11 เมษายน 2554 12:12 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๘๔
ขณะที่ไอ้เบี้ยวกำลังออกจากพวกมาลัย เพื่อนำรถไปเก็บไว้
ที่ใต้ถุนบ้าน มันพยายามมิให้เกิดเสียงดัง ครั้นเรียบร้อยแล้ว
มันก็หันหลังกลับ แต่แล้วมันก็ต้องสะดุ้งเฮือกร่างกายเย็นชา
เมื่อสายตามัน เหลือบไปเห็นสิ่งนอกรั้วบ้าน
มันขยี้นัยน์ตาคิดว่าตามันฝาดไป หรือเป็นต้นไม้ แต่ทว่าไม่ใช่
ด้วยมันเป็นร่างคนแต่สูงใหญ่ชะลูดยืนกวักมือไหวๆไปๆมาๆ
ภายนอกบ้านบรรยากาศสลึมสลือ ขมุกขมัวนักมีเพียงแค่แสง
ดาวเท่านั้น ส่วนเดือนเสี้ยวก็ลับหายไปแล้ว หลังม่านเขา ท้องฟ้า
จึงมีเพียงแค่ดวงดาวเท่านั้น
เมื่อมันแน่แก่ใจ ตาที่เหลือกลานคิดว่าเป็นพวกผีร้ายตามพวกมัน
มา แต่เสียงเรียกมันคล้ายๆคนคุ้นเคยยิ่งนัก
“ไอ้เบี้ยวๆๆๆ!!!!....ช่วยพวกกูด้วย กูเข้าบ้านไม่ได้
โว้ย!!???.... มึงช่วยบอกเจ้าที่เจ้าทางด้วยพวกกูจะได้เข้าไป
ในบ้านได้ว๊ะ”
เสียงล่องลอยมาแผ่วเย็นยะเยือกนัก เมื่อแน่แก่ใจแล้วพลางมัน
จึงร้องแหกปากลั่น
“ ผีมันตามเรามาโว้ยไอ้แม้น ผีหลอก!!!!!.......”
กล่าวเสร็จไม่พูดล่ามทำเพลง รีบตาเหลือกวิ่งไปยังพวกที่ยังอยู่
ใต้ต้นมะขามใหญ่ แซงหน้าพร้อมแหกปากร้องลั่นไปด้วย
ขณะที่เจ้าแม้นก็กำลังจะรีบเดินไปที่ยังแคร่ใต้ต้นไม้ เมื่อ
มันแลเห็นร่างของไอ้แช่มกำลังได้รับการดูแลจากพรรคพวก
ไอ้อ๊อดและบรรดาสาวๆเฝ้ารุมล้อมทั้งหลาย บ้างกำลังใช้พัด
ช่วยกันโบกบ้าง ใส่ยา เช็ดแผลซึ่ง ร่างไอ้แช่มเต็มไปด้วยรอยเลือด
เปื้อนเสื้อผ้าไปหมด
เมื่อได้ยินเสียงไอ้เบี้ยวร้องขึ้นว่า ผีหลอกตามมาเท่านั้นเอง
มันก็ตกใจทั้งที่อาการเจ็บปวดแทบหายเป็นปลิดทิ้ง รีบเดิน
กึ่งวิ่งรีบเขยกไปหาทันที ส่วนไอ้หาญกำลังช่วยพยุงร่าง
ของไอ้ผันซึ่งขาข้างหนึ่งมันแทบจะใช้การไม่ได้หากไม่พยุงไว้
ร่างมันก็คงจะทรุดกับพื้น ไอ้ผันลืมความเจ็บปวดว่ามันขาหัก
รีบวิ่งได้ทันที แซงหน้าพวกทั้งหมด
ไอ้แม้น เดินนำล่วงหน้าไปก่อนแล้ว สะดุ้งเฮือกทั้งตัวรวม
ถึงบรรดาที่ต่างหนีผีร้ายกันมาทุกๆคนด้วย
เมื่อพวกมันต่างได้ยินเสียงร้องลั่นของไอ้เบี้ยวร้องลั่นแหกปาก
ตะโกนบอกพรรคพวกทันที เมื่อแลไอ้เบี้ยววิ่งพลางชี้มือไป
พลาง ครั้นพวกมันมองไปยังนอกรั้วมันแลเห็น
ร่างของไอ้โจ๊ก ไอ้เข่ง ไอ้สน ไอ้เจี๊ยบ ไอ้ผ่อง ไอ้เขียวและไอ้ดำ
ยืนทะมึนในเงามืด แต่ร่างมันสูงใหญ่เลยรั้วบ้านเกือบเท่ากับ
ต้นไม้ใหญ่ข้างทางหน้าบ้าน ร่างที่ปรากฏนั้นทั้งหมดพวกมัน
ต่างใบหน้าบิดเบี้ยว แสดงความเจ็บปวดด้วยเสียงร้องแผ่วแต่
โหยหวนยิ่งนัก พลางกวักมือเรียกพวกมันไหวๆ ตลอดทั้ง
ร่างพวกมันชุ่มไปด้วยเลือดไหลย้อยออกมาตามร่างกายในลักษณะ
ต่างๆกัน พวกผีพวกมันพยายามจะเข้ามาในบริเวณบ้านให้ได้
ร่างไอ้สนและเกือบทั้งหมดต่างกวักมือเรียกมัน เสียงแหบๆ
ดังลอยแว่วเข้าหูมัน
“ไอ้เบี้ยว ไอ้แม้นโว้ย!!!!!????....ช่วยกูด้วยๆๆๆๆ
กูเข้าบ้านไม่ได้แล้วมึงออกมารับกูหน่อยซิว๊ะ มีใครก็ไม่รู้ไม่ยอม
ให้กูเข้าไปในบ้านว๊ะ!!!!!......”
ทุกๆคนรู้ว่าเป็นพวกมันทั้งสิ้นหาใช่ผีร้ายที่มันได้พบเจอไม่
ต่างแยกย้ายกันยืนอยู่ และช่วยกันส่งเสียงร้องและกวักมือด้วย
อยู่บริเวณนอกรั้ว พร้อมยื่นมืออันยาวเหยียดเหมือนจะปัดอะไร
บางอย่างที่สกัดพวกมันไว้ ต่างร้องระงมร่างมันส่ายไปๆมาๆอยู่
ทั้งหมดหยุดชะงักชั่วคราวต่างมองไป มันแลเห็นว่าพวกมันเอง
ที่ต่างร้องระงม มันแลเห็นไอ้เข่งไอ้โจ๊กซึ่งมันรู้ว่าทั้งสองคนนี้ได้
ตายไปแล้ว และยังนำศพมันไปให้สัปเหร่อวัดเผา แต่ไหง๋มันมา
ยืนรวมกับพวกมันที่ไปบ้านอดีตกำนันได้เล่า
ครั้นมันได้ยินเช่นนั้นก็รู้ด้วยสัญชาติญานทันทีว่า พวกมันที่
เห็น นั้นตายไปหมดแล้วเป็นผี ทันใดมันก็ได้ยินเสียงหมาหอน
ทั้งๆที่บ้านหรือแและบริเวณแถบนี้ก็ไม่มีใครเลี้ยงหมาสักตัวเดียว
แต่เหตุไฉนจึงมันจึงได้ยินเสียงหมาหอนอย่างโหยหวนอีกเล่า
ขนผมบนหัวพวกมันตั้งชันทันที คราวนี้มันรู้แล้วว่าอะไรเป็น
อะไรจึงต่างพากันได้แหกปากร้องลั่น ทำให้พวกไอ้แม้น ไอ้หาญ
และไอ้ผันสะดุ้งตาเหลือกลาน ต่างพากันร้องบอกต่อกันและกัน
“ผีหลอกโว้ยๆๆๆๆ!!!!!!....ไอ้แม้น โน่นมันยืนนอกรั้วพวก
เรามีไอ้โจ๊กไอ้เข่งไอ้สนอีกหลายๆคนยืนอยู่โน่น????
.....
แล้วร่างมันวิ่งทีเดียวถึงโค้นต้นมะขามที่พวกสาวๆอยู่ทันที
ไอ้แม้นและพรรคพวกต่างก็แลเห็นเมื่อไอ้เบี้ยวบอก
ซึ่งมันเห็นแล้วว่าเป็นบรรดาพรรคพวกที่ยืนนอกรั้วเช่นกัน
ร่างของมันสั่นเทาพร้อมด้วยไอ้หาญและไอ้ผันตลึงและ
รีบออกวิ่งทันทีตัวใครตัวมัน ต่างใส่ตีนหมากันเป็นแถวๆ
ส่วนไอ้ผันลืมความปวดโดยสิ้นเชิง มันรีบวิ่งไปยังบรรดากลุ่มที่
มีแสงไฟของบรรดาสาวๆอยู่ก่อนใครเพื่อนด้วยความหวาดกลัว
ตามติดด้วยไอ้เบี้ยวไอ้หาญและไอ้เบี้ยว พากันกันวิ่งแข่งกัน
ทันทีอย่างรวดเร็ว พวกมันเมื่อมาถึงหลับตาปี๋หาที่ซุกซ่อนทันใด
เมื่อทุกๆคนมาถึงบรรดาสาวๆ มันรีบมุดหัวมันเข้าไปใต้ผ้าถุง
บรรดาสาวๆ ซึ่งใกล้ที่สุด
นางสร้อย นางช้อย นางลัดดานางนวล ส่วนนางชบากับนางนวล
กำลังช่วยไอ้อ๊อดรักษาไอ้แช่มอยู่ แต่ทว่าพวกสาวๆเหล่านี้ไม่ได้
แลเห็นอะไรเลย ต่างตกใจร้องหวีดว้าย!!!????....ดังลั่นไปตามๆ
พร้อมทั้งเถิบตัวหนี บ้างถีบใส่หน้าพวกที่เสือกมาหลบยังใต้ผ้าถุง
ทำให้ผ้าถุงหลุดจากร่างมาครึ่งหนึ่งก็มี ปากต่างก็ร้องด่าขึ้น
“ไอ้ห่ารากเอ๋ย????....เป็นอะไรไปมาถึงก็มุดซุกใต้ผ้ากูถุงกู
ทำไมกันว๊ะ มึงกลัวอะไรถึงปานนั้น ผ้าถุงกูจะหลุดแล้วโว้ย”
“เฮ้ยๆๆอย่ามากไปซิว๊ะ ไอ้ห่าข้าไม่ได้นุ่งกางเกงในนะโว้ย??..”
“ กูก็เหมือนมึงแหละว๊ะะอีสร้อย โอ้ยๆๆ!!!ๆๆๆ..จั๊กจี๊ๆโว้ย”
“เฮ้ยๆๆๆ...เอาหัวมึงออกไปเดี๋ยวนี้นะโว้ย เยี่ยวกูจะแตกแล้วล่ะ
รดหัวมึงไม่รู้นะ ไอ้ห่าราก!!!!!.....”
สาวนวลร้องลั่นไม่ลั่นเปล่า ส่งเสียงหวี๊ดว้ายๆดังไปทั่วบริเวณ
บ้าน บ้างลุกขึ้นจะหนี บ้างถอยหลังไปชนต้นไม้ ต่างวุ่นวายไป
หมด แต่ทุกๆคนมัวสะระวนกับการผลักหัวของพวกมัน
เสียงบรรดาสาวๆต่างด่ากันลั่นแล้วรีบถอยห่างออกให้พ้น แต่
พวกนั้นไม่ยอม ติดตามซุกอยู่ตลอดเวลา
คราวนี้ไอ้เบี้ยวตั้งสติได้ รีบร้องลั่นขึ้นทันที พลางมุดออกจาก
ผ้าถุงจากอีสร้อย พร้อมร้องบอกอีสร้อยให้หันไปดูมีอะไร
แล้วชี้ให้บรรดาสาวๆดูสิ่งที่มันเห็น
“ ผีพวกเรามันหลอกเราว๊ะ โน่นๆๆๆ!!!!.....โน่นๆมันยืนอยู่
นอกรั้วบ้านโว้ย”
คราวนี้บรรดาสาวๆที่ถูกพวกมันมุดใต้ผ้าถุง ต่างก็แลเห็นร่าง
ของพวกมันนอกรั้ว แต่ตัวมันช่างสูงชะลูดเกือบเท่าต้นไม้หน้า
บ้านจึงรู้ทันทีว่าทำไมถึงไอ้พวกนี้เข้ามาซุกใต้ผ้าถุงมัน
เท่านั้นเองวงก็แตกกระเจิงกระจายทันที เสียงขวดเหล้า จาน
ต่างตกลงมาดังเพล้งๆๆไปทั่ว บรรดาสาวๆต่างวิ่งหนีแยกกันไป
หาที่หลบซ่อน บ้างวิ่งไปแอบบ้านที่ปลูกใหม่ข้างๆบ้าน บ้างก็วิ่ง
ขึ้นบนบ้านใหญ่ เมื่อเห็นห้องก็รีบเข้าไปทันทีหาผ้าห่มซุกหัวกัน
บ้างก็เปลือยเปล่าใส่แต่เสื้อเท่านั้น ผ้าถุงมันหล่นหายไปเมื่อไหร่
ไม่รู้ พวกแค่คำนึงจะหนีพวกผีที่มันเห็นเท่านั้นไม่คำนึงใดๆ
ทั้งสิ้น ร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ช่างไม่สนใจอีกแล้ว
อีชบากับอีพลอยพร้อมด้วยไอ้อ๊อดก็แลเห็นทันหมด เว้นแต่
ไอ้แช่มเท่านั้นที่มันสลบไปอีกด้วยความเจ็บปวด
ดังนั้นจึงทิ้งร่างไอ้แช่มลงกับแคร่นอนเพียงคนเดียว นอกนั้นร้อง
ลั่นพากันวิ่งตัวใครตัวมัน เสียงร้องดังจนทำให้กำนันมั่นซึ่งนอน
หลับอยู่สะดุ้งตกใจ พลางตะโกนลั่นทันที
“ไอ้พวกเวรๆๆๆ????ตะไล????.....แหกปากร้องทำไมกูนอน
กำลังสบายๆ จะแดกก็แดกไปทำไมต้องโวยวายกันลั่นไปหมดว๊ะ
เดี๋ยวกูลงไปกรทืบพวกมึงนะโว้ย หากยังเสือกเสียงดังอีก”
เสียงกำนันมั่นแหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจระดมด่าต่างๆนา
ไปด้วย พลางลุกขึ้นออกมาหน้าบ้านราวลูกคั่นทันที เมื่อมองไป
ยังบริเวณที่พวกลูกและพวกมันกินเหล้าประจำไม่เห็นใครๆมีเพียง
ร่างหนึ่งเท่านั้นที่นอนแผ่หลาบนแคร่
ร่างไอ้แม้นถลันมาคนแรกทั้งๆที่ร่างกายมันเคล็ดขัดยอกไป
แต่บัดนี้หายเป็นปลิดทิ้งไปแล้ว รีบร้องบอกพ่อมันทันที
“พ่อๆๆๆๆ!!!!!.....ผะอี...ผีๆๆๆพ่อ โน่นมันยืนอยู่นอกรั้วบ้าน
โน่นๆๆๆๆพ่อโน่นๆๆ ข้าไปก่อนนะพ่อไม่ไหวพ่อ??....”
พอมันพูดเสร็จก็รีบวิ่งไปห้องมันที่อยู่ข้างๆทันทีไปถึงไม่พูดร่ำ
ทำเพลงใดๆรีบคว้าผ้าห่มมาซุกคลุมหัวร่างมันตัวสั่นเทาๆร้องคราง
เสียงดัง ฮือๆๆๆลั่นบ้าน
“ผีพ่อผีแม่มึงหรือไอ้แม้น อ้าวๆๆๆไอ้ห่าผีแม่มึงหรือว๊ะ???...กูไม่
เห็นมีอะไรสักอย่างหนึ่งโว้ย”
ตั้งใจว่าจะด่าให้มากอีก
แต่แล้วคำพูดมันก็ชะงักเมื่อมองไปตามมือลูกชายมันชี้ มันเห็น
ร่างของพวกลูกน้องมันยืนอยู่ ร่างกายเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง
ครั้นแรกกำนันมั่นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นึกจะเอ่ยปากด่าลูกชาย
สร้างเรื่องโกหกหลอกมัน
ครั้นมองเห็นถนัดๆแม้จะเป็นพวกลูกน้องของมันบริเวณนอกรั้ว
แต่ทำไมร่างมันจึงสูงใหญ่ชะลูด เกือบเท่าต้นไม้ใหญ่ สูงๆๆเกือบ
ทุกๆคน ดังนั้นกำนันมั่นอ้าปากค้างตาเหลือกค้าง
กำนันรู้ทันทีว่าเป็นอะไร จึงหันหลังกลับรีบวิ่งเข้าห้องทันที
มันรีบคว้าร่างอีกแจ่มซึ่งกำลังนอนบนเตียงคุดคู้เข้าไปกอดพร้อม
ดึงผ้าห่มมาคลุมหัวตัวสั่นเทา แต่อาการกลัวยังไม่หายจึงค่อยๆ
ลอดหัวออกมา
เมื่อกำนันนึกได้ว่าหัวเตียงมันมีเหล้าอยู่ครึ่งขวด ที่เหลือตอน
หัวค่ำไม่รอท่า รีบคว้ามาดื่มเพียวๆจนหมดขวดทันที
แล้วรีบซุกร่างอีแจ่มทันที ร่างกำนันสั่นเทานางแจ่มสะดุ้งตื่นขึ้น
ทันทีนึกว่ากำนันมีอารมณ์อีก แต่มันก็ต้องชะงักเมื่อร่างกำนันที่
กำลังกอดมันเหม็นเหล้าคลุ้งแต่ตัวสั่นเทาซุกหน้ามายังร่างนาง
ครั้นได้ยินเสียงพึมพรำของกำนันเท่านั้น มันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
รีบซุกร่างกอดกันกลมใต้ผ้าห่มทันที
ครั้นเช้ารุ่งขึ้นเวลาสายๆ กำนันมั่นจึงคลายความหวาดกลัวลง
พลางออกจากห้อง ชำระล้างร่างกายแล้ว แต่ความมึนเมายังค้าง
อยู่บ้าง เพราะซัดเพรียวๆครึ่งขวด พลางตะโกนเรียกหาลูกชายลั่น
“ไอ้แม้นโว้ยๆๆไอ้แม้น มึงรีบออกมาบอกกับกูหน่อยว่าเกิด
เหตุอย่างไร???...มึงไปทำอะไรกันมาว๊ะ”
เมื่อไอ้แม้นอยู่ในห้องเห็นสายแล้วก็ถอนหายใจรีบออกมา
ตามคำพ่อมันเรียก พลางรายงานเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อมัน
รู้ทั้งหมด ครั้นกำนันมั่นได้ยินเช่นนั้นก็ตบเข่าพรวดๆ
อึ้งไปพักหนึ่ง ปากก็ร้องบอกลูกชายให้ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน
พร้อมลั่นด่าทันทีว่า
“ไป๊ๆๆๆๆไป...ไอ้ห่านี้ชอบทำเรื่องให้กูปวดหัวอีกแล้ว
ไปอาบน้ำอาบท่าแปรงฟันก่อนโว้ย รีบแต่งตัวก่อนเหม็นฉิบหายเลย
แล้วค่อยมาบอกกูอีกทีหนึ่ง ไปตามพวกที่เหลือมาพบกูด้วย กูว่า
เรื่องจะไปกันใหญ่ ไอ้เหี้ยนี้หากไม่ใช่ลูกกูแล้วมึงโดนปืนกูแน่ รีบ
ไปโว้ย???”
ดังนั้นไอ้แม้นก็รีบออกไปเดินกะโผกกะเผกไปอาบน้ำ ครั้นพบ
นางจ้อยก็รีบสั่งทันที
“อีจ้อยมึงรีบไปตามพวกที่ยังไม่ตาย บอกว่าพ่อกูให้มาพบ
ด่วนว๊ะ”
“จ๊ะๆๆ...พ่อแม้น จะไปเดี๋ยวนี้แหละจ้า”
“อ้อ เรียกอีพวกสาวๆมาด้วยนะโว้ย มาเป็นพยานให้กูด้วย เดี๋ยว
พ่อกูจะไม่เชื่อว๊ะ ว่ามันเห็นอะไรบ้าง??......
นางจ้อยได้ฟังก็พยักหน้ารับ แล้วรีบลงไปข้างล่าง เพื่อไปตามตัว
บรรดาสาวๆและพวกไอ้แม้นตามคำสั่ง โดยไม่ซักถามอะไรอีกด้วย
มันพบว่าหน้าตาไอ้แม้นบวมปูดช้ำๆเป็นรอยเขียวๆไปหมด และ
อารมณ์ไอ้แม้นไม่ค่อยจะดีด้วย จึงรีบไปตามคนที่มันต้องการทันที
สักครู่ใหญ่พวกที่มาได้ก็พร้อมหน้าที่ภายในห้องนั่งเล่นที่
กำนันมั่น กำลังนั่งเอนหลังมีสาววัยรุ่นกำลังบีบนวด พลางถามไถ่
ครั้นได้ความ พลางสั่นหน้าเอ่ยขึ้น
“ไอ้ห่าแม้นเฮ้ย!!!!....มึงหนอมึงไม่น่าเลยว๊ะทำเป็นหึงหวงไปได้
แล้วไอ้ที่พวกมึงกับกูเห็น กูว่ามันคงจะตายห่าหมดแล้วล่ะ???..มันจึง
ตามพวกมึงมา ด้วยตอนนี้ไม่รู้ว่ามันจะไปอยู่ที่ไหน ที่มึงว่าได้ยิน
บอกว่า เข้าในบ้านไม่ได้สงสัยว่าจะหาที่อยู่แถวบริเวณหน้าบ้านเรา
นี่แหละว๊ะ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ นี่กลางวันมันออกมาไม่ได้ หาก
เป็นกลางคืนล่ะจะทำอย่างไรดีว๊ะ พวกมึงออกความเห็นด้วยซิว๊ะ
ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ได้”
บรรดาพวกไอ้แม้นที่เหลือพูดอะไรไม่ออกได้แต่กัดฟันระงับ
ความปวด ไอ้แม้นและไอ้เบี้ยวเจ็บไม่มากนักก็ต่างมองหน้ากัน
ไอ้แม้นก็เอ่ยขึ้น....
“พ่อๆๆเรื่องมันแล้วก็แล้วไปเถอะ ที่ทำไปนั้นไม่อยากให้ใครมา
ลบหลู่พ่อกำนันมั่นของข้าได้นี่นา ฉันเป็นห่วงก็ทางด้านไอ้สนกับ
พรรคพวกเท่านั้นว่า
มันยังนอนตายคงอยู่หรือเปล่า เห็นไอ้แช่มบอกว่าเหลือมันคนเดียว
นี่ก็ตอนขึ้นมา ข้าได้สั่งให้พวกเด็กๆที่มาทำงานไร่านาบ้านเรา
ไปช่วยสืบดูทางบ้านพ่อหวนอยู่แล้วล่ะ ประเดี๋ยวก็คงจะรู้หรอก
พ่อ???....คงไม่นานหรอกข้าให้มันเร่งสืบๆแล้วมารายงานโดยเร็ว”
“เออๆๆๆถ้างั้นก็แล้วไปโว้ย ที่จริงกูกับไอ้หวนก็เคยร่วมงานการ
มาแต่ทำไมมันถึงปฏิเสธก็ไม่รู้ เมื่อมันทำเช่นนี้แสดงว่ามันหยาม
หน้ากูมากเสียด้วย ถึงได้ไปยกลุกสาวมันให้ไอ้เชียรซึ่งไม่เห็นจะมี
อะไรนี่นา นอกจากแค่เพียงเพาะปลูกขายต้นไม้ทำไร่นาเท่านั้นเอง
ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา มึงเอาพวกบาดเจ็บหนักหน่อย ช่วยมันใส่
หยูกใส่ยา นี่ไอ้ผันไม่มาแสดงว่าเจ็บหนักมากๆเสียด้วย
ให้มึงไปตามหมอแผนโบราณมารักษาก็แล้วกันจะนำตัวมันไป
ส่งที่อนามัยก็ไม่ได้เสียด้วย เดี๋ยวเรื่องจะถึงตำรวจ ก็จะไปกันใหญ่
โว้ย ส่วนมึงล่ะเจ็บคงไม่มากนะใช่ไหม???....ไอ้แม้น”
“ข้าเองไม่มากหรอกดังที่พ่อเห็นนี่แหละ ไอ้ผันซิเจ็บมากกระดูกขา
มันหักโปนออกมา เขาว่าหมอแผนหมอชาวบ้านเก่งทางกระดูก
เหมือนกัน ได้ยินว่าเคยรักษาคนขาหักหายมาแล้ว ตอนนี้ข้าให้คนไป
ตามมารักษามันแล้วล่ะพ่อ”
แต่แล้วทุกๆคนก็หยุดชะงัก เมื่อเด็กเข้ามาแจ้งแก่กำนันว่า เสี่ยเม้ง
มา กำลังแล่นรถมาจอดหน้าบ้านแล้ว
“เฮ้ยๆๆๆ.....พวกมึงรีบออกไปกูจะรับหน้า หากมันเห็นพวกมึง
เป็นแบบนี้จะไม่ดีโว้ย ไปรีบไปลงทางบันไดหลังบ้านนะ”
“จ๊ะพ่อ”
ไอ้แม้นรีบรับคำ และรีบพยักหน้าให้พวกมันรีบออกไปลงทางหลัง
บ้านทันที
กำนันมั่นก็ไล่เด็กสาวๆให้ออกไปแล้วสั่งให้มันว่า
“มึงรีบไปแจ้งแม่ครัวให้จัดเตรียมอาหารไว้ด้วย นำเหล้านอกพร้อม
กับแกล้มเข้ามาด่วน จัดตั้งโต๊ะรอคอยไว้ แล้วรีบทำหน่อยนะ เขาคง
มาไม่นานหรอกว๊ะ???......”
เด็กรับฟังดังนั้นก็รีบออกไปทางหลังบ้านโดยเร็ว กำนันมั่นก็รีบเดิน
ออกไปหน้าบ้านคอยรับ โดยมีเด็กนำหน้าเสี่ยเม้งและพรรคกำลัง
ก้าวขึ้นมาพอดี กำนันมั่นรีบยกมือไหว้เมื่อเห็นเสี่ยเงยหน้าขึ้นมา
“เชิญๆๆๆเสี่ยและทุกๆคนขึ้นมาก่อนนะ บ้านพึ่งปลูกเสร็จไม่
เท่าไหร่นี่แหละ คงขลุกขลักบ้างนะ ทุกอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทาง”
“ไม่เป็นไรหรอกกำนัน ข้ามาไม่นานหรอกเพียงจะมาแจ้งข่าวให้
กำนันฟัง เพื่อจะได้เตรียมตัวเพราะได้คำสั่งจากกรุงเทพฯมาด่วน
นะ”
ครั้นเมื่อทุกๆคนเข้านั่งเป็นที่เป็นทางแล้ว เด็กสาวก็เข้ามาถาม
กำนันว่า ของเตรียมเรียบร้อยแล้วจะยกมาเดี๋ยวนี้เลยหรือ
ทางเสี่ยเม้งได้ยินก็หันไปตอบแทนว่า
“อีหนูไม่ต้องหรอก ไม่ได้มานานเอาแค่น้ำเปล่าๆก็พอ”
เด็กสาวได้ยินเช่นนั้นก็รีบถอยออกไปทันที
กำนันก็เอ่ยถามทันทีขึ้นว่า เมื่อเสี่ยเม้งบอกสาวๆแล้วหัน
หน้ามาทางมัน
“มีอะไรจะใช้ข้าหรือเสี่ย บอกมาได้เลย”
“อ้อๆๆๆ...ไม่มีอะไรมากหรอก ของที่ให้เก็บไว้ยังปลอดภัยดีหรือ
เพราะข้ามาแจ้งให้รู้ว่าอีกวันสองวันจะมารับของว๊ะ???....”
เสี่ยเม้งเอ่ยขึ้น
“ระยะนี้ของยังอยู่มากอยู่หรอกเสี่ย ข้าเองก็ไม่ได้ออกไปข้างนอก
ต้องคอยคุมการปลูกบ้านอยู่ และมีส่วนหนึ่งที่ถูกตำรวจมันค้นพบ
และนำไป แต่เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าเองก็ติดต่อกับท่านรองไว้
เรียบร้อยทั้งสองคนแล้วล่ะ เกี่ยวกับการถูกจับไป ท่านรองก็แจ้งว่า
เสี่ยได้ไปจัดการให้เรียบร้อยแล้วไว้ สำนวนก็คงเก็บไว้
ไม่ได้ไปไหนน๊ะ.....ขอบใจเสี่ยมากที่ช่วยข้าครั้งนี้”
“ช่างมันที่เสียไปส่วนใหญ่ยังอยู่หรือ????....”
เสี่ยเม้งเอ่ยขึ้น พลางหันหน้าไปทางพรรคพวก
“ข้ายังไม่ได้แนะนำให้รู้จักพวกนี้เป็นหัวหน้าควบคุมจังหวัดทุกๆ
ด้าน เป็นคนสนิทของข้า”
กำนันมั่นจึงหันไปมองหน้าพวกที่มากับเสี่ยเม้งทันที ทุกๆคนเพียง
แค่หันมายิ้มให้เท่านั้น
“นี่ไอ้เซียะ ไอ้สุย ไอ้เช้ง และไอ้มุ้ย เออพวกมึงรู้จักกำนันไว้ด้วย
พวกเราทำงานเหมือนกันว๊ะ”
บรรดาสมุนตัวเอ้ของเส่งเม้ง กำนันมั่นมองหน้าก็สะดุ้งในใจ ด้วย
ประสบการณ์มันซึ่งเจ้าเล่ห์อยู่แล้ว ทราบทันทีว่าไอ้พวกนี้มันพวก
พระกาฬทั้งสิ้น ใบหน้าเหี้ยมเกรียมไม่แตกต่างกันเลย จึงหัวร่อเอ่ยว่า
“ข้าเองก็ทำงานให้เสี่ยอยู่เหมือนกันแต่อยู่ด้านนอกเมือง จึงไม่ได้
ค่อยรู้จักนัก ไหนๆมาแล้วก็มากินข้าวกินปลาเหล้ายาข้าเตรียมไว้
ให้แล้วล่ะ ขาดตกบกพร่องอย่าถือสานะตามประสาชาวบ้านนอก
ก็แบบนี้แหละ”
“คงจะไม่ต้องหรอกข้าบอกเด็กของเอ็งแล้วนี่นา เอ็งคงจะได้ยิน
เพียงแค่ข้ามาบอกเท่านั้นว่า วันพรุ่งนี้มะรืนนี้
จะให้พวกมันมาเอาของไป จึงได้พามารู้จักไว้เพราะต้องมารับของ
จะให้มันเอาเด็กมาขนของ เอ็งก็คงจะไม่ให้ไปจึงต้องพามารู้จัก
อ้อๆๆๆไอ้เล้งทางกรุงเทพฯมันออกมาแล้ว มันสั่งให้รีบนำไปส่งแต่
ข้าจะให้พวกของข้าไปจัดการเอง ให้
กำนันเตรียมของไว้ก็แล้วกัน ข้ามาบอกเท่านี้ก็จะกลับแล้วจะไปดู
ของทางอื่นอีกด้วย”
“หากเรื่องแค่นี้เสี่ยไม่ต้องมาเองก็ได้นี่นา ให้เด็กมาแจ้งให้ข้ารู้
เท่านั้นก็คงจะพอแล้วล่ะ ข้าเชื่อเพียงแค่หนังสือก็คงจะพอนะ”
“อ้อๆๆอีกอย่างบ้านกำนันนั้นเป็นทางผ่านก็เลยแวะมาบอกเสียเลย
เพราะต้องไปดูงานของหัวหน้าทั้งหมดด้วย
ว่างานนี้ต้องใช้เป็นจำนวนมากเสียด้วย ลำพังของกำนันไม่พอ
ค่าใช้จ่ายหรอก”
“อ้าวๆๆแล้วไม่กินข้าวน้ำท่าก่อนหรือ????...”
กำนันแสร้งเอ่ยขึ้น
“ไม่หรอกว๊ะกำนัน เมื่อรู้แล้วข้าก็จะรีบไปเสียเพราะต้องไปดูงาน
ทางด้าน ไอ้เซี๊ยะก่อนไม่ต้องอ้อมมากนัก ผ่านบ้านกำนันก็เป็นทาง
แยกไปอาณาเขตของมันแล้ว งั้นข้าไปก่อนล่ะ”
พลางหันหน้าไปทางพรรคพวกเอ่ยว่า
“เฮ้ยพวกเรากลับได้แล้วทางนี้คงเสร็จธุระแน่นอน ส่วนข้าจะไปดู
และนำของจากไอ้เซี๊ยะมาด้วย ส่วนของ ไอ้มุ้ย ไอ้เช้งกับไอ้สุย เก็บ
ไว้ก่อนก็แล้วกัน”
ด้านไอ้เซี๊ยะพยักหน้ารับ เสี่ยเม้งก็ลุกขึ้นพร้อมกับพวกทั้งหมด
แล้ว หันหลังเดินลงบันไดไปโดยมีกำนันมั่นมายืนคอยส่งอยู่
เมื่อทั้งหมด ขับรถออกไปพ้นบ้านแล้วกำนันมั่นก็อยู่ไม่ติดด้วยต้อง
ไปจัดการตามที่เสี่ยเม้งว่าจะมาเอาของในวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ จึงต้อง
เดินลงไปข้างล่างเพื่อสอบถามของกับไอ้แม้นโดยด่วนทันที.....
แก้วประเสริฐ.
4 เมษายน 2554 00:12 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๘๓
เสียงจักจั่นร้องระงมดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ตลอดค้างคาวต่างบินโฉบ
โฉบฉวัดไปๆมาๆ หลังจากเสียงปืนได้สงบหลังจากที่มันต่างพากัน
แตกตื่นด้วยเสียงปืนที่ดังสนั่นเลือนลั่นไป ท้องฟ้าพระจันทร์ที่
รูปร่างเสี้ยวไม่มากนัก พึ่งโผล่พ้นขอบไม้ต่างๆ แสงดาวต่าง
ระยิบระยับ หมู่เมฆลอยละล่องไปตามกระแสลม บ้างเจือจาง
บ้างเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนไม่มากนัก ท้องฟ้าจึงแจ่มใสด้วยดวงดาว
ที่พราวพร่าง ประหนึ่งแข่งกับแสงจันทร์ที่ทอริบหรี่นัก แต่แสง
เหล่านี้ก็พอจะทำให้พื้นที่บริเวณแถวนั้นสว่างผสมกับแสงไฟฟ้า
จากโคมและภายในบ้านสาดส่องออกมา จึงทำให้แลเห็นได้
พอประมาณ แต่ไม่มากนักเท่านั้นเอง
ร่างของชายฉกรรจ์ทั้งหก ที่แยกย้ายกันในที่ต่างๆก็พากันเข้ามาร่วม
ตัวกันที่บริเวณลานกว้าง หน้าบ้านอดีตกำนันหวน หนึ่งในนั้นก็
เอ่ยปากขึ้นทันที......
“ เฮ้ยๆๆ!!!!.....รีบช่วยกันนำศพพวกนี้ออกไปแล้วมาล้างเลือดให้
หมดก่อนที่ พ่อหวนไอ้ชวนจะกลับมานะโว้ย ไอ้ตี๋เล็ก ตี๋ใหญ่ วาส
และไอ้กุ๋น ช่วยกันลากพวกมันไปฝังไว้ให้ห่างไกลๆหน่อย เอาผ้าปู
ที่รถเรา ไอ้วาส ไอ้กุ๋น โน่น!!!!....มึงไปเอา จอบเสียมที่ใต้ถุนบ้าน
นำไปขุดหลุมฝังโดยด่วนด้วย ส่วนข้า กับไอ้ ชื่น จะจัดการล้างเลือด
ที่เปื้อนนี้ไว้เอง แล้วอย่าเสือกเอาผ้าเปื้อนเลือดกลับมาด้วยฝังไปกับพวก
มันนั่นแหละ...อย่าลืมนะโว้ยขนไปฝังให้ไกลๆบ้านหน่อยนะภายในป่า
ยิ่งดีว๊ะ กลิ่นมันจะได้ไม่ส่งคลุ้งคนผ่านถนนทางนี้ หรือพวกหาของป่า
ด้วยจะดันเสือกไปเจอเข้าจะเป็นเรื่องใหญ่ว๊ะ!!!!!!.....”
เสียงไอ้เปล่งสั่งการสั่งงานหน้าตาเคร่งเครียด พร้อมทั้งเดินไปตรวจยัง
บรรดาศพที่นอนตายต่างๆกันทันที
“ไอ้ห่าราก!!!!???.....มึงทั้งสองก็สบายซิว๊ะไม่เหน็ดเหนื่อยอะไรมาก”
เสียง ไอ้วาสเอ่ยเปรยๆขึ้น แต่มันก็ยังเดินไปจัดการตามที่ไอ้เปล่งพูด
ส่วนพวกที่เหลือไม่กล่าวอะไร นอกจาก ไอ้ตี๋ใหญ่ที่ห้ามปรามไว้
“ พวกมึงทำตามไอ้เปล่งมันก็แล้วกัน หากไม่ได้มันคาดคำนวณไว้ว่า
อะไรจะเกิดขึ้น ไอ้ชวนและเข้าของคงฉิบหายกันหมด แม้แต่เด็กและ
ผู้หญิง ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นว๊ะ???....”
“เออๆๆๆ....จริงของมึงว๊ะไอ้ตี๋ใหญ่ ไปๆๆๆโว้ยรีบไปทำงานกันก่อนที่
พ่อหวน แม่เย็น ไอ้ชวน และน้องสาวมันจะกลับมา”
เสียงไอ้กุ๋นเอ่ยขึ้นบ้าง รีบๆทำเถอะ ว๊ะอย่าชักช้าเวลาจะไม่ทันว๊ะมันเอง
ก็เหนื่อยเหมือนกันต้องหาน้ำของอื่นๆมาล้างเลือดไอ้พวกห่าพวกนี้ว๊ะ
ยังล้างรอยเลือดหลายๆแห่งด้วยโว้ย???!!!... ว่าแล้วชายทั้งสี่แม้จะบ่น
พรึมพรำก็ตามแต่มันก็เชื่อคำไอ้เปล่ง ด้วยมันรู้ว่า หากไม่ได้ไอ้เปล่งซึ่ง
มันเป็นจอมวางแผนการณ์ไว้ล่วงหน้าหลังจากทราบว่าทั้งหมดไปบ้าน
พ่อเชียร มันนั่งนึกคิดไปในระหว่างอยู่ที่ร้านอาหารแม่ลัดดา จึงได้เอ่ย
ให้พวกมันเตรียมตัวมารับมือกับพวกไอ้แม้น ก็จริงดังที่มันกล่าวไว้ไม่
ผิด ดังนั้นชายฉกรรจ์ทั้งสี่ ก็รีบลากร่างที่ตายแล้วมากองรวมกันไว้ ส่วน
ไอ้กุ๋น ก็รีบไปเอารถกระบะมาเทียบท้ายทันที ทั้งหมดก็รีบขนศพขึ้นรถ
ไอ้กุ๋นเป็นคนขับนำร่างที่ตายด้วยพวกมันออกไปทันที ส่วนไอ้เปล่งกับ
ไอ้ชื่นก็ไม่รอช้า รีบไปหากระแป๋งมาสี่ใบพร้อมไม้กวาดไม้ที่ใช้กวาด
ใบไม้ต่างๆ มาแบ่งกับไอ้เปล่งช่วยกันตักน้ำ
ในตุ่มมาล้างเลือดทั้งกองเป็นลิ่มๆจนสอาดทั้งบริเวณหน้าบ้าน กระได
และตามพุ่มไม้ที่พวกมันหนีไป อันที่จริงไอ้กุ๋นกับไอ้วาสจะตามไปเก็บ
มันให้หมด แต่ไอ้เปล่งห้ามไว้ว่าปล่อยมันไปจะได้ไปรายงานพวกมันว่า
การที่มาบุกรุกบ้านพ่อหวนผลจะเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อทั้งหมดต่างช่วยกันทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วต่างก็มาพบกันอีกครั้ง
หนึ่ง แต่ทุกๆคนยังไม่ได้ไปไหน ต่างพากันหาที่นั่งแยกกันไว้เพื่อระวังภัย
อาจจะย้อนกลับมาอีก ครั้นเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
เสียงไอ้เปล่งก็เอ่ยว่า
“ไปโว้ยพวกเราข้าคิดมันคงจะไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้นแล้วว๊ะ”
“ แล้วพวกเราไม่ขึ้นไปปลอบใจผู้หญิงและเด็กหรือว๊ะ???...”
ไอ้ตี๋ใหญ่เอ่ยขึ้นหันหน้ามาถามไอ้เปล่งซึ่งตอนนี้มันทำหน้าที่เป็น
หัวหน้าแทนไอ้ชวน
“ ไม่ต้องหรอกโว้ย เดี๋ยวพวกผู้หญิงมันจะจำพวกเราได้ ต่อไปจะเกิด
เรื่องใหญ่กว่านี้ ไปโว้ยพวกเรา” เสียงไอ้เปล่งเอ่ยขึ้นกับพวก
ดังนั้นทั้งหมดก็นั่งระกระบะขับออกจากบ้านอดีตกำนันหวนหายไปใน
ความมืดทันที
เสียงรถกระบะที่บรรทุกพวกไอ้แม้นแล่นมา ครั้นไอ้แม้นกะว่าห่างกัน
ได้กิโลกสองกิโล ก็สั่งให้พวกมันขับรถแฝงเข้าไปในใต้ต้นไม้ใหญ่ริม
ทางทันที แล้วต่างลงจากรถมายืนรอฟังคำสั่งไอ้แม้นจะให้ทำอย่างไร
“ พวกมึงแยกย้ายไปเตรียมตัวได้แล้วว๊ะ กูคิดว่าคงอีกไม่นานไอ้หวน
กับพวกก็คงจะมาแล้วล่ะ แล้วอย่าเสือกเผยหน้าให้คลุมหน้าไว้ด้วยทุกๆ
คนนะโว้ย” เสียงไอ้แม้นสั่งทันที
ดังนั้น ไอ้โจ๊ก ไอ้เข่ง ไอ้ผัน ไอ้หาญ พร้อมกับตัวมันต่างก็แยกย้ายกัน
แฝงยังตามต้นไม้ใหญ่ริมทางบ้าง พุ่มไม้ใหญ่ๆบ้างทันที ในระหว่างที่
ทุกๆคนกำลังเดินออกไปเสียง นกหากินกลางคืนก็ดังขึ้นก้องกังวานคือ
เสียงของนกแสกก็ดังร้องก้องดังลั่นฝ่าความมืด บินผ่านหน้ากลุ่มมันทันที
พวกไอ้แม้นต่างชะงักรวมทั้งพวกไอ้แม้นด้วย ต่างสบถด่าออกมา
“ ไอ้นกผีห่าราก!!!!????....เสือกมาร้องตัดหน้ากูได้????.....”
“ ช่างมันเถอะว๊ะอย่าคิดมาก โว้ย” ไอ้แม้นที่จริงก็ตกใจเหมือนกันแต่
ฝืนทนเอา หันไปทางพวกมันนอกจากปลอบขวัญพวกเอาไว้เท่านั้น
ครั้นทุกๆคนได้ฟังเช่นนั้นเนื่องจากอารมณ์ไอ้แม้นมันไม่ค่อยดีจึงไม่มี
เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก ต่างรีบพากันแยกย้ายกันไป ส่วนไอ้แม้นก็นั่งอยู่ริม
ทางพร้อมกับไอ้เบี้ยวคอยมองดูแสงไฟรถที่จะผ่านมาทางพวกมัน
บัดดลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างยาวนานโหยหวน ทอดรับกันเป็นทางเข้า
มาสลับกันเป็นทอดๆ เสียงมันทำให้พวกที่แยกย้ายกันต่างพากันหวั่นไหว
“ โบ๊ววว!!!!?????ๆๆๆๆๆๆ.......”
“ โบ๊ววว????....เอ๋งๆๆๆ.....โบ๊วววๆๆๆๆ?????.....” เสียงนั้นยังคงส่ง
เสียงมิขาดสาย ยังคงหอนโหยหวนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เล่นเอาพวก
ไอ้แม้นต่างหน้าตาเหลิกหลักๆๆๆๆไปตามๆกัน ขนบนร่างมันทั้งผมก็ลุก
ชัน ความเมาแทบจะเหือดหายไป แต่พวกมันก็จ้องไปทางบ้านพ่อเชียร
ทันใดนั้นเองไฟหน้ารถก็ส่องมาแลเห็นแต่ไกลๆ ไอ้แม้นหันไป
ตะโกนสั่งทันที มันพร้อมกับไอ้เบี้ยว รีบไปนำขอนไม้ใหญ่ มาวางกั้น
บนถนนขวางทางไว้ทันที แล้วรีบแอบเข้าไปยังริมถนน นั่งซุกตัวอยู่
พร้อมกับนำผ้าไหมพรมคลุมหน้ามัน พร้อมถือปืนออกมาเพื่อเตรียม
พร้อมเข้าหมายจัดการทันที ส่วนไอ้เบี้ยวก็แยกจากไอ้แม้นไปห่างไม่มาก
นัก ในมือมันก็มีปืนเหมือนกัน เสียงของหมายิ่งหอนรับกันเป็นทอดๆ
กันยกใหญ่ เหมือนกับการต้อนรับอะไรๆสักอย่างหนึ่งก่อนจะเงียบหาย
ไป แต่เสียงนั้นเพียงได้ยินแว่วๆเท่านั้นเอง ทั้งสองรีบหมอบลงทันที
จากแสงไฟดวงเล็กๆค่อยๆใหญ่โตขึ้นเสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามา
“เฮ้ยๆๆๆ!!!!.....เตรียมพร้อมนะโว้ยอย่าให้พลาดเสียล่ะ”
เสียงไอ้แม้นตระโกนสั่งทันที ดังนั้นพวกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ทะยอย
แยกกัน เดินออกมาแต่ห่างๆกันไว้พอสมควร
และแล้วเมื่อรถที่มันมองเห็นใกล้เข้ามาเพียงคันเดียว มันก็แลเห็น
ไอ้ชวนเป็นคนขับ แม่มันนั่งกระหนาบข้าง ด้านหลัง ไอ้หวนกับ
อีนางบงกชนั่งคลุมหัวด้วยผ้านั่งอยู่ด้านท้ายรถกระบะ
พอรถแล่นมาถึงที่ไอ้แม้นกับไอ้เบี้ยวแอบซุกตัวอยู่ข้างทาง รถก็หยุด
ชะงักดับเครื่องทันที
เล่นเอาไอ้แม้นกับไอ้เบี้ยวสะดุ้งเฮือก มันยังไม่ทันสั่งให้พวกเข้าจัดการ
พวกมันก็พากันออกมารุมล้อมรถกระบะทันที ทุกๆคนต่างคลุมใบหน้าไว้
หมดทุกๆคน ในมือล้วนถือปืนกันหันปากกระบอกปืนมายังรถเตรียมยิง
เสียงเยือกเย็นจากแม่เย็นก็ดังขึ้น มันช่างเย็นยะเยือกเข้าไปในใจไอ้แม้น
กับกับเบี้ยว ดังถูกน้ำเย็นที่แช่น้ำแข็งสาดไว้ไม่ผิด ร่างมันสั่นสะท้านใจ
และกายอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งๆที่พวกมันกินเหล้ากันมาก็ยังหนาวเย็น
“ พ่อแม้นมารอพวกข้านานแล้วเหร๋อออ????.....เข้ามาซิจ๊ะะะ????....”
“อ้าวววๆๆๆ....แล้วไอ้สนกับไอ้แช่มม????....มันไม่มาด้วยกันเหร๋อ!!!
ไอ้แม้น” คราวนี้เป็นเสียงไอ้ชวนที่ไอ้แม้นมันแลเห็นจากแสงสว่างใน
รถจางๆ แล้วไอ้ชวนก็หัวร่อฮึๆๆๆๆ พลางหันไปทางแม่มันเอ่ยขึ้นว่า
“ได้เวลาหรือยังล่ะแม่???....” เสียงช่างเยือกเย็นยิ่งนัก
“เอาซิลูกตามสบายเลยนะ ไม่ต้องไปยั้งมืออะไรมันหรอกพวกชั่วๆนี้”
เสียงเยือกเย็นโหยหวนของแม่เย็นกล่าวกับไอ้ชวน ได้ยินมายังพวก
ไอ้แม้นทันที พวกไอ้แม้นที่ยืนอีกฝั่งมองหน้ากันด้วยความสงสัย
ไอ้แม้นไอ้เบี้ยวพากันงงทันที มันรู้ได้อย่างไรว๊ะว่าเป็นกูทั้งๆที่กูคลุม
หน้าไว้และเป็นกลางคืนเดือนเสี้ยว มีแค่แสงดาวส่องกระจ่างนิดๆเท่านั้น
และแล้วมันก็ตาเหลือกลาน เมื่อแลเห็นไอ้ชวนชโงกหน้าออกมาจากตัว
รถพร้อมกับแม่เย็น มันรีบขยี้นัยน์ตาทันที คิดว่าว่าตามันคงจะฝาดหรือ
ไม่ก็ยังไม่ซ่างเมาเป็นแน่ สิ่งที่มันเห็น ร่างไอ้ชวนยังนั่งมือถือพวงมาลัย
แต่ไหง๋คอมันยืดยาวออกมานอกหน้าต่างรถ ใบหน้าไอ้ชวนแม่เย็นซึ่งคอ
มันยาวโค้งอ้อม หลังคารถมาทางมันและไอ้เบี้ยว
โอ้วว..ๆๆๆ!!!!!! มันเห็นใบหน้าทั้งสองบัดนี้หาใช่ใบหน้าของไอ้
ชวนกับแม่เย็นเสียแล้ว เป็นใบหน้าที่ใหญ่โต ตาถลนห้อยมายังใบหน้า
หน้าตาเละเฟะส่งกลิ่นเหม็นเน่าลอยมากระทบจมูกมันทั้งสอง ซ้ำยังใหญ่
โตเท่ากระโด่งซัดข้าวไม่ปาน ทั้งสองทิ้งปืนทันทีหวังจะวิ่งหนีด้วยมันรู้
แล้วว่าอะไรเกิดขึ้นแก่มัน แต่ทว่าขามันกลับไม่ยอมทำงานแข็งทื่อไม่
อาจจะวิ่งหนี ดังใจคิดได้นอกจาก เพียงแค่แหกปากร้อง
“โอ้ยๆๆๆๆ....ผีหลอกโว้ย เผ่นเถอะไอ้เบี้ยว” เสียงมันสั่นเครือ
แต่ทางด้านไอ้โจ๊ก ไอ้เข่ง ไอ้ผัน และไอ้หาญ แลเห็นว่าลูกพี่มันกำลัง
คุยอยู่กับไอ้ชวนอยู่ ยังไม่ได้สั่งการใดๆ จึงรอท่าทีคอยคำสั่งก่อน
และแล้วทั้งหมดมองไปทางหลังรถกระบะก็แลเห็นพ่อหวนและนางบงกช
ยืนขึ้น แต่ทว่าร่างมันทำไมช่างสูงขึ้นๆเรื่อยๆ พลางก้าวข้ามข้างรถลงมา
ทางพวกมันทันที
“เหว๋อๆๆๆๆผะๆๆๆผีๆๆๆหลอกโว้ย????....” เสียงไอ้หาญตะโกน
ดังลั่นทำลายความเงียบทันที ร่างของพ่อหวนนางบงกชเมื่อก้าวลงจาก
รถแล้วก็ยื่นมือออกมา แต่มีมันช่างน่าเกลียดหน้ากลัวยื่นยาวออกมาคว้า
ไปยังร่างทั้งสี่ทันที
ครั้นไอ้โจ๊กและไอ้เข่งคล้ายจะคุมสติ พลันแหกปากร้องลั่น
“เฮ้ยยิงแม่มันซิว๊ะ มึงเห็นไหมมันเอื้อมมือมาทางพวกเราแล้ว”
เสียงไอ้เข่งตะโกนบอกพรรคพวก มันเองก็หันกระบอกปืนอัตโตเมติค
แมคนั่ม ยิงไปยังร่างของร่างผีที่แปลงเป็นอดีตกำนันหวนและนางบงกช
ทันที
“ปั้งๆๆๆๆ!!!!....ปั้งๆ....ปั้ง...”
มันยิงไป ไอ้โจ๊กได้ยินไอ้เข่งกล่าวเช่นนั้นก็ได้สติต่างก็พากันระดมยิง
ไปยังร่างผีร้ายทั้งสองทันที จากความกลัวหายไปกลายเป็นความกล้า
ขึ้นมา มันทั้งสองยิงจนกระสุนหมด แต่ไม่อาจจะทำอะไรผีร้ายที่น่า
หวาดหวั่นนั้นได้เลยเหมือนกับผ่านทะลุไปในอากาศมิปาน
มันทั้งสองมองเห็นว่ากระสุนเข้าเป้าอย่างชัดเจน ไอ้หาญกับไอ้ผัน
ครั้นได้ยินเสียงปืนจากการยิ่งของไอ้โจ๊กไอ้เข่ง ก็พากันช่วยระดมยิง
ร่างผีร้ายด้วยจนกระทั่งกระสุนหมด มันทั้งหมดหันหลังจะวิ่งหนีไป
แต่ทว่าช้าไปเสียแล้ว เมื่อมืออันเหยียดยาวทั้งสี่มาถึงตัวพวกมันแล้ว
ร่างผีกำนันหวนมือซ้ายคว้าร่างไอ้เข่ง มือขวาคว้าร่างไอ้ผัน แล้วจับมัน
ทั้งสองโยนขึ้นไปบนอากาศเลยต้นไม้ใหญ่
ส่วนร่างนางบงกชก็เช่นเดียวกัน ต่างคว้างร่างของไอ้โจ๊ก และไอ้หาญ
ต่างพากันกันโยนร่างทั้งสี่ลอยเคว้งคว้างไปในอากาศเหนือยอดไม้ใหญ่
ไอ้แม้นกับไอ้เบี้ยวครั้นเห็นร่างไอ้ช้วนและแม่เย็นที่กระทำเช่นนั้น
ร่างมันแข็งทื่อก้าวขาไม่ออก ใจมันคิดว่าจะออกวิ่งหนีให้เร็วที่สุดแต่
มันไม่สามารถทำได้นอกจากใจมันคิดเท่านั้น ร่างผีแม่เย็นและเจ้าชวน
ก็ก้าวลงจากรถทั้งๆที่คอยังยืดยาวอยู่ เอื้อมมืออันยาวใหญ่คว้าหมับไป
ยังคอไอ้แม้น ส่วนแม่เย็นคว้าคอไอ้เบี้ยว ที่ตาทั้งสองมันเหลือกลานแทบ
จะถลนออกจากนอกเบ้า หายใจติดขัดทันที
“พวกเอ็งงงงง???....!!!!!ๆๆๆๆๆ....คงจะมาฉุดลูกสาวข้าหรือ”
เสียงผีแม่เย็นเอ่ยถามขึ้น
“ทำไม่ทำเสียล่ะ โน่นพ่อกูกับน้องกูยืนอยู่ข้างรถแล้วล่ะให้มึงฉุดได้
แล้ว...” เสียงไอ้ชวนร้องบอกเสียงเยือกเย็น
เสียงหมาก็ต่างร้องหอนกันขึ้นอย่างโหยหวนอีกครั้งหนึ่ง เสียงนั้นเข้ามา
ใกล้ยิ่งกว่าเก่า พวกมันเห็นหมาเหล่านั้นแต่ละตัวสูงใหญ่เท่าม้าสีดำสนิท
มันไม่ร้องเปล่ากลับวิ่งเข้ามาหาพวกมันอีกด้วย พร้อมส่งเสียงหอนอย่าง
เยือกเย็นยิ่งนัก แล้วพวกหมาเหล่านี้ก็เข้ารายล้อมพวกมันทั้งหมดไว้มิ
ได้เข้าใกล้ไปกว่านี้ ต่างช่วยกันร้องหอนอย่างโหยหวน
“โบ๊วววๆๆๆๆ!!!!!?????......ๆๆๆๆๆๆๆ”
ถึงแม้ว่าคอมันจะถูกบีบก็ตาม แต่ตามันจะเหลือกเพียงใดแต่มันก็แล
เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดของบรรดาลูกน้องมัน ตลอดร่างพ่อหวนแม่นาง
บงกชซึ่งแปรเปลี่ยนใบหน้ารูปร่างอย่างชัดเจน กลิ่นเน่าเหม็นลอยคลุ้ง
ไปทั่วบริเวณนั้น พวกมันจะอ๊วกให้ได้แต่คอมันถูกบีบไว้จึงอ๊วกไม่
ออก ได้แต่ส่ายตาไปๆมาๆ ร่างมันสั่นเทาไปทั่วสรรพางค์กาย
เห็นบรรดาพวกลูกน้องมันต่างถูก พ่อหวนนางบงกชกำลังทำอะไรอยู่
ร่างมันทั้งสองก็ถูกยกลอยขึ้นไปบนอากาศทันใด????......
ความคิดมันตอนนี้คิดอย่างเดียวจะหนีไปให้ไกลที่สุดที่จะไกลได้
แต่ทว่าสายเสียแล้วด้วยร่างพวกมันทุกๆคนตลอดจนตัวไอ้แม้นเองก็
ถูกกระทำเหมือนๆกัน เมื่อร่างพวกมันต่างถูกจับขว้างลอยขึ้นไป
บนอากาศทุกๆคน ร่างทั้งสี่ถูกโยนแตกต่างสถานที่ไปแล้วมันเลย
สูงกว่ายอดต้นไม้ใหญ่เสียอีก ต่างพากันหกคะเมนตีลังกาในท่าต่างๆ
ร่างพวกมันทั้งหมดก็หล่นลงมายังพื้นดิน มีบางคนตกไปบนคากิ่งไม้จน
กิ่งไม้หักสะบั้น ในลักษณะต่างๆกัน แต่ไอ้โจ๊กกับไอ้เข่งซวยที่สุดหัวมัน
ปักลงบนพื้นถนนคอหักตายทันที เลือดไหลออกจากปากจมูก ร่างมันดิ้น
กระแด๋วๆๆสักพักก็เงียบไปร่างทั้งสองจมกองเลือดสิ้นใจตายทันที
ส่วนร่างไอ้หาญ กับ ไอ้ผัน ดีหน่อย ไอ้หาญร่างมันตกลงมาพังพาบกับ
แอ่งหย่อมหญ้า แต่กระนั้นร่างมันถึงจะไม่ตายแต่ก็สลบไป ส่วน ไอ้ผัน
นั้นมันเอาขาข้างหนึ่งลงก่อนตกลงไปในพุ่มไม้ใกล้ๆ จึงทำให้ทั้งสองต่าง
ร้องแหกปากดังลั่น ขาไอ้ผันหักจนกระดูกโปนออกนอกแยกจากกันอย่าง
เห็นได้ชัดติดแค่ผิวหนังมันเท่านั้น
ส่วนทางด้านไอ้แม้นกับไอ้เบี้ยวตาเหลือกลาน ไอ้เบี้ยวหันหลังกลับจะวิ่ง
หนี ด้วยปืนที่มันนำมาล่วงหายไปไหนก็ไม่รู้แล้ว ด้วยความตกใจเมื่อแล
เห็น ร่างแม่เย็นและไอ้ชวนคอมันยาวยืดออกมา คงไม่คนแน่มันคิด
ปากมันก็ร้องเตือนได้แม้นทันที
“เฮ้ยๆๆๆ....เผ่นเถอะว๊ะไอ้แม้น...มันๆๆๆผีนะโว้ยไม่ใช่ไอ้ชวนแม่เย็น
หรอกว๊ะ”
ปากมันร้องเตือนได้ด้วยคุมสติได้บ้าง แต่ขามันทั้งสองซิไม่ทำตามใจ
มันเอาเสียเลย ร่างขามันแข็งทื่อไปหมด นอกจากตาที่มองเห็น เมื่อมือ
ของแม่เย็นไอ้ชวน ซึ่งบัดนี้ไม่มีเค้าหน้าเก่าอีกแล้ว เป็นใบหน้าเน่าที่
เละเฟะตาถลนออกมาห้อยรุ่งริ่ง น้ำเหลืองไหลหยดย้อยส่งกลิ่นเหม็น
ไปทั่งบริเวณ และแล้วร่างมันทั้งสองก็ถูกมือของผีทั้งสองคว้าจึงมี
อาการแบบเดียวกับ พวก ไอ้หาญไอ้ผันไอ้เข่งไอ้โจ๊ก เพียงไม่
แตกต่างกันเท่าไหร่ ร่างทั้งสองถูกขว้างไปยังต้นไม้ใหญ่ร่างมันครูดไป
ตามกิ่งไม้จนหักสะบั้น ร่างมันถลอกปอกเปลือกเลือดไหลออกมาทันที
ตกลงมาร่างไอ้แม้นแทบสลบซี่โครงหักไปแถบ
หนึ่ง แต่มันก็ยังไม่ถึงแก่ความตาย ส่วนไอ้เบี้ยวค่อยยังชั่วหน่อยด้วยร่าง
มันตกไปยังแอ่งกอหญ้าแพรกใหญ่รองรับร่างของมันเอาไว้จึงค่อนข้าง
ปลอดภัยกว่าทุกๆคน.........
ดังนั้นมันจึงแค่เคล็ดขัดยอกบวมอย่างทันตาเห็น แต่สัญชาติญานมัน
แกล้งทำเป็นสลบไป ทำร่างมันแน่นิ่งไปแกล้งเป็นตายร่างไม่กระดุก
กระดิก นอนคว่ำหน้าไว้ในแอ่งพงหญ้าที่รองรับร่างมันไว้
เสียงหัวร่อลั่นจากไอ้ชวน แม่เย็น พ่อหวน แม่บงกชดังสนั่นเยือกเย็น
โหยหวนยิ่งนัก แล้วร่างทั้งสี่พร้อมด้วยรถที่นำมาก็พาอันตรธานหายไป
พร้อมด้วยร่างหมาดำจำนวนหนึ่งก็พลอยหายวับไปด้วยเพียงได้ยินแต่
เสียงร้องของหมาก็ร้องโหยหวนก้องกังวานในความเงียบสงบค่อยๆ
จางหายไปในที่สุด
คงทิ้งร่างทั้งหก บ้างตาย บ้างไม่ตาย สลบไปตามสภาพแตกต่างกันทั้งสิ้น
เวลาผ่านไปเมื่อความเงียบเข้ามาครอบคลุมอีกครั้งหนึ่ง ไอ้แม้นค่อยๆ
รู้สึกตัว พร้อมพวกๆมัน ทุกๆคนต่างร้องครวญครางกันดังบ้างเบาบ้าง
ยกเว้นไอ้เข่งไอ้โจ๊กที่มันไม่สามารถจะร้องได้ เพราะมันได้ตายไปแล้ว
ไอ้เบี้ยวซึ่งอาการเบากว่าเพื่อนก็เหลียวซ้ายแลขวาเห็นทุกอย่างปกติแล้ว
มันก็ลุกขึ้นยืนทั้งๆที่มันเกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วตัว จึงเข้าไป
ช่วยพยุงร่างไอ้แม้นให้ลุกขึ้นมาได้
ส่วนไอ้หาญซึ่งฟื้นจากสลบแล้วก็ค่อยๆพยุงร่างไอ้ผัน
ซึ่งเดินได้เพียงขาข้างเดียวความเจ็บปวดแทบจะให้มันขาดใจตายไป
แต่ทว่ามันไม่อาจจะเดินตามได้ตามใจมันนึก
จึงถูกไอ้หาญค่อยๆพยุงร่างมายังรวมกลุ่มของไอ้เบี้ยว ไอ้แม้น
ร่างไอ้แม้นกับไอ้เบี้ยวซึ่งนั่งร้องครวญครางลั่น อาศัยที่มันกินเหล้ามาจึง
ทำให้พวกมัน ทำให้อาการปวดค่อยทุเลาลงไปบ้างเล็กน้อย
“ ไอ้เบี้ยวมึงไม่เป็นอะไรมากรีบกลับโว้ย!!!!????.....เดี๋ยวพวกมัน
พากันมาอีกคราวนี้แหละไม่มีใครรอดสักคนเดียว
เอาศพไอ้โจ๊กกับไอ้เข่งกลับไปด้วย หากทิ้งเอาไว้จะทำให้ตำรวจ
สงสัยว๊ะด้วยรู้ว่าเป็นพวกเรา แต่อย่า
พึ่งเอาเข้าบ้านเก็บไว้ที่บ้านนะโว้ย พาศพไปที่วัดแถวบ้านเราก่อนไป
หาสัปเหร่อเอา
เงินให้มันก้อนหนึ่งแล้วใส่โลงเผาเสียคืนนี้เลย ทำลายหลักฐานให้หมด
ทุกๆคนอย่าเสือกปากหมาว่าไอ้โจ๊กกับไอ้เข่งเป็นอะไรไป บอกว่าไม่รู้
ไม่เห็นมันหนีไปแล้ว ไม่รู้ไปทางไหนหากมีคนถามบอกว่าเจอพวกผีโว้ย
พวกมึงเข้าใจกูพูดไหมว๊ะ????....”
ถึงไอ้แม้นไม่บอกพวกมันก็รู้อยู่แล้ว ไอ้เบี้ยวก็ถามขึ้นทันทีว่า
“แล้วไอ้หาญกับไอ้ผันล่ะ ไอ้ผันค่อนข้างหนักกว่าใครๆว๊ะ????.....”
“กลับไปแล้วค่อยปรึกษากัน พวกเราเจ็บกูคิดว่าทางโน้นคงสำเร็จแล้ว
ให้มันไปตามหมอชาวบ้านมาก่อน อย่าพึ่งพาไปอนามัย เพราะมันปิด
แล้วต้องคอยวันรุ่งขึ้น กำชับหมอชาวบ้านด้วยอย่าให้มันพูดมากไป
เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่โต หากรู้ถึงตำรวจนะ ว่าไอ้โจ๊กกับไอ้เข่งตายห่าแล้ว
มิฉะนั้น ทางตำรวจมันจะมาและมันต้องมาสอบถามแน่นอนว๊ะ”
“งั้นกูไปเอารถมาก่อนพวกมึงรอที่นี่ก็แล้วกัน”
ว่าแล้วไอ้เบี้ยวก็เดินขโยกเขยกไปยังรถที่จอดซ่อนไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่
ห่างไกลนัก สักพักรถก็แล่นมาถึง ทั้งหมดต่างก็พยายามตะเกียกตะกาย
ขึ้นรถ โดยมีไอ้เบี้ยวขับไป ที่วัดเพื่อจัดการกับศพทั้งสอง ครั้นติดต่อ
ตกลงกับสัปเหร่อเรียบร้อยแล้ว ก็รีบออกเดินทางกลับบ้านทันที
ครั้นรถแล่นมาถึงทางเข้าประตูหน้าบ้านไอ้เบี้ยวก็ดับเครื่องแล้ว ไอ้
หาญ
กับไอ้เบี้ยวช่วยกันเข็นไปเก็บ ก่อนไปมองไปยังใต้ต้นมะขามเห็นพวก
อีสาวๆกำลังว้าวุ่นอยู่กับร่างของไอ้แช่มอยู่อย่างกระวีกระวาด ก็พากัน
ตกใจทันที ด้วยบรรดาที่ตามไปหายกันไปหมดแม้แต่ไอ้สนที่เป็นคน
สนิทของมันก็หายไปด้วย................
แก้วประเสริฐ.
28 มีนาคม 2554 20:50 น.
แก้วประเสริฐ
อทิศมานกาย ๘๒
ระหว่างที่ครอบครัวทั้งสองกำลังนั่งสนทนาปราศรัยกันด้วยอัธยายา
สัยแจ่มใสนั้น
ร่างของเจ้าสินชัยและแสงสีก็ปรากฏกายเดินออกจากห้องชายหนุ่ม
พลางเข้าไปหา
ซึ่งทุกๆคนในที่นี้ไม่อาจจะแลเห็นร่างทั้งสองได้ หนุ่มโชติหันไป
มอง เจ้าสินชัยก็เอ่ยรายงานขึ้นว่า
“ นายเด็กมันบอกว่าอย่าให้พวกกำนันหวนกลับไปตอนนี้จะ
เกิดเรื่องใหญ่ ควรให้
พักที่นี่ก่อนแล้วตอนเช้าค่อยออกเดินทาง ด้วยทางบ้านของกำนัน
มั่น เจ้าลูกชายและ
พวกกำลังคอยการกลับเพื่อจะฉุดลูกสาวกำนันหวนครับ ตอนนี้มัน
กำลังเตรียมการอยู่”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วทำมือให้กลับไปได้ ด้วยเกรงว่าจะทำให้
เป็นที่สงสัยของ
ครอบครัวพ่อหวน หากเขาเอ่ยกับเจ้าสินชัยและเจ้าแสงสี
ครั้นทราบดังนั้นแล้วทั้งสองก็เดินกลับเข้าห้องไปทันที ชายหนุ่ม
พลางแสร้งเงยหน้า
ขึ้นมองท้องฟ้าแล้วปากเอ่ยขึ้นว่า
“ผมดูฤกษ์ยามของพ่อหวนและแม่เย็นและน้องๆแล้วว่าวันนี้
เห็นสมควรจะพักผ่อน
ที่บ้านก่อนนี่ด้วยมืดค่ำ อีกอย่างตามฤกษ์ยามกำหนดว่าหากออกเดิน
ทางในช่วงระหว่างนี้บางที
จะมีเรื่องร้ายแรงอันตรายมากๆด้วยครับ
หากไม่รังเกียจบ้านผมก็อย่าพึ่งกลับไปนะครับ”
พลางหันไปกระซิบกระพ่อเชียรแม่เย็นที่ทำหน้าสงสัย
ในการกล่าวของลูกชายยิ่งนัก
ครั้นทราบเรื่องราวทั้งหมดก็รีบ หันไปทางครอบครัวพ่อหวนทันที
“ผมว่านี่ก็มืดแล้วทางหรือก็อันตรายมากจริงอยู่ถึงแม้ว่าพ่อ
หวนและเจ้าชวน
จะไม่เกรงกลัวก็ตามที แต่เจ้าโชติเขามักจะทำนายไม่ค่อยผิดพลาด
อะไรนักหรอก
ขอเชิญทั้งหมดพักที่นี่ด้วยกันนะ ถึงจะคับแคบหน่อยแต่ก็คงจะเพียง
พอ
กล่าวเสร็จไม่รอคำตอบหันไปสั่งเจ้าชัยและอนาคตสะไภ้
ชบาด้วยไปช่วยจัดห้องหับที่ว่างอยู่สองสามห้องให้พ่อหวนและครอบ
ครัว
ได้พักนอนคืนนี้นะ”
“จ๊ะพ่อเดี๋ยวหนูจะไปรีบทำความสะอาดให้เรียบร้อยคงไม่
นานหรอกจ้า”
กล่าวเสร็จสาวชบาพร้อมเจ้าชัยก็ลุกขึ้นเดินออกไป
โดยมีเจ้าชัยเดินตามไปด้วยเพื่อไปจัดการตามคำสั่งพ่อทันที
“ไม่ตัองก็ได้นี่นาน้องเชียรพี่เองและเจ้าชวนก็เคยผ่านไปๆ
มาๆ
ในเวลาค่ำคืนทางนี้บ่อยๆเกรงจะทำความลำบากให้น้อง
เปล่าๆ”
พ่อหวนแม่เย็นเอ่ยขึ้นบ้าง
“เชื่อน้องเถอะพี่ลองลูกโชติกล่าวเช่นนี้คงจะมีเรื่องอะไร
พิเศษเป็นแน่แท้
เพราะปกติเขาจะไม่ค่อยจะกล่างอะไรแบบหนักแน่นเช่นนี้ น้องรู้
นิสัยลูกคนนี้ดี”
“หากเป็นพ่อโชติเอ่ยเช่นนี้ และน้องเชียรแม่เย็นเห็นด้วย
เอาล่ะเป็นอันตกลง
พวกเราจะได้คุยกันนานๆหน่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องเจ้าบงกชเจ้าชัย
และการบวชของพี่ด้วย ให้พ่อโชติช่วยดูฤกษ์ผานาทีด้วยนะ
พี่เองก็เชื่อด้วย นับตั้งแต่เขาทำนายก่อนนั้นและการมอบสิ่งของไว้
ป้องกันตัว
นี่พี่ก็คล้องติดตัวกันทุกๆคนด้วย” พลางควักเอาพระมาให้
ทั้งหมดดู
ชายหนุ่มยิ้มพลางขอตัวทั้งหมดเดินกลับเข้าห้องของเขาไปทันที
“อ้าวไม่อยู่คุยกับลุงป้าและน้องๆด้วยหรือพ่อ
โชติ” กำนันหวนท้วงติง
“ผมมีเรื่องจะทำรายงานให้แก่ลูกน้องผมครับ อ้อๆๆน้อง
ชวน
อย่าลืมที่พี่บอกไว้นะให้มาหาพี่พรุ่งนี้
ราวบ่ายๆทั้งหมดด้วยก็แล้วกัน โดยเฉพาะนายเปล่งนั้นพี่อยากให้มา
พักที่บ้านพี่ด้วยเขามีปัญหาพันธะอะไรหรือเปล่าล่ะ????....”
“ไอ้เปล่งมันเป็นโสดครับพี่ มันเป็นคนไม่ค่อยพูดเลยจีบ
สาวไม่เป็น
และค่อนข้างขี้อายด้วยผิดกับพวกทะโมนที่ปากมันเปราะ จีบสาว
เรื่อยๆเปื่อย
แต่ไม่มีใครสนใจ ทั้งหมดยังเป็นโสดทั้งสิ้นครับพี่”
“ถ้าอย่างนั้นดีแล้วล่ะ ให้ทุกๆคนยกเว้นเจ้าเปล่งอยู่ช่วยงาน
ที่บ้านน้องก็แล้วกัน
ด้วยพ่อหวนก็จะไปบวช ไร่นาสวนหรือก็กว้างขวางคนเดียวทำไม่ได้
หรอก
เอาพวกนี้มาพักจะได้ช่วยผ่อนแรงไปด้วย
อีกอย่างหนึ่งเวลาใช้งานก็จะสะดวกในการรวมพล หากเรื่องนี้ตกลง
กัน
พี่ก็จะแนะนำคนของพี่ให้รู้จักด้วยจะได้ไม่ต้องกลัว”
“ไอ้พวกนี้มันไม่กลัวอะไรหรอกพี่คนหรือผีก็ตามเห็นมัน
บอกผมอย่างนี้นะ
จริงๆผมเองก็ไม่รู้เพียงแต่รู้ว่าเรื่องคนนั้นเชื่อใจได้ครับพี่”
ชวนตอบพี่ชาย
ชายหนุ่มมองหน้าเจ้าชวนแล้วหัวร่อ ฮึๆๆๆแต่ไม่กล่าวอะไรอีก
พลางลุกก้าวเดินเข้าห้องเขาไป
ดังนั้นทั้งหมดก็มานั่งสนทนากันในเรื่องต่างๆนาๆตลอดจนการทำมา
หากิน
แล้วก็วกกลับมาถึงงานที่กำหนดไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับงานแต่งงาน
และงานบวชที่จะเกิดขึ้นภายหลังได้ตบแต่งลูกสาวเรียบร้อยแล้ว
ส่วนทางด้านกำนันมั่นนั้นหลังจากสร้างบ้านใหม่เรียบร้อยแล้วค่อน
ข้าง
จะใหญ่โตกว่าเก่ามากอีกทั้งยังมีที่ซ่อนสิ่งต่างๆไว้อีกรายล้อมรอบบ้าน
หน้าบ้านใต้ต้นมะขามใหญ่ก็ยังเสริมแคร่ไว้สำหรับใช้เป็นที่พักผ่อน
ของเจ้าแม้นและบรรดาหญิงชายทั้งหลายอยู่ เสียงสนทนาปราศรัย
อวด
อ้างสรรพคุณ ดังสนั่นลั่นไปทั่วบริเวณโดยเฉพาะเจ้าแม้นนั้นค่อนข้าง
จะเสียงดังมากกว่าใครๆทั้งหมด ต่างหยอกล้อจับโน่นจับนี่แก่เหล่า
สาวๆ
ส่วนบรรดาสาวๆก็แสร้งทำเป็นระรี้ระริกวี๊ดว๊าด ด้วยมันเคยกันมาจนชิน
ทันใดนั้นเจ้าเบี้ยวและนางสาวลัดดาก็ขับรถกลับมาพร้อมกับเสบียง
อาหาร
ที่ไปซื้อมาจากในเมืองล้วนแต่เป็นจำพวกกับแกล้มเหล้าและเหล้า
เป็นจำนวนมาก
เจ้าสนกับเจ้าแช่มก็รีบไปช่วยกันยกมายังบริเวณแคร่ใต้ต้นไม้ทันที
ไอ้เบี้ยวก็กล่าวเสียงค่อนข้างดังว่า
“พี่แม้น ข้าได้เห็นกำนันหวนกับครอบครัวมันต่างไปอยู่ที่
บ้านเจ้าเชียร
กำลังปรึกษากันอยู่ สืบได้ความว่ามันยกลูกสาวให้กับเจ้าชัย
ลูกเจ้าเชียรมันแล้วล่ะ???..พี่!!!!.....”
“มึงพูดจริงหรือว๊ะไอ้เบี้ยว” เสียงเจ้าแม้นลูกกำนัน
มั่นเอ่ยถามให้แน่ใจมัน
“ไม่เชื่อพี่ก็ถามอีลัดดาได้นะว่าข้าจะไปโกหกพี่ทำไมกัน
ข่าวลือนี้
มันดังไปทั่วหมู่บ้านโคกอีกแร้งกันแล้วล่ะพี่ มีแต่พวกเราที่ไม่รู้เท่านั้น
เอง”
“จะใช้ได้หรือว๊ะอ้ายห่าราก!!!!?????.... กูอุตส่าห์ให้พ่อกู
ไปสู่ขอ
นางบงกชมัน แต่มันกับไม่ยอมยกให้แก่กู แล้วตอนนี้มันอยู่ที่บ้านมัน
หรือเปล่าล่ะ???.....”
“เปล่าหรอกพี่มันอยู่ที่บ้านไอ้เชียรแหละทั้งหมดเลย
ล่ะ”
“จริงหรือว๊ะอีลัดดา” มันหันไปถามอย่างไม่แน่ใจ
“จริงจ๊ะพี่แม้น มันกำลังปรึกษากันเรื่องแต่งงานอยู่แหละ
จ๊ะ”
ลัดดาตอบให้ให้แม้นฟัง
ครั้นไอ้แม้นได้ฟังก็เกิดความโมโห ยกแก้วเหล้าเพียวๆที่ยกเทลง
เพิ่ม
ขึ้นดื่มทีเดียวหมดแก้ว แล้วพลางหันไปสั่งไอ้สน ไอ้แช่ม และพวก
ทันที
พวกมึงไปนำอาวุธมาค่ำนี้หากมันกลับมากู กูจะไปฉุดอีนางบงกช
มันซะเลยแล้วอย่าเสือกไปให้พ่อกูรู้เสียล่ะ.....เดี๋ยวจะเสียการ
ว๊ะ”
ไอ้สนก็หันไปสั่งพวกเด็กๆที่นั่งกินเหล้าอยู่ห่างๆสั่งให้ไปนำเอา
อาวุธปืนต่างๆมาทันทีพร้อมกำชับว่า
“อย่าเสือกทำกระโตกกระตากเสียล่ะ เอ๊าๆๆนี่กุญแจไปเปิด
ห้องเก็บของ
พวกมึงก็รู้นี่นาอยู่ที่ไหน???...”
แล้วไอ้แม้นก็หันมาบอกพรรคพวกทันทีว่า ให้แบ่งกำลังเป็นสอง
ฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งบุกไปที่บ้านบางโคบุกปล้นมันเสียเลย
อีกฝ่ายหนึ่งคอยดักที่ปากทางเลยบ้านกูก่อนจะถึง ในระหว่างทางก็
เข้าชิงตัว
จี้มันแล้วฉุดอีกบงกช หากต่อสู้ยิ่งแม่งให้ตายให้หมด
ยกเว้นอีกบงกชคนเดียวเท่านั้น ฝ่ายนี้กูจะนำไป
ส่วนทางบ้านบางโคให้ไอ้สนกับไอ้แช่มนำพาพวกไปกวาดมัน
ให้เสี้ยนเตียนเลยนะโว้ย เลือกเอาสิ่งของมีค่ามาให้หมดนะ
หากเสร็จงานเรามาร่วมฉลองกัน ไอ้สนกับไอ้แช่มนำ ไอ้เจี๊ยบ ไอ้
ผ่อง
ไอ้เขียว และไอ้ดำไป
ส่วนข้ากับไอ้เบี้ยว ไอ้เข่ง ไอ้โจ๊ก ไอ้หาญ และไอ้ผ่อง
ไปคอยดักฉุดอีกบงกช อีกทางหนึ่งก่อนจะถึงบ้านกูนะ
โว้ย!!!!!...”
ฝ่าย นางสร้อย ช้อย นวล ชบา และพลอย เอ่ยทัดทานขึ้นว่า
“ อย่างนี้มันเท่ากับการปล้นนะพี่แม้นมันจะดีหรือคุ้มค่าหรือ
กับอีกบงกชคนเดียว”
“มึงอย่าเสือกอีสาวๆ หรืออิจฉาอีบงกชมันหรือ แล้วอย่า
เสือกปากหมา
ไปบอกกับพ่อกูเสียด้วยหากกูรู้เมื่อไหร่พวกมึงเจ็บตัวทุกๆคนแหละ
ว๊ะ”
“อ้อๆๆๆหากพ่อกูถามว่าพวกกูไปไหน มึงก็แก้ตัวให้กูด้วยก็
แล้วกัน
พวกมึงตอแหลเก่งอยู่แล้ว แล้วพื้นที่ก็ล้วนชำนาญกันทั้งสิ้น
หากงานนี้สำเร็จ ต่อจากอีกบงกช ก็เห็นรางวัลสำหรับพวกมึงแหละ
ว๊ะ”
ไอ้แม้นกล่าวจบ พลางหัวร่อส่งเสียงลั่นด้วยความครึ้มใจมันคิดว่าคืน
นี้
คงจะได้เปลี่ยนรสชาดใหม่ๆมึงเอ๋ยฟ้าไม่เหลืองกูไม่ยอมเลิกลา มัน
รำพึงในใจ
“ เอ้าๆๆๆ....พวกมึงรีบดื่มเข้าอย่าเสือกเมาเสียก่อน นี่ก็
สมควรเวลาได้แล้ว
มึงเอารถกะบะไปให้เข็นไปก่อนนะโว้ย พอเลยหน้าบ้านค่อยติด
เครื่อง
เดี๋ยวเสียงดังจะทำให้พ่อกูรู้เรื่อง”
ดังนั้นพวกมันต่างก็รีบพากันดื่มกินเพื่อย้อมใจ ส่งเสียงหัวร่อเฮฮา
กันลั่น
ไปทั่วบริเวณ ครั้นได้เวลาพวกมันก็รีบทะยอยกันพวกอาวุธปืนออกมา
รอคอยยังนอกรั้วบ้าน พอรถที่เข็นแบ่งแยกเป็นสองทางก็ออกรถไป
ทำงาน
กันทันที
ไอ้สนกับไอ้แช่มกับพรรคก็ออกเดินทางไปคอยที่ปากทางบ้านบาง
โค
เพื่อรอเวลาให้มืดคนในหมู่บ้านได้หลับนอนเสียก่อน มันจอดรอไป
ไม่ไกล
บ้านอดีตกำนันหวนนัก เห็นบ้านปิดเงียบสนิทจะมีไฟพลางบ้างก็เพียง
เล็กน้อย
ครั้นได้เวลาพวกมันก็ล้วงหยิบไหมพรมคลุมหน้ากันถ้วนทั่ว ถืออาวุธ
ปืนต่าง
เข้าไปในบริเวณบ้านซึ่ง มันรู้สึกไม่สังหรณ์ใจแต่อย่างไรเนื่องจาก
ทราบมาก่อน
แล้วว่าบ้านนี้ไม่มีใครอยู่ นอกจากพวกหญิงรับใช้เด็กเล็กๆบางคนเท่า
นั้น
ดังนั้นมันจึงเดินเข้าไปกระจายหน้าแถวออกไปอย่างสง่าผ่าเผยไม่
ระวังตัวอะไร
เพื่อให้เป็นไปตามแผนการปล้น ไอ้สนจึงร้องขึ้นว่า
“ไอ้เสือบุก ใครขัดขืนตายรูปเดียว ให้นอนลงเอามือกุม
หัวไว้จะได้ไม่ต้องตาย
นะโว้ย ไปไอ้เสือเอาวา”
แล้วร่างมันก็หัวร่อลั่นที่มันแกล้งพูดก็เพื่อให้พวกผู้หญิงเด็กตกใจ
เล่นเท่านั้นเอง
เมื่อพวกทั้งหมดเข้าสู่บริเวณลานหน้าบ้านซึ่งเป็นที่แจ้ง ไอ้สนกำลัง
จะก้าวขึ้นบนบ้าน
และแล้วพวกมันก็ต่างตระหนกตกใจ ในสิ่งที่มันคาดคิดไม่ถึง......
เสียงอาวุธปืนอาก้าซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงกว่าของอาวุธที่มันนำติดตัว
มา
เพื่อใช้ในการข่มขู่เท่านั้น
ร่างของไอ้สนก็เต้นเป็นผีเข้าเมื่อร่างมันเจอกระสุนเข้าที่ทรวงอก
อย่างจังและหลายๆ
ลูก ร่างมันเต้นเร่าแล้วล้มฟุบลงยังตืนบันไดบ้านทันที ส่วนบรรดา
พรรคพวกทั้งหลาย
ก็ต่างโดนกระสุนเข้าร่างกายกันเต้นเร่าๆกันทุกๆคน จะมีเพียงแค่ไอ้
แช่มเท่านั้นที่ถลา
วิ่งเข้าไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างๆรั้ว ด้วยมันอยู่ท้ายสุดเพื่อควบคุมการทำ
งานครั้งนี้
มันรีบทรุดตัวคลานซ้ายทีขวาทีตามวิสัยที่เคยผ่านการฝึกฝนจาก
การ
เป็นทหารมาแต่ร่างมันก็เลือดสาดเพียงแต่โดนที่ไม่สำคัญเท่านั้น
แต่สายตามันมองไปยังบรรดาพรรคพวกเห็นต่างล้มตายหมดสิ้น
แม้แต่ไอ้สนเองที่ตอนแรกเดินนำหน้าเก๋ไก๋ล้มฟุบตายสนิทคาบันได
บ้าน
มันรีบคลานไปที่รั้วแล้วค่อยๆแหวกพอนำเอาตัวรอดออกมาได้เท่านั้น
เอง
มันรู้สึกอ่อนเพลียมากด้วยเสียเลือดที่ไหล่ซ้ายและขวาแถวบริเวณ
น่อง
กับบั่นเอวด้านขวา
แต่ความกลัวตายทำให้มันต้องอดทนกัดฟันข่มความเจ็บปวด
คลานไปหารถซึ่งยังมีกุญแจคาอยู่ มันคอยจนกว่าสิ้นเสียงปืนสงบ
จึงได้รีบสตาร์ทรถเครื่องรีบเร่งขับออกไปทันที
หนึ่งในที่ลอบยิงมันวิ่งมาทางถนนพร้อมสาดกระสุนใส่ไปยังล้อรถ
และกระจกด้านหลังแตกกระจุย แต่ร่างไอ้แช่มรีบหมอบแนบพวง
มาลัย
รถแล้วเร่งคันเร่ง มันเหยียบน้ำมันจนจม รถกระชากสายไปๆมาๆแทบ
จะตกถนน ด้วยความรักตัวกลัวตายคิดว่าอาจจะมีคนขับรถมอเตอร์
ไซค์
ตามมาด้วย มันรีบปิดไฟเปิดเฉพาะไฟส่องทางเท่านั้น จนรถมันพ้น
เขต
พุ่มไม้ทางโค้งหลบหนีไปได้.............
แก้วประเสริฐ.
( ตามคำเรียกร้อง ของคุณ " เอื้องอังกูร " ผมจะพยายามเขียนให้จบครับ เว้นเสียจากจะเขียนไม่ได้อีกแล้วครับ ขอบคุณที่เรียกร้องมาครับ)
10 มีนาคม 2554 15:33 น.
แก้วประเสริฐ
ฝันที่เลื่อนลอย
กาลเวลาที่ไม่รอใคร เหมือนฉันที่นั่งคำนึงไตร่ตรองเหตุการณ์นั้นในอดีตอยู่
ตะวันฉายแสงดูอ่อนล้า บอกสิ่งที่จะเปลี่ยนแห่งกาล ยามตะวันทอแสง
หมู่ม่านเมฆลอยละล่อง ขวักไขว่ไปมาตามกระแสลม ที่มองคล้ายจะคลุ้มคลั่ง
สิ่งที่ทอทาบนั้นกลับทอสลับแสงสี ประหนึ่งมุมเหลี่ยมแห่งอัญมณีพร่างพราย
เสียงคลื่นยามกระทบฝั่งดังฉาดฉาน โครมๆ หันไปมองเห็นละอองน้ำพลิ้วไป
ในอากาศพลันเกิดเป็นรุ้งเล็กๆสองโค้งสลับวาววับแล้วก็หายไป มันช่างเป็นภาพ
ที่งดงามมากตราตรึงต่อละอองน้อยๆที่รวมตัวกันขึ้นแปรเปลี่ยนภาพรุ้งขึ้น
โอ้ว!!!!????......มันคล้ายๆกับห้วงในความนึกคิดของฉันมิปาน......
ฉับพลันภาพหนึ่งก็เกิดขึ้นอีกวาระ เป็นภาพของหญิงสาวสวยตระการตาเคียงคู่กับ
ชายรูปร่างใบหน้าหล่อเหลา หญิงนั้นหันมายิ้มแต่มองไปเสมือนหนึ่งดังคล้ายๆที่
หล่อนจะเยาะเย้ยมิปาน
กระแสลมเฉื่อยๆพัดต้องกายสร้างความเยือกเย็น ถึงมาดแม้นว่าจะไร้ซึ่งสิ่งเหล่านี้
ก็ตาม แต่กายเขาซิภายในกับเยือกเย็นกว่าและยังสะท้อนสิ่งภายในให้เย็นเฉียบกว่า
กระแสลมเสียอีก
ชายหนุ่มเฝ้ามองไปยังขอบฟ้าแลระลอกคลื่นที่ไกลแสนไกลพลิ้วเป็นคลื่นน้อยๆต่าง
ทะยอยมุ่งมาทางเขาเพื่อเข้าหาฝั่ง อันเป็นวิถีชีวิตของมัน เขาเฝ้ามองสมองสั่งการให้คิด
คิดๆๆๆๆ ทำไมหนอจึงช่างคลับคล้ายกับชีวิตของเขาเสียนี่กระไร????.....
ช่างเถอะในเมื่อเราไม่สามารถจะแทรกเข้าไปได้เสียแล้ว คงปล่อยไปตามสิ่งที่หล่อนลิขิต
ก็แล้วกัน ชายหนุ่มหันมามองรอบๆตัวแลเห็นหมู่หินที่อยู่ใกล้ๆริมฝั่งทะเลจึงเดินไปนั่ง
แล้วหันมองไปบนฟากฟ้าที่ปลายหนึ่งจรดขอบแห่งน้ำ มันช่างสุดเวิ้งว้างห่างไกลเสียจริงๆ
ร่างที่นั่งอยู่บนก้อนหินเล็กๆท้าวคางขึ้นมองธรรมชาติยามสนธยา ม่านหมู่เมฆพราวพร่าง
ไปด้วยสีสันต์ต่างๆสร้างไปตามกระแสจิตที่กำหนดไว้
สิ่งนั้นกลับเป็นใบหน้าหญิงสาวนางหนึ่งที่ประพิมประพรายยิ่งนัก
หล่อนงามเสียจริงๆในห้วงความคิดเขาและก็งามจริงๆเสียด้วย!!!!!.....
หากไม่งดงามจนเป็นที่เหลือบแลของบรรดาชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลาย
คงจะไม่มีวันนี้เกิดขึ้นกับเขาแล้ว ป่านฉนี้คงจะได้เคียงคู่ครอง
ไปสัญจรในที่ต่างๆอย่างมีความสุขในสิ่งที่ใจปราถนาแห่งหัวใจ
ใช่ซินะ????.....เขาไม่อาจจะหยั่งรู้ในใจหล่อนได้ถึงแม้นว่าจะเคยคลุกคลี
และมีสัมพันธ์กันบ้างก็ตามแต่ก็ไม่ถึงกับเกินเลยไป
จะด้วยเหตุนี้หรือไรเล่าเขาจึงต้องมานั่งอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ณ ที่นี้......
ดีเสียอีก!!!!.....หากเขาไม่รู้ซึ้งถึงสิ่งเหล่านี้ อนาคตเล่าจะเป็นฉันท์ใดบ้าง
ในเมื่อความต้องการที่พันผูกไว้อย่างไม่มีวันลืมเลือนสะท้อนลงสู่ห้วง
แห่งจิตใจไปมากต่อมากแล้ว......
ในเมื่อหล่อนมีความสุขในสิ่งอันพึงปราถนาของหล่อนเขาก็ยินดี
และยินยอมออกห่างในสิ่งที่เขาไม่ได้คิดว่าจะเกิดในเมื่อกาลเวลาผ่านมานับหลายๆปี
คงจะไร้วาสนาต่อกันกระมัง???....ชายหนุ่มรำพึงและรีบมองไปยังเหล่านกนางนวล
ที่ทะยอยๆกันเป็นหมู่ๆในแต่ละหมู่นั้นมักจะมีเป็นคู่ๆบินเคียงข้างกันไป และมีบ้างที่
ต้องบินกลับอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างดุจดังเขาที่มีใจแต่ถูกหักจนไร้น้ำใจ พวกนกเหล่านี้
คงจะกลับในสถานที่มันได้ร่วมกันพักพิง และหาความสุขกันและกัน
ความคิดเขาย้อนกลับมาสู่เขาอีกครั้งหนึ่ง ตลบย้อนเข้าสู่อดีตที่ผ่านมาของเขายามนึกคิด
ไปยังท้องทุ่งนาตอนเย็นๆก็จะแลเห็นหนุ่มสาวหลังจากเลิกงานพากันจู๋จี๋เป็นคู่ๆ
กลับจากท้องนา ยามภาระกิจเของแต่ละวันเสร็จไปแล้ว เพื่อเดินทางเข้าสู่บ้านน้อย
แห่งความรักกันอย่างมีความสุข
ชายหนุ่มหลับตาพริ้มสูดอากาศที่บริสุทธิ์เข้าสู่ปวดเสมือนหนึ่งจะให้ลืมๆๆๆ
เรื่องที่ย้อนทวนกลับให้หายเลือนรางไปจากสมอง
ฉับพลันเขาก็สะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงหวานๆดังก้องเข้าไปในหูทั้งสอง
“ พี่เชษฐ์ๆๆ...ทำไมมานั่งคนเดียวทำไมไม่ชวน ดา มาด้วยล่ะ
แหม๋ทำให้ค้นหาตั้งนาน???ฮึๆๆๆ....”
“ พี่จะไปรู้หรือว่า ดา จะชอบในสถานที่แบบนี้ เห็นมัวสาระวลกับพวกเพื่อนๆ
ในการทำอาหารสำหรับใช้เลี้ยงกันในคืนนี้มิใช่หรือ????... หรือว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“ ยังจ๊ะพี่ เหลือบมองไปในหมู่เพื่อนๆเห็นไม่มีพี่ก็เลยชักสงสัยว่า
หายไปไหน ไม่นึกว่าจะมานั่งคนเดียว”
หล่อนไม่พูดเปล่ากับเข้ามาเลือกก้อนหินที่ใกล้เขาที่สุดพลางนั่งลง กลิ่นน้ำหอมอย่างดี
โชยมากระทบจมูกเขามันเป็นน้ำหอมจากฝรั่งเศส ด้วยกลิ่นนี้เขาเคยชินมาตั้งนมนานแล้ว
นานจนกระทั่งไม่ได้กลิ่นเอาเสียเลย
“ อ้าวๆ!!!!!????.... ดา มาตามหาพี่มีธุระอะไรหรือจ๊ะ???....”
“ทำไมดามาหาพี่ต้องมีธุระด้วยหรือ???” เสียงที่ตอบค่อนข้างไพเราะเอาเสียมากๆ
ฟังดูติดแง่งอนตัดพ้อนิดๆ แต่ใบหน้ายังยิ้มแย้มแจ่มใส
เขาหันไปมองดูเป็นใบหน้ารูปไข่จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตากลมโตคิ้วเป็นเรียวโค้ง
ใบหน้าที่ขาวสะอาดสดใสนับได้ว่าหล่อนจัดได้เป็นคนที่สวยมากคนหนึ่ง
แต่แล้วเขาต้องต้องสะท้อนใจทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องอดีตที่กำลังย้อนกลับมาประดุจ
ดั่งความฝันที่ล่องลอยมาสู่เขาอีกวาระหนึ่ง
“เปล่าหรอกพี่คิดว่าดาคงจะมีเรื่องธุระใช้พี่หรือคุณพ่อของดาต้องการพบพี่นะ”
ชายหนุ่มกล่าวเบาๆ พลางย้อนอดีตกลับทันที ใช่ซินะแม้ว่าหล่อนจะให้ความ
สนิทสนมกับเขามากกว่าบรรดาชายหนุ่มในบริษัทก็ตาม และแม้แต่ครอบครัว
ของหล่อนหรือก็ไม่รังเกียจอะไร ยามที่เขาไปเยี่ยมท่านเจ้าของบริษัทนำงานมา
มอบให้ จึงได้พบหล่อนที่ยืนรอรับแต่เขามิได้สนในอะไรมากเท่าใดนัก
และทุกๆคนก็ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี จนกระทั่งเขาหล่อนเกิดสนิทสนมกัน
มากยิ่งขึ้น และทางคุณพ่อคุณแม่หล่อนไม่ได้ว่ากล่าวอะไร ซ้ำให้โอกาสแก่เขา
และหล่อนดูเสมือนหนึ่งจะเปิดทางให้แก่เขา เท่าที่เขาสังเกตุเห็นมาก็ตาม
“คุณพ่อดากำลังสนทนาเรื่องธุระกิจกับเพื่อนของท่านอยู่จ๊ะ หากเป็นเรื่องงานแล้ว
โอ้ยๆๆๆ....ท่านไม่ยุ่งกับใครๆหรอกแม้แต่ดาหรือใครๆก็ตาม ไม่รู้ว่าจะหาเงินไปถึงไหน
ทั้งๆที่มีก็ไม่น้อยไปกว่าใคร” เสียงหญิงสาวตอบ ไม่ตอบเปล่ากลับเอียงร่างมาทางเขา
เพื่อจะซบยังร่างเขา โดยเอนศีรษะซบไปบนหัวไหล่ของเขาส่วนสายตาจ้องไปยังท้องทะเล
ชายหนุ่มสะดุ้งในใจทำไมล่ะ???...เวลาจะเล่นตลกกับเขาย้อนรอยอีกหรือ เขารำพึงอีก
ก่อนนั้นเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นกับเขามาแล้ว และแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ความฝันที่เลือนลอย
ไปจากเขาเสียจริงๆ ใช่แล้วถึงเขาจะมีความรู้มากมายสูงก็ตามแต่ความอาภัพในเรื่องนี้
ช่างเกิดขึ้นแก่เขาเสียจริงๆ ชายหนุ่มมองไปยังขอบฟ้าจรดโค้งระหว่างน้ำกับฟ้าพลาง
คำนึงถึงกาลเก่ากับกาลใหม่ทันที่ ใช่ซินะหล่อนเปรียบดั่งม่านฟ้า เขาล่ะจะเปรียบดั่ง
น้ำหรือก็ไม่ใช่ ด้วยฟ้ากับน้ำยังจรดเข้าหากันได้แล้วเขาเป็นอะไรหรือ???....
ดินไงล่ะพ่อหนุ่ม???.....เสียงย้อนสะท้อนออกมาจากใจบอก เห็นจะจริงแล้วล่ะเขา
เป็นได้อย่างมากก็เพียงดินที่ค่อนข้างจะอับเฉาหาใช่ดินดอน แต่เป็นดินที่เป็นโคลนตม
เสียมากกว่า
ท้องฟ้าเริ่มจะมืดคลื้มสลัวๆแล้วด้วยดวงตะวันไปหายไปกับขอบฟ้าคงเหลือเพียงแสง
ที่ทอทาบกับผืนน้ำและชายฝั่งก่อนที่มันเลือนรางบอกถึงเวลาจะมืดลงแล้ว
“กลับเถอะดา นี่จะมืดค่ำแล้วน่ะ ทุกๆคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง หากขาดดาเสียคนงานนี้
คงจะกร่อยเอาเสียนะ”
“ทำไมพี่ถึงพูดแบบนี้ล่ะ ในเมื่อดาไม่สวยจนเป็นที่สนใจของใครๆหรอก ดูซิแม้แต่พี่เองหรือ
ก็ยังจะให้ดารีบกลับ” หล่อนเอนร่างจากที่ซบไหล่เขากลับตั้งตัวตรงเอ่ยขึ้น!!!!!?????....
“ใครบอกล่ะว่า ดา ไม่สวย ไม่รู้ซิน๊ะแต่ในสายตาพี่จัดได้ว่าดาเป็นคนทั้งสวยและงามมาก
จริงๆน๊ะพี่ไม่ได้หยอกเย้าดาหรอก มันเป็นเรื่องจริงหากไม่เชื่อกลับไปลองไปถามบรรดาหนุ่ม
รูปหล่อทั้งหลายซิ แต่ก็แปลกนะพี่เองถ้าพูดถึงรูปร่างใบหน้าแล้วสู้พวกผู้ชายในบริษัทฯไม่ได้
สักคนเดี๋ยว
เสียงดัง “แปะๆๆๆ” ที่ท่อนแขนเขาเบาๆ.....
“ไม่รู้น๊ะในสายตาของดากับมองเห็นพี่ถึงบอกว่าไม่รูปหล่อนัก ดากับคิดว่าหาใช่เรื่องสำคัญใดไม่
ตั้งแต่ดารู้จักคนมาก็มากๆแล้วทุกๆคนเอาใจดาทั้งสิ้น จะมีก็เพียงพี่นี่แหละที่วางตัวปกติธรรมดา
ไม่เห็นมาระแคะระคายอะไรกับดา จะสนทนาก็เพียงแค่งานหาใช่เรื่องอื่นผิดกับบรรดาชายหนุ่ม
ทั้งหลายทั้งในบริษัทและนอกบริษัทเลยสักคนเดียว ทำให้ดาเกิดความสนใจและอยากใกล้ชิดพี่
ยิ่งได้สนทนากับพี่แล้ว รู้สึกว่าดาช่างมีความสุขเสียเหลือเกินผิดกับบรรดาคนอื่นที่ล้วนแต่
ป้อยอดาจนชินและแสนเบื่อเสียจริงๆ จริงๆน๊ะพี่เชษฐ์”
“จ๊ะๆๆๆพี่เชื่อจ้า ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อด้วยพี่เองนั้นไม่ได้คิดอะไรเกินเลยเกินไปหรอกจ้า
แม้กับดาเถอะ
พี่ก็ให้เกียรติแก่ดาเสมอตลอดจน ดา เป็นถึงลูกของเจ้าของบริษัทฯอีกด้วยน๊ะ
ถือว่าฟ้ายังเมตตาพี่ที่ทำให้ ดา ลดตัวลงมาคบหาสมาคมกับพี่
ซึ่งพี่ย่อมรู้ตัวของพี่ดีเสมอๆจ้า กลับเถอะนะนี้ก็จวนจะมืดค่ำเข้าไปมากแล้ว
ล่ะเดี๋ยวคุณพ่อจะตามหา ดา จ๊ะ”
กล่าวจบชายหนุ่มก็ลุกจากการนั่งบนก้อนหิน พลางหันมายิ้มพร้อมทั้งก้าวเดินออกไป
“คอย ดา ด้วยซิแหม๋ไม่ยอมช่วยฉุดดาเลยนะพี่นี่” หญิงสาวเอ่ยแล้วรีบลุกขึ้นก้าวเดินให้
ทันเขาแล้ว หล่อนก็รีบควงแขนเขาออกเดินกลับทันที
ชายหนุ่มหันใบหน้ากลับมองทะเลที่น้ำกำลังทะยอยๆเป็นคลื่นเข้ากระทบฝั่งจนเป็นฝอยๆ
ยามกระทบกับโขดหินที่เขานั่ง น้ำทะเลกำลังขึ้นแต่เขาล่ะใจเขาหรือจะขึ้นเหมือนดังน้ำทะเล
หรือเปล่าหนอ ชายหนุ่มรำพึงคร่ำครวญในใจ..........................
แก้วประเสริฐ.