อทิสมานกาย ๕๖ ครั้นล่วงได้เวลาถวายเพลพระเมื่อกลองเพลดังขึ้น บอกเวลาแก่พระภิกษุสงฆ์ให้ล่วงรู้ หลวงพ่อทองก็ออกเดินนำหน้า ไปยังอาสนาะที่ฉันท์อาหาร บรรดา กำนวนหวนและ พวกอีกกลุ่มของพ่อเชียรก็เดินสนทนากัน เป็นที่ถูกอัธยาสัยยิ่ง ต่างก็รีบนำอาหารที่พวก ตนได้นำมาจัดแจงใส่ถาด ส่วนข้าวนั้นก็เทใส่กาละมัง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยต่างก็นำ ไปประเคนถวายแก่ภิกษุสงฆ์ตามลำดับ ระหว่างที่ผู้ใหญ่ทั้งสองกลุ่มกำลังสนทนาไปพลางในระหว่างจัดเตรียมนั้นเหล่า พวกเด็กอันได้แก่เจ้าชัย เจ้าช้วนและสาวบงกช ต่างพากันยิ้มแย้ม ต่างช่วยเหลือหยิบ โน่นส่งนี้ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ยิ่งเจ้าชวน เจ้าชัย และสาวบงกช เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย แล้ว และช่วยพ่อแม่เข้าประเคนถวายของพระนั้น สาวบงกช เจ้าชวนและเจ้าชัยก็ รู้สึกแปลกใจในการถือปฏิบัติของเหล่าสงฆ์นี้ ต่างอุทานกันขึ้นมาเบาๆ “พี่ชวนๆ ดูกิริยาท่าทางอันเคร่งขรึมระหว่างการรับส่งต่อของพระท่านซิพี่ ช่างมีมารยาทเรียบร้อยยิ่งนัก ผิดกับทางวัดแถวบ้านเราตรงกันข้ามมากเชียวนะพี่” สาวบงกช เอ่ยกับพี่ชาย เบาๆในระหว่างนั่งพับเพียบพนมมือทั้งสอง “จริงซิน้องกช ทางวัดบ้านเราเวลาฉันท์อาหารก็มานั่งเรียงแถวกัน และส่งเสียง สนทนากัน ต่างติชมอาหารกันแซดไปหมด ไม่ได้ฉันท์ในบาตรเลยสักรูปเดียว ล้วนแล้วแต่มีสำหรับกับข้าววางตรงข้างหน้าท่านเท่านั้น และต่างตักกันบางครั้ง ช้อนยังแทบจะชนกันก็มีนะ แม้กระทั่งสมภารก็เหมือนกัน เอ๊ะๆๆ แปลกจริงๆ แบบนี้น่านับถือศรัทธามากนะน้อง” พี่ชายกล่าวลอยๆ “จริงของพี่จ๊ะ???....ท่าทางระหว่างการฉันท์อาหารไม่ได้ยินเสียงอะไรกันเลยล่ะ” สาวบงกชถามแล้วพลางหันหน้าไปทาง เจ้าชัยพลางเอ่ยขึ้นว่า “แล้วพี่ชัยเห็นแปลกหรือว่าเคยเห็นมาแล้วกระมังพี่ ” หญิงสาวถามเบาๆ “เป็นครั้งแรกเหมือนกันจ๊ะน้องกชที่เห็น ถึงจะอยู่ใกล้ๆกันก็มัวแต่ทำงานอยู่ใน ไร่นาสวน ส่วนใหญ่พี่ชายพี่มักจะมาเป็นประจำกับพ่อและแม่จ้า” เจ้าชัยเอ่ยตอบ “พี่ชัยยังมีพี่อีกหรือนึกว่าตัวคนเดียวเสียอีก” หญิงสาวเอ่ย “มีอีกสองคนจ๊ะ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งจ้าน้องกช” ชายหนุ่มตอบ “อ้าวๆๆๆ!!!....พี่เองนึกว่าเป็นลูกชายคนเดียวเสียอีก????....” เจ้าชวนเอ่ยขึ้นบ้าง ชายหนุ่มชื่อชัยหันไปทางเจ้าชวนและสาวบงกช พลางตอบว่า “คนโตชื่อโชติจ๊ะพี่ ส่วนคนรองเป็นหญิงชื่อชบาจ๊ะ เรามีพี่น้องกันเพียงสามคน เท่านั้นแหละ และยังมี???.....” เจ้าชัยก็หยุดเสีย “อ้าวนึกว่ามีแค่สามคนเสียอีก กลับมีใครมาเพิ่มอีกล่ะเจ้าชวนและสาวชบาถาม ด้วยความสงสัย???...” “อีกสองคนจ๊ะพี่และน้องกช...เขาชื่อแสงสีและสินชัย เป็นลูกน้องสนิทของพี่โชติ ก็มาพักบ้างไม่พักบ้างจ๊ะ” เจ้าชัยตอบความจริง ซึ่งตอนแรกมันไม่กล้าบอกด้วยมันก็ไม่แน่ใจ เพราะบางครั้งก็พบชายทั้งสองออกมาจากห้อง บางครั้งก็หายไปในห้องแต่ ทั้งสองไม่เคยมาวิสาสาะสนทนากันกับครอบครัวเลย ครั้นถามพ่อกับแม่ ท่านได้แต่หัวร่อแต่ไม่ให้ความกระจ่างใดๆกับมันเสียเลย นอกจากบอกว่าเขาเป็นเด็กคนสนิทของพี่เอ็งเจ้าโชติอย่างไรล่ะ อย่าไปรู้เลย เขาเป็นแบบนี้แหละมักจะทำตัวแบบเงียบๆ ไปๆมาๆไร้ร่องรอยจริงๆว๊ะ มันทราบจากพ่อแม่ตอบเพียงเท่านี้ ครั้นมันจะรบเร้าถามก็ไม่สมควรนัก จึงเก็บความสงสัยไว้คนเดียว เมื่อพี่ชวนซึ่งแก่กว่ามันประมาณห้าปีได้ ส่วนสาวบงกชอ่อนกว่ามันหนึ่งปี ถามมาถึงจะนึกออก “ได้ยินว่าขากลับพ่อเชียรเชิญพ่อกำนันไปเที่ยวบ้านด้วยนา จะจริงหรือยังไง ยังไม่รู้แน่นอนนะ แต่ดูอากัปกิริยาของพ่อกำนันแล้วและแม่เย็นด้วยอยากจะไป เที่ยวเหมือนกันนะชัย” “หรือพี่เรื่องนี้ผมไม่ทันสังเกตุมัวแต่นั่งคุยเรื่องไร่นาสวนกับน้องบงกชอยู่ครับ” “นั่นซิๆๆ...พี่เห็นแล้วเลยไม่สะกิดให้ดู แต่ได้ยินว่าเมื่อถวายเพลรับฟัง พระท่านอนุโมทนาแล้วก็จะพากันกลับไปเลย” เจ้าชวนกล่าวขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็จะได้เจอกับพี่โชติกับพี่ชบาด้วยล่ะ จะได้รู้จักกันเอาไว้ก็ดีเหมือนกัน จ๊ะพี่” เจ้าชัยตอบ “พี่คิดเองก็ว่าดีเพราะหมู่บ้านทั้งสองก็ไม่ห่างกันจนเกินไป เพียงคั่นด้วย หมู่บ้านบางกระดี่เท่านั้นเอง ใช้เวลาคงไม่นานหรอกหรอกน้องกช” เจ้าชวนเอ่ยขึ้น “ได้ยินพ่อเชียรกล่าวกับหลวงพ่อว่า ทุกวันนี้ก็ได้พี่ชัยนี่แหละเป็นหลัก ในการทำไร่นาสวนอยู่ แค่เห็นหลวงพ่อได้แต่หัวร่อฮึๆๆๆเท่านั้นเองแหละพี่” สาวบงกช ตอบพี่ชายมัน ครั้นเสียงพระกำลังสวดอนุโมทนา พวกบรรดาหนุ่มๆสาวๆก็หยุดการเจรจากัน ต่างพากันรับการอนุโมทนาและพากันตรวจน้ำ จนพระสวดจบนั่นแหละจึงพากัน หันมามองหน้ากัน เพื่อจะดูว่าผู้ใหญ่จะทำอะไรต่อไปบ้าง หลังจากเข้าไปอำลาหลวงพ่อ เรียบร้อย หลวงพ่อก็กล่าวอนุโมทนาบุญผลแล้ว ก็บอกให้รีบกลับกันได้ ทั้งหมด หลวงพ่อจึงหันไปทางกำนันหวน เอ่ยขึ้นว่า “ไอ้หวนเอ๋ย!!!!....เรื่องที่เอ็งคิดนั้นข้ารับรองว่าสำเร็จแน่นอนไม่มีปัญหาหรอก???...” “ครับหลวงพ่อผมจะมาหัดขานนาคกับหลวงพ่อนะ” กำนันหวนกล่าว “เอ็งเอาหนังสือนี้ไปอ่านไม่ต้องมาหรอกมันไกลเหมือนกัน ยิ่งกว่านี้มึงยังท่องได้นี่นา” หลวงพ่อเอ่ยขึ้น แล้วทั้งหมดก็ก้มลงกราบท่าน ต่างทะยอยกันถือของๆใครของมันเพื่อจะกลัยบ้าน พากันเดิน ก้าวลงบันไดจากกุฎิหลวงพ่อทอง หญิงสาวหันไปมองแลเห็นพ่อเชียรกำลังจูงมือพ่อกำนันคล้ายๆจะสนทนาอะไรกัน ส่วนแม่เย็นก็จูงมืองแม่เข็มต่างหัวร่อคุยกันอย่างสนุกสนาน บรรดาเด็กก็ ออกเดินตามหลังไปทันที กำนันหวนหันหลังมาสั่งลูกทันใดว่า “ชวนกชเอ๋ยกลับคราวนี้แวะที่บ้านพ่อเชียรก่อนนะลูกแล้วค่อยกลับบ้านบางโคเรา” “จ๊ะพ่อ ” เจ้าชวนกับสาวบงกชตอบ “แล้วน้องเชียรเอารถอะไรมาหรือ ” กำนันหวนถาม “มารถมอเตอร์ไซค์สะดวกสบายดีจ๊ะพี่ ผมขับคนเดียว ส่วนเจ้าชัยมันซ้อนแม่มันกลับ” “นึกว่าเดินกันมาเห็นบ้านก็ไม่ไกลจากวัด จะได้กลับด้วยกัน อย่างนั้นน้องขับนำหน้า พี่ไปก็แล้วกันนะ พี่จะขับรถตามหลังไปด้วยระยะทางมันไกลเหมือนกันเลยเอารถกะบะมา” “จ๊ะพี่ ถ้าอย่างงั้นผมนำหน้าพี่ไปก็แล้วหากพี่พร้อมแล้ว” ดังนั้นทั้งหมดก็ออกเดินทาง ไม่นานนักทางด้านหลังวัด แต่ทางคดเคี้ยวไปมาตามเนินเขาบ้าง ไหล่เขาบ้าง สักครู่ใหญ่ก็มาถึงหน้าบ้าน พ่อเชียรก็จะเดินลงจากรถไปเปิดประตูก็แลเห็น ลูกสาวชบาเดินมาเปิดประตูบ้านให้ ดังนั้นทั้งหมดก็ขับรถเข้ามาในบ้าน พ่อเชียรแม่เข็มก็นำ กำนันและแม่เย็น พร้อมกับทุกๆคนขึ้นไปบนเรือนทันที “พ่อเอาใครมาหรือเจ้าชัย” สาวชบาถามน้องชายทันที “กำนันหวนแห่งหมู่บ้านบางโคจ๊ะพี่ เกิดถูกชะตาอะไรกันไม่รู้ เห็นพ่อเราชวนกำนัน มาเที่ยวบ้านด้วย” เจ้าชัยตอบ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าไปจัดเตรียมน้ำท่าไว้ก่อนนะจะได้ไปให้แขกเรา” “จ๊ะพี่แล้วพี่โชติล่ะยังไม่เห็นเลย” เจ้าชัยถาม “พี่เขาอยู่ในห้องแหละ ไม่ได้ไปไหนหรอก วันๆก็คลุกๆแต่ในห้องเขา คงนั่งทบทวน ตำรากระมัง พี่เองก็พึ่งได้ออกมานี่แหละระหว่างพ่อแม่ไม่อยู่พี่โชติบังคับให้ทำแต่สมาธิ อย่างอื่นๆยังไม่ได้เตรียมอะไรกันเลยนอกจากของเก่า หากมีแขกมาก็จะต้องทำอาหารเสริม อีกนะ แล้วพวกกำนันจะกินอาหารด้วยหรือเปล่าล่ะ???....” หญิงสาวชบาถาม “เอ้ๆๆๆ...เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันแหละพี่ ด้วยเห็นพ่อกับแม่สนิทสนมกันมากคงบางที อาจจะชวนกินอาหารกลางวันด้วยกันกระมัง???...” เจ้าชัยเอ่ยขึ้น อย่างไม่แน่ใจ “ถ้าอย่างนั้นพี่เห็นทีจะต้องรีบไปแล้วล่ะ เดี๋ยวเอ็งเอาน้ำไปให้พวกเขากินก่อนนะ ส่วนพี่ จะคอยจังหวะว่าจะอยู่ทานอาหารมื้อกลางวันกับเราหรือเปล่า แล้วเอ็งรีบมาบอกข้าเสียล่ะ??.. จะได้เตรียมตัวทัน แต่ของเราก็มีแบบเกือบสำเร็จรูปอยู่แล้วล่ะคงไม่ช้าหรอก” หญิงสาวเอ่ย ครั้นแล้วทั้งสองก็แยกกันออกไปปฏิบัติหน้าที่กัน เจ้าชัยก็เดินออกมาจากในครัวถือถาดที่ ใส่แก้วน้ำพอกับจำนวน คนพร้อมกับโถใส่น้ำฝน พอถึงก็รีบเทน้ำลงใส่แก้วยื่นส่งให้พ่อกำนัน แม่เย็น พี่ชวนและสาวบงกชทันที “อ้าวๆแล้วแม่ชบาล่ะไปไหนเสียล่ะเจ้าชัย???...” แม่เข็มถาม “อยู่ในครัวครับแม่ กำลังจะจัดเตรียมทำอาหารมื้อเที่ยงด้วยกันนี่แหละครับ” เจ้าชัยหันมาตอบ พร้อมชม้ายสายตายิ้มส่งไปให้สาวบงกชทันที เล่นเอาสาวบงกสะเทิ้นเอียงอายไป เพราะภายในใจเจ้าก็ให้ความสนใจแก่หนุ่มผู้นี้อยู่ ครั้นทั้งสองสบตากัน สาวบงกชก็ถึงกับหน้าแดงนิดๆ แต่ไม่พ้นสายตาพี่ชายไปได้ พลางกระแอมออกมาเบาๆ ไม่กล่าวอะไรได้แต่หัวร่อในลำคอเสียงเล็ดรอดดัง ฮึๆๆ นั่นแหละทั้งสองจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนใบหน้าสาวบงกชนั้นแดงระเรื่อๆทันที “เออเอ็งเข้าไปบอกพี่ชบาด้วยให้ไปตามพี่เขามารู้จักมักคุ้นกับพี่กำนันและแม่เย็นด้วยนะ” พ่อเชียรกล่าว แล้วหันหน้าไปคุยกับกำนันหวนต่อเหมือนจะถูกอกถูกใจกันนัก “จริงซินะลูกโชติยังไม่เห็นหน้าเลยล่ะ” แม่เข็มก็เอ่ยขึ้น ยังไม่ทันเจ้าชัยจะลุกไปทำตามคำสั่งของพ่อแม่เลย ร่างของชายหนุ่มก็ก้าวออกมาจากห้อง ก่อนจะถึงพลางนั่งลงคลานมาหาพ่อแม่และบรรดาแขกๆของพ่อแม่เขา พลางหันไปยกมือไหว้ กำนันหวนและแม่เย็นทันที พลางกล่าวว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมจะเข้ามาแล้วยังไม่ได้โอกาสพ่อดีแม่พ่อต้องการพบตัวผมก็เลยออกมา” ชายหนุ่มตอบ พลางหันไปยิ้มกับเจ้าชวนและสาวบงกชทันที เมื่อเห็นร่างของผู้เป็นพี่ชายของชัยแล้ว ก็ถึงกับสะดุ้งหล่อนคิดว่าเจ้าชัยนั้นรูปร่างใบหน้าคมคาย แล้ว แต่หากมาเทียบกับพี่ชายแล้วยังกับฟ้ากับดินเชียว พี่ชายกับหล่อเหลามากๆเสียด้วย รูปร่างหรือ ก็เพรียวสันทันกำยำ ผิดกับชัยที่ร่างกายนั้นจะเตี้ยกว่าพี่ชายเพียงแต่รูปร่างนั้นชัยกำยำมากกว่าพี่เท่านั้น แต่ลักษณะท่วงทีวาจากลับห่างไกลกันมากนัก เล่นเอาสาวบงกชถึงกับตลึงจังงังไป ส่วนเจ้าชวน ก็ยิ่งแปลกใจ ว่าทำไมพ่อเชียรกับแม่เย็นจะมีลูกที่แตกต่างกันเช่นนี้ ลูกหรือกับขาวมากกว่าคล้ำ ใบหน้าหรือก็สง่างามนัก มิน่าเล่าพ่อเชียรไม่เคยเอ่ยปากถึงลูกเลยในการรู้จักสนทนา มันเองคิดว่ามัน นั้นในแถบหมู่บ้านบางโคหรือบริเวณนี้ก็ยากจะหาใครมาเทียบได้ แต่หากจะนำมาเปรียบเทียบกับ ลูกพ่อเชียรแม่เย็นแล้วก็ยังห่างไกลอีกมากนัก ดังนั้นมันจึงยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “ผมเองก็ไม่ได้ยินพ่อเชียรแม่เข็มกล่าวถึงพี่อีกเลย พึ่งมาพบนี่แหละครับ ผมชื่อชวนครับนี่น้อง สาวชื่อบงกช” เจ้าชวนเอ่ยปากทักทายก่อน “แต่ว่าเอ๊ะ???...ทำไมผิวพ่อเชียรแม่เข็มแตกต่างกับพี่มากนักล่ะครับ” เจ้าชวนสงสัยถาม “ผมเองไม่ได้มาที่นี่เสียหลายๆปีล่ะ ??..” “ อ้อๆๆแล้วนี่อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ผมเองพึ่งย่างเข้าสี่สิบห้านี่แหละ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบ “แปลกจริงๆดูยังราวกับอายุสามสิบอ่อนๆแน๊ะ จริงๆนะครับรูปร่างใบหน้าผิดกับอายุมากจังผม เองพึ่งอายุได้ยี่สิบแปดครับพี่” เจ้าชวนตอบ “ก็ผมเองไม่ได้ออกแดดนี่ครับ แล้วก็ไม่ได้ช่วยพ่อแม่ทำไร่นาสวนด้วย เพราะพึ่งมาถึงได้ไม่ เท่าไหร่ลางานมาเพื่อเยี่ยมพ่อแม่ครอบครัวเท่านั้นเอง ทำงานหรือก็ไม่ต้องตากแดดด้วยล่ะ” “นั่นนะซิผมถึงเห็นผิวพี่แตกต่างกับพ่อแม่มากนัก เพราะเหตุนี้นี่เอง ฝากตัวเป็นน้องด้วยคน นะครับพี่” เจ้าชวนเอ่ยฝากเนื้อฝากตัว “พี่เองไม่ขัดข้องอะไรหรอกครับ ยินดีเสียอีกที่จะได้น้องเพิ่มขึ้นอีก”ชายหนุ่มเอ่ย “หนูก็ขอฝากตัวด้วยนะพี่???....” แล้วหล่อนก็ชะงักจะเอ่ยชื่อ เมื่อก่อนก็ได้ยินชัยเอ่ยชื่อให้ฟังแต่หล่อนไม่ค่อยจะสนใจเท่าใดนัก คิดว่าความคมคาย หล่อเหลาคงจะสู้ชัยไม่ได้ แต่ทว่าหล่อนคิดผิดพลาดไปหมด และยิ่งได้ยินชัยบอกว่า อายุขึ้นเลขสี่ไปมากเหมือนกัน ก็ยิ่งไม่สนใจใหญ่ ด้วยคนละรุ่นกันและคงจะแก่เหมือน ชาวไร่นาสวน พออายุขึ้นเลขสี่ไปมากทั่วๆไปทั้งสิ้น แม้แต่พี่ชวนเองก็เถอะนับว่ารูปร่างน่าตา ดีแล้วสำหรับคนในละแวะนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้ อายุย่างเข้าสี่สิบแล้วก็คงจะเหมือนกันกับพวก ชาวบ้านทั้งหลายนี่แหละ ด้วยคงจะกินเหล้ามาก ทำให้ร่างกายก็จะทรุดโทรมไปเหมือนๆกันมิต่างกัน หล่อนคิดอยู่ในใจ ครั้นเมื่อได้มาพบตัวจริงและเพียงแค่สายตาเท่านั้นถึงกับสะท้านไปทั่วร่างทันที จิตใจชักลังเล คนอะไรอายุย่างเข้าไปปูนนี้ยังเหมือนกับพึ่งจะเข้าสามสิบอ่อนเท่านั้นเอง ใบหน้าหรือ ก็เกลี้ยงเกลา ผิวหรือก็ขาวผุดผ่อง รูปร่างก็ได้สัดส่วนสูงกำยำแต่ไม่ล้นออกมา ยิ่งคิดก็ยิ่งลังเล ใจระหว่างพี่ชายกับน้องชาย “วันนี้ดีเหมือนกันนะครับ ได้รู้จักและได้น้องเพิ่มขึ้นอีกตั้งสองคนแน๊ะ” ครั้นกล่าวจบชายหนุ่มก็หันไปทางผุ้ใหญ่ที่เห็นพ่อเขากำลังชี้มือมาทางเขา ได้ยินพ่อเอ่ยว่า “นี่แหละลูกชายคนโตผมล่ะครับพี่กำนันแม่เย็น เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ก่อนนั้นอยู่ในกรุงเทพฯ แต่เขาเกิดที่นี่ สอบชิงทุนไปเรียนที่ในเมืองและสอบชิงทุนในเมืองได้ไปต่อที่กรุงเทพฯเลยพี่กำนัน” “แล้วทำงานอะไรหรือในกรุงเทพฯล่ะ??...น้องเชียร” กำนันหันมามองเห็นความสง่าผ่าเผย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา คมสันหล่อเหลา รูปร่างงดงามสูงใหญ่ “เอๆๆๆ...ได้ยินเขาบอกเหมือนกันว่า ทำงานเกี่ยวกับรักษาความปลอดภัยเป็นหัวหน้ายาม กระมังพี่” พ่อเชียรตอบ “คงเงินเดือนดีซินะ ดูเหมือนกับว่าจะทำงานสบายๆ ด้วยผิวพรรณนั้นขาวสะอาดสะอ้านดี” “ผมเองไม่เคยถามเรื่องเงินเดือนเขา หรอกพี่ แต่เขาส่งมาให้ไม่เคยขาด เดือนละหนึ่งหมื่นบ้าง สองหมื่นบ้างพี่” พ่อเชียรกล่าว “จ๊ะพ่อกำนัน ลูกคนนี้ลางานได้ก็มาเยี่ยมเลยล่ะ ทุกๆวันไม่ยอมออกไปไหนกับเขาหรอกนอก จากออกมาเดินเล่นเท่านั้น ส่วนใหญ่อยู่แต่ในห้องเขา” แม่เย็นเอ่ยขึ้นบ้าง “แหมๆๆแม่เข็มนี่ลูกส่งมาให้แบบนี้ก็คงสบายนะซิ ฉันมองดูเห็นอาณาเขตกว้างขวางนัก?” แม่เย็นถาม แม่เข็มก็หันไปตอบว่า “ก็ขายของบ้างแต่ละปีและเป็นวันที่คนเขามารับของไปขายแหละแม่เย็น อีกทั้งเดือนๆก็ ยังได้รับเงินจากลูกชายคนนี้เก็บๆไว้ด้วยว่าไม่ค่อยจะได้ใช้อะไรนัก ด้วยในไร่นาสวนก็มีพร้อม อยู่แล้ว ก็พ่อเชียรเขานั่นแหละช่างคิดช่างค้นหาสิ่งแปลกมาทดลองใช้ในพื้นที่นี้ก่อน อีกทั้งเขา ยังผสมพันธุ์ต้นไม้แยกออกไป และยังขายต้นไม้ที่เพาะชำระไว้ด้วยอีกจ้า” แม่เข็มตอบ “ผมเองไม่มีเวลามาครับ มาได้ก็ลางานเขามาไม่เท่าไหร่หรอกครับ ต่อไปไม่รู้เหมือนกันว่า เขาจะไล่ผมออกหรือไม่ มาแล้วก็ติดใจนึกถึงตอนเป็นเด็กครับ เลยอยู่เกินเวลาลาครับ” หนุ่มโชติกล่าวขึ้นบ้าง “จะเป็นอะไรไปพ่อเอ๋ย ไร่นาสวนก็มีมากมายเช่นนี้ คงจะไม่อดตายหรอกจ้า” แม่เย็นกล่าวขึ้น “แต่ผมไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว คงจะทำไม่ไหวหรอก ก็อาศัยน้องๆนี่แหละช่วยเหลือเป็นกำลัง หลักครับ วันๆหนึ่งผมจะลงไปช่วยพ่อแม่น้องๆเขาห้ามไว้ ไม่รู้จะห้ามไปทำไม กลัวผมจะลำบาก กระมังครับ” “โอ้ย!!!....คนเกิดที่นี่ก็ทำได้ทุกๆคนแหละจ้า...จะติดขัดก็สักพักหนึ่งเท่านั้น” แม่เย็นเอ่ย “ผมก็คิดเหมือนน้าแหละครับ แต่พ่อแม่น้องๆมันไม่ยอมครับ มันบอกว่าให้คอยแค่คิดบัญชี เรื่องค่าใช้จ่ายรายรับต่างๆก็พอครับ บอกว่าพวกมันไม่มีความรู้ด้านนี้เพียงอาศัยแรงกายเท่านั้น ผมเองเรียนมาสูงกว่าเขา ก็ควรทำหน้าที่ดีกว่า ส่วนแรงงานเขาจะเป็นคนทำเองดูซิครับน้า พ่อ แม่จะจ้างคนมาทำงานกับเจ้าชัย มันบอกว่าไม่ต้องหรอกเสียดายเงินนอกจากงานใหญ่ๆเท่านั้น” ชายหนุ่มกล่าว “นั่นซินะแม่เข็ม เจ้าชัยและน้องกล่าวก็ถูกอีกแหละ หากรูปร่างผิวพรรณแบบนี้ ให้ไปตากแดดจะทนได้สักกี่น้ำ สู้เอาไว้ใช้สมองดีกว่า จริงไหมพ่อหนุ่ม” กำนันหวนเอ่ยขึ้นบ้าง “สงสัยจะเหมือนพ่อกำนันกล่าวเสียแล้วล่ะครับน้า ทุกๆคนลงความเห็นเหมือนกันหมด พอผมคว้าจอบเสียมเท่านั้น เจ้าชัยมันก็รีบมาแย่ง บอกว่าให้ไปนั่งพักและคอยคิดเงินคิดทอง ดีกว่า เล่นเอาผมหัวร่อแทบตาย บอกกับมันว่า หากไม่ให้พี่ช่วยแล้ว หากพี่เป็นง่อยขึ้นมา ใครจะมาดูแลพี่เสียล่ะ?......ถ้าหากผมเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาขึ้นมาจริงๆ พูดนะพูดได้แต่เวลาจริงจะได้หรือเปล่ากับคนพิการเช่นผมนี้ น้องชบามันก็บอกว่าน้องเลี้ยงดูแลให้เอง ผมถึงกับหัวร่อใหญ่เชียวครับ” ชายหนุ่มเอ่ยไปหัวร่อไป เสียงหัวร่อของเขาช่างทุ้มกังวานยิ่งนัก เล่นเอาพ่อกำนันแม่เย็น ตลอดจนเจ้าชวนสาวบงกชหันมามองเป็นตาเดียวกัน มันเป็นเสียงหัวร่อของผู้มีอำนาจมากๆ โดยเฉพาะสาวบงกชถึงกลับปากอ้าตาค้างไปเลย เสียงนั้นช่างทุ้มหนักแน่นกังวานไพเราะนัก ส่วนเจ้าชวนนั้นมันเคยได้ยินเสียงกล่าวๆแบบนี้มาจากในเมืองแต่มันตอนนี้นึกไม่ออกว่า เสียงแบบนี้ได้ยินจากที่ใดกัน แล้วพ่อเชียรแม่เย็นก็ตัดบทขึ้นทันที “พี่หวนมื้อนี้ทานข้าวด้วยกันนะทุกๆคนด้วย” แล้วหันไปทางเจ้าชัยให้ไปบอกแก่สาวชบา ให้จัดเตรียมอาหารมือเที่ยงด้วย ซึ่งที่จริงนั้นนี่ก็บ่ายโมงกว่าๆแล้ว แต่ทั้งหมดไม่ได้ทานอาหาร จากวัดมาด้วยกันทั้งหมด ด้วยพี่กำนันว่าจะมาเยี่ยมตามที่พ่อเชียรชวนให้แวะกินน้ำท่าก่อน “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอตัวไปช่วยชบามันด้วยนะมันตัวคนเดียวคงจะไม่ทันหรอก” แม่เข็มเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างงั้นให้พวกผู้ชายและเด็กๆมันคุยรู้จักกันก็แล้วกัน เราแก่แล้วมาๆๆ ไปช่วยด้วยคน” แม่เย็นกล่าวแล้ว ลุกขึ้นทันที............. * แก้วประเสริฐ. *
* ตำรายาสมุนไพรกลางบ้าน ๗ * ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมเองกำลังเปื่อยมากๆด้วย อาจจะทิ้งช่วงไปบ้างทั้งที่พึ่งจะ ทุเลาขึ้นบ้าง แต่ให้ห่วงในสิ่งที่ทำไปยังไม่สำเร็จ การลงให้ศึกษาตัวยาสมุนไทยเราโบราณ เรานั้นถึงแม้นว่าจะเต่าล้านปีก็ตาม ใช้ก็ได้ไม่ใช้ก็ดีด้วยต้องมาคัดเลือกในสิ่งที่ค่อนข้างจะ หายากสักหน่อย ผมจะแนะนำให้หากไม่รู้จักและต้องการใช้ยาขนานใดขนานหนึ่งแล้ว เราหาไม่ครบ ให้จดรายการนี้แล้ว ให้คุณไปที่ร้านเจ้ากรมเป๋อ ข้างวัดสามปลื้ม กทม. หรือสอบถามคนแถวๆนั้น ซึ่งเขาก็จะรู้จักกันแทบทุกๆคน เป็นศูนย์กลางของสมุนไพรไทยเราแทบจะหมด เขาค้าขายมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ต้นตำหรับนั้นรับราชการหลายสมัยต่อเนื่องมา จนได้เป็นถึงเจ้ากรม แต่ท่านชื่อเล่นว่า “ เป๋อ ” สืบสายมาจนชั่วลูกชั่วหลานดำรงไว้ตามที่ต้นตำหรับ ร้านอยู่ติดกับข้างประตูเข้าวัด พอเดินไปเกือบถึงก็จะได้กลิ่นหอมของตัวยาต่างๆ อาจบางทีถึงไม่ต้องสอบถามก็รู้ จำหน่ายหรือก็ราคาถูกหรือปานกลางไม่ได้คิดเพิ่มไปมากอีกเลย กำไรนิดๆหน่อยๆ ด้วยฐานะเขามั่นคงเป็นทานแก่บุคคลยากจน จึงคิดในราคาเกือบจะต้นต้น คุณเชื่อไหมล่ะ???.....ว่าตัวยาต่างๆอันไร้คุณค่าในสายตาปัจจุบันนี้จะดำรงไว้ศักดิ์สิทธิ์นัก ด้วยช่วยเหลือคนต่างๆมาตั้งแต่อดีตกาลจวบปัจจุบันให้รอดตายหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มาก็มากเสียมากแล้ว ในบางครั้งสิ่งใกล้ตัวเราแต่เราไม่รู้วิธีการใช้ก็จะไร้ค่าไป แม้นแต่แพทย์ แผนปัจจุบันก็ยังยอมรับในข้อนี้ ยอมบรรจุลงในหลักสูตรการสั่งสอนไว้ด้วย และได้จัดการ ทดสอบผลการเล่าเรียนรู้จากคนทั่วๆไป ยังออกประกาศนียบัตรให้อีกด้วย ยกย่องว่าเป็น แพทย์แผนโบราณ ให้เป็นเกียรติยศสืบต่อในวงศ์ตระกูลอีกด้วย เท่านี้ก่อนนะครับ ขอให้ทุกๆคนปราศจากโรคา พยาธิ อันพึงทรมานนี้ด้วยเทอญฯ * แก้วประเสริฐ. * ยาแก้โรคท้องเดิน (ต่อ) ขนานที่ ๑๐ ท่านให้เอาพริกแห้ง ๕ เม็ด (ลงด้วยพระเจ้าห้าพระองค์คือ นะ โม พุท ธา ยะ องค์ ๑ เม็ด) กลั้นใจเด็ดเม็ดพริกแห้งทั้ง ๕ เม็ดนั้นให้ขาดจากกัน หัวข่าสด (กลั้นใจหั่นเป็นแว่น)๗ แว่น แล้วลงด้วยพระพุทธคุณ (อิติปิโส ไปจนถึง ภควาติ) บนแว่นข้าทั้ง ๗ นั้น เกลือทะเลตัวผู้ (เกลือที่เม็ดยาวๆ) กลั้นใจหยิบด้วยนิ้วมือทั้ง ๓ คือ (นิ้วหัวแม่มือ ๑ นิ้วชี้ ๑ นิ้วกลาง ๑ ) ๑ หยิบมือ นำตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้ม กับน้ำพอควร ใช้น้ำยารับประทาน ครั้งละ ๑ ถ้วยชา (ยาขนานนี้เป็นยาผีบอก ก่อนต้มยา ให้จุดธูป ๓ ดอกในที่กลางแจ้ง บอกขออนุญาตยาเจ้าของนี้ด้วย) มีสรรพคุณ แก้โรคท้องเดินอย่างรุนแรง มีอาการทั้งลงทั้งราก จนคนป่วยมีอาการตัวเย็น ซีดเหลือง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้วฯ (พระอธิการกุศล ถิรธมฺโม วัดหน่องกระทู้ (สมานสามัคคี) อ.สองพี่น้อง สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๑๑ ท่านให้เอายาแก้ปวดทัมใจ ๑ ห่อ นำมาผสมกับน้ำปลา หรือ ผสมกับน้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ก็ได้ พอประมาณ ใช้รับประทาน ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคปวดท้อง โรคท้องเดิน (โรคท้องร่วง โรคลงท้อง) ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูสิทธิอรุณรังษี วัดรังษีสุทธาวาส อ.ศรีราชา ชลบุรี) ขนานที่ ๑๒ ท่านให้เอา เปลือกต้นขี้อ้าย พอประมาณ นำมาใส่หม้อดิน ต้ม กับน้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ใช้น้ำยารับประทาน ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคท้องเดิน ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูศรีวรพินิจ วัดบางนาใน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครฯ) ขนานที่ ๑๓ ท่านให้เอา ซังข้าวโพด (ฝักข้าวโพดที่ต้มสุกกิน เนื้อหมดแล้ว) ๑ ฝัก กับ เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) ๑ กำมือ ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอควร ใช้น้ำยารับประทาน ครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคท้องเดิน โรคท้องร่วง โรคท้องเสีย ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระสมุห์อ่อน จุลฺลวํโส วัดนิคมวาสี อ.พระพุทธบาท สระบุรีป ขนานที่ ๑๔ ท่านให้เอา กล้วยตีบดิบ ๑ ผล กับ เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) นำมาตำให้ละเอียด ผสมกับ น้ำต้มสุก ประมาณ น้ำยา ๑ ถ้วยชา ใช้รับประทาน มีสรรพคุณ แก้โรคท้องเดินได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระสมุห์อ่อน จลฺลวํโส วัดนิคมวาสี อ.พระพุทธบาท สระบุรี) ขนานที่ ๑๕ ท่านให้เอา เปลือกส้มโอ ๑ เปลือกต้นพุทรา ๑ ใบฝรั่ง ๑ หวายลิง ๑ ตัวทั้ง ๔ อย่างนี้ เอาอย่างละ ๑ กำมือเท่ากัน ขมิ้นอ้อย ๕ แว่น ลงด้วยพระเจ้าห้าพระองค์ คือ(นะ โม พุท ธา ยะ แว่นละ ๑ พระองค์) ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ๓ ส่วน เคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ส่วน ใช้น้ำยารับประทาน ๑ ถ้วยชา จำนวน ๓ ครั้ง ระยะห่างกันครั้งละ ๓๐ นาทีถึง ๑ ชั่วโมงฯ ถ้าเป็นโรคท้องเดินอหิวาตกโรค ให้แทรก ผิวมะกรูด กับ กำมะถันเล็กน้อยฯ ยาขนานนี้ มีสรรพคุณ แก้เด็กถ่ายเป็นมูกเลือด แก้ไข้รากสาด ไข้อติสาร ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานครฯ) ขนานที่ ๑๖ ท่านให้เอา ยอดต้นฝรั่ง ๔-๕ ยอด นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอคว ร ใส่เกลือทะเล(เกลือใส่แกง) ลงผสมเล็กน้อย ใช้น้ำยารับประทาน ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้โรคท้องร่วงของเด็กและผู้ใหญ่ ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล (จำลอง ศิริเพ็ญพงศ์ กรุงเทพมหานครฯ) ขนานที่ ๑๗ ท่านให้เอา ใบต้นฝรั่ง มากพอสมควร นำมาตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำ ผสม กับ น้ำผึ้งแท้ ประมาณ น้ำยา ๑ ถ้วยชา กวนให้เข้ากันดีแล้ว ใช้รับประทาน มีสรรพคุณ แก้โรคท้องร่วงได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (ประพันธ์ พัทยาวรรณ จ.ตาก) ขนานที่ ๑๘ ท่านให้เอา ผลมะเฟืองสุก (ที่มีรสเปรี้ยวจัดๆ) จำนวนมากพอสมควร นำมาคั้นเอาน้ำ ๑ ถ้วยกาแฟ ผสมกับ น้ำตาลทรายขาว พอมีรสหวาน ใช้น้ำยารับประทานครั้งเดียวให้หมด แล้วนอนพักผ่อน หลังจากรับประทานยานี้แล้ว จะถ่ายอุจาระอีก ๑-๒ ครั้ง แล้วจะหยุดท้องร่วง แล้วหายปวด มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (พระอธิการอินสม เรือนเพ็ชร วัดพระธาตุคว่ำหม้อ อ.เมือง ลำปาง) ขนานที่ ๑๙ ท่านให้เอา ใบชาจีน (ใบชาใช้ชงน้ำร้อน) ๑ หัวหอมแดง (หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ) ๑ น้ำตาลทรายแดง ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ เอาอย่างละ เท่าๆกัน ห่อผ้าขาวบางแช่ในน้ำร้อน ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา ประมาณวันละ ๓-๔ ครั้ง มีสรรพคุณ แก้โรคท้องร่วง ท้องเดิน โรคบิด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการสมจิตต์ นิทฺเทสโก วัดตาล อ.ปากเกร็ด นนทบุรี) ขนานที่ ๒๐ ท่านให้เอา ผิวมะกรูด ๑ ผล นำมาตำให้แหลก ผสมกับน้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) และแทรก พิมเสน เล็กน้อย ประมาณน้ำยา ๑ ถ้วยชา ใช้รับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคท้องร่วง โรคจุกเสียดท้อง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูพิบูลรัตนากร วัดสามกอ อ.เสนา อยุธยา) ขนานที่ ๒๑ ท่านให้เอา ใบต้นข่อย ๑ กำมือ นำมาตำให้แหลก คั้นเอาน้ำประมาณ ค่อนแก้วกาแฟ ผสมกับ สุรา ใช้รับประทาน ชั่วระยะเวลา ๑๐ นาที อาการโรคท้องร่วง และ อาเจียนจะหยุดทันที มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (พระทองใบ เตชปุญฺโญ วัดลำนารายณ์ อ.ชัยบาดาล ลพบุรี) ยาแก้ ปวดท้อง-เจ็บท้อง-เสียดท้อง ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา หัวข่าแก่ๆ นำมาตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ประมาณ ๒ ถ้วยแก้ว กวนให้เข้ากันดีแล้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณ แก้อาการปวดท้อง-เจ็บท้อง-เสียดท้อง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระทองใบ เตชปุญฺโญ วัดลำนายรายณ์ อ.ชัยบาดาล ลพบุรี) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา ตะไคร้ ๕ ต้น (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) นำมาล้างน้ำให้สะอาด สับเป็นท่อนๆใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ใส่เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) ลงผสมพอสมควร ถ้าท้องผูก พึงใส่เกลือให้เค็มจัดๆ ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ แก้ว มีสรรพคุณ แก้โรคปวดท้อง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๓ ท่านให้เอา ขนุนดิบๆ (ปอกเปลือกออกเสีย) ๑ เมล็ด กับ เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) พอสมควร นำมาใส่ปากเคี้ยวให้ละเอียดแล้ว กลืนลงท้อง มีสรรพคุณแก้โรคปวดท้องให้หายไปทันที ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระเอื้อน เถรธมฺโม วัดสี่แยกบ่อนอก อ.เมือง ประจวบคีรีขันธ์) ขนานที่ ๔ ท่านให้เอา ใบมะนาว ๑๐๘ ใบ ก้านสะเดา ๑๐๘ ก้าน ใบมะกา ๑ กำมือ ขมิ้นอ้อย ๕ แว่น บอระเพ็ด ๗ องคุลี ฝักคูณ ๗ ฝัก ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณแก้โรคปวดท้องของคนสูงอายุ ซึ่งปวดเป็นประจำ กินยาอะไรๆก็ไม่หาย เคยใช้รักษาหายมาหลายคนแล้ว มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (พระครูปัญญาวัชรากร วัดหนองปลาไหล เพชรบุรี) วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะครับ หากทุเลากว่านี้จะลงให้มากๆครับ ขอให้พ้นจากโรคา พยาธิ นานานับประการเทอญ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แลฯ * แก้วประเสริฐ. *
อทิสมานกาย ๕๕ ยามราตรีค่ำคืน ท้องฟ้าลอยละล่องด้วยเหล่าเมฆไปตามกระแสลม เบื้องหลัง เต็มไปด้วย ดวงดาวพร่างพรายระยิบระยับ บ้างก็กระพริบ บ้างก็ค้างเพียงแต่ ทอแสงเต็มไปหมด ในรูกลักษณ์ต่างๆกัน งดงามยิ่งนักชวนน่าทัศนา หลังจากที่กำนันหวนได้กลับมายังบ้านของตัวเองแล้ว ในตอนค่ำฟ้าสาง อากาศเริ่มย่างเข้าสู่หน้าหนาวที่ใกล้ๆภูเขาของหมู่บ้านบางโคนั้น บ้านกำนัน เริ่มมีคนตื่นขึ้นมาแล้ว ทุกๆคนต่างเป็นห่วงในการหายไปของกำนันหวนทั้งสิ้น “บงกชเอ๋ย???....ตื่นหรือยังล่ะ???...” เสียงเรียกจากเมียกำนันเอ่ยขึ้น “ตื่นนานแล้วจ๊ะแม่.....แม่มีอะไรจะให้ทำหรือ???....” เสียงขานตอบดังเพียง แค่ได้ยินเสียงเท่านั้น “พ่อเจ้าหายไปตั้งนาน ป่านนี้น่าจะกลับมาบ้านได้แล้ว แต่นี่ยังไม่มีวี่แววสักนิด??...” เสียงผู้เป็นแม่กล่าวตอบลูกสาวกึ่งสอบถาม “นั่นซิจ๊ะแม่ หนูเองก็อดเป็นห่วงพ่อไม่ได้ ไม่เคยเห็นพ่อไปช้าเหมือนคราวนี้เลย” เสียงตอบจากหญิงสาว รูปร่างนั้นค่อนข้างสัดส่วนสวยมีรูปร่างเพรียวกระทัดรัดงามแบบชาวบ้านที่งามกว่า นับว่าเป็นหนึ่งในแถบบริเวณแถวนี้ เป็นที่หมายปองแก่หนุ่มๆในหมู่บ้านและอื่นๆ บริเวณใกล้ๆเคียง อายุหรือก็ค่อนข้างเข้าไปถึง ๒๕ ปีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าหญิงสาวนี้ จะสนใจชายอื่น มุ่งมั่นแต่ช่วยพ่อแม่ทำมาหากินเท่านั้น “นั่นซิลูก แม่เองก็ชักสังหรณ์ใจเหมือนกันจะเป็นอะไรไปหรือก็ไม่รู้น๊ะ” ผู้เป็นแม่ เอ่ย ในขณะเดียวกันก็สาระวนอยู่ในครัวเพื่อจัดเตรียมหาอาหารดั่งเคย “แม่จะให้หนูช่วยอะไรบ้างล่ะ” เสียงนั้นเดินเข้ามาในครัวแล้วนั่งลงข้างๆผู้เป็น แม่ หญิงกลางคนค่อนข้างมีอายุหันไปมองลูกสาว พลางเอ่ยว่า “กช!!!!....เอ็งปีนี้อายุได้เท่าไหร่แล้วนะ แม่ชักจะลืมๆไปแล้วล่ะ” “ย่างเข้า ๒๕ จ๊ะแม่ ” หญิงสาวกล่าว พลางหันไปคนหม้อข้าวที่ตั้งอยู่บนเตาไปกำลัง เดือดๆอยู่ ส่วนแม่เขานั่นมัวสาระวนกับอาหารในการกินอยู่ “อืมๆๆ!!!!.... อายุก็นับว่ามากพอควรนะเป็นสาวเต็มตัวแล้ว เอ็งมองใครไว้หรือเปล่า ล่ะ???.... นี่ก็นับว่าอายุมากแล้วนะ” ผู้เป็นแม่ถาม “เรื่องนี้หนูยังไม่สนใจหรอกจ้าแม่ เห็นพ่อหรือก็เอาแต่หาเงินหาทอง ส่วนแม่หรือก็ยัง เข้าไร่สวนทำงาน ถึงแม้จะมีพี่ชวนมันมาช่วยก็เถอะ แต่ว่ามันก็ดีนะแม่ ถึงจะยังไม่มี ครอบครัว แต่พี่ก็มีความรักใคร่กับครอบครัวเราดุจญาติและมองฉันคอยเป็นห่วงเป็นใย ดุจพี่ชาย ฉันหรือก็เคยถามเขาว่าทำไมยังไม่คิดมีเมียเสียล่ะ พี่ชวนก็มักจะหลีกเลี่ยงบอกว่า ยังไม่ถึงเวลา เป็นห่วงพ่อแม่และน้องคือฉันอยู่ว่า หากพี่เขามีเมียไปแล้วจะไม่มีใครมาช่วยดู ทางนี้ได้เต็มตัวจ๊ะแม่ พี่เขายังบอกว่ามีน้องสาวคือฉันนี่แหละกำลังเป็นสาวๆเดี๋ยวจะมี ใครมารังแกเอาจ๊ะแม่” หญิงสาวตอบ “นั่นซิพ่อแกเขาเลี้ยงเจ้าชวนมาตั้งแต่พ่อแม่มันตายยังเด็กๆอยู่จนบัดนี้มันก็สามสิบกว่าๆ ไปแล้วล่ะ แม่เคยบอกว่าหากชอบพอใครๆในหมู่บ้านหรือใกล้เคียงมาจะได้ไปสู่ขอให้ มัน กลับบอกว่าพ่อแม่และน้องมีคนคอยดูแลแล้วหรือ หรือว่ารังเกียจมันจะได้ให้มัน มีครอบครัวเร็วๆ แล้วมันยังกราบแม่อีกว่าขอบคุณแม่ต้องคอยให้พ่อแม่สบายดีกว่านี้ และน้องสาวมีเย้ามีเรือนเสียก่อนนั่นแหละมันถึงจะวางใจได้ มันตอบแบบนี้เอาแม่ถึงกับซึมน้ำตาไหล ไม่คิดว่ามันมีความกตัญญูมากซินะ และมัน จะรักพวกเราดุจพ่อแม่และรักเจ้าเหมือนน้องมันจริงๆ จึงเอ่ยปากถามมันอีกพลางรบเร้ามัน ไม่ต้องห่วงอะไรทางนี้หรอก แต่มันหัวร่อพลางยิ้มแล้วตอบแม่ว่า แม่ๆคอยดูไปก่อนทุกวัน นี้มันสบายขึ้นและไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้วล่ะพอจะพึงพาอาศัยให้มัน เท่ากับแม่และพ่อกับน้องเท่านั้น” “นั่นซิแม่ พี่ชวนนั้นก็นักเลงเสียด้วยซิไม่กลัวคนสู้คน ครั้งหนึ่งตอนไปเที่ยวงานวัดที่ วัดโคกอีแร้ง มีคนมาแซวหนูเท่านั้น เล่นเอาพวกมันหมอบกระแตไปตามๆกัน เขาประกาศ ก้องกลางลานวัดเชียวว่า คนอื่นยุ่งได้แต่อย่าเสือกมายุ่งกับน้องสาวกูนะโว้ย นี่ดีนะเป็นบริเวณ วัดมิฉนั้นพวกมึงอาจจะมีใครตายไปด้วย เล่นเอาพวกนั้นเลิกเที่ยวหนีกลับบ้านไปกัน สืบได้ว่า เป็นหมู่บ้านอื่นไม่ใช่หมู่บ้านเราและหมู่บ้านโคกอีแร้ง พูดตามความรู้สึกนะว่า พวกหมู่บ้าน โคกอีแร้งนั้นหนุ่มๆล้วนนิสัยใจคอดีๆกันเกือบทั้งสิ้นจ้าแม่” หญิงสาวตอบแม่ และแล้วทั้งสองก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกๆๆดังมาจากข้างล่างบ้าน “แม่ๆๆๆๆเร็วๆๆๆน้องกชด้วย พ่อถูกยิงมา ให้ไปหายามาใส่แผลด้วย” เสียงเรียกของ ชายหนุ่มตะโกนนำทางมาก่อน สักครู่ร่างเจ้าชวนก็พยุงร่างพ่อกำนันหวนขึ้นมาบนบันไดบ้านอย่างทุลักทุเล พลางพยุง นำไปวางยังเสื่อที่ปูไว้นั่งเล่นก่อนแล้ว ร่างกำนันหวนไม่เป็นอะไรมากนักเพียงเลือดที่แห้ง กรัง บัดนี้แห้งหมดแล้ว แต่มีหลายๆรอยอยู่ที่ยังมีเลือดซืมๆออกมาบ้าง “ใครทำพ่อมาหรือพ่อ เดี๋ยวข้าจะไปจัดการเอง” เจ้าชวนเอ่ยพลางปลดเสื้อผ้ากำนันหวน ออกพลางนำวาง หาผ้าอื่นที่สะอาดนำผ้าชุบน้ำมาล้างแผลให้อย่างลุกลี้ลุกลน “ไม่เป็นอะไรมากหรอกลูก โดนแค่ถากๆเท่านั้นเอง เออๆไอ้ชวนๆ” กำนันเอ่ย “ครับพ่อมีอะไรหรือจะให้ข้าช่วยหรือบอกได้เลยข้าจะนำคนไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละจ้า” “ไม่มีใครทำอะไรพ่อหรอก แต่ที่พ่อเรียกเจ้านั้นจะบอกว่า ต่อไปนี้เห็นทีพ่อจะวางมือ จากเรื่องแบบนี้เสียที เจ็บรอดตายคราวนี้ทำให้พ่อสำนึกบาปบุญคุณโทษได้แล้วล่ะ จะขอ วางมือด้านนี้และลาออกจากกำนัน แต่ข้ายังเป็นห่วงแม่และน้องเจ้าอยู่เท่านั้นมีทางเดียว ที่จะหนีรอดอุ้งมือพวกมันได้คือหนีไปบวชตลอดไป ด้วยพ่อรู้ความลับมันมามากพอควร แต่ทางด้านนี้ก็จะขอให้เจ้าเลิกให้หมดด้วย และช่วยพ่อคอยดูแลแม่และน้อง หากน้องเจ้าได้แต่งงานไปก็จะทำให้พ่อยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากนัก” กำนันหวนตอบกับเจ้าชวน “อ้าวๆๆ????....ไหนๆเรื่องเป็นอย่างไรหรือพ่อ” ไอ้ชวนถามด้วยความสงสัยนัก แล้วกำนันหวนก็เล่าถึงเหตุการณ์ต่างให้ไอ้ชวนลูกเลี้ยงมันฟังในระหว่างทางคอยรถ นั้นมันก็เกิดความรับผิดชอบชั่วดี ทั้งยังรอดตายกลับมาส่วนพวกที่นำไป สงสัยจะตายหมด ดีนะที่ไม่ให้เจ้าชวนไปด้วยเกิดลางสังหรณ์ใจอะไรบางอย่างขึ้น จึงให้คอยดูแลทางนี้แทน อีกอย่างหนึ่งเจ้าก็พึ่งจะหายดีคราวที่แล้วก็เกือบตายเหมือนกัน เมื่อกำนันเล่าให้ไอ้ชวนฟังแล้วหันไปทางตบไหล่เจ้าชวนและลูบหัวมันกล่าวขึ้นว่า “ ถึงมึงจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของกูก็เถอะ แต่กูก็รักมึงเหมือนลูกแท้ๆของกู เห็นว่ามีแต่มึง เท่านั้นที่จะช่วยเหลือพ่อได้ว๊ะ แต่กูรู้นิสัยใจคอมึงดีเห็นพอจะพึงพาอาศัยได้ยามกูไปบวช จึงจะขอกำชับและให้มึงรับปากกูว่าจะเลิกนิสัยก้าวร้าวนอกเสียจากคนจะมารังแกมึงเท่านั้น” “พ่อธรรมดานั้นใจข้าเองก็ไม่ค่อยชอบทางด้านนี้อยู่แล้วล่ะ แต่นี่เห็นเป็นงานของพ่อ ทำให้ข้าต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ หากปล่อยพ่อเท่านั้น แต่เมื่อพ่อพูดเช่นนี้ก็พึงพอใจมาก ใจข้าก็จะสงบมากขึ้นด้วยมันเสี่ยงไม่ใช่เฉพาะพ่อเท่านั้น แม่และน้อง ก็พลอยเอี่ยวไปกันหมด ลำพังข้าเองนั้นไม่เท่าไหร่หรอกตัวคนเดียวอยู่แล้ว ที่โตขึ้นทุกๆวันนี้ก็ด้วยน้ำมือพ่อและแม่เท่านั้น ที่ให้ความเอ็นดูแก่ข้ารักข้า ดุจดังลูกของตัวเอง ทำให้ข้าคิดว่าจะเพียงขอทดแทนไม่ว่าด้วยชีวิตหรืออะไรก็ตาม นิสัยข้าเองก็ไม่ค่อยชอบทางนี้อยู่แล้วล่ะพ่อ ข้าให้สัญญาว่าจะคุ้มครองดูแลแม่และน้องให้ สบายจ๊ะพ่อและจะเลิกนิสัยนักเลงให้หมด” ไอ้ชวนกล่าวขึ้น ครั้นกำนันหวนได้ฟังมันกล่าวเช่นนั้นถึงกับน้ำตาไหลออกมาแล้วดึงร่างมันไปสวมกอด พลางเอ่ยว่า “ขอบใจมากว่ะเจ้าชวน ส่วนทรัพย์สมบัตินั้นข้าจะแบ่งให้เจ้าบงกชมันกับเจ้าคนละครึ่ง เรื่องนี้เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก ถึงแม้ว่าจะทำไปในสิ่งไม่ดีก็หาใช่ด้วยน้ำใสใจจริงของข้าหรือ ก็ไม่เคยคิดว่าจะหลงทางเข้ามาในวังวนนี้ ข้าเคยคิดเหมือนกันจะเลิกเสียตั้งนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสอำนวย ที่ทำไป ก็ด้วยไปทางทางกระแสเท่านั้นเอง เมื่อได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้ข้าก็สบายใจ เมื่อหลังหลังจากทำแผลเสร็จก็จะนำอาหารไปถวายเพลหลวงพ่อทองเสียหน่อยด้วย สมัยหนึ่งข้าเคยเป็นศิษย์สอยห้อยตามไปตอนท่านยังหนุ่มๆอยู่ไปธุดงค์ในป่าเขาต่างๆ ข้ายังเป็นเด็กๆอยู่ตอนยังไม่ได้มาครองวัดนี้ พบท่านในระหว่างธุดงค์เกิดศรัทธาเลยหนี พ่อแม่ติดตามท่านไปในที่ต่างๆ ท่านก็สอนวิชาอาคมให้แก่ข้าบ้างเพื่อใช้ป้องกันตัวแต่ เหมือนมีอะไรมาบังตาข้าทำให้ข้าไม่ชอบ ที่ออกร่วมเดินทางไปด้วยมองเห็นท่าน มีร่างกายผ่องใสงดงามนัก ข้าติดใจในรูปกายท่านเท่านั้นจึงขอติดตามไป ตอนแรกก็คิดๆจะร่ำเรียนเหมือนกันตอนนั้นนะ ครั้นโตขึ้นข้าก็แยกทางกับท่านไม่ คิดว่าท่านจะมาครองวัดโคกอีแร้ง เคยไปหาบ้างไม่หาบ้าง พบท่านๆก็สั่งสอนเหมือนท่าน จะรู้ว่าข้าทำอะไรไป ข้าเองได้แต่รับฟัง แต่เหมือนคนตาบอดจึงฟังหูไม่ฟังหูล่ะ” กำนันเอ่ย “นั่นซิพ่อ ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่า เหตุใดพ่อถึงมักจะไปทำบุญที่วัดโคกอีแร้ง ก็ด้วยเหตุนี้พึ่งจะเข้าใจเอง ทั้งๆที่วัดใกล้หมู่บ้านเราหรือก็อาศัยอยู่ในเขตของหมู่บ้าน บางโคคือวัดบางโคทอง ซึ่งได้ข่าวว่ากำนันคนอื่นๆก่อนพ่อจะมาเป็นกำนัน นั้นมักจะไปทำบุญและสร้างวัดนี้ขึ้นมา แต่พอมาถึงพ่อ ข้ากับเห็นพ่อหันไปทำบุญทางวัดโคกอีแร้ง ข้าสงสัยมานานจะถามพ่อก็หลายๆครั้ง แต่เกรงใจพ่อเห็นกำลังมีงานอยู่จะยุ่งยากแก่พ่อไป” เจ้าชวนตอบพลางหายสงสัย เห็นกำนันหัวร่อฮึๆๆ พลางเอ่ยว่า “ หลวงพ่อทางวัดบางโคทองนั้น ท่านไม่ค่อยใส่ใจอะไรกับวัดนัก ครั้นได้เงินมาก็แบ่งเป็นสองทางครึ่งหนึ่งของวัดอีกครึ่งหนึ่งนำมาแบ่งตัวเอง และครอบครัวก่อนจะมาบวชและได้เป็นเจ้าอาวาส ผิดกับหลวงพ่อทองซึ่งหมู่บ้านโคกอีแร้งกว่าจะเชิญมาครองวัดได้ก็แทบ จะกระอักเลือด ยามที่วัดร้างเจ้าอาวาสอยู่แต่ข้าก็ไม่ทิ้งวัดนี้ไป ยังร่วมไปนิมนต์ หลวงพ่อด้วย ครั้นท่านเห็นเป็นข้าจึงยอมรับนิมนต์ด้วยท่านจำข้าได้ และยังถาม เกี่ยวกับข้าอีก ข้าจำเป็นต้องโกหกท่าน แต่ดูเหมือนท่านจะรู้ได้แต่อมยิ้ม ซ้ำยังเทสน์อบรมแก่ข้าอีกจนข้าต้องรีบเผ่นกลับบ้านเชียวล่ะ” กำนันเอ่ยเล่าความหลังให้เจ้าชวนฟัง “อ้อๆๆแบบนี้นี่เองเห็นพ่อไปทำบุญที่ไรมักจะไปทางด้านโน้น ส่วนทางด้านนี้ เห็นพ่อไม่ค่อยจะกระตือรือล้นเท่าไหร่นัก” เจ้าชวนตอบผู้เป็นพ่อบุญธรรมมัน ในระหว่างการสนทนากันอยู่นั้น แม่เย็นกับบงกชเข้ามาต่างร้องกันแล้วถลา เข้ามาดูอาการกำนันทันที “พ่อๆๆๆเป็นอะไรไปหรือมากแค่ไหนล่ะ พี่ชวนนี่จ๊ะยาที่พี่ตะโกนบอก” หล่อนหันไปทางเจ้าชวนพลางยื่นกล่องใส่ยาให้พร้อมกับน้ำร้อนอุ่นๆด้วย “พ่อไม่เป็นอะไรหรอกลูกแม่เย็นด้วยไม่ต้องห่วงข้า เออๆๆๆมาครบก็ดีแล้วข้า จะบอกแก่พวกเจ้าด้วยว่า ให้จัดเตรียมอาหารมื้อเพลไว้ด้วยข้าจะไปยังวัดโคกอีแร้ง” “แล้วเรื่องงานของพ่อล่ะเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ” แม่เย็นถามกำนันผู้ผัว “ไม่เรียบร้อยหรอกแม่เย็น ข้ารอดตายมาก็นับว่าบุญเก่ารักษาอยู่ แต่นี้ไปข้าจะ ลาออกจากกำนันแล้วไปบวชที่วัดโคกอีแร้ง คิดว่าจะไม่สึกออกมา แม่เย็นและเจ้า บงกชเห็นอย่างไรกับข้าบ้าง ส่วนเจ้าชวนนั้นมันเข้าใจอะไรๆหมดแล้ว” “อนุโมทนาจ้าพ่อกำนัน พ่อเองก็ยังไม่เคยบวชมานี่นา อีกอย่างหนึ่งก็เคยเป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อทองอยู่แล้วคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก แต่เรื่องของทางการล่ะพ่อจะ ทำอย่างไรกัน” แม่เย็นถามพ่อกำนันหวน “ เรื่องนี้คงไม่เป็นปัญหาหรอก ข้าจะประชุมผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยพรุ่งนี้จะเล่า เรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้วปรึกษากันกับเขา แต่วันนี้เพลๆมีอาหารไหมล่ะ???...แม่เย็น” “เรื่องอาหารนั้นไม่เป็นปัญหาหรอกพ่อ เดี๋ยวข้ากับลูกบงกชทำกันเองไม่ต้อง ให้ใครๆมาช่วยหรอก อีกอย่างข้าวปลาอาหารก็เพียบพร้อมอยู่ด้วยแล้วล่ะ” แม่เย็นกล่าว ครั้นทั้งสามเมื่อทราบเจตนารมณ์ของพ่อกำนันก็เข้าไปกราบและร่วมอนุโมทนาด้วย กัน เมื่อได้เวลาใกล้ฉันท์เพล คนทั้งสามก็มาพร้อมกันที่วัดโคกอีแร้ง เจ้าชวนคอยพยุง ร่างพ่อกำนันดูแลตลอดเวลา จนพ่อกำนันต้องร้องบอกว่า “พ่อไม่เป็นอะไรหรอกลูก ไม่ต้องหรอกเจ็บเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง เอ็งไปช่วยแม่ และน้องขนของขึ้นไปถวายเพลหลวงพ่อเถอะ “จ้าพ่อ ” มันกล่าวแล้วรีบผละจากกำนันหวนไปช่วยทั้งสองทันที เมื่อก้าวขึ้นไปบนกุฎืหลวงพ่อทองกำนันหวนก็เห็น มีคนอยู่สนทนากับหลวงพ่ออยู่แล้ว ก็ต่างให้เมียและลูกขนของขึ้นมารวมกันไว้ที่บริเวณที่ข้างๆใช้สำหรับฉันท์อาหารเพื่อรอ จังหวะที่หลวงพ่อว่างๆจะได้ไปสนทนาด้วย กำนันหันมากล่าวกับเมียและลูกๆว่า “แม่เย็นเจ้าบงกชเจ้าชวน แล้วเอ็งจะเห็นว่าลูกวัดท่านปฏิบัติตนอย่างไรบ้างน่าศรัทธา อย่างไรเอ็งคอยดูก็แล้วกันผิดกับวัดบางโคทองเลยล่ะ” ครั้นต่างคนต่างจัดการอาหารเสร็จเป็นที่เรียบร้อย แม่เย็นก็เข้ามาสะกิดกับกำนันหวน ทันทีเอ่ยว่า “พ่อๆเห็นหลวงพ่อหันมาทางเราแล้วกวักมือเรียกให้ไปหาล่ะพ่อ” แม่เย็นเอ่ย กำนันมองไปทางมือของเมียแล้วก็ชักชวนให้ทุกๆคนเข้าไปหาหลวงพ่อทันที ทั้งหมดก็รีบเข้าๆหาพลางกราบหลวงพ่อกันทุกๆคน ก็ได้ยินหลวงเอ่ยขึ้นว่า “ ความคิดเอ็งดีแล้วล่ะ ไอ้หวนเอ๋ยไม่เห็นโลงไม่หลั่งน้ำตา บัดนี้เคราะห์ของมึงพ้นแล้ว ไม่มีทางไหนอื่นอีกเท่าทางนี้หรอกว๊ะไอ้หวน” หลวงพ่อทองเอ่ยขึ้น “นี่ๆๆมาๆๆ ให้รู้จักกันไว้ด้วยนะ นี่คือพ่อเชียรแม่เข็มนั่งข้างๆมันคือไอ้ชัยลูกของพ่อ เชียรแม่เข็มเขา พ่อเชียรและแม่เข็มเป็นอุบาสกอุบาสิกาประจำทุกๆวันพระน่ะ” หลวงพ่อทองกล่าวขึ้น เมื่อกำนันหวนได้ยินหลวงพ่อกล่าวก็สะดุ้งในใจคิดว่าสมแล้วที่เป็นพระธุดงค์มาเป็นบุญของมัน และมันเคยเป็นศิษย์สอยห้อยตามมา คงจะทราบเรื่องทั้งหมด จึงพนมมือเอ่ยว่า “ครับหลวงพ่อระยะนี้ผมไม่ค่อยมาวัดเสียเลยแต่ก็ยังนึกถึงคุณหลวงพ่อเสมอๆครับ” “เรื่องนี้พ่อเองก็เข้าใจ แต่บุญของมึงยังมีพอที่จะเห็นผิดเป็นถูกได้ เอาล่ะๆๆทำความรู้ จักกันไว้ด้วย ข้ามองเห็นว่าอีกหน่อยมันก็จะสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวมึงและครองครัวเขา” หลวงพ่อเอ่ยทำนายให้กำนันหวนฟัง เล่นเอากำนันหวนแปลกใจมากยิ่งขึ้น พลางหันไปทาง พ่อเชียรและแม่เข็มต่างก็พากันยิ้มแย้มต้อนรับมันอยู่เลยเข้าไปหาและสนทนากันไล่เลียงถาม อายุกัน ได้ความว่ากำนันหวนอายุมากกว่าพ่อเชียรเกือบห้าปี และเมื่อต่างสนทนากันก็ทำให้ กำนันหวนสบายใจมากยิ่งขึ้น แล้วขอตัวจากพ่อเชียรพลางคลานเข้าไปหาหลวงพ่อทองทันที “กระผมมาวันนี้ใคร่จะขอรบกวนหลวงพ่อด้วยครับหลวงพ่อ” กำนันหวนเอ่ย “เออๆๆๆดีแล้วล่ะไอ้หวน หมดเวรกันเสียทีก็คราวนี้แหละ ข้าเองไม่ปฏิเสธกับการขอ ของเอ็งหรอก คิดดีแล้วหรือ???... แล้วถามความเห็นแม่เย็นเขาหรือเปล่าล่ะ” “หลวงพ่อเจ้าขา...อิฉันกลับดีใจยิ่งจ๊ะหลวงพ่อ หากพ่อกำนันจะบวชคราวนี้” ครั้นแม่เย็นฟัง ดูก็ทราบด้วยปัญญาว่าหลวงพ่อคงจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ จึงยิ่งเกิดความศรัทธายิ่งๆขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่ทำความแปลกใจมาก็ได้แก่สาวบงกชและเจ้าชวน ที่ต่างมองหน้ากันไปๆมา พลาง หันไปทางกลุ่มของพ่อเชียร สาวบงกชแลเห็นเจ้าชัยนั่งพนมมือไหว้ก้มหน้าอยู่และรูปร่าง ของมันสันทัดกำยำของร่างกายใบหน้ายามก้มหรือเงยก็ช่างหล่อเหลานัก ก็ถึงกับสะท้านลึกเข้าไปให้ห้วงใจหล่อนทันที ทำให้อาการเกิดการขวยเขิน อันไม่เคยมีมาก่อน จึงไม่ยอมมองไปอีก ส่วนเจ้าชวนหันไปทางกลุ่มของพ่อเชียรแล้ว ก็ให้รู้สึกถูกอัธยาสัยยิ่งนัก มันรำพึงว่าเหตุใดคนในหมู่บ้านโคกอีแร้งถึงไม่ยอมไปยุ่งเกี่ยว กับเรื่องที่พ่อกำนันมันทำนัก หรือจะเป็นด้วยสาเหตุนี้นี่เอง ก็ให้สะท้อนใจมันยิ่งนัก จิตใจมันก็ได้ล่วงรู้อะไรๆดีขึ้น พลางหันไปกราบทางพ่อเชียรแม่เข็มทันที ครั้นพ่อเชียรแม่เข็มและเจ้าชัยหันไปมองพบก็เห็นร่างเจ้าชวนก็ให้พึงพอใจนัก พ่อเชียร ก็พยุงร่างเจ้าชวนเอ่ยว่า “เราคนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องทำถึงอย่างนี้หรอก ชื่ออะไรหรือพ่อหนุ่ม” พ่อเชียรถาม “ผมชื่อชวนครับพ่อเชียรเห็นหลวงพ่อยกย่องพ่อเชียรมากก็รู้สึกศรัทธาต่อบุคคลิกท่านอีก อย่างขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยคนครับ” “ไหนๆคนเราคงจะเคยทำบุญร่วมกันมาถึงได้มาถูกอัธยาสัยเช่นนี้ เอาล่ะได้ฟังหลวงพ่อเอ่ย เช่นนี้ สงสัยพี่หวนคงจะคิดออกบวชกระมังเสียล่ะเจ้าชวนเอ๋ย” พ่อเชียรแม่เข็มเอ่ยขึ้น คราวนี้กำนันหวนหันขวับมาทางพ่อเชียรแม่เข็มทันที ด้วยความสงสัย ก็ได้ยินหลวงพ่อ เอ่ยขึ้นเพื่อมิให้สงสัยมากไปกว่านี้ “โยมเชียรกับโยมเข็มเขาทั้งสองก็มีวิชาอาคมเสมอหลวงพ่อนั่นแหละว๊ะหวน ตลอดจน สมาธิต่างๆก็เชี่ยวชาญด้วย ไม่ต้องสงสัยอะไรหรอก” “หรือว่า???!!!!.....” แล้วกำนันก็ได้ยินหลวงพ่อเอ่ยขึ้นอีกว่า “ไม่ต้องหรือวง เดี๋ยวว่าหรอก เอ็งเคยเห็นไหมว่าข้าเคยจะยกย่องใครๆบ้างล่ะ???....” “นั่นซิครับหลวงพ่อ ปกติหลวงพ่อจะไม่รับแขกเท่าไหร่หรือรับก็เล็กๆน้อยเท่านั้น นี่ผมมาเห็นคุยกันอย่างสนิทสนมก็สงสัย เลยไม่กล้าเข้ามาขัดจังหวะครับหลวงพ่อ” “เออๆๆดีแล้วล่ะ??....เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเอ็งกำหนดวันของเอ็งหรือเปล่าล่ะ” “ผมจะประชุมผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยพรุ่งนี้แหละครับ ก็จะชวนกันไปลาออกจากกำนัน เสียที และบอกแก่ผู้ใหญ่บ้านให้รักษาการณ์ไปก่อนกับท่านนายอำเภอคนใหม่ครับหลวงพ่อ” “ข้าเองมานั่งคิดดูหากเองกล่าวเช่นนี้คงหมดปัญหาไปหรอกว๊ะหวนเอ๋ย ไม่ต้องมาบอก ข้าก็รู้แล้วล่ะ ให้เอ็งกำหนดวันก็แล้วกัน” “ครับหลวงพ่อผมเชื่อหลวงพ่อมากๆครับ” กล่าวเสร็จกำนันหวนก็หันไปทางด้าน พ่อเชียรและแม่เข็ม และยิ่งเห็นเจ้าชัยด้วย ในใจก็พลางนึกคิดว่าคงจะสมประสงค์แน่แท้ ด้วยเจ้าชัย รูปร่างหรือตลอดจนใบหน้าก็คมคายยิ่งนัก เห็นว่าหากได้คนนี้มาเป็นเขยทุกๆอย่าง ก็คงจะเดินไปตามประสงค์ของเรา ส่วนเจ้าชวนหรือก็ให้รู้สึกต้องอัธยาสัยของเจ้าชัยมาก ด้วยกำนันหวน เห็นมันทั้งสองคุยกันอย่างสนุกถูกปากถูกคอเกี่ยวกับงานในไร่นาสวนกัน ส่วนทางด้านแม่บงกช ก็เพียงแค่ชำเลืองตามองเจ้าชัยตลอดเวลา............. * แก้วประเสริฐ. *
* ตำรายาสมุนไพรกลางบ้าน ๖ * ยาบำบัดโรคภายในท้อง โรคแก้ท้องเดิน ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา ผลละมุดดิบ ๓ ผล นำมาตำให้แหลก ผสมกับ น้ำปูนใส (น้ำปูนปดงกินหมากที่ไม่ใส่สีเสียด) คั้นเอาเฉพาะน้ำยา ใช้รับประทานประมาณ ๑ ถ้วยชา เพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณแก้โรค ท้องเดิน ท้องร่วง ลงท้อง ให้หายไปได้อย่างผลดีชะงัดนักแลฯ ( พต. มงคล ชุ่นศรี รพ.พระมงกุฏเกล้า กรุงเทพมหานครฯ) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา เปลือกต้นเต็งรัง นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ พอสมควร ใช้น้ำยารับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคท้องเดินได้ผลดี อย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการสนั่น ญาณุตฺตโร วัดหนองกี่ อ.หนองกี่ บุรีรัมย์) ขนานที่ ๓ ท่านให้เอา เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) กับ น้ำตาลทรายขาว ตัวยาทั้งสองอย่างนี้ เอาอย่างละ ๑ ช้อนคาว ผสมกับ น้ำต้มสุก ๔ ช้อนคาว กวนให้เข้ากันดี ใช้รับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคท้องเดินได้ผลดี อย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๔ ท่านให้เอา น้ำมะพร้าว (อ่อน หรือ แก่ ก็ได้ ห้ามใส่ภาชนะที่ เป็นโลหะ) นำมารับประทานให้อิ่ม อาการโรคท้องเดินจะหยุดทันที มีสรรพคุณ แก้โรคท้องเดินได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล เคยใช้รักษาได้ผลดี มาทุกรายแลฯ (พระครูธรรมกิจวรคุณ วัดบางเตย เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครฯ) ขนานที่ ๕ ท่านให้เอา ยอดต้นฝรั่ง ๗ ยอด นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ พอสมควร เมื่อต้มสุกแล้วรินใส่ถ้วยชา ใส่น้ำปูนใส(น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ลงผสมพอสมควร ใช้รับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคท้องเดิน ได้ผลดี อย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๖ ท่านให้เอา ยาทัมใจ ๑ ยาประสะนอแรด ๑ ยาฤๅษีทรงม้า ๑ ยาทั้ง ๓ อย่างนี้ เอาอย่างละครึ่งห่อ นำมาผสมกับ น้ำร้อน ใช้รับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคท้องเดินไม่หยุด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการง้วน พุทฺสาโร วัดชีธาราราม อ.ดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๗ ท่านให้เอา ใบกาบหมาก นำมาเผาไฟให้ไหม้เป็นขี้เถ้า ผสมกับ พิมเสน พอสมควร บดให้ละเอียด ผสมกับ สุรา ประมาณน้ำยา ๑ ถ้วยชา ใช้รับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคท้องเดินได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระอธิการนาค ขนฺติญาโณ วัดห้วยเจริญผล อ.บ้านโป่ง ราชบุรี) ขนานที่ ๘ ท่านให้กลั้นใจใช้มีดถากเปลือกต้นมะม่วง (ถากขึ้น ๑ เปลือก ถากลง ๑ เปลือก) ๒ เปลือก นำเปลือกต้นมะม่วงทั้ง ๒ เปลือกนั้น มาทุบ พอแตก ใช้เกลือป่น (เกลือใส่แกง) ทาที่เปลือกต้นมะม่วงทั้ง ๒ เปลือกนั้น ให้ทั่วดีแล้ว ย่างไฟให้สุกเหลือง นำมาแช่น้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ใช้น้ำยาประมาณ ๑ ถ้วยชา รับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคท้องเดินได้อย่าง ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระมหาประมวล ธมฺมวโร วัดพุทธภูมิ ยะลา) ขนานที่ ๙ ท่านให้เอา ตะไคร้ ๓ ต้น ต้นกะเพรา ๑ กำมือ หญ้าแพรก ๑ กำมือ ขมิ้นอ้อย ๕ แว่น (ลงด้วยพระเจ้าห้าพระองค์ คือ นะ โม พุท ธา ยะ องค์ ๑ แว่น) นำตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอควรใช้น้ำยารับประทานครั้ง ละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณแก้โรคท้องเดิน (โดยเฉพาะเด็กและคนชรา) ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระมหาประมวล ธมฺมวโร วัดพุทธภูมิ ยะลา) วันนี้เอาเท่านี้ก่อนนะครับ ด้วยผมเองวันนี้อาการไม่ค่อยสบาย ปวดศีระมาก ทานยาแก้แพ้อากาศ แล้วยังไม่ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เสียสัจจะ จึงอุตส่าห์ตื้อทนพิมพ์ จนกระทั่งไม่ไหว แต่ตัวยายังมีต่อนะครับ แต่งนิยายขอหยุดพัก ๑ วัน สวัสดีครับ *แก้วประเสริฐ.*
* ตำรายาสมุนไพรกลางบ้าน ๕ * ยาแก้โรคลมป่วง (โรคลมป่วงนี้ จะมีอาการลมตีขึ้นเบื้องสูง แน่นแถวบริเวณหน้าอก เกิด อาการคลื่นเหียนอาเจียน ทั้งลงทั้งรากถ่ายกระปิดกระปอย หากเป็นมาก ถึงกับตายได้กับลมนั้น รักษาเบื้องต้น ให้ช่วยกันกดที่หน้าท้องและแถวลิ้นปี่ ไล่ลมจากลิ้นปี่ ให้ไล่ลมลงมาเบื้องล่าง จะเห็นเป็นก้อนๆใหญ่ๆ มาเป็นระลอกๆ จากท้องขึ้นสู่เบื้องสูง ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ป่วยเจ็บตอนนั้นผู้ป่วยจะไม่รู้อะไร หากผู้ป่วยร้องขึ้น แสดงว่าค่อยๆทุเลาแล้ว แต่ก็ทำต่อไปจนกว่าจะได้ รับทานยาขนานดังกล่าว ให้ช่วยกันกดไล่ตั้งแต่ลิ้นปี่ลงมาเป็นระยะ ต้องใช้กำลังมากเป็นพิเศษ ไล่ให้ลมลงมาเบื้องต่ำให้ได้ โดยใช้ยาทา น้ำมันหม่องหรือยาทาร้อนๆช่วยก็ยิ่งดี ต้องเป็นยาทาชนิดร้อนๆหรือ เช่นกระเป๋าน้ำร้อน หลังจากไล่ลมแล้ว หากผู้ป่วยตดได้ยิ่งดีใหญ่ ลมจะถูก ระบายออกทางทวารเบื้องล่าง บรรเทาอาการแน่นแต่ควรจะนำยาดังกล่าว มาทานช่วยด้วย เลือกเอาขนานที่เห็นว่าเหมาะสม หาง่ายๆก่อนตามสะดวก ด้วยอาการหายใจไม่ออกจนทำให้ผู้ป่วยเสียเสียชีวิตกระทันหันทันที หากแก้ไขไม่ทันการณ์ มักจะเกิดกับคนที่ท้องผูกมากๆแล้ว ไม่ถ่ายหลายๆวันทานอาหารเป็นพิษจนอาหารไม่ย่อย ก็จะเกิดโรคนี้ได้ ด้วยลมนั้นจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ร้ายแรงกว่าโรคลมทั่วๆไป ถ้าหากมียากฤษณากลั่นยิ่งดี ให้นำมาละลายน้ำพอควรแล้วกรอกปาก ให้ทานให้ได้ ยากฤษณากลั่นนี้มีอาการร้อนแรง เป็นยาน้ำอยู่แล้วหาก ไม่ผสมกับน้ำปากคอจะร้อนหรือไหม้ขึ้นได้ ยานี้ช่วยแก้โรคนี้ ตลอดจน ท้องเสียได้หายฉับพลัน พระเจ้าอยู่หัว ร.๖ ทรงให้พวกเสือป่าติดตัวประจำ ไว้ทุกๆคนในการฝึกเดินป่า ทานน้ำผิด หรืออาหารซึ่งจะเกิดขึ้นแก่บางคน ถ้าได้ยานี้แล้วให้พยายามงัดขากรรไกร ด้วยผู้ป่วยจะกัดฟันแน่นๆตลอดเวลา พยายามเขย่าตัวและส่งเสียงเรียกให้ผู้ป่วยรู้สึกตัวตลอด ผมเคยช่วยคนให้ทุเลาจากโรคนี้มาแยะมากแล้ว.......แก้วประเสริฐ.) ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา หัวข่าตาแดง (มีลักษณะ ต้น ใบ ดอก ลูก หัวเหมือน กับข่าใหญ่ แต่ย่อมกว่าเล็กน้อย ที่หัวแตกขึ้นเป็นตาสีแดงเข้ม มีสรรพคุณ พิเศษทางแก้โรคลมป่วง) นำมาล้างให้สะอาด ตำให้แหลก ผสมกับ น้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้น้ำยารับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคลมป่วง ซึ่งมีอาการทั้งถ่ายท้อง ทั้งอาเจียน (ทั้งลงทั้งราก) ให้พลันหายไปทันที เคยใช้รักษาได้ผลมามากแล้วฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา แก่นประดู่ส้ม ๓ ชิ้น หางจาก (จากที่ใช้มุงหลังคาบ้าน) ๓ หาง ถ่านไม้รวก ๓ ก้อน เหรียญสลึง ๑ เหรียญ นำมาใส่หม้อดินต้ม กับ น้ำ ๓ ส่วน เคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ส่วน ใช้น้ำยารับประทาน โรคลมป่วยจะพลัน หายไปทันที มีสรรพคุณอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๓ ท่านให้เอา ตระไคร้ ๕ ต้น (ทุบพอแตก) กับ เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) (เกลือนี้จะเป็นเม็ดๆหรือป่นละเอียดมาจากทะเล ไม่ใช่เกลือวิทยาศาสตร์หรือ เกลือสินธุ์เทา....แก้วประเสริฐ.) ประมาณให้เค็มจัดๆ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ๓ แก้ว เคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ แก้ว ใช้น้ำยารับประทานให้หมดแก้ว เพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณแก้โรคลมป่วงทุกชนิด ซึ่งมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ทำให้ทั้งลง ทั้งราก คือทั้งถ่ายท้องและ อาเจียน ให้หายอย่างปลิดทิ้งทันทีฯ (พระธรรมปิฏก วัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานครฯ) ขนานที่ ๔ ท่านให้เอา ผักบุ้งไทย ๑ กำมือ ข้าวเปลือกข้าวเหนียว ๓ หยิบมือ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ นำมาใส่ในกำผักบุ้งแล้ว ใช้ตอกมัดเป็น ๓ เปลาะ แล้วใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำพอควร ต้มเคี้ยวให้ผักบุ้งสุกเละแล้ว ใช้น้ำยารับประทาน ครั้งละ ๑ ถ้วยชา ๓ ครั้ง ระยะเวลาใกล้ๆกัน เมื่อรับประทานครั้งหนึ่ง ให้แก้ปอก ที่มัดไว้เปลาะหนึ่ง มีสรรพคุณแก้โรคลมป่วง ซึ่งมีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระออก เป็นสีขาวให้หายไป ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล เคยใช้รักษาหายมามากแล้วฯ (พระอธิการเรียน ลชฺโต วัดพิหารแดง อ.เมือง สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๕ ท่านให้เอา มะละกอสุก ๑ ลูก(ใหญ่ๆ) นำมาผ่าแคะเอาเฉพาะเมล็ด ตำให้ละเอียด ผสมกับ น้ำซาวข้าว ใช้ผ้าขาวกรองเอาเฉพาะน้ำยา ประมาณครึ่ง ถ้วยแกง ให้ผู้ป่วยรับประทานเพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณแก้โรคลมป่วง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูสุนทรวชิระเวท วัดเขื่อนเพชร อ.ท่ายาง เพชรบุรี) ขนานที่ ๖ ท่านให้เอา เปลือกส้มโอแห้ง นำมาเผาไฟให้ไหม้แล้ว บดให้ละเอียด ผสมกับ กำมะถัน เล็กน้อย ละลายกับ น้ำต้มสุก ๑ ส่วน สุรา ๑ ส่วน ประมาณน้ำยา ครึ่งแก้วกาแฟ ใช้รับประทานเพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณแก้โรคลมป่วง ซึ่งมีอาการ จุกเสียดแน่นท้อง ให้หายไปอย่างปลิดทิ้งทันทีแลฯ (พระครูทองอยู่ ญาณสาโร วัดพรหมมบุรี อ.พรหมบุรี สิงห์บุรี) ขนานที่ ๗ ท่านให้เอา เศษทุกอย่างในเชื่ยนหมาก (โดยเอาน้ำเต้าปูน กรรไกร หมาก พลู ออกเสียก่อน เหลือนอกนั้นคว่ำเชี่ยนหมากเทใส่ลงในหม้อทั้งหมด) นำมาใส่หม้อ ดินต้มกับน้ำ ๓ ถ้วยชา เคี่ยวให้เหลือน้ำ ๑ ถ้วยชา ใช้น้ำยา ๑ ถ้วยชานั้นให้ผู้ป่วย รับประทานให้หมด รับรองเพียงถ้วยเดียวหายเป็นเหมือนคนไม่ได้ป่วย ภายในเวลาไม่เกิน ๓๐ นาที เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้ว มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (พระวินัยบัณฑิต วัดวรดิตถาราม อ.เมือง ตราด) ขนานที่ ๘ ท่านให้เอา พริกไทยร่อน ๑ หยิบมือ นำมาต้มกับน้ำพอควร ต้มเคี่ยวให้พริกไทยสุกเละแล้ว ผสมกับ สุรา ประมาณน้ำยา ๑ ถ้วยชา ใช้รับประทานไม่เกิน ๓ ครั้ง ระยะห่างกัน ๓๐ นาที มีสรรพคุณแก้โรคลมป่วง ที่มีอาการทั้งถ่ายท้อง อาเจียน ได้ผลอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๙ ท่านให้เอา ถ่านไม้สักหนัก ๑ บาท ถ่านไม้รวกหนัก ๑ บาท กำมะถัน เหลือง หนัก ๑ บาท มหาหิงคุ์ หนัก หนัก ๒ บาท ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ นำมาตำเป็นผง ปั้นเป็นเม็ดขนาดเท่าเมล็ดพุทรา เก็บใส่ขวดโหลไว้ฯ ใช้แก้โรคท้องเดินทั้งลงทั้งราก ท่านให้ใช้ยานี้ ๓ เม็ด บดละลายผสมกับ น้ำปูนใส (น้ำปูนแดงกินกับหมาก) ประมาณครึ่งแก้วกาแฟ คั้นผิวมะกรูดลงผสม กวนให้เข้ากัน ใช้รับประทานได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ ใช้แก้โรคอาเจียน ท่านให้เอายานี้ ๓ เม็ด บดละลายผสมกับน้ำ น้ำลูกยอต้ม ประมาณครึ่งแก้วกาแฟ ใช้รับประทาน มีสรรพคุณ อย่างชะงัดนักแลฯ ใช้แก้โรคลมจุกเสียด ท่านให้เอานี้ ๓ เม็ด บดผสมกับ หัวกระเทียม ๕ กลีบ ละลายกับน้ำร้อน ใช้รับประทาน ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ ใช้แก้โรคท้องเดิน ท่านให้ใช้ยานี้ ๓ เม็ด บดละลายกับ น้ำต้มเปลือกต้นแคแดง ประมาณครึ่งแก้วกาแฟ ใช้รับประทาน มี่สรรพคุณ อย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูคำหล้า อติเปโม วัดปากฝาง อุตรดิตถ์) ยาแก้โรคเด็กเป็นซางชัก ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา หัวปลาหมอจืด ๓ หัว นำมาเผาไฟให้ไหม้เป็นขี้เถ้า บดให้ ละเอียด ผสมกับ สุรา ใช้กวาดในลำคอเด็กที่เป็นโรคซางชัก มีสรรพคุณ แก้โรคซางชักได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระครูพิเศษสรวุฒิ วัดใหม่ชัยมงคล อ.สองพี่น้อง สุพรรณบุรี) ขนานที่ ๒ ให้ให้เอา กาฝากต้นมะรุม นำมาฝนกับฝาละมีหม้อดินผสมกับ น้ำปูนใส(น้ำปูนแดงกินหมาก) ให้ยาข้นพอสมควร แล้วใช้กวาดในลำคอของเด็ก ที่เป็นโรคซางชัก โรคซางชักจะพลันหายไปทันที มีสรรพคุณอย่างชะงัดนักแลฯ เมื่อเด็กหายจากโรคชักแล้ว พึงทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าของยา ขนานนี้ด้วยฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๓ ท่านให้เอา ต้นกระเพราแดง ๑ หัวไพล ๑ ว่านน้ำ ๑ มหาหิงคุ์ ๑ รากบะชาติ ๑ ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้ เอาอย่างละเท่าๆกัน นำมาตากแดดให้แห้ง ผสมกับ สุรา และผสมกับ น้ำซาวข้าว เป็นกระสาย ใช้ทาตัวเด็กที่เป็นโรคซางชัก และใช้กวาดในลำคอด้วย ถ้าเด็กยังเล็ก พึงใส่สุราผสมแต่น้อย มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๔ ท่านให้เอา เปลือกหอยขม น้ำมาเผาไฟให้ไหม้เป็นขี้เถ้า บดให้ละเอียด ผสมกับ สุรา ใช้กรอกใส่ปากเด็กที่เป็นโรคซางชัก มีสรรพคุณแก้โรคซางชักได้ผลดี อย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๕ ท่านให้เอา รากกระย่อม นำมาฝนกับฝาละมี ผสมกับ สุรา ใช้ป้ายที่ลินเด็ก ที่เป็นโรคซางชัก มีสรรพคุณอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) ขนานที่ ๖ ท่านให้เอาต้นกระเพราะแดงทั้ง ๕ กับ ต้นชุมเห็ดทั้ง ๕ (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) นำมาล้างน้ำให้สะอาด สับเป็นชิ้นเล็กๆคั่วไฟให้สุกเหลือง ใส่หม้อดินต้มกับน้ำครึ่งหนึ่ง สุรา ครึ่งหนึ่ง ใช้น้ำยารับประทาน ครั้งแรกให้รับประทานแต่น้อยๆ และเพิ่มน้ำยามากขึ้น ตามลำดับ มีสรรพคุณแก้โรคซางชักได้อย่างผลดีชะงัดนักแลฯ (พระใบฎีกาสำเริง พลธมฺโม วัดธารน้ำร้อน อ.ทองผาภูมิ กาญจนบุรี) ขนานที่ ๗ ท่านให้เอา รากต้นมะขาม นำมาฝนกับฝาละมี ผสมกับ น้ำปูนใส(น้ำปูนแดงกิน กับหมากที่ไม่ใส่สีเสียด) ผสมให้น้ำยาข้นพอสมควร ใช้นิ้วแตะน้ำยา กวาดในลำคอเด็กที่ เป็นโรคซางชัก เพียงครั้งเดียว มีสรรพคุณแก้โรคซางชักได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล เคยใช้รักษาได้ผลดีมามากแล้วฯ (พระครูสมุห์บุญขาน อาจารขฺติโก วัดสนามเหนือ อ.ปากเกร็ด นนทบุรี) ขนานที่ ๘ ท่านให้เอา หัวหอมสด ๓ หัว น้ำมาเคี้ยวให้แหลก อมสุราผสมกันในปาก ใช้พ่นที่ศีรษะของเด็กที่เป็นโรคซางชักนั้น ๓ ครั้ง มีสรรพคุณแก้โรงซางชักได้ผลดี อย่างชะงัดนักแลฯ (พระบุญเลิศ จนฺพลโร วัดบ้านลาด อ.หนองแค สระบุรี) ยาแก้เป็นตะคริว ขนานที่ ๑ ท่านให้เอาเกลือทะเล (เกลือใส่แกง) นำมารับประทานชั่วเวลาครู่หนึ่งเท่านั้น อาการเป็นตะคริวจะพลันหายไปทันที มีสรรพคุณอย่างชะงัดอย่างน่าอัศจรรย์แลฯ (จารุรัตน์ เลาฟไพฑูรย์ หนองแขม กรุงเทพมหานครฯ หมอชาวบ้าน)) ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา ขี้เถ้ากลางเตาไฟ น้ำมาผสมกับ น้ำมันก๊าด ใช้ทาบริเวณอวัยวะ ที่เป็นตะคริว ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (พระทองพูน ชยาลงฺกาโร วัดบ้านกลาง อ.เสาไห้ สระบุรี) ขนานที่ ๓ ท่านให้เอา น้ำมันก๊าด นำมาทายังบริเวณอวัยวะ ที่เป็นตะคริวแล้วบีบนวดคลึง ประมาณ ๕ นาที อาการเป็นตะคริวที่ขาและที่ท้องจะพลันหายไปเคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้ว มีสรรพคุณอย่างชะงัดนักแล (วิทยาทานสงวนนาม) ยาแก้เมาเห็ด ท่านให้เอาใบชุมเห็ด นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยา รับประทาน มีสรรพคุณแก้อาการเมาเห็ดให้หายไปได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ (เพิ่มพร ลักษณะสูต บางละมุง ชลบุรี หมอชาวบ้าน) ยาแก้โรคสะอึกชักตาเหลือกไม่รู้ตัว ท่านให้เอา เมนธ่อล พอสมควร นำมาละลายกับน้ำร้อน รอให้น้ำยาพออุ่นๆใช้กรอกปาก คนป่วย เพียงชั่วครูเดียวเท่านั้น โรคสะอึกมีอาการชักตาเหลือกไม่รู้ตัว จะพลันหายไป เป็นปลิดทิ้ง มีสรรพคุณอย่างชะงัดนักแลฯ (วิทยาทานสงวนนาม) วิธีแก้คนถูกไฟฟ้าชอร์ต ท่านให้นำเอาตัวผู้ป่วย (ที่หมดสติแล้ว หรือแม้จะไม่หายใจแล้วก็ตาม) นั้นให้นอนหงาย บนแผ่นสังกะสี (ที่ยาวตลอดตัวผู้ป่วย) แล้วช่วยกันเอาน้ำเย็นเทรด ร่างกายของผู้ป่วยนั้น ให้ทั่วตัว โดยเทน้ำซ้ำๆให้มากๆ ระวังอย่าให้น้ำเข้าปากจมูกของผู้ป่วย กระแสไฟฟ้าจะ ไหลออกจากร่างกายของผู้ป่วยนั้นลงสู่แผ่นสังกะสีที่เป็นสื่อ ชั่วเวลาไม่เกิน ๓๐ นาที คนป่วยนั้นจะฟื้นขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ได้เคยช่วยแก้คนไฟฟ้าชอร์ตมาแล้ว ได้ผลดี อย่างชะงัดนักแลฯ แต่ต้องรีบแก้ไขทันที อย่างช้าต้องไม่เกิน ๑ ชั่วโมงนับตั้งแต่ถูกไฟ ฟ้าชอร์ต และเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว ให้รีบนำตัวผู้ป่วยนั้นส่งโรงพยาบาลรักษาต่อไปฯ (นายสละ แสงวิภาต อ.บ้านแพ้ว สมุทรสาคร) (ข้าพเจ้าก็เคยทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้จากคนทำงานไฟฟ้ามาเหมือนกัน.....แก้วประเสริฐ.) เอาล่ะครับวันนี้เอาเท่านี้ก่อนนะครับ ต่อไปจะเป็นหมวดยาบำบัดโรคภายท้อง ตาลายหมดแล้วครับ เพื่อผลานิสงฆ์อาจจะมีแก่ข้าพเจ้า อิอิ แก่ๆแล้วก็ถือว่าสร้างบุญไว้ ต่อไป ชาติหน้าคงจะไม่เป็นโรคภัยเบียดเบียฬอีก วันนี้เอวังก็มีด้วยประการฉนี้แลฯ * แก้วประเสริฐ. *