อทิสมานกาย ๖๔ เช้าวันรุ่งขึ้นคนในบ้านกำนันมั่นต่างตื่นกันหมดแล้ว ส่วนบรรดาสามสาวๆก็รีบเดินทางกลับบ้าน ไปเอารถมาเพื่อนำนางสร้อย ไปหาหมอที่อนามัยเย็บบาดแผล คงเหลือ พวกสาวบางคนเท่านั้นที่ยังยืน ดูสภาพบ้านพร้อมกับกำนันมั่นและพวกไอ้แม้น ไอ้สน ไอ้เบี้ยว ทุกๆคน ต่างได้รับบาดเจ็บไปตามๆกัน แม้แต่กำนันมั่นเอง เมื่อได้รับการรักษา บาดแผลที่ไม่มากนัก กำนันมั่นก็เอ่ยขึ้นว่า “ฉิบหายกันหมดแล้วบ้านมันพังทะลายทั้งหลัง เหลือเพียงหลังเล็กๆ ที่ไม่ติดกับบ้านใหญ่หลังเดียว ใช้เป็นที่เก็บของเสียด้วย” กำนันบ่นให้พวกๆที่ยืนมองดู ครั้นมองดู หันซ้ายมองขวาก็เหลือบแลเห็น ก็ตะโกนเรียกลูกชายซึ่งกำลังคุยอยู่กับเพื่อนๆของมัน “ไอ้แม้นโว้ย???... มึงรีบพาพวกมึงมาหากูด่วนด้วย” กำนันนึกถึงของที่ยังซุกซ่อนอยู่ที่ห้องใต้ดินที่บ้านมันพังทับอยู่ได้ หากมีตำรวจหรือพวกอำเภอมาตรวจพบเรื่องก็จะบานปลายขึ้นไปอีก “มีอะไรหรือพ่อ???...” เสียงไอ้แม้นตะโกนตอบ พร้อมมันและพรรคพวก ก็รีบเดินมาหา “มึงกับพวกรีบรื้อบ้านโดยด่วน ของทั้งหมดยังเก็บไว้ในห้องใต้ดินใต้บ้านอยู่ ให้มึงรีบขนนำไปไว้ที่อื่นชั่วคราวก่อน ประเดี๋ยวพ่อมึงก็คงจะมาแน่นอนด้วย เสียงมันระเบิดดังลั่น ป่านนี้ชาวบ้านคงจะรีบแห่มาดู แล้วอาจจะถึงพวกอำเภอ หรือตำรวจด้วยว๊ะ” กำนันมั่นรีบสั่งลูกชายมันทันที ครั้นไอ้แม้นได้รับฟังพ่อมันพูดก็นึกขึ้นได้ว่า ห้องใต้ดินที่เก็บของนั้นอยู่ในห้องเล็กติดกับบ้านใหญ่ที่พังทะลายลงมาพร้อมๆ กันด้วยใต้ซากบ้านที่พัง ทับห้องเล็กๆนั้น ใช้เป็นที่เก็บของมีห้องใต้ดินอีกทีหนึ่งเอาแคร่นั่งมาวางบังไว้ เวลาจะเอาของก็งัดเอาฝาที่ทำไว้ใต้แค่ออกจะเป็น ทางเดินไปยังห้องใต้ดินใช้เป็นที่เก็บยาเสพย์ติดจำนวนมากล้วนเป็นชนิดชั้นดีๆ และยังมีอาวุธปืนต่างๆอีกมาก ไอ้แช่มกับไอ้อ๊อดมันอาศัยอยู่ดูแลของนั้นๆ บัดนี้ห้องเล็กๆนั้นถูกบ้านใหญ่พังทะลายมาทับด้วย ห้องเล็กนั้นอยู่ใต้พื้นบ้าน ชั้นบน ดังนั้นมันจึงเรียกไอ้สน ไอ้เบี้ยว ไอ้แช่มและไอ้อ๊อดซึ่งได้รับบาดเจ็บ แค่ผิวกายเท่านั้น มาแล้วแจ้งให้พวกมันทราบ “ไอ้สน ไอ้เบี้ยว ไอ้แช่ม ไอ้อ๊อด พวกมึงมานี่เร็วๆ รีบลงไปยังห้องใต้ดิน นำของไปแอบซ่อนที่ในป่าก่อนโว้ย เดี๋ยวพวกพ่อๆมึงจะมา หากเจอฉิบหายกันใหญ่ว๊ะ” ไอ้แม้นหันไปกล่าวกับพรรคพวกทันที “ไอ้แช่ม ไอ้อ๊อด มึงรีบไปเอาชะแลงและของที่ในห้องเล็กๆ ที่ไม่พังข้างบ้านนั้นมาเร็วๆด้วยโว้ยมาช่วยรื้อของออก เอาแค่ทางเดินไปยังห้องใต้ดินที่พวกมึงพักนั้น ส่วนข้ากับไอ้เบี้ยวจะไปช่วยกันลากเศษไม้ที่ทำได้ก่อนว๊ะ” ไอ้สนกล่าว “มิฉนั้นเรื่องมันจะยุ่งกันใหญ่ แล้วเสร็จก็ให้รีบขนถ่ายไปกองไว้ในป่าข้างบ้าน ชั่วคราวไว้ก่อนด้วยนะโว้ย” ไอ้แม้นกำชับอีกที โดยมีกำนันมั่นคอยควบคุมดูแล ครั้นไอ้แช่มและไอ้อ๊อดรู้เรื่องนี้ด้วยมันนอนเฝ้าอยู่ทุกๆคืนวัน จึงรีบเดินออกไป เพื่อเอาของมาเพื่อรื้อซากที่พังไปนำของที่ห้องใต้ดินออกมา มันรู้ว่าหากช้าอะไร จะเกิดขึ้นแก่พวกมัน แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงรถยนต์หลายคันก็วิ่งเข้ามาในบ้านทันที กำนันมั่นถึงกับตกตลึงจังงังไปเลย ด้วยรถนั้นเป็นรถของทางอำเภอและของตำรวจสี่ห้าคัน ร่างที่ก้าวลงมาคนแรกคือสารวัตรชัชวาลย์ ตามติดมาด้วยผู้กองทั้งสองและตำรวจอีกหลายๆนายทะยอยกัน ลงมาจากในรถ พร้อมๆกับทางด้านอำเภอ นายอำเภอคนใหม่และพวกก็ทะยอยต่างเดินมายังสถานที่เกิดเหตุทันที กำนันเห็นดังนั้นใบหน้าก็ซีดเผือดทันทีแต่ก็พยายาม ทำสีหน้าให้เป็นปกติ ก้าวเดินเข้าไปหานายอำเภอและเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายอำเภอคนใหม่ก็ถามขึ้นทันที “กำนันมั่น เกิดอะไรขึ้นหรือบ้านถึงได้พังทะเลายลงมาเช่นนี้???...” นายอำเภอถาม สารวัตรชัชวาลย์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็เอ่ยขึ้นบ้างว่า “กำนันขอให้ทุกๆคนออกจากบริเวณซากบ้านนี้ให้หมด ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจจะได้ชัณสูตร หาหลักฐานด้วยนะ” “ครับท่านนายอำเภอและสารวัตร” กำนันมั่นตอบ แต่ดวงตาและสีหน้าค่อนข้างจะเปลี่ยนสี แต่ก็ระงับไว้ได้ตามนิสัยที่เคยมีประสบการณ์มา พลางหันไปทางเด็กๆทันที “เฮ้ยๆๆๆๆ!!!..... พวกมึงทั้งหมด ออกจากซากบ้านได้แล้วโว้ย เจ้าหน้าที่เขาจะได้มาตรวจสภาพเพื่อประกอบหลักฐานต่อไป” ครั้นไอ้แม้นไอ้สนไอ้เบี้ยวและพรรคพวก ได้ยินพ่อกำนันกล่าวเช่นนี้ มันรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไอ้แม้นก็กล่าวกับพรรคพวกว่า “เฮ้ย!!!???... พวกเราเหตุการณ์ชักไม่สู้ดีแล้วโว้ย เพราะหากตำรวจค้นก็จะเจอของแน่นอนว๊ะ ฉะนั้นพวกเราหาทางหลบไปก่อนจะดีกว่า ทางนี้ให้พ่อกูจัดการเอง” “จริงของมึงว๊ะไอ้แม้น แล้วค่อยหาทางแก้ไขทีหลังก็ยังไม่สายไป หากตรวจค้นเจอมึงเอ๋ย???....ทั้งหมดเลยนะโว้ย” ไอ้สน ไอ้เบี้ยวเอ่ยขึ้น ดังนั้นทั้งหมดจึงเดินหลีกเลี่ยงออกไปทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ผ่านตำรวจ ที่กำลังใช้ผ้าแถบสีล้อมรอบบริเวณบ้านที่พังทะลายทันที มันทั้งหมดค่อยทะยอยแล้วหันไปทางนางแจ๋วแช่ม ช้อย พลอยที่ยืน จับกลุ่มคุยกันนั้นมันทั้งหมดเดินเข้าไปทำเป็นคุยด้วย แล้วบอกให้ ทุกๆคนต่างหาทางหลบหนีไปก่อน ทั้งหมดจึงได้จูงมือคนละคู่ ค่อยๆเลี่ยงออกจากบ้านไป แต่ไอ้แช่มกับไอ้อ๊อดก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงกำนันเรียกมัน “มึงไอ้แช่มไอ้อ๊อดมาหากูเป็นเพื่อนหน่อยโว้ย มาช่วยกูพยุงตัวด้วยว๊ะ” ไอ้แช่มไอ้อ๊อดต่างหันมามองหน้ากัน นึกในใจว่าซวยกูแล้วล่ะว๊ะ แต่ไม่พูดอะไรเดินเข้าไปพยุงร่างกำนันที่รู้สึกว่าสะโพกคราก แล้วเดินนำหน้านายอำเภอตำรวจไปชี้ที่เกิดเหตุทันที นายอำเภอและสารวัตรเดินตามกำนันไปเพื่อฟังกำนันอธิบายให้ฟัง “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับท่านว่าเป็นเรื่องอะไร กำลังนอนอยู่ ก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียง ระเบิดบนหลังคาบ้าน ประมาณสองสามลูกได้ครับ แล้วมันก็เกิดระเบิด มีลูกหนึ่งทะลุพื้นบ้านลงไปข้างล่างถึงจะระเบิดครับ ผมต้องรีบเผ่นหนีออกมาทันที ไม่รู้ว่าใครมันคิดจะปองร้อยผม ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่เคยผิดใจกับใครๆเลย” กำนันมั่นตอบพร้อมทั้งอธิบายชี้ไปยังซากสลักหักพังด้วยกัน “อ้าวไม่ผิดใจกับใครบ้างเชียวหรือ กำนันลองนึกทบทวนดูซิกำนัน” สารวัตรเอ่ยขึ้น “รับรองครับสารวัตรผมไม่เคยมีเรื่องกับใครๆทั้งสิ้น ทำหน้าที่กำนันด้วยความยุติธรรมเสมอๆ” “เอ๊!!!!....ก็แปลกนะอยู่ๆคนจะมาถล่มบ้านได้หรือ???... แต่ดูตามสภาพแล้วต้องเป็นอาวุธร้ายแรงเสียด้วยซิกำนัน” “นั่นซิกำนันลองนึกทบทวนดูหน่อยนะ” นายอำเภอเสริมทันที “สารวัครครับ มาทางนี้ดูอะไรหน่อยครับ???...” เสียงผู้กองร้องเรียก “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ สงสัยจะพบหลักฐานเพิ่มเติมอีกครับ” สารวัตรกล่าว แล้วก็รีบเดินผละไปหาผู้กองจำลองทันที ผู้กองจำลองยื่นปลอกอาวุธต่างๆ พร้อมหลักฐานบางอย่างให้สารวัตรดู “นี่มันปลอกอาวุธเอ็ม 79 นี่นา อ้าวแล้วนี่ก็เป็นปลอกลูกปืนอาก้า ทั้งหมด นี่หลักฐานอะไรหรือคุณลองพิจารณาดูหน่อยซิผู้กอง” สารวัตรกล่าว “ปลอกอาวุธนั้นใช่ครับด้วยผมเคยไปผจญมาแล้วเมื่อครั้งไป จับกุมไม้เถื่อนมา ส่วนอันนี้มันทำตกหล่นไว้ ผมยังไม่ได้แก้ดูเลย นำมาให้สารวัตรดูก่อน” ผู้กองเอ่ย พร้อมก็ค่อยๆแกะห่อผ้าที่ล่วงทำหล่นไว้ ข้างในเป็นกระดาษพับสี่เหลี่ยม หลายๆชิ้น จึงแกะเอามาชิ้นหนึ่ง ปรากฏว่าภายในเป็นผงสีขาวๆ จึงนำมาดมและแตะยังริมฝีปาก พลางอุทานขึ้นมา “ยาเสพย์ติดครับสารวัตร เป็นผงเฮโรอินครับ” ผู้กองจำลองเอ่ย “หรือว่าจะมีการหักหลังกันขึ้นในเรื่องนี้แน่นอน มันถึงได้มาถล่มบ้านกำนัน อาวุธร้ายแรงนี้ไม่ใช่ของทางฝั่งเรา นิยมใช้ในฝั่งโน้นเสียด้วย ชัดเจนแน่นอนผู้กอง กำนันคนนี้ต้องร่วมมือทำงานผิดกฏหมายแน่ ผู้กองสั่งให้เจ้าหน้าที่ค้นให้ละเอียด ผมสงสัยในซากนั้นอาจจะมีที่ซุกซ่อน อีกก็ได้ไม่แน่นะ” สารวัตรเอ่ย “แต่เรื่องนี้ผู้กองเก็บซ่อนไว้ก่อนอย่าให้กำนันรู้ ให้นำกำลังที่ ตรวจคนรอบนอกมาช่วยกันรื้อซากบ้านออกดูก่อนซิ มีพิรุธอะไรบ้าง???...” ครับสารวัตร แล้วผู้กองก็เดินไปกระซิบกับผู้กองจรัสทันที ดังนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่กำลังค้นหาหลักฐานด้านนอก ก็เข้ามาช่วยกันรื้อซากบ้านทันที สารวัตรก็เดินไปหานายอำเภอกระซิบ เบาๆ นายอำเภอก็ให้ปลัดคอยคุยกับกำนันก่อน เดินหลีกออกมากับสารวัตร พอห่างกับกำนันคิดว่าพอควรแล้ว สารวัตรก็ควักเอายาเสพย์ติดออกมา ให้นายอำเภอดู พร้อมปลอกกระสุนต่างๆ เมื่อนายอำเภอเห็นและดมเท่านั้นก็ไม่กล่าวอะไรเพียงหันไปยิ้ม แล้วพยักหน้ารู้กันระหว่างสารวัตรทันที กระซิบเบาๆว่าสารวัตรจัดการได้เลยครับผมจะเป็นพยานให้ แล้วก็ผละไปหาปลัดอำเภอประวิงเวลาคุยกับกำนันต่อไป สารวัตรก็เดินไปหาผู้กองจรัสให้นำคนเข้าไปคุยกับนายอำเภอ เพื่อประกบตัวกำนันไว้และกระซิบบอกเรื่องราวต่างให้ผู้กองจรัสทราบ ดังนั้นสารวัตรก็ทำเป็นเดินเตร่ไปเตร่มาทำเป็น ตรวจสอบสถานที่ ผู้กองจรัสก็กระซิบกับตำรวจสามนายพร้อมเดินยิ้มไป หานายอำเภอและปลัดอำเภอ กำนัน ต่างคุยกันในเรื่องทำไม เหตุใดกำนันถึงโดนถล่มเช่นนี้ พลางทำเป็นหัวร่อพลาง “ผมคิดว่ากำนันนี่ดีออกอย่างนี้ที่พูดไว้นั้น ไม่น่าเลย อาจจะมีการเข้าใจผิดกันก็ได้นะหรือว่า นายอำเภอ คุณปลัดคิดว่าอย่างไรหรือ???” ผู้กองจรัสเอ่ย ทำให้น้ำขุ่นค่อยๆใสขึ้นบ้าง “นั่นซิครับผู้กองผมเองก็ไม่เคยไปมีเรื่องอะไรนอกจากช่วยเหลือ คนในหมู่บ้านตามฐานะที่พอจะช่วยเหลือครับ งานวัดหรือก็ทำบุญทอดกฐินแทบจะทุกๆปีเชียวครับ” “อ๋อๆๆๆใจบุญสุนทานด้วยนะกำนัน นั่นซิผมก็นึกไม่ออกจริงๆ มันมาถล่มบ้านกำนันไปทำไมกันในเมื่อกำนันเป็นคนดีนี่นา” ผู้กองเอ่ยขึ้น “ผมก็ว่าคงเป็นการเข้าใจผิดกระมังผู้กอง” นายอำเภอเสริมทันที เมื่อกำนันมั่นได้ยินการสนทนาเช่นนี้ใบหน้าก็เริ่มจะดีขึ้นด้วยคิดว่า ทางตำรวจและด้านนายอำเภอคงไม่รู้เรื่องราวอะไร จึงวางใจที่เชื่อคำพูดมัน มันจึงแสดงอาการออดอ้อนทันที “คิดดูซิครับผู้กองนายอำเภอ ใครเดือดร้อนขัดสนเงินทอง ผมมีผมก็ให้ทุกๆคนไม่เคยเกี่ยงอะไรเลย เขาจะเอาที่ดินมาวางจำนำผม ผมบอกว่าไม่ต้องเราคนหมู่บ้านเดียวกัน เดือดร้อนก็พึ่งพาอาศัยกันเงินทองแค่นี้มีแล้วค่อยเอามาคืน ผมก็ช่วยไปหลายสิบรายแล้วครับ ไม่น่าเลยจะมาถล่มบ้านผมได้คงจะไม่ใช่ คนในหมู่บ้านนี้แน่นอนครับท่าน” กำนันเอ่ย “ผมมาคิดๆดูก็คล้อยตามกำนันนั่นแหละ หรือว่าไงครับนายอำเภอ” ผู้กองยิ้มแย้มกล่าวไปทางนายอำเภอ “นั่นซิเมื่อกี้นี้สารวัตรก็ให้ผมดูแล้วหลักฐาน ปลอกอาวุธ มันเป็นของพวกฝั่งโน้นทั้งหมด ก็หมายความว่ามันอาจจะจำคนผิดก็ได้นา” “อืมมๆๆๆ????.....แปลกจริงนะนายอำเภอ ผมก็งงต่อเหตุการณ์นี้ด้วย” “กำนันแล้วลูกชายกำนันชื่ออะไรหรือ???...” ผู้กองถาม “อ้อๆเขาชื่อแม้นครับ แต่มันเป็นเด็กดีนี่ครับไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย นอกจากช่วยพ่อแม่ทำงานในไร่เท่านั้น ผู้กองเชื่อใจได้ลูกคนนี้ครับ” กำนันมั่นเอ่ย แล้วพร้อมจรรนัยสิ่งต่างๆให้ผู้กองและนายอำเภอฟัง “ยิ่งแปลกเข้าไปกันใหญ่ แล้วบรรดาสาวๆล่ะกำนันมามัวสุมที่บ้านกำนันด้วย หรือแล้วมาทำอะไรหรือกำนัน ” ผู้กองซักถามต่อ ด้วยเห็นบรรดาสาวๆค่อยทะยอยกันออกจากบ้านไปกับหนุ่มๆ ด้วย จนเหลือกำนันและพวกสองคนเท่านั้น “เขามารับจ้างช่วยทำงานบ้านให้ครับผู้กองและเด็กๆหนุ่มที่ผู้กองเห็นนั้น ปกติทำงานในไร่ เขาตกใจก็มาดูเหตุการณ์คงเห็นเจ้าหน้าที่มา ตรวจสอบก็จึงได้เลี่ยงกันกลับบ้านไปแล้วครับ” “นั่นนะซิพอเห็นพวกผมมาก็ค่อยทะยอยเดินเป็นคู่ๆออกไปกันสังเกตุเห็น” “เขาคงคิดว่าคงไม่ใช่ธุระสำคัญอะไรจะทำงานได้อีกแล้ว ด้วยบ้านผมมันพังไป เลยไม่ได้มารับจ้างทำงานครับ” กำนันเอ่ย แล้วหันหน้าเหลียวซ้ายแลขวา เพื่อมองหาลูกชายมัน ก็ได้ยินเสียงถามมาอีก “อ้าวแล้วลูกชายกำนันชื่อแม้นนะไปไหนเสียล่ะ บ้านพังแบบนี้น่าจะอยู่ดูแลพ่อนะ” “ตอนตีห้าผมให้ไปดูที่ไร่ครับ ด้วยไม่มีคนมารับของมีพ่อค้ามารับของ หากเสร็จ ก็คงจะมาแหละครับ ผมใช้มันไปเองปกติมันจะคอยเก็บเงินค่าของในไร่แล้วนำมา ให้ผมครับ” “อืมมมๆๆ...นับว่าเป็นเด็กที่ใช้ได้นะ แต่ไม่เป็นไรหรอกมีกำนันเพียงคนเดียวก็พอ” “นับได้ว่ากำนันเป็นคนทำมาหากินโดยสุจริตจริงนะท่านนายอำเภอ” ผู้กองหันไปสนทนากับนายอำเภอ นายอำเภออมยิ้มไม่ได้ว่ากล่าวอะไรก็พยายามหา เรื่องสนทนากับกำนันมั่น ส่วนตำรวจสามนายที่ยืนข้างหลังผู้กอง ต่างแยกกันคุมเชิงอยู่ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ บ้างก็ควักบุหรี่มาสูบ บ้างก็ชี้ให้พวกดู ตำรวจที่กำลังรื้อเศษไม้เพื่อค้น หาหลักฐานเพิ่มเติม “เอ้ๆๆๆ...ทำไมตำรวจต้องรื้อไม้ถึงขนาดนี้ล่ะครับ” กำนันชักเอ๊ะใจขึ้นมาบ้าง หันไปถามผู้กอง “อ้อๆๆ...ไม่มีอะไรหรอกกำนันคงจะหารอยสะเก็ดระเบิดที่กำนันบอกว่ามันหล่นจาก หลังคาบ้านทะลุพื้นมาระเบิดข้างล่างนะ ว่าเป็นระเบิดอะไรถึงได้รุนแรงยิ่งนัก” “นั่นซิผมเลยชักสงสัย อ้อแบบนี้นี่เอง” กำนันตอบพลางหันไปมองการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สาระวนในการค้นหาตรวจสอบ ทันใดนั้นเสียงตำรวจที่กำลังรื้อค้นก็ร้องตะโกนบอกสารวัตรทันที “สารวัตรครับที่พื้นห้องมีห้องใต้ดินอีกครับ จะให้เข้าไปทำการตรวจค้นไหมครับ???...” “จัดการเข้าไปได้เลยจ่า นำพวกลงไปด้วยนะ” สารวัตรสั่งทันที “โอ้โฮๆๆ....สารวัตรครับของเพียบเลยครับ แน่นไปหมดครับ” เสียจ่าตะโกนขึ้นมา “งั้นเอาออกมาตรวจสอบหลักฐานให้หมด นายดาบให้นำกำลังพลลงไปช่วยขนด้วยนะ” สารวัตรหันไปสั่งนายดาบทันที ผู้กองและนายอำเภอมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม ทันใดนั้นเองตำรวจสามนายก็พุ่งตัวเข้า ชาร์ทกำนัน ไอ้แช่มและไอ้อ๊อดทันที เสียงฉับๆๆ ดังนั้น ร่างของกำนันบัดนี้หน้าตาซีดไม่มี สีเลือดเอาเสียเลย ส่วนไอ้แช่ม ไอ้อ๊อดพยายามดิ้นรนเพื่อหาทางหลบหนีไป หน้ามัน ก็ซีดเผือด มันรู้ว่าตำรวจได้พบอะไรบ้าง มันนึกในใจฉิบหายก็คราวนี้แหละ ไม่น่าเลยทำเป็นหวงไม่ยอมนำไปเก็บที่อื่น คิดว่าตัวเองใหญ่โตคงจะไม่มีอะไรกับแก กูก็พลอยซวยไปด้วยมันนึก ของทั้งหมดนำออกมารวมๆกันไว้ยังที่ลานกว้างเป็นพวกยาเสพย์ติดต่างๆสุมกองโตตลอด จนอาวุธปืนต่างๆอีกมากมาย พวกตำรวจก็พากันถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐานทันที สารวัตรสั่งงานให้ผู้กองจำลองคอยตรวจนับสิ่งของ แยกอาวุธกับยาเสพย์ติดออกจากกัน แล้วเดินเข้ามาหานายอำเภอปลัดและกำนันทันที “ว่าไงกำนันของทั้งหมดนี้เป็นของกำนันหรือเปล่าล่ะ เห็นบอกว่าเป็นคนทำงานสุจริตนี่นา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำบุญสุนทานตลอด แล้วลูกชายและพรรคพวกลูกชายหายไปไหนหมดล่ะ ผู้กองจรัสสอบปากคำรายละเอียดคนในบ้านให้หมดทุกๆคนด้วยนะ เดี๋ยวผมจะนำนายอำเภอ และคุณปลัดไปดูของสักหน่อย” “ครับสารวัตร” แล้วนำตัวกำนันและพวกแยกออกจากกันทำการสอบสวนโดยแบ่งเจ้าหน้าที่ออกสอบสวน ทันที สักครู่หนึ่งพวกนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและจังหวัดก็นำรถวิ่งเข้ามาในบริเวณบ้าน แล้วพากันถ่ายรูปของที่ยึดมาได้ ถ่ายรูปกำนันและพวก ตลอดบริเวณบ้านและนายอำเภอ ปลัดอำเภอ ตลอดจนสารวัตรผู้กองทั้งสอง พร้อมขอสัมภาษณ์ทันที “พวกคุณรอก่อนนะครับให้ผมทำงานเสร็จก่อนแล้วจะให้สัมภาษณ์ครับ” สารวัตรเอ่ย ดังนั้นพวกหนังสือพิมพ์ต่างก็แยกย้ายติดตามาสารวัตรผู้กองนายอำเภอปลัดไปติดๆถ่าย ภาพไปด้วย เมื่อนายอำเภอและปลัดเห็นดังนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่อำเภอทำการถ่ายภาพและ เขียนรายงานอย่างละเอียดเพื่อจะได้เสนอผุ้บังคับบัญชาชั้นสูงต่อไป........... * แก้วประเสริฐ. *
อทิสมานกาย ๖๓ เสียงคำรามของรถมอเตอร์ไซค์กึกก้องไปในบริเวณทางที่ทอดไป สู่หมู่บ้านบางกระดี่ หน้าไฟรถส่องแสงนำทางพอมาถึงระยะทางหนึ่ง เสียงคนในกลุ่มคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราหยุดตรงนี้ก่อนนะ มาปรึกษากันก่อน ด้วยสถานที่นี้ปราศจาก คนสัญจรไปมา ในเรื่องของเรานะ ข้าคิดไปในระหว่างเดินทางว่าหากเรา จะบุกเข้าไปทั้งหมดเห็นจะไม่ดีงามเป็นแน่ ด้วยจะพากันเดือดร้อนไปทั่วทั้งยังทำให้พ่อกำนันต้องกังวลอีกด้วย การอยู่อย่างสงบของหมู่บ้านทั้งสองก็จะต้องเกิดการระวังตัวกันเองขึ้นมา” เสียงของไอ้เปล่งเอ่ยด้วยอาการปกติ ซึ่งมันแค่เพียงยิ้มรับเท่านั้น หากวันใดมันกล่าวย่อมหมายถึงมีทั้งเหตุและผล ดังนั้นทุกๆคนจึงเชื่อคำพูดของมันนัก รถต่างหลบกันเข้าข้างทางบริเวณ ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไอ้ตี๋ใหญ่ก็เอ่ยว่า “เอาตรงนี้แหละว๊ะ มันได้ครึ่งทางพอดีหรือไม่มากไม่น้อยหรอก” “เออๆๆดีเหมือนกัน จะได้ปรึกษาหารือกันว่าจะเอาอย่างไรดีและก็จะดูอาวุธ ที่ไอ้เปล่งมันนำมาด้วยมันเอาอะไรมาบ้าง???....” ครั้นทั้งหมดจอดรถโดยเปิดไฟหน้ารถส่องมารวมกันไว้ พวกหนุ่มๆ หมู่บ้านบางโคก็เข้ามาล้อมวงสนทนาแสดงความคิดเห็นกัน ไอ้เปล่งก็หอบหิ้วกระเป๋าทั้งสามใบเดินถือเข้ามาทันที “สิ่งที่ข้าคิดนั้นมันจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนกันทั้งสองหมู่บ้านด้วย อีกอย่างหนึ่งไอ้ชวนก็ไม่ต้องกังวลใจอะไรมากนัก พ่อกำนันหวนหรือก็จะได้สบายใจ คือว่า พวกเราเมื่อไปถึงแล้วก็ต่างกระจายกันไป โดยจะไม่เข้าไปในบ้าน แต่เราจะส่งของนี้ไปให้มันเท่านั้น” ไอ้เปล่งกล่าวลอยๆ “ไอ้ที่มึงบอกบอกของส่งไปนั้นอะไรโว้ย????.....” ไอ้ตี๋เล็กก็ถามขึ้นมาบ้าง “เดี๋ยวมึงก็จะได้เห็นหรอกไอ้เปล่งนิสัยอย่างไรพวกเราก็รู้แล้วนี่นา” ไอ้ชื่นกล่าว เมื่อทั้งหมดเห็นไอ้เปล่งเทกระเป๋าออกมา ทุกๆคนต่างร้องกันลั่น “เฮ้ยๆ!!!มึงนะมึง???... มึงเล่นถึงขนาดนี้เลยหรือว๊ะ” ไอ้กุ๋นเอ่ยบ้าง “นี่มันอาวุธฝั่งโน้นกับของเรานี่หว่า มึงเก็บไว้เมื่อไหร่ว๊ะไอ้เปล่ง” ไอ้วาสอุทาน “ข้าสั่งให้ไอ้เปล่งรวบรวมรับซื้อไว้นะพวก ไม่น่าตกใจอะไรหรอก ด้วยข้าเชื่อไอ้เปล่งมันรักษาของได้อีกอย่างหนึ่งเราจะไปรู้หรือว่างานที่ พ่อกูทำนั้น อาจจะต้องใช้พวกนี้ก็ได้นี่นา ไม่วันใดก็วันหนึ่งว๊ะ กูทำกัน สองคนหลังจากที่ข้าปรึกษากับ มันว่าให้มันหาสิ่งของเหล่านี้ โดยให้มันไปซื้อที่ชายแดนฝั่งโน้นมาและยังมีของอีกมากมายนัก แต่เหตุการณ์อย่างนี้ไอ้เปล่งมักจะวางแผนอยู่เสมอๆๆกูเชื่อมันมากว๊ะ” เสียงหนุ่มชวนเอ่ยให้บรรดาพวกๆฟัง “นี่ๆๆๆ....มันเอ็ม 79 นี่นา โน่นระเบิดมือ ไอ้นี่ปืนอาก้า โน่นหรือกระสุนทั้งนั้นแล้วมึงเอามาคนเดียวไม่หนักบ้างหรือไงว๊ะ” ไอ้ตี๋ใหญ่อุทาน “ มึงไม่ต้องถามมากหรอกว๊ะพวก เดี๋ยวฟังกูอธิบาย ในกระเป๋าใบเล็กๆนั้น มีเครื่องมือไฟฟ้าใช้สำหรับตัดกระแสไฟรวมทั้งอุปกรณ์ทั้งหมด ไว้ให้ไอ้วาสมัน ด้วยมันเคยทำงานให้พวกไฟฟ้ามาแล้ว เมื่อทางไฟฟ้านำสายเดินไปตามหมู่บ้านต่างๆนะ” ไอ้เปล่งบอก “ไอ้เรื่องตัดกระแสไฟฟ้านั้นกูคิดว่าไม่เป็นปัญหาหรอกว๊ะ แต่กูสงสัยเหลือเกินทำไมต้องตัดกระแสไฟฟ้าด้วย” ไอ้วาสเอ่ยถาม “เดี๋ยวพวกมึงอย่าสงสัยอะไรนัก ฟังกูอธิบายก่อนนะโว้ย คือว่า เมื่อเราเดินทางไปถึงบ้านกำนันมั่นมันแล้ว ในระยะทางเกือบครึ่งกิโลก็ดับเครื่องให้หมด แล้วเข็นมันไป หาที่เก็บไว้ในป่าแถบโน้นแล้ว เดินแบกอาวุธอุปกรณ์เดินทางไป ครั้นไปถึงก็แยกย้ายกันเข้า ล้อมบริเวณบ้านมันให้หมด กูจะตั้งระยะปืนเอ็ม 79 ให้ระยะทาง แบ่งออกเป็นสองช่วยคือช่วงแรกคลำหาเป้าก่อน ช่วงสองหวังผลในการยิงทำลาย ที่กูหมายไว้พวกมึงไม่ต้องเข้าไปในบ้าน กูได้ระยะแม่นยำแล้วกู ก็จะถล่มมันอีกหลายๆลูก รับรองว่าบ้านมันพังฉิบหายไปหมด แทบจะไม่เหลือ คนอยู่หรือคิดว่าไม่ตายก็บาดเจ็บเอามากๆด้วย เมื่อกูได้ระยะ แม่นยำแล้ว ก่อนลงมือให้ไอ้วาสขึ้นไปบนสายไฟที่จ่ายกระแสไฟคอยรับ สัญญาณจากกู ไอ้ชวนบอกว่าเห็นพวกมันนั่งกินเหล้าหน้าบ้าน ใต้ต้นมะขามใหญ่มีดวงไฟอยู่ด้วย เมื่อกูถล่มบ้านมันแล้ว พวกมันจะสงสัยเพียงกระแสไฟฟิวส์ขาดเท่านั้นเมื่อ กูถล่มนัดแรกเบิกทาง พวกมึงทั้งหมดก็จะได้รับรู้ว่านี่คือการเริ่มแล้วของพวกมึง หมายถึงสัญญาณเริ่มทำงานจากของกู ให้ไอ้วาสตัดกระแสไฟเพื่อให้มันมืด พวกมันจะไม่รู้ว่าพวกเราเป็นคนที่ไหน แล้วกูก็จะทิ้งสิ่งของว่าเป็น ของพวกค้าของเถื่อนเอาไว้หลอกพวกมันด้วย ครั้นไอ้วาสตัดไฟแล้ว กูก็จะเริ่มถล่มด้วยปืนเอ็ม 79 ทันทีหมายถึงกูคลำเป้าพบ แล้ว เพราะลูกแรกนั้นบอกระยะทางให้แก่กู กูก็จะปรับเอ็ม 79 ในระยะหวังผล และพวกมึงก็ยิงปืนอาก้าถล่มถูกผิดไม่สำคัญ ให้มันรู้ว่าได้ถูกพวกล้อมบ้านมัน หรือมันอาจจะคิดว่ามีพวกยกมาปล้น ถึงอย่างไรก็ตามกูกับไอ้ชวนปรึกษากันว่า เราไม่ต้องการจะฆ่ามันเท่าใดนัก พวกมึงเอากระสุนไปแยะๆไม่ต้องกลัวกระสุน มันหมดหรอกกูขนมาเพียบเลย การทำงานนี้เพื่อให้มันสำนึกว่าเคยทำกับคนอื่น นั้นเวลามาโดนเข้ากับตัวของพวกมันเองจะเป็นอย่างไรกันบ้าง อาจจะบางทีสงสัย ได้ชวน แต่มันไม่รู้ว่าเป็นใคร ที่ทำไปนี้หวังทำให้มันขวัญหนีดีฝ่อกันและ เพียงแค่ให้มันตกใจเล่นๆเท่านั้นเอง ส่วนใครบาดเจ็บหรือไม่ ช่างหัวพวกมัน พวกมึงไม่ต้องสนใจ พวกมันหรอก แต่แค่นี้คิดว่าคงจะไม่มีใครตายด้วยมันมืด ถึงตายก็ช่างหัวมันว่าดวงมันถึงฆาตว๊ะ พวกมึงที่ล้อมบ้านมันไว้ก็ระดมยิงมัน หากมีสัญญาณหยุดยิงคือสังเกตุเอ็ม 79 หมายความว่าทางกูหรือทางไอ้ชวนไม่ยิงเข้าไปแล้ว ก็ให้ล่าถอยออกมาทีละคน สลับแบบฟันปลา เผื่อว่ามันจะออกมายิงต่อสู้ก็ได้ เราจะประมาทพวกมันไม่ได้ หากมันมาก็ถล่มมันด้วยปืนอาก้านั่นแหละ ด้วยมันเสือรนหาที่ตายเอง ครั้นงานประสบผลสำเร็จแล้ว ต่างก็รีบหนีมารวมพลรอกันตรงนี้ทุกๆคน เมื่อครบถ้วนพร้อมแล้วก็กลับหมู่บ้านเราแต่อาวุธต่างๆมาให้กู กูจะได้ไปเก็บไว้ พวกมันจะไม่มีวันรู้หรอกว่าเป็นพวกเราหรือใครๆทั้งสิ้น จะรู้ก็เมื่อภายหลัง ด้วยทางปลอกอาวุธ หากสืบภายหลังแล้วเป็นอาวุธทางฝั่งโน้นทั้งสิ้น ด้วยปลอกกระสุนมันฟ้องในตัวของมันเอง เวลามีการสอบสวนภายหลัง เขาก็จะบอกว่าเป็นของทางโน้นใช้อาวุธแบบนี้กัน ทางฝั่งเราจะไม่มี การใช้ อีกอย่างหนึ่งทำให้ตำรวจต้องสงสัยกำนันมั่นทันทีว่า เหตุใดจึงถูกฝ่ายโน้นเล่นงาน หรืออาจจะเกี่ยวพันกับพวกของผิดกฏหมาย ซึ่งมันทำอยู่แล้ว หรืออาจจะบางทีพบร่องรายอะไรเพราะกำนันมั่นค้าของเถื่อน และจำหน่ายอีกด้วย มันเป็นลูกน้องของไอ้เสี่ยเม้งรับงานมาทำหลายปีคิดว่ากู และพวกมึงยังคงจะเป็นเด็กอยู่กระมังนะ ทำให้ตำรวจคิดว่ากำนันต้องทำงานนั้น แล้วหักหลังพวกฝั่งโน้น ทีนี้พวกมึงเข้าใจกันแล้วหรือยังล่ะ” ไอ้เปล่งอรรถาธิบายแผนการต่างๆทั้งการต่อสู้และทางหนีทีไล่ ให้พวกมันพร้อมเสร็จสรรพให้พวกมันได้รับรู้ฟังถึงแผนงานครั้งนี้ ทำให้บรรดาพรรคพวกล้วนแล้วต่างอ้าปากค้างกันไปตามๆกัน มันไม่คิดว่า ไอ้เปล่งปกติมันไม่ค่อยชอบพูดจาอะไรมากนักเลย แต่เวลามันวางแผน ช่างรัดกุมรอบคอบเสียเหลือกัน เกินกว่าพวกมันจะนึกถึงได้ คงมีเพียงแต่หนุ่มชวนคนเดียวที่รู้และเข้าใจไอ้เปล่งได้ดีคนเดียวเท่านั้นด้วย เคยผ่านการต่อสู้รบกันมามากต่อมากแล้ว คราวก่อนที่หลบหนีมาได้ก็ด้วย ความคิดของไอ้เปล่งนี่แหละถึงมีชีวิตรอดมาได้ทุกวันนี้ พลางเดินไปตบไหล่ กล่าวขึ้นว่า “เออข้าเห็นชอบด้วยคนล่ะโว้ย ขอบใจไอ้เปล่งมากนะ ที่ช่วยวางแผนการณ์ต่างๆให้เสร็จไม่ต้องมานั่งคิดให้เสียเวลากันไป” ไอ้เปล่งหันมายิ้มแต่ไม่กล่าวว่าอะไร หนุ่มชวนกล่าวแล้วหันไปมองหน้าทุกๆคนเอ่ยขึ้น “แล้วทุกๆคนเห็นชอบด้วยหรือเปล่าล่ะหรือว่ามีแผนดีกว่านี้ ก็รีบบอกมาจะได้เริ่มทำงานคิดว่าไม่อยากให้ดึกมากนักนะ” “ในเมื่อไอ้ชวนเห็นชอบในฐานะที่มึงเป็นหัวหน้าคนทั้งหมดอยู่แล้ว พวกกูจะมีปัญญาคิดอะไรได้หรือ ถึงจะคิดพวกกูคิดว่าคงไม่แนบเนียน เท่าไอ้เปล่งได้หรอกว๊ะ พวกกูนั้นมีเพียงแต่แค่ใจเท่านั้นว๊ะ เพียงคิดไม่ถึงว่าไอ้เปล่งมันจะเป็นขุนเบ้งในเมืองไทยนิ” ไอ้วาสเอ่ย “ขงเบ้งโว้ยไอ้ห่าวาส เสือกจะพูดดันพูดผิดอีก” ไอ้ตี๋เล็กหัวร่อก๊าก “เออๆๆๆ...จะขงแข็งอะไรก็ช่างเถอะว่ากูพูดไปแล้วนี่หว่า ขงเบ้งหรือว๊ะกูจะได้จำไว้โว้ยไอ้ห่ารากกิน” “เอาล่ะๆๆๆ???....เมื่อทุกๆคนไม่ขัดแย้งเรื่องนี้ก็เริ่มดำเนินการได้ว๊ะ แต่อาวุธเหล่านี้พวกมึงผ่านมาแล้วทั้งสิ้นนี่นาคงไม่เป็นปัญหาหรอก ไอ้เปล่งแจกอาวุธได้แล้วล่ะ” “ได้ไอ้ชวน” กล่าวแล้วไอ้เปล่งก็เดินแจกจ่ายอาวุธปืนอาก้า ให้พวกมันทั้งหมดพร้อมกระสุนไม่อั้น พร้อมยังแถมพิเศษให้อีกทั้งลูกระเบิดอีกคนละหนึ่งลูก พร้อมสั่งว่า “เฮ้ยๆๆลูกระเบิดนี้ไม่จำเป็นอย่าใช้นะโว้ยมันแพงเสียด้วยซิ ด้วยมันเป็นระเบิดไม่ธรรมดาที่มุมมันจะ 45 องศา แต่นี้สะเก็ดมัน ขนานไปกับพื้นดินและกระจายกันขึ้นสูงอีกต่างหาก ราคาจึงแพงมาก การใช้เมื่อดึงสลักแล้วอย่ารอช้าเพราะว่าระเบิดนี้มันจะทำงานเร็วมาก กว่าลูกระเบิดทั่วไปนับไม่ถึงห้ามันก็จะระเบิดแล้วล่ะโว้ย อันตรายมากด้วย พวกมึงควรระวังไว้ให้มากๆอย่าสุ่มสี่สุ่มห้าคิดว่ามันก็แค่ระเบิดธรรมดา เสื้อเกราะมันยังฉีกกระจุยมามากต่อมากแล้วนะโว้ย” ไอ้เปล่งรีบร้องเตือนบอกพรรคพวกทันทีในเรื่องอานุภาพร้ายแรงของมัน “เออๆขอบใจมากว๊ะ แล้วเริ่มหรือยังล่ะในเมื่อพวกเรามีอาวุธครบมือแล้ว แล้วอุปกรณ์ในการตัดไฟล่ะ” ไอ้วาสถาม “เออเดี๋ยวจะให้ว๊ะให้กูแจกอาวุธให้หมดก่อนซิว๊ะ อย่างไรมึงได้ทำงานแน่ไม่ต้องห่วงโว้ย” กล่าวเสร็จไอ้เปล่งก็มอบอุปกรณ์ต่างๆพร้อมด้วยรองเท้าพิเศษให้ไอ้วาส ไอ้วาสรีบนำมาสวมใส่ทันที ด้วยระยะอีกไม่ไกลนัก จะได้เริ่มลงมือทำงานทันที ครั้นแล้วหนุ่มชวนก็เดินนำหน้าหาทางลัดเลาะไม่เดินบนถนนเกรงอาจจะมีคน มาเห็น ด้วยพวกมันต่างสะพายอาวุธครบมือทั้งสิ้น คนเห็นอาจจะสงสัยไปแจ้ง ตำรวจให้รู้มารวบพวกมันเสียก่อน จึงพากันเดินเข้าป่าไปด้วยชำนาญทางไว้แล้ว พรรคพวกของหนุ่มชวนเดินทางมาสักพักใหญ่จึงแลเห็นไฟฟ้าในบ้านส่องสว่าง ทั้งหมดก็มาถึงบ้านกำนันหวน ทั้งหมดหยุดและ นั่งบ้าง หมอบบ้าง เมื่อ แลเข้าไปในบริเวณบ้านต่างก็เห็นพวกไอ้แม้นกำลังส่งเสียงสนทนากันลั่น เสียงดังออกมายังถนน เป็นวงใหญ่ๆมีกันทั้งหญิงทั้งชายมากหน้าหลายตา กินเหล้า บ้าง โอบกอดหญิงต่างๆบ้าง นัวเนียไปกันหมดด้วยต่างคนต่างเริ่มเมากันแล้วมี บ้างกล่าวคำหยาบโลน แต่พวกผู้หญิงรู้ว่าจะชอบเห็นหยอกล้อหัวร่อลั่น ดังนั้นหนุ่มชวนก็ให้สัญญาณพรรคพวกทันที ให้เริ่มปฏิบัติงานกันได้แล้ว ทั้งหมดก็กระจายกำลังกันออกไปล้อมบ้านกำนันมั่นทุกๆหนแห่ง ส่วนไอ้เปล่งก็นำกระบอกปืนออกตั้งหาที่เหมาะสมยืดขาไว้แน่น เล็งไปยัง หลังคาบ้านกำนันมั่นทันที ไอ้วาสก็ปีนขึ้นไปบนเสาสายไฟฟ้าคอยสัญญาณจากพวกอยู่แล้ว เพียงคอยสัญญาณจากการยิงของไอ้เปล่งเท่านั้น ส่วนคนอื่นก็กระจายกันออกไป ด้านหนุ่มชวนก็คอยส่งกระสุนเอ็ม 79 ให้แก่ไอ้เปล่ง ที่ตามันจ้องมองไปยังบ้าน “ไอ้เปล่งเริ่มได้แล้วว๊ะ” เสียงหนุ่มชวนเอ่ยเมื่อเห็นพรรคพวก แยกย้ายตามแผนการณ์หมดแล้ว ทันใดนั้นเสียงหวี๊ดๆๆๆดังขึ้น เล่นเอาพรรคพวกของไอ้แม้น ต่างสะดุ้งตกใจต่อเสียง ที่พวกมันได้ยินเข้ามา พากันร้องเอะอะโวยวายกัน ถามเรื่องเสียงกันเสียงดังแซด ไปหมดว่าเสียงอะไรมันดังเหมือนนกกลางคืนร้องแต่ก็ไม่ยักจะใช่ ด้วยเสียงมันแหลมมากก้องแสบเข้าไปรูหูกันทุกๆคน บรรดาพวกของมันต่าง มองหน้ากันทำตาหล๊อกแหล๊กไปๆมาๆ ไม่มีใครตอบได้สักคนเดียว ตูมเสียงระเบิดดังลั่นลูกแรกตกไปหน้าเรือนชานบ้านประตู ขึ้นบ้านพังทะลายทันที พรึบๆไฟฟ้าทั้งหมดภายในบ้านดับ พร้อมกันทุกๆดวง เสียงกำนันตะโกนร้องบอก ให้พรรคพวกไปดูไฟซิฟิวซ์มันขาดหรือเปล่าให้จัดการต่อให้ด้วย โอ้ยๆๆๆ ตูมๆๆ เสียงระเบิดดังบนหลังคาบ้านของมันใกล้ๆเกือบจะพร้อมๆกัน หลังคาบ้านทะลุพังลงมาทันที เกิดประกายไฟลุกไหม้ลามบ้านขึ้นไปทั่ว เสียงร้องวี๊ดว้าย โอ้ยๆๆๆๆสลับดังกันไประงม คนบนบ้านรีบกระโจนลงมา ด้วยบันไดบ้านไม่มีเสียแล้ว กำนันมั่นร้องด่าลั่นด้วยรูปร่างแก่อ้วนท้วน อยู่แล้วร้องให้คนทางมาช่วยหาทางรับแก เพราะลงจากบ้านไม่ได้ ช่วยนำแก ลงมาให้ได้ ทุกอย่างมึดสนิท บรรดาพวกไอ้แม้นต่างรีบวิ่งหนีเสียงระเบิด หาทางหลบที่กำบังทันที หลบกันไปด่านกันไประงมไปทั่วบริเวณ เสียงตูมดังอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้กำนันไม่ต้องให้มีคนช่วยแล้ว ด้วยความตกใจ ลืมตัวส่งผลให้ร่างกำนันรีบกระโจนพรวดลงมาทันที ร่างแกกลิ้งโคโรโคโท่ กระดอนไปมาตามแรงลงบนพื้นถนนในบริเวณบ้านของแกเอง ดวงตาเบิกโพลง แต่แกก็ยังขโยกเขยกวิ่งไปหาที่กำบังใกล้ๆตุ่มน้ำที่เรียงรายไว้รอบบ้าน ครืนๆๆๆเสียงดังมาอีกบ้านทั้งหลังพังทะลายทับลงมากองอยู่บนพื้น และมีไฟลุกติด ทำท่าจะลามไปทั่ว พรรคพวกได้ไอ้รีบมาดับไฟทันที แต่แล้วก็ต้อง รีบพากันเผ่นหนีไปคนละทิศละทาง เมื่อได้ยินเสียงปืนระงมไปทั่วบริเวณรอบบ้าน ซ้ำยังมีเสียงระเบิดกึกก้องเท่านั้นไม่พอ เสียงกระสุนปืนก็ดังรอบทิศทาง ที่พวกมันได้ยินดังไปทั่วรายล้อมรอบบริเวณ ด้วยเสียงปืนที่ฝ่ายกำนันมั่นได้ยิน คือเสียงดัง พรืดๆๆๆหูดับตับไหม้ พรรคพวกกำนันมั่น บางคนโดนที่ขาบ้าง แขนบ้าง หัวไหล่บ้างหน้าอกบ้าง เลือดสาดกระจายไปทั่วบริเวณ ฝุ่นตลบฟุ้งกระจายแม้จะมืดก็แลเห็นฝุ่นสีขาวๆ ของฝุ่นที่บ้านพังทะลายลงมาฟุ้งจำนวนมากมายเหล่านี้แผ่ออกไปทั่วบริเวณ “ฉิบหายโว้ยๆๆฉิบหายกันหมดสิ้นก็คราวนี้ เฮ้ยๆใครมีปืนยิงพวกมันบ้างซิว๊ะ จะปล่อยมันไว้ให้ยิงฝ่ายเดียวหรือไงว๊ะ” เสียงกำนันตะโกนก้อง “ไอ้แม้นโว้ยมึงอยู่ที่ไหนว๊ะ” กำนันมั่นร้องถามหาลูกชายมัน “ข้าอยู่นี้ไม่เป็นอะไรหรอกพ่อ แต่มันมืดมองอะไรไม่เห็นเลย อาวุธทางเรามี แค่ปืนพกประจำตัวเท่านั้น ส่วนใหญ่เก็บไว้ในห้องใต้ดินซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงพ่อ” “เฮ้ยๆๆไอ้สน ไอ้เบี้ยว ไอ้แช่ม ไอ้อ๊อด พวกมึงอยู่ที่ไหน ดูแลพวกสาวๆด้วย นะโว้ย” ไอ้แม้นตะโกนสั่งพวก “อีพวกสาวๆมันต่างกระเจิงหายไปไหนไม่รู้ว๊ะไอ้แม้น” เสียงไอ้สนตะโกนตอบ “ แล้วทางไอ้เบี้ยว ไอ้แช่ม ไอ้อ๊อดล่ะ” ไอ้แม้นถามอีก “กูถูกยิงปากเฉียดไปเลือดสาดอยู่ทางนี้ว๊ะ” เสียงอ้อแอ้ด้วยเลือดเต็มปากมันไอ้เบี้ยว “ข้าอยู่ทางนี้คอยดูแลพ่อกำนันอยู่ว๊ะ” ไอ้อ๊อดเอ่ยตะโกนตอบ “ เออๆดีแล้วโว้ย ดูแลพ่อกูด้วย กูจะไปมองไม่เห็นทางว๊ะ ให้ทุกๆคนอยู่กับที่นะ อย่าได้เสือกออกไปล่ะ เดี่ยวมันเห็นเงาๆจะยิงเอา กูช่วยอะไรไม่ได้นา” ไอ้แม้นตะโกนบอก ดังนั้นเสียงปืนก็ออกมาจากปากกระบอกปืนดัง ปังๆๆๆ จากคนที่มีปืน ที่นำปืน ออกมาต่อสู้ ซึ่งมันมองไม่เห็นฝ่ายตรงกันข้ามเลย ด้วยบริเวณรอบบ้านในบริเวณบ้าน นั้นมืดสนิท จะเห็นก็เพียงลางๆเท่านั้นจากแสงของดวงดาวที่ทอประกายสะท้อนเข้ามา แต่พวกมันยิงสุ่มสี่สุ่มห้าที่ได้ยืนเสียงดังพรืดๆๆออกมา รอบๆบริเวณบ้าน ทุกๆคน ไม่กล้าออกมา ได้หาที่กำบังยิงโต้ตอบฝ่ายตรงกันข้ามไว้ไม่ให้พวกนั้นบุกเข้ามาได้ แต่แล้วเหมือนนำทางให้แก่ทางฝ่ายชวนจึงถูกยิงตอบด้วยปืนอาก้า เสียงพรืดๆดังออกมา ทันใดเสียงร้องระงมดังลั่นทันที เวลาผ่านไปสักประมาณ ราวชั่วโมงกว่าๆ เสียงปืนก็สงบลง ความเงียบก็เข้ามาแทนที่ในบริเวณบ้านกำนันมั่น ตัวกำนันมั่น คุดคู้อยู่ข้างตุ่มน้ำใบใหญ่ ซึ่งข้างๆมีไอ้อ๊อด ไอ้แช่มคอยดูและให้ต่างหมอบทับบน ร่างของกำนันมั่น เอาตัวมันป้องกันกระสุนแทน มันรู้อาการร่างกำนันสั่นเทาๆ ทุกๆคนนึกว่าสงบลงต่างร้องเรียกหากันระงม ตะโกนไปทั่วเรียกร้องหากัน ทันใดนั้นเองเสียงดังตูมก็ดังอีกลูกที่บนแค่ใต้ต้นมะขามใหญ่ ที่พวกไอ้แม้นนั่งกินเหล้าประจำ ทำให้ต้นมะขามใหญ่ฉีกผ่าขาดออกเป็นสองท่อนทันที แล้วเหตุการณ์ก็สงบ ความเงียบเข้ามาแทนที ไฟฟ้าติดขึ้นมาแล้วแต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ในความมืด นอกเสียจากมีแสงอยุ่ดวงหนึ่ง ไฟที่สว่างนั้นมันอยู่ในซากใต้กองไม้ของบ้านเท่านั้น ที่ส่องแสงเล็ดรอดออกมา นอกนั้นก็มืดสนิทมองอะไรไม่เห็น นอกจาก เสียงเอะอะโวยวาย ของพวกหนุ่มสาวดังลั่นไปทั่ว พร้อมเสียงร้องของความเจ็บปวดระงมไปทั่ว สักพักใหญ่ทุกๆคนก็พยายามฝ่าความมืด มารวมตัวกันในที่พรรคพวกเรียกหากันต่างรอให้ฟ้าสว่างขึ้นเพราะในบ้านหรือบ้านต่างๆนั้น ไม่สามารถจะเข้าพักอาศัยอยู่ได้ ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างราบพนาสูรไปหมด ดีนะที่พวกมันช่วยกัน ดับไฟที่ลุกไหม้บ้านได้ทันการ มิฉนั้นก้จะเกิดแสงไฟจากไฟไหม้ทำให้แลเห็นพวกมันด้วย พรรคพวกบางคนไปค้นหาที่แสงไฟนั้นส่องเห็น ต่างก็ช่วยกันเข้าไปเอาซากไม้ออก แล้วค่อยๆลากไฟดวงนั้นออกมาพ้นกองไม้ด้วยความระวังมิให้สายขาดจากดวงไฟได้ แต่ไม่ยาวนัก ทุกๆคนจึงไปรวมตัวกันที่ดวงไฟนั้นกันหมดต่างเจ็บกันระนาว ไม่มีใครเสียชีวิตสักคน แต่ทุกๆคนได้รับบาดแผลมากบ้างน้อยบ้างทุกๆคน ฝ่ายหญิงร้องไห้กันบ่นกันโดยเฉพาะ อีสร้อยเมื่อพบเพื่อนร้องไห้ บอกว่า “อีนวลกูฉีกฉิบหายหมดแล้วว๊ะ” มันร้องไห้ไปบอกไป “อะไรฉีกหรือว๊ะอีสร้อย????...” อีชบาถามด้วยความสงสัย “จะอะไรอีกล่ะอีชบา หอยกูพังก็คราวนี้แหละดีที่มันไม่โดนตรงๆ กระสุนปืนมันถากลึก เอาเลือกกูไหล เนื้อฉีกสงสัยต้องไปเย็บหลายๆเข็มว๊ะ” ฮือๆๆๆ “ไม่ตายห่าก็ดีแล้วแค่ฉีกช่างมันเถอะว๊ะเย็บพอหายก็เหมือนเดิมแหละโว้ย” อีนวลปลอบใจ “แล้วอีลัดดาและอีแจ๋วคนอื่นๆด้วยไม่เห็นหน้ามันเลยว๊ะ”อีชบาเอ่ยปากถาม “พวกกูจะไปรู้หรือโว้ยเห็นก็เท่านี้แหละให้ สงบกว่านี้ต้องพรุ่งนี้แหละถึงจะรู้เรื่อง” อีนวลเอ่ยบอก ซึ่งบรรดาสาวๆต่างหลบกันอยู่แค่สามคนเท่านั้น กลัวก็กลัว เจ็บก็เจ็บ เพราะพวกมัน ต่างได้รับบาดแผลกันในที่ต่างๆกันทุกๆคน แต่มันยังมองหาพวกไอ้แม้น ไอ้สน ไอ้เบี้ยว และคนอื่นๆ ซึ่งมันมืดมากมองไม่เห็นใครๆทั้งสิ้น “กูว่าพวกเราอยู่ที่นี้อย่าไปไหนดีกว่า พวกคนอื่นช่างหัวมันเอาตัวรอดก่อนดีกว่านะ” “เออกูก็เห็นด้วยว๊ะ ต้องรอให้สว่างเสียก่อนว่าจะมีใครบาดเจ็บตายกันบ้าง” “ให้กูออกไปตอนนี้ กูไม่เอาหรอกรักษาชีวิตไว้ก่อนว๊ะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยน่ากลัว อะไรเช่นนี้มาก่อนเลยว๊ะ ทั้งสามสาวต่างบ่นกัน แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรกันได้ นอกจากนอนกอดกันหลบกระสุน ส่วนทางด้านพรรคพวกชวนนั้นเมื่อถึงที่รวมตัวกันแล้วก็ส่งอาวุธปืน ให้แก่ไอ้เปล่งและช่วยมันเก็บของหิ้วเดินไปส่งยังที่รถของมันเพื่อแสดงสินน้ำใจ ทุกๆคนไม่พูดจาว่าใครเก่งหรือไม่เก่งนอกจากได้แต่หัวร่อกันเท่านั้น “เอาล่ะเมื่องานเราสำเร็จแล้วกลับกันได้แล้ว ข้าขอขอบใจพวกเราทุกๆคนด้วยนะ หากมีอะไรพอจะช่วยได้ก็บอกมาได้เลย ขอให้แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน” หนุ่มชวนเอ่ยขึ้นเมื่อทุกๆคนเดินมาถึงรถของตัวเอง ทุกๆคนหันไปกล่าวขอบใจไอ้เปล่งพลางยกหัวแม่โป้งให้แก่มันด้วย เสียงรถก็กระหึ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งต่างเร่งความเร็วหายลับไปกับความมืด ความมืดกับเสียงสัตว์หากินกลางคืนก็เริ่มส่งเสียงร้อยกันต่อไป “ไปไหนมาหรือลูกพ่อเป็นห่วงเจ้ามากนะ” กำนันแม่เย็นนั่งคอยอยู่ ส่วนสาวเจ้าบงกชก็นั่งอยู่ข้างๆพ่อแม่ “ไปทำธุระมาครับพ่อ ผมขอตัวก่อนนะครับ” ชวนตอบผู้เป็นพ่อมัน “แล้วเรียบร้อยไหมล่ะลูก เรื่องที่เจ้าไปทำงานมานี้นะ” กำนันหวนถาม มองไปเห็นลูกชายอ่ำๆอึ้งๆพักหนึ่ง เจ้าชวนก็เอ่ยกับพ่อกำนันหวนว่า “เรียบร้อยหมดแล้วจ๊ะพ่อ พรุ่งนี้คงได้ข่าวอะไรทางโน้นหรอกครับพ่อ” ชวนตอบด้วยสีหน้าเฉยเมยไม่กระตือรือล้นแสดงอาการแต่อย่างใด “มีใครตายบ้างหรือไม่ล่ะลูก” แม่เย็นเอ่ยถามบ้าง คราวนี้หนุ่มชวนก็รู้แล้วว่า พ่อแม่มันรู้ว่าเขาไปทำอะไรมาแน่ ด้วยประสบการณ์ชีวิตทั้งสองที่ผ่านมาอย่างโชกโชนนั่นเอง ดังนั้นชวนจึงเล่าเหตุการณ์ต่างๆให้กับพ่อแม่น้องมันฟังโดยไม่ ปิดบังอะไรอีกเลย ซ้ำยังบอกว่าไอ้เปล่งสร้างหลักฐานปลอมทิ้งไว้อีกด้วย “ไอ้เปล่งคนนี้ที่ชอบไปไหนมาไหนกับลูกเสมอๆใช่ไหมล่ะ” กำนันหวนถามขึ้น “ใช่แล้วพ่อ คราวที่ผมเจ็บมารอดตายมาได้ก็ด้วยมันวางแผนให้หลบหนีครับ” หนุ่มชวนเอ่ยบอกผู้เป็นพ่อ “อืมมๆๆๆ....มันรูปร่างใหญ่โตล่ำสันบึกบึนไม่ค่อยพูดจาเท่าใดนัก แต่มันช่างมีมันสมองฉลาดมากจริงๆนะ สำคัญๆๆไอ้เด็กคนนี้หากดีไปก็ดีใจหาย หากมันร้ายขึ้นวันใด ไฟจะลุกท่วมไปหมด อย่างไรเอ็งก็คอยดูแลแนะนำมันบ้าง นะอย่าให้มันเหลิงมากไปเสียล่ะ??...” กำนันหวนกล่าวกับลูกชาย “เรื่องนี้คงไม่มีปัญหาหรอกครับพ่อ ด้วยมันเชื่อฟังผมคนเดียวและเคยสู้กันมา แล้วด้วยแบบลูกผู้ชาย แม้มันใหญ่สมองมันชาญฉลาดก็ตามคนเราบางครั้งก็โง่ เป็นนะพ่อ ผมใช้ศิลปหลอกล่อมันแทบตายกว่าจะสยบมันได้ ตั้งแต่นั้นมามัน ก็รักผมมากๆเสียด้วย มันบอกว่าตั้งแต่มันโตมานี้ไม่มีใครสยบมันได้เหมือน ครั้งนี้แบบลูกผู้ชายเต็มตัวไม่มีการใช้อาวุธใดๆเลย” หนุ่มชวนเอ่ยให้พ่อฟัง “ถือว่าเอ็งกับมันต่างเป็นคนรู้ใจกันแล้ว แต่ก็ควรอย่าให้มันเหลิงได้ ด้วยหาก ประมาทเมื่อไหร่ก็จะแย่นะลูก” “เรื่องนี้ฉันไม่ห่วงหรอกพี่ ด้วยรู้นิสัยลูกคนนี้ดีว่าความคิดอ่านมันอย่างไรจ๊ะ” แม่เย็นเอ่ยเข้าข้างลูกทันที “แต่ถึงอย่างไรก็ควรระวังไว้บ้างก็ยังดีนะแม่เย็น เจ้าชวนก็เหมือนกัน เสร็จๆ กันแล้วกินข้าวมาหรือยังล่ะ พ่อฟังดูคิดว่าคงจะยังแหละด้วยรีบไปแล้วกลับมาเลย” “ครับพ่อยังหรอก เดี๋ยวผมไปหากินในครัวก็แล้วกัน” หนุ่มชวนเอ่ย “ไม่ต้องหรอกลูก น้องเอ็งจัดเตรียมไว้ให้แล้วล่ะ กช เอ๋ยไปยกมาให้พี่เขากินได้ แล้วล่ะลูก” แม่เย็นเอ่ยกับลูกสาวทันที “งั้นผมขอไปผลัดอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ ด้วยมันเปื้อนฝุ่นโคลนมามาก เสียด้วย เมื่อเวลาคลานไปเข้าบ้านเขา” หนุ่มชวนเอ่ยกับพ่อแม่ “ไปผลัดเปลี่ยนอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนก็แล้วกันแล้วค่อยมากินข้าว พ่อแม่จะอยู่ เป็นเพื่อนให้นะ “ไม่ต้องหรอกครับ พ่อแม่แก่แล้วไปพักผ่อนได้เถอะครับ ผมจัดการเองได้ครับ” ดังนั้นหนุ่มชวนก็เข้าไปในห้องเขาแล้วออกมาเดินไปยังห้องน้ำ ชำระล้าง ร่างกายทันที.............. * แก้วประเสริฐ. *
อทิสมานกาย ๖๒ ครั้นเลยบ้านกำนันมั่น มาได้สักพักเจ้าชวนก็เบรครถหยุดทันที พร้อมหันมาทางกำนันหวนพลางเอ่ยปากขึ้นทันที “พ่อครับพ่อ...พ่อช่วยขับรถกลับบ้านหน่อยได้ไหมครับ....” เสียงเจ้าชวนออกจะเครียดๆ “มีอะไรหรือลูก???...อ้าว???...ทำไมไม่ขับต่อไปล่ะหยุดเสียทำไม???... “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมจะไปสั่งสอนมันสักหน่อย ดูซิครับมันยิงปืนไล่หลังเรามา มันออกจะนักเลงไปแล้วล่ะครับ รังแกคนแบบนี้ผมไม่ชอบเสียด้วย”ใบหน้าหนุ่มค่อนข้างจะเครียด พร้อมชักปืนออกมาตรวจสอบทันที “ไม่เอาน่าลูก...ใจเย็นๆไว้อย่าไปหาเรื่องกับคนบ้านมันเลย อีกอย่างกำนันมั่นมันก็เคยทำงานร่วมมากับพ่อด้วย พ่อขอร้องเถอะ” กำนันหวนเอ่ยปากห้ามปรามลูก “ถึงอย่างไรก็ตามมันไม่น่าจะทำแบบนี้นะครับพ่อ คงจะเคยทำมามากๆจนได้ใจ ผมเองนั้นไม่ชอบให้มาหยามหน้าหรอกครับ” “เถอะน่าช่างมันเถอะลูก ไหนๆพ่อก็จะเลิกคบแล้วจะไปบวชอีกไม่นานนี้ พ่อขอร้องล่ะอย่าไปมีเรื่องอะไรอีกเลยทำใจเย็นเสียบ้างนะลูก พ่อเองก็เข้าใจลูกพ่อดี” กำนันหวนเตือนลูกชาย “ถ้าหากลูกหลงมาถูกพ่อ แม่และน้องๆล่ะครับ บอกก่อนนะครับ ถึงพ่อจะห้ามอย่างไรผมก็ขอเสียทีเถอะ อย่าหาว่าผมเป็นคนอกตัญญูนะพ่อ รับรองว่าไอ้พวกนี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมจะถล่มบ้านมันให้พังพินาศหมด ดูซิว่าหากมันพบกับคนที่ไม่เกรงกลัวมันจะทำอย่างไรบ้าง ไอ้พวกนี้ดีแต่พวกหมาชอบรุมกินโต๊ะเขา ผมเห็นมันแล้ว เมื่อมีงานที่วัดโคกอีแร้ง มันมาลวนลามน้องกชผมกับพวกแค่สามคน ไล่เตะมันกับพวกมากกว่าเกือบเท่าตัวร้องเป็นหมาแตกกระเซิงไป หนีกลับบ้าน คนวิ่งคนแรกก็ไอ้ลูกกำนันมั่นนั่นแหละสั่งให้พวกมันหนี หากพ่อไม่เชื่อลองถามน้องกชดูก็ได้ครับว่ามันกวนเพียงไร เห็นน้องกชไป กับพวกสาวๆเพียงสามสี่คนเท่านั้นมันเข้ามาลวนลาม ดีนะผมสังหรณ์ใจ เมื่อถามน้องกชว่าจะไปเที่ยวที่ไหนจึงทราบ และนำพวกไปอีกสองคนครับ” หนุ่มเลือดร้อนเอ่ยด้วยความหัวเสียใบหน้าทมึงมึงอย่างน่ากลัว จนพ่อกำนันหวนเองก็สะดุ้งในใจด้วยตั้งแต่เขาเลี้ยงมันมาจนโตป่านนี้ ไม่เคยเห็นอารมณ์ฉุนเฉียวแบบนี้เลย นี่ดีนะที่เขาคอยห้ามปรามไม่เคยคิดจะ สนับสนุนมันหากเหมือนไอ้มั่นแล้ว ป่านนี้หมู่บ้านอื่นเดือดร้อนไปตามๆกัน กำนันคิด “ไป...ขับรถไปเถอะลูก พ่อเองตั้งแต่คิดจะบวชนี้ใจคอมันเย็นขึ้นอย่างประหลาดนะ ไหนๆพ่อก็จะบวชแล้วพ่อขอเสียที หากพ่อไม่คิดจะบวชพ่อเองก็ไม่ยอมหรอก เหมือนลูกเหมือนกันแหละชวนเอ๋ย” พ่อกำนันหวน พลางเอื้อมมือไปตบไหล่มันปลอบใจ เห็นมันยกมือขึ้นไหว้ “ขอโทษครับพ่อมันน่าจริงๆ...ฮึๆๆหากพ่อแม่น้องไม่มาผมคนเดียวนี้แหละ จะทะลายมันให้ดู พวกมันขี้ขลาดทุกๆคนเลย คราวที่แล้วพวกมัน พอรู้จะต้องไปต่อสู้หายหน้าไปหมดทิ้งให้พ่อกับผมต้องลุยสองคนพ่อลูกกับเพื่อนๆ จนตายกันเจ็บกันกลับมา แต่นอกวงนะพวกห่านี่เก่งกันทุกๆคน” เจ้าชวนเอ่ยพึมพรำด้วยพยายามระงับอารมณ์ของมันอย่างสุดขีด แล้วขึ้นรถสตาร์ทรถ ออกเดินทางต่อทันที “มีเรื่องอะไรกันหรือพี่หวน???.....” เสียงแม่เย็นเอ่ยถาม “ไม่มีเรื่องอะไรหรอกแม่เย็น ชวนมันอารมณ์เสียนิดๆหน่อยเท่านั้นเอง” “นึกว่าจะมีเรื่องเมื่อกี้นี้ได้ยินเสียงปืนดังสามนัดนะพี่” “จริงจ๊ะพ่อ กช ก็ได้ยินเช่นกัน???....” “แล้วพี่ชวนหยุดรถทำไมกัน” หญิงสาวหันหลังมาถาม พี่ชายทันที “ไปได้แล้วล่ะชวนเอ๋ย” กำนันหันไปบอกลูกชายไม่ต้องหยุดรถไม่ให้บอกแก่แม่และน้อง จึงพูดตัดบทเสียเลย แต่ไม่วายเร่งให้ลูกขับรถเร็วขึ้น หันมาเอ่ยว่า “เรื่องมันเป็นอย่างนี้แม่เย็นลูกกช ไอ้พวกบ้านกำนันมั่นสงสัยจะเป็น พวกลูกชายมันนั่นแหละมันออกมา แล้วยิงปืนไล่มาทางเรานะ ชวนมันไม่พอใจจะให้ข้าขับรถกลับบ้านแล้ว มันจะกลับไปเล่นงานบ้านกำนันมั่นเอง แต่ข้าได้ห้ามมันไว้แล้วล่ะ อย่างไปสนใจอะไรเลยพวกหมาเห่าใบตองแห้งทั้งนั่น แหละแม่เย็น กช อย่าคิดอะไรอีกเลยนะ” “อ้อๆๆๆแบบนี้นี่เอง มันคงนึกว่าเคยรังแกคนของบ้านมันมาแล้วเลยได้ใจ น่าจะกลับรถไปสั่งสอนมันสักตั้งนะพี่ ฉันถึงจะแก่ก็จริงแต่ยังเหลือลายไว้บ้างนะ หรือจะให้ชวนมันกลับรถไปล่อกับมันสักตั้งไหมพี่???......” “พอๆๆๆๆพูดให้ฟังก็แบบนี้แหละ แล้วยังงี้จะให้ข้าออกบวชได้อย่างไรกันล่ะ???...” ครั้นแม่เย็นสาวบงกชได้ยินคำนี้ก็ชะงักทันทีว่าจะเอ่ยต่อก็เลยหยุดกึกไม่กล้ากล่าวอะไรอีก “ไปเลยลูกชวนวันหน้าวันหลังยังมีอีกให้พ่อเขาได้บวชๆก่อนก็แล้วกันนะ นึกว่าทำบุญแก่หมามันก็แล้วกัน” “ครับแม่ คงจะไม่มีครั้งนี้ครั้งเดียวหรอกครับ แต่ผมบอกก่อนนะว่าวันงานบวชพ่อ ไม่แน่นะแม่ หากมีเรื่องเมื่อไหร่ได้เอาเลือดเส้นสังเวยวัดฉลองงานบวชพ่อเสียเลย” เจ้าชวนขับรถไปพลางเอ่ยคำขึ้น เล่นเอากำนันหวนสะดุ้ง เพราะรู้นิสัยของเจ้าชวนดีกว่าหากใครมาตีหลังมันเมื่อไหร่ไม่มันตายก็ฝ่ายโน้นแหละต้องตาย ด้วยเจ้าชวนมันก็หนึ่งพอตัวมัน คนในบ้านบางโครู้จักมันดี ตลอดถึงนิสัยมันเป็นคนอย่างไร แต่ปกติมันมีนิสัยโอบอ้อมอารีแม้ว่าจะเป็นถึงลูกกำนัน แต่มันไม่เคยไปรังแกใครก่อนเลยนอกเสียจากใครจะมารังแกพวกมัน ปกติมันเป็นคนเรียบร้อยขรึมไม่ค่อยจะพูดกับใครนอกจากคนในบ้าน และพวกมันบางคนเท่านั้น และเพื่อนของมันเรียกกันว่าตัวเป็นตัวตายสามารถตายแทนกัน ได้เรื่องนี้พ่อกำนันรู้ดีแก่ใจ หากปล่อยให้มันไปต้องมีคนตายอย่างน้อยห้าหกคนแน่นอน อาจจะรวมถึงมันด้วย เวลามันได้ลุยแล้วจะไม่คำนึงถึงตัวเองเสียอีกด้วย เพียงสักครู่ใหญ่รถก็วิ่งเข้ามาในเขตหมู่บ้านบางโค มันขับรถอย่างช้าๆ พอผ่านคนกลุ่มหนึ่งมันก็ส่งสัญญาณซึ่งรู้กันระหว่างมันกับพวกเท่านั้น กำนันเองก็งงแล้วมันก็ขับรถไปจนถึงบ้าน เมื่อส่งกำนันกับแม่และน้อง เสร็จมันก็ขอตัวไปข้างล่างหน่อย ทันใดนั้นเสียงรถมอเตอร์ไซค์ก็แล่นออกจากบ้าน ไปอย่างรวดเร็ว พอกันนันได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นเท่านั้นก็ยกมือตบอกผาง เอาแล้วซิกูนึกอยู่แล้ว “อะไรหรือพี่กำนัน” แม่เย็นถามด้วยความสงสัย “จะมีอะไรอีกล่ะแม่เย็น เจ้าชวนมันคงจะแค้นใจมากเมื่อกี้นี้แม่เย็นคงจะไม่ทันสังเกตุ หรอกมันส่งสัญญาณให้พวกมันที่อยู่หน้าร้านแม่ลัดดาขายอาหารข้างทางนั่นแหละ ข้าสังหรณ์ใจว่ามันคงจะนำพวกไปเล่นงานฝ่ายโน้นแน่ๆ” “เออๆๆดีเหมือนกันพี่ จะให้ไอ้พวกโน้นรู้เสียบ้างว่าคนบ้านบางโคไม่ใช่จะรังแกกันง่ายๆนะ ทั้งที่เส้นทางผ่านทางบ้านมันก็ตามด้วยเป็นทางลัด หากจะไปทางอื่นก็ต้องย้อนเสียเวลานาน มันเลยคิดจะยึดครองถนนหลวงเป็นของมันกระมัง ปล่อยมันเถอะพี่ฉันรู้นิสัยลูก คนนี้ดีมากกว่าพี่เสียอีก หากมันไม่แน่ใจว่าชนะมันจะไม่ยอมไปเด็ดขาด ใจเย็นเถอะโน่นไปอ่านหนังสือที่หลวงพ่อทองท่านพึ่งให้มาจิตใจจะได้สงบยิ่งขึ้น ข้าเองก็วาดแผนการไว้ว่าหากพ่อกำนันพ้นจากกำนันแล้ว ข้าก็จะสนับสนุนมันให้เล่นกำนันต่อจากพี่นั่นแหละ จะได้เลิกไอ้พวกติดยาบ้า และของเสพย์ติดอื่นๆในหมู่บ้านเราด้วย ไอ้พวกติดยามันจะได้ไปรักษากันในเมืองเพราะอย่างไรหากเจ้าชวนมันได้เป็นกำนัน เมื่อไหร่แล้ว ฉันเชื่อเหลือเกินว่า ไอ้พวกนี้คงจะหมดไปจากหมู่บ้านเราแน่นอน ดีนะที่พี่เองแค่ร่วมมือพวกมันแต่ไม่ยอมจำหน่ายให้พวกมัน มิฉะนั้นหมู่บ้านเราติดยากันทุกๆคนแหละ ลูกชวนคนนี้มันเกลียดจำพวกนี้เข้าไส้เข้ากระดูกเสียด้วยนา อ้อๆๆอีกอย่างหนึ่งนะ ที่หนุ่มโชติให้พระมาแล้วบอกว่าสองสามวันนี้ให้ระวังตัวไว้ด้วยจะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น ในบ้านเราเสียด้วยนา ควรจะสวดมนต์ก่อนนอนกันทุกๆคนและสั่งเด็กๆที่อยู่กับเราให้ระวัง ตัวไว้ด้วยหากผิดปกติใดก็อย่างขานรับ ให้ขึ้นมารวมตัวกันบนนี้ด้วย คราวก่อนพี่ก็หนีมันมาแทบตายจนต้องมาเลี้ยงพระทำบุญบ้านกันใหญ่โต ด้วยอาจจะเป็นเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นไปได้นาพี่ ลองคิดๆดูซิ” แม่เย็นเอ่ยให้ผัวฟัง “จริงซินะแม่เย็นข้าก็ลืมไปแล้วล่ะ บอกลูกไว้ด้วยว่าอย่าได้เอาพระออกจากคอเด็ดขาด และให้มันสวดมนต์ไว้ด้วย เรื่องเจ้าชวนนั้นข้าไม่ห่วงหรอกด้วยรู้นิสัยมันดี ไปๆหาข้าวหาปลามากินกันได้แล้ว เจ้าชวนคงไปกินในตลาดหรอก” กำนันหวนเอ่ยตัดบท แต่ภายในใจหรือก็ให้เป็นห่วงเจ้าชวนเหมือนกัน แต่ก็ต้องทำใจไว้ หลังจากออกจากบ้านพ่อกำนัน แล้วเจ้าชวนก็บึ่งมอเตอร์ไซค์มาที่ตลาดก็ยังเห็นพรรคพวก นั่งกินเหล้าอยู่ พอพวกนั้นเห็นก็รีบจัดการทำน้ำเย็นเตรียมไว้ ด้วยรู้ว่าไอ้ลูกกำนันนี้ไม่กินเหล้าเมายาอะไรแม้แต่การพนันมันก็เกลียด แต่มันสามารถมานั่งกินร่วมกับพวกกินเหล้าได้ พอเจ้าชวนก้าวเข้ามาในร้าน เสียงร้องทักทายกันลั่นไปหมด เจ้าชวนหันไปยิ้มบ้างยกมือขึ้นไหว้พวกผู้ใหญ่ที่นั่งล้อมโต๊ะกินเหล้าอยู่ “ลมอะไรเว้ย!!!!!....พัดเอาเจ้าชวนมาได้ในตอนหัวค่ำนี้ว๊ะ” เสียงเมาอ้อแอ้ของคนแก่มีอายุมากที่สุดเอ่ยถามเสียงดังกับเพื่อนร่วมโต๊ะ “กูจะไปรู้หรือว๊ะไปปัง แดกด้วยกันยังไม่ได้ไปไหนมาเลยว๊ะ” “กูไม่ได้ถามมึงแต่กูถามลูกกำนันโว้ย!!!???....” “ผมอยู่บ้านเหงาครับเลยออกมาคุยกับเพื่อนๆครับลุง เชิญตามสบายนะครับ” “อ้อๆๆแค่นั้นหรือนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีกว๊ะคุณพ่อชวน” คนชื่อปังเอ่ย “งั้นตามสบายนะคุณลูกชวน”เสียอ้อแอเอ่ยซ้ำขึ้น แล้วไม่สนใจหันไปคุยกับ พวกๆกันต่อ ดังนั้นชวนจึงหยิบเก้าอี้ หันไปนั่งคุยกับเพื่อนๆ แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนๆฟัง “เฮ้ยๆๆๆหยามกันนี่หว่าแบบนี้พูดจาดีก็ได้นา เล่นปืนเล่นไม้แบบนี้ แล้วมึงจะเอา อย่างไรบอกพวกกูมา” เสียงไอ้ตี๋เล็กเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “นั่นซิไอ้ตี๋เล็กมันพูดถูกแล้วมึงจะเอาอย่างไรบอกได้เลยเพื่อน” เจ้ากุ๋นเอ่ยบ้าง “กูว่าแค่ไปตบสั่งสอนก็คงจะพอมั๊งไอ้ตี๋เล็ก” ชวนเอ่ยขึ้น “แต่มันมีปืนด้วยนะโว้ยด้วยมันก็เข้าบ้านไปแล้วนี่นา” ตี๋ใหญ่หันมาเอ่ยกล่าว “ก็ช่างหัวมันซิว๊ะไอ้ตี๋เล็กตี๋ใหญ่ เราก็มีนี่หว่าและดีเสียด้วยซิ” ไอ้กุ๋นเอ่ยโมโหแทน ส่วนไอ้เปล่งไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้นมันนั่งฟังกันคุย พลางหันมาบอกกับชวนว่า “งั้นพวกมึงรอกูเดี๋ยวนะไม่เกินห้านาที” พูดเสร็จมันก็ลุกก้าวเดินออกจากร้านทันที คงมีแต่ชวนรู้คนเดียวว่าไอ้เปล่งมันไปไหน ด้วยเคยบุกลุยกันมาแล้วแค่สองคนก็ ยังต้านคนจำนวนห้าคนได้เลย จึงยิ้มหันไปกล่าวตามหลังว่า “งั้นเร็วๆหน่อยนะไอ้เปล่งเท่าไหร่เท่านั้น” “เออๆๆมึงไม่ต้องห่วงหรอก” เสียงลอยลมเข้ามาร่างมันหายไปแล้ว “เออๆๆดีว๊ะระยะนี้กูก็รู้สึกเมื่อยคันมือคันตีนเหมือนกันนะ “ เสียงไอ้ชื่นกล่าวลอยๆ “มึงค้นเหมือนกับกูเลยว๊ะไอ้ชื่น เฮ่อะๆๆๆ” เสียงพูดในคอของไอ้วาสเอ่ยบ้าง “แล้วมึงจะทำอย่างไรดีว๊ะไอ้ชวน???...” ไอ้วาสหันมาถาม “แล้วพวกมึงพร้อมหรือยังล่ะคอยไอ้เปล่งแล้วจะได้ไปๆกัน” ชวนเอ่ยถาม “คุณพ่อชวนเอ๋ย มึงแค่เอ่ยคำเดียวแม้ลุยไฟกูยังยอมเลยเพื่อน” ไอ้ตี๋ใหญ่กล่าวขึ้น “ดีๆๆงั้นเตรียมตัวเอารถมอเตอร์ไซค์ไปแต่ห้ามบิดคันเร่งนะโว้ย พอใกล้ๆบ้านดับเครื่อง ค่อยๆเข็นไป หาที่จอดแล้วลุยกันเลยบุกมันเข้าไปในบ้าน กระทืบพวกมันกูมองทางกระจกเห็นมีสักสี่ห้าคนกระมัง แล้วนางอีตัวอีกต่างหาก ส่วนพ่อมันเป็นคนบ้ากามคงจะกกอีกหนูอยู่แหละว๊ะ” ชวนเอ่ยเตือนพวกมัน ด้วยรู้นิสัยของเพื่อนร่วมตายทั้งหกคนดี “คิดเงินโว้ยแม่ค้า กูจะไปเที่ยวทื่อื่นในเมืองสักหน่อย” เสียงไอ้ตี๋ใหญ่เรียกแม่ค้า “เงินเอานี่ว๊ะ กูเลี้ยงพวกมึงเอง คอยไอ้เปล่งก่อนนะ” ชวนกล่าวพลางหันไปหา แม่ค้าที่กำลังเดินมา พอเห็นเป็นชวน ก็เอ่ยทักว่า “อ้าวๆพ่อชวนอยู่ด้วยหรือ ฉันมัวแต่อยู่ข้างในครัวไม่สังเกตุ งั้นวันนี้ต้อนรับพ่อชวน ทั้งหมดกินฟรี” แม่ดาเอ่ยพลางหันไปทำตาเล็กตาน้อยกับหนุ่มชวนทันที “ไม่ดีหรอกคุณดา ของค้าของขายเท่าไหร่บอกผมมาได้เลยครับ” ชวนเอ่ยขึ้น “ แม่ลัดดาคนสวยแล้วพี่ตี๋ใหญ่ล่ะ แหม๋ขอติดสักนิดสักหน่อยไม่ได้เลยนะทีไอ้ชวนนะ พ่อชวนหรือไม่เป็นไรดาไม่คิดเงิน ถามจริงๆเถอะแม่ดาไอ้ชวนกับพี่ตี๋ใหญ่ใครหล่อ กว่ากันนะ” “ไอ้บ้ากูไม่ได้พูดกับมึงทำมาทะลึงได้ เดี๋ยวแม่ตบเอาเสียนี่ไอ้เห้....” พลางยกมือขึ้น เล่นเอาไอ้ตี๋ใหญ่ลุกไปแอบหลบไอ้ชวนทันที แล้วยื่นหน้ามายั่วว่า “ตบซิแม่ดาตูดใหญ่ ฮ่าๆๆๆ” เล่นเอาหญิงสาวเจ้าของร้านถลาวิ่งเข้ามาจะตบเจ้าตี๋ใหญ่ให้ได้ แต่ติดขัดคนที่หล่อน หมายปองไว้จึงชะงัก “ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ขี้ก้าง หากไม่มีคุณชวนและเอ๋ยดูฤทธิ์แม่บ้างซิ เถอะน่าวันพระ ไม่ใช่มีแค่ครั้งเดียวเสียเมื่อไหร่ จริงไหมจ๊ะพี่ชวน???....” หล่อนลอยหน้ามาถาม เล่นเอาชวนหัวร่อฮึๆๆแต่ไม่กล้าส่งเสียงดังมาก จำต้องตามน้ำไป “จ้าแม่ดา วันพระเดือนหนึ่งมี สี่หนแน๊ะ “ ชายหนุ่มชวนเอ่ย “แต่ว่าวันนี้ขอร้องแม่ดาก่อนนะจ๊ะ เพราะผมกับพวกมันจะต้องไปธุระกันในเมืองก่อน จ้า ไว้วันหน้าจะมาช่วยอุดหนุนแม่ดาอีก คราวนี้ต้องเอาเงินด้วยนะ” ชายหนุ่มเอ่ย ทำเอาแม่ลัดดาสาวสวยเจ้าของร้านอาหารยิ้มแก้มแทบแตก อันที่จริงหญิงคนนี้เป็นคนสวย คนหนึ่งในหมู่บ้านบางโค และเป็นโสดอีกด้วย จิตใจห้าวหาญนัก เปิดร้านอาหารตัวลำแข้งตัว คนเดียวอาศัยเป็นคนไม่เกรงกลัวคนถึงลูกถึงคนอีกด้วย ซ้ำยังมีเพื่อนของชวนซึ่งเป็นลูกพี่ของบรรดาทะโมนทั้งหกนี้คอยดูแลคุ้มครองให้ จึงทำให้คนมากินอาหารที่นี่ไม่มีใครกล้ารุ่มร่ามกับเธอ เธอรู้ว่าเมื่อหล่อนเกิดชอบชวนขึ้นมา พวกนี้ก็ต่างเปิดทางไม่ข้องเกาะแกะรุ่มล่าม นอกจากจะล้อเล่นกระเซ้าเย้าแหย่ในฐานเพื่อน กันเท่านั้น ซึ่งหล่อนรู้ดีถึงข้อนี้ แต่หากมีหนุ่มอื่นๆมากินอาหารทำเบ่งไม่จ่ายเงิน เป็นโดนคนทั้งหกนี้ไล่เตะออกนอกร้านทุกๆคนหนีแทบไม่ทัน จนเป็นที่เลื่องลือในหมู่บ้าน ไม่เคยมีรุ่นพี่รุ่นน้องมาเทียบรัศมีในความเก่งกาจกล้าหาญไปได้สักรายเดียว และยิ่งมันทั้งหกเกาะกุมแบบเพื่อนกินเพื่อนนอนด้วยกัน ไปไหนไปด้วยกันเสมอ หากจะรวมพี่ชวนเข้าไปด้วยก็เป็นเจ็ดพระกาฬเอาเสียเลยทีเดียว จนเรื่องนี้ร่ำลือไปถึงหมู่บ้านอื่นๆ ยกเว้นพี่ชวนเท่านั้นที่มาๆไปๆ แต่ทุกๆคนยกพี่ชวนให้เป็นหัวหน้า ไม่เพราะเป็นลูกกำนันหรอก แต่เป็นคนไม่กลัวคนและยังโอบอ้อมอารีต่อทุกๆคนด้วยยิ่งเพื่อน ด้วยแล้วเท่าไหร่เท่ากัน พี่ชวนไม่เคยเอ่ยปากสักครั้งเดียวให้แล้วไม่คิดจะเอาคืนอีกด้วย จึงทำ ให้บารมีของชวนแผ่กว้างครอบคลุมไปทั่วหมู่บ้านบางโค จะรองก็คือพ่อของชวนเองเท่านั้น ซ้ำเวลามีเรื่องพี่ชวนมักจะออกหน้าก่อนใครลงมือก่อนใครทั้งหมด พวกนี้จึงซึ้งน้ำใจยิ่งนัก เรียกว่าในหมู่บ้านบางโคนี้ แทบทั้งสิ้นยอมสยบกับเขาหมด แม้แต่เด็กเล็กแดงผู้ใหญ่ยิ่งอยาก จะใกล้ชิดสนิทสนม แต่เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดมากเฉยๆ ซ้ำสำคัญคือการเจรจาไพเราะจึงทำให้ แม่ดานอนฝันหวานตั้งหลายๆครั้งหลายคราเชียว คอยวันเวลาสำหรับชวนเท่านั้น “แล้วพี่ชวนจะเอาพวกตะเข้ตะกวดไปหรือจ๊ะ” หญิงสาวหันมาถามทันที “อ้าวๆๆๆแม่ดานี่เอาพวกข้าไปเป็นสัตว์กินไก่เมื่อไหร่นะ พูดให้ดีๆนะแม่ดาจ้า” ไอ้ชื่นเอ่ย เสียงหวาน มันพยายามจะให้เสียงหยดย้อย แต่เสียงมันดังระเบิดห้าวๆใหญ่ๆ “แหม๋คุณพี่ไอ้เหี้ยชื่น ดาจะไปกล้าล่วงเกินคุณพี่ไอ้เหี้ยคนนี้ได้อย่างไรเล่าว๊ะ” แม่ดาย้อนมา “เฮ้ยๆๆๆพวกมึงช่วยฟังดูซิแม่ดาชมกูหรือว่าด่ากูว๊ะ” มันหันหน้าไปถามเพื่อนๆมันทันที เล่นเอาพวกทั้งหมดต่างหัวร่อเสียงดังลั่นร้านไปทันที แล้วพร้อมกันเอ่ยว่า “เฮ้ยไอ้ชื่นแม่ดาชมเอ็งว๊ะ คิดมากไปได้เพื่อน” “เอ้ๆๆๆกูชักงงว๊ะ คุณพี่ชื่น ไหง๋ดันมีตัวเหี้ยด้วยว๊ะ ไอ้ตี๋เล็กมึงว่าอย่างไรช่วยไขสิ่งพรรณา ให้กูฟังหน่อยซิเพื่อน” “คุณพี่คุณดาเขาหมายถึงมึงแหละไอ้เหี้ยชื่น ส่วนไอ้เหี้ยคุณดาเขาหมายถึงตัวเหี้ยตัวตะกวดจรเข้ ว๊ะสงสัยแกจะติดฝังใจในคำพูดตอนแรกมั๊ง???...” ไอ้ตี๋เล็กตอบ “ก็แล้วไปโว้ย แต่ยังไงกูก็ทะแม่งๆนะโว้ย” ไอ้ชื่นสงสัย “พอๆๆเถอะพวกเราคุณดาเขาเป็นคนอย่างไรมีการศึกษาก็สูงคงจะไม่คิดอย่างที่ชื่นมันกล่าวหรอก อย่าคิดมากไป เลย โน่นๆ ไอ้เปล่งมันเดินมาแล้วแบกสะพายกระเป๋ามาด้วยล่ะ” หนุ่มชวนเอ่ย ทุกๆคนหันไปมองเป็นจุดเดียว ร่างของหนุ่มเปล่งที่สูงใหญ่กำยำล่ำสันไหล่สะพายกระเป๋าใบใหญ่ แล้วสองมือยังหิ้วใบขนาดย่อมมาอีกสองใบด้วย แต่มันไม่เข้ามาในร้าน ส่งเสียงเรียกพรรคพวกให้ออก ไปข้างนอก “อย่างนั้นผมไปก่อนนะครับคุณดา วันหน้าจะมาเยี่ยมอุดหนุนอีก มื้อนี้ถือว่าคุณดาเลี้ยงมื้อหน้า อย่าปฏิเสธผมอีกล่ะ ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงเองครับ” “ค่าๆๆๆไม่เป็นไรหรอกค่ะ ให้ดาเลี้ยงคุณและเพื่อนๆหากมีคุณอยู่ได้เสมอๆแหละค่ะ แล้วอย่าลืม มาให้ได้นะค่ะ” หญิงสาวยิ้มแก้มแทบแตก เมื่อเห็นหนุ่มชวนหันมายิ้มตอบ แล้วเข้าไปจับมือทั้งสอง แสดงความขอบคุณในอาหารมื้อนี้ ทำเอาหญิงสาวสะท้านขึ้นทันทีในหรือก็สั่นเต้นเหมือนกลองเพลที่พระตีไม่ต่างกันเลย แล้วทั้ง หมดก็หันมาขอบใจเจ้าของร้านอาหาร ต่างรีบเดินตามหนุ่มชวนหัวหน้ามันไปทันที......... * แก้วประเสริฐ. *
อทิสมานกาย ๖๑ หลังจากที่ชายหนุ่มสนทนากับพ่อแม่อยู่นั้น จิตเขาก็สัมผัสกับจิตที่ส่งกระแสมาเรียก จึงหาทางหลีกเลี่ยงเพื่อจะไปพบกับ เจ้าแสงสีสินชัย ซึ่งคงจะรอคอยเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นเมื่อผละจากพ่อแม่แล้ว เขาก็รีบเดินเข้าสู่ห้องทันที ก็พบว่า เจ้าแสงสีสินชัยนั่ง คอยเขาก่อนอยู่แล้ว พอมันเห็นหน้าเขา เจ้าแสงสีก็เอ่ยขึ้นทันที “นายครับ เด็กๆมันส่งข่าวมาให้ทราบแล้วว่า เสี่ยเม้งมันให้ลูกน้องมันขนย้ายสิ่งของ ไปเก็บไว้ยังภูเขา คนละทิศกันครับแต่ผมให้เด็กๆมันเฝ้าคอยดูแต่กำชับมันยังไม่ต้องลง มือแต่ประการใด จนกว่าจะมีคำสั่งจากนายมาอีกที” ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ “ดีแล้วล่ะแสงสีปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละด้วยยังไม่ถึงเวลาการจับกุม หากทำตอนนี้ เรื่องมันจะกระโตกกระตากไป คอยเวลาสักพักหนึ่งก่อน แล้วค่อยจะได้ลงมือพร้อมๆกัน ให้ได้ทั้งตัวบงการและคนอื่นๆในเวลาพร้อมๆกันด้วย แต่ทว่าข้าคิดว่ายามกลางคืนให้ พวกเด็กๆ ออกไปหลอกหลอนมันบ้างเป็นบางครั้งบางคราวก็ดีเหมือนกันนะ มันจะได้ เกิดความกลัวแล้วกลับไปรายงานหัวหน้ามัน ว่าสถานที่นำไปนี้เต็มไปด้วยพวกผีปีศาจ แล้วทางเจ้าล่ะ???....จะเห็นเป็นประการใดหรือ???....” “ก็ดีเหมือนกันแหละนายเรายังไม่ดำเนินการตอนนี้แต่เพียงให้มันถูกหลอกหลอนจน ประสาทมันรวนเรและ จะไม่กล้าเข้าไปรักษาของๆมันในยามค่ำคืน” เจ้าสินชัยออกความเห็น “อย่างน้องสินชัยเอ่ยนี้ก็ดีเหมือนกันแหละนาย ฉนั้นการลงมือในยามค่ำคืนก็จะหาคนมา ช่วยได้ยากครับนาย” แสงสีกล่าวขึ้น “ในเมื่อเราตกลงกันได้เช่นนี้ สินชัยและแสงสีก็ให้เด็กๆมันไปบอกพวกที่เฝ้าดูไว้ ก็แล้วกัน เรายังไม่ต้องลงมืออะไรทั้งสิ้น ส่วนเจ้าทั้งสองก็ฝึกสมาธิกันต่อไปทั้งพวกที่ อยู่กับเราด้วยนะ แล้วช่วยถ่ายทอดวิชาอาคมที่ข้ามอบไว้ให้มันด้วย” ชายหนุ่มสั่งทั้งสอง “ครับนาย หลังจากผมไปสั่งงานมาแล้วจะมานั่งทบทวนวิชาอาคมให้ชำนาญเสร็จแล้วก็ จะเจริญสมาธิต่อไป” ทั้งสองเอ่ยขึ้น “ตอนนี้เจ้าทั้งสองนั้นผ่านจากอทิสมานกายไปแล้วนะ ดีใจกับเจ้าด้วย ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เจ้ารอดพ้นจากอบายภูมิได้ หากเจ้าทั้งสองไม่ได้เจริญทางด้านนี้ ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่จะต้องลงไปสู่อบายภูมิ แต่บัดนี้สิ่งที่เจ้าทำไปนั้นทำให้เป็นมหากุศลในทางอ้อมไว้ทำให้ เจ้ารอดพ้นไปได้ อีกทั้งเจ้ายังจะเข้าสู่ขั้นเทพเสียด้วย หากเมื่อถึงเวลาก็จะไปสู่แดนเทพต่อไป” “ครับนาย...ที่ข้าทั้งสองได้รับความรู้นี้ก็ด้วยพระคุณของนายทั้งสิ้น ที่ชี้หนทางสว่างให้ แก่พวกข้าจนมาถึงวันนี้” เสร็จคำพูดมันทั้งสองก็ก้มลงกราบชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มก็พยุงตัวมันขึ้นพลางเอ่ยว่า “เห็นทีว่าเจ้าทั้งสองกับข้านั้นในภพใดภพหนึ่งเคยทำบุญร่วมกันมาถึงได้มีวันนี้แหละ ดังนั้นขอให้เจ้าสบายใจได้ แต่ทุกๆวันอย่างลืมเจริญสมาธิเป็นอันขาด ด้วยข้านั้นสามารถ ปล่อยวางเจ้าได้แล้ว นอกจากคอยดูแลหากเวลาได้เจ้าเดินผิดทางจะได้เพียงแค่คอยเตือนก่อน ที่จะล่วงล้ำผิดทางไป” ชายหนุ่มกล่าวแก่ทั้งสอง ซึ่งบัดนี้จากสภาพของหุ่นที่เขาสร้างขึ้นมานั้นได้ถูกอำนาจฌาน สมาธิเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ชายหนุ่มเห็นรังษีแผ่ออกมาจากคนทั้งสองเป็นประกายแวว พรั่งพรูออกมายามที่มันเคลื่อนตัวของมัน เพียงแค่รังษีมันเท่านั้นก็สามารถสยบ บรรดาเหล่า ผีปีศาจทั้งหลายได้อยู่แล้ว จึงอมยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปเจ้ามาถึงขั้นนี้แล้วอย่าได้ทำการเบียดเบียฬใครเขา สิ่งใดหลีกเลี่ยงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ได้ก็ควรจะหลีกเสีย ให้พิจารณาถึงมันว่าจะถึงฆาตที่จะอยู่ในร่างของมนุษย์ได้อีกต่อไปหรือไม่ ซึ่งตอนนี้เจ้าก็สามารถแยกแยะได้แล้วนะ ในค่ำคืนนี้ให้พวกเด็กๆของเจ้าทำการหลอกหลอน พวกที่เฝ้ารักษาของผิดกฏหมายได้แล้วล่ะ???....” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “ครับนายเดี๋ยวผมจะไปสั่งพวกเด็กๆให้รีบออกเดินทางไปได้แล้ว และให้มันกลับมารายงานทุก ขั้นตอนด้วยครับ” ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมๆกัน “เอาล่ะงานนี้ก็ไปได้อีกขั้นหนึ่งแล้ว แต่ข้าอยากให้เจ้าช่วยเหลือเขาในการทำบุญเป็นกุศลแก่ พวกเจ้าอีกทางหนึ่งคือ บุคคลนี้ถึงแม้อดีตชั่วเลวร้ายแต่กลับใจได้แล้วก็เห็นสมควรสนันสนุนเขา เช่นดั่งองค์คุลีมาลอดีตโจรร้ายที่ฆ่าคนมาจำนวนมากด้วยหลงเชื่ออาจารย์ที่บอกทางผิดๆแก่เขา จวบจนมาพบพระพุทธองค์จึงด้วยบุญบารมีเก่าถึงคราวจะพ้นกรรมได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ เขาคนนี้ก็เหมือนกัน ข้านั่งสมาธิดูเห็นว่าต่อไปในภาคหน้าเขาจะได้ครองวัดโคกอีแร้งแทน หลวงพ่อทองต่อไปอย่างแน่แท้ ฉนั้นตอนนี้เขากำลังประสบเคราะห์กรรมที่ย้อนกลับมาหา หากเราได้ช่วยเขาไว้จะได้ผลานิสงฆ์ไว้มากอีกทางหนึ่งด้วย ฉนั้นข้าจึงให้เจ้าทั้งสองไปช่วย เหลือเขาเพื่อจะได้ผลบุญอันนี้สืบสานเจ้าให้เจริญขึ้นมากกว่าเดิมนะ” ชายหนุ่มเอ่ยแก่ทั้งสอง “ครับนาย...ที่จะให้ข้าทั้งสองไปช่วยนั้นใครกันล่ะนาย???...” “อ้อๆๆ...กำนันหวนแห่งหมู่บ้านบางโคไงล่ะเจ้าคงจะจำได้นะ ตอนนี้เขาจัดการงานด้านที่เขา ตั้งใจไว้ก่อนจะไปออกบวชตลอดชีวิต เพื่อละในสิ่งไม่ดีงามต่างๆไว้ อีกสองสามวันนี้แหละ บรรดาเหล่าปีศาจที่หนีมาจากอาจารย์เจี๊ยะเปิง ซึ่งอาศัยเร่ร่อนส่วนใหญ่แอบพักตามชายคา ต้นไม้ในเนื้อที่ของกำนันนี่แหละ ครั้นมันรู้ว่ากำนันจะออกบวชตลอดชีวิตด้วยรับรู้จากพวก มารทั้งหลายโดยได้รับคำสั่งมา ก็จะหาทางกีดกันขัดขวางกลั่นแกล้งมิให้กำนันนั้นออกบวช ได้” ชายหนุ่มกล่าว “อ้อๆๆๆ...อีกอย่างหนึ่งข้าทราบว่า พวกผีปีศาจเหล่านี้มันครบวาระแล้วที่จะต้องไปชดใช้ กรรมของมัน ให้เจ้าทั้งสองเพียงแค่ขัดขวางมันเท่านั้นไม่ต้องไปทำอะไรมันหรอก ด้วยจะ มีคนของทางเบื้องล่างขึ้นมารับตัวมันทั้งหมดในไม่ช้านี้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มกล่าวย้ำขึ้นอีก “ครับนาย...เมื่อพวกข้าจัดการเรื่องของนายเรียบร้อยแล้วก็จะรีบไปช่วยเหลือทางกำนันหวน ทันที และอาจจะไปถึงก่อนจะได้ตรวจสภาพต่างๆได้ โดยจะนำคนของเราไปประมาณสิบตน ได้ครับนาย” แสงสีสินชัยเอ่ยขึ้น “แล้วสั่งคนของเจ้าด้วยว่าไม่ต้องไปทำอันตรายมัน เพียงคอยปกปักเขาไว้เท่านั้น หากว่ามัน ยังกำเริบเสิบสานมากด้วยได้ใจ ก็แสดงให้มันเห็นเสียบ้างเท่านั้นนะ” “ครับนาย เดี๋ยวข้าจะรีบไปทำงานทางด้านนายเสียก่อนแล้วก็จะเลยไปทางบ้านกำนันหวน ทันทีครับ ด้วยพอจะทราบข่าวเรื่องพวกผีปีศาจนี้เหมือนกัน ด้วยก่อนมันก็เคยมาทางบ้านเรา แต่โดนพวกเด็กๆมันไล่ตะเพิดหนีไป ต่างได้รับความเจ็บปวดมาแล้วนาย” “ดีแล้วล่ะ วันนี้แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะไปออกกำลังกายสักหน่อย นี่ก็จวนจะมืดเสียก่อน” “ครับนาย” แล้วร่างมันทั้งสองก็หายวับไปทันที ชายหนุ่มเมื่อเห็นเจ้าแสงสีสินชัยออกเดินทางไปแล้ว เขาก็ออกมาจากภายในห้อง แล เห็นสาวชบากำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเสียงดังเล็ดรอดออกมาจากในครัว ชายหนุ่มยิ้มเมื่อ นึกถึงที่เขาปลอบใจแม่ของเขา ด้วยเขารู้ว่าอนาคตต่อไปของเขาจะเป็นอย่างไรเสียแล้วก็อดที่ จะนึกทึ่งในความเห็นของแม่สาวเทพอัปสรเสียไม่ได้ ชายหนุ่มรู้แต่เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น ในเมื่อฟ้าดินลิขิตเส้นทางเดินของเขาไว้ล่วงหน้าเสียแล้ว จึงไม่อยากจะฝ่าฝืนดวงชะตาและอีก อย่างมันไม่ร้ายแรงเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นผลดีแก่เขาด้วย จึงหัวร่อในใจ แล้วรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ไปเพื่อออกกำลังกายที่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันเสมอๆ ด้านกำนันหวน แม่เย็น ชวนและ บงกช เมื่อออกจากบ้านพ่อเชียรแม่เข็มไปได้ระยะหนึ่งแล้ว กำนันหวนที่นั่งมาในรถกะบะ มีเจ้าชวนขับอยู่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ ข้าเองก็ไม่เคยคิดเลยและไม่สงสัยเลยว่า เหตุใดพ่อเชียรและแม่เข็มจึงได้รับการยกย่องจาก หลวงพ่อทองมากนัก ตอนแรกก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก ภายหลังได้มาสนทนานี่แหละถึงจะเข้าใจว่า เหตุใดหลวงพ่อทองท่านจึงยกย่องเสมอท่านนะแม่เย็น” “ฉันเองตอนแรกก็งงเหมือนกันนะพ่อกำนัน ยิ่งมาเห็นอัธยาสัยไมตรีเช่นนี้ พี่สังเกตุไหมว่า ตอนที่ฉันลงมาทำธุระเบานั้นนาน ฉันได้ลอบออกไปยืนมองบริเวณสถานที่ไว้ด้วยนา” “ข้าเองก็พอๆจะรู้เหมือนกันเกี่ยวกับครอบครัวนี้นะ แต่ตอนนั้นไม่สนใจเท่าใดนักด้วยงานมัน เร่งมาเสียด้วย รับเงินเขามาแล้ว แม่เย็นก็รู้นี่นาว่าข้าเป็นคนอย่างไรในเมื่อรับปากแล้วจะต้องทำ แต่ก็ดีไปอย่างหนึ่ง หากไม่เกิดกับตัวเองแล้วคงจะไม่คิดถึงเรื่องกุศลเลย” “เรื่องนี้ฉันเองก็ออกอดจะปลาบปลื้มใจไม่น้อยเลยล่ะพี่และก็แปลกใจไปเหมือนกันนะ หรือว่า พี่จะถึงคราวหมดเวรหมดกรรมทางเรื่องนี้แล้วล่ะ???...” “ข้าเองเรื่องจะลาออกนะไม่ห่วงเท่าไหร่หรอก แต่มาห่วงอีหนูมันนะซิ ข้าสังเกตุมองเห็น ว่าในหมู่บ้านเราและบริเวณแถบนี้ที่ข้าคุ้นเคยดี ไม่มีครอบครัวใดที่เหมาะสมไปกว่าครอบครัว ของพ่อเชียรแม่เข็มไปได้ แต่ทว่าเราเป็นฝ่ายหญิงนะจะเอื้อนจะเอ่ยหรือก็ดูกระไรอยู่นะไม่เย็น อีกอย่างหนึ่งข้ามองลูกชายคนโตเขาก็ให้ถูกอัธยาสัยแก่ข้ามากว่าเจ้าชัยเสียอีก แต่มาคิดๆดูบุญวาสนา ลูกเราคงจะไม่ถึงหรอก หากพ้นจากคนๆนี้ก็ให้เรามีทางเลือกอีกคือด้านเจ้าชัยนี่แหละถึงแม้ว่ามันจะ สู้พี่มันไม่ได้แต่ก็ไม่เลวไปเสียทุกอย่างนะ มันก็ขยันขันแข็งรู้จักรับผิดชอบของมันได้ดีไม่แพ้พี่ชาย ของมันเท่าไหร่นัก เมื่อข้าคิดตกลงแก่ใจเช่นนี้ก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แม่เย็นช่วยแนะนำข้าบางซิ ลางทีความคิดของแม่เย็นอาจจะดีกว่าข้าตอนนี้ก็ได้นา” กำนันเอ่ย “เรื่องนี้มันต้องเป็นของฝ่ายหญิงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าฉันจะดูถูกความคิดของพี่นะ ด้วยความละเอียด อ่อนของผุ้หญิงย่อมมีมากกว่าของผุ้ชาย ในเมื่อเราสนิทสนมกับเขาขนาดเรียกพี่เรียกน้องได้นั้นก็ เป็นหนทางให้แก่เราอยู่แล้วนะพี่ ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนี้ฉันจะจัดการเองแหละ ทางที่ดีที่สุดคือ ทางฝ่ายหญิงเขานั่นแหละพี่ดีที่สุด ตกลงว่าใจพี่จะเลือกใครกันแน่ล่ะ???...” “ก็ข้าบอกแม่เย็นไปแล้วนี่นา ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ข้ายินดีต้อนรับเสมอแหละ ไม่เกี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น แล้วแม่เย็นเห็นเหมือนข้าไหมล่ะ???” “ใช่แล้วพี่เรื่องนี้ดีทั้งสองทาง หากได้ทางใดทางหนึ่งก็ถือว่าบุญของอีหนูมันแล้วล่ะ แต่ข้าสังเกตุ ยามแรกอีหนูมันสนใจเจ้าชัย แต่พอเจอพี่ชายมันเท่านั้นไหนเปลี่ยนไปกระทันหันนี่ซิทำให้งุนงง” “ถ้าเป็นแม่เย็นตอนสาวๆก็เถอะข้าคิดว่าก็เหมือนอีหนูมันหรอก ไม่คิดอะไรเพราะว่าพี่ชายของ เจ้าชัยนั้นทั้งหน้าที่การงานหรือก็เป็นน่าเป็นตาได้อีกทั้งวิชาอาคมหรือก็เป็นศิษย์หลวงพ่อทองอีก นับว่ามันประสบความสำเร็จทั้งสองด้านเลย แล้วหญิงใดล่ะจะไม่เปลี่ยนใจกันง่ายๆ ส่วนเจ้าชัย นั้นมันดีแต่เฉพาะด้านการงานเท่านั้นเอง” กำนันหวนกล่าวก็หัวร่อฮึๆๆ “อืมมม???...เรื่องนี้พี่แยกแยะมาถูกต้องถึงเป็นข้าก็เถอะนะพี่ อย่างไรก็ต้องลองสักตั้งและนะ” แม่เย็นเอ่ยยั่วผู้ผัว “ข้าหรือ ฮ่าๆๆๆ ก็ต้องยอมเขาแล้วล่ะ ด้วยข้าตอนนั้นมันจนมากๆเสียด้วย ที่ได้เป็นกำนันมามี หน้ามีตาก็ด้วยข้ามาทำงานด้านนี้มีเงินมีทองมากมาย แล้วไอ้คนในหมู่บ้านบางโคนั้น มันเห็นเงิน ได้เสียเมื่อไหร่ละแม่เย็น คงจะเหมือนกับข้าแหละไม่คิดว่าสิ่งที่ทำไปนั้นมันจะเข้าตัวเองดุจดั่งขึ้น บนหลังเสือ ครั้นจะลงหรือก็ช่างแสนยากเย็นอะไรเช่นนี้ ถึงป่านนี้ก็เถอะนะใจข้ายังหวั่นๆชอบกล อยู่ แต่มาปลงตกได้คือว่าหากข้าตายไปครอบครัวก็สบายไปแล้ว และตายก็ขอให้ตายในร่มผ้ากา สาวพัดนี่แหละ จึงไม่คิดอะไรมากหากว่าอีหนูมันได้เป็นฝั่งเป็นฝาแล้วก็หมดห่วง หันมามองด้าน แม่เย็นหรือก็ไม่เป็นปัญหาอยู่แบบสบายๆอยู่แล้วและอายุหรือก็ล่วงมาจนป่านนี้แล้วทำให้ข้าได้ หมดห่วงไปอีกเปลาะหนึ่ง เฮ่ออๆๆๆๆพูดเรื่องนี้ เจ้าประคุณสาธุหากข้ามีบุญในใต้ร่วมผ้ากาสาว พัดแล้วขอให้ความคิดนี้สำเร็จด้วยเถิด” กำนันหวนกล่าวจบก็ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว “เรื่องครอบครัว ฉันก็หมดภาระเป็นห่วงแล้วหากอีหนูและเจ้าชวนมันสบายๆนะ นึกถึงเจ้าชวนเอง ก็ให้อดสงสารมันไม่ได้ถึงมันจะไม่ใช่ลูกแท้ๆเราก็เถอะ แต่เราก็เลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยอีกมัน หรือก็รักเราเหมือนพ่อแม่ของมันเองที่ตายไปแล้ว อีกครอบครัวพ่อแม่มันหรือก็หนีไปในกรุงเทพฯ กันหมดที่ทางก็ขายเสียเกลี้ยงซ้ำยังเอาที่ของมันไปขายเอาเงินไปแบ่งกันเมื่อพ่อแม่มันตายไปแล้ว จึงรีบหนีไปกรุงเทพ มันจึงเสมือนไร้ญาติขาดมิตรไปเลยล่ะพี่” แม่เย็นเอ่ยถึงเจ้าชวน “เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาหรอกแม่เอ๋ย ก่อนจะบวชอีกไม่นานข้าก็จะไปโอนที่ให้แบ่งกับอีหนูมันคนล่ะ ครึ่งที่อำเภอคราวไปลาออกจากกำนันนี่แหละ สบายใจได้แล้วแม่เย็น” “หากเป็นเช่นนี้ใจฉันก็สบายหลังจากอีหนูเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว ส่วนเจ้าชวนนั้นก็ไม่อยากจะเข้า ไปก้าวก่ายในเรื่องผู้หญิงหรอก ให้มันหาของมันเองแต่เรื่องนี้ฉันก็ไม่เป็นห่วงแล้วด้วยมันเมื่อได้ รับมรดกจากเรา ไหนเลยผู้หญิงจะไม่มองมันและรูปร่างหน้าตามันก็ไม่เป็นรองใครในหมู่บ้านเรา อีกด้วยนะพี่ ฉันเองว่าเมื่อทุกๆอย่างลงตัวกันแล้วก็จะไปขอหลวงพ่อออกบวชชีเหมือนกันล่ะ???” “หากแม่เย็นคิดได้อย่างนี้ทำให้ข้ายิ่งหมดห่วงไปอีกหนึ่งล่ะ อนุโมทนาบุญด้วยคนนะแม่เย็น” “ฉันเอาแน่พี่หากทุกๆอย่างสมบูรณ์ตามความคิดเห็นของพี่และฉันนะ ฉันก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง เกี่ยวกับครอบครัวของอีหนูและเจ้าชวนมัน วางมือเสียทีนะเพียงจะเอาเงินไปก้อนหนึ่งไปเพื่อกิน ในระหว่างบวชชีด้วยไม่มีรายได้อะไรเลยและได้ทำบุญสร้างวัดบ้างจ๊ะพี่” “เป็นความคิดที่ดีจ้าแม่เย็น ข้าก็จะเบิกเงินจากธนาคารมาเข้าบัญชีแม่เย็นไว้เวลาไปบวชจะได้มี เงินใช้จ่าย ส่วนข้านั้นไม่เอาอะไรทั้งสิ้นจะถ่ายเทออกเป็นสามส่วนให้เงินพวกมันไปลงทุนบ้าง ส่วนเหลือนั้นจะถ่ายเข้าธนาคาร ธกส. ให้แม่เย็นหมดเลย” แล้วทั้งสองก็ต้องหยุดการสนทนากัน ด้วยได้ยินเสียงเจ้าชวนหันมาถามว่า “พ่อๆๆ พ่อจะแวะบ้านกำนันมั่นหรือเปล่าล่ะพ่อ???” “คงจะไม่ล่ะลูกนี่ก็จะมืดแล้ว เลยไปเลยพ่อเองเมื่อมาทางนี้ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว” “จ๊ะพ่อ ข้าจะได้เร่งเครื่องให้มันเลยไปอย่างรวดเร็วนะ” “เออดีแล้วล่ะ ไอ้มั่นจะคิดอย่างไรช่างมันเถอะ” ครั้นพอรถกะบะซึ่งจะต้องแล่นผ่านบ้านกำนันมั่นก่อน เจ้าชวนก็เร่งเครื่องรถทันที เสียงรถดัง สนั่นด้วยบนถนนนั้นบ้างขรุขระ รถจึงกระแทกกับพื้นเกิดเสียงดัง แล้วรถก็หายลับตาไป เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากภายในบ้าน ซึ่งไอ้แม้นไอ้สนไอ้เบี้ยวตลอดจนสาวๆทั้งหลายกำลัง ได้เวลาจัดเตรียมอาหารมานั่งกินเหล้ากันเช่นเคย “ไอ้ห่า!!!!...ไอ้สนไอ้เบี้ยวมึงไปดูซิว่ารถใครว๊ะ ไอ้เหี้ยนี่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง???ยิงปืนไล่ มันเลยว๊ะ???...” ไอ้แม้นสั่งด้วยความโมโหเมื่อได้ยินเสียงรถดังสนั่นก้องเข้าไปในหูพวกมัน “ไอ้สนไม่ต้อง เดี๋ยวกูจัดการเอง” กล่าวเสร็จไอ้เบี้ยวก็ชักปืนออกจากเอว วิ่งเหยาะๆไปหน้าบ้าน เพื่อจะยิงมันสักเปรี๊ยงสองเปรี๊ยง แต่มันไม่เห็นตัวรถ เห็นแต่ฝุ่นเป็นทางยาวทิ้งเอาไว้ คลุ้งไปด้วยฝุ่น ทั้งสิ้น ด้วยความคะนองมือจึงยกปืนขึ้นบนท้องฟ้ายิงออกไปสามนัด ปั๊ง!!!..,ๆๆ ได้ผลชะงัด เสียงตะโกนออกมาจากบนบ้านทันที “ไอ้พวกห่าราก???... มึงยิงปืนทำไม ยิงหาพ่อหาแม่มึงหรือว่าจะยิงโคตรพ่อโคตรแม่มึง???...” คราวนี้เสียงจากพวกไอ้แม้นเงียบสงบทันที ไอ้เบี้ยววิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นๆ “ไม่ต้องห่วงหรอกว๊ะไอ้เบี้ยว พ่อกูก็แบบนี้แหละ มาม๊ะมา เอ๊านี้แก้วเหล้าของมึงโว้ย???...” “ค่อยยังชั่วหน่อยนี่ไอ้แม้นไม่เอ่ย???...มีหวังข้าโดนเต๊ะแน่ๆๆๆ” ไอ้เบี้ยวกล่าว แล้วทั้งหมดก็ต่างนั่งล้อมวงคุยกันสารพัดเรื่อง ล้วนแต่เรื่องความเก่งกล้าสามารถของพวกมัน ทั้งสิ้น จวบจนตะวันลับไปความมืดเข้ามาแทนที่........... * แก้วประเสริฐ. *
อทิสมานกาย ๖๐ หลังจากที่กำนันหวน แม่เย็น และลูกๆได้ออกเดินทางกลับบ้านกันแล้ว ภายในห้องกว้าง พ่อเชียรแม่เข็มและโชติกำลังนั่งสนทนากันในเรื่องราว ต่างๆเกี่ยวกับในเมือง ที่มีการเปลี่ยนแปลงจนชวนน่าสัยนัก และในเรื่อง ทางกรุงเทพ จับกุมพ่อค้ารายใหญ่ซึ่งทรงอิทธิพลในเรื่องไม้ที่ถูกจับกุมใน เขตพื้นที่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านโคกอีแร้ง ให้ลูกชายฟัง “โชติเอ๋ย??...ตั้งแต่มีการปรับการทำงานของทางราชการนี้ พ่อดูๆนะ มันวุ่นวายไปหมด รู้สึกว่าทางการจะเข้มงวดกวดขันขึ้นกว่าเก่ามากนัก ตลอดจนการปราบปรามผู้ร้ายหรือก็ได้ผลมากอีกเสียด้วยนะลูก แรกเริ่ม ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดลงมาถึงอำเภอต่างๆและไปถึงโรงพักต่างๆอีกด้วย ถ้าหากผู้ใหญ่ๆที่มีอำนาจดำเนินการแบบนี้ คงอีกไม่ช้าหรอกแผ่นดิน เราก็จะเกิดความสงบสุขและจะกระจายไปทั่วๆแน่ พ่อคิดเช่นนี้ เจ้าจะออกความคิดเห็นอย่างไรบ้างลูกในฐานะลูกก็รับราชการมา” พ่อเชียรเอ่ย พลางหันไปมองหน้าลูก “จริงซิพิเชียร??... ข้าว่านะก็ดีเหมือนกันนะพี่ ดูซิในเขตเรา กำนันต่างๆล้วนแต่เก็บตัวเงียบๆกันไปหมด แม้กำนันหวนหรือ ก็ยังคิดจะออกบวชเลิกยุ่งเกี่ยว มันยังไงๆนาพี่ เมื่อพี่เอ่ยมา ทำให้ข้ามานั่งคิดดูชักจะเห็นคล้อยพี่เสียแล้วล่ะ??... พ่อโชติล่ะมีความเห็นอย่างไรบ้างล่ะ???...” แม่เข็มเอ่ยบ้าง พลางมือก็ลูบพื้นไปพลางๆ “ตั้งแต่ได้ชบาและเจ้าชัยมาอยู่ทำให้บ้านเราและไร่นาสวนก็ดีขึ้นทันตาเห็น บ้านหรือก็ช่างสะอาดสะอ้าน ของที่เคยวางเกะกะก็เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น ข้าเองหรือก็แก่เสียแล้วกำลังวังชาหรือก็ไม่เหมือนเก่าๆนะพี่ มันมาอยู่ไม่เท่าไหร่ ทางไร่นาสวนหรือ มันก็เป็นแรงกายให้พี่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมากเหมือนแต่ก่อน” “นั่นซินะแม่เข็ม ข้าหรือก็เบาใจขึ้นอีกโขเชียวล่ะ มานั่งคิดดู หากชบามันแต่งงานไปกับคนอื่น ข้าคงทำใจไม่ได้แน่ๆเชียว เสียดายจริงๆนะแม่เข็มหากมันได้กับลูกเราเจ้าโชติหรือ ข้าเองก็จะตายตาหลับคราวนี้แหล่ะแม่เข็มเอ๋ย???” พ่อเชียรกล่าวเบาๆ สายตาชำเลืองไปในครัวและลูกชายคนโต “นั่นซิพี่เชียรข้าเองก็คิดๆนอนๆคิด ก็ให้รู้สึกชักสับสนมากจริงๆนะพี่???.. แล้วจะแก้ไขกันอย่างไรดีล่ะ บอกตรงๆนะพี่ แต่ก่อนนี้ข้าก็เฉยๆ แต่เดี๋ยวนี้มันสับสนไปหมดคิดอะไรไม่ออกเอาเสียเลยล่ะ เสียดายจริงๆพี่??....” แม่เข็มกล่าวด้วยสีหน้าสลดยิ่ง “แม่เข็ม...ไม่ใช่ข้าไม่คิดนะก็เหมือนแม่เข็มเหมือนกัน แต่หากว่าเรื่องนี้ทำให้ข้าและแม่เข็มสะเทือนใจมากล่ะก็ ฮึๆๆๆ???......” พ่อเชียรเพียงกล่าวเท่านี้ สายตาก็จ้องไปยังหน้าลูกชายสุดที่รักทันที “จะคิดอะไรๆ???....ก็รีบคิดนะพี่ ข้าบอกตรงๆว่าวุ่นวายใจไปหมด ด้วยระยะนี้ข่าวความสดสวยของมันก็ยิ่งกระจายไปทั้งหมู่บ้านด้วย ตั้งแต่มาอยู่กับเราสง่าราศรีมันยิ่งมากดังไปทั่วเป็นที่ต้องการของบรรดา พวกหนุ่มๆมากตาอีกด้วยนา” แม่เข็มกล่าว ครั้นนึกได้เลยเอ่ยอีกว่า “ก่อนนี้ก็ไม่มีแหละพี่ แต่เดี๋ยวนี้นะเห็นไอ้พวกหนุ่มๆมัน มาแวะหยุดมองหน้าบ้านเราเสมอ ข้าสังเกตุแต่ชบามันไม่สน มัวแต่ให้ข้าวอาหารหมูเท่านั้นเอง เมื่อพี่พูดขึ้นมาข้าเองก็ใจหายไม่น้อยเชียวละ” “เออน่าแม่เข็มอย่าคิดอะไรมาก หากจนปัญญาข้าก็จำเป็นต้องตัดสินใจ อะไรบางอย่างซะแล้ว เอากันอย่างไรก็เอากันนะ” พ่อเชียรเอ่ยให้แม่เข็มฟัง “อ้าวพ่อแม่แล้วลืมๆที่พูดตอนแรกหมดแล้วหรือครับ พูดกันไปพูดกันมาไหงมาลงที่ผมล่ะครับ” ชายหนุ่มยิ้มไปกล่าวไป “นั่นซิเจ้าโชติเอ๋ย พูดถึงเรื่องนี้มาข้ายิ่งใจแป๋วไปหมด ทำอะไรไม่ถูกว๊ะ???... ทั้งแม่เขาอีกโอ้ยๆๆๆปวดหัวจังว๊ะยังหาทางไม่ออกเลย” พ่อเชียรเอ่ยให้ลูกชายฟัง “จะไปเห็นยากอะไรล่ะครับ หากเป็นความนสุขของพ่อแม่ ผมยินดีทุกอย่างครับ อย่าไปคิดอะไรๆมากเถิดครับ ทำใจให้สบายได้ครับ เรื่องนี้นะมีทางออกตั้งแยะไปครับ” ชายหนุ่มเอ่ยให้พ่อแม่ฟังจะได้สบายใจ “ฮะฮ้า???...จริงหรือเจ้าโชติไหนๆลองแย้มให้พ่อแม่ฟังหน่อยซิ” “จริงด้วยลูก???...แม่ก็กำลังกลุ้มใจอยู่นี่นา” แม่เข็มรีบเอ่ยขึ้นทันที พร้อมจ้องหน้าลูกเหมือนจะคาดคั้นเอา แล้วชายหนุ่มก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆพ่อแม่กลัวคืนอื่นจะได้ยิน แล้วกระซิบเบาๆ “????......????....” แล้วก็หัวร่อเบาๆ คราวนี้ทั้งพ่อเชียรและแม่เข็มต่างตบเข่าดังเสียงผลัวะๆๆ พลางหันหน้ามองกันต่างหัวร่อจขึ้นทั้งสองคน ใบหน้าหมองก็สดชื่นทันที “ฮ่าๆๆๆความคิดดีนี่ลูก.....พ่อแม่ก็จะได้ไม่เป็นห่วง เรื่องลูกนั้น พ่อแม่รู้ว่าอย่างไรก็ต้องตามใจพ่อแม่อยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆ” ทั้งสองเอ่ยคล้ายๆแย่งกันพูดด้วยความดีใจยิ่งหัวร่อร่วน ทำให้ทั้งสองลืมคำถามเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองไปหมดไม่ย้อนถามอีก ครั้นชายหนุ่มเห็นพ่อแม่สบายใจขึ้น เขาก็ขอตัวบอกว่ามีงานกำลังรอทำอยู่ แล้วลุกขึ้นหมายจะเข้าห้องหลีกหลบการสนทนาของพ่อเชียรแม่เข็ม สาวชบาแอบฟังอยู่ในครัวใบหน้าหล่อนแดงซ่านด้วยเลือดฉีดวัยสาวพลาง ยกมือขึ้นลูบอก แล้วหลับตาพริ้ม จริงซิหล่อนให้รู้สึกสะท้านเยือกเย็น เข้าไปภายในใจ ที่จริงนั้นหล่อนก็มีใจกับชายหนุ่มคนนี้มากอยู่แล้ว แม้จะมีหนุ่มมากหน้าหลายตามาเมียงมองแต่หล่อนก็หาสนใจใดไม่ จนบางครั้งเจ้าชัยต้องไล่ตะเพิดพวกนั้นกระจายไป แล้วหันมาล้อหล่อนเล่น หากว่าเรื่องนี้เป็นจริงหล่อนนึกในใจว่าจะปรนนิบัติพ่อเชียรแม่เข็มให้ดี จวบจนดินกลบหน้า เพื่อทดแทนพระคุณอันหาไม่ได้คราวนี้ ที่สร้างความสำเร็จให้แก่หล่อน จนมีร่างกายและครอบครัวหล่อนด้วย ยิ่งคิดหล่อนก็ยิ่งเอียงอายมากยิ่งขึ้น ถึงยิ้มกับตัวเอง แล้วหล่อนก็ต้องสะดุ้ง รีบแอบมองดูต่อไป “จะสำเร็จหรือลูกโชติอย่างหลอกพ่อแม่ให้สบายใจนะลูก” แม่เข็มพลางเอ่ยย้ำอีกที” ชายหนุ่มหันมาหัวร่อ พลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นปัญหาหรอกครับเรื่องนี้ผมรับรองว่าจะไม่ให้พ่อแม่ได้อาย ใครๆเขาหรอกครับจะมีบ้างก็พวกไม่สมหวังเท่านั้นเอง” “เรื่องอายนะพ่อและแม่เจ้าแก่ๆแล้วไม่อายหรอกลูก เรื่องแบบนี้อีกอย่างหนึ่ง???... ช่างมันเถิดปากคนเราห้ามกันไม่ได้นี่นา เราไม่เสียหาย เสียของของเราใช้ได้นะลูก” พ่อเชียรเอ่ยตอบลูก “ไปเถอะลูกงานของลูกนะไปทำก่อน หรือว่า???.... อ้อๆๆใช่แล้วมันนึกไม่ถึงหรอกเรื่องนี้นะ” พ่อเชียรกล่าวแล้วหัวร่อฮึๆๆๆ ส่วนด้านแม่เข็มก็พลอยหัวร่อไปด้วย แล้วต่างโบกมือให้ลูกชายเข้าห้องไป สาวชบาได้ฟังก็ยิ่งงงสงสัยมากยิ่งขึ้น หล่อนไม่เข้าใจความหมาย ที่ทั้งสามกล่าวเอาเสียเลย พอเหลือบแลอีกทีก็เห็นชายหนุ่มเดินลับหายเข้าห้องไปแล้ว หล่อนรีบกระวีกระวาดนำภาชนะทั้งหมดไปล้างทันใด เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาจากห้องครัว หล่อนพยายามจะเดินหลีกเลี่ยงไม่ให้พ่อแม่เห็น แต่หล่อนก็ต้องสะดุ้งเฮือกพลางยกมือทั้งสองลูบอกทันที “ลูกชบาเอ๋ยจะรีบไปไหนล่ะ???...มาๆๆมาคุยกับพ่อหน่อยซิลูก” พ่อเชียรเรียกทันที “จริงซิพี่เชียร จะรีบไปไหนล่ะ???.ลูก” แม่เข็มก็เอ่ยขึ้น “มานั่งคุยหน่อยวันนี้พ่อแม่ไม่ได้ไปไร่นาสวน อยากจะคุยด้วยนะ” แม่เข็มกล่าว เมื่อตั้งสติได้หล่อนค่อยๆย่อตัวลงแล้วคลานเข้ามาหาพ่อเชียรแม่เข็มทันที พอถึงก็นั่งพับเพียบ ก้มหน้ามองพื้นรอคำถามทันที “ตอนนี้พี่เขาอบรมเกี่ยวกับสมาธิไปถึงไหนแล้วล่ะ???” พ่อเชียรถาม อุ๊ยๆๆๆสาวชบานึกในใจค่อยๆโล่งอกไป ก็รีบเอ่ยตอบทันที “เห็นพี่เขาบอกว่าก้าวหน้าไปมากจ๊ะพ่อ” หล่อนเอ่ยตอบ “แต่พ่อมองดูเจ้าผิดปกติไปมากจริงๆนะลูก” พ่อเชียรเอ่ย “นั่นซิพี่เชียร ข้ารู้สึกว่ามันมีประกายออกมาจากตัวลูกเราด้วยนา” แม่เข็มพูดเมื่อเห็นท่วงท่างามนักตลอดรังษีต่างๆของสาวชบา “อย่างแม่เข็มกล่าวคงจะไม่ผิดหรอกนะ ข้าเองก็ชักสงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน ชบามันคงจะไม่หยุด เพียงเท่านี้หรอกนะคงจะได้ฌานลึกๆไปมากๆเสียด้วยนา” “คนที่ได้ฌานระดับนี้อย่างน้อยมันก็ต้องอนาคามีนะพี่” “ข้าเองก็ว่าอย่างแม่เข็มเอ่ยเหมือนกัน คงไม่เท่าไหร่มัน คงถอดกายทิพย์ได้แล้วล่ะ” “จวบจนป่านนี้พี่และข้ายังไม่มีทางที่จะทำได้แบบพี่ว่าได้เสียด้วยซิ” “แบบนี้มันต้องแล้วแต่วาสนาของบุคคลเท่านั้นที่สร้างสะสมมา แต่ชาติก่อนนะแม่เข็ม” “แล้วพี่เขาว่าอะไรอีกหรือล่ะลูก” แม่เข็มถามขึ้น “เห็นพี่อ้อยและพี่รัตนาบอกว่าคงไม่วันนี้ก็วันพรุ่งนี้ แหละคงสำเร็จจ๊ะแม่ ฉันเองก็สงสัยเหมือนกัน???..” “และยิ่งแม่อ้อยและแม่รัตนาเอ่ยเช่นนี้คงสำเร็จล่ะลูก ด้วยทั้งสอง นั่นบัดนี้ต่างเป็นเทพอัปสรไปกันแล้วล่ะ คงมองอ่านไม่ผิดหรอก” พ่อเชียร เอ่ยด้วยความยินดีกับสาวชบาด้วยใจจริง “หากฝึกสำเร็จแล้ว เจ้ามีความคิดอีกประการใดหรือลูก” แม่เข็มเอ่ยปากถามทันที “ถือว่าเป็นบุญของหนูจ๊ะแม่ ส่วนเรื่องอนาคตนั้นคงจะตอบไม่ได้ หรอกจ๊ะแม่ คงปล่อยไปตามชะตาฟ้าดินเองนั่นแหละ” หญิงสาวก้มหน้าตอบ “คนเรานะชั่วชีวิตนี้ของคน หากทำสิ่งนี้ได้ถึงขั้นนี้ถือได้ว่าพ้นจาก อบายภูมิได้แล้วล่ะ แต่ทว่ามันเปาะบางมากด้วยยังอยู่ในโลกียะอยู่จึง ให้เจ้าอย่าได้ประมาทเด็ดขาด ได้มายากครั้นจะเสียมันง่ายดายจริงๆ” พ่อเชียรเอ่ยตักเตือนสาวชบาขึ้น “จ๊ะพ่อหนูเองจะตั้งอยุ่ในความไม่ประมาทจ๊ะ จะยึดถือคำสอนของ พ่อแม่ไว้ท่องอย่างขึ้นใจจ๊ะ” สาวชบาตอบ “ถ้าอย่างนั้นพ่อแม่มีเรื่องถามเท่านี้ล่ะลูก แล้วอีกอย่างหนึ่ง งานในครัวเรียบร้อยแล้วหรือยังไงจะต้องให้แม่เข้าไปช่วยไหมลูก???...” แม่เข็มเอ่ยถาม “เรียบร้อยแล้วจ๊ะแม่ หุงข้าวและทำอาหารเสร็จแล้วมื้อเย็นนี้ เพราะพี่ เขาจะให้รีบไปฝึกสมาธิต่อด้วยเขาบอกว่าใกล้จะสำเร็จบางอย่างก็ต้อง ฝึกติดต่อไว้ มิฉะนั้นจะเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดายจนอาจจะแก้ไขไม่ได้ ระยะนี้เขาเข้มงวดมากจ้า จากแม่นางทั้งสองด้วยจ๊ะ” หล่อนกล่าวแล้วมองเข้าไปในห้องของชายหนุ่มด้วย “จะเข้าห้องแม่ไปจะทำอะไรอีกหรือลูก” แม่เข็มถาม “ว่าจะตรวจความเรียบร้อยแล้วก็จะพักผ่อนสักครู่จ๊ะ ด้วยคืนนี้พี่ทั้งสองกำชับให้รีบเข้าไปฝึกสมาธิต่อไปจ้า” หญิงสาวเอ่ยตอบ “จริงซินะพี่เชียรตั้งแต่แม่นางอัปสรทั้งสองมาอยู่อีก ทั้งเจ้าแสงสีและสินชัยนั้น รู้สึกว่าทุกๆอย่างมันช่างสะดวกสบาย ไปเสียทุกๆอย่างเชียวนะ” แม่เข็มเอ่ยถึงบุคคลดังกล่าว “ที่แม่เข็มเอ่ยนี้ แม่นางทั้งสองก็เป็นถึงเทพอัปสรไปแล้ว ข้านั่งตรวจดูว่าเจ้าแสงสีและสินชัยนั่นบัดนี้มันล่วงพ้นผ่าน อทิสมานกายไปอีกแล้วแล้วล่ะ” “คงจะเป็นแบบนี้นี่เอง เจ้าควายของพี่ถึงไม่กล้าออกมาเพ่นพล่าน เหมือนเดิม นอกจากออกมาบ้างเป็นบางคราวนะพี่” “มันจะออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร ด้วยคนในบ้านเรานะ ไม่ใช่แค่ที่ข้ากล่าวนี้นะแม่เข็ม” พ่อเชียรเอ่ย “อ้าว????....แล้วยังมีอะไรอีกหรือ ระยะนี้ข้าวุ่นวายใจเรื่องนางชบา มันนี่ล่ะจึงไม่ได้ทำสมาธิ พอเข้าไปมันฟุ้งซ่านไปหมดเลยล่ะพี่” แม่เข็มกล่าว “อย่าว่าแต่แม่เข็มเลยข้าก็วุ่นเหมือนกันนะเรื่องนี้ แต่ที่ข้ารู้มันก่อน จะเกิดเรื่องนี้บ้านเรายังมีทหารอีกจำนวนมากอาศัยอยู่ เฮ่อๆๆๆแต่ก็ดีไปอย่างนะ เล่นเอาไอ้พวกผีต่างๆที่เที่ยวเพ่นพล่านก่อนนี้ มันหายหัวไปหมด ไม่รู้มันหายไปไหนนะแม่เข็ม” “เหรอทำไมข้าไม่ยักกะรู้ แสดงว่าข้านี้ชักจะแย่เอาเสียเลยนะพี่” “ไม่หรอกแม่เข็ม เพียงแต่ว่า มันหายไปฝึกกันในป่าหน้าบ้านเรา นี่แหละ และลูกโชติแม่นางอัปสรตลอดเจ้าแสงสีสินชัยมันบังคับด้วย” “ถึงอย่างไรเรื่องใหญ่แบบนี้ข้ามักจะรู้เสมอๆนี่นาพี่” “บางสิ่งบางอย่างมันเหนือกว่าความรู้เราจ้าแม่เข็ม” “อืมๆๆๆถ้าจะจริงอย่างพี่บอกเสียแล้ว แม้แต่ทหารมากมายข้าเองยัง ไม่รู้ว่าอยู่ในบ้านข้าเลย เฮ่อๆๆๆ...ไม่แก่แต่ร่างนะจิตข้าพลอยแก่ไปด้วย” “ไม่ต้องท้อใจอะไรหรอก ลูกเรานั้นสูงกว่าเรามากมายนักจ๊ะแม่เข็ม” คราวนี้ไม่เข็มไม่เอ่ยอีก แต่พยักหน้าแทนพลางยิ้มเมื่อได้ยินว่าลูกชาย นั้นไม่ว่าทางโลกและทางธรรมล้วนแล้วแต่เก่งกว่าพ่อแม่ ทำให้แม่เข็ม ภูมิใจลูกคนนี้ ครั้นย้อนมาคิดถึงคำพูดของลูก เกี่ยวกับชบายิ่งสบายใจมาก ยิ่งขึ้น ความกังวลในใจหายไปหมดสิ้น จริงๆซินะชบามันเดินถูกทางมาจน ถึงขั้นนี้มีหรือมันจะลงไปเกลือกกลั้วกับคนที่ต่ำกว่ามันอีกมากมายนัก เมื่อแม่เข็มคิดได้เช่นนี้ก็ลุกขึ้นยืนเดินเข้าห้องไป ส่วนพ่อเชียรหรือก็ลง ไปข้างล่างไปดูหมูที่เลี้ยง พลางคิดว่าคงจะเลิกเลี้ยงหมูด้วยมันอาจจะเป็น เวรต่อกันในภพต่อไป บัดนี้เขามีทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเพียบพร้อมแล้ว ก็เดินไปหัวร่อฮึๆๆไป................ * แก้วประเสริฐ. *