิชาความรู้
ที่เคยร่ำเรียนมา จริงอยู่ถึงแม้ว่าเขาจะสอบผ่านได้อันดับดีๆก็ตามแต่นั่นเป็นแค่
ความรู้เบื้องต้นและหาได้จริงๆจังๆใดไม่
ชายหนุ่มเมื่อตัดใจได้แล้ว ก็ออกเดินทางไปยังริมแม่น้ำ เพื่อชำระร่างกายแปรงฟัน
เขาไม่มีแปรงฟัน จึงใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแทนแปรงสีฟันแทน อ้าวๆๆๆ????
แล้วเราจะอาบน้ำอย่างไร เสื้อผ้าก็มีชุดเดียวนี้กับผ้าคาดเองอีกผืนหนึ่งเท่านั้น
เห็นทีจะต้องเป็นชีเปลือยเสียแล้วเรา เขาคิด พลางหันซ้ายและขวาว่าจะมีใครอยู่
หรือเปล่า เมื่อแน่ใจแล้วว่าสถานที่เขาอยู่นี้ปราศจากผู้คน จึงได้จัดการถอดเสื้อผ้า
กางเกงขาก๊วยออก แล้วกระโจนลงยังแม่น้ำทันที
“โอ้วๆ???...มันช่างเย็นสบายจัง น้ำก็ใสสะอาดยังกับน้ำประปาในบ้านเรา ด้วย
ความหิวเขาจึงได้วักน้ำขึ้นดื่มแทนอาหารไปก่อน
อืมม????...เหมือนน้ำประปาในบ้านเราจริงๆแหละ เขารีบกระวนกระวายอาบน้ำ
โดยรวดเร็ว ด้วยกลัวคนอื่นจะเข้ามาเห็นยามที่เขาเป็นชีเปลือยอยู่ หลังจากอาบน้ำ
เสร็จความสดชื่นได้เข้ามาสู่อีกครั้งหนึ่ง เขาเลือกก้อนหินขนาดย่อมนั่งคิด หาหน
ทางจะกลับที่พักและคิดถึงอนาคตต่อไปหาก สภาพสิ่งแวดล้อมนี้ยังคงสภาพเดิม
บัดดลหูเขาแว่วเสียงม้าร้องและฝูงม้ากำลังควบมาทางเขา ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นวิ่ง
เข้าไปยังป่าที่ใกล้ที่สุดและหาต้นไม้แอบซุกซ่อนตัว รอเพื่อให้ฝูงม้าได้เลยพ้นผ่านไป
เหมือนแกล้งชายหนุ่มคิด ฝูงม้าเหล่านั้นหยุดลงยังบริเวณที่เขาใช้อาบน้ำเมื่อกี้นี้ เขา
มองเห็นที่เรียกว่าผู้กอง ได้ลงจากหลังม้าแล้วเดินไปยังก้อนหินที่เขานั่ง พลางเอื้อมมือ
เข้าไปแตะก้อนหินนั้น เขาลูบคลำพร้อมยกขึ้นแตะจมูก
“อะไรหว่า????.... คิดชายหนุ่มคิดเขาทำอะไรอยู่
ทันใดนั้นเขาเห็นผู้กองหันมาสั่งทหารให้ไปตามแม่ทัพมาดู ด้วยน้ำเสียงดังลั่น
ทหารเมื่อได้รับคำสั่งก็ขึ้นม้าแล้วขี่ออกไป สักครู่ก็ปรากฏร่างของแม่ทัพพร้อมเสลี่ยง
เข้ามาและลงจากเสลี่ยงเดินเข้ามาหานายทหารคนนั้น
“อะไรหรือท่านเหมี่ยวนรธา” ท่านแม่ทัพถาม
“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าเห็นแสงกระทบกับน้ำบนหินก้อนนี้ก็เกิดสงสัย จึงเข้ามาดูก็
เห็นรอยเปียกน้ำ แสดงว่ามีคนอยู่แถวๆนี้และพึ่งอาบน้ำเสร็จขอรับท่าน”
ท่านแม่ทัพก็รีบไปยังก้อนหินนั้นแล้วยกมือขึ้นลูบคลำทันที่เพลางเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้วท่านเหมี่ยวนรธาแม่กอง ไม่ผิดหรอกต้องมีคนอยู่แถวนี้ แต่ทว่าถิ่นแถวนี้ไม่
มีคนอาศัยอยู่เลยนี่นา เราเองก็เที่ยวค้นหาทุกซอกมุมแล้วไม่มีหมู่บ้านสักหลังเดียว
“ขอรับท่านแม่ทัพ ข้าเองก็เที่ยวค้นหาดุจเดียวกันก็ยังไม่พบใครสักคน สงสัยว่าสาย
ของพระแม่เจ้าคงจะเจอแต่ไม่กล้าเข้าทำการจับกุม เกรงจะขัดต่อเบื้องบนจึงเพียงแค่
รีบกลับมารายงานเท่านั้นเองขอรับ”
“นั่นซิท่านนายกอง เราเองก็คิดเช่นเดียวกับท่านแหละ อ้อ!!!...เราได้รับสาสน์
จากพระแม่เจ้าแล้วว่า ให้รีบกลับวังด่วน เหตุการณ์ทางนี้ให้วางมือก่อนแล้วหา
ทางที่หลัง พระองค์จะทรงปรึกษาข้อราชการแก่เราสอง ฉะนั้นท่านรีบจัดการ
ทหารให้เดินทาง อ้อๆ...แต่พระองค์สั่งไว้ว่าให้พวกเราทั้งหมดพลางตัวกลับอย่า
ให้กระโตกกระตากเป็นที่จับได้ของคนอื่นนะ”
“ข้าเองก็สงสัยว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีภายในเสียแล้ว พวกเรารีบกลับและบอก
ทหารให้พลางตัวดุจพ่อค้าและชาวบ้านอาวุธยุทโธปกรณ์ให้นำไปเท่าที่นำไปได้
หากเกะกะมากให้หาที่ซ่อนแล้วทำเครื่องหมายไว้ อาจจะย้อนนำมาใช้ได้อีกนะ”
“ขอรับท่านแม่ทัพ ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้แหละ”
หลังจากนั้นนายกองผู้ชาญฉลาดก็จัดการเรียกประชุมเหล่าทัพทันที โดยแจ้ง
เรื่องราวบางอย่างให้ทหารทุกๆคนทราบ ส่วนม้านั้น ได้จัดทหารส่วนหนึ่งรักษา
ไว้ ทหารส่วนใหญ่ให้เดินเท้าไป แยกย้ายกันให้ไปพบที่ตลาดใหญ่แล้วซื้อเสื้อผ้า
แต่งกายพลางสภาพทหารให้หมดสิ้น พร้อมทั้งจัดแยกมวลทหาร ออกเป็นหมวด
หมู่ พร้อมทั้งแจงสัญญาลักษณ์ประจำหน่วยไว้ หากเห็นเครื่องหมายในที่ชุมนุมชน
ของเราและท่านแม่ทัพ ก็ให้รีบแจ้งข่าวแก่พวกเราทั้งหมด
ก็ให้มารวมตัวกันพร้อมอาวุธต่างๆ อย่าให้เป็นพิรุธสงสัยแก่เหล่าทหารในเมืองได้
เป็นอันขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนให้ลงโทษตามแต่สานุโทษได้ทันที ความรับผิดชอบให้
เป็นหน้าที่ของหมวดหมู่นั้นๆ โดยนายกองแยกทหารออกหน่วยล่ะ 20 คนบ้าง 30
คนบ้างตามแต่ความเหมาะสม และสั่งให้แยกย้ายกันไปได้นับแต่นี้ หากเจอกันใน
เมืองห้ามทำเป็นรู้จัก ให้ทำเสมือนคนแปลกหน้ามิฉะนั้นจะโดนทำโทษตามอาญา
ศึกแผ่นดินต่อไป
* แก้วประเสริฐ. *
28 มกราคม 2553 15:28 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี
ลุ่มลึกอิสราวดี
คืนนั้น....แสงจันทร์งามกระจ่างฟ้า......
ทอทอดแสงระยิบระยับ ประกายแวววับกระทบ
ผืวน้ำ สะท้อนดวงจันทร์ภาพเปล่งไหวหวามชวน
ทัศนายิ่งนัก เป็นภาพสะท้อนช่างงดงามยิ่ง
ชายหนุ่มร่างกำยำจัดนับได้ว่าสูงระหงส์ ใบหน้าที่
อิ่มเอิบ ดวงตาใหญ่แต่ไม่โปน คิ้วขนดำหนาแต่ทว่า
เป็นแนวยาวเหยียดโค้งรับกับปลายชายดวงตาที่เรียว
ใบหน้ายาวแต่ไม่เรียวมากนัก จัดได้ว่าเป็นบุรุษที่งามนัก
คนหนึ่ง แค่รอยยิ้มที่มุมปากกับแก้มที่บุ๋มที่กระพุ้งแก้ม
ส่งให้ใบหน้านี้ยิ่งเน้นสรีระร่างให้งดงามยิ่งนัก
บุรุษหนุ่มยืนกอดอกทอดสายตามสู่ยังแม่น้ำของประเทศเพื่อนบ้าน
ที่แลดูกว้างใหญ่พอประมาณในค่ำคืนเดือนหงาย พลันชายหนุ่มก็ให้
รำลึกนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ได้จารึกไว้ในแนวเชิงประวัติศาสน์ก่อให้
ชายหนุ่มแหงนหน้ามอง ดวงจันทร์ที่พร่างพรายแสง แปลกชายหนุ่มนึก
คืนนี้ดวงจันทร์ใยช่างงดงามยิ่งนัก วงล้อมรายรอบเป็นชั้นๆของแสงที่ส่ง
ประกายลงมา อ้อๆนี่เขาเรียกว่าพระจันทร์ทรงกลด โอ้..ช่างงามเสียนี่กระไร
ชายหนุ่มหลับตาพริ้มทำให้หวนนึกถึงหญิงหนึ่งที่มักจะคอยเข้ามาในฝัน
หลายๆครั้ง นับตั้งแต่เขาเหยียบย่างลงในผืนแผ่นดินแห่งนี้ แปลกๆเขาคิด
ทำไม ครั้งอยู่ในเมืองไทยเหตุการณ์เช่นนี้ใยไม่เกิดขึ้นแก่เขา นี่ล่วงมาหลายๆ
วันแล้วเขาก็เกิดนิมิตเช่นนี้มาตลอด
ช่างเถอะเราคงจะทานอาหารไม่อิ่มกระมังจึงบังเกิดเช่นนี้ ด้วยรสชาติอาหาร
หาได้ถูกปากเขาไม่ รสชาติที่ออกจืดๆและออกคาวนิดๆ แต่เขาก็จำเป็นต้องทาน
ด้วยไม่รู้ว่าจะไปทานที่ใด อาหารหรือที่เขาเตรียมมาได้หมดไปเสียแล้ว แต่ภารกิจ
เขายังไม่เสร็จ จึงจำเป็นต้องทนอยู่แต่ทว่าอีกไม่นานซินะเราจะต้องจากดินแดนนี้
เสียแล้ว เขาทบทวนงานภารกิจที่เสร็จแล้วส่วนใหญ่คงเหลืออีกไม่เท่าไหร่ เพียง
รอให้เขาตรวจสอบและเซ็นต์รับงาน เขาก็จะกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียที พอกันที
กับอาหารรสชาติที่แสนจะจืดชืด
เขานึกถึงอาหารบ้านเกิดเมืองนอน เฮอะๆๆรอก่อนนะข้าจะกลับไปหาเจ้าเขา
รำพันกับตัวเอง ในสมองคิดว่าคืนนี้อากาศช่างเป็นใจ ลมพัดเอื่อยๆนำกลิ่นหอมลึกๆ
ของไอน้ำแห่งลุ่มแม่น้ำอิรวดีมากระทบจมูกเขา ทำให้เขาเกิดเปลี่ยนใจที่จะพักผ่อน
ในบ้านพักที่เขาได้เช่าไว้ในธุรกิจครั้งนี้ เหตุด้วยเขาต้องอยู่นานนั่นเอง แต่ค่ำคืนนี้แปลกๆ
แต่ทว่าเขาไม่ได้นำอุปกรณ์ใดๆมาเลย นอกจากผ้าที่คาดเอวเท่านั้น
ช่างเถอะเหลือไม่กี่วันแล้วนี่นา ที่เราต้องจากแผ่นดินนี้แล้ว เอาล่ะขอนอนที่นี่สักคืน
ยิ่งเป็นคืนที่จันทร์ทอแสงกระจ่างพร่างพราย สายน้ำที่ไหลเอื่อยๆผิวน้ำเกิดระลอกๆทอ
ทาบดวงจันทร์แวววับวาม ดูกระจ่างลึกซึ้งยิ่งนัก
เขาเดินหาบริเวณที่เหมาะเพื่อจะไม่ต้องเสียบรรยากาศตลอดจนบังลมหากรุนแรงกว่านี้
ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง เมื่อแลพบมุมๆหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะและไม่ปิดบังทัศนียภาพสวยๆของ
ดวงจันทร์ ปลายขอบฟ้าที่ดารดาษด้วยดวงดาวทอแสงระยิบระยับและลุ่มน้ำแห่งนี้ โอ้ช่างเป็น
สถานที่งามยิ่งนัก นับตั้งแต่เหยียบย่างผืนแผ่นดินนี้ หากเขามิได้รับข้อมูลจากสหายชาวรามัญ
ที่สืบทอดมาในผืนแผ่นดินนี้ให้เขามาหาความรื่นรมย์สงบจากที่ครึกครื้น ที่เขามักจะกล่าวให้สหาย
ฟังอยู่ตลอดเวลา สหายต่างแดนได้แนะนำเขาให้มา ณ ดินแดนแห่งนี้ ก็สมหรอกและไม่ผิดหวัง
เมื่อเขามาสถานที่แห่งนี้นับได้ว่าเป็นวันที่สองแล้วซินะ ในยามอาทิตย์อัสดงเขาก็จะมายังที่นี่คนเดียว
และคอยชมในยามข้างขึ้นพระจันทร์เต็มดวง
เขาเดินไปค้นหากิ่งไม้แล้วมาปัดกวาดบริเวณให้สะอาดแล้วนำผ้าเคียนเอวออกมาปูลาดกับพื้น
เพื่อรอคอยเวลาที่เขาง่วงจะได้ไม่ต้องเสียเวลากังวล เมื่อเขาจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาก็นั่งชม
เดือนดาว ลำน้ำแห่งลุ่มแม่น้ำอิรวดี ดีนะที่ไม่ค่อยมียุงและเหลือบมากนัก แต่ยามอากาศเริ่มดึกๆ
เจ้าพวกรบกวนเหล่านี้ก็หายไปหมด เหลือเพียงแต่สายลมที่กระฉอกน้ำที่ซัดสาดซ่าส์ เขาฟังดูคล้าย
เสียงดนตรียามประสานเพลงธรรมชาติประกอบทัศนียภาพด้วย ทำให้จิตใจเขาเบิกบานลืมบรรยากาศ
กลางวันไปเสียสิ้น
ดึกแล้วซิหนอเขารำพึง เสียงหริ่งเรไรที่นานๆจะส่งเสียงมาสักครั้ง ความง่วงก็เริ่มเข้ามาสู่เขา
จึงได้เอนกายลงนอนเอาก้อนหินสอดไว้ใต้ผ้าเป็นหมอนหนุน
สายตาพยายามเบิ่งตาดูความงดงามดุจภาพวาดแต่นี่เป็นภาพแห่งความจริง
ชายหนุ่มเริ่มหาวๆนอนแล้วค่อยๆพริ้มหลับตา โอ้มันช่างเป็นความสุขแท้จริงเชียวหนอ
เขาอดคิดไม่ได้ทั้งๆที่ม่านตาเขาเริ่มปิดลงๆ ในที่สุดเขาก็ผล็อยหลับไปในท่ามกลาง
แห่งแสงจันทร์ที่ทอระยิบระยับบวกกับแสงที่ทบกับผิวน้ำพลิ้วไหววาบวามกระจ่างไปทั่วบริเวณ
ปล่อยให้แสงจันทร์ได้ลูบไล้ร่างกายเขาไป.......
ฉับพลันเขาต้องสะดุ้งตกใจขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงม้าร้องพร้อมกับขบวนม้าที่วิ่งผ่านเลยเขาไป
แลเห็นฝุ่นตลบ พร้อมสิ่งที่แลเห็นเป็นขบวนคนจำนวนมาก แต่ทำไมเขานุ่งห่มแปลกๆไม่เหมือน
เขาเลย เขาก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่หุ้มห่อกายก็ยังเหมือนเดิม
แต่ที่เขาแลเห็นล่ะ ช่างแปลกๆไม่เหมือนเขาสักนิดเลย เขาฉงนพลางลุกขึ้นโดยเร็วและไม่ลืม
คว้าผ้าปูลาดสะบัดแล้วเคียนเอว รีบแอบมองหินข้างๆที่บังร่างกายเขาได้ดีและมีช่องลอดเพื่อให้
เขาได้มองขบวนที่กำลังผ่านหน้าเขาไป
เสียงเอะอะดังลั่น บุรุษหนึ่งขี่ม้าวกกลับมายังท่ามกลางขบวนตรงไปยังเสลี่ยงที่หามคนๆหนึ่ง
พลางกล่าวรายงาน เสียงลมแว่วผ่านเข้ามาแต่เขาเองก็แปลกใจตัวเองนักทำไมเขาสามารถฟังภาษา
ที่ได้ยินเสมือนเป็นภาษาเขาได้ แต่เขามิได้คิดอะไรมากนักเพียงแต่คิดและจิตได้มุ่งแต่รับฟังเสียง
ที่ลอยมากระทบหู กลับเป็นเสียงรายงานของบุรุษที่เข้ามารายงานตัวดังขึ้น
ข้าแด่แม่ทัพ... ข้าได้พยายามค้นหาแล้วแต่ไม่พบเจอเลยไม่รู้ว่าไปเสียที่แห่งใด ขอรับ
เห่อะๆๆ...นายกอง ท่านลองอีกสักครั้งหากไม่พบเห็นว่าเราสองจะแย่นะท่าน ด้วยแม่เจ้าหญิงเห็นที
ครั้งนี้คงจะไม่ยอมไว้เหมือนก่อนๆนะ ด้วยสายรายงานมาว่าได้พบแถวบริเวณแห่งนี้ ท่านลองค้นหา
อีกสักครั้งเถอะ หากไม่แล้วเห็นทีว่าศีรษะเราทั้งสองคงจะไม่อยู่ที่บ่าแน่ล่ะ ข้าเองก็นึกหวั่นๆใจ
ชอบกลนี่เราก็ค้นหามาหลายเพลาแล้ว
บุรุษร่างกำยำที่ขี่ม้าอยู่เทียบเสลี่ยง น้อมกายรับคำเบาๆ พลางกล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพ....เห็นทีว่าเราคงจะต้องปล่อยไปตามวาสนาเราทั้งสองแล้วล่ะท่าน!!!...???”
ชายผู้นั่งบนเสลี่ยง ก็กล่าวเช่นเดียวกัน
“ นั่นซิท่านนายกอง?? เราก็พยายามค้นหาแล้วทั่วทั้งแผ่นดินนับนานปีแล้วเชียว หากครั้งนี้
มิได้รับการยืนยันจากสายโดยตรงของแม่เจ้าหญิงล่ะ เราสองคงไม่วุ่นถึงเพียงนี้หรอก...”
“นั่นซิ...ท่านแม่ทัพ ข้าเองก็ยังฉงนไม่วายฤาว่าใยจึงได้ห่วงเสียนี่กระไรนัก”
“ท่านนายกอง....ข้าก็พอจะรู้เพียงนัยๆว่า บุรุษนั้นเป็นคนรักยิ่งของแม่นางนัก มิฉะนั้นใยจึงจัก
มิยอมปล่อยวางเสียนานแล้ว เอาล่ะเราสองทดลองอีกสักครั้ง หากมาดแม้นมิได้สมหวัง ก็เห็นทีจะ
ต้องยอมรับชะตาวาสนาของเราสองเสียแล้วกระมัง” แม่ทัพกล่าวด้วยสำเนียงอิดโรย ด้วยเพราะ
ขาดความมั่นใจ หากแม่หญิงจะให้เขาไปต่อสู้กับศัตรูยังนับว่าง่ายกว่าการค้นหาในสิ่งที่เขาเอง
ก็ไม่ทราบเจตนารมณ์ของเจ้าหญิงผู้ครอบครองแว่นแคว้นนี้และไม่ทราบความเป็นมาเป็นไร
อุปมาดั่งค้นหาเงาเสียมิปาน เพียงแต่เจ้าหญิงแจ้งถึงลักษณะแห่งชายคนนั้นไว้พอจะให้เป็นที่
สังเกต เขาเองก็มิได้ย่อท้อได้พยายามเสาะแสวงหาสืบเสาะและได้นำ บุรุษตามลักษณะที่แม่นาง
ได้บรรยายให้ฟัง มาพบเสียหลายต่อหลายคนแล้ว แต่แม่นางก็ทรงปฏิเสธร่ำไปตั้งแต่เขายังหนุ่ม
จนบัดนี้อายุอานามก็ล่วงโรย ย่างเข้าสู่วัยกลางคนไปแล้ว แต่ความพยายามของเจ้าหญิงก็มิยอม
ลดละเลิกในเรื่องเหล่านี้ไปเสียที จึงทำให้เขาอดทีจะท้อแท้ต่อความคิดอ่านของแม่หญิงได้
ยามที่เขายังหนุ่มคะนองด้วยความที่หยิ่งในฝีมือและความรู้ของเขา ทำให้เขาคิดว่ามันง่ายนัก
แต่พอเข้าประจักษ์แล้วถึงได้รู้ว่า เปรียบดั่งขุนเขาที่แข็งแกร่งยากจะทำลายได้ ด้วยนามนั้น
หาได้มีตัวตนใดไม่ เพียงแต่เพียงรูปลักษณะอุปมาดั่งให้เขาค้นหาเงาก็มิปานฉะนี้
ลางทีเห็นทีเราจะต้องพ่ายแพ้และหมดวาสนาในการรับใช้เสียแล้วกระมัง พลางทอดถอนหายใจ
เฮือกใหญ่ พลางหลับตาพริ้มพร้อมกับกล่าวกับทหารคนสนิท
“ท่านนายกองเอย ในเมื่อฟ้าลิขิตเราสองเป็นฉะนี้แล้วเห็นลางทีต้องปล่อยให้เป็นไปตามวาสนา
เสียแล้วล่ะท่าน การให้เราสองไปต่อสู้กับบุคคลที่มีตัวตนยังไม่ระอาใจ เหมือนในการครั้งนี้นะ
“ใช่แล้วขอรับ...มาดแม้นให้ข้าไปสู้รบกับคนนับพัน นับหมื่นใจข้าก็หาได้ไหวหวั่นใดไม่ แต่นี่
เสียอีกทำให้ข้าเกิดความหวั่นไหวต่อเหตุการณ์นี้เสียจริงๆ ขอรับ”
“ช่างเถอะท่านนายกอง...นับว่าบุญวาสนาเห็นทีคงจะหมดในครั้งนี้แล้ว ยิ่งเป็นพระบัญชาว่า
หากมาดแม้นมิสำเร็จก็อย่ากลับมาให้ข้าได้เห็นอีก เสมือนว่าเราสองเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของ
พระองค์ ศึกในครั้งนี้เห็นทียากจะลุล่วงเสียแล้วท่าน”
“ขอรับท่านแม่ทัพ.....ไหนๆก็ไหนๆแล้วเราก็ได้ค้นหามาแทบทั้งชีวิตมิได้ที่จะย่นย่อท้อถอยก็หาไม่
แต่นี่ศึกเงายากนักที่จะฝ่าฟันด่านนี้เสียแล้วกระมัง”
ใบหน้านายกองที่เลยหนุ่มกลับแลดูชราขึ้นทันตาเห็น ร่างที่ผึ่งผายกลับคุดคู่ห่อเหี่ยวไป แล้วชักม้า
ล่วงไปข้างหน้า พลางร้องเพลงขึ้นเสมือนกับปลงอนิจจังตัวเอง เสียงเพลงที่ร้องสั่นสะท้านแทรกซ้อน
ไชชอนเข้าไปในดวงใจของเหล่าทหารๆหาญหน่วยกล้าตายเหล่านี้ พร้อมลำนำกานท์สอดแทรกไปด้วย
“ อันชีวิตเกิดข้าหาเกรงไม่
ต้องมาตายในศึกครั้งนี้หรือ
แม้สู้รบกับใครหาได้ปรือ
แต่นี่คือภาพลักษณ์ข้าหนักใจ.”
เสียงร่ายทำนองที่ดูออกเศร้าๆลึกๆในห้วงจิตใจของนายกองคนนี้ แม้แต่แม่ทัพเองก็ยังหน้าเปลี่ยนสีไป
ใช่ซินะ....นายกองคนนี้ผ่านศึกสงครามมานักต่อนัก ถึงแม้ตัวคนเดียวตกอยู่ในหมู่ล้อมของศัตรูก็หาได้
ยี่หระไม่ กลับทรนงต่อสู้ผ่านชะตากรรมกลับมาได้เพียงโดดเดี่ยวและเดียวดาย เหล่าทหารกล้าได้เสีย
ชีวิตและรอดกลับมารายงานถึงวีรกรรมของนายกองคนนี้ ทำให้เขาเองต้องรีบออกมาหวังช่วยเหลือ
นายกองคนสนิทคนนี้ พอยกทัพออกไปได้กลับแลเห็นนายกองควบม้ากลับมาคนเดียวพร้อมนำหัว
แม่ทัพฝ่ายตรงกันข้ามมาเพื่อเป็นกำนัลทดแทนความผิดที่ต้องสูญเสียทหารไป แต่ศึกครั้งนี้เขาไม่เคย
ได้ยินและเห็นความหนักใจท้อแท้เสมือนในครั้งนี้เลย พลางทอดถอนใจหนักแล้วกล่าวคำสุนทรฝาก
ตามหลังบุรุษชาติอาชาไนย ไว้เลาๆ
“วาสนานำพาแห่งชีวิต
มาดแม้นปลิดชีวันขันอาสา
สู้กับคนไม่หวั่นในอุรา
ลิขิตมาสู้เงายังเศร้าใจ."
* แก้วประเสริฐ. *
25 มกราคม 2553 13:58 น.
แก้วประเสริฐ
“ ตาจันกับไอ้จ๋อย “
พระอาทิตย์ใกล้ลับขุนเขา
ท้องฟ้า ทอแสงอ่อนแดงระเรื่อๆฉาบเมฆแลงามหลากสี
ฝูงนกยาง ร้องเรียกพวก จ้าละหวั่น หวังกลับไปพักผ่อน
ท่ามกลางท้องทุ่งนาที่อยู่ใกล้เชิงเขา เห็นสามชีวิต
คนสองสัตว์หนึ่ง ก็กำลังมุ่งหน้าเดินทางกลับบ้านเหมือนกัน
เสียงขลุ่ยแว่วบรรเลงเพลงลูกทุ่ง ล่องลอยมา สูงๆต่ำๆ
สร้างบรรยากาศที่ใกล้จวนจะโพล้เพล้ ให้มีชีวิตดีขึ้นกว่าไม่มีเสียงอะไรเลย
ร่างชายวัยกลางคนค่อนข้างมีอายุ แต่ร่างกายบึกบึนไหล่ซ้ายสะพาย ถาน
อีกมือหนึ่งลากเส้นเชือกยาวๆ ปลายเชือกเป็นควายร่างกำยำวัยหนุ่ม
หลังควายมีเด็กอายุประมาณ 14-15 ปี นอนบนหลังควายเป่าขลุ่ยอยู่
มันไม่เพียงเป่าเท่านั้น แต่ขามันซึ่งยกไขว้กันอย่างสบายอารมณ์
“ เฮ้ยๆๆๆ...ไอ้จ๋อย ไอ้ห่า เดี๋ยวมึงก็ตกหลังควายแขนคอกหรอกว๊ะ!!!
เสียงขลุ่ยเงียบหายทันที มันหันไปมองชายชรา แล้วก็แหกปากหัวร่อเสียงดัง
“กูเตือนมึงนะโว้ย เสือกดันหัวร่อได้ไอ้ห่ากิน!!...”
“ระวังนะโว้ย กู..ขีเกียจไปอนามัย”
“พอหรือยังล่ะตาแก่...บ่นเก่งฉิบ...เลย คนกำลังพักผ่อนอารมณ์
ข้ามันเด็กเทพนะตาไม่โง่จนตกลงมาหรอก”
“ฮ่าๆๆ...มึงว่าอะไรนะหูกูไม่ค่อยได้ยินว๊ะ?” เสียงชายค่อนข้างชราถามขึ้น
“ฉันบอกว่า...อึอึ... ฉันมันเด็กเทพ...นี่แหละหน๊าคนโง่ๆก็แบบนี้แหละพูดไม่รู้เรื่อง”
เสียงเด็กหนุ่มตอบแบบน่ารำคาญ พลางหยิบขลุ่ยขยับจะเข้าริมฝีปาก ก็ต้องพลันชะงัก
เมื่อได้ยินเสียงตามันกล่าวลอยๆแบบร้องเพลงก็ไม่ใช่ มันตะแคงหูพยายามฟังเสียงตาร้อง
“บ๊อกโกโล่ๆ เหวย บ๊อกโกโล่......” ชายกลางคนร้องไปหัวร่อไป
เด็กหนุ่มพลันลุกนั่งบนหลังควายหลังจากที่นอนตะแคงอยู่นาน
“ อะไรว๊ะ???บ๊อกโกโล่ๆ ๆๆ” มันเกาหัวแกร๊กๆๆแล้วรำพึง บ๊อกโกโล่???อะไรกันว๊ะ
ตาๆๆๆบ่นอะไรอยู่หรือตา เด็กหนุ่มทนไม่ไหว ตะโกนถาม?
“มึงไม่รู้หรือว๊ะ..ไอ้เด็กเทพ...แหม๋ๆๆๆไปเมืองหลวงไม่เท่าไหร่ ชิชะๆจะเป็นเด็กเทพ ถุ้ยถุย....”
แล้วตาของเด็กหนุ่มพลางเดินจูงควาย ร้องเพลงของแกไปหัวร่อไป บ๊อกโกโล่เว้ยบ๊อกโกโล่ ฮ่าๆๆๆๆ
ไอ้ผลแฮะ เด็กหนุ่มชื่อไอ้จ๋อย กระโดดผลุงจากหลังควายแล้วเข้าไปฉุดมือตามันให้หยุด
“เดี๋ยวก่อนตา ข้าสงสัยจัง ไอ้คำว่า “บ๊อกโกโล่???นะความหมายอะไรฮือตา!!!!!...”
ชายกลางคนค่อนข้างชรา หัวร่อร่วน แล้วย้อนถามไอ้จ๋อยทันที
“มึงไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งว๊ะ...ไอ้เด็กเทพ ฮ่าๆๆๆ หน๋อยๆเด็กเทพมันน่าจะรู้นะโว้ย”
คราวนี้เด็กหนุ่มตีหน้าย่น จนดูคล้ายคนแก่ มันเกากระบาลแกร๊กๆ ครั้นจะถามก็กลัวจะเสีย
เชิงว่าเป็นเด็กเทพ ดังที่มันกล่าวไว้ นอกจากพึมพรำไป บ๊อกโกโล่ๆๆๆๆ
ด้วยความสงสัย อดที่จะยอมเสียเชิงเพื่อให้หายความสงสัย
เอ๊าๆๆๆยอมตาสักทีไม่เป็นไรหรอกแต่ก็ยังไว้เชิงว่าเป็นเด็กเทพ มันก็แหกปากร้องว่า.....
“กรูกุ๊กกรู๊....กรูกุ๊กกรู๊ๆๆๆๆๆ “
ได้ผลเหมือนกันมันนึก ตามันถึงได้หยุดร้องเพลง บ๊อกโกโล่ ฉิบ...
“โอ้ยๆๆๆๆ” เสียงเด็กหนุ่มร้องลั่น ไม่ลั่นเปล่าร่างมันกระเด็นตกคันนาทันที
“อ้าวๆๆๆตาถีบฉันทำไมฮือๆๆๆๆ”
“ก็มึงไม่รู้จักผู้ใหญ่เป็นเด็กเป็นเล็ก ไอ้นี่วอน นี่แค่เล็กน้อยนะเว้ย หากมึงไม่ใช่หลาน
กูแล้วล่ะก็ ฮึๆๆๆๆ”
“มึงโดนหนักกว่านี่อีกนะไอ้เห้...จ๋อย”
พอได้ยินคำนี้ไอ้จ๋อย หยุดโมโหทันทีลืมความเจ็บที่ถูกถีบจากตา แล้ววิ่งไปไกลๆหน่อย แล้ว
หัวร่อลั่น “กรูกุ๊กกรู๊ๆๆๆๆ”
“ไอ้จ๋อย..นิๆๆ...มึงทะลึ่งใหญ่แล้วเว้ย “ ครั้นจะวิ่งไปหามันก็ไม่ทันด้วยบนบ่าแกมีถาน
อันใหญ่ที่สะพายไว้ ไหนเลยจะทันเด็กมัน แต่ก็ยังอดหันไปล้อมัน อีก
“บ๊อกโกโล่ๆๆๆโว้ยไอ้จ๋อย ฮ่าๆๆๆๆๆ....”
คราวนี้ไอ้จ๋อยหยุดร้องทันที แต่ด้วยเชิงมันกลับย้อนตามันทันที
“ข้าร้อง “ กรูกุ๊กกรู๊ “ แล้วเกี่ยวกับ” บ๊อกโกโล่ไ ของตาหรือเปล่าล่ะ...???”
“ไม่เกี่ยวโว้ย...แต่มึงล้อกูนี่นา ไอ้เด็กเวรตะไล...” ชายผู้เป็นตาตะโกนบอก
“อ้าวๆๆๆมันก็ไม่แฟร์ซิตา ตาร้องก่อนนา...” มันเถียงทันที
แล้วตารู้หรือเปล่าว่าไอ้คำว่า “บ๊อกโกโล่” หมายถึงอะไร
“อ๊อ.ๆ..ๆ เท่านี้หรือว๊ะไอ้จ๊อย ฮ่าๆๆๆ ขำโว้ย...กูจะบ้าตายแล้วไอ้จ๋อย”
“ เออๆๆๆ แล้วไอ้ฟง ไอ้แฟร์ของมึงนะ แฟนมึงเหร๊อ ไอ้จ๋อย????”
คราวนี้ไอ้จ๋อยทำหน้าทะเล้นแลบลิ้นหลอกตามัน แล้วพูดลอยๆๆขึ้น
“นี่แหละหน๊า...คนบ้านนอกมันก็โง่เหมือน......????” มันหยุดเสีย
ชายเป็นตา ย้อนถามหลานชายบ้างว่า
“แล้วมึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้คำว่า “บ๊อกโกโล่” มันแปลว่าอะไร เดี๋ยวกูจะบอกให้เอาบุญว๊ะ”
ไอ้จ๋อยยิ้มแก้มแทบปริแตกเสียให้ได้ มันนึกในใจ เข้าทางว๊ะ เข้าทางกู แต่ก็ยังตีหน้าเซ่อๆๆ
ถามไปเพื่อให้หายสงสัยแต่ก็ไว้เชิงมัน ที่สำเร็จวิชาสุดยอดจากเมืองหลวง
“โถๆๆๆ...หลงฟังคนแก่เพ้อก็อย่างนี้แหละว๊ะ ไอ้จ๋อยหนอไอ้จ๋อย ตากูก็ไม่รู้หรอกว๊ะ”
มันพูดขึ้นมาลอยๆๆ
คราวนี้ได้ผลเต็มร้อยเลยมันคิด เมื่อหันไปมองตามัน ซึ่งทำหน้ายึดแอ่นอก นึกว่ามันไม่รู้
แต่มันก็ไม่รู้จริงๆ ทางตา มันก็ไว้ลายเหมือนกัน หันหน้าจูงควายต่อไป ส่วนไอ้จ๋อยไม่กล้า
เข้าใกล้ๆ เดินตามห่างๆ
ความเงียบเข้ามาสักพักใหญ่ ทั้งตาหลานไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยต่างไว้เหลี่ยมกันแหละกัน
แต่ความเก๊าประสบการณ์ของตามันมากกว่ารู้จักอดกลั้น ส่วนไอ๊จ๋อยมันยังเด็กมากจึงขาด
ความอดกลั้นอดทน ไม่วายที่จะถามตามันก่อน แล้วพูดขึ้นก่อน ลอยๆๆ
“ฮี่โถๆๆๆๆๆ.....ตาโง่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าว่าไอ้คำว่า “บ๊อกโกโล่” มันคืออะไร?????”
คราวนี้ตามันสะบัดหน้าหันกลับมา แล้วกล่าวว่า
“ไอ้ห่า...หากกูไม่รู้มันว่าอะไร กูไม่ร้องเพลงมันหรอกโว้ยๆ...ไอ้จ๋อยเอ๋ย”
“ก็รู้แบบ โง่ๆๆๆนะซิ” มันลอยหน้าพูดลอยๆเหมือนกัน” ฮี่โถ..ทำตีขรึม”
ตามันกระโดดผางปล่อยเชือกผูกควายออก แล้ว เท้าสะเอว คราวนี้ที่ความอดกลั้น
หายไป ด้วยความคิดที่อวดเก่งว่า เหนือกว่าหลานชาย
“มาม๊ะมา...ไอ้จ๋อย. กูจะบอกให้เอาบุญ เมื่อกี้นี้มึงนอนและนั่งบนอะไรล่ะ นี่แหละ
คือความหมายว่าคำ “บ๊อกโกโล่” เว้ยไอ้จ๋อย...” อดอวดภูมิไม่ได้
คราวนี้ไอ้จ๋อยแหกตาปากเสียกว้างแล้วหัวร่อลั่น ไม่ลั่นเปล่า ยกมือเข็กหัวมันเองอีกด้วย
นึกไม่ถึงๆ ไอ้ห่ากูนี่ช่างโง่เหมือนกันนิ มันรำพึงในใจ
“บ๊อกโกโล่...หรือควาย” ฮ่าๆๆๆๆ “อยากพูดก็พูดไม่เป็นจำคำเขามา ฮ่าๆๆๆๆ” แล้วมัน
ก็แลบลิ้นหลอกตามัน
อ้าวไม่เรียกว่า “บ๊อกโกโล่ไ มันมันเรียกอะไรว๊ะไอ้จ๊อย กูได้ยิน ไอ้เปี๊ยกมันพูดให้ฟังเว้ย!!!!?
มาม๊ะมา....ใกล้เข้ามานะตาเอ๊ยตา ตะแคงหูฟังนะหากไม่ได้ยิน ก็หาก้านไม้แคะหูก่อนก็ได้ข้าจะ
วิสัชนาคำที่ถูกต้องให้ฟัง
“แม๊ะๆๆ...แม่ห่ากิน...ไม่ถูกแล้วจะพูดได้หรือเว้ยไอ้จ๋อย”
“โถๆๆๆอนิจจา ชื่อ “จัน” ที่แท้ก็เป็นจันข้างแรมนะตา” ฮ่าๆๆๆๆ
“ไอ้จ๋อยอย่าวางมาดให้มากนัก หากไม่บอกกู กลับบ้านมึงระวังอย่าเข้านอนนะ
มิฉะนั้นกูกระทืบมึงแน่ๆๆ”
“อ้าวๆๆๆ .... ผุ้ใหญ่รังแกเด็กนะตา”
“ไม่รู้โว้ย...หากไม่บอกโดนแน่ๆ”
“เอ๊าๆๆๆถือโตกว่าข่มได้ข่มเอา ...บอกก็บอกซิตาจ๋า...”
“อ้าวแล้วเสือกนิ่งไปทำไมล่ะ ไอ้ห่ากวนตี....จริงๆนะมึง”
“เปล่าหรอกตา กำลังนึกอยู่ว่าถูกหรือเปล่าล่ะ แหม๋ๆๆๆทำใจร้อน กับยายเห็นถูกด่าทีไร
ไม่เห็นเก่งสักที “
เดี๋ยวโดนตาเตะจะฟ้องยายล่ะคราวนี้ แล้วมันก็ถอยห่างๆไปอีก หัวร่อลั่น
“โอ้ๆๆๆมาม๊ะมาพ่อมหาจำเริญ มาใกล้ตาหน่อยหลานรักของตา”
“ใกล้ๆก็ไม่ใช่เด็กเทพซิตา ทำหลอกเด็กเทพไปได้เช๊อะๆๆๆ”
“เอาล่ะพ่อเด็กเทพ เฉลยให้ตาฟังเถอะ พ่อทูนหัวของตา”
“นี่เป็นตาแท้ๆนะ เช๊อะมิฉะนั้นให้เขาหลอกจนตายก็ไม่รู้ เอาล่ะจะบอกให้
แคะหูหรือยัง อ้อ แคะแล้ว มันไม่ใช่ “บ๊อกโกโล่”หรอกตา มันเรียกว่า “บัฟฟาโล่” นิ “
“ไอ้ บัฟฟาโล่” มันแปลว่าอะไรล่ะ” ตาชักสงสัย
“นี่แหละหน๊าๆ...คนบ้านนอกนอนกินกับควาย นิสัยจึงไปทางควาย”
“ไอ้ห่าจ๋อย...มึงว่ากูเหร๊อๆๆ....”
“เปล่าว่าหรอกตา แต่แปลให้ฟังจ๊ะ มันหมายถึง “ควาย” จ๊ะตา”
คราวนี้ตามันขมวดคิ้ว เหมือนจะท่องจำคำนี้ไว้ “บัฟฟาโล่” แต่ไม่วายล้นเสียงออกมาได้
บรรยากาศเริ่มจะเย็น ลมเย็นพัดประทะร่างทั้งสอง
ตอนนี้อากาศเริ่มจะขมุกขมัวค่อนข้างจะมืด
ทั้งคู่ยังไม่ถึงบ้าน ความหิวเริ่มเรียกร้องกระเพาะทั้งสอง หลานกับตาหันมามองหน้ากันไม่พูด
อะไรอีก ต่างพยักหน้าหงึกๆๆๆ แล้วรีบจ้ำอ้าว เพื่อหาอาหารที่ยายทำไว้รออยู่ ไม่รู้ว่าจะถูกสาธยาย
มนต์ให้ฟังอีกนานเท่าไร แต่ช่างเถอะ สองตาหลานหันหน้ามามองกันพลางหัวร่อกระซิกต่อกัน
แต่ไม่พูดอะไรๆให้ยายมันฟัง เสร็จแล้วก็ต่างอาบน้ำอาบท่าหลังจากพาเจ้าทุยเข้าคอกสุมฟางไล่
ยุงให้มันแล้ว ก็ต่างคนเข้านอน เพื่อรอวันใหม่ที่จะต้องรีบทำต่อไป
ขออวสานเกล็ดย่อยๆเล็กๆน้อยๆ
เพื่อที่จะไม่ลืมการเขียนไว้พอสังเขป
หวังว่าอย่าไปจำคำนี้อีกนะจ๊ะ “บ๊อกโกโล่”
** แก้วประเสริฐ. **