15 ธันวาคม 2553 12:55 น.

อทิสมานกาย ๔๘

แก้วประเสริฐ

76.gif
                               อทิสมานกาย ๔๘

     กำนันเริ่ม กำนันหวน และกำนันใช้  ต่างแยกย้ายกันหนีไปคนละทางนั้น
ต่างได้รับความบาดเจ็บไปกันตามกัน แต่ทว่ากำนันเริ่มจะมากขึ้นกว่าใครๆ
ด้วยโดนกลางหลัง
    แต่ก็พยายามกระเสือกกระสนหนีด้วยอาศัยเป็นคนในพื้นที่  จึงทราบหนทาง
การลัดเลาะไปตามแนวป่าผ่านโขดหิน ที่ใต้ภูเขา นั้นมีถ้ำๆหนึ่ง  พยายามคลาน
เพื่อจะเข้าไปหลบซ่อนกายก่อน  เมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว   ยังไม่ได้พักเหนื่อยในใจ
ต่างด่าขร่ม
     “ ไอ้ห่า!!!!....มันรู้วางกำลังได้อย่างไรว๊ะ????....ในเมื่อตรวจสอบดูก่อนจะ
ลงมือแล้วเชียวนา???....”  มันบ่นพรึมพร่ำกับตัวเองแล้วคลานเข้าไปในถ้ำทันที
   ถ้ำนั้นภายในจากเล็กๆพอเข้าไปข้างในจะกว้างขวางและยังมีหลีบหินสลับ
ซับซ้อนมากมาย ทั้งยังมีหยดน้ำที่กลายเป็นแท่งหินย้อยลงมาอีก
 
     คิดว่าเป็นที่หลบซ่อนได้อย่างดี  ในการหลบซ่อนตัวกำนันนั้นรู้แถบบริเวณนี้
ทั้งหมด เพราะอาชีพด้านนี้ต้องรู้แหล่งหลบซ่อน ทั้งบางครั้งยังเป็นที่เก็บ
ของผิดกฏหมายหลบสายตาเจ้าหน้าที่ได้ดีอีกด้วย ส่วนใหญ่เป็นกลางวันมาหลาย
ครั้งแล้ว  ดังนั้นกำนันจึงไม่หวาดเกรงใดๆ  เพียงแต่ตอนนี้เป็นกลางคืนเท่านั้น
     แต่แล้วมันก็สะดุ้งสุดตัว  เมื่อแลเห็นร่างอสุรกายหลายตนยืนค้ำหัวมันอยู่ร่าง
มันช่างน่าเกลียดน่ากลัวอะไรเช่นนี้  กำนันนึกพลาง  หัวมันจรดถ้ำแต่ดวงตามัน
ซิเบ้อเริ่มเชียว ข้างหนึ่งห้อยลงมายังแก้มมัน ยิ่งตอนมันยิ้มรับ ช่างแสยะแสยง
ซ้ำมีกลิ่นเน่าๆโชยเข้าจมูกอีกด้วย  มันน่าสพึงกลัวอะไรเช่นนี้จึงอ้าปากค้าง.......
      พลันมันได้ยินเสียงของอสุรกายร้องถาม  ทันทีว่า....
   “ อ้าวๆๆๆ...จะหนีไปไหนหรือ กำนัน จำข้าได้ไหมที่เคยให้ลูกน้องมาทำร้าย
ครอบครัวข้าจนตายหมดสิ้น  แล้วยังจับพวกข้าทรมานจนจะตาย  แต่กำนันทำไม
ถึงโหดร้ายกับพวกข้านัก  ทั้งๆที่พวกข้าก็ไม่ได้ไปทำอะไรกำนันเลย  แล้วยังเผา
พวกข้าทั้งๆเป็น   กำนันจะทำอะไรข้าไม่สนใจหรอกเพียงเห็นกำนันเท่านั้นเอง

    ขณะที่ข้าและเมียหาของป่าอยู่มิได้คิดที่จะทำตัวให้เดือดร้อนแก่กำนันและพวก
อย่างใดไม่  ทั้งๆที่เห็นพวกกำนันทำในสิ่งผิดกฏหมาย  ข้าและเมียเห็นก็ไม่เคย
ไปกล่าวให้ใครฟัง ถือว่าต่างคนต่างทำมาหากินกัน  ข้าและเมียทำมาหากิน เลี้ยงชีพ
ด้วยการหาของป่ามาขายประทังชีวิต เลี้ยงลูกเต้าเท่าที่จะทำได้ไปวันๆหนึ่งเท่านั้น
    ถ้าหากกำนันทำกับข้าและเมียไม่ยุ่งเกี่ยวกับลูกของข้า  อาจจะให้อภัยกำนันได้
คิดว่าเคยสร้างเวรต่อกันและกันมา แต่นี่ลูกข้าไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นก็ต้องมาตาย
อย่างทุกข์ทรมานยิ่งนัก  กำนันสร้างเวรกรรมไว้มากจริงๆยากจะให้อภัยกันได้
    แต่กำนันใจร้ายมากๆไม่สอบถามอะไรข้าหรือเชื่อข้าเลย  ทั้งๆเป็นคนบ้านเดียวกัน
ข้าบอกแล้วว่าจะไม่บอกแก่ใครเพราะเกรงกลัวกำนันที่จะเอาเรื่อง แต่กำนันไม่ยอม 
      บัดนี้ถึงวาระที่กำนันสร้างกรรมไว้จะชดใช้แล้ว      ข้ารอเวลานี้มานานเหลือเกิน 
โน่นๆๆๆ....เมียข้าก็รอกำนันชดใช้เวรกรรมที่กำนันทำกับเขาด้วยเหมือนกันกับข้า
แรงอาฆาตข้าและเมียลูกข้า   จึงไม่ยอมไปผุดไปเกิดทั้งๆที่บุญข้าสร้างไว้ก็มีมาก”

     อสุรกายเอ่ยขึ้น  พลางชี้มือไปหน้าปากถ้ำให้กำนันดูว่า บัดนี้มีใครอยู่บ้าง
   กำนันเมื่อรับฟังอสุรกายกล่าวเช่นนั้นก็พลันนึกถึงเรื่องราวนั้นขึ้นมาได้ยิ่ง
ที่ในความเห็นแก่ตัวมันมากยิ่งขึ้น   ความหวาดกลัวยิ่งจับจิตใจมันจนตัวสั่นๆ 
  ถึงแม้เขาจะมีปืนอาวุธร้ายแรงก็จริงอยู่  กำนันรู้ว่าหากมาใช้กับพวกผีไม่ได้ผล
แต่ความสพรึงกลัวทำให้กำนันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง  พยายามกระเสือกระสน
ดิ้นรนทั้งๆที่ได้รับบาดแผลบาดเจ็บมาก  เลือดด้านหลังยังยิ่งซึมผ่านมาลงใน
กางเกงที่กำนันใช้สวมอยู่  ด้วยความอยากรู้มีอะไรจึงได้หันไปแลตามมือมันชี้
  มองตามมืออันน่าเกลียดน่ากลัวที่ชี้ไปยังปากถ้ำ ซึ่งตอนเข้ามาไม่พบสิ่งใดๆเลย
 แต่บัดนี้  ยังมีร่างอสุรกายทั้งลูกๆมันยืนคร่อมร่างมันไว้อีกด้วย
    ที่เห็นนั้นปรากฏร่างของสาวชาวป่าแห่งหมู่บ้านมันเอง ยืนเท้าสะเอวจ้องมองอยู่
กิริยาท่าทางโกรธแค้นมาก ดวงหน้าที่เละเทะส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลไปทั่ว
 ทำให้กำนันต้องกอดปืนแทนเพื่อจะเรียกร้องความอบอุ่น
   
   ทั้งหัวใจมันแสนจะเย็นยะเยือกจนกระทั่งร่างมันสะท้านหนาวสั่น
เพื่อทำจิตใจมันเรียกร้องใจคร่ำครวญให้ได้ความเข้มแข็งขึ้นบ้าง
   แต่เสียงนั้นช่างเยือกเย็นโหยหวนบาดลึกเข้าไปในจินใจกำนันนัก
    ปากกำนันเริ่มก็ร้องขอความเห็นใจจากเหล่าอสุรกายเสียงแผ่วเบามากว่า
  “ ยกโทษให้แก่ข้าเถิดๆ ข้ากลัวแล้วต่อไปจะกลับตัวเป็นคนดีไม่ทำอีกแล้ว”
   อสุรกายภายในทำ ก็พลันกล่าวขึ้นอีกว่า
   “ แล้วทีข้ากลับเมียข้า ตลอดลูกๆข้าก็เคยร้องร้องขอความช่วยเหลือจากกำนัน
เช่นเดียวกัน  แต่ๆๆทำไมกำนันไม่เห็นใจพวกข้าที่เป็นคนจนหาเช้ากินค่ำเสียบ้าง
จวบจนวิญญาณข้ามิอาจจะไปผุดไปเกิดได้ จนเกิดแรงอาฆาตแก่กำนัน  ทำไมๆ
ตอนนี้ครั้นมาถึงแก่ตัวกำนันนั้น จึงมาขอร้องความเห็นใจแก่พวกข้า ตอนนั้นทำไม
ไม่คิดเสียบ้างล่ะ???... กำนันก็รวยแสนจะรวยแต่เป็นถึงกำนันไม่เห็นอกเห็นลูกบ้าน
บ้างเลย กับใช้อำนาจพวกพ้องมากมาย เที่ยวข่มขู่ชาวบ้าน ให้กลัวตกอยู่ในอำนาจ
แม่แต่ข้าและครอบครัวเอง พยายามหลีกเลี่ยงมาเที่ยวหาของป่าเพื่อจะไม่ยุ่งเกี่ยวข้อง
กับกำนันและพวกเลย เก็บเล็กผสมน้อยไว้ทำบุญบ้างกินบ้าง ข้ายอมรับชะตากรรม
ชีวิตของตนเอง  บัดนี้มาถึงคราวชะตาจะสิ้นฆาต กลับมาร้องขอความยุติธรรมแก่
พวกข้า สมควรแล้วหรือที่จะได้รับการอภัยเช่นนี้ “  

    เสียงหน้าถ้ำร้องดัง หวี๊ดๆๆๆ....ล่องลอยมา  กำนันหันไปทางหน้าถ้ำ
ทันทีแล้วต้องผงะ  เมื่อแลเห็นร่างผู้หญิงผอมๆสูงๆ ผมยาวเป็นฟูฝอยกระเซิง
สยายยาวลงมาด้านหลังแทบจะถึงบั่นเอว  ส่วนผมด้านหน้าถูกแหวกออก
เห็นเฉพาะหน้าเท่านั้น  ฟันซีโตๆเกๆไปๆมาๆซึ่เท่าจอบฟันดินของแต่ละซี่  
กำลังเอ่ยถามเหมือนกันว่า....
     “เอาชีวิตข้าคืนมา ๆๆๆ....ช่างโหดร้ายจริงๆ ไม่ทำเฉพาะผัวข้าและข้าแล้ว  
ยังให้คนไปยิงลูกสาวลูกชาย  ฆ่าเขาอย่างเหี้ยมโหดตายทั้งเป็นทั้งๆที่ยังไม่ตาย
กับถูกไฟเผาเสียไหม้เกรียมทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นกว่ากำนันเสียอีก โน่นแน๊ะกำนัน  
   พลางร่างของปีศาจร่างผู้หญิงก็ชี้ไปข้างกายมัน  กำนันคงจะจำได้ว่าพวกข้า
คือใครเป็นใคร นั่นลูกข้าทั้งสามล้วนแล้วแต่ตัวไหม้บ้างไม่ไหม้บ้าง  ข้าแม้จะ
เป็นวิญญาณแต่ก็คอยคุ้มครองลูกข้าแต่ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ ตัวกำนันยืนสั่งการ  
        ดูซิๆๆว่าลูกชายและลูกหญิงข้าเป็นอย่างไรบ้าง   ข้าและผัวข้าพร้อมกับ
ลูกๆข้าคอยวันนี้มานานแล้ว  ไม่คิดเลยว่าจะได้แก้แค้น เมื่อเวรกรรมของกำนัน
สร้างไว้มากๆ จึงเปิดโอกาสให้แก่ครอบครัวข้า”
       ข้างๆปีศาจหญิงตนนี้มี่ร่างเด็กชายสองคนเด็กหญิงหนึ่งคน  ต่างหัวร่อดีใจกัน
แต่ใบหน้าซิมันมีน้ำเหลืองไหลเยิ้มข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งเป็นรอยไหม้ไฟเกรียม
      เสียงแหลมเล็กๆดังลอดออกจากปากเด็กทั้งสองกล่าวกับกำนันพร้อมชี้ไปที่
ใบหน้าของมันให้กำนันดู    พลางร้องด้วยเสียงคร่ำครวญโหยหวนว่า......

      “ กำนันใจร้ายๆๆๆกำนันใจร้ายจริงๆ    พวกข้าไม่อโหสิกรรมให้แก่กำนัน
หรอกไม่ต้องคิดมาแผ่กุศลให้พ่อแม่ข้าและน้องๆเลย  กุศลกำนันก็ไม่มีอะไร
อยู่แล้ว    หากสร้างทำบุญไปก็ด้วยต้องการเอาหน้ามิได้มีศรัทธา อย่างแท้จริง
      ทำบุญหวังเพื่อเอาหน้าเท่านั้นพอลับหลังก็ด่าพวกชีและพระสงฆ์อีกด้วย
ว่าดีแต่ขอเขากิน ต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่างหนึ่ง ยกของประเคนก็หันหน้าไป
ให้พวกถ่ายรูป เพื่อเอาอวดพวกหมู่บ้านเราว่า ข้าเป็นคนใจบุญสุนทานเท่านั้น
  ดังนั้นกุศลกำนันจึงไม่มี  ถึงมีก็นิดๆหน่อยๆคงเป็นบุญเก่าๆ ของกำนันเอง 
ซึ่งตอนนี้ไม่เหลือพอที่จะช่วยกำนันได้แล้วล่ะ  ที่พอเพียงขัดขวางพวกข้าไว้ได้
จึงจะต้องชดใช้กรรมหนักที่กำนันสร้างไว้หรอก  ไม่มีใครจะมาช่วยอีกแล้วล่ะ 
      มาเถอะกำนันมาอยู่แทนที่ข้าก็แล้วกัน    เมื่อกำนันตายไปแล้ว  แผ่นดินคงจะ
สูงขึ้นอีกมากมาย ท่านเจ้าป่าเจ้าเขาท่านก็อนุญาตแก่พวกข้าแล้ว  และบริวารท่าน
ก็จะไม่มากีดกั้นขัดขวางพวกข้า    เพื่อจะให้พวกข้าจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที 
   ถือว่าอโหสิกรรมแก่พวกข้าไว้ก่อนก็แล้วกันที่ทำกับพวกข้าไว้มากมายนัก
 ก่อนตายข้าแสนทุกข์ทรมานถูกเผาทั้งเป็น ดวงวิญญาณข้ามิอาจจะไปไหนได้
มาซิมาๆแทนพวกข้าไว้ด้วย ” 
           ลูกชายคนโตของอสุรกายเอ่ยพลางยื่นมือยาวอันน่าสพึงกลัวยื่นมาพร้อม

      ส่งเสียงหัวร่อ แสดงความดีอกดีใจ  แต่มือของพวกมันก็ยื่นยาวมาพร้อม
กับพ่อแม่และน้องๆมันแล้วคว้าคอกำนัน บีบลงไป บ้างดึงคอกำนันให้ยาวๆ
 บ้างลากขากำนัน บ้างดึงแขนขากำนัน  ด้วยความเจ็บปวดแผลที่โดนยิงอยู่แล้ว
ยังมาได้รับการฉีกแขนขา ฉีกขาจนกระดูกมันลั่นถึงแม้จะไม่หลุดก็ตามที 
และยังซ้ำมารับการทรมานจากพวกปีศาจเหล่านี้  ทำให้ดวงตากำนันเหลือกโพลง
     เมื่อโดนมือทั้งสี่ของผีผัวเมียลูกต่างขย้ำลงบนคอหอยมัน   กำนันรู้สึกว่า
ลมหายใจของมันขัดข้องค่อยๆจางหายไปทุกๆที  
ครั้นจะร้องขอความช่วยเหลือ  ก็ร้องไม่ออก ดวงตากำนันเริ่มโปนออก
จากเบ้าตาทันทีพร้อมมีเลือดๆๆไหลออกเปอะเปื้อนเสื้อผ้าใส่ผสมกับเลือด
ที่ถูกยิงกำลังจะแห้งเกรอะอยู่ผสมผสานกันออกมาเป็นทาง
      เสียงหัวร่อของปีศาจทั้งห้าร้องโหยหวนระงมไปทั่วๆบริเวณ  เมื่อยิ่งแลใบหน้า
เห็นร่างของกำนันเริ่มลมหายใจอ่อนลงๆทุกขณะ จนร่างกายกำนันแน่นิ่งไป
ไม่ไหวติง  คอกำนันเริ่มหมุนไปรอบๆตามตามแรงมือของ
บรรดาผีผัวเมียและลูกๆของอสุรกาย จึงพากันปล่อยมือมันทั้งหมดออกมามอง

        เหล่าวิญญาณอาฆาตครั้นเห็นวิญญาณของกำนันออกมาจากร่างเดิม  
มานั่งก้มหน้ายกฝ่ามือปิดหน้ามันเท่านั้น
 ก็พากันต่างส่งเสียงหัวร่อ ต่างพากันกอดกันกลม ฝ่ายปีศาจพ่อ
ก็พลันกล่าวเตือนขึ้นแก่พวกแม่ลูกทั้งหลายว่า 
     “ นี่แม่และลูกๆทั้งสาม  ให้พยายามนึกถึงบุญกุศลที่เราสร้างไว้ร่วมกัน
ให้โดยเร็วนะ ผลบุญกุศลจะทำให้พวกเราได้ไปสู่ทางสุคติกัน
ตามแต่เวรกรรมของเรา
 ซึ่งกำลังจะส่ง  พวกเราให้ได้ไปผุดไปเกิดเสียที  อาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว 
  ด้วยต่างวาระกรรมกันของแต่ล่ะคน  พ่อขอลาก่อนลาพวกเจ้าไปก่อน เจ้าๆก็
เหมือนกัน ต่างไปต่างที่ต่างทางกัน    ในเมื่อแรงอาฆาตพวกเราได้จบสิ้นไป 
กำนันมันตายแล้วอโหสิกรรมแก่มันด้วยเถอะน๊ะ ด้วยมันจะมาแทนที่เรา”
     “ จ๊ะพี่...จ๊ะ...พ่อ....”  เสียขานรับจากปีศาจทั้งห้าที่พากันกอดกันกลม 
บ้างหลั่งน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญ  จนปีศาจพ่อต้องห้ามอีก บอกว่า
“พวกเจ้าอย่าทำเช่นนั้นให้นึกถึงพระที่เราใส่บาตรสร้างโบสถ์ไว้ให้มากๆนะ 
 มิฉนั้นจะทำให้พวกเราไปผุดไปเกิดไม่ได้ต้องวนเวียนในที่นี้ต่อไปอีก” 
      ปีศาจผู้พ่อกล่าวกับเมียและลูก เตือนให้นึกถึงแต่พระกรรมดีไว้ ตั้งจิตให้
บริสุทธฺด้วย หากเราอโหสิกรรมให้เขาแล้ว จิตใจเราก็จะปลอดโปร่งเอง ”
      “จ้าๆๆๆ....พ่อฉันและพวกหนูจะจำและทำตามจ้าๆ”.....

  แล้วทั้งหมดก็พากันมองไปยังร่างกำนันที่นอนตายตาเหลือกถลนออกมา
จากนอกเบ้า  แล้วยกมือพนมกันทั้งห้าขึ้นอโหสิกรรมแก่ดวงวิญญาณของ
กำนัน  ที่กำลังนั่งจับเจ่าเหม่อตามองร่างเดิมของมัน ไม่สนใจอะไรๆทั้งสิ้น
   ร่างผู้พ่อก็ค่อยๆจางหายไปจากส่วนล่างจนหมด แล้วร่างผู้เป็นแม่และลูกๆ
ก็เริ่มจางหายไปทีละน้อยๆจนหมดสิ้น  คงทิ้งร่างที่ไร้วิญญาณนอนในถ้ำ
แต่เดียวดาย  ส่วนวิญญาณของกำนันนั้นก็ล่องลอยไปๆมาๆอยู่ในบริเวณนี้
แทนครอบครัวที่มันทำร้าย  ด้วยใจที่อำมหิตยังฝังลึกอยู่ภายใน....
    พลางมานึกเสียใจแต่ก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งเห็นร่างพวกอสุรกายทั้งหลายต่าง
พากันไปผุดไปเกิด  เหลือวิญญาณมันกับร่างเดิมของมัน  กำนันก็ใจหายวาบ
คงเหลือมันที่ต้องเฝ้าถ้ำนี้แต่เดียวเดียวดาย
 พลางวิญญาณมันก็ให้อโหสิกรรม อย่าจองเวรกันและกัน ทำให้มันจิตใจดีขึ้น
     ด้วยผลบุญกุศลมันไม่เคยกระทำไว้ จึงต้องเร่รอนวนเวียนภายในถ้ำนี้ไป
ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะหมดเวรตามอายุไขมัน จะได้ไปจากที่นี้ชดใช้หนี้เวร
ของมันที่กระทำไว้ในโลกมนุษย์นี้ ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอีกนานสักเท่าไหร่จะได้
เกิดมาเป็นมนุษย์ได้อีกเมื่อไหร่???.....

        ความมืดก็เข้ามาแทนที่ซึ่งตอนนั้นมีแสงสลัวๆพอเห็นกันได้ แสงสะท้อน
จากแม่น้ำที่ยังพอจะกระจายมาจาก แสงตะเกียงเจ้าพายุ ที่ลอดช่องพุ่มไม้เข้ามา
บัดนี้กลับคืนสู่สภาพเดิม  ความเงียบก็เข้ามาปกคลุม คงได้ยินแต่เสียงจักจั่นเรไร
และสัตว์หากินกลางคืนเท่านั้นที่บินวนไปเวียนมา โฉบฉวัดไปในป่านั้นตามปกติ
ด้วยมันคงจะหาอาหารกันกินประทังชีวิตมันตามประสาสัตว์หากินหากินกลางคืน
      ส่วนกำนันใช้นั้นเล่าที่โดนยิงยังที่บริเวณสะโพก และแขนมันหนีบปืนพลาง
กระโผลกกระเผลก  ทั้งๆที่ความปวดแทรกซึมเข้ามามาก  แต่ความกลัวตำรวจมี
มากกว่า  มันจึงพยายามดิ้นรนแบบคนหนีตาย  ท้องที่แถบนี้มันไม่รู้หนทางใดๆ
จึงเดาต้องการให้ไปไกลแสงไฟเจ้าพายุให้ไกลที่สุด
       พลางก้มตัวหลบหลีกหาทางหนี กระเซาะกระเซิงมาทางแถบด้านภูเขาแยกจาก
พวกมันมาเพียงคนเดียวแต่ ด้วยความมืดปกคลุมไปทั่ว ไม่เห็นทาง ได้แต่เพียงแหวก 
 พุ่มไม้ต่างๆ   มันคิดว่าหนีห่างไกลมามากแล้วแต่ที่จริง ยังคงวนเวียนอยู่ในบริเวณ
แถวๆนั้นเอง

     ร่างมันต้องทิ้งกายลงกับพื้นทันที เมื่อเห็นเงาไหววูบๆวาบๆไปมา อันเกิดจากพุ่มไม้
ต่างๆโดนลม  กำนันใช้นึกว่าพวกตำรวจติดตามมันเข้ามา  ครั้นแลเห็นพุ่มไม้ที่ไหวๆ
พลางประทับปืนขึ้นแล้วยิง  เสียงปืนดังสนั่นลั่นป่าไปหมด  ทำให้พวกนกหากินกลางคืน
ตกอกตกใจพากันบินหนีกันว่อนไปทั่ว
     เสียงพรื่บๆพรับๆ ดังไปทั่ว  เสียงปืนนี้นี่เองทำให้บรรดาตำรวจและหุ่นได้ยินเสียงปืน
ต่างกระจายกำลังออกค้นหาทันที   ครั้นแลเห็นประกายแสงไฟที่แลบออกมาจากปาก
กระบอกปืน   เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยิงใส่กระสุนไปยังเป้าที่แลเห็นประกายไฟทันใด
     ร่างของกำนันใช้ที่นอนราบกับพื้นรีบลุกขึ้นวิ่งไปยังโคนต้นไม้ใหญ่หมายหลบกระสุน
พร้อมทั้งยิงใส่ไปยังพวกหุ่นและตำรวจ   ฝ่ายตำรวจเห็นเงาตะคุ่มๆกำลังวิ่งไปยังต้นไม้
จึงปล่อยกระสุนออกไปอีกชุดหนึ่ง  ร่างกำนันใช้ทะลึ่งพรวดตามแรงกระสุนปืน ร่าง
ของมันเต้นเร่าๆไปตามแรงของกระสุน  ที่ยิงใส่ร่างกายของมันพรุนไปด้วยกระสุนปืน
 แล้วก็ล้มฟุบสิ้นใจตายไปทันที........

                        *  แก้วประเสริฐ.  *

Cartoon_Animation_08.gif692823n68ya60jv9.gif				
13 ธันวาคม 2553 21:21 น.

อทิสมานกาย ๔๗

แก้วประเสริฐ

76.gif
                               อทิสมานกาย   ๔๗

   น้...า...ๆๆจ๋..า...น้า...จ๊ะ  เล่นซ่อนหากัน..หรือจ๊ะ  หนูเล่น..ด้วยคนซิจ๊ะ
เสียงนั้นดังพร้อมกับสะกิดร่างพวกเลื่อยไม้และพวกขับรถที่แอบซ่อน
ตัวอยู่ใต้โคนไม้ใหญ่  หลังก้อนหินบ้างแอบมองยังลานที่ใช้ในการเลื่อย
ไม้แปรรูป  กับพวกคุ้มครองพวกมันอยู่  
    ครั้นแลเห็นพวกที่ถือปืนบางคนวิ่งหนีเข้าเต๊นท์ไป  บ้างที่ใจแข็งก็ยัง
แอบอยู่หลังโคนต้นไม้และก้อนหินใหญ่ ด้วยอยู่ระยะไกลๆกับเต๊นท์ที่
หลบซ่อนได้  ครั้นจะวิ่งหนีไปก็ขาสั่นแทบจะก้าวขาไม่ออกเลยด้วย
ความกลัวต่อเสียง บรรดาพวกมันต่างแลเห็นกันทุกๆคน 
     ต้นไม้อะไรมันโอนเอนไปๆมาๆสูงขึ้นเรื่อยๆซ้ำรู้สึกว่ามันจะเดิน
เข้ามาหาพวกมันทำให้พวกมันตัวสั่นมือไม้สั่นไปหมด 
  จึงก้าวขาไม่ออกนอกจากทำตาเหลือกไปๆมาๆ ดวงตาเบิกโพลง 
 แม้แต่ปืนที่ถือยังสั่นระริกอยู่  บ้างปากอ้าตาค้างกัน  เมื่อต่างคนต่างเห็น

     บรรดาต้นไม้นั้นกำลังก้าวเดินมาหามัน   พวกมันหลับตาปี๋กัน
ตัวสั่นยังกับลูกนกตกน้ำมิปาน  ภายในเต๊นท์ที่พวกกำนันเริ่ม
 กำนันหวนและกำนันใช้  กำลังปรึกษาหารือกันเรื่องงานอยู่
ก็ต่างตกอกตกใจต่างคว้าปืนพกที่เหน็บเอวออกมา 
 หันหน้าไปทางเข้าเต้นท์ทันที
    ครั้นเหลือบแลเห็นลูกน้องมัน ต่างคว้าผ้าห่มมาคลุมโปงตัวสั่น
ไปตามกันก็ชักสงสัย  กำนันเริ่มจึงเดินไปหาพลางดึงผ้าห่มออก
  ส่งเสียงดังถามพวกมันทันที
     “  เฮ้ยๆๆๆ!!!!.....กูให้พวกมึงเฝ้าระวังทำไมเสือกวิ่งหนี
จ้าละหวั่นแถมมาก็เอาผ้าคลุมโปงกันหมด  ไอ้ห่าๆๆเสือกพ่อมึง
เข้ามาจะทำอย่างไรกันล่ะโว้ย??...”

   “ นายมันๆไม่ใช่คนมันเป็นพวกผ..ี..ๆ...ครับนาย ”   พวกมันตอบ
ทั้งๆตัวสั่นอยู่    พลางแย่งผ้าห่มเพื่อจะคลุมโปงต่อไป
   “  คนนั้นผมไม่กลัวอะไรหรอกครับ  บอกตรงๆว่าผมกลัวผี
มากกว่าคนครับนาย”
มันตอบพลางดึงผ้าห่มมาคลุมโปง  ต่อไป  เล่นเอากำนันเริ่ม
กำนันหวนและกำนันใช้   ต่างหน้าตาเหลิ่กหลั่กมองตากันไปๆมาๆ
    ครั้นได้ยินเสียงตอบจากพวกมันก็แปลกใจ  ต่างรู้ว่าลูกน้อง
พวกมันเป็นคนอย่างไร   การใช้งานแต่ละครั้งคนหลายๆคนมัน
ยังเข้าไปจัดการได้โดยไม่หวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้น
    ด้วยความต้องการจะรู้ความจริง จึงชวนกันเดินออกจากเต๊นท์ไปพิสูจน์
ครั้นทั้งสามเดินตรงไปยังลานที่เครื่องจักร ต่างก็ชะงักกันเมื่อแลเห็นเงาๆ
วูบๆวาบๆ  แต่ที่มันเห็นร่างอันสูงชะลู๊ด เเดินแกว่งแขนไปมา ตอนแรก

    ก็ยังคิดว่าเป็นต้นไม้  พอเพ่งๆมองทั้งสามก็รู้ว่าอะรคืออะไร ต่างวิ่งหนี
กันเข้าเต๊นท์ไปทันที  ทีนี้มันรู้แล้วว่าที่ลูกน้องมันกลัวคืออะไรกัน  ทั้งสาม
พากันสวมกอดกันอย่างกับคู่รักกันปานจะกลืนกินมิปาน ทั้งสามร่างสั่นไป
ปากคางสั่น จนฟันกระทบกันดังออกมาได้ยินชัดเจน
      ด้านผู้กองจำลองพลางหันไปทางเจ้าสินชัยว่า 
    “ จะลงมือกันได้แล้วยังล่ะสินชัย”  ผู้กองถาม
    “ ผมคิดรอคอยสักพักก็จะดีครับผู้กอง ตอนนี้ผมกำลังเล่นจิตวิทยากับพวกมัน
โดยอาศัยพวกของเจ้าป่าเจ้าเขา  หลอกหลอนพวกมันก่อนจะได้เข้าจับกุม
ได้ง่ายๆครับ     แต่ทว่าผู้กองและพวกตำรวจจะกลัวหรือไม่ครับ  
หากกลัวให้ไปบอกพวกเราว่า
    “ที่เห็นนั้นเป็นพวกเราทั้งสิ้นไม่รบกวนอะไรหรอก  ผมคิดว่าพวกเจ้าป่า
เจ้าเขาคงจะรู้  พวกเราคงจะไม่เห็นอะไรๆหรอก  เดี๋ยวผมจะส่งกระแสจิตไป
บอกมันก็ดีเหมือนกัน”  เจ้าสินชัยตอบผู้กอง
    “ งั้นตามใจสินชัยก็แล้วกัน หากพร้อมเมื่อไหร่บอกผมด้วยจะสั่งให้พวก
ตำรวจเข้าทำการจับกุมเสียเลย”  ผู้กองจำลองเอ่ยขึ้น
    “ แล้วผมจะแจ้งให้ทราบหากถึงเวลาครับ”  เจ้าสินชัยเอ่ยขึ้น
   พลางหันไปสั่งให้ตำรวจทั้งหลายรู้  แต่จริงๆแล้วพวกตำรวจนั้นไม่เห็นอะไร
สักอย่าง  เพียงเห็นพวกนั้นพากันแตกตื่นต๊กใจอะไร ก็แปลกใจกันตามๆกัน

    “ผมถามเจ้าพวกของเจ้าป่าเจ้าเขาแล้วครับ ว่ากำบังร่างไว้ไม่ให้ตำรวจ
ได้เห็นอะไรๆหรอกครับ  ผู้กองไว้ใจได้  ”  เจ้าสินชัยรายงานให้ผุ้กองทราบ
เห็นผู้กองพยักหน้ารับ  ด้วยผู้กองเองก็ไม่เห็นอะไรผิดสังเกตุ 
    ครั้นเหลือบมองบรรดาต้นไม้ก็เห็นเป็นปกติ จะไหวเอนมีบ้างก็ด้วยสายลม
 ซึ่งพัดค่อนข้างแรงเท่านั้น คงเป็นลมจากแม่น้ำและย้อนกระทบเย็นจากภูเขา 
ผู้กองคิดด้วยความแปลกใจที่เห็นเหล่าร้ายต่างหนีกันกระเจิงจะมีบ้างที่ยังหลบ
ซ่อนอยุ่   คิดว่าคงจะเป็นพวกทางลำเลียงสิ่งของมา  ที่ไม่กล้าเข้าไปในเต๊นท์
      ทางด้านพวกด้านเลื่อยไม้และพวกขับรถ กำลังแลดูพวกมันวิ่งหนี เมื่อมีมือ
มาสะกิดมันตลอดเวลา     กลัวตำรวจก็กลัวจึงหันหลังกลับไปพลางตวาดว่า
   “ไอ้ห่าเอ๊ย!!!!!....มาสะกิดหาพ่อแม่มึงเหร่อ??..”
แล้วตามันก็เหลือกโพลนเมื่อมันสิ่งที่มาสะกิดมัน เป็นเด็ก  มือนิดเดียวตัว
ผอมแห้งแต่หัวมันใหญ่โตดังกับกะพ้อมใส่ข้าว ดวงตาใหญ่เท่าไข่ห่าน

      “เหว๋อๆๆ...เฮ้ย...ผี...โว้ย????.....”  แล้วลุกขึ้นหลับตาวิ่งหนีไปทันที  หัวมัน
ชนกับต้นไม้ บ้างหินบ้าง  พวกมันทุกๆคนเจอกันหมด เป็นร่างเด็กชายบ้าง เด็กหญิง
บ้าง แต่รูปร่างมันแตกต่างกันไป  บางคนเจอโครงกระดูกร่างเด็ก บ้างเจอร่างเด็กหญิง
     รูปร่างแต่งกายสวยแต่ใบหน้ามันแก่เละเฟะ ตาถลนออกจากเบ้า
ห้อยกระรุ่งกระริ่ง   แต่ปากมันไถ่ถามชวนพวกมันมาเล่นซ่อนหากัน
 บ้างเจอท่อนบนเป็นคนท่อนกลางเป็นซี่โครงท่อนร่างก็เป็นคนแตกต่างกันไป
ไม่เหมือนกัน  ตามสถานที่ต่างที่ใช้หลบซ่อนตำรวจ
     ที่แน่ๆพวกมันต่างลุกขึ้นกระโจนวิ่งหนี ปากร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวต่อ
สิ่งที่เห็น   ส่วนร่างกายของพวกมันต่างวิ่งหนีกัน โดนชนกับต้นไม้ก้อนหิน
หัวแตก แขนขาถลอกปอกเปลือกกันทั้งสองฝ่ายเลือดไหลอาบโชกไปตามๆกัน

       ฉับพลันเสียงดัง ฉับๆๆ...มือพวกมันถูกกระชากไขว่หลัง  เสียงดังนั้นคือ
กุญแจมือตอนนี้มันไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันแล้ว  มันเห็นพวกตำรวจเป็นพวกผี
ไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก   สติแตกกระเจิงกันไปทั่วทุกๆตัวคน ได้แต่แหกปาก
ร้องลั่น   บ้างโวยวายเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณลานและป่า จนตำรวจสงสัยนัก
    มันก็ยอมทุกๆอย่างพยายามจะวิ่งหนีไปให้พ้น  แต่ร่างมันติดกับต้นไม้พยายาม
ดึงเพื่อวิ่งหนี ต้นไม้นั้นล้วน  แต่เป็นไม้เนื้อแข็งเล็กๆขนาดต้นแขนพวกมันแต่
ด้านหลังมือมันถูกโอบต้นไม้แต่ถูกสวมใส่กุญแจมือทั้งสิ้น   พวกมันพยายาม
ดิ้นรน แต่ปากมันก็ยังร้องแรกแหกกระเฌอตลอดเวลาตามันหลับปี๋   
  พวกมันถูกจับกุมกันหมดทั้งสิ้นแต่ปากมันยังร้องอยู่ตลอดเวลา พร่ำๆเพ้อๆว่า
     “ช่วยด้วยโว้ยใครก็ได้ช่วยกูที  ผีมันหลอกกูว๊ะ   กูถูกผีมันจับติดกับต้นไม้
ไปไม่ได้โว้ย ช่วยกูด้วยๆ ”    เสียงร้องของมันดังลั่นก้องไปทั่ว  
ได้ยินเข้าไปในเต๊นท์และ  พวกที่ฝั่งโน้นลำเลียงไม้มาซึ่งมันต่างพากันตกใจจน
      พวกที่ตั้งสติได้คือพวกลำเลียงไม้มา พากันมองเหลิ่กหลั่กพวกมันต่างพากัน
 เหลียวกับหน้าหลัง    ครั้นความกลัวมากจนลบความกลัวกลายเป็นคนขาดสติ

    เมื่อพวกมันแลเห็นคนพากันเดินออกจากแนวป่า  พวกมันจึงยกปืนขึ้นลั่นไก
ส่งกระสุนออกจากลำกล้องไปอย่างไม่ยับยั้ง    ลืมตาบ้างหลับตาบ้าง
 ยิงในสิ่งที่มันเห็นกำลังเดินเข้ามาหาพวกมัน   ไม่คำนึงว่าเป็นสิ่งอะไรบ้าง
      เสียงกระสุนรัวดังลั่นสนั่นหวั่นไหว  ปั้งๆๆๆพรืดๆๆๆสลับสับเปลี่ยนไปๆมาๆ
  เล่นเอาพวกในเต๊นท์ต่างตระหนกตกใจ  ลืมความกลัวไปชั่วขณะต่างคว้าปืนออกมา
  ครั้นแลเห็นบริเวณ แนวป่าล้อมรอบเครื่องจักรที่ตอนนี้เสียงหายไปแล้ว
ด้วยน้ำมันหมด ขาดการเติมน้ำมัน  ดีที่แสงไฟเจ้าพายุไม่ได้อาศัยเครื่องปั่นไฟฟ้า  
ไฟใช้ร่วมกับเครื่องปั่นไฟรวมกับบรรดาเครื่องจักรเลื่อยไม้ใช้เฉพาะเครื่องจักรเท่านั้น
   มิฉะนั้นบริเวณนั้นคงมืดสนิทไปทั่ว   พวกในเต๊นท์พวกกำนันทั้งหลายลืมความกลัว
กลับไปกลัวพวกตำรวจมากกว่า  พากันออกนอกเต๊นท์ช่วยกันระดมยิงร่างตามแนวป่า

     แต่พวกมันก็ตาเหลือกค้างด้วยเห็นว่ากระสุนนั้นถูกเป้าหมายอย่างจังปืนมันเป็นปืน
เอ็ม๑๖ ที่สามารถยิงในระยะนี้ได้อย่างแม่นยำ   แต่พวกนั้นยังคงเดินเข้ามาหามันอีกอย่าง
ไม่สะทกสะท้าน  ร่างเหล่านั้นเดินเข้ามาหามันเห็นเพียงแต่ถือโล่ห์ ดาบ  หอก อาวุธอื่นๆ
และมีดปลายแหลมหาได้มีปืนใดๆไม่  หรือว่า....มันคิดไปยิงไปจนกระทั่งความกลัวจน
     มันเลิกคิดเสียแล้ว  พลางเล็งเป้าหมายปล่อยกระสุนไปอีกชุดหนึ่ง เสียงดังพรืดๆๆๆ
ปลอกกระสุนกระเด็นทั่วไปบริเวณ  ทางด้านที่เดินเข้ามาเพียงเห็นเซผงะถอยหลังเท่านั้น
 แล้วก็เดินเข้ามาใหม่    ตามันเหลือกค้างโพลนยามที่ลูกปืนหมด  รีบบรรจุกระสุนมื่อสั่นๆ
     ส่วนทางกำนันเริ่ม กำนันหวนและกำนันใช้ ความกลัวหายไปหมดสิ้น 
ต่างพากันกล่าวปรึกษากันขึ้นว่า
     “ เฮ้ยไอ้ใช้ไอ้หวน  เห็นว่าจะรับมือไม่ไหวเสียแล้วว๊ะ หากพวกเราถูกจับจะเป็นเรื่อง
ใหญ่นา  ด้วยเราเป็นกำนันด้วยจะเดือดร้อนในครอบครัวกันยกใหญ่”  กำนันเริ่มเอ่ยขึ้น
     “เออๆๆข้าก็เห็นด้วยว๊ะ???...  เอาอย่างนี้ดีกว่าเรายิงไปพลางหาทางหลบหนี
ให้รอดแล้วกันว๊ะ???....” กำนันใช้กล่าวขึ้น

      “ เออจริงๆอย่างไอ้เริ่มพูดเหมือนกัน หากถูกจับได้ยุ่งกันใหญ่เชียวนะโว้ย 
อย่างนี้ดีกว่าพวกเราต่างแยกย้ายกันหลบหนีไป  
หากใครถูกจับได้ก็อย่าซัดทอดกันก็แล้วกัน” กำนันหวนเอ่ยขึ้นบ้าง 
     “ เออๆดีๆๆว๊ะ ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน อย่าซัดทอดกันเชียวนะโว้ย
  คนรอดก็หาทางช่วยกันต่อไปอย่าลืมกันเสียล่ะ???..... ”      
      พวกกำนันต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน   
      สิ่งที่พวกมันกลัวที่สุดในตอนนี้คือตำรวจ  ด้วยมันเป็นกำนันหากถูกจับได้แล้ว
อะไรจะเกิดขึ้นกับครอบครัวมัน  ด้วยความคิดถึงครอบครัวทำให้มันลืมตัวกลัวตาย
   พลางคว้าปืนทีซ่อนไว้ออกมา   ออกไปยิงต่อสู้พลางพยายามหาทางหลบหนีไป
      ทันใดนั้นเองเสียงปืนของตำรวจหลากหลาย  ก็ดังออกมาจากหลังแนวหุ่นที่เดิน
ออกไปก่อนนั้น ทั้งๆที่ตำรวจเองก็แปลกใจยิ่งนัก  แต่คิดว่าคงจะเป็นอำนาจของ
พระเครื่องที่พวกตำรวจต่างทราบกันทั่วและพวกเขาก็ยังห้อยคล้องคออยู่ ยิ่งเพิ่มกำลัง
ใจขึ้นมาอีกมากมาย  ความกลัวอาวุธปืนจางหายไปสิ้น ในเมื่อแลเห็นพวกข้างหน้า
ซึ่งไม่รู้นี่คือหุ่นเสกของชายหนุ่มหัวหน้าพวกมันนั่นเอง

      แม้ถูกยิงจนเซถลา บ้างหงายหลังลงไปก็ลุกขึ้นถือแค่มีดดาบโล่ห์หอกเท่านั้นยัง
เดินหน้าเข้าหาพวกผู้ร้ายอย่างไม่เกรงกลัว  กระสุนปืนจากตำรวจดังพรืดๆๆคล้ายเสียง
ปืนกลสายพานคล้องเล็กๆ   ก็แลเห็นร่างของพวกผู้ร้ายเหล่านั้นต่างล้มหงายดิ้นพราดๆ
ไปตามกัน  เสียงร้องระงมดังไปทั่วทั้งในเต๊นท์และนอกเต๊นท์  ส่วนพวกลำเลียงจาก
ฝั่งโน้นต่างล้มตายกันสิ้นทั้งหัวหน้ามัน  บ้างตายใต้ก้อนหินและโคนไม้ บ้างวิ่งไปตาย
ยังท่าเรือมีมีสพานเชื่อมต่อไปที่เรือ ส่วนพวกในเรือนั้นก็ถูกระเบิดน้อยหน่าระเบิดฉีก
 ร่างและเรือกระจายลอยขึ้นท้องฟ้าลอยไปทั่ว เศษไม้เรือปลิวว่อน
      ลูกระเบิดที่ขว้างใส่คงไปถูกถังน้ำมันทำให้เกิดการระเบิดลุกไหม้ เพิ่มขึ้นอีก
เผาเรือจมหายลงไปในแม่น้ำ  พร้อมร่างของพวกมันบางคน
 กำนันหวนกำนันเริ่มและกำนันใช้ต่างแยกย้ายกันหนีไปคนละทิศละทาง 
หวังเพื่อให้เอาตัวรอด  แต่ก็ไม่วายถูกกระสุนปืนเข้าที่เบื้องหลังบ้าง โคนขาบ้าง
แขนขาบ้าง   ต่างโขยกเขยกคลานกันหนีไปตามๆกัน  ส่วนลูกน้องของพวกมัน บางคน
ต่างโยนปืนทิ้งแล้วยกมือขึ้น รอรับการจับกุมด้วยตัวกำนันทั้งสามหลบหนีไปแล้ว

      ยิ่งแลเห็นพวกมันต่างตายกันเกลื่อน ฝ่ายตำรวจที่อยู่ในที่มืดต่างๆกัน พวกมันยิงสุ่ม
แต่ไม่ได้ผล  ทางตำรวจจึงแคล้วคลาดไปกันถ้วนหน้า  ด้วยชัยภูมิได้เปรียบมากนัก
    ครั้นเสียงปืนสงบลงฝ่ายด้านหุ่นทั้งหลายต่างก็พากันเดินตรวจค้นสิ่งต่างๆภายใน 
แล้วนำเอาปืนอาวุธต่างๆมากองไว้ยังข้างๆเครื่องจักร  เหตุที่สินชัยกล่าวกับลูกน้องว่า
จะเดินนำหน้านั้นแต่ถูกผู้กองขอร้องไว้ให้อยู่เคียงข้างเขา 
     ดังนั้นเขาจึงให้หัวหน้าฝึกของเขาพลางกล่าวว่า
   “หัวหน้าเริ่ม  ข้าจะทำตามคำพูดไม่ได้แล้วล่ะ ด้วยเอ็งก็คงได้ยินผู้กองกล่าวแล้วนี่นา
ฉะนั้น  เอ็งจงคุมกำลังออกไปปะทะพวกมันก่อน  แต่เชื่อข้าเถอะลูกปืนทำอะไรพวกเรา
ไม่ได้หรอก”   เจ้าสินชัยกล่าว
     “ครับหัวหน้า   เรื่องแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ เดี๋ยวผมจะนำหน้าเองแทนหัวหน้าก็
แล้วกัน ”   เจ้าเริ่มตอบเสร็จพลางเดินออกไปสั่งให้ลูกน้องมันออกเดินทางมันเองนำหน้า
       พลางส่งสัญญาณแจ้งแก่บรรดาหุ่นทั้งหลายให้ออกปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว โดยมันเดิน
นำบรรดาหุ่นที่กระจายตามแนวชายป่าทั้งหมดเมื่อได้รับสัญญาณทางจิตแล้ว  บางตัวนั้น
ก็หันไปบอกตำรวจที่คอยอยู่  พลางกล่าวว่า    “การจับกุมนี้หรือใช้ปืนเป็นหน้าที่
ของพวกท่าน  ส่วนที่จับกุมได้ให้พวกท่านจัดการเก็บไว้ที่นี่ก็แล้วกันพวกเราไปกันแล้วล่ะ”

     ว่าแล้วมันทั้งหมดก็เดินเรียงหน้ากระดานออกจากชายป่าทันที  มิฟังคำใดๆจากพวกตำรวจ
แต่ยังมีบางตัวหันมากล่าวกับตำรวจว่า
    “  เมื่อทางโน้นเรียบร้อยแล้วค่อยปล่อยพวกมัน นำตัวไปได้ตอนนี้ให้มันอยู่กับต้นไม้ไว้ก่อน
  ซึ่งจะมีคนช่วยคอยเฝ้าเอง”
     “อ้าวๆๆๆแล้วใครจะมาเฝ้าพวกที่ถูกจับกุมไว้ให้ล่ะ  เดี๋ยวพวกเราก็ต้องออกไปยิงกับพวกมัน
อยู่แล้วนี่นา”
      “  เถอะน่าปล่อยมันไว้อย่างนี้แหละ รับรองมันไม่กล้าหาวิธีหรือมีคนมาช่วยมันหรอก” หุ่น
ตัวหนึ่งตอบขึ้น  พลางหันไปซุบซิบกับพวกผีทั้งหลาย
ให้ช่วยคอยเฝ้าด้วยแทนตำรวจด้วย  พวกผีทั้งหลายก็ล้วนรับคำพวกหุ่นตัวนั้น  แล้วรีบเดินออกไป
ปะทะกับพวกผู้ร้ายทันที
       เมื่อตำรวจเห็นหุ่นซึ่งนึกว่าเป็นคนพูดอะไรในอากาศคนเดียว  ก็พากันงงไปทั่วหน้ากัน
แต่แล้วก็ต้องหยุดคิด  พากันยกพวกติดตามไป  แล้วยิงใส่พวกผู้ร้ายนำไม้ทั้งหมดทันที.....

                                         *  แก้วประเสริฐ.  *

Cartoon_Animation_08.gif692823n68ya60jv9.gif				
12 ธันวาคม 2553 19:40 น.

อทิสมานกาย ๔๖

แก้วประเสริฐ

76.gif
                                อทิสมานกาย  ๔๖

     ด้านหมู่บ้านนางโซ่ง นั้น  กำนันเริ่มก็สั่งลูกน้องให้ไปช่วยงานพวกด้านเสี่ยหว่าง
ที่กำลังลำเลียงเครื่องจักรเลื่อยใหญ่ บรรทุกรถพ่วงมาลงและมีพรรคพวกเสี่ยกำลัง
ลำเลียงลงจากรถ  แล้วเริ่มติดตั้งเครื่องทันที  ส่วนไม้ท่อนซุงขนาดใหญ่ๆนั้นได้ถูก
พวกลำเลียงมากำลังทะยอยลากขึ้นฝั่งพร้อมพรรคพวก  มีหลายๆคนเฝ้าถือปืนยืนระวัง
เฝ้าเหตุการณ์อยู่  ส่วนทางฝ่ายกำนันเริ่มให้ลูกน้องคนสนิทก็นำพรรคพวกถือปืนระวัง
ให้เหมือนๆพวกนั้น ทุกๆคนหันหน้าออกจากเครื่องจักร  ที่กำลังถูกติดตั้งจากพวกช่าง
อย่างรวดเร็วทุกๆคนคร่ำเคร่งเพื่อจะให้งานนั้นทำงานได้

       ทางกำนันเริ่มก็เข้าไปคุยกับหัวหน้าฝ่ายโน้นอยู่และมองการทำงานของพวกมัน
เวลาผ่านไปไม่มากนักด้วยความชำนาญของพวกช่าง   เครื่องจักรเลื่อยไม้ก็พร้อมทำงาน
ได้แล้ว  เครื่องเริ่มติดด้วยเครื่องทำงานไฟฟ้าที่ใช้น้ำมัน  เสียงก็เริ่มกระหึ่มขึ้นมาพร้อม
ด้วยท่อนไม้ขนาดใหญ่  กำลังทะยอยขึ้นยังสายพานนำส่งไปยังใบเลื่อยเพื่อแปรรูปทันที
     ในเวลาใกล้เคียงกันก็มีรถบรรทุกไม้พร้อมด้วยจำนวนคนที่มีอาวุธปืนเฝ้า....
เมื่อมาถึงก็ทะยอยกันลง ส่วนรถหลายๆสิบคัน  ก็วิ่งถอยหลังมายังเครื่องเลื่อยไม้ที่บัดนี้
ได้แปรสภาพจากท่อนซุงเป็นไม้แปรรูปเรียบร้อยแล้ว  ผู้ควบคุมรถบรรทุกสิบล้อก็เข้า
มาร่วมสนทนาร่วมกับกำนันเริ่มและหัวหน้าฝ่ายลำเลียงซุงพร้อมด้วยไม้แปรรูปบางส่วน
ทะยอยกันขึ้นฝั่ง   พวกมันทั้งหมดแบ่งหน้าที่กันอย่างเรียบร้อย ไม่นานนัก

       ในขณะเดียวกันนั้นรถของบรรดาผู้ช่วยกำนันมั่นแห่งหมู่บ้านบางกระดี่   
กำนันหวนหมู่บ้านบางโค  กำนันใช้ หมู่บ้านโคกยายหอย  กำนันแช่มหมู่บ้านเนินสูง
และกำนันถ้วนหมู่บ้านบึ้งห้วย  ก็นำพรรคพวกพร้อมด้วยอาวุธปืนมากันจำนวนมาก
      ครั้นมาถึงก็เข้าควบคุมสถานที่ต่างๆแยกกันไปเฝ้ายังจุดต่างๆทันที
       รถบรรทุกขนาดเล็กพร้อมด้วยคนจำนวนมากก็มาถึง   เสี่ยหว่างก็เรียกกำนัน
และหัวหน้าที่ลำเลียงมา  แล้วหันมาถามผู้ช่วยกำนันมั่นว่า
 “ทำไมตัวกำนันมั่นถึงไม่มาช่วยเลยหรือ”
ผู้ช่วยกำนันมั่นก็ตอบว่า

      “ตัวกำนันมั่นตอนนี้นอนซมด้วยไข้หวัดใหญ่เล่นงาน ถึงให้ผมทำการแทนครับ”
เสี่ยหว่างพลางพยักหน้า ไม่กล่าวอะไรอีกพร้อมกางแผนที่อธิบายให้ทุกๆคนฟังทำตาม
หน้าที่เพื่อจะลำเลี่ยงไม้ไปยังทางต่างๆ  โดยทะยอยแบ่งกำลังคนออกแล้ว
เสี่ยหว่างก็นำประเป๋าขนาดใหญ่เปิดออกแล้วนำเงิน  ที่แบ่งออกเป็นหลายฟ่อน
มาส่งมอบให้แก่หัวหน้าฝ่ายที่นำไม้แปรรูปและท่อนซุงมา 
 พร้อมนำมอบให้กำนันทั้งหลายอีกเมื่อจ่ายเงินกันเรียบร้อยแล้ว
  ทางฝ่ายโน้นก็นับเงินสดเห็นครบจำนวน  พลางเอ่ยขึ้นว่า......

      “  ส่วนที่เหลือนั้นให้เสี่ยโอนเงินไปให้หัวหน้ามันก็แล้วกัน 
ส่วนเงินนี้เขาจะนำไปแจกจ่ายแก่บรรดาพวกที่มาในวันนี้ไปก่อน นายสั่งมา” 
 หัวหน้าฝ่ายนำไม้แปรรูปและท่อนซุงกล่าวขึ้น
     “ อั้วได้ตกลงกับหัวหน้าลื้อไว้แล้วว่า  หากงานนี้สำเร็จถึงกรุงเทพฯ
เรื่องเงินไม่เป็นปัญหาหรอก   จะโอนให้เมื่อไม้เหล่านี้ถูกแจกจ่ายไป
ยังโรงไม้ต่างๆเรียบร้อยแล้ว  แต่อั้วจะมอบเงินบางส่วนให้”  เสี่ยเอ่ยให้ฟัง
     “ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วผมจะทิ้งคนไว้คอยดูแลให้เป็นบางส่วน 
    ส่วนใหญ่จะควบคุมไม้ไปให้อีก สายพวกชาวเขาแจ้งมาว่าทางนี้ไม่น่าห่วงเสี่ย
ตามสถานที่เราตกลงกันไว้ก็แล้วกัน”  ฝ่ายลำเลียงกล่าวให้เสี่ยฟัง

      “  เอาตกลงกันตามนี้ เมื่อรถเดินทางไปยังที่กำหนดไว้  จะมีพวกป่าไม้
ของทางเราจะคอยประทับตราบนไม้แปรรูปทุกๆแผ่น  คงใช้เวลาไม่มากนัก
หากไม่ทันก็จะให้ผสมไประหว่างไม้ที่ประทับตราไว้และไม่ได้ประทับตรา
ต่างแยกย้ายกันตามทางที่ได้บอกไว้แล้วกัน  ทุกอย่างพร้อมก็จะออกเดินทาง
เมื่อเสร็จแล้ว  หรือยังไม่เสร็จค่อยทะยอยเข้ากรุงเทพเสียเลย”   เสี่ยหว่างเอ่ยขึ้น
        พลางหันไปทางกำนันทั้งหลายให้จัดเตรียมกำลังไว้ให้พร้อม พลางเอ่ยว่า 
      “ เมื่อทำการแปรรูปอยู่นั้น  ไม้ใดเสร็จแล้วก็จะรีบทะยอยกันออกเดินทางทันที
ไปยัง จุดหมายอีกที่หนึ่งก่อน    เพื่อให้ประทับตราไม้ไว้  ลื้อก็ให้พวกลื้อช่วยเหลือ
เขาด้วยทั้งการขนไม้ขึ้นรถ   ส่วนใหญ่พวกลื้อที่ชำนาญฝีมือดีๆให้เดินทางไป
เกือบทั้งหมดพร้อมอาวุธคุมไม้ที่แปรรูปแล้วออกเดินทางไปยังที่นัดหมายได้ 
 ส่วนที่เหลือทิ้งไว้ไม่ต้องมากนักด้วย  ลื้อก็ได้ยินฝ่ายลำเลียงไม้ว่าทางนี้ไม่น่ากลัว

      ทางฝั่งโน้นเขาจัดคนมาและทางโน้นก็มีคนของเขาจำนวนมากมายพร้อม
อาวุธมากรอคอยดูแลอยู่แล้ว  หากไม้ใดเสร็จถ้าหากเวลาไม่ทันการณ์ก็ให้ผสมกัน
รีบออกเดินทางตามเส้นทางที่อั้วมอบให้พวกลื้อกันแล้วทุกๆคนด้วย”
แล้วก็หันทางกำชับอีกทีด้วยความห่วงใย  อั้วรู้สึกว่ามันเงียบๆดูออกแปลกเหมือนกัน
จึงไม่น่าไว้วางใจมากนัก  ให้พวกลื้อก็อย่าได้ประมาทเด็ดขาด
   ให้พวกลื้อนำกำลังคนที่ควบคุมแลทิ้งพวกที่ลำเลียงแบ่งกันออก  ส่วนใหญ่พวกเรา
จะไปคอยควบคุมทางด้านโน้นเพราะเป็นที่สำคัญ  ทางนี้ให้กำนันเริ่มกำนันหวน
และกำนันใช้     คอยควบคุมไว้ก็แล้วกัน ด้วยเป็นถิ่นใกล้เคียงของพวกลื้อ
  นอกนั้นไปที่ยังจุดหมายเพื่อช่วยเหลือกัน”เสี่ยหว่างสั่งการเป็นงานเป็นการทันที

      กำนันเริ่มก็รีบไปสั่งยังพรรคพวกฝ่ายช่วยขนและฝ่ายควบคุมดูแลบอกว่า
     “  พวกเราไม่ต้องไป ให้ระวังทางนี้ไว้  ให้ส่งคนออกไปลาดตระเวณ 
 แนวแถวๆนี้ด้วยอย่าประมาท ถึงแม้ว่าฝ่ายลำเลียงทางโน้นสายบอกว่าไม่น่ากลัวหรือ
ถึงจะไม่ได้รับข่าวว่ามีพวกตำรวจแอบแฝงมาก็ตามที แต่ควรระวังตัวพวกเราไว้ ”
      ทางด้านกำนันหวนและกำนันใช้ก็สั่งพรรคพวกเช่นเดียวกัน 
  “ พวกเอ็งให้ช่วยกันร่วมกับกำนันเริ่มคอยควบคุม เช่นเดียวกัน  
หากมีสิ่งใดผิดสังเกตุก็ให้รีบส่งสัญญาณ       เตือนพวกเราไว้ด้วย
   ป้องกันพวกเครื่องจักรทั้งหลาย หากมีการต่อสู้กันก็ให้พวกทำงานเลื่อยไม้
หลบหนีไปก่อน  จนกว่าเหตุการณ์จะสงบค่อยลงมือทำงานกันต่อไป ”
   เมื่อทุกๆคนทราบแล้วหัวหน้ากลุ่มๆก็ให้ลูกน้องตนกระจายกำลังออกไปทันที

      งานเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ของวันศุกร์จนมืดค่ำ   ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไร ทำให้
พวกกำนันและฝ่ายลำเลียงฝ่ายโน้นต่างโล่งอกทันที  พากันแบ่งหน้าที่กันไป
กินอาหารสลับสับเปลี่ยนกันไป
      พระอาทิตย์เริ่มตกดิน  อากาศเริ่มขมุกขมัวด้วยเป็นบริเวณใกล้ๆกับแม่น้ำและ
ภูเขารายล้อมทั้งสิ้น  ทำให้พวกนั้นเกิดความประมาทด้วยคิดว่าคงจะไม่มีอะไร
เกิดขึ้น  พวกลาดตระเวณมาแจ้งว่าไม่พบสิ่งสงสัยอะไรเลย ก็ยิ่งให้
พวกมันทีเครียดกับงานนี้ค่อยๆ ทะยอยความตึงเครียดลงไปทันที 
 จนมีบ้างบางคนเดินมาออกกำลังกายทิ้งอาวุธวางไว้ 
 บ้างก็นำตระกร้อออกมาเล่นกัน ส่งเสียงอย่างสนุกสนานแข่งกับเสียงเครื่องจักร
พวกไม่ได้เล่นก็เอาปืนวางบนหน้าตัก เฝ้ามองดูเขาเล่นกัน บ้างก็เชียร์กันบ้าง

  บรรยากาศตอนนี้ค่ำแล้วด้วยยังเป็นหัวค่ำอยู่ แต่พวกมันผลัดกันตระเวณดูเสมอ   
 คงเพียงได้ยินเสียงนกกลางคืน จำพวกค้างคาวต่างบินวนเวียนหาเหยื่อกันอยู่
พวกมันก็ต่างเลิกการละเล่นเข้าประจำหน้าที่   แต่ลดจำนวนคนลงไปมาก
       ด้านทางเครื่องจักรก็ยังทำงานกันอยู่ไม่หยุด ต่างเร่งงานด้วยไม้ซุงนั้นมี
จำนวนมาก  แต่ตอนนี้เหลืออีกไม่มากนัก  พวกมันคิดว่าภายในไม่เกินครึ่งคืน
งานก็คงจะเรียบร้อย  แล้วพวกมันก็จะได้รีบเดินทางกลับกรุงเทพฯทันทีตาม
ที่ได้ตกลงกับเสี่ยหว่างไว้   หัวหน้าฝ่ายแปรรูปก็ต่างสั่งให้ลูกน้องมันเร่งมือ
หน่อยบอกให้กำลังใจว่า  
     “ เฮ้ยๆ!!!!.....ซุงเหลืออีกนิดเดียวเท่านั้นเองก็จะหมดหน้าที่พวกเราแล้วว๊ะ
ขอให้เร่งๆมือกันหน่อย”

    “พวกข้าเองก็ทำงานกันเต็มที่แม้กินข้าวก็ยังนำมากินที่นี้เลยว๊ะ ไม่ถึงครึ่งคืนก็
คิดว่าเสร็จแล้ว ”
    “ เออๆๆๆดีว๊ะ  ไอ้ห่าตอนแรกกูคิดว่ามันจะยุ่งยากลำบากเสียอีกไม่คิดว่ามัน
จะหมู  ดีนะที่เราได้ไอ้เครื่องจักรที่เสี่ยมันลงทุนซื้อให้ใหม่ๆมา หากเป็นเครื่องเก่า
ที่เคยใช้ป่านนี้คงจะไม่ได้ถึงเพียงนี้หรอก   เออๆๆๆ...พวกเอ็งสบายใจได้แล้วว๊ะ
เงินมันก็ดีงานมันจึงเดินได้อย่างนี้” 
      “หากเสร็จงานนี้ พวกมึงเอ๋ย???...  พวกเราเปรมๆกันไปนานเชียวล่ะโว้ย”
  หัวหน้าฝ่ายช่างเครื่องกล่าวแก่พวกมัน  แล้วพลางส่งเสียงหัวร่อกัน ทั้งหมดก็
หัวเราะกัน เมื่อพวกมันแลเห็นท่อนซุงเหลือไม่มากนัก  พลันพวกมันที่กำลังเลื่อย
อยู่พลางถามว่า
     “เฮ้ยๆๆๆ???....เสร็จแล้วจะเก็บของทันหรือเปล่าล่ะในคืนนี้นะ  นี่มีแค่ตะเกียง
เจ้าพายุไม่กี่ดวงเท่านั้นเอง”  มันหันมาถาม

     “ กูว่าทันว๊ะ  ด้วยพวกรถยกและฝ่ายประกอบมันก็อยากจะกลับบ้านเร็วๆเหมือน
กันอย่างพวกเราแหละว้า???....   โน่นแหกตาดูมันกำลังจ้องมองพวกมึงอยู่โน้นแหละ”
หัวหน้าฝ่ายควบคุมกล่าวให้พวกมันรู้
   “อย่างงั้นมึงไปบอกพวกรถขนและรถยกว่าคงจะอีกไม่นานก็จะกลับกันได้แล้วให้
พวกมันเตรียมตัวกันได้แล้วว๊ะ” พวกทำงานเอ่ยขึ้น
    หัวหน้ามันไม่พูดอะไรอีก รีบเดินทางไปเจรจากับพวกรถยกและรถบรรทุกเครื่องจักร
ให้เตรียมพร้อมทันที  ว่าไม่เกินครึ่งคืนนี้ทางฝ่ายเราก็จะเรียบร้อยแล้วจะได้รีบ กลับอ้อ
เงินนั้นพวกเราก็ได้รับกันล่วงหน้า   ที่เหลือจะไปเบิกภายหลังทั้งพวกมึงอีกโว้ย!!!!!...”

   “ ขอให้เสร็จก่อนเถอว๊ะ!!!!...เรื่องเงินพวกกูไม่ห่วงหรอกด้วยทำกันมานานแล้วก็ไม่
เคยพลาดสักครั้งเดียว  เสี่ยมันใจกว้างว๊ะ บางทีไม่มีเงินใช้ยังไปขอมัน  มันก็จ่ายให้นี่หว่า”
   ที่พวกมันกล่าวนี้ไม่ใช่เสี่ยหว่าง  แต่เป็นพวกเสี่ยทางกรุงเทพฯ
   “ ทางกูก็เร่งมืออยากจะกลับบ้านเหมือนกันแหละว๊ะ???..... 
 กูว่าพวกเราคงจะผ่านได้ว๊ะ ได้ยินฝ่ายลาดตระเวณมาบอกหัวหน้ามันว่า 
 เหตุการณ์ปกติไม่มีสิ่งผิดสังเกตุอะไรเลย”
      ฝ่ายรถยกและรถบันทุกก็ตะโกนบอกพวกๆมันและแจ้งว่าคงไม่เกินเที่ยงคืนนี้เสร็จ
   “ เฮ้ยๆๆๆ  พวกมึงไปเตรียมตรวจดูน้ำมันเช็คเครื่องไว้นะโว้ย ไม่ถึงเที่ยงคืนกลับกัน
ได้แล้วว๊ะ  ให้แยกไปอีกทางหนึ่งนะโว้ยตามที่พูดกันไว้”
   “ เออๆๆๆไม่ต้องห่วงหรอก  ฝ่ายกูก็เช็คเครื่องเติมน้ำมันเต็มถังไว้รอแล้วล่ะ  ให้มัน
เร่งๆหน่อยก็ดีว๊ะ เรื่องทางแถวนี้กูรู้หมดแล้ว  เพราะไปตระเวณดูเที่ยวหนึ่งก่อนจะมา
แล้วว๊ะ”  พวกมันกล่าว

       ฝ่ายหัวหน้าเครื่องจักรไม้แปรรูปก็เดินหันกลับไปบอกพวกมันว่า ทางพวกระยก
และรถบรรทุกนำเครื่องจักรพร้อมแล้ว คอยแต่พวกเราเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพวกทำงาน
ด้านแปรรูปรับฟังก็หัวร่อร่าขึ้น  ต่างรีบทำการแปรรูปไม้เร่งขึ้นทันที  บางคนก็ร้องเพลง
คลอในระหว่างการทำงานไปด้วย
      ส่วนหัวหน้าคุมงานมันก็เดินไปนั่งที่เต็นท์ที่กลางไว้พลางยกเก้าอี้ผ้าใบมานั่งไขว่ห้าง
กระดิกเท้าๆ ฮ้ำเพลงไป  ทั้งยังจ้องไปมองพวกมันที่ต่างกำลังเร่งทำงานกันอยู่อย่างรีบเร่ง
  พลางมันคิดว่า ไอ้ฮ่างานนี้เสี่ยทางเราและเสี่ยทางโน้นพูดเหมือนกับว่าพวกกูไม่เคยผ่าน
งานมา  ทำให้ใจกูเสียหน้าเหมือนกัน  แต่ตามันก็คอยจ้องตั้งขนาดไว้ให้ตรงตามเสปรก
มันคิดในใจแล้วร้องครวญเพลงเสียงเบาๆอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

      พวกคอยระวังถือปืนคอยคุ้มกันอยู่ ตอนแรกก็มีกันเป็นจำนวนมาก แต่กำลังส่วนใหญ่
นั้นออกเดินทางไปยังอีกสถานที่หนึ่งแล้ว  ทางด้านนี้ไม้ที่ถูกแปรรูปเสร็จต่างก็ทะยอยกัน
ขึ้นรถวิ่งหายลับไป  หลายต่อหลายเที่ยวที่เหลือไม้ที่แปรรูปยังไม่พอเพียงแก่การขนรอให้
ทำการแปรรูปเสร็จก่อนค่อยทะยอยกันขนขึ้นรถไป แต่มีบางส่วนเท่านี้นอกนั้นถูกนำไป
ใส่ในรถลำเลียงเรียบร้อยแล้ว
      เสียงนกแสกร้องขึ้นดังลั่นเล่นเอาพวกกำลังทำงานหรือไม่ทำงานต่างสะดุ้งกันไปตามๆ
กัน  ด้วยโบราณเขาถือว่า  หากนกแสกร้องที่ใดแล้วมักจะมีคนตายเสมอๆ  ทุกๆคนต่างพา
กันด่าในใจ  ส่วนหัวหน้าทั้งฝ่ายควบคุมและฝ่ายแปรรูปตลอดจนฝ่ายลำเลี่ยงต่างร้องด่ากัน
ขร่ม   แล้วพามองไปก็ไม่พบอะไรนอกจากความมืด      ตะเกียงเจ้าพายุหรือแสงส่งแค่ที่
ใช้ทำงานกันเท่านั้นเอง  สิ้นเสียงนกแสกร้องไม่เท่าไร่ผ่านไปไม่นานนัก

       ทุกๆคนก็ต่างสะดุ้งผลุดลุกขึ้นยืนทันที....   เมื่อได้ยินเสียงดังออกมาจากป่าล้อมรอบ
บริเวณที่พวกมันกำลังทำงานกันอยู่!!!!!!?????.........
      “  นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ  ขอให้ทุกๆคนวางอาวุธ หยุดการทำงาน  อย่าขัดขืนรอรับการจับกุม
อย่าคิดต่อสู้เป็นอันขาด ”
      เสียงนี้ดังจากไมรโครโฟนมือถือที่ใช้ในประกาศเล็กๆ   เสียงนั้นดังสนั่นมาจากป่าในบริเวณ
มืด  ด้วยบริเวณแถบนี้เงียบสงัด นอกจากเสียงของเครื่องจักรทำงานเท่านั้นเอง  เสียงนั้นจึงดัง
กึกก้องสะท้านป่าชัดเจน
        ฝ่ายพวกคุ้มกันต่างทิ้งตัวลงราบกลับพื้นเหมือนดั่งได้รับการฝึกฝนอย่างดี  มีบางคนวิ่งไป
บริเวณต้นไม้ใหญ่  พวกในเต๊นท์ต่างถืออาวุธออกมากระจาย เพื่อป้องกันพวกไม้แปรรูป
และเครื่องจักรทันที  บริเวณนี้สว่างไสวด้วยมีตะเกียงเจ้าพายุที่พัดแกว่งไกวไปๆมาๆบนยอด
ไม้ที่ทำขึ้นจากต้นไม้ในป่านี้   ภายในบริเวณใช้ทำงานเท่านั้น

     พลันได้ยินเสียงหัวหน้าฝ่ายควบคุมตะโกนบอกไปยัง พวกกำลังทำงานแปรรูปให้รีบหลบ
หนีไปก่อน หาที่ซ่อนตัวไว้  พวกหัวหน้าฝ่ายแปรรูปไม้ และฝ่ายรถยกรถบันทุกทั้งหลายต่าง
ก็แตกกระจายแยกย้ายกันทันที  เครื่องจักรเสียงยังทำงานด้วยมันตกใจลืมปิดเครื่องรีบเผ่นหนี
ลงจากเครื่องวิ่งไปแอบยังที่ต่างๆ  แต่ก็อยู่ภายในบริเวณนั้นเพียงแต่ที่กำบังและต่างคนต่างมอง
ยังที่ต่างๆรอบกายมัน ซึ่งล้วนมีแต่ความมืด  บ้างไปคนเดียว บ้างสองคน แต่ไม่เกินสองคน
ทุกๆคนหน้าตาพากันเหลิ่กหลั่กๆไปตามๆกัน
      ครั้นหัวหน้ามันได้สติตั้งตัวได้ ก็ตะโกนบอกให้พวกมันรีบหนีเข้าป่าไปก่อน หากอยู่ที่นี่คง
จะโดนจับกุมแน่นอน   ดังนั้นทั้งหมดจึงทิ้งข้าวของไว้หลบหนีเอาตัวรอดเข้าไปภายในป่าทันที

     เวลาผ่านไปความเงียบเข้ามาแทนที่  ทำให้ฝ่ายทำงานด้านผิดกฏหมายชักเอะใจ  ทำไมไม่เห็น
พวกฝ่ายตำรวจออกมากันสักคนเดียว  
      ทันใดนั้นเสียงหมาป่าก็ต่างพากันร้องกันระงม  ไม่ร้องเปล่าๆกลับหอนอย่างโหยหวนรับกัน
เป็นทอดๆ  ทำให้พวกทำผิดกฏหมายต่างพากันด่ากันขร่ม 
      “ไอ้ห่าเอ้ย???.....กำลังน่าสิ่วหน้าขวานี้พวกมึงทำไมพากันหอนขึ้นมาว๊ะ???.... ”
กล่าวเสร็จมันหันมาทางลูกน้องมัน  ที่นั่งใต้โคนไม้ถือปืนที่พร้อมจะยิงออกไปเพื่อสอบถามแต่
ใจมันชักสั่นๆพิกล  ลูกน้องมันก็หันมาตอบหัวหน้ามันที่นั่งอยู่ใกล้ว่า
      “จะไปรู้แหม่งอย่างไร ตอนแรกเสือกไม่มีเสียงหมาสักตัวแต่นี่กลับมีเสียงไม่ร้องเปล่าๆกับ
ดันเสือกหอนต้อนรับกันอีกด้วย เวรเอ๋ยเวร”     มันหันไปกล่าวตอบกับหัวหน้ามันทันที
      “นั่นซิแล้วมึงได้กลิ่นอะไรเหมือนกูหรือเปล่าล่ะ???....”       มันรีบถามทันที

      “ กูได้กลิ่นเหม็นเหมือนหนูตายว๊ะ???....”  ลูกน้องมันตอบ
      “ แต่กูได้กลิ่นเหมือนซากศพที่กำลังถูกเผา   แล้วเสือกมีใครมาเผาศพแถวนี้หรือว๊ะ???...”
      “ ว่ามันฆ่าคนแล้ว  แอบมาเผานั่งยางกระมัง???....แต่เสียงมันเงียบวังเวงชอบกลนา
      “ มึงอย่าพูดไม่ได้หรือว๊ะ  ไอ้ห่า....คนกูไม่กลัวนะโว้ยแต่กูกลัวผีว๊ะ???...”
ลูกน้องที่ได้ยินจากที่อื่นตะโกนมาบอกให้มันอย่าเอ่ยเรื่องกลิ่นอีก
     “ อ้าวๆๆๆ...ไอ้เวร???....มึงก็ได้กลิ่นเหมือนกูสองคนหรือว๊ะ??...”
     “ เออซิว๊ะ!!!!....แหม่งๆเหม็นฉิบหายเลยว๊ะ”  ตอนนี้มีหลายเสียงตะโกนมาจากที่ต่างๆ
หัวหน้ามันกลัวแต่คิดได้ว่าหากกล่าวอีกลูกน้องมันจะพากลัวกันใหญ่ จึงทำใจกล้าตะโกนตอบ
     “ไม่มีอะไรหร๊อกว๊ะ...กูว่าไอ้พวกฆ่าคนมันจะแอบเอามาเผาใกล้เรานี่แหละว๊ะ???...กูอยู่นี่
พวกมึงไม่ต้องกลัวหรอก”

       แล้วเสียงลอยลมแว่วเข้ามา   ได้ยินกันทุกๆคน  เสียงนั้นออกจากยานๆแล้วเย็นๆชอบกล
     “ พ...ว...ก...กู...ก็ก...ลั...ว...ผีๆๆ...เห..มือ...น...กั...น...ว๊ะ???...”   
เสียงนั้นเยือกเย็นนัก ได้ยินออกมาจากราวป่าทึบที่มืดมิด  แต่ทำให้พวกมันใจชื้นกันหน่อย
คิดว่าเป็นพวกแปรรูปไปหรือไม่ก็พวกรถขนนั่นแหละ???....พวกมันคิดทั้งๆที่ใจมันนั้นสั่น
ระริกด้วยความหวาดกลัว
       หัวหน้าควบคุมสถานที่ต่างหน้าตาเหลิ่กหลั่ก  ครั้นได้ยินเสียงนั้นมันมารอบด้านทั้งหมดตามป่ารอบด้าน
  ถ้าหากพวกขนไม้และพวกแปรรูป มันไม่มากกว่านี้ไปได้  แต่นี่มันดังรอบๆป่าไปหมด
ไม่ใช่แถวบริเวณที่พวกขนไม้และแปรรูปไม้หนีไปนี่หว่า หรือว่า  มันคิดในใจ
   “ เฮ้ยๆๆๆๆกูสงสัยจะเป็น ผอ...สระ...อี...แน่แล้วว๊ะมึงดูซิ เสียงมันดังไปรอบๆ
บริเวณที่พวกเราอยู่ทุกๆรอบด้านเลยว๊ะ”

  “ไอ้เหี้ย!!!!....เสือกมาพูดทำไมมึงคิดไปก็คิดไปคนเดียวซิว๊ะ  มึงก็รู้ว่าพวกกูคนไม่กลัวคน
แต่กลัวผี   เฮ้ยๆๆๆๆ....มีดูซิโน่นๆต้นไม้หรือว่าเป็นอะไรว๊ะ ” มันทิ้งปืนผวาเข้ากอดหัวหน้า
มันทันที........
     เจ้าหัวหน้ามันก็เหลือบมองไปยังที่ลูกน้องมันถาม  สายตามันพากันเหลือกลานไป
เมื่อมันเห็น   ร่างกายที่สูงครั้งแรกนึกว่าต้นไม้สูงๆ  แต่นี่มันยิ่งสูงๆขึ้นเรื่อยๆ  เสียงมันสั่นๆๆๆ
   “  กูๆๆๆๆ.....ว่....า.... ผอ.....สะ...ระ......อี....ผีๆๆๆโว้ยๆ  มั....นๆ....พว...ก...เป...ร...ต...ว๊ะ”
เมื่อเอ่ยเสร็จมันก็รีบวิ่งแจ้นเข้าเต้นไปทันที  พวกมันที่อยู่ข้างๆ  เมื่อเห็นหัวหน้ามันหนีได้
มันก็มิรอช้า คว้าปืนหยิบๆผิด หยิบถูกๆ  หลับหูหลับตาวิ่งไปทางเต๊นเข้าไปทันที........

                               *  แก้วประเสริฐ.  *

Cartoon_Animation_08.gif692823n68ya60jv9.gif				
11 ธันวาคม 2553 17:12 น.

อทิสมานกาย ๔๕

แก้วประเสริฐ

76.gif
                               อทิสมานกาย  ๔๕

     ร่างคนทั้งสามในรูปกายทิพย์และวิญญาณที่จะกลายเป็นกายทิพย์นั้นก็เข้าสู่
ยังที่บริเวณป่าที่ต้องการในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
 (อันนี้กาลเวลาและพลังงานของแต่ละชั้นแตกต่างกัน  ชั้นนั้นแบ่งเป็น สาม ชั้น
แตกต่างกันออกไปดังนี้.......

     คือสรวงสวรรค์หนึ่ง ชั้นมนุษย์หนึ่ง แล้วนรกภูมิหนึ่ง อันสัมภาเวสี
คือวิญญาณที่ยังไม่ถึงอายุขัย สัตว์ต่างๆ และเปรต นั้นอยู่รวมกับชั้นของมนุษย์ 
เพียงแต่กาลเวลาแตกต่างกันไปย่อมไม่เหมือนๆกัน ชั้นสรวงสวรรค์

ก็กาลเวลาต่างๆกันตามแต่ละชั้น เช่นพรหมนั้นจะมีอายุยืนนานที่สุด
รองมาเรื่อยๆจนต่ำสุดคือ พวกอทิสมานกาย หรือพวกรุกขเทวาทั้งหญิงชาย
ติดกับแดนของมนุษย์กั้นไว้ด้วยพลังงานหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ มิติ ”
     มนุษย์ก็มีอายุขัยแตกต่างเหมือนกัน บางคนอายุสั้น บางคนอายุยืนนาน
ตามแต่ผลกรรมที่กระทำ  อันดินแดนมนุษย์นี้มีขึ้นเพื่อเป็นการถ่ายเทบาป
กรรมที่ทำมาก่อนแล้วหรือมาสร้างผลบุญกุศลกรรมให้มีเพิ่มมากๆขึ้นนั้นเอง

   ดังนั้นทั้งการสร้างบาปหรือชำระล้างบาป สร้างผลบุญกุศลของแต่ละบุคคคล
  ที่จะได้รับการเสวยผลแห่งการกรรมนั้นๆ  แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หากจะตรัสรู้ก็ต้องลงมายังโลกมนุษย์นี้เท่านั้น การเป็นพระอรหันต์ที่ไม่ต้องมา
เวียนว่ายตายเกิดอีกนั้น ต้องผ่านทั้งสมถะกรรมฐานและเข้าสู่วิปัสนากรรมฐาน
ก่อน ด้วย สมาธิให้เกิดฌานใหญ่ดังนี้  ขนิษกสมาธิ อุปาจาระสมาธิ ปฐมฌาน 
ทุติฌาน ตติฌานเข้าสู่ เอกัตตคัตตะอันเป็นตัวเชื่อมทางเข้าสู่ โสดาบัน อนาคา
อนาคามี โลกุตระ และพระอรหันต์ (ผมอาจจะจำผิดระหว่าอนาคา กับอนาคามี
หรืออาจจะมีเพิ่มเติมกว่านี้ขออภัยด้วย)

    การเป็นพระอรหันต์นั้น แม้แต่บุคคลทั่วๆไปไม่ว่าชายหรือหญิงก็สำเร็จได้ 
แม้แต่สรวงสวรรค์ชั้นพรหมก็สำเร็จพระอรหันต์ได้ หากยึดมั่นคงไม่ลุ่มหลง
หมั่นเจริญฌานสมาธิวิปัสสนาตัดกิเลสน้อยใหญ่หมดสิ้น ทั้งรากเง่าน้อยใหญ่
ของกิเลส ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก ตัณหา โลภะ โทสะ และโมหะ ขาดสิ้นไม่เกิด
การปรุงแต่งอารมณ์ของจิตนั้นๆได้   ก็สามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้
หากเป็นผู้ที่บวชเรียนไม่ว่าจะเป็น ภิกษุ แม่ชี หรือปะขาว แล้วนำธรรมที่รู้
มาเผยธรรมต่อชาวโลกแล้วไซร้ จะมีอายุได้ตามปราถนา แต่หากไม่อยู่ใน

ข้อใดข้อหนึ่ง ครั้นบรรลุเป็นพระอรหันต์ก็จะต้องตายภายในเจ็ดวันสิบห้าวัน
  ทำไมด้วยเมื่อถึงขั้นนี้ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในมนุษย์ เกลียดชังตัวเองที่อุปมา
ดังหนอนที่กำลังกินอาจมเป็นต้น   แล้วก็รีบเข้าสู่นิพานทันที
  โดยไม่สามารถจะนำธรรมนั้นไปสั่งสอนใครได้อีกด้วยเขาจะไม่เชื่อถือ
ด้วยข้อนี้ จึงชิงหนีไปนิพานก่อน  การจะเข้าสู่นิพานได้นั้นมีทางเดียวเท่านั้น
คือทาง อุปาจาระสมาธิซึ่งองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าก็เสด็จไปทางนี้

ดังนั้นแดนนี้จึงมีความสำคัญเป็นระหว่างกลางของความดีและความชั่วที่จะ
มาเสวยผลบุญหรือผลแห่งกรรมนั้นๆตามแต่ละบุคคลไป จึงแลเห็นว่าจะเกิด
มีพวกที่หน้าตารูปร่างสดสวย บ้างปานกลาง บ้างขี่เหร่ บ้างรวย บ้างพอมีพอกิน
บ้างยากจนข่นแค้นแสนสาหัส  หากจิตที่มาบังเกิดนั้นหากมาจากนรกภูมิสันดาน
นิสัยยังไม่ยอมรับผลแห่งกรรมติดตามมาอีกด้วยก็จะหวนกลับไปเหมือนเดิมอีก

จะเป็นพวกนักเลง มือปืน นิสัยรุนแรงชอบเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ ไม่เกรงกลัวต่อ
บาปกรรมใดๆ แม้แต่ผู้ให้กำเนิดก็ตามที แล้วก็หวนกลับไปสู่นรกภูมิอีกครั้งหนึ่ง
 ส่วนที่มาจากเบื้องบนก็จะมีนิสัยในทางธรรมชอบกระทำความดีเป็นที่ตั้ง  ตั้งมั่น
หมั่นทำบุญสุนทานแก่ผู้ยากไร้ บำรุงศาสนาเพื่อหวังกลับคืนไปยัง
แดนเสวยสุขต่อไปจนหมดผลบุญจึงได้กลับมาสร้างบุญต่อไปใหม่ด้วยเหตุดังนี้
 
   ส่วนนรกภูมิกาลเวลาย่อมแตกต่างกันไปตามขุมนรกชั้นนั้นๆตามผลกรรมชั่ว
แบ่งเป็นชั้นเล็กน้อยใหญ่ไปตามลำดับ รวมเป็น แปดขุมใหญ่นรกภูมิ
และบรรดาแต่ละขุมนั้นยังมีขุมบริวารของขุมใหญ่อีกร้อยแปดขุมที่ต่ำสุดนั้น
จะมีอายุนานที่สุดดุจดังเช่นเดียวกับชั้นพรหม การไปสู่นรกภูมินั้น
เกิดจากการเสวยผลกรรมชั่วที่กระทำมานั่นเอง ว่าผลกรรมนั้น
จะส่งไปสู่ชั้นไหนๆ   ตามแต่ผลกรรมที่ตนกระทำไว้เป็นสื่อนำวิญญาณนี้บังเกิด
ชั้นทั้งสาม อันได้แก่ สรวงสวรรค์ มนุษย์และนรกภูมิ  

     พวกเปรตหรือสัตว์นั้นจัดว่าเป็นจำพวกนรกภูมิทั้งสิ้น ยกเว้นสัมภเวสี
ที่ยังไม่ถึงอายุขัยแต่มาตายเสียก่อนจึงจะไปรับผลกรรมของตนเองไม่ได้
จึงได้แต่วนเวียนเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆกัน  จนกว่าวาระอายุขัยครบกำหนด
     แล้วจะมีคนมารับตัวไปเสวยผลแห่งกรรมของตนเอง  แล้วก็จะดับไป
อีกครั้ง จึงไปเสวยผลกรรมของตนเองเป็นต้น การเกิดดับนี้จะดับเกิดเป็น
ช่วงๆไป จนถึงที่สุดแห่งผลกรรม หรือที่เขาเรียกกันว่า

 กฏแห่งกรรมเป็นต้น แต่การเกิดขึ้นเป็นมนุษย์นั้นหากสัญญายังไม่ดับไปหมด
พร้อมกับธาตุสี่ที่รักษาร่างกายไว้ ครั้นมาเกิดใหม่สัญญาเก่าคือจำได้หมายรู้
ก็ยังติดตามมาอีก แค่เพียงแค่ระยะเวลาอันสั้นๆเท่านั้น  สัญญานั้นก็จะ
หายไปด้วยถูกสัญญาในร่างใหม่เข้าแทรกทำลายดับไปเอง)

     เมื่อร่างทั้งสามในสภาพของกายทิพย์วิญญาณมาถึง  ชายหนุ่มก็กล่าว
กับเจ้าแสงสีสินชัยว่า  
          “พวกเราควรจะไปหาท่านเจ้าป่าเจ้าเขาก่อนด้วยท่านเป็นผู้ใหญ่ที่
คอยดูแลควบคุมในบริเวณนั้นๆ ไปแสดงความคาราวะก่อนที่เราจะไป”   
ชายหนุ่มกล่าวทันที

   แล้วร่างทั้งสามก็ไปปรากกฏยังท่านเจ้าป่าและเจ้าเขาพร้อมทั้งน้อม
กายลงแสดงความคาราวะนอบน้อม
      ครั้นเจ้าป่าเจ้าเขาแลเห็นชายหนุ่มก็ต่างตกใจที่เขามาแสดงความเคารพ
ต่างรีบลงจากอาสนะวิมาน  พลางทรุดร่างลงก้มพนมมือไหว้แก่ชายหนุ่ม
ทันที  ทำให้ชายหนุ่มและเจ้าแสงสีสินชัยต่างตกใจไปทันที  ชายหนุ่มพลัน
เอ่ยขึ้นแก่เจ้าป่าเจ้าเขาว่า......

     “  เหตุไฉนใยท่านถึงทำเช่นนี้ไปใยเล่า สิ่งที่ข้าฯมานั้นหวังเพื่อที่
จะขออาศัยสถานที่ท่านตรวจสอบเหตุการณ์บางอย่างเท่านั้น
  เพื่อทำงานในร่างที่ยังดำเนินภาระกิจอยู่ตามหน้าที่  หาได้ทำให้ท่านต้องจะ
กระทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ???.... ”

     ครั้นเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งสองที่ชายหนุ่มไปพบ ต่างแจ้งกันว่า
    “. อันท่านนี้เป็นผู้มีบุญวาสนาสูงส่งนัก  มาจากเทพเบื้องบนชั้นสูง
ใยเล่าข้าน้อยจะกระทำตนเสมอไปได้เล่าขอรับ  ท่านนี้มีความประสงค์สิ่งใด
จึงได้ออกเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง ”
     กายทิพย์ชายหนุ่มจึงเข้าไปพยุงร่างให้มานั่งพลันกล่าวว่า

.      “ หากข้าฯนั้นจะมาจากที่ใดก็ตามดั่งเช่นท่านว่าไว้หรือไม่ ข้าฯเองหาทราบ
ใดๆไม่  แต่ในฐานะท่านเป็นผู้ใหญ่ในบริเวณนี้และยังต้องพึ่งพาอาศัยท่าน
ดังนั้น   จึงสมควรอย่างยิ่งนักที่ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่เป็นธรรมดา  
แต่จะหาได้มีโทษภัยใดๆแก่ท่านใดๆไม่ ”

     “ ข้าทั้งสองได้ยินคำของท่านกล่าวเช่นนี้แล้วให้รู้สึกสบายอกสบายใจขึ้นด้วย
เป็นกฏแห่งสวรรค์ที่วางไว้  ผู้น้อยพึงมีแต่นอบน้อมผู้ใหญ่ชั้นสูงกว่าขอรับ  ” 
 เจ้าป่าเจ้าเขาน้อมตอบ
ชายหนุ่มในร่างกายทิพย์ได้ยินเช่นนี้  จึงกล่าวขึ้นว่า...
      “ถึงแม้ว่าหากเป็นดังคำพูดดั่งนี้ของท่านแล้ว  ทำให้ข้าเองก็กระอักกระอ่วนใจ
ยิ่งนักแต่ทว่าบัดนี้  ข้ามาบังเกิดในชั้นที่ต่ำกว่าท่านอยู่  
เหตุนั้นจึงลบล้างกฏแห่งสวรรค์ได้มิใช่หรือ???.....”  ชายหนุ่มกล่าวอีกครั้งหนึ่ง
    
      เจ้าป่าและเจ้าเขาพลางหันหน้ามองกันและกัน   พลางกล่าวขึ้นอีกว่า
      “  ถึงแม้คำพูดของท่านนั้นก็จริงอยู่หรอก แต่หากไม่รู้จะเป็นเหตุใดหรือไม่
 แต่ถ้าหากรู้แล้วจะมานอกกฏได้อย่างใด”
     “  ด้วยท่านมาสภาพของกายทิพย์นี้ยิ่งแสดงผลบุญกุศลอันชัดเจน
รัศมีท่านเปล่งปลั่งดุจประกายไหมแก้วทองอันมีรัศมีพวยพุ่งหลากหลายสีนัก 
ย่อมแสดงถึงบุญญาธิการในการเจริญสมาธิขั้นสูงส่ง 

    “  มิฉนั้นใยเล่าจะมาในรูปกายทิพย์ได้   หากมาดแม้นท่านมารูปลักษณ์
ของมนุษย์แล้วไซร้  ก็ย่อมหาทางเลี่ยงกฏสวรรค์ ได้ขอรับ ”
         เจ้าป่าเจ้าเขากล่าวพร้อมๆกัน
    “ เอาล่ะข้อนี้ข้าฯเองขอรับผิดชอบต่อเทวะเบื้องบนเอง  หากจะมีการทำโทษท่าน
หรือสาเหตุใดๆก็ตาม  ให้ท่านอ้างคำกล่าวของข้าฯไว้ก็แล้วกัน”

   พลันกายทิพย์ชายหนู่มก็แหงนหน้ายกมือขึ้นพนมมือ  พลางเอ่ยขึ้นทันทีว่า
         “ ข้าแต่เทวะเบื้องบนทุกๆชั้น  บัดนี้ข้าฯน้อยต้องจำเป็นอาศัยกระทำสถานที่นี้ดังท่าน
เองก็ทราบอยู่ด้วยฌานทิพย์แล้ว  จงโปรดรับรู้ด้วยว่าเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งสองมิได้ฝ่าฝืนกฏ
แห่งสวรรค์ใดๆ  ถึงมาดแม้นมีขึ้นข้าฯขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียว ”
  กล่าวแล้วชายหนุ่มก็ก้มตัวลงกราบทันที

     ฉับพลันก็บังเกิดเสียงคำรามก้องของท้องฟ้าในเบื้องบนทันทีแล้วเสียงก็เงียบหายไป
ชายหนุ่มก็รับทราบทันทีว่า ทางเบื้องบนรับทราบคำอธิษฐานของเขาแล้ว
   ครั้นแลไปเหลือบมองเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งสองที่ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด ก็ทราบสาเหตุ
ใดท่านทั้งสองจึงมีอาการเช่นนี้  พลางเอ่ยต่อเจ้าป่าเจ้าเขาขึ้นว่า.....

       “ บัดนี้เทวะเบื้องบนทราบสิ่งที่ข้าฯกระทำแล้ว และทรงให้อภัยต่อกฏเกณฑ์นี้แล้ว
ข้าฯขอเชิญท่านทั้งสองจงช่วยนำทางแก่ข้าฯด้วยเถิด”

     พลันเจ้าป่าเจ้าเขาก็พากันก้มลงกราบกายทิพย์ชายหนุ่มทันที  พล่างเอื่อนเอ่ยวาจาว่า
        “หากมิได้ท่านผู้มีบุญญาธิการกล่าวเช่นนี้  มาดแม้นข้าเองจะกล่าวเช่นไรก็หาได้พ้น
ผิดไปได้  จึงต้องน้อมก้มคาราวะท่านก่อน  ผิดนั้นจึงพึงจะชดใช้ได้ขอรับ ”
       “เอาละๆ....ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ผ่านพ้นไปด้วยดีเช่นนี้  ขอท่านจงเล่าเหตุการณ์ให้ข้าฯฟัง
และโปรดนำทางแก่ข้าฯด้วยเถิด ”

      ดังนั้นเจ้าป่าเจ้าเขาเมื่อลุกนั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วจึง เล่าความทั้งหมดให้ชายหนุ่ม
พร้อม  ออกเดินทางไปยังสถานที่ทั้งสองทันที  เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวทั้งหมดก็มาถึง
ยังสถานที่ทั้งสองนั้นๆ   ชายหนุ่มจึงกล่าวขึ้นว่า
         “ ข้าฯขอขอบใจท่านทั้งสองมาก  ฉะนั้นหมดหน้าที่ท่านแล้วขอเชิญกลับไปพักผ่อนได้
เถอะนะ”   

   ชายหนุ่มกล่าว  แล้วพลันก็ชวนเจ้าแสงสีสินชัยตระเวณตรวจสอนสถานที่ต่างอย่างละเอียด
เมื่อเรียบร้อยจนเป็นที่พึงพอใจแล้วจึงหันมา เพื่อจะกลับ ครั้นแลเห็นเจ้าป่าเจ้าเขายืนอยู่จึงเข้า
ไปลาเจ้าป่าเจ้าเขาอีกครั้งหนึ่ง    ครั้นเจ้าป่าเจ้าเขารับทราบพร้อมน้อมคาราวะชายหนุ่ม  
     “ ข้าฯขอลาท่านทั้งสองก่อนด้วยพอใจในการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว”   
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
   ฉับพลันเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งสองก็ย่อกายแสดงความเคารพตอบ  พร้อมทั้งเอ่ยเอื้อนวาจาว่า

     “ หากความเคลื่อนไหวมีอีกประการใด  พวกเราก็จะใช้ให้เด็กๆไปแจ้งแก่ท่านขอรับ”
     “ หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องขอรบกวนท่านทั้งสองด้วยแล้วล่ะ???....    ” 
  กายทิพย์ชายหนุ่มตอบพลางกล่าวลา     แล้วร่างของทั้งสามก็หายวับไปทันที......    
  เมื่อเจ้าป่าเจ้าเขาเห็นดังนั้น ต่างก็พากันแยกย้ายไปตรวจสอบยังสถานที่
บริเวณอาณาเขตของตน  ให้บังเกิดความเรียบร้อยตามหน้าที่ต่อไป
แล้วร่างทั้งสองก็ค่อยๆจางหายไปเช่นเดียวกัน

   ร่างทั้งสามพลันปรากฏขึ้นในห้องชายหนุ่มทันที   แสงสีสินชัยเห็นร่างกายทิพย์ของนายเดิน
ไปสวมทับยังร่างเดิมที่กำลังนั่งสมาธิอยู่  สักพักชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น  แล้วก้มลงกราบพระพุทธ
พร้อม ลุกขึ้นเดินมาหาแสงสีสินชัยทันทีพลางเอ่ยขึ้นว่า
      “  ในเมื่อเราได้ไปดูสถานที่ต่างๆตลอดทางหนีทีไล่เรียบร้อยแล้ว  ข้าจำเป็นต้องวานให้เจ้า
เดินทางไปพบสารวัตรอีกครั้งหนึ่ง ”
     โดยไม่รอคำตอบของทั้งสอง   เดินไปยังโต๊ะเล็กๆใช้ในการเขียนหนังสือ  พลางร่างหนังสือ
ขึ้นอีกแล้วนำมายื่นส่งให้แก่เจ้าแสงสีทันที

      ครั้นเจ้าแสงสีได้รับหนังสือแล้วร่างมันก็หายวับออกเดินทาง  เมื่อมาถึงสารวัตรแล้วก็ยื่น
หนังสือของนายมันส่งให้สารวัตรชัชวาลย์  แล้วถอยออกมายืนรอคำสั่งอยู่
    สารวัตรชัชวาลย์เปิดอ่านหนังสือก็ให้เด็กไปเรียกผู้กองทั้งสองมาพบที่ห้องแล้วต่างก็ปรึกษา
หารือกันในการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง   สารวัตรพลางหันมาทางเจ้าแสงสีกล่าวขึ้นว่า

       “ เจ้าไปบอกนายด้วยว่า  ทางนี้ได้เตรียมพร้อมไว้คอยกำหนดวันเวลามาถึง
ก็จะให้แอบแฝงตัวแยกย้ายกันไปประจำตามหน้าที่ในหนังสือ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งสิ้น ”
       เจ้าแสงสีเมื่อได้รับแจ้งเช่นนั้น  ก็ยกมือไหว้อำลาสารวัตรแล้วรีบเดินทางกลับไป
  พอถึงหน้าห้อง ของสารวัตร เดินออกนอกห้องพร้อมปิดประตู้ไว้  เหลือบแล
 ไม่เห็นมีใครร่างมันก็หายไปเพื่อไปรายงานให้นายมันทราบ

     ในระหว่างที่ฝ่ายโรงพักกำลังเตรียมปฏิบัติงานอยู่นั้น  ทางด้านโรงพักอื่นๆ
ในเขตการควบคุมดูแลของโรงพักนี้ 
ตลอดจนโรงพักต่างๆ  ก็พากันจัดเตรียมกำลังพลที่มาใหม่และไว้วางใจได้เตรียมพร้อมไว้
เพื่อรอคำสั่ง จากทางจังหวัดจะให้ลงมือเมื่อใด สถานที่วันเวลาใด
    ส่วนทางด้านพวกนายอำเภอต่างๆที่ย้ายมาดำรงตำแหน่งครบเรียบร้อยแล้ว
 และยังได้รับหนังสือกำชับจากเบื้องบนกำชับลงมาอีกว่าควรจะทำอย่างไร
กับสถานะการณ์ในเขตพื้นที่ควบคุมดูแล

      แม้แต่ทางด้านป่าไม้ก็เช่นเดียวกัน ได้มีเจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้เดินทางจากกรุงเทพฯ
มาร่วมทำงานด้วย  ทำให้พวกป่าไม้เก่าๆพากันสงสัย ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ 
 แต่ทางหัวหน้าป่าไม้ประจำจังหวัดมิได้เอ่ยแต่ประการใด  แจ้งให้เจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานตาม
ปกติเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  และกำชับให้พยายามตรวจสอบป่าไม้ไว้ด้วยอย่าละเลยเด็ดขาด
จึงเพียงแค่ซุบซิบกันเท่านั้นเองรวมทั้งพวกที่รับส่วยและไม่ได้รับส่วยด้วย  
พวกรับส่วบต่างหนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน   แต่ก็ไม่ได้รายงานให้พวกทำไม้เถื่อนรู้
ด้วยเกรงกลัวความผิดจะมาถึงตน  เว้นแต่พวกที่จะเชื่อฟังหรือไม่เท่านั้นเอง

       ภายในห้องชายหนุ่มเจ้าแสงสีและสินชัยได้รับการแจกแจง
แบ่งหน้าที่กันทำงานกันแล้ว  ส่วนเจ้าแสงสีก็จัดกำลังพลที่ได้รับ
แล้วกล่าวว่า
    “ ข้าแต่งตั้งให้เจ้าพ่วง ซึ่งเป็นครูฝึกนำกำลังเขาปะทะก่อนตำรวจ
ด้วย อาวุธปืนมันทำอะไรพวกเราไม่ได้อยู่แล้ว”  เจ้าพ่วงก็คำนับ แล้วหันไปสั่ง
พวกหุ่นฝ่ายพวกตัวว่าจะต้องทำกันอย่างไรบ้าง ????....”

    ทางเจ้าสินชัยก็เลือกหัวหน้าครูฝึกมาคนหนึ่งร่างกายกำยำล่ำสันมาก เอ่ยขึ้นว่า
    “ข้าจะแต่งเจ้าเริ่มให้เป็นหัวหน้ากลุ่มพวกเราทั้งหลาย  ส่วนข้าจะเป็นคนนำหน้า
เอง  แล้วให้เข้าปะทะก่อนด้วยนะ” 
 เจ้าเริ่มน้อมกายรับคำสั่งแล้วไปชี้แจงแก่พวกที่มันควบคุมอยู่ให้รับทราบถึงแผนการณ์

      ครั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย   เจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยก็หันไปลาชายหนุ่ม กล่าวลาทันที
   “ ข้าทั้งสองขอลานายไปทำหน้าที่จะได้วางจุดกำลังให้แก่เหล่าพวกเราทั้งหมด”
ทั้งสองกล่าว
      เมื่อชายหนุ่มเห็นการทำหน้าที่ของเจ้าแสงสีสินชัย อดปลาบปลื้มยินดีเสียมิได้สมแล้ว
ที่มันทั้งสองเป็นมือไม้ซ้ายขวาของเรา  จึงเอ่ยขึ้นว่า
    “ ข้าขออวยพรให้เจ้าจงปลอดภัยและมีชัยในการกระทำครั้งนี้ทุกๆตนด้วยนะ”

ทั้งสองกล่าวขอบคุณชายหนุ่มผู้เป็นทั้งนายและอาจารย์มัน  หันหน้ามาพยักหน้ากัน
แล้วเจ้าแสงสีและสินชัยก็ต่างพาหุ่นทั้งหมดแยกย้ายกันไป
ประจำยังตำแหน่งที่ชายหนุ่มมอบแผนทีไว้ให้กระทำอยู่แล้ว 
 ทั้งสองทางตลอดจน  ทางแยกต่างๆอีกด้วย

   เมื่อไปถึงบริเวณที่จะใช้แฝงตัวหลบซ่อน ก็พบเจ้าป่าเจ้าเขารออยู่ก่อนแล้ว  มันจึงพา
พวกทั้งหมดให้ทำการคาราวะเจ้าป่าเจ้าเขาทันที   ทั้งหมดก็ปฏิบัติตาม
    เจ้าป่าเจ้าเขาก็เอ่ยขึ้นว่า
      “ บัดนี้ข้าได้นำบริวารมาเพิ่มเติมให้แก่เจ้าทั้งสองแล้ว ขอให้เจ้าสั่งการได้ทั้งหมด
แล้วหันไปทางบรรดาผีทั้งหลายให้รับทราบ  พวกเจ้าต้องเชื่อฟังคนเหล่านี้นะ”
   พวกผีทั้งหลายต่างก็เข้ามารายงานตัวแก่เจ้าแสงสีสินชัยทันที
      แล้วทั้งสองก็เอ่ยขึ้นว่า
     “  ข้าทั้งสองขอกราบขอบพระคุณท่านเจ้าป่าท่านเจ้าเขาด้วยที่กรุณาแก่พวกข้ามากนัก
จะได้เป็นผลบุญกุศลอย่างหนึ่งให้แก่ท่านและบรรดาผีทั้งหลายในการทำความดีนี้ครับ ”
     ท่านเจ้าป่าเจ้าเขาก็ยิ้มรับ  แล้วอวยพรให้งานครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี  แล้วร่างก็หายลับไป

        ดังนั้นทางเจ้าแสงสีและสินชัยปรึกษาหารือกัน    จึงเกิดการวางแผนอีกครั้งหนึ่ง
ให้บรรดาผีๆทั้งหลาย คอยเป็นหน่วยสอดแนมรายงานผลของพวกมัน 
 พร้อมเข้าไปประจำยังรถที่จะใช้บรรทุกไม้ที่ถูกแปรรูปแล้ว  ที่ออกเดินทางไปคันละหนึ่งตน
  เพื่อจะได้แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจว่ารถคันใดซุกซ่อนสิ่งของไว้  ครั้นถึงด่านของตำรวจก็
ให้ส่งสัญญาณแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะคอยสะกัดกั้นเพื่อจับกุมต่อไป 

  ทั้งหมดเมื่อได้รับการชี้แจงจากเจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยแล้ว  ก็แจ้งแก่บรรดาหุ่นของตนและ
พวกผีทั้งหลายว่า  
    “ พวกตำรวจที่จะร่วมมือกับเรานั้นให้สังเกตุว่า เวลาลงมือทำการจะมีผ้าสีเขียวผูกที่
คอหรือข้อมือหรือต้นแขนไว้เป็นที่สังเกตุ ด้วยเขาจะมาในลักษณะของชาวบ้าน
 หรือพรานป่าเท่านั้นคอยช่วยเหลือดูแลแก่พวกเขาด้วยก็แล้วกัน ”
  แล้วทั้งหมดต่างก็แยกย้ายออกเป็นสองฝ่ายนำโดยเจ้าแสงสีจะทำหน้าที่ด้านฝ่ายขนส่งไม้
แปรรูป  และทางเจ้าสินชัยเข้าโจมตีด้านไม้ที่กำลังเลื่อยจะถูกแปรรูป

       ทั้งเจ้าแสงสีและสินชัยต่างก็แบ่งกำลังไปประจำทางแยกต่างๆ กองละสิบตนรวมทั้งบรรดา
ผีของเจ้าป่าเจ้าเขาอีกด้วย ทุกๆทางแยกให้บรรดาผีและหุ่นทราบไว้ว่าจะกระทำการอย่างใดบ้าง
     ส่วนการจะเข้าโจมตี วันเวลานั้นคอยสัญญาณจาก สารวัตรหรือผู้กองทั้งสองเท่านั้น
   ฉะนั้นให้แยกย้ายกันไปทำหน้าที่เพื่อ รอคอยเวลาในวันที่จะเข้าดำเนินการจับกุมต่อไป........

                              *  แก้วประเสริฐ.  *

Cartoon_Animation_08.gif692823n68ya60jv9.gif				
10 ธันวาคม 2553 13:19 น.

อทิสมานกาย ๔๔

แก้วประเสริฐ

76.gif
                               อทิสมานกาย  ๔๔

     ทั้งสามต่างหยอกเย้าด้วยมธุรสวาจากันและต่างชี้ชวนกันนั่งชมท้องฟ้าในเวลา
ข้างขึ้น สิบสี่ค่ำ  ดวงจันทร์ที่ส่องแสงสกาวนวลสดใสพร่างพรายเต็มไปด้วยดวง
ดาวที่ปลายขอบฟ้าอยู่นั้น  ทั้งสามต่างนั่งเบียดเสียดเคียงคู่กันก็ต้องมีอันสะดุ้งและ
ต่างถอยออกห่าง เมื่อได้ยินเสียงเรียกจาก  เจ้าแสงสีพร้อมกับคำขอโทษของมันว่า
.....  นายครับ  ตอนนี้ผมได้ข่าวมาจากเจ้าป่าเจ้าเขาให้ลูกน้องมารายงานว่า  พรุ่งนี้
แล้วที่ทางการขนไม้เถื่อนมาขึ้นที่ท่าน้ำริมโขงนั้นจะเริ่มทำงานกัน แต่การขนย้าย
นั้นจะเปลี่ยนเส้นทางใหม่จากที่กำหนดไว้เดิม 
    ท่านให้คนของท่านไปติดตามดูการกระทำของพวกมัน ทราบว่า
 เมื่อแปรรูปจากไม้ท่อนบางส่วนแล้ว  มันจะขนไปยังแหล่งเก็บสำรองไว้
อีกที่หนึ่งก่อน  รอเวลาให้เสร็จสมบูรณ์พร้อมกันแล้วค่อยออกเดินทาง   
ส่วนไม้แปรรูปที่ขนมานั้นก็จะถูกเก็บไว้รวมกันด้วย จะได้ออกเดินทางพร้อมกัน
 เกิดจากพวกนำทางนั้นของฝ่ายโน้นไม่เห็นชอบกับการเสนอแนะของพวกฝั่งเรา
 เพียงแต่ขอแก้ไขเส้นทางลำเลียงเสียใหม่  โดยใช้พวกกระเหรี่ยงเป็นคนนำทาง

      คือมันจะนำไม้แปรรูปที่ใส่รถนั้นออกเดินทางไปอีกทางหนึ่งแม้จะอ้อมก็ยอม
แต่พวกมันคิดว่าปลอดภัยกว่า  ที่จะให้เดินทางตามแผนที่กำหนดไว้  โดยลำเลียง
เลี่ยงเลียบฝั่งโขงไปตามเส้นทางชายแดนเขมรแล้ววกไปทางพม่าติดต่อทางด้านกาญจนบุรี
      ไม่ผ่านเส้นทางเดิมเสียแล้วครับ  ลูกน้องท่านเจ้าป่าเจ้าเขาพึ่งกับมารายงานท่าน 
ทางท่านก็รีบให้มารายงานทางเราให้ทราบทั้งหมดก่อน.......
      ชายหนุ่มฟังเจ้าแสงสีรายงานก็ครุ่นคิดพลาง  กล่าวว่า
..... เห็นทีเราต้องแยกกำลังพลออกเสียก่อนและเปลี่ยนแผนใหม่เสียแล้ว  กำลังพลที่
จัดเตรียมดักทางนั้นให้เหลือน้อยลง แล้วเริ่มดำเนินการจับกุมก่อนที่จะลำเลียงไปแต่
ก็ต้องเปิดให้ทางมันลำเลียง เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย 
     ข้าคิดว่ามันจะเป็นแผนซ้อนแผนกระมังหมายถึงว่า    มันจะแยกกันไปทั้งหมด
 เพื่อป้องกันความผิดพลาด  หากถูกจับกุมได้ก็เป็นเพียงส่วนน้อย 
 ส่วนใหญ่นั้นจะถูกลำเลี่ยงเข้ากรุงเทพฯได้   ดังนั้นช้าไม่ได้เห็นทีเดี๋ยวเจ้าต้อง
รีบออกเดินทางไปรายงานเรื่องนี้ให้แก่ สารวัตรและเข้ากรุงเทพไปรายงานทางผู้ใหญ่
ด้วยเพื่อหาทางกำจัดมันทั้งหมดด้วยนะ

.....  ครับผมกับเจ้าสินชัยจะแยกย้ายกันไปพร้อมๆกัน ทางหนึ่งไปหาสารวัตร อีกทาง
หนึ่งก็จะให้สินชัยไปกรุงเทพฯรายงาน ขอให้นายรีบเขียนแผนที่การวางกำลังพลเร็ว
หน่อยนะครับ  ด้วยเวลาจะไม่ทันการณ์ด้วยพรุ่งนี้แล้ว พวกมันจะเริ่มขนย้ายมาถึงแต่
จะเสียเวลาตอนแปรรูปก็คงจะใช้เวลาอย่างเก่งก็เพียงครึ่งวันเท่านั้นเอง  คิดว่ายังพอจะ
มีเวลาเตรียมการณ์ทันครับนาย     เจ้าแสงสีออกความคิดเห็น
......  ข้าก็คิดเหมือนๆกับเจ้านั่นแหละ งั้นเดี๋ยวข้าจะรีบไปเขียนแผนที่ร่วมกับเจ้าซึ่งรู้
หนทางดี  พร้อมกับจะจัดกำลังพลฝ่ายเราไว้  
     ส่วนทางด้านโน้นนอกเขตพืนที่เราก็ต้องให้ผู้ใหญ่ท่านดำเนินการเสียเอง
   แต่เพียงจะส่งแผนที่ไปให้เท่านั้นเองแหละ พร้อมหนังสือแนะนำ
ของข้าไว้เท่านั้นเองแหละ  ให้เจ้าทั้งสองรีบไปและรีบกลับมารายงานให้ทันด้วยนะ
  ส่วนพรุ่งนี้ก็ปล่อยมันไปก่อน  ให้แปรรูปไม้ไปพลางๆวันมะรืนนี้
ถึงจะเข้าจับกุมพร้อมๆกันทั้งทางที่มันเก็บซ่อนไม้แปรรูปไว้ในเวลาเดียวกัน

.....  ครับนาย  รีบๆหน่อยก็จะดีผมจะได้ออกเดินทางพร้อมเจ้าสินชัยคืนนี้เลยล่ะ 
คิดว่าคงจะทันรายงานครับ    เจ้าแสงสีตอบชายหนุ่ม
     ทางฝ่ายนางอัปสรแม่นางอ้อยลัดดาวัลย์พลันเอ่ยขึ้นว่า
......   ถ้าอย่างนั้นเราก็ใช้วิธีล่อปลาให้ลงหลุมโจนซิ  คงจะได้ผลมากเชียวล่ะ???....
แม่นางอัปสรกล่าวขึ้น
      ชายหนุ่มหันหน้ามามองอย่างสงสัย  หมายความว่าอย่างไรล่ะจ๊ะแม่น้องนางอ้อย
..... ทางเราก็ปล่อยให้มันแปรรูปไม้ไปก่อนใช้หุ่นของเราเฝ้าไว้ไม่ให้ทำการใดๆทั้งสิ้น
ให้มันตายใจว่าทางเราไม่รู้เรื่องราว  จนไม้ท่อนเหลือเพียงเล็กน้อย
ถึงจะใช้กำลังพลจริงเข้าจัดการ  โดยให้วางกำลังแอบซ่อนตัวในป่าไว้ก่อน
     จนกว่าจะได้รับสัญญาณจากเราเมื่อมันแปรรูปไม้ เหลือเป็นหลักฐานเพียงพอ
ทางมันก็จะเหลือคนเฝ้าไม่มากนัก ส่วนใหญ่พวกมันจะนำกำลังไปคอยเฝ้าไม้แปรรูป
ยังที่เก็บไว้เป็นจำนวนมาก   ซึ่งแห่งนี้จะมีพวกมันมากทั้งต้องขนถ่ายสิ่งของขึ้นลงไว้
บนรถแล้วทะยอยกันออกเดินทาง  ในระหว่างที่มันกำลัง  ขนไม้ขึ้นรถอีกครั้งหนึ่ง
จึงจะนำรถทะยอยออกลำเลียงเข้ากรุงเทพฯได้  ปล่อยให้รถมันเดินทางไปบ้างแล้ว
ค่อยดักจับกุมในระหว่างทางภายหลัง

  จังหวะที่มันกำลังสาระวลกับการขนถ่ายนั้น  เราก็นำกำลังส่วนใหญ่ของเรา
เข้าทำการจับกุมไปพร้อมๆกันทั้งสองแห่งในเวลาไล่เรี่ยกัน แต่ต้องนัดเวลาให้ตรงกัน
ส่วนกำลังส่วนน้อยที่วางตามจุดสะกัดนั้น  คนคุมรถคงจะมีไม่เกินห้าคนเพียงพอแก่
เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมได้ทุกๆสายทาง   แต่กำลังทางเราส่วนใหญ่นั้นจะมีเป้าหมายคือ
สถานที่ไม้แปรรูปจะถูกลำเลียง  ทางเราจึงต้องใช้กำลังพลมากเป็นพิเศษและต้องเป็น
คนมีฝีมือดีที่สุดด้วย  เหตุเพราะทางมันก็คงจะคิดเหมือนกับเรานั่นเอง อาวุธทางมันนั้น
จะล้วนแล้วแต่ทันสมัยทั้งสิ้น
     เราก็ให้หุ่นเราเป็นตัวล่อด้วยกระสุนปืนนั้นไม่สามารถทำอะไรกับหุ่นของเราได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางฝ่ายมันจะตกใจที่ยิงหุ่นเราแล้วไม่ตายล้มลงสักตัวเดียว  ขวัญกำลัง
ใจมันก็จะเริ่มเสีย จังหวะนั้นเราก็ใช้กำลังพลจริงเข้าจัดการทำลายกวาดล้างพวกฝั่ง
โน้นให้สิ้นซากไปเลยอย่าให้เล็ดรอดไปรายงานทางมันได้อีก      ส่วนทางฝ่ายเรา
ก็เข้าทำการจับกุมตามแต่สถานะการณ์  เป้าหมายใหญ่คือพวกลำเลียงฝั่งโน้น
ทั้งสองทางให้ลงมือพร้อมกัน  กำลังพลที่จับกุมท่อนไม้ไว้ก็เพื่อมิให้มันอ้างได้ว่าเป็น
ไม้ที่ถูกต้องตามกฏหมาย      พี่จะเห็นชอบประการใดรึ???..
 
      แม่เทพอัปสรอ้อยวิลาวัลย์เสนอข้อแนะนำ.......แก่คนที่นางปรารถนาไว้นานแล้ว
ชายหนุ่มก็เห็นคล้อยตามนี่หรือที่เขาเรียกว่าขุดบ่อล่อปลาจ๊ะ   ชายหนุ่มกล่าว
ขอบใจแม่นางทันที      ทางด้านแม่นางอัปสรรัตนาวดีก็พลันเอ่ยขึ้นบ้างว่า....
.....เมื่อน้องอ้อยเสนอความคิดเห็นดั่งนี้แล้ว ส่วนทางด้านทางเมืองกาญจนบุรีนั้น
บางทีอาจจะเดินทางไปไม่ถึงก็ได้   อาจจะถูกจับกุมอยู่ภายในพื้นที่เราเสียก่อน
     เพียงให้จัดวางกำลังพลพอประมาณคอยดักจับรถ  โดยเราจะอาศัยพวกผีสาง
นี่แหละคอยส่งสัญญาณว่าเป็นรถคันไหนที่แปรไม้รูปเถื่อนที่ผิดกฏหมาย 
      มันอาจจะลำเลียงซ้อนแผนกันกับไม้ที่ถูกต้องตามกฏหมายก็ได้มากเชียวล่ะ  
ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่เกิดความสับสนขึ้นไม่รู้ว่ารถค้นไหนจริงคันไหนมีไม้เถื่อนขึ้น
     หรือว่าอาจจะมีพวกป่าไม้นำตรามาประทับบนไม้นั้นทำให้เป็นไม้ที่ถูกต้อง
ที่ได้รับการอนุญาติก็ได้   การใช้ตรายางประทับนั้นก็จะเกิดขึ้นหรืออาจจะไม่เกิดขึ้น
ที่ในระหว่างการขนไม้แปรรูปขึ้นบนรถก็อาจจะเป็นไปได้  ด้วยมันต้องทำงานอย่าง
รีบเร่ง หากมาเสียเวลากับการประทับตราซึ่งอาจจะมีเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ร่วมมือด้วย 

      ฉนั้นควรให้เบื้องสูงนำเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ไว้วางใจได้ไม่รับสินบนซื่อสัตย์สุจริตมา
 ตรวจสอบว่าตราจริงหรือตราปลอมที่ทำขึ้นใหม่จ๊ะ ด้วยสีหมึกอาจจะแตกต่างกันหรือ
ไม่ก็ระยะเวลาช้าหรือเร็วมันจะฟ้องในตัวเองเสร็จ   ก็จะสามารถตรวจสอบได้อีก
ตลอดจนระหว่างเข้าจับกุมในขนขณะขนไม้นั้นและประทับตราแต่ละแผ่น
ก็ควรจะใช้เวลานานพอสมควร  อาจบางทีจะได้จับกุมทั้งพวกผิดกฏหมายพวกนั้น
พร้อมกับเจ้าหน้าที่ทุจริตต่อทางการพร้อมๆกันเลยเสียทีเดียว......
    แม่นางรัตนาวดีเสนอ ทางแก้ไขเพิ่มเติมให้ชายหนุ่มฟัง  ด้วยความดีใจลืมตัวอย่าง
ที่ทั้งสองแม่นางเสนอความคิดเห็นได้สอดคล้องและแยบยลมาให้เขาทราบในสิ่งที่เขา
คิดไม่ถึงนั่นเอง   ดังนั้นจึงทำให้ชายหนุ่มดึงร่างแม่นางทั้งสองมาสวดกอด
แล้วบรรจงจูบยังแก้มทั้งสองนางเทพอัปสรทั้งสองทันที
   
     เล่นเอาแม่นางอัปสรทั้งสองหน้าแดงต่างยกมือขึ้นทุบตีบนต้นแขน
ชายหนุ่มสองข้างเสียงดังเพี๊ยะๆดังลั่น     แล้วพลางลุกขึ้นยืน  หันมากล่าวขึ้นว่า....
......  แหมๆๆๆพี่นี้ไม่อายเจ้าแสงสีเสียบ้างเลยเชียวนะ  นีๆๆๆ!!!!
....น่าจะตีเสียให้ตายจริงๆนะ    แม่นางทั้งสองเอ่ยด้วยความขวยเขินเอียงอาย
ตามวิสัยของอิสตรีทั่วๆไป
......  อ้าวๆๆก็พี่นี้แสนจะดีใจยิ่งนักที่ความคิดเห็นของน้องทั้งสอง
ช่างแยบยลเปรียบดังเสมือนหนึ่งกระจ่างดังก็เคยทำงานด้านนี้มา
ด้วยความเชี่ยวชาญจริงๆเสียด้วยนะ
   พี่เองเสียอีกยังคิดไม่ถึงแผนการณ์นี้ในความแยบยลของพวกนั้นเอาเสียเลยล่ะ....  
จะไปอายไปใยเล่าในเมื่อเจ้าแสงสีนั้น    เราทำอะไรๆก็แจ้งรู้อยู่แก่ใจแล้วด้วย
เดี๋ยวนี้ตั้งแต่แม่นางทั้งสองสอนวิทยาคมมันก้าวหน้าไปมากจนแทบจะรู้ไปหมด
สิ้นแล้ว กระนั้นหรือพวกเราจะไปปิดบังมันได้ หากมันต้องการทราบ จริงไหม 
น้องแสนสุดสวยทั้งสองหากแม้นพี่พลั้งผิดไปก็ขออภัยด้วยนะ  ชายหนุ่มกล่าวเอ่ย

...... ไม่รู้ล่ะแต่ว่าน้องทั้งสองเอียงอายนี่ด้วยอยู่ต่อหน้าต่อตาของมันเองนี่นา 
 หากมาดแม้นไม่เห็น    ถึงมันจะรู้ก็ตามที  น้องก็หาจะเขิดเขินเสียมิได้จ้าพี่
.....   ต่อไปพี่จะไม่ทำอีกแล้วด้วยรักและลืมตัวไปจ้า   ชายหนุ่มเอ่ยแก้ตัว 
 แต่จิตใจเขานึกถึงกลิ่นหอมเย้ายวนใจยิ่งนักแสนที่น่าเชยชมยิ่งกลิ่นสาบสาวหรือ????...
  หัวใจยิ่งพองโตยิ่งๆขึ้นเมื่อคิดถึงเมื่อตระกี้นี้      แล้วพลันกล่าวว่า
......  ตกลงจ้าพี่จะทำตามคำสั่งของน้องทุกๆประการ  ขอตัวไปเขียนแผนที่ใหม่
ตลอดจนวางกำลังพลใหม่ตามที่น้องเสนอมานะ  พี่ไปก่อนล่ะหรือว่าน้องทั้งสอง
จะชมจันทร์ไปพลางๆก่อนก็ได้   หากเสร็จแล้วพี่จะออกมาร่วมชมดวงดาว
และดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ที่ช่างงดงามเสียนี่กระไรช่างงดงามเสียจริงๆๆ   
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น   ตอนนี้ขอตัวก่อนนะจ๊ะกล่าวเสร็จแล้วก็พลางลุกเดินนำหน้า
เจ้าแสงสีเข้าไปข้างในทันที

     ครั้นเข้ามาแล้วเห็นเจ้าสินชัยรออยู่ก่อนแล้ว  ส่วนเจ้าหุ่นทั้งหลายยังฝึกนั่งสมาธิ
ตามคำสั่งเขาอยู่ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นเลย   ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินไปหยิบกระดาษ
มาเขียนแผนทีตามคำรายงานของเจ้าแสงสีและสินชัย ถามไปเขียนไป ทั้งสอบถาม
 ว่าให้กำลังพลนั้นอยู่ตรงไหนบ้าง  
     เมื่อตรวจทานอ่านดูเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็ให้เจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยแยกทางกัน
ไปปฏิบัติงานทันทีในยามดีก    เมื่อเจ้าแสงสีสินชัยทั้งสองได้รับหนังสือเรียบร้อย
ก็รีบหายตัวไปทันที  เขาสั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้วเห็นทั้งสองหายไป  
 
     ชายหนุ่มเดินออกมาก็ไม่อาจแลเห็นแม่นางทั้งสองคงไปพักผ่อนกันแล้ว
ชายหนุ่มคิด    จึงเดินหวนย้อนกลับเข้าห้องอีกครั้ง  พร้อมหันไปยิ้มกับรูปปั้น
ทั้งสองพลางเอื้อมมือไปลูบที่แก้มแม่นางทั้งสองทันที  เสียงดัง เพี๊ยะๆๆ
ที่ต้นแขนเขาเบาๆ   พร้อมหยิกยังเนื้อด้านหลังเขาอีกด้วยชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง
แต่ยังอดคิดถึงความหอมละมุลอะไรเช่นนี้
         แล้วรีบเข้าไปยังที่นอนเพื่อพักผ่อนทันทีจนหลับไปในที่สุด
ส่วนเจ้าแสงสีครั้นได้รับหนังสือก็รีบไปหาสารวัตรทันทีที่บ้าน 
ขณะกำลังพักอยู่แต่พอเขาย่างก้าวเข้าไปก็เจอท่านพระภูมิเจ้าที่ออกมา
สะกัดเจ้าแสงสีทันที   
      เจ้าแสงสีก็ยกมือไหว้แล้วกล่าวเรื่องราวต่างๆให้ท่านพระภูมิเจ้าที่ฟังถึง
เหตุการณ์ต่างๆที่เขาต้องเข้ามาในเวลาค่ำคืนนี้อย่างรีบเร่งให้ท่านฟัง
        ท่านพระภูมิเจ้าที่รับฟังแล้วมองไปที่หนังสือก็ทราบทันทีว่าเรื่องอะไรก็  
อนุญาตให้เจ้าแสงสีเข้าไปบ้านได้  ครั้นไปในห้องนอนเห็นร่างสารวัตรชัชวาลย์
กำลังหลับสบายๆอยู่  ก็เข้าไปเขย่าตัวทันทีพอสารวัตรรู้ตัว

      ทันใดนั้นเองสารวัตรตื่นแล้วก็ควักปืนที่ซ่อนไว้ใต้หมอนออกมาสับไกปืน
จ่อไปยังร่างเจ้าแสงสี  พอเห็นว่าเป็นใครจำได้ แต่นึกใจว่ามันเข้ามาได้อย่างไรกัน
     ก็ลดปืนวางลงบนโต๊ะข้างๆหัวเตียง  แล้วพลางถามว่ามีเรื่องอะไหรือ????....
เจ้าแสงสีไม่พูดมาก    พลางยื่นหนังสือแล้วกล่าวให้สารวัตรรีบอ่านดูเอาเองแล้ว
จัดการโดยด่วนที่สุด นายข้าสั่งมามันกล่าว....
   สารวัตรรีบเปิดไฟให้สว่างทันที  พร้อมเปิดอ่านหนังสือพลางอุทาน
ออกมาเสียงดังๆ  แล้วรีบคว้ายกมือถือโทรศัพท์ไปหาผู้กองทั้งสองขอพบด่วน
    ผู้กองทั้งสองที่กำลังพักผ่อนครั้นได้ยินเสียงโทรศัพท์พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ก็รีบผลุนผลันออกจากบ้านพักมาพบสารวัตรด่วน   แล้วทั้งหมดก็ปรึกษา
หารือกันตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

     สารวัตรก็เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พักอาศัยอยู่หน้าห้องให้เข้ามา
 เมื่อตำรวจหน้าห้องที่พักผ่อนอยู่ก็รีบเข้ามา   สารวัตรพร้อมสั่งงานแก่ตำรวจ
    ครั้นได้รับคำสั่งการชี้แจงแล้ว   ก็รีบแต่งตัวออกจากบ้านไปปฏิบัติหน้าที่
ประสานงานด่วนกับบรรดาที่ไว้ใจได้และที่แอบแฝงอยู่ภายนอกทันที
    ส่วนเจ้าสินชัยก็เช่นเดียวกัน ครั้นไปพบผู้บังคับบัญชาของนายมันตามสั่ง
ที่บ้านแล้วและยื่นหนังสือให้ท่านก็รีบนำมาดูเห็นรหัสเขียนไว้หน้าซอง  
ก็ทราบทันทีว่าเป็นของใครรีบเปิดอ่าน     เมื่อได้อ่านเรียบร้อยแล้ว
ก็รีบโทรศัพท์ทางไกลไปสั่งงานทันที ให้จัดกำลังพลคอยรอรับการจับกุมการ
ขนย้ายคราวนี้หลายๆจังหวัดเพื่อสะกัดกั้นไว้  แล้วจะส่งรายงานให้ทราบภายหลัง
 แต่ให้ปฏิบัติหน้าที่นี้โดยเร่งด่วน   กำชับไว้ว่าให้เป็นความลับสูงสุดห้ามเปิดเผย
ให้แก่ใครๆรู้เป็นเด็ดขาด จัดคนที่ไว้วางใจทำงานเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อปลายทางต่างๆรู้ก็รีบดำเนินการณ์จัดกำลังพลออกปฏิบัติงาน
ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาต่อไป

     ท่านผู้ใหญ่หันมาทางเจ้าสินชัยพลางถามว่าแล้วนายเจ้าเขากล่าวอะไรอีกหรือไม่??.. 
  เจ้าสินชัยก็พลันกล่าวขึ้นว่า
..... ท่านบอกให้รีบกลับเพื่อจะได้ไปดูสถานที่ใหม่ที่จะใช้สำรองเก็บไม้แปรรูปไว้
  พร้อมยังกล่าวรายชื่อของผู้บงการเบื้องหลังงานครั้งนี้อีก  ท่านพอฟังถึงกับอึ้งๆ
ไปพักใหญ่แล้ว กล่าวว่า
.....  งั้นเจ้ากลับไปรายงานได้แล้วว่าทางเราพร้อมแล้วก็แล้วกัน  ได้จัดวางกำลังพลแล้ว  
ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดให้ระมัดระวังตัวไว้ด้วยนะ???....
       เจ้าสินชัยรับคำ  ยกมือขึ้นไหว้ลาแล้วก็รีบเดินออกนอกห้องท่านผู้ใหญ่
ร่างมันก็หายตัวไปรีบกลับมาแจ้งแก่ชายหนุ่มทันที
      หลังจากทานอาหารเช้าพร้อมพ่อแม่น้องๆแล้ว  ชายหนุ่มก็ขอตัวเพราะมีงาน
เร่งด่วนจะต้องทำ  ขอให้อย่ามีใครเข้าไปในห้องได้นะครับ ชายหนุ่มกล่าวกับพ่อแม่

       สาวชบาก็บอกว่าจ๊ะพี่น้องจะไม่ให้ใครเข้าไปเป็นเด็ดขาด จะนั่งคอยเฝ้าไว้ให้ 
หากพ่อแม่และเจ้าชัยไปทำงานแล้วจ้า พลางส่งสายตาหยาดเยิ้มกับชายหนุ่มทันที
  ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนั้นถึงกับสะดุ้งในใจ พลางคิดว่าเอาล่ะซิหนอเรายามสบตา
เราจะทำอย่างไรดีล่ะ???...   ด้วยก่อนนั้นนางจะอาศัยร่างก็รู้สึกว่าหล่อนเองก็มีกิริยา
เช่นนี้กับเรามาก่อนนี่นา????.....   แล้วก็รีบขออนุญาตพ่อแม่เข้าห้องไปทันที 
    เมื่อเขาเข้าไปแล้วรีบปิดประตู้ห้องลงกลอนก็แลเห็นเจ้าแสงสีและสินชัย
คอยอยู่แล้ว   ทั้งสองก็รายงานผลงานให้ทราบถึงงานที่ให้กระทำทั้งหมด
       ชายหนุ่มรับฟังแล้วบอกว่างั้นเราสามคนไปดูสถานที่กันเลยนะหากผิดพลาดทาง
เราจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที   มิฉะนั้นจะเสียหายกันยกใหญ่ทีเดียวล่ะ???... 
    เจ้าแสงสีสินชัยหันมามองหน้ากันพลางคิดว่าแล้วนายเราจะไปได้อย่างไรกัน
ระยะทางมิใช่ใกล้ๆนะ  แต่ไม่กล่าวอะไรหากนายเราไปไม่ได้คงจะไม่เอ่ย
ถามว่าชายหนุ่มจะไปกันได้ทันเลยหรือด้วยมีความเชื่อมั่นต่อนายมันยิ่งนัก

     เมื่อชายหนุ่มกล่าวกับเจ้าแสงสีสินชัยแล้วก็เดินไปกราบพระแล้วก็นั่งเข้า
สมาธิทันที    บัดดลเจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยถึงกับตลึง เมื่อแลเห็นร่างนายมันค่อยๆ
ลุกออกมาจากร่างกายเดิม  แล้วลอยมาที่ยังมันอยู่ทันที พลางกล่าวว่าไปกันได้แล้ว 
ให้เจ้าแสงสีนำทางไปนะ  แล้วทั้งสามก็หายวับไปทันที.........

                        *  แก้วประเสริฐ.  *

Cartoon_Animation_08.gif692823n68ya60jv9.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ