3 มิถุนายน 2554 21:18 น.

อทิสมานกาย ๙๒

แก้วประเสริฐ

2145537od3bkrob2x.gif
              อทิสมานกาย ๙๒

     เมื่อเดินทางมาถึงบ้านแล้ว เขาก็แลเห็นพ่อแม่น้องและน้องสไภ้กับ

แม่นางชบา กำลังนั่งทานอาหารร่วมกันอยู่    เมื่อพ่อเชียรแม่เข็มเห็น

ดังนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า

   “อ้าวกลับมาแล้วหรือพ่อนึกว่าจะไปหลายๆวันเสียอีก   ทางโน้นมี

เรื่องอะไรบ้างหรือ  มาๆมากินข้าวพ่อแม่น้องๆก็พึ่งจะกำลังและคุยถึง

เจ้าอยู่พอดีเชียวล่ะลูก”

   “เรื่องสำคัญมากจ๊ะพ่อ พ่อและน้องๆทานก่อนเถอะผมยังไม่หิวเลย

ด้วยกินกันมาแล้วล่ะครับ  อ้อๆๆหลวงพ่อทองท่านได้มรณะภาพแล้ว

ครับ  ผมไปเยี่ยมมาพอดีทราบว่าท่านละสังขารไปแล้วแต่ร่างกายยัง

ทำงานอยู่คงจะประมาณพรุ่งนี้แหละครับ”

   “เมื่อสองสามวันพ่อก็ไปเยี่ยมท่านมาเห็นท่านไม่พูดจาแต่อย่างไร

และเข้าสมาธิตลอด แต่ก็ทราบด้วยฌานเหมือนกันว่าคงจะเร็วๆนี้แหละ

แต่ท่านไปดีของท่านแล้วล่ะ”

   “ครับท่านไปอยู่ชั้นสูงๆแล้วครับ   ผมบอกหลวงพ่อหวนว่าให้เก็บ

ร่างท่านไว้ไม่ต้องเผาหรอก ใส่ในโลงแก้ว และจะทำรูปหล่อท่านไว้

ที่หน้าศพท่านด้วยครับ  พ่อเห็นว่าดีไหมเพราะว่าท่านอธิษฐานจิตไว้

ร่างท่านจะไม่ไหม้ไฟเด็ดขาด หากไปเผาจะทำให้เสียสภาพไปครับ”

   “เรื่องนี้ก็ดีเหมือนกันแหละลูก ด้วยท่านเป็นผู้สร้างวัดโคกอีแร้งมา

ตอนนั้นเป็นวัดร้างไม่มีพระเณรอยู่เลย ท่านธุดงค์มาปักกลดแล้วก็เริ่ม

บูรณะเป็นวัดจนท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสไปนะลูก”

   แม่เข็มอธิบายแทนพ่อเชียรต่อทันที

   “แม่ว่าเก็บไว้ก็ดีเหมือนกันจะได้เป็นที่ ด้วยหลวงพ่อทองท่านเป็น

เจ้าอาวาสที่สร้างคุณูปการแก่วัดนี้ไว้มาก   ควรจะเก็บไว้ให้เป็นที่

รำลึกถึงคุณงามความดีและยังทำให้เจ้าอาวาสต่อๆไปจะได้สังวรณ์ไว้

ด้วยล่ะ”
  
   “อ้อๆแล้วใครจะมาเป็นเจ้าอาวาสแทนท่านล่ะ”

   “เห็นพระในวัดท่านพูดว่าคงจะไม่พ้นหลวงพ่อหวนหรอกจ๊ะแม่ด้วย

ท่านมีหนังสือแจ้งไปยังคณะสงฆ์ไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ คงจะมีคำสั่งมา

ในไม่ช้านี้แหละครับ”

   “ก็เหมาะดีนะถึงแม้ว่าท่านหวนจะเป็นพระใหม่ก็จริงแต่  ท่านเรียน

สอบนักธรรมเอกได้ ส่วนพระรูปอื่นไม่มีใครมีความรู้ถึง คงจะไม่พ้น

ท่านไปได้หรอก  และท่านเองก็เก่งทั้งทางโลกและทางธรรมอีกด้วย

พระหวนนี่แหละลูก อีกทั้งยังมีวิชาอาคมไม่แพ้หลวงพ่อทองอีกด้วย

หรือว่าพ่อคิดว่าคงจะเก่งกว่า......  ด้วยได้รับความรู้จากลูกและไป

เพิ่มเติมจากอาจารย์เลื่อมซึ่งเป็นรุกขเทวาอีก   ทั้งทางโลกก็เชี่ยวชาญมา

มากๆอีกด้วยตลอดจนมีเงินทองก็มากมาย  ที่ใช้บำรุงวัดเจริญรุ่งเรือง

กว่าเก่าเช่นทุกวันนี้อีกด้วยล่ะ”

    “ครับผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันครับพ่อ  อย่างนั้นกินข้าวไปเถอะ

ครับผมจะไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวและต้องออกไปอีกข้างนอกด้วยล่ะ”

   “อ้าวๆๆๆ????....จะไปไหนอีกล่ะลูกโชติ”

   แม่เข็มเอ่ยด้วยความสงสัย  ส่วนเจ้าชัยและบงกชและชบาก็หันมามอง

ดูด้วยความสงสัยเหมือนกัน

   “ผมจะไปหาเจ้าเปล่งเสียหน่อยครับ  ด้วยมีเรื่องงานจะสั่งให้มันทำ

อีกด้วยครับพ่อ”

   ในระหว่างการสนทนานั้นทันใด สายตาของชายหนุ่มเหลือบมอง

ไปทางลานชานเรือน ในยามสนธยานั้นที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันมาก

มาย ทอแสงประกาย  ครั้นแล้วเขาก็แลเห็นดาวใหญ่ดวงหนึ่งพลันพุ่ง

จากท้องฟ้าลับหายไปทางทิศตะวันตก ก็เกิดคามฉงนพลันหลับตาลง

ก็ทราบเหตุการณ์นั้นทันที พลางหันไปทางพ่อแม่และเอ่ยว่า

   “สงสัยวันนี้ผมจะไม่ออกไปข้างนอกแล้วล่ะครับคุณพ่อคุณแม่ด้วย

สังหรณ์ใจว่าเรื่องในเมืองคงจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นเสียแล้ว คงจะไป

ในวันรุ่งขึ้นดีกว่าครับ”

   “ก็ดีเหมือนกันลูกจะได้พักผ่อนให้หายเหนื่อยเสียก่อนนะ”

   ชายหนุ่มกล่าวพลางขยับตัวหมายจะเข้าห้องเขาไปแต่แล้วก็ต้องชะงัก

เมื่อได้ยินพ่อของเขากล่าวขึ้นว่า

   “ลูกยังไม่ได้บอกเลยว่าในกรุงเทพฯนายเรียกไปมีเรื่องสำคัญมาก

อย่างไรเลยล่ะ  อ้าวๆมีเรื่องอะไรอีกหรือลูก”

   ชายหนุ่มอ้ำอึ้งไปสักพักหนึ่งครั้นจะบอกเหตุลางร้ายก็จะมีเรื่อง

ต้องอธิบายมากขึ้น  จึงเพียงกล่าวเพียงคร่าวๆเท่านั้น

   “มันเป็นความลับทางราชการจ๊ะพ่อแม่  ขอเพียงพ่อรู้ได้ว่าจะมีการ

เปลี่ยนแปลงการปกครองในเมืองเราใหม่และจะเกิดความวุ่นวาย

ไม่สิ้นสุด  นายเรียกตัวไปกำชับให้ปฏิบัติตัวอย่างไรครับ”

   “ฮ่าๆๆๆ!!!!!????.....อะไรจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเลยหรือ???...”

   “เรื่องนี้ก็ต้องดูกันต่อไปครับพ่อ  อ้อๆๆนายใหญ่ตอนนี้จะต้อง

รีบทำก่อนที่ท่านจะไม่ได้อยู่  และผมได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นอีกด้วย

ตลอดจนลูกน้องที่สนิทผมด้วยและจะมีการโยกย้ายกันอีกระลอก

ครับก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงไป  พ่อรู้แค่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ”

   “เออๆๆๆ.....ไม่ต้องเล่าหรอกพ่อแม่และน้องๆไม่รู้เรื่องหรอกนะ”

  พ่อเชียรแม่เข็มเอ่ยขึ้น  พลางล้างมือในชามล้างพร้อมเช็ดมือกับผ้า

ข้าวม้าไปในตัวเสร็จ  ก็พอดีบรรดาลูกเมียต่างก็กินอิ่มกันเรียบร้อยแล้ว

สาวบงกชและสาวชบาต่างช่วยกันลำเลียงข้าวของเข้าไปเก็บในครัว

   “ก็ด้วยเรื่องอย่างนี้แหละผมถึงจะรีบตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อนจ๊ะพ่อ”

   “คราวนี้ลูกก็ต้องเผยตัวเองแล้วล่ะซินะ????....”

  แม่เข็มเอ่ยขึ้น

   “ครับคงจะเดือนหน้านี้แหละผมจะไปๆมาๆครับ  ไม่พักที่โน่นหรอก

 เพราะผมต้องทำงานทั้งสองด้านครับ ทางด้านนี้จะให้เจ้าเปล่งมันทำ

และดำเนินการเองทั้งหมด ส่วนผมจะไปทำงานทางโน้นแต่ในทางกลับ

กันก็จะมอบหมายคำสั่งลับให้มันดำเนินการกวาดล้างให้หมดครับ”

   “นี่ก็จวนจะค่ำมากแล้วล่ะ ไว้พรุ่งนี้ไม่ดีหรือ”

   แม่เข็มเอ่ยด้วยความเป็นห่วงใยลูกชายนัก  พลางหันไปทางพ่อเชียร

ด้วยหวังจะให้ช่วยพูดให้ด้วย  แต่พ่อเชียรทำเฉยๆสูบบุหรี่พ่นปุ๋ยๆๆๆ

   “ครับดีเหมือนกันครับ ผมเปลี่ยนใจแล้วล่ะครับสงสัยในกรุงเทพฯจะ

มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไรบ้างอย่างเสียแล้วล่ะครับ”

   “เออๆๆๆ...ดีแล้วล่ะลูกไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนไว้พรุ่งนี้ค่อยไปก็ดี

เหมือนกันนะ  ส่วนทางนี้จะได้วางแผนการณ์ก่อนจะดำเนินการ

ต่อไป ด้วยงานนี้สำคัญมากเสียด้วยต้องทำให้เรียบร้อยก่อนเหตุการณ์

ที่จะตามมาภายหน้า ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรทำก่อนที่จะเปลี่ยนแปลง”

   พ่อเชียรไม่ให้ความความคิดเห็นแต่อย่างใด  ส่วนแม่เข็มก็หันไปมอง

ทางสาวชบาซึ่งทั้งพ่อเชียรแม่เข็มหวังหมายปองสไภ้ในอนาคตไว้

พร้อมกล่าวว่า

   “เรื่องในห้องเจ้าโชติเรียบร้อยแล้วหรือยังล่ะลูก”

   “เรียบร้อยแล้วจ๊ะ หนูไปดูแลทุกๆวันแหละแม่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้า

แต่หากพี่เขาไปในเมืองก็จะดูแลอยู่เสมอๆแหละเพื่อเขาจะกลับมาพัก

จ๊ะแม่   เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกหนูจัดการเรียบร้อยทุกๆวันแล้วจ้า

   “พี่เองไปเช้าเย็นกลับจ้าแม่ชบา ไม่ได้พักที่นั่นหรอกนอกจากมีเหตุ

จำเป็นเท่านั้นแหละ  จะได้ไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่และน้องๆเป็นห่วง”

   “ก็ดีเหมือนกันแหละลูก  งานของลูกมันเสี่ยงภัยน่าดูเหมือนกันนะ”

   แม่เข็มเอ่ยขึ้น พลางหันไปทางพ่อเชียรถามความคิดเห็นบ้าง”

   “ก็จริงอยู่หรอกแม่เข็ม แต่ลูกเรามันโตแล้วและงานมันก็ไม่เหมือน

งานทั่วๆไปด้วยล่ะ  หากมาพักที่นี่จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไรกันบ้างนะ??..”

   “จริงของพี่จ๊ะ งั้นตามแต่ใจเขาก็แล้วกันดีกว่า เราเป็นพ่อแม่ก็คอยดูๆ

กันไปเท่านั้นเอง สิ่งเดียวที่ฉันกังวลคือการแต่งงานของลูกโชติเท่านั้น”

   “แม่มองผู้หญิงให้พี่เขาแล้วหรือครับ???....”

   เจ้าชัยเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย  ส่วนเจ้าบงกชก็มองหน้าสงสัยเช่น

เดียวกันด้วยไม่เคยได้ยินพ่อแม่กล่าวเรื่องนี้ให้ฟังเลยว่าหาสาวให้พี่เขา

แล้ว   มันจึงยิ่งเกิดความสงสัยมาก  ครั้นจะถามมากไปก็ไม่ดีด้วยเป็น

หน้าที่ของพ่อแม่   จนกระทั่งพ่อเชียรแม่เข็มเอ่ยขึ้น

   “พ่อแม่มองไว้นานแล้วล่ะเจ้าชัยเอ๋ย  เพียงแต่ว่าคอยจังหวะที่

เหมาะสมเท่านั้นเองแหละ  คิดว่าพี่เขาคงจะไม่ปฏิเสธหรอกนะสำหรับ

เรื่องนี้  เห็นว่าเหมาะสมกันนักด้วยประการทั้งปวง”

   “พ่อจะเผยเล็กๆน้อยๆได้ไหมล่ะ  แล้วเป็นคนที่หมู่บ้านไหนล่ะแม่”

   “ก็คนในหมู่บ้านเรานี่แหละและก็ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก  แม่คิดว่าเอ็ง

ต้องรู้จักดีเสียด้วยซิ”

   แม่เข็มกล่าวทิ้งท้ายไว้  เล่นเอาเจ้าชัยเกาหัวแกร๊กๆทันทีหันไปมอง

หน้าเมียมัน  ไม่ใกล้ไม่ไกล ใครหว่า????...มันนึก  ครั้นจะถามเมียมัน

หรือก็คงจะไม่รู้หรอกเรื่องนี้

   “ผมรู้จักมักจี่ด้วยหรือจ๊ะแม่”

  “เออๆๆๆ.....เอ็งรู้เสียยิ่งกว่ารู้อีกล่ะโว้ย  เอาเพียงเท่านี้ก่อนนะแล้ว

เมื่อเหตุการณ์มาถึงเอ็งก็จะรู้เองแหละ และจะดีใจเสียอีกด้วยซิ”

   ครั้นสาวชบาได้ฟังแม่เข็มกล่าวเช่นนี้นางก็พลอยจะรู้แล้วว่าอะไร

เป็นอะไรถึงกับใบหน้าแดงกล่ำแล้วรีบ หนีเข้าไปในห้องหล่อนทันที

ด้วยไม่อยากจะให้ใครจับว่าหล่อนก็รู้เหมือนกันที่แม่เข็มกล่าวนั้นเป็น

ใครกัน   จึงหันหน้าไปมองหน้าชายหนุ่มด้วยใบหน้าเขินอายและยิ่งเจ้า

ชัยด้วยแล้วมันยิ่งไปกันใหญ่ถึงแม้ว่ามันจะสนิทสนมกับหล่อนก็ตามที

เถอะ  มันถึงเป็นคนไม่พูดมากก็คงจะพูดคราวนี้เองแหละ

 หล่อนคิดเช่นนั้น ก็ยิ่งเกิดความเอียงอายมากยิ่งขึ้นตามวิสัยสาวๆทั้งๆที่

ภายในห้วงใจหล่อนนั้นมีเขามาตั้งนมนานแล้ว  ทั้งหลงรักและบูชายิ่ง

นัก  ไม่ใช่ด้วยตำแหน่งของเขาแต่ความเป็นคนเรียบร้อยพูดจาไพเราะ

ให้เกียรติหล่อนทุกๆเวลา  ไม่เคยเลยที่จะทำให้หล่อนเสียใจสักครั้ง

เดียว   ส่วนยศฐานะตำแหน่งมิได้อยู่ในความคิดหล่อนเลย

    ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ขอตัวกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับแม่นางรัตนา

วดีซึ่งไม่มีใครแลเห็นร่างหล่อนนอกจากชายหนุ่มเท่านั้น ก็ยิ้มพรายด้วย

นางกับแม่อ้อยนั้นต่างก็ช่วยกันวางแผนไว้  ครั้นตกลงในแผนการต่างๆ

เรียบร้อยแล้ว   เขาก็ส่งเสียงเรียกแสงสีสินชัยเอ๋ยเสียงเบาๆทันที

   “เจ้าแสงสีสินชัยออกมาพบข้าหน่อยจะมีเรื่องให้ทำงานนะ”

   ทันใดนั้นร่างของทั้งสองก็ปรากกฏกายขึ้นทันที พลางเอื้อนเอ่ยว่า

   “นายมีเรื่องอะไรหรือครับ กลับมาคราวนี้เร่งด่วนจริงๆ”

เจ้าแสงสีเอ่ยถาม???...

   “เป็นเรื่องสำคัญมากด้วย ต้องรีบทำให้รวดเร็วที่สุดด้วยล่ะ เมื่อกี้นี้

ก่อนเข้ามาข้าเห็นดวงดาวดวงใหญ่ตกไปทางทิศตะวันตก  ก็เข้าฌานดู

และตรวจสอบตามโหราศาสตร์ว่าภายในกรุงเทพฯมีการเปลี่ยนแปลง

เกิดขึ้นแล้วล่ะ   ที่เรียกมานี้ต้องการให้เอ็งทั้งสองรีบออกเดินทางไป

แจ้งแก่น้องชวนและพรรคพวกตลอดจนหัวหน้าหน่วยงานลับต่างๆ

ให้มาประชุมในวันพรุ่งนี้  หัวหน้าหน่วยลับนั้นให้มาเฉพาะหัวหน้า

เท่านั้นนะ  และขากลับไปบอกเจ้าเปล่งด้วยว่าข้าจะจัดประชุมใหญ่

อ้อๆๆๆอีกเรื่องหนึ่ง ให้ไปแจ้งแก่สารวัตรชัชวาลย์ ผู้กองจำลองและ

ผู้กองจรัสให้มาแค่สามคนมาประชุมร่วมด้วย  ให้ไปพบเจ้าเปล่งให้

เจ้าเปล่งให้คนออกมารับตัวทุกๆคนเข้าไป  มิฉนั้นจะติดอยู่ในค่ายกล

เสีย   แล้วข้าจะตามไปทีหลัง ให้เจ้าเปล่งจัดเตรียมน้ำท่าอาหารไว้ด้วย

เพื่อการประชุมอาจจะยืดเยื้อก็ได้นะ”

   “ครับนาย  ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ จะแยกย้ายกันไปแจ้งให้ทุกๆ

คนทราบไว้ให้มาประชุมในตอนเย็นจนครบครับนาย”

   “เออดีแล้วล่ะ....และให้เจ้าเปล่งเตรียมเรื่องไฟฟ้าไว้ด้วยนะไม่ใช่ใช้

เทียนหรือไต้ล่ะ”

   “ครับนาย ถ้าอย่างนั้นผมจะไปบอกเจ้าเปล่งก่อนก็แล้วกันแล้วค่อย

ทะยอยกันแยกย้ายไปแจ้งทางอื่นครับ”

   “เอาล่ะ!!!ๆๆๆ.....ไปได้แล้วเดี๋ยวจะดึกกว่านี้อีก

   “ครับนาย”

   แล้วร่างเจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยก็หายวับไปทันที   ชายหนุ่มก็หันมา

ปรึกษาเรื่องราวกับแม่นางอัปสรทั้งสองพร้อมเล่าเรื่องให้แม่นาง

อ้อยวิลาวัลย์ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดอีกด้วย   หลังจากนั้นชายหนุ่ม

ก็นำเอากระดาษออกมาวาดแผนที่ต่างๆพร้อมหนทางที่จะทำงาน

โดยแบ่งแยกกำลังออกเป็นหลายๆสายทันที......................

         ๐ แก้วประเสริฐ. ๐


1139348gm3744qpip.gif600297y8krvnyajz.gif				
29 พฤษภาคม 2554 19:35 น.

รักวัยรุ่น

แก้วประเสริฐ


                        รักวัยรุ่น

   กริ๊งๆๆๆ   เสียงโทรศัพท์ดังลั่นจนกระทั่งเสียงได้หยุดหายไปแล้วเสียง

นั้นก็ดังขึ้นอีก กริ๊งๆๆๆ ยาวนานแล้วก็หายไปอีก สักครู่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้พอมีคนมารับสายแล้ว   คราวนี้เสียงดังลั่นตามสายมาทันที

   “ไอ้ห่า!!!!.....มึงทำไรอยู่ว๊ะ  กูเรียกตั้งนานแล้วโว้ย????....”

   “แล้วมึงเสือกเรียกกูทำไมล่ะ???...   กูกำลังขี้อยู่โว้ยไอ้น้อย”

   “กูจะไปรู้พ่อมึงหรือว๊ะ  นี่มันเกือบเที่ยงแล้วนะโว้ย  เออกูมีเรื่องจะ

ให้มึงช่วยเหลือกูหน่อยว๊ะ.....มึงว่างหรือเปล่าล่ะวันนี้นะ???....”

   “เรื่องอะไรหรือว๊ะ  กูกำลังติดพันอยู่กับเกมส์ว๊ะ มีเรื่องมึงก็มาหากูที่

บ้านได้นี่หว่าไอ้เหี้ยน้อย”

   “อ้าวไอ้สัตว์....กูพูดดีๆกับมึงนะโว้ยไอ้เหี้ยนี่???...มันเรื่องสำคัญด้วย

มิฉะนั้นกูไม่ขอร้องมึงหรอกว๊ะ”

   “เออๆๆๆงั้นเดี๋ยวมึงมาหากูก็แล้วกันค่อยคุยกันนะเท่านี้นะ

โว้ย!!!!....”

   “เท่านี้นะโว้ยปั๊บเดียวกูก็ไปถึงแล้วว๊ะ”

   “เออๆๆๆ????......”

   โครมๆๆๆเสียงวางโทรศัพท์ยังที่แท่นดังสนั่น  เด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ด

สิบแปดปี บ่นพรึมพรำ เรื่องอะไรของมันหว่า ???....  ช่างเถอะเดี๋ยวก็รู้เอง

แหละ  หนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ากลม ผมหยิกหยักโศกแต่ตัดเกรียนสั้น

ตามแบบฉบับนักเรียนชั้นมัธยมตอนปลาย  จัดได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี

ค่อนข้างหล่อเหลาเอาการคนหนึ่ง     พลางนำผ้าขนหนูอีกผืนเช็ดน้ำที่

เกาะติดตามร่างกายให้หมดไป  พลางเดินไปยังตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อคอกลมสี

ออกแดงระเรื่อปั้มหน้าอกไว้ด้วยลวดลายต่างๆภายในเขียนไว้ว่า

   “รักเธอมิรู้คลาย”  ด้วยอักษรเล่นหาง  ด้านหลังเป็นภาพวิวเมืองนอก

แขนเสื้อกุดทั้งสองข้าง แล้วหยิบกางเกงขาสั้นแต่มีกระเป๋ามากมายยาวเลย

หัวเข่านิดหนึ่ง  เอามือเสยผมเล็กน้อยสะบัดหัวไปๆมาๆ เดินตรงไปยัง

เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีเกมส์ค้างไว้อยู่  แล้วก็เริ่มเล่นคอมฯต่อไป

   ปรี๊นๆๆๆเสียงรถยนต์ดังขึ้นหน้าบ้านทันทีทอดเสียงยาวๆหลายครั้งๆ

เด็กหนุ่มหงุดหงิดทันที ด้วยเกมส์ที่เล่นอยู่กำลังติดพันต่อเนื่องกันอยู่หาก

ลุกไปตัวเอกของเขาจะต้องตายทันที  จึงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงรถยนต์ดัง

   ได้ผลเสียงเงียบหายไปแล้วมีเสียงเปิดประตูรั้วบ้าน เสียงรถยนต์แล่นเข้า

มาแล้วเงียบหายไป  

   โครมๆๆๆเสียงเปิดปิดประตูบ้านดังสนั่นทันที  พร้อมกับเสียงร้องด่าลั่น

    “ไอ้ห่าราก!!!....หูมึงบอดหรือไงว๊ะถึงเรียกไม่ได้ยิน”

   ไอ้น้อย หรือ นาย เอกชัย หล่อเหลาสกุลตะโกนลั่นอย่างไม่เกรงใจ

 รูปร่างมันสูงใหญ่มากค่อนข้างอ้วนสมบูรณ์ยิ่ง ร่างราวยักษ์ปักหลั่น

อีกด้วยกล่าวเสียงห้าวๆดังสนั่นหวั่นไหวว่า

   “กูได้ยินโว้ยแต่มันกำลังติดพันอยู่ว๊ะ ไอ้เหี้ยก่อนนี้ก็เข้ามาประจำทำไม

ต้องเสือกเรียกหาพ่อหาแม่มึงเหรอ”

   ไอ้น้อยเกาหัวแกร๊กๆๆ หันมามองเพื่อนมันกำลังก้มหน้าก้มตาเล่นเกมส์

อยู่จริงของมันเกมส์นี้สนุกเสียด้วยซิทำให้มันลืมอดมองและเอ่ยแนะนำ

เสียไม่ได้   ไปทางโน้นซิว๊ะนั่นแหละเออ!!!!ดีแล้วตีมันเลยโว้ย

   พอดีเกมส์โอเวอร์พอดี  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนมันที่ยืนอยู่

ด้านหลังพลางเอ่ยทันที

   “เรื่องพ่อแม่มึงอะไรหรือว๊ะไอ้น้อย????....”

  “เฮ้ยไม่ใช่เรื่องพ่อแม่กูหรอกว่า จะปรึกษาอะไรและชวนมึงไปช่วยกู

หน่อยโว้ย”

   “เรื่องอะไรอีกล่ะไอ้ห่านี้มีเรื่องประจำ ไหนๆๆลองบอกมาหน่อยซิกู

จะได้เตรียมตัวไว้ จะไปตีกับใครอีกหรือว๊ะ???....”

   “เปล่าหรอกโว้ยกูไม่ได้ไปหาเรื่องตีกับใครหรอก  เพียงแต่ว่ามัน

งอนว๊ะ”


   “เรื่องผู้หญิงอีกล่ะซิ  มึงทะเลาะกับอีรัชนีมาหรือว๊ะ”

   “ไม่ใช่โว้ยไม่ใช่อีรัชนีหรอก  แต่เป็นคนอื่นอยู่โรงเรียนกับเราแต่คน

ละห้องว๊ะ  มึงจำอีลาวัลย์ได้หรือเปล่าล่ะทรงผมบ๊อบนะ”

   “เออๆๆๆพอนึกออกว๊ะ  แล้วจะให้กูไปทำไมเป็นก้างขวางคอมึงหรือ”

   “ไม่ช่ายอย่างง้านโว้ย  เพียงแค่ให้มึงไปเป็นเพื่อน วันนี้กูนัดมันไว้ที่

ห้างแฟร์ชั่นไอแลนด์ถนนรามอินทราไว้ล่ะ  กูบอกให้มันไปคนเดียว

มันไม่ยอมว๊ะจะเอาเพื่อนมันไปด้วย  กูก็เลยถามว่าไม่เชื่อใจกูหรือมันบอก

เปล่าหรอกแต่พ่อแม่มันไม่ยอมให้ไปคนเดียวว๊ะ  ก็นี้ละเป็นงงเลยล่ะว๊ะ

แต่นึกถึงมึงขึ้นมาได้แว๊ปหนึ่งจึงคิดว่ามึงต้องช่วยกูแน่เพราะเป็นเพื่อนที่

กูสนิทมากที่สุดว๊ะ”

   “ไอ้ห่านี้หากไม่มีเรื่องเป็นหายเงียบไปเชียวนะ  พอมีเรื่องทีใดไม่พ้นกู

ทุกทีเลยเชียวนะมึง  เฮ้ยๆๆแล้วอีลาวัลย์นั้นมันสวยหรือเปล่าแล้วเพื่อน

มันล่ะหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างว๊ะ”

   “เพื่อนมันกูไม่รู้แต่รู้ว่ามันไม่ได้เรียนโรงเรียนกับพวกเราว๊ะ”

  “ว๊าวส์ๆๆๆแล้วมึงจะให้กูแยกมึงกับมันออกมา  หรือเพื่อจะคั่วอีลาวัลย์

คนเดียวหรือ”

   “เออก็ทำนองนั้นแหละว๊ะมึงจะพาไปไหนก็เรื่องของมึงโว้ยตามใจ

มึงว๊ะ”

   “ไอ้เหี้ยน้อย.....กูไม่มีเงินโว้ยเงินเดือนพ่อกูจ่ายเป็นเดือนหมดไปแล้วตั้ง

แต่กลางเดือนแล้วล่ะว๊ะ  แล้วจะเอาเงินที่ไหนพาเพื่อนอีลาวัลย์ไปได้ไงว๊ะ

หากแม่มันจะกินโน่นกินนี้กูไม่หน้าแตกหรือว๊ะไอ้น้อย”

   “เรื่องเงินไม่ต้องห่วงหรอกว๊ะวันนี้กูพกมาแยะโว้ย  เดี๋ยวมึงเอาไปห้า

พันจะพอไหมว๊ะไอ้นะ”

  “พอเหี้ยอะไรล่ะโว้ยแค่ดูหนังสองคนแล้วนั่งร้านสุกี้ยากี้ก็แทบจะ

หมดแล้วล่ะว๊ะ  เดี๋ยวแม่เสือกอยากแดกอาหารญี่ปุ่นอีกและฉิบหายใหญ่

นาไอ้เหี้ยน้อย  มึงให้กูแค่นี้มึงไปหาคนอื่นเถอะ ไอ้ชาญก็ได้นี่นา”

   “ไอ้ชาญหน้าปุอย่างงั้นหรือผมแห้งยังกับข้าวเกรียบ โอ้ยเพื่อนอีลาวัลย์

มันไม่สนหรอก  เพื่อนกูมองดูก็เห็นมึงนี่แหละว๊ะที่หน้าตาเข้าทีดีกว่าหมา

ที่บ้านกูหน่อยว๊ะ”

   โครมๆๆร่างไอ้น้อยกระเด็นไปชนกับเก้าอี้ฟูกยาวๆทันที  ทั้งๆที่ตัวมัน

สูงใหญ่กว่าไอ้นะนิดหน่อย  แต่แรงถีบไอ้นะนั้นมันฝึกมวยมาย่อมรู้จุดใน

การถีบ   ดังนั้นร่างมันถึงกับเซแซดๆไป  ตกลงนั่งบนพื้นโซฟาทันที

   “งั้นมึงเอาไปหมื่นหนึ่งคนละครึ่งกับกู  เกินกูไม่มีอีกแล้วโว้ยนี่กูจิ๊กเงิน

ในเก๊ะเก็บเงินพ่อกูมานะโว้ย”

   “เออแค่นี้คงจะพอว๊ะ  แล้วมึงนัดมันเมื่อไหร่ล่ะ???....”

   “บ่ายสองโมงที่หน้าห้างแฟร์ชั่นว๊ะ”

   ไอ้นะหรือนายธนเศรษฐ์ วราวุฒิหันหน้ามองไปยังนาฬิกาแขวนทันที

พลางก็เอ่ยว่า

   “ไอ้ห่ายังกับไฟร้อนก้นเชียวนะโว้ยเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงจะไปทัน

หรือว๊ะไอ้น้อย”

   “แค่นี้เองไม่ไกลกับบ้านมึงหรอกแป๊บเดียวก็ถึงแล้วล่ะว๊ะ ไปยังล่ะโว้ย

ไอ้นะเดี๋ยวไม่ทันว๊ะ”

   “เดี๋ยวกูไปแต่งตัวก่อนมึงคอยก่อนนะ  ไหนๆเงินเอามาให้กูก่อนว๊ะ”

   “ไอ้เหี้ยนี่งกไปได้กูบอกให้ก็ให้ซิว๊ะ”

   แล้วมันก็ควักเงินในประเป่าออกมานับเป็นใบละพันปึกค่อนข้างใหญ่

จนครบหนึ่งหมื่นแล้วยื่นให้ไอ้นะทันที  ไอ้นะก็ไม่รอช้ายัดเงินเข้ากระเป๋า

ทันที  พลางจะก้าวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ถูกไอ้น้อยดึงแขนเสื้อไว้

   “มึงจะไปเปลี่ยนหาพระแสงอะไรล่ะโว้ย  ชุดนี้ก็ดีแล้วนี่หว่า ไป๊ๆๆๆ

เสียเวลาว๊ะ”

   ไอ้น้อยมองสภาพร่างกายเสื้อผ้าพลางหัวร่อลั่น ตามใจมึงนะโว้ยมีเงิน

แล้วช่างหัวมัน  ใครสนใจหรือไม่ก็ไม่รู้นะโว้ย มึงแต่งกายหล่อๆกางเกง

ขายาว ส่วนกูขาสั้นอยู่กับบ้าน
  
   “นี่หากไม่ใช่เพื่อนที่กูรักและไม่ใช่แฟน  กูไม่ไปหรอกว๊ะเสียเชิงหมด

ไอ้ฉิบหาย”

   “หากมึงไม่ใช่เพื่อนรักกู  กูก็ไม่เอาไปหรอกว๊ะไอ้ห่าเสียเงินตั้งหมื่น

หนึ่ง กลับบ้านไปไม่รู้ป๋าจะด่าหรือเปล่าว่าเงินหายนะ”

   “ได้ๆๆเอาเงินมึงคืนไปก็ได้ว๊ะ”

   “เฮ้ยๆๆกูล้อเล่นว๊ะ  ไปเดี๋ยวนี้เลยว๊ะ”

   “ไอ้ห่ากูปิดคอมฯปิดบ้านเครื่องไฟฟ้าก่อนซิว๊ะ เดี๋ยวโทรไปบอกพ่อแม่

กูก่อนนะโว้ย หากกลับมาไม่เจอกู”

   “เออๆๆจะทำอะไรก็รีบทำเถอะว๊ะเวลาไม่คอยท่าแล้วล่ะไปก่อนดีกว่า

ว๊ะมึงจะได้ดูว่าคนที่อีลาวัลย์พามามันจะขี้เหร่เท่าไหร่ บอกก่อนนะโว้ย

ถึงจะขี้เหร่อย่างไรมึงก็ต้องทนๆๆนะโว้ย ไม่ใช่เจอแล้วเผ่นแนบแบบก่อน

กูไม่ยอมแน่คราวนี้นะโว้ย”

   “เออๆๆๆกูจะกัดฟันหลับหูหลับตาทนเพื่อมึงไอ้เพื่อนสุดที่รักปาน....

ของลับกูว๊ะฮ่าๆๆๆๆ”

    แล้วไอ้นะก็รีบปิดเครื่องคอมฯและไฟฟ้าหมดพร้อมโทรไปบอกพ่อ

แม่ทันที  ครั้นแล้วก็พยักหน้ากับไอ้น้อยทันที  เรียบร้อยแล้วว๊ะไปเถอะ

ทั้งสองหนุ่มวัยรุ่นก็ออกจากบ้าน ไอ้น้อยนั่งรถเก๋งเซฟิโร่รุ่นใหม่เอี่ยม

ขับออกไปทันที  ทั้งสองคุยกันไปหัวร่อกันไปรถออกทางด้านหลังสนาม

กอร์ฟปัญญา  สักชั่วอึดใจเดียวก็มาถึงหน้าห้างแฟร์ชั่น  ไอ้น้อยนำรถจอด

เลยป้ายรถประจำทางไปหน่อย พลางมองหาสาวลาวัลย์ทันที  แล้วก็แล

เห็นสองสาวกำลังนั่งคุยกันบนโต๊ะยาวภายในซุ้มที่สร้างไว้ให้คนพักก่อน

เข้าห้างหรือออกจากห้างมานั่งรอรถประจำทาง   ส่วนไอ้นะก็นั่งคอยใน

รถปล่อยให้ไอ้น้อยไปหาสาวๆคนเดียว


   ร่างไอ้น้อยชะงักพรืดทันทีเมื่อแลเห็นสองสาว สาวลาวัลย์นั้นไอ้น้อยจำ

ได้แม่นยำส่วนเพื่อนหล่อนซิมันไม่รู้จักแต่   สาวน้อยนี้ทำไมช่างสวยงาม

ยิ่งนักสวยกว่าอีลาวัลย์ที่มันหมายมั่นเสียอีก

        ทั้งรูปร่างหน้าตา  ทรวดทรงเอวองค์ก็ งดงามยิ่งนัก เจ้าหล่อนมัวแต่

สนใจกับอาหารทานเล่นมิได้สนใจอะไรทั้งนั้น

     คราวนี้ไอ้น้อยยามเพ่งมองเล่นเอามันตกตลึงนึกไม่ถึงสาวน้อยคนนี้จะ

งามจริ๊งจริงว่าเหตุการณ์ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้

    พลางหันกลับไปมองในรถก็แลเห็นไอ้นะกำลังหลับตาทอดหุ่ยอยู่อย่าง

ไม่รู้ร้อนรู้เย็นอย่างนั้นแหละ มันคงจะไม่สนใจอะไรเท่าใดนักคงฟังเพลง

   ไอ้น้อยชักอิจฉาไอ้นะเสียแล้วมันคิดว่ามันต้องวางแผนใหม่ทันที

โดยคิดที่จะให้ไอ้นะไปจีบอีลาวัลย์แทนมัน   แล้วส่วนมันจะไปจีบเพื่อน

อีลาวัลย์แทน  โดยคิดสลับตัวกันด้วยเพื่อนของหญิงที่มันปองกับงดงาม

กว่าอย่างเทียบกันไม่ได้เลย สวยก็สวยงามหรืองามกว่า   จึงรีบเดินเข้าไป

ทันที   พอดีสองสาวเหลือบมาเห็นไอ้น้อยพลางส่งยิ้มให้ทันที สาวน้อย

คนหนึ่งก็ลุกขึ้นจากเพื่อนแล้ว  สาวลาวัลย์ก็ก้าวมาเกาะแขนไอ้น้อยพลาง

ฉอเลาะขึ้นอย่างประจบประแจงทันที โดยไม่ทราบแผนในใจเพื่อนหล่อน

   “แหม๋ๆๆๆน่าหยิกจริงๆนัดไว้สองโมงเย็นนี่ปาเข้าไปเกือบสองโมงครึ่ง

แล้วล่ะ???...”

   “พอดีรถมันติดจ๊ะแม่ลาวัลย์  ใจนะมาถึงก่อนรถเสียอีกนะด้วยคิดถึง

กลัวว่าวัลย์จะโกรธเสียอีกซิหรือจะกลับไป”

   แต่สายตามันกลับจ้องไปยังเพื่อนสาวลาวัลย์เพียงแต่ปากพูดกับ

สาวลาวัลย์เท่านั้นเอง

   “อ้าววัลย์ไม่แนะนำเพื่อนให้รู้จักบ้างหรือนะ”

   “อ้อๆ!!!.....เพื่อนรักวัลย์แหละแต่อยู่คนละโรงเรียนเขาเรียนที่โรงเรียน

เซ็นคาเบรียล เดี๋ยวจะเรียกมาพบแนะนำให้นะ”

    พลางหล่อนก็หันไปเรียก

   “นี่รจนามารู้จักเพื่อนเราหน่อยซินะ เขาชื่อน้อยล่ะลูกพ่อค้าใหญ่จ๊ะ”

   สาวน้อยที่ชื่อรจนาลุกจากเก้าอี้พลางเดินเข้ามายกมือไหว้ท่าทางอ่อน

น้อม เต็มไปด้วยมารยาทงดงามผิดกับวัยรุ่นทั่วๆไปมากนัก”

   “ไม่ต้องหรอกครับคุณรจนาพบกับคุณเป็นเกียรติผมยิ่งนักครับ”

   “นี่คุณน้อยปากหวานมาตั้งแต่เมื่อไหร่เชียวนะ  ที่เรียกวัลย์ไม่เคยมีคุณ

สักคำเดียวมีก็ตอนใหม่ๆที่รู้จักกันเท่านั้นต่อมาก็หายไป ฮึๆๆๆๆ”

   “โถๆๆๆคุณวัลย์เป็นธรรมดาหรอกจ้าก็เราสนิทสนมกันมากๆนี่นาหาก

เรียกแบบเดิมก็จะสนิทสนมกันได้อย่างไรจริงไหมล่ะจ๊ะ”

   “อย่างงั้นก็แล้วกันนะ  อย่ามาจีบเพื่อนวัลย์อีกคนเสียล่ะ”

   “ โถๆๆใครจะทำทำเช่นนั้นได้ และวันนี้วัลย์แต่งตัวช่างสวยยิ่งจริงๆ ยิ่ง

มองก็ยิ่งดูเด่นยิ่งนัก ผมหรือจะกล้าล่วงเกิน กลัววัลย์จะไม่สนใจนะซิ”

    ปากไอ้น้อยอย่างหนึ่งแต่ใจมันกลับคิดไปอย่างอย่างหนึ่ง เพียงแค่คำ

กล่าวเจ้าหล่อนเช่นนี้  ก็ทำเอาทำให้ไอ้น้อยสะดุ้งแทบจะจับได้เหมือนจี้ใจ

ดำมันก็เลี่ยงทั้งๆในใจมันหวังจะจีบเพื่อนสาวของสาวลาวัลย์ต่างหาก เลย

พลอยเกิดการแก้เขินทั้งๆที่มันเขินอยู่  

        พลางแกล้งหันตะโกนเรียกเพื่อนมันทันที ซึ่งคงนั่งฟังเพลงในรถมัน

   “ไอ้นะโว้ย ลงมาได้แล้วล่ะว๊ะ???....ทำห่าอะไรอยู่อีกล่ะ???...”

   “ไอ้นะหันมามอง ตะโกนตอบกำลังฟังเพลงเพราะๆอยู่ว๊ะ  มึงมาปิด

เครื่องซิว๊ะ”  

   “มึงนั่นแหละปิดแล้วเอากุญแจมาให้กูก็แล้วกันนะ”

   ได้นะได้ฟังเพื่อนกล่าวเช่นนั้นก็ปิดเพลงพร้อมทั้งปิดแอร์และประตู

อัตโนมัติเรียบร้อย ดึงลูกกุญแจออก   ทดลองดูให้แน่แก่ใจ

   “ไอ้น้อยกูว่ามึงเอารถไปเก็บไว้ที่บนห้างมิดีหรือว๊ะจะได้ปลอดภัย

หน่อยไม่ต้องเกะกะรถคนอื่นเขาอีกด้วย ครั้นตรวจเรียบร้อยแล้ว

    มันก็ก้าวลงจากรถเดินมาหาคนทั้งสามทันที  โดยมิลืมตรวจความ

เรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง หันหลังกลับ  เดินไปหาพวกทันที   ครั้นไอ้นะเดิน

มาใกล้ไปพบคนทั้งสาม  ไอ้นะก็ตกใจทันทีพลางถอยหลังกรูดๆไป

   ไอ้น้อยเห็นพลางตะโกนลั่น  ด้วยความแปลกใจในกิริยาของเพื่อนมัน

    “ถอยหาห่าอะไรล่ะโว้ยไอ้นี่กูให้มาไม่ได้ให้มึงถอยหนีนี่หว่า”

    เพื่อนของสาวลาวัลย์ก็ตกตลึงเช่นกัน ครั้นได้สติก็รีบวิ่งมาหาเพื่อนไอ้

น้อยทันที ด้วยความลิงโลดดีใจอย่างเห็นได้ชัดสร้างความแปลกใจแก่คน

ทั้งสองที่ต่างยืนมองอ้าปากค้าง  ยิ่งสาวลาวัลย์คิดไม่ถึงจริงๆว่าเพื่อนของ

เขาจะแสดงกิริยาได้อย่างเปลี่ยนแปลงยิ่งนัก

   “พี่นะหรือ????....ใช่แล้วพี่นะจริงๆแหละรจนาดีใจจังไม่ได้เจอเสียนาน

เกลียดรจแล้วหรือถึงติดต่อไม่ได้เอาเสียเลย”

   “รจเองหรือนึกว่าใครเสียอีก   เจ้าน้อยพาพี่มาเป็นเพื่อนไม่คิดว่าจะ

เจอรจที่นี่เสียอีกล่ะ”

    แล้วรจนาก็วิ่งมาสวมกอดร่างของเจ้านะทันที  สร้างความแปลกใจแก่

สาวลาวัลย์และไอ้น้อยทันที    ทั้งๆที่มันวางแผนการณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว

ส่วนสาวลาวัลย์หรือก็แปลกใจยิ่งนัก ด้วยเพื่อนหล่อนนั้นปกติจะมีอาการ

ขรึมๆไม่เห็นเคยยุ่งเกี่ยวกับใครเลยนอกจากอยู่แต่ในบ้าน นานๆทีจะออก

มาเที่ยวยังข้างนอกกับเพื่อนสักครั้งจึงทำความแปลกใจยิ่งนักครั้นมองเห็น

ทั้งสองไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกืดได้เลย ทั้งสองต่างหันมามอง

หน้ากันและกันอย่างสีหน้าแปลกใจดวงตาทั้งสองเบิกโพลงเหลิกหลั่กไป

ตามๆกันเมื่อเห็นร่างทั้งสองเข้ากอดกันกลม แสดงถึงความสนิทสนมผิด

ธรรมดาของความเป็นเพื่อนไปเสียแล้ว ต่างยืนมองดูสลับมองหน้ากันและ

กันอย่างงุนงงสงสัยแปลกใจ ด้วยทั้งสองต่างก็พากันมาหวังเป็นเพื่อนใน

ครั้งนี้สาวลาวัลย์จะได้มีข้ออ้างต่อครอบครัวว่ามาซื้อของที่ห้างเท่านั้นเอง

    โถๆๆๆไอ้นะหนอไอ้นะ???...นะไอ้นะ!!!...โถเวรๆของกูจริ๊งๆจริงๆ

มันหึงหวงในใจอย่างคร่ำครวญและโหยหวน กูอุตส่าห์วางแผนเสียดิบดี

  โถๆๆๆๆพลางนึกถึงยามพบเจ้าหล่อนทำให้ยิ่งแสนจะเสียดายสาวที่ชื่อ

รจนายิ่งนัก  แต่ก็สายไปเสียแล้วอนิจจาอกกูหนออกกู...........

                แก้วประเสริฐ.

1139348gm3744qpip.gif600297y8krvnyajz.gif				
25 พฤษภาคม 2554 15:58 น.

อทิสมานกาย ๙๑

แก้วประเสริฐ

251265pif8ukutqo.gif
                    อทิสมานกาย ๙๑

   ชายหนุ่มโชติหลังจากทราบเรื่องต่างๆจากท่านรองผู้บัญชาการแล้ว

ก็รีบเดินออกมาผ่านบรรดาตำรวจทั้งหลายซึ่งต่างมองมาเป็นจุดเดียวกัน

เนื่องจากชายหนุ่มนั้นเป็นคนแปลกหน้าการแต่งกายก็ออกไปทางลูกทุ่ง

เป็นส่วนใหญ่  แต่ชายหนุ่มทำเป็นไม่รู้เรื่อง แม่นางรัตนาวดีซึ่งเดินเคียง

ข้างมากล่าวกับชายหนุ่มให้รู้ตัว แต่ร่างของแม่นางอัปสรนั้นไม่มีใครแล

เห็นว่าชายหนุ่มเดินเคียงคู่ของหนุ่มสาวทั้งสอง ครั้นชายหนุ่มเช็คเอ๊าท์

ออกจากโรงแรมแล้ว  ก็ชักชวนกันเดินทางกลับบ้านโคกอีแร้งทันที

   ระหว่างการนั่งรถเล็กประจำทางออกจากตัวเมืองแล้ว รถวิ่งไปได้

ระยะหนึ่ง  แม่นางเทพอัปสรก็พลันกล่าวขึ้นว่า

   “แล้วพี่โชติจะคิดการอย่างไรดีต่อไปล่ะ   ด้วยเรื่องนี้สำคัญแก่งาน

ของพี่เอามากเสียด้วยซิ  จากการฟังการสนทนาไม่ใช่เรื่องเล็กธรรมดา  

น้องมองเห็นความวุ่นวายจะติดตามกันมาอย่างใหญ่หลวงด้วยล่ะ   ทาง

เราควรจะ ต้องปรับสภาพการทำงานเสียใหม่อีกด้วยล่ะ  มิฉนั้นจะทำให้

เราต้องเข้าสู่วังวนในเหตุการณ์นี้แล้ว????....”
 
   “คงจะไม่หรอกแม่น้องนาง พี่เองได้วางแผนในใจไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ

ในเมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ อีกประการเจ้าเปล่งมันก็ต้องรับหน้าที่ทางลับ

ไปดำเนินแผนการณ์ในที่มืด  ส่วนพี่เองก็จะแสร้งเป็นไม่รู้ไม่ชี้แต่จะ

อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดจ๊ะ ปล่อยให้เป็นไปตามกระแสสักระยะ

หนึ่งเสียก่อน ในทำนองเดียวกันด้านปราบปรามนั้นจะจัดประชุมเรียก

คนที่ไว้วางใจได้มาประชุมร่วมงานวางแผนการณ์ต่อไป”

   “ส่วนน้องคิดว่าบรรดาลูกน้องพี่ที่กระจายไปนั้นในที่ต่างๆกันควร

ที่จะได้รับรู้เรื่องราวด้วยนะพี่”

   “พี่เองก็คิดเหมือนน้องแหละ  เพียงแต่เห็นว่าไม่อยากจะทำอะไรให้

เป็นจุดเด่นมากนัก  แต่จะจัดประชุมบรรดาหัวหน้าหน่วยเท่านั้นเอง

หรือว่าน้องจะเห็นเป็นประการใดบ้างล่ะ”

   “เรื่องนี้ก็ดีเหมือนกันเราควรดำเนินการก่อนอะไรๆจะเกิดขึ้น 

นโยบายในโลกมนุษย์นี้มันสับสนมากด้วยซ่อนเล่ห์กลปากหนึ่งและ

ใจจะไปอีกอย่างหนึ่งนะ กระแสทางโลกนี้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเสมอๆ”

   “ใช่แล้วล่ะจ๊ะ...มนุษย์นี้มันมีจิตใจไม่แน่นอนเสมอๆ น้องดูซิแม้แต่

การพูดจาอักษรเขียนยังวิบัติไป นับประสาอะไรกับจิตกับกายจะไม่

วิบัติตามไปด้วยล่ะ”

        แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อเบาๆ ทำเอาแม่นางอัปสรหัวร่อตามแล้วก็รีบ

สะกิดชายหนุ่มทันที  ด้วยบรรดาผู้โดยสารล้วนต่างหันมามองชายหนุ่ม

กันเป็นทิวแถว  ทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งคิดได้ทันทีว่าการพูดจาของเขานั้น

เป็นการพูดกับแม่นางรัตนาวดีก็จริง แต่บรรดาผู้โดยสารจะคิดว่าเขาพูด

เพ้อเจ้อคนเดียว ด้วยบรรดาคนเหล่านั้นจะไม่เห็นร่างของแม่นางอัปเลย

คงจะคิดว่าเขาเป็นบ้าไป  จริงดังคาดไว้บรรดาผู้โดยสารต่างๆพากัน

ขยับกายถอยออกห่างเขาทิ้งช่วงระยะไว้

        ดังนั้นชายหนุ่มหันหน้าไปยิ้มกับหญิงสาวแล้วพยักหน้ากันไม่

สนทนากันอีกต่อไป   หญิงสาวก็เอนร่างพิงไหล่ชายหนุ่มพลางหลับตา

พริ้ง คราวนี้ชายหนุ่มพึ่งสังเกตุว่าที่นั่งข้างๆเขานั้นว่างเปล่าไม่มีคนมา

นั่งเคียงข้างเขาเลยทั้งสองด้าน  คนในรถอาจจะเป็นว่าข้างๆเขามีคนนั่ง

อยู่หรือคิดว่าเขาเป็นคนบ้าไปแล้วด้วยกระมัง  แต่เอ๊ะ!!!!!.....

เวลาเขาพูดกันทำไมถึงได้มองโดยทำหน้าแปลกๆด้วย  หรือว่าพวก

เหล่านั้นจะเห็นร่างแม่นางเป็นในลักษณะอื่นไป  คงจะเป็นเช่นนั้น

   เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆรถโดยสารก็ถึงที่หมายที่เขาบอกกับเด็ก

ในรถว่าให้จอดทางเข้าหมู่บ้านโคกอีแร้ง  เมื่อรถจอดเรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองก็ลงจากรถทันที  เมื่อรถจอดลงในซอยทางเข้าหมู่บ้านโคกอีแร้ง

  ก็เป็นเวลาจวนใกล้ๆค่ำเหมือนครั้งที่เขามาครั้งแรก  ซึ่งตอนมาครั้ง

แรกนั้นเขาจะงงมาก  ด้วยเพียงจำได้เพียงลางๆเพราะห่างเหินมานาน

แต่คราวนี้ชายหนุ่มปราศซึ่งจากความกลัวใดๆอีกแล้ว   ครั้นรถวิ่งลับ

หายไปทางโค้งแล้ว  ระหว่างทางจึงได้สนทนากันไปพลางๆก่อน ซึ่ง

เป็นทางที่จะต้องผ่านหน้าวัด

    ชายหนุ่มก็เอ่ยกับแม่นางรัตนาวดีว่า

    “เดี๋ยวเราแวะที่วัดหน่อยนะน้องนาง  ด้วยจะเข้าไปกราบหลวงพ่อ

สักหน่อยได้ข่าวว่าป่วยมากเสียด้วยซิ???......”  

   “จ๊ะพี่ท่านอายุใกล้คงจะไม่ช้านี้แหละคงจะไปสู่แดนสงบอันแท้จริง

แล้วล่ะ”

   “ใช่ๆแล้วล่ะน้องด้วยพี่ทราบเรื่องนี้มาแล้วเหมือนกัน  ก่อนที่ท่านจะ

ไปก็ควรไปกราบนมัสการท่านนะ”

   “จ๊ะพี่  น้องก็จะตามไปกราบท่านด้วยเหมือนกัน”

   ครั้นผ่านต้นตะเคียนที่แม่นางรัตนาวดีอาศัยอยู่ทั้งสองก็เข้าไปใต้

ต้นไม้ตะเคียนทันที  ปรากฏร่างนางไม้ที่อาศัยอยู่ก็ยืนรอรับพลาง

แม่นางไม้ก็ยกมือขึ้นไหว้แม่นางอัปสรรัตนาวดีทันที    พลางเอ่ยว่า

   “น้องขออาศัยที่อยู่ของพี่นางด้วยนะ  เพราะเห็นแค่วิมานจางๆอยู่

แต่น้องไม่ได้อาศัยในนั้นจ๊ะพี่นาง”

       แม่นางรัตนาวดีก็แย้มยิ้มพลางเอ่ยตอบแก่แม่นางไม้นั้นว่า

   “ตามสบายเถอะจ้า  อ้อๆๆๆ...แล้วเธอมีชื่ออะไรล่ะ????...”

   “น้องมีชื่อว่าเบญจมาศจ๊ะพี่นาง เมื่อผุดขึ้นมาหาที่อาศัยอยู่ไม่ได้

จึงได้เที่ยวค้นหาก็มีบรรดาผู้อาศัยอยู่ก่อนแล้ว  จึงดั้นด้นไปเรื่อยๆจน

เห็นตะเคียนนี้เพียงแค่มีวิมานแต่ปราศจากรังสีก็เข้าใจว่าเจ้าของเดิม

คงจะไม่ได้ใช้ แต่ก็ได้กราบขออนุญาติไว้แล้วจ้า”

   “จ้าพี่เองชื่อรัตนาวดีจ๊ะแม่นางเบญจมาศ  อยู่ไปเถอะด้วยบริวารฉัน

บัดนี้ได้ติดตามฉันไปอยู่หมดแล้ว ส่วนวิมานนั้นเสด็จพ่อฉันยังไม่ได้

ล้างไปเสียด้วยอาจจะคิดการอะไรพี่เองก็ไม่ทราบเหมือนกันจ๊ะ”

   “น้องต้องขอขอบคุณแต่จะรักษาของดั่งเดิมไว้จ้า ส่วนน้องนั้นอยู่ตัว

คนเดียวไม่มีแม้แต่บริวารจ๊ะพี่”

   “น้องพี่ก็หมั่นเจริญศีลสมาธิไว้ โดยไปฟังเทสน์ในทางวัดบ้างซิจ๊ะจะ

ได้บังเกิดบุญก่อเกิดทำให้มีบริวารมาผุดขึ้นให้รับใช้จ๊ะ”

   “ขอบคุณพี่นางมากจ้า น้องจะถือปฏิบัติคำพี่นางนี้ต่อไปด้วยจ๊ะ”

   “นี่พี่ต้องรีบไปแล้วล่ะจ๊ะฝากวัดให้น้องช่วยดูแลให้ด้วยนะน้องพี่”

   “จ๊ะพี่น้องขอรับปากต่อไปจะคอยตรวจสอดส่องดูแลวัดให้จ๊ะ”

   “ดีแล้วล่ะน้องผลกุศลจะได้บังเกิดอาจจะทำให้น้องไปสู่ยังภูมิอันสูง

ต่อไปอีกจ้า   พี่ไปแล้วนะพี่เขาคอยอยู่โน่นแน๊ะ”

   “พี่โชคดีมากนะพี่นาง  น้องมองดูแล้วยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆเขาเลย

ด้วยเขามีพลังรังสีมากมายเจิดจ้าอีกเสียด้วยจ้า”

   แม่นางรัตนาวดีไม่ตอบนอกจากหัวร่อเบาๆแล้วก็ชักชวนชายหนุ่ม

ออกเดินทางต่อไปเข้าสู่ภายในวัด  ครั้นเข้าไปแล้วทั้งสองก็พบเจ้าจุก

ซึ่งยืนคอยต้อนรับอยู่แล้ว  บัดนี้ร่างเจ้าจุกเติบใหญ่เป็นหนุ่ม จุกที่เคย

ปล่อยไว้ยาวๆบัดนี้มันเกล้าเป็นมุ่นผมไว้บนกลางศีรษะโดยมีเชือกรัด

ไว้เท่านั้นเอง   ครั้นแม่นางเห็นมันยกมือไหว้ต้อนรับและเห็นบนศีรษะ

ปราศจากสิ่งใดๆ  จึงถอดเอาปิ่นทองออกมายื่นให้แก่เจ้าจุกทันที

เจ้าจุกก็น้อมยกมือไหว้กล่าวขอบคุณแม่นางรัตนาวดีทันที   แล้วนำ

ปิ่นทองมาเสียบยุ่งมุ่นผมที่มันเกล้ามัดไว้  ทำให้ภาพมันเกิดความ

งามขึ้นในอีกลักษณะหนึ่งทันที   ครั้นเรียบร้อยแล้วเจ้าจุกจึงมองแล้ว

ไปทางชายหนุ่มทันที   ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงสังหรณ์ใจพลางถาม

เจ้าจุกว่า  

      “เจ้าสบายดีหรือแล้วหลวงพ่อล่ะตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างนะจุก”

เจ้าจุกได้รับฟัง  ฉับพลันใบหน้ามันก็หมองหม่นพร้อมทั้งมีหยาดน้ำ

ไหลออกมาหยดทั้งสองแก้ม ตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า

   “ผมและพรรคพวกสบายดีครับ แต่ทว่าหลวงพ่อซิครับพี่”

   “หลวงพ่อป่วยมากหรือเจ้าจุก”

   “ท่านเรียกพวกผมไปหาแล้วแจ้งว่าท่านจะละสังขารภายในอาทิตย์

นี้แล้วครับพี่  แต่ท่านบอกว่าเรื่องพวกผมนั้นได้ฝากกับหลวงพ่อหวน

จัดการไว้แล้วครับ  หลวงพ่อหวนท่านพักที่ป่าช้าและได้เรียกพวกผม

ไปอบรมสั่งสอนวิชาการต่างๆให้อีกมากมาย   พวกผมก็หมั่นร่ำเรียนไว้

จนหลวงพ่อหวนท่านพอใจ  แล้วกำชับไว้ให้ดูแลหลวงพ่อท่าน

ตลอดจนวัดไว้แล้วครับ ท่านกล่าวว่าวิชาที่มอบให้นี้เพื่อใช้ป้องกันวัด

ไว้แล้วอย่าได้นำเอาวิชาไปใช้ในทางที่ผิดด้วยครับพี่”

   ชายหนุ่มรับฟังเช่นนั้นก็ถึงกับอ่ำอึ้งไปทันที แต่เขาล่วงรู้เหตุการณ์

นี้มาบ้างแล้ว จึงไม่กล่าวอะไรอีก พลางเอ่ยขึ้นว่า

   “เดี๋ยวพี่จะขึ้นไปเยี่ยมหลวงพ่อทองและหลวงพ่อหวนหน่อยนะ

แล้วค่อยไปทำธุระของข้าด้วย”

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะนำทางให้ครับพี่ พลางออกเดินนำหน้าไป”

   “ไม่ต้องหรอกจุก  พี่ทั้งสองไปเองก็ได้  จุกไปดูและพรรคพวกเฝ้า

วัดเถอะนะ และสั่งสอนพรรคพวกที่รับไว้ใหม่ๆให้ดีๆด้วยล่ะ”

   “ครับพี่พวกเด็กรับใหม่นั้นต่างไม่กล้าเกะกะอะไรอีกแล้วล่ะอยู่

ในโอวาทจุกหมดแล้วล่ะ  งั้นจุกไปก่อนนะ”

   “ตามสบายเถอะจุกพี่ก็จะรีบไปเยี่ยมแล้วรีบกลับเหมือนกัน”

      แล้วทั้งสองก็เดินไปยังกุฎีหลวงพ่อทองหน้าห้องมีศิษย์พระบางรูป

คอยนั่งเฝ้าปรนนิบัติ  ครั้นพระสองรูปเห็นเป็นชายหนุ่มซึ่งจำได้ด้วย

เคยมาหาหลวงพ่อบ่อยๆ  ชายหนุ่มถามอาการหลวงพ่อได้รับการตอบ

ว่าตอนนี้หลวงพ่อท่านไม่ได้พูดจาอะไรแล้ว ฉันทอาหารก็น้อย เช้านี้

ยังไม่ยอมฉันท์อะไรเลยได้แต่นอนอยู่ท่านคงจะกำลังเข้าฌานสมาธิ

  และตอนนี้กำลังเจริญสมาธิอยู่โยม แล้วท่านทั้งสองรูปก็ถอยออกมา

       ชายหนุ่มยิ้มแล้วก้าวล่วงเข้าไปในห้องพร้อมทั้งมองไปรอบๆแล

เห็นร่างหลวงพ่อซึ่งกำลังอยู่ในท่านอน แต่มือท่านทั้งสองพนมมือ

ระหว่างทรวงอก ชายหนุ่มก็ทราบโดยวิถีฌานว่าท่านกำลังเจริญสมาธิ

อยู่ จึงก้มลงกราบท่าน  แล้วถอยหลังออกมาเข้าสมาธิตรวจดูก็ทราบว่า

หลวงพ่อได้ละสังขารไปแล้ว แต่ที่เห็นว่าร่างกายกำลังทำงานอยู่นั้นด้วย

แรงอำนาจของฌานสมาบัติที่รอคอยเวลากาลมาถึง แล้วธาตุต่างๆก็จะ

ค่อยๆแยกออกจากกัน  ดังนั้นร่างกายยังทำงานอยู่  หากมองตาเปล่าก็

จะไม่ทราบได้  ด้วยร่างกายหลวงพ่อทองท่านยังมีลมหายใจอยู่ จะแล

เห็นแต่เพียงร่างกายท่านที่กำลังพักผ่อน ด้วยทรวงอกยังไหวเล็กๆน้อยๆ

และจะมองเห็นว่า  ร่างกำลังเจริญฌานสมาธิอยู่โดยการนอนทำหรือว่า

หลวงพ่อยังนอนพักผ่อนอยู่  ส่วนวิญญาณท่านนั้นได้ออกจากร่างไป

นานแล้ว  จึงออกจากฌานสมาธิแล้วก็พบหลวงพ่อหวนกำลังก้าวเข้ามา

ชายหนุ่มพลางก้มลงกราบ  หลวงพ่อหวนก็ยกมือรับการกราบของเขา

พร้อมลงมานั่งใกล้ๆชายหนุ่มทันที

   “หลวงพ่อท่านได้ละสังขารแล้วล่ะลูกโชติ ท่านละไปเมื่อคืนนี้ตอน

เที่ยงคืน สังขารเพียงรอกาลแห่งอายุเท่านั้น”

   “ครับหลวงพ่อ ผมพึ่งกลับจากราชการมาในเมืองหลวงและพึ่งทราบ

เมื่อกี้นี้เองว่าท่านละสังขารเรียบร้อยแล้วครับ”

   ชายหนุ่มกล่าวพร้อมนึกชมหลวงพ่อหวนไม่ธรรมดาเสียแล้วผิดกัน

คนละคนทีเดียว ด้วยบัดนี้ฌานสมาธิท่านก้าวหน้าไปมากผิดกับเก่าคน

ละคนกับก่อนทีเดียว  ทั้งการนั่งวางตัวในสมณะเพศได้อย่างงดงามยิ่ง

เปี่ยมด้วยสง่าราศรีที่พราวกระจายออกจากร่างหลวงพ่อหวนอีกด้วย

   “แล้วจะทำการอย่างไรล่ะโยม ในฐานะโยมเป็นศิษย์เอกคนแรกของ

ท่าน  หากโยมประสงค์อย่างไรบอกอาตมาได้เลยนะ”

   “ผมว่าเรื่องนี้คงเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อเสียแล้ว ตามความเห็นผมว่า

คงจะไม่เกินแปดโมงเช้าธาตุต่างๆก็จะแยกตัวกันและเป็นไปตามวัฏฏะ

สังขารโลก  เพียงให้หลวงพ่อแจ้งแก่พระหน้าห้องให้ไปรอคอยถ้าถึง

เวลา แปดโมงเช้าให้ย่ำระฆังได้แล้วครับหลวงพ่อ”

   “อาตมาก็มีความเห็นเช่นเดียวกับโยมเหมือนกัน ส่วนเรื่องศพท่านล่ะ

โยมมีความเห็นเป็นประการใดเล่า”

   “เรื่องนี้หลวงพ่อปรึกษากับท่านมัคทายกทั้งหมดจัดเรียกประชุม

ดำเนินการตามเห็นสมควรเถอะขอรับ  แต่ในความเห็นส่วนตัวผมนะ

หลวงพ่อทองท่านอธิษฐานจิตเกี่ยวกับสังขารไว้ให้ทรงสภาพเดิมไว้จะ

ไม่เน่าเปื่อยอย่างใดเพียงแค่เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติเท่านั้น

ถึงแม้จะนำไปเผาไฟร่างท่านก็จะไม่ไหม้โดยเด็ดขาด ทำให้เสียสภาพ

ดั่งเดิมไปเสียเปล่า คงเก็บไว้ในสภาพเช่นนี้จะดีกว่าขอรับ”

   “หากเป็นดังคำกล่าวของโยมที่อาตมาเชื่อถือมั่นนัก  ฉนั้น

เห็นสมควรสร้างโลงแก้วบรรจุหลวงพ่อเลยหลังจากอาบน้ำศพแล้ว

ก็บรรจุในโลงแก้วเสียเลยนะโยม”

   “ดีเหมือนกันขอรับหลวงพ่อ  จากการตรวจสอบแล้วผมทราบว่า

สังขารท่านเพียงแค่ซูบแสดงถึงการเป็นอนิจจังเท่านั้น ส่วนอมตะธาตุ

ท่านไปชั้นนิมมานแล้วขอรับหลวงพ่อ”

   “ท่านไปชั้นพรหมแล้วหรือโยม”

   “ขอรับหลวงพ่อหากฌานผมไม่เปลี่ยนแปลงขอรับ  ท่านทราบเพียง

ติดอยู่บางอย่างมิฉนั้นล่วงก้าวเข้าสู่นิพพานแล้วขอรับ แต่คงจะไป

นิพพานในชั้นนี้แหละขอรับหลวงพ่อ”

    ครั้นหลวงพ่อหวนได้ยินเช่นนั้นถึงกลับอึ้งไป อาจารย์หนุ่มคนนี้ไม่

ธรรมดาจริงๆ พลางรำพึงเมื่อไหร่หนอเราถึงจะได้ก้าวล่วงฌานเช่นนี้

คงจะอีกนานแล้วล่ะ  แล้วหันมากล่าวว่า

   “โยมจะเห็นเป็นประการใดหากอาตมาจะสร้างรูปหล่อท่านไว้หน้า

โลงแก้วให้เป็นที่สักการะของพุทธสานิกชนไปพร้อมๆกันทีเดียวนะ”

   “ก็เป็นการดีครับหลวงพ่อผมอนุโมทนาด้วยครับ ส่วนรูปหล่อผม

จะให้เด็กจัดการให้ครับด้วยทางกรุงเทพฯนั้นแถวๆธนบุรีล้วนมีช่าง

ฝีมือที่เชียวชาญ หากเสร็จผมก็จะให้เด็กนำมาให้ท่าน หลวงพ่อก็เพียง

ทำพิธีให้ถูกต้องส่วนอัฎฐบริขารของท่านก็ใส่ลงไว้ใต้ฐานรูปหลวงพ่อ

ทองก็แล้วกัน  แล้วหลวงพ่อนิมนต์พระเก้ารูปมาสวดมนต์และชยันโต

นำไปวางที่หน้าพระประธานสักหนึ่งไตรมาสก็พอ  วิชาการต่างๆที่ผม

มอบให้หลวงพ่อเพียงหลวงพ่อองค์เดียวก็เหลือกินแล้ว หากผมว่างๆจะ

นำทวยเทพมาร่วมเพื่อความเป็นมงคลด้วยขอรับหลวงพ่อ”

   “หากเป็นเช่นนี้นับว่าประเสริฐมากทีเดียว อ้อๆๆๆโยมลูกอมในกุฏี

ท่านที่ยังเหลือตลอดจนพระนั้นล่ะใส่ลงไปใต้ฐานรูปหลวงพ่อจะดีหรือ

ไม่ล่ะโยม”

   “หากเป็นเช่นนั้นก็ดีซิขอรับหลวงพ่อเพราะพระหรือลูกอมนั้นล้วน

ศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์ในตัวอยู่แล้วเป็นของดีมากๆเสียด้วย  ให้หลวงพ่อ

แบ่งออกครึ่งหนึ่ง บรรจุครึ่งหนึ่งส่วนเหลือหลวงพ่อเก็บไว้ใช้ทำนุ

บำรุงพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง เรื่องนี้ตามแต่หลวงพ่อจะ

เห็นสมควรก็แล้วกันนะขอรับ  จะทำให้รูปหลวงพ่อท่านเพิ่มความ

ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นอีกขอรับ”

   “เป็นไปตามที่โยมกล่าวนี้ก็แล้วกันนะ อาตมาจะทำตามคำโยมที่

เป็นอาจารย์อาตมาทุกๆประการโยม”

   “อีกประการหนึ่งครับหลวงพ่อ  ทุกๆวันพระให้นิมนต์พระมาสวด

ที่หน้าศพท่านไปอย่าได้ขาดนะขอรับหลวงพ่อ”

   “อาตมาจะทำตามคำแนะนำโยมทุกประการไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

   แล้วโยมจะอยู่จนกว่างานจะเรียบร้อยหรือเปล่าล่ะโยม”

   “ผมอาจจะมาคืนเว้นคืนขอรับ ด้วยมีงานเร่งด่วนซึ่งกำลังมีการ

เปลี่ยนแปลงอย่างมากในเมืองเราขอรับ  ทางนี้เห็นทีจะต้องเป็นหน้าที่

ของหลวงพ่อแล้วล่ะขอรับ   เดี๋ยวผมก็จะไปบอกคุณพ่อคุณแม่ให้ทราบ

ไว้  ส่วนผมต้องทำงานทั้งสองด้านจะว่าสามด้านก็ได้ขอรับหลวงพ่อ”

   “ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เชิญโยมตามสบายเถอะนะ แล้วหมั่นมาก็แล้วกัน”

   “ขอรับหลวงพ่อ  ผมจะสลับกันมาขอรับ”

       แล้วชายหนุ่มก็ก้มลงกราบหลวงพ่อทองซึ่งปราศจากวิญญาณและ

หลวงพ่อหวน  พลางถอยหลังออกมา หันไปมองร่างหลวงพ่อทองร่าง

ก็ยังทำงานอยู่   แล้วชักชวนแม่นางรัตนาวดีออกเดินทางกลับบ้านทันที

โดยไม่รอช้า ด้วยยังมีภาระที่เร่งด่วนอยู่รอคอยเขา............

            แก้วประเสริฐ.

1139348gm3744qpip.gif600297y8krvnyajz.gif				
18 พฤษภาคม 2554 13:40 น.

อทิสมานกาย ๙๐

แก้วประเสริฐ


                   อทิสมานกาย ๙๐

   บริเวณบ้านของกำมั่น ยามสายๆก็มีรถบรรทุกที่ปิดประทุนคลุมไว้

โดยมีรถเก๋งสองคันนำหน้าวิ่งเข้ามาในบริเวณลานบ้าน  แต่ต่างแยก

ย้ายกันไปจอดคนละมุมบ้านกำนันในบริเวณหน้าบ้าน   ทุกๆคนพวก

เจ้าแม้นหันไปมองแต่ไม่สงสัย ด้วยรู้แล้วว่าวันนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น

จึงเพียงหันไปมองแล้วต่างก็แอบซุบซินในเรื่องต่างๆต่อไป
   
      ร่างชายกายภายในรถเก๋งที่กว้างใหญ่คันหน้า  ก็ก้าวลงมาพร้อมชาย

ร่างใหญ่สี่คนโดยทิ้งคนขับรถไว้ในรถเพียงคนเดียว   ชายที่นำหน้า

มาใบหน้าค่อนข้างยาวแต่ออกจะทะมึนอยู่บ้าง  ก็เดินนำไปก้าวขึ้น

ไปบนบ้านกำนันทันที  หน้าเรือนชานกำนันมั่นกำลังคอยอยู่แล้ว

เมื่อทั้งสองคนพบกัน โดยชายฉกรรจ์ทั้งสามต่างแยกย้ายกันคุมที่

หน้าบรรไดหนึ่งคน และเดินไปสมทบกับพวกเจ้าแม้นที่จับกลุ่ม

สนทนากันอยู่ถึงการทำงานที่จะมีในไม่ช้านี้  อีกคนไปยืนอยู่ไม่ห่าง

ไกลจากบรรดากลุ่มเจ้าแม้นเท่าใดนัก ทั้งสามต่างพากันชำเลืองสายตา

มามองเท่านั้น บางคนก็นำบุหรี่ออกมาสูบกันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทั้งสิ้น

   ทำให้กลุ่มเจ้าแม้นหยุดเงียบเสียงหันไปมองร่างชายฉกรรจน์นั้น

ซึ่งไม่ได้ก้าวเข้าร่วมวงเพียงแต่ยืนห่างๆไว้ ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ

พลางหันหน้าไปมองโน่นมองนี่โดยไม่สนใจต่อกลุ่มของเจ้าแม้น

ครั้นเวลาผ่านไปสักพักใหญ่  ร่างชายฉกรรจน์ที่ขึ้นไปสนทนากับ

กำนันนั้นก็ก้าวลงมาโดยมีร่างกำนันมั่นนำหน้า   ครั้นทั้งสองลงมา

ยังพื้นเรียบร้อยโดยมีร่างชายฉกรรจน์สูงใหญ่คุมเชิงก็เดินเข้าร่วม

สมทบด้วยทันที   หนึ่งในชายฉกรรจน์สามคนก็พลันถามขึ้น

   “พี่มุ้ยเรียบร้อยแล้วหรือ กำนันว่าอย่างไรบ้าง???.....”

   “เออๆๆๆกำนันบอกว่าครบเรียบร้อยเดี๋ยวเราไปดูกัน เอ็งไปบอก

พวกในรถประทุนนั้นให้ต่างลงมาช่วยก็แล้วกันนะ”

   “ครับพี่เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

   “ไม่ต้องลงจากรถมาหรอกเพราะของไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้นะ ต้องไป

เอายังที่อื่นไม่ไกลเท่าใดนักหรอก”

   “เฮ้ย!!!ๆๆกำนันบอกว่าต้องไปรับของที่อื่นๆไม่ใช่ที่นี่

ไม่ต้องไปบอกพวกเราหรอก  รอจนพวกเขาจะนำทางไปเท่านั้นเอง”

   เสียงกำนันมั่นตะโกนร้องบอกเจ้าแม้นลูกชายทันที

   “แม้นโว้ยๆ เอ็งบอกพวกให้พาคุณมุ้ยเขาไปดูของแล้วก็ช่วยเขา

ขนของด้วยนะ”

   “จ๊ะพ่อ....เฮ้ยพวกเราทั้งหมดนี่แหละนำทางไปให้เขาขนของได้แล้ว 

  เอ็งทั้งหมดเอารถกะบะออกไปยังที่เก็บของและช่วยเขาด้วยนะ”

   “เออ!!!!!ๆๆๆ....เฮ้ยๆๆๆ...ไอ้เจี๊ยบ ไอ้หาญ ไอ้ผัน ส่วนไอ้แช่มให้

มันอยู่ที่นี่เพราะมันยังไม่หายดีว๊ะ”

   เสียงไอ้หาญบอกแก่เพื่อนๆ ซึ่งทุกๆคนก็รีบไปทำงานเพื่อจะได้

หมดหน้าที่กัน  ด้วยพวกมันมาแต่เช้าๆดีอาศัยพวกสาวๆทำอาหารไว้

ให้จึงค่อยยังชั่วไม่ต้องเดือดร้อนอาหารอีก

   “อีลัดดา  อีนวลและอีชบา  มึงทำอาหารรอไว้นะเดี๋ยวพวกกูกลับมา

ก็จะได้ฉลองกัน หมดเรื่องกันเสียที”

   “เอาให้เขาให้หมดหรือพ่อ????....”

    เมื่อมันสั่งทางนี้แล้วก็หันไปตะโกนถามพ่อมันอย่างสงสัย

   “  เหลือไว้นิดหน่อยก็พอแค่ขาย เขามีหนังสือมาด้วย  เดี๋ยวคุณมุ้ย

เขาก็จัดการเองแหละ  เขาจะเอาเท่าไหร่ก็ตามใจเขานะโว้ย...อ้อๆอีก

อย่างหนึ่ง  เมื่อขากลับเอ็งผ่านบ้านบางโคก็หาอะไรมากินบ้างนะได้

ข่าวว่า ร้านแม่ลัดดาคนสวยทำอาหารอร่อยว๊ะ”

   “นั่นมันถิ่นของพระหวนนี่พ่อตอนนี้มันกับพวกเราก็ไม่ถูกกันอยู่

กินใจกันอยู่นะพ่อ????......”

   “เออๆๆข้อนั้นกูรู้ว๊ะแต่ว่าร้านนี้เป็นทางผ่านมีคนแยะคงไม่มีอะไร

หรอกเว้นแต่พวกมึงแค่ซื้ออาหารเท่านั้นนะ ไม่ต้องแวะเสือกไปนั่ง

กินในร้านก็แล้วกัน  กูไม่ค่อยอยากให้มีเรื่องจะเดือดร้อนกัน”

   “ข้อนั้นข้ารู้ดีพ่อระยะนี้มีคนแปลกหน้ามานั่งบ่อยๆ  ไม่น่าไว้วางใจ

ด้วยไม่เคยเห็นมาก่อน  เด็กๆมันมาบอกฉันจ๊ะ”

   “เออๆๆๆดีแล้วให้ไอ้เจี๊ยบกับใครก็ได้อีกคนไปซื้อหมูป่าผัดเผ็ด 

กับเก้งผัดมาด้วยนะ  อย่าลืมเสียล่ะ ร่ำลือกันมานานแล้วโว้ย??...”

   “จ๊ะพ่อไม่ลืมหรอก  แล้วคุณมุ้ยและพวกจะมาร่วมหรือเปล่าล่ะจะ

ได้ทำความรู้จักไว้”

   “ไม่หรอกแม้น  หากเสร็จงานพวกข้าก็จะรีบกลับกันเลยด้วยเสี่ย

คอยอยู่  รู้สึกว่าจะมีคนในกรุงเทพฯเดินทางมาคอยรับด้วยนะ แต่

ว่าของนั้นครบแน่นะ”

   “รับรองคุณมุ้ย แต่ต้องไปลึกหน่อยนะทางลำบากเพราะซ่อนไว้

ในกระท่อมในป่าลึกหน่อยริมตีนเขาโน่นแน๊ะ”

   พลางชี้มือประกอบคำพูด  มุ้ยหันไปมองเห็นแต่ภูเขาห่างไปไกลๆ

   “ข้อนั้นไม่เป็นปัญหาหรอก พวกข้าผ่านมามากแล้วล่ะ  งั้นกำนัน

เพื่อไม่ให้เสียเวลาข้าไปก่อนนะ  เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์”

   “ครับคุณมุ้ย  เชิญตามสบายหากว่างๆก็แวะมาทานอะไรที่นี่ได้นะมี

ทั้งสุรานารีให้เลือกด้วยล่ะ”

   “ขอบใจกำนันเห็นจะไม่แล้วล่ะในเมืองมีให้เลือกอีกมากมายนะ

แล้วแต่เสี่ยเขาจะใช้   เรื่องนารีในเมืองก็มีมากๆด้วย

ล้วนแต่งตัวสวยๆเฉว้งฉวาบทั้งนั้นหน้าตาก็สวย ข้ามองดูที่กำนัน

บอกแล้วไม่ครึ่งหนึ่งหรอก แต่ก็ขอบใจกำนันที่มีน้ำใจ ไปล่ะ”

   แล้วร่างนั้นก็นำพวกอีกสามเดินไปเข้ารถเก๋งทั้งสอง พลางสนทนา

กันแต่ทางกำนันมั่นไม่ได้ยินอะไร เพียงแค่รู้ว่าพวกมันสนทนากัน

เท่านั้นแต่ไม่รู้เรื่องราวอะไรกันเลย

    สักพักรถเจ้าแม้นนำกะบะรถบรรทุกพวกขับออกจากบ้านมันไป

พร้อมก็มีรถอีกสามคันทางในเมืองตามหลังมันมาอย่างติดๆ  

รถได้วิ่งเข้าสู่ทางที่ขรุขระ อากาศร้อนจึงเต็มไปด้วยฝุ่น เลี้ยวระเข้าซอย

เล็กๆที่คดเคี้ยวไปๆมาๆลึกเข้าไปในป่าใหญ่ สลับซับซ้อนวนไปมา

   “เฮ้ยเมื่อเสร็จงานแล้วแวะที่ร้านแม่ลัดดาคนสวยแห่งบางโคซื้อของ

ให้พ่อกูหน่อยนะโว้ยอย่าลืมเตือนกูด้วยล่ะ”

   “เออๆๆๆไม่ลืมหรอกเจี๊ยบตอบ  อยากดูหน้าเจ้าของร้านเหมือนกัน

ที่บอกว่ายังโสดและสวยเสียด้วยซิ???...”

   “แล้วพวกเราไม่ซื้อมากินกันบ้างหรือได้ยินเด็กๆมันพูดว่า

อร่อยมากๆด้วยนะไอ้แม้น”

   ไอ้หาญซึ่งทำหน้าที่ขับรถเอ่ยขึ้น

   “ไอ้ห่า!!!!....ไม่ซื้อก็โง่ซิว๊ะ  กูก็ได้ยินเหมือนมึงนั่นแหละแต่ไม่

อยากจะมีเรื่องกับไอ้ชวนลูกพระมันว๊ะ และเพื่อนๆมันล้วนกิติศัพท์

ขึ้นชื่ออีกด้วยโว้ย กลัวนะไม่กลัวหรอกแต่ไม่อยากให้พ่อกูเดือดร้อน

เพราะคดีความแกยังคารังคาซังอยู่ว๊ะ”

   ไอ้แม้นหันไปตอบไอ้หาญ   รถวิ่งทางลูกรังสีแดงฝุ่นตลบไปทั่วมัน

หันหลังไปมองรถที่ติดตามมัน แต่ไหงมองไม่เห็น หรือว่ามันหลง

ทางด้วยมีทางแยก แต่ก็ไม่น่าหลงทางนี่นาด้วยฝุ่นมันบอก พอนึก

เสร็จก็แลเห็นรถทั้งสามแล่นไล่เข้ามาแล้ว  ไอ้ห่า!!!...นึกว่าหลงทาง

เสียแล้วด้วยมันเป็นคนในเมือง  ไอ้แม้นนึกในใจ  เวลาผ่านไปสักครู่

ใหญ่ๆ  รถก็วิ่งมาถึงกระท่อมที่ซ่อนอยู่ในใต้ต้นไม้คลื้ม หากจะมอง

ข้างนอกจะไม่มีทางรู้เลยว่ามีกระท่อมอยู่ เพราะเหลือบเขาบดบังไว้

หากพวกหาของป่าเข้าไปในกระท่อมก็คงจะไม่พบอะไร  ด้วยของที่

มันนั้นซุกไว้ที่ห้องใต้ดินอีกที่หนึ่งซึ่งต้องรู้ทางเข้าถึงจะเข้าไปได้

   ครั้นทั้งหมดจอดรถเรียบร้อยแล้ว  ไอ้แม้นกับพวกก็นำหน้าชายชื่อ

มุ้ยกับพวกเดินเข้าไปในกระท่อม  ซึ่งมองดูก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจาก

แคร่ไม้ไผ่ใช้สำหรับพักผ่อน พร้อมเครื่องทำอาหารจำเป็นเท่านั้น

   ไอ้แม้นก็เดินนำทางเข้ากระท่อมแล้วออกไปหลังกระท่อมซึ่งเป็น

ป่าหญ้าขึ้นเต็มสูงเท่าค่อนเอว  มันกับพวกพากันแหวกทางเข้าไป

จนถึงที่มันซุกซ่อนของห่างจากกระท่อมเล็กน้อย  มันยกฝาไม้ที่ทำ

ด้วยกระดานสี่เหลี่ยมแต่เต็มไปด้วยต้นหญ้า ไอ้ผันก็ใช้ด้ามชะแลงที่

มันถือติดตัวมางัดฝากระดานขึ้นมามีบันไดทอดสู่เบื้องล่าง ส่วนไอ้

หาญก็จุดคบสองอันส่งให้ไอ้ผันถือไว้ พลางหันหน้ามาทางพวกรับ

ของที่คอยติดตามทุกย่างก้าว  ซึ่งมีจำนวนหลายๆคนพลางเอ่ยว่า

   “เดินกันดีๆหน่อยนะ เพราะบันไดไม่จะดีทำชั่วคราวเท่านั้น”

   “ไม่เป็นไรหรอกขอให้ของครบก็แล้วกัน” 

เสียงคนของไอ้มุ้ยตอบพลางก้าวตามพวกเจ้าแม้นลงไป ภายในห้องที่เก็บ

ค่อนข้างอับชื้นแต่การเก็บของพวกนี้ทำกันอย่างดีด้วยมีพลาสติครอง

       ไว้พร้อมหุ้มห่ออย่างดี อีกอย่างภายในห้องบุไปด้วยพลาสติคกันน้ำไว้

   คนที่ชื่อมุ้ยก็ไปเปิดห่อที่แพ๊คไว้พร้อมใช้มีดกรีดนำมาขึ้นชิมและ

ดม  ซึ่งของมีจำนวนมากพอประมาณ  หันไปพยักหน้ากับพรรคพวก

ต่างคนก็ตรงเข้าไปขนของทันทีทะยอยโดยมีพวกเจ้าแม้นช่วยเหลือ

ด้วย   ไม่นานนักของก็ถูกขนจนเรียบไม่เหลือหรอ ทิ้งเอาไว้เลย

   “อ้าวๆๆๆไม่เหลือไว้เลยหรือคุณมุ้ย”

   ไอ้แม้นถามด้วยความสงสัย

   “ของสงสัยจะไม่พอเพราะว่าต้องใช้เป็นจำนวนมากเสียด้วย  แล้ว

จะส่งของมาให้ภายหลัง เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวข้าจะทำ

หนังสือรับของแล้วก็แจ้งไว้ด้วยนะ ของแค่นี้จะพออะไรสงสัย

จะต้องไปหาเอาที่อื่นสบทบไว้อีก เสี่ยสั่งเอาไว้หากมากก็เหลือหาก

ไม่พอก็เอามาให้หมดนะ”

  ไอ้มุ้ยพลันหันกลับมาถามขึ้นอีกว่า

   “มีเพียงแค่นี้หรือไม่มีอีกแล้วหรือ หรือว่าซุกซ่อนไว้ที่อื่นอีก หาก

เสี่ยเม้งรู้จะมีเรื่องกันนะ

   “มีเพียงเท่านี้แหละ เพราะนำมารวมๆกันไว้ที่นี้ที่เดียวเพราะแจ้งมา

ว่าจะมารับของก็เลยนำมาไว้ที่นี่ทีเดียวเท่านั้น”

ไอ้แม้นเอ่ยขึ้น  แล้วก็ย้อนถามไอ้มุ้ยว่า

   “ก็พ่อกำนันบอกว่าให้เก็บไว้หน่อยหนึ่งเพื่อจะให้พวกมาซื้อหรือ

ไปส่งให้เขานะ????......แต่มีหนังสือยืนยันเช่นนี้ก็สบายใจ”

   “งั้นก็ดีเหมือนกัน  เดี๋ยวพ่อจะโกรธผมเอาจะได้มีหลักฐานยืนยัน

   “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกแม้น  คงเร็วๆนี้แหละจะส่งของมาสมทบ

ให้เพราะกำลังรอฝั่งโน้นส่งมาอีก คงจะไม่นานนักหรอกคงสักวันสองวัน

ไม่กระทือนการค้ากำนันเท่าใดนัก”

   “อย่างนั้นข้าก็สบายใจไม่ต้องถูกพ่อด่า  เชิญตามสบายเถอะคุณมุ้ย”

   เพียงไม่นานของทั้งหมดก็ลำเลียงขึ้นรถบรรทุกที่มีผ้าใบคลุมจน

หมด  แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางกลับทันที   พอรถออกมาถึงถนนใหญ่

ได้  รถเก๋งคันหนึ่งก็แล่นแซงเข้ามาเทียบรถเจ้าแม้นทันที พลางเอ่ยว่า

   “เอาล่ะแยกกันนะข้าจะไปทางลัดโน่นแยกหน้าโน่นแล้ว เห็นว่าจะ

ไปซื้อของที่หมู่บ้านบางโคไม่ใช่หรือ ข้าไม่เข้าทางนั้นนะ”

   “ตามสบายเถอะเพราะเป็นทางผ่านเดี๋ยวผมก็จะแวะซื้อของให้พ่อ

สักหน่อยก็จะกลับเหมือนกัน กำลังเปรี้ยวปากอยู่”

   เจ้าแม้นตอบพร้อมหันไปสั่งให้ไอ้หาญเลี้ยวเข้าทางหมู่บ้านบางโค

ซึ่งก่อนจะถึงตัวหมู่บ้านมีร้านค้าของของเต็มทั่วไป  มีร้านหนึ่งซึ่ง

ค่อนข้างจะหรูหราหน่อย  คนนั่งกันเต็มร้านเสียงดังเซ็งแซ่กันนั่น

หมายถึงว่าอาหารคงจะอร่อยแน่ เจ้าแม้นคิดหากไม่อร่อยจริงทางก็

ไกลกว่าในหมู่บ้านถึงจะมีร้านค้าอื่นๆขายก็ตามแต่ก็สู้ร้านนี้ไม่ได้

ครั้น นำรถจอดหน้าร้านแล้วไอ้แม้นก็สั่งให้ไอ้ผันลงไปซื้อคนเดียว

ให้พอตามคำสั่งสั่ง และสั่งให้ซื้อเพิ่มแก่พวกมันอีกเกือบๆทุกอย่าง

จนครบจึงได้ขับรถออกเดินทางกลับบ้านทันที

    ทางด้านบ้านกำนันซึ่งกำลังเดินตรวจชมต้นไม้อยู่กับเด็กสาววัยรุ่น

ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงรถดังขึ้นอีกและกำลังวิ่งเข้ามาในบ้านด้วย

ก็เกิดความสงสัย  หันหน้าไปดูแต่ไม่ทันสั่งให้เด็กๆไปดูซิว่าเป็นใคร

กัน  รถสามคันเหมือนตอนแรกที่มารับของเปี๊ยบเลยชายฉกรรจน์ก็

ก้าวลงจากรถ   กำนั้นเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปถามทันที   เมื่อแลเห็น

ร่างของมุ้ยซึ่งขับรถออกไปนานแล้ว  เหตุใดจึงย้อนกลับมาบ้านอีก

ก็ให้สงสัยนักหรือว่าของจะไม่ครบถ้วน

   “ข้ามารับของให้เสี่ยเม้งตามสัญญากำนันพร้อมหรือยังล่ะ”

เสียงไอ้มุ้ยเอ่ยขึ้นแต่เสียงไอ้มุ้ยตอนแรกกับตอบนี้ไม่เหมือนกัน เสียง

นี้มันห้าวๆทุ่มๆใหญ่  ก็สงสัยพลางเอ่ยว่า

   “อ้าวๆๆๆ!!!!!??????....คุณมุ้ยหรือว่าของที่ไปรับไม่ครบหรือไง

ล่ะ????....”

   “เฮ้ยๆๆๆกำนันอย่าเล่นตลกกับข้านะโว้ย!!!!???....ก็ข้าพึ่งจะมาถึง

นี่แหละ     ด้วยรถในเมืองเป็นวันอะไรว๊ะ???...ติดฉิบหายเลยล่ะ”	

   “ก็เมื่อกี้นี้คุณมุ้ยก็ไปรับของแล้วนี่นา  ข้ายังใช้ให้ลูกชายข้ากับพวก

นำทางไปเลย สงสัยเหมือนกันว่าทำไมกลับมาเร็วนัก”

   “กำนันพูดเป็นหมาๆไปได้????... ก็ข้าบอกว่าข้าพึ่งมาถึงรับเพื่อของ

อะไรกันว๊ะ!!!!!!.........อย่ามาเล่นแง่กับข้านะโว้ย!!!!!???....”

   “ข้าจะไปโกหกคุณมุ้ยได้อย่างไรกัน ยังมีหนังสือจากเสี่ยมายืนยัน

ข้านี่นาเดี๋ยวข้าจะไปเอามาให้ดูนะ”

   ไอ้มุ้ยกับพวกพากันชักปืนออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำกำนันเช่นนั้น

ทำให้กำนั่นมั่นตกใจน่าซีดเผือดยิ่งนัก  ก็รีบเอ่ยปากขึ้นทันที

   “ใจเย็นคุณมุ้ยคงจะเข้าใจผิดอะไรบ้างอย่างแล้วล่ะ  ข้ามีพยานรู้เห็น

ด้วยนะ”

   “เฮ้ยๆๆนางสาวๆทั้งหลายมีนี่แน๊ะ ไอ้แช่มด้วยมาเป็นพยานให้ข้าที”

   ไอ้แช่มกับสาวๆก็แลเห็นต่างตกใจกัน คนที่ทำอาหารอยู่ก็รีบออก

มาหาเพื่อเป็นพยานทันที ด้วยเห็นพวกนี้ต่างชักปืนสั้นและปืนยิง

เร็วหันปลายมาทางกำนันและพวกด้วย ตัวกำนันร่างสั่นงันงกกล่าวว่า

   “ถ้าอย่างนั้นคุณมุ้ยตามข้าขึ้นมาด้วยกันมาดูหนังสือของเสี่ยที่มีมา

บอกให้ข้าส่งของให้ กลัวข้าจะจำคุณมุ้ยและพวกไม่ได้นะ”

   “หนังสือหาห่าอะไรว๊ะ???.....เสี่ยเพียงบอกให้ข้ากับพวกมารับ

เท่านั้นเองนี่นาไม่มีหนังสืออะไรเลย ไหนๆเอามาให้ดูหน่อยซิ????....”

   ว่าแล้วก็ก้าวตามขึ้นบันไดไปครั้นมันได้รับหนังสือมาอ่านยืนยัน

จากกำนัน   และจำลายเซ็นต์เสี่ยเม้งได้อย่างแม้นยำด้วยเคยเซ็นต์เช็ค

ให้แก่พวกมันเสมอๆ  ครั้นดูลายเซ็นต์ก็เหมือนกันยิ่งนัก แล้วพลัน

ก็ร้องลั่นสนั่นบ้าน  จนพวกมันต่างมองจ้องเป็นตาเดียวกันหมด

   “กำนันโดนหลอกแล้วใครกันว๊ะ???  กำนันรู้หรือเปล่าล่ะ???”

   “ข้าจะไปรู้เหรอรูปร่างหน้าตาก็เหมือนกับคุณมุ้ยนี่แหละข้าถึงให้

ไปทั้งยังมีหนังสือยืนยันอีกด้วย ไหนเลยทำงานด้านนี้จะไม่ระวังตัว

ไว้ด้วยมันเรื่องใหญ่สำคัญทั้งนั้นนะ” 

   กำลังตอบเสียงสั่นเทา  ไอ้มุ้ยเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าต้องมีใครมาเล่นกล

กับพวกมันเข้าแล้วแต่ไม่วายแปลกใจอดถามว่า	

   “กำนันจำไม่ผิดคนนะว่ารูปร่างหน้าตาเหมือนกับข้านะ????...”

พูดเสร็จมันก็เอามือลูบใบหน้ามันเองด้วยความสงสัยใครว๊ะช่างเหมือนกู

  กูหรือก็ไม่เป็นฝาแฝดกับใครด้วย   มันนึกในใจตัวเองสงสัยตะหงิดๆ

   “เหมือนกันยังกับแกะเลยคุณมุ้ย พร้อมทั้งมีคนมาพร้อมรถสามคัน

รถบรรทุกหนึ่งคัน  เหมือนกับรถของคุณมุ้ยและพวกตรงกันเชียวล่ะ”

กำนันตอบด้วยเสียงสั่นเครือ ด้วยเห็นปากกระบอกปืนจี้มาทางเอว

  “เดี๋ยวข้าจะลงไปถามคนเห็นด้วยไปๆๆๆไปด้วยกัน”

สี่หน้ามันตอนนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนักทะมึงตึง  มันรีบก้าวนำหน้ากำนัน

   ลงไปซึ่งก้าวตามติดๆ ครั้นถึงยังพวกกำนุน  ไอ้มุ้ยร้องถามทันใด

   “ใครๆๆที่เห็นว่ามีคนเหมือนข้ามาโว้ย???...ตอบมานะหากไม่

แน่ใจอย่าเสือกตอบล่ะ  บอกก่อนกูยิงไม่เลี้ยงเชียว”

   “ข้าเห็น  ข้าก็เห็น  เหมือนเสี่ยมุ้ยไม่ผิดและรถก็เหมือนกันอีกด้วย

สีเดียวกันเลยล่ะ  มีอะไรหรือเสี่ยมุ้ย???...”

เสียงบรรดาสาวๆแย่งชิงตอบกันเซ็งแซ่รวมทั้งไอ้แช่มด้วย   เล่นเอา

ไอ้มุ้ยปากอ้าตาค้างไปทีเดียว  มันเชื่อแล้วว่าต้องการมีการเล่นกล

มาหลอกกำนันก่อนมันเสียแล้ว  จึงเก็บปืนเข้าเอว แล้วหันไปสั่งพวก

ให้เก็บปืนได้แล้ว  ด้วยทางกำนันมีทั้งหนังสือและพยานพร้อม จึง

หันไปทางกำนันกล่าวว่า

   “ไปนานหรือยังล่ะกำนัน  เดี๋ยวข้าจะออกไปตามมีคนนำทางไปมี

หรือไม่ล่ะ????.....”

   “ออกไปนานเป็นชั่วโมงแล้วคุณมุ้ย  ป่านนี้คงจะกลับกันแล้วล่ะ”

กำนันมั่นใจชื้นขึ้นมาหน่อย ที่เห็นสีหน้าไอ้มุ้ยคลายเครียดลงที่เชื่อ

ถือหลักฐานคำพูดมัน

    “ฉิบหายกันแล้วล่ะคราวนี้!!!!!ถ้าอย่างนั้นให้ใครนำทางข้าไปก็แล้ว

 บางทีอาจจะได้วี่แววบ้างก็ได้”

    “ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้คนรู้ทางนำไปก็แล้วกันนะคุณมุ้ย”

    “เออๆๆๆกำนันหาคนมาก็แล้วกัน”

  พลางตะโกนไปบอกพรรค  พวกคนหนี่งให้เข้ามา  

แล้วกระซิบสั่งการทันที

ครั้นลูกน้องของเจ้ามุ้ยก็กลับไปสั่งให้บรรดาพรรคพวกเตรียมตัว

ออกเดินทาง แล้วนำไอ้แช่มนั่งคู่ไปกับไอ้มุ้ยออกเดินทางจากบ้าน

กำนันอย่างรีบเร่งทันที   ทำเอากำนันมั่นถอนหายใจอย่างเฮือกใหญ่

พลางลูบหน้าอก  ต้นไม้อะไรไม่ดูอีกแล้วรีบขึ้นไปบนบ้านเพื่อรอฟัง

ดูเหตุการณ์ต่อไป..............

               แก้วประเสริฐ.



1139348gm3744qpip.gif				
15 พฤษภาคม 2554 20:04 น.

แดนพิศวง

แก้วประเสริฐ

ANIMATED53762986.gif
                   แดนพิศวง ตอนที่๑
                    (สุริยันต์จันทรา)

บทนำ.......อันนิยายเรื่องนี้ข้าพเจ้าใช้จินตนาการสร้างสรรเรื่องไว้ให้

เกิดความสนุกสนานในแง่มุมมองหลายๆด้าน ทั้งในแง่ศาสตร์ต่างๆ

ผสมผสานกันไว้   ทั้งโหราศาสตร์ ไสย์ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทั้งใน

อดีตและปัจจุบัน  เพื่อสร้างความเกษมสำราญเท่านั้น โดยมุ่งจะ

เน้นการหมุนเวียนเสริมสร้างพลังจิตแปรเปลี่ยนสภาพเป็นพลังงาน

ทั้งการสร้างและการทำลายของอะตอมต่างๆไว้ โดยอาศัยพลังงาน

ของจักรวาลมีสื่อเป็นการเสริม ไร้อำนาจการต้านทานใดๆได้

ทั้งนี้ล้วนแล้วแต่การจะวิจารณญานกันเอาเองครับ

ขอเชิญหาความเกษมสำราญกันได้แล้ว..............แก้วประเสริฐ.

......................................................................................................

   ยามสายันต์ดวงตะวันลอยเหนือน้ำจรดขอบฟ้า ทอแสงอันแดงจาง

สายลมพลิ้วโชยพลิ่ว  ท้องทะเลอันสงบปราศจากคลื่นลมแรงเกิด

การสั่นไหวพลิ้วเป็นระลอกเล็ก  ค่อยๆทะยอยเข้าสู่ชายฝั่งของแหลม

ที่ยื่นออกไปสู่ยังท้องทะเลอันไกลแสนไกล

   ในบริเวณแหลมนั้นมีร่างของชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบกว่าๆ

กำลังนั่งทอดอารมณ์บนก้อนหินที่วางเกะกะเรียงราย ในมือเขาถือ

ก้านไม้เล็กๆ เขี่ยเล่นไปบนพื้นทรายในบริเวณนั้นแต่สายตาเขากลับ

จ้องมองออกไปสู่ในท้องทะเลอันไกลโพ้นแลมองตะวันที่กำลังจะ

ลาลับจากของฟ้า แสงของมันทอดระยิบเป็นพราวคล้ายๆกับเหลี่ยม

ของอัญมณีที่ยามโดนแสงไฟสะท้อนแวววาบไปตามคลื่นเล็กๆที่

ทะยอยเข้าหาฝั่ง  สายลมพัดต้องเสื้อผ้าเขาไหวพลิ้วไปตามกระแสลม

อันเยือกเย็นกระทบร่างเขาทำให้จิตใจร่าเริงสดชื่นคลายเครียดไปมาก

   นิรุทธ์คือนามของชายหนุ่มนี้ที่มีผมอันดำขลับสลวยหยักโศก

เล็กน้อยทรงผมที่ตัดเรียบรับกลับใบหน้าที่อันขาวผ่องปราศจาก

เสี้ยนสิวราบเรียบประดุจไข่มุกข์เนื้อดี   เขาเป็นลูกหนึ่งในสอง

ของคหบดีที่ร่ำรวยมีเนื้อที่อันกว้างใหญ่ไพศาลจรดริมทะเล  ทั้งสอง

พี่น้องเขาเป็นน้องคนสุดท้องส่วนผู้เป็นพี่นามนิวัฒน์นิสัยใจคอ

แตกต่างราวกับฟ้าดิน   ผู้พี่เป็นคนนิสัยมุทะลุดุดันชอบในการต่อสู้

ไม่ค่อยสนใจในการเรียนเท่าใดนัก พอจบปริญญามาก็ไม่คิดจะร่ำ

เรียนต่อหาความรู้ชอบในการท่องเที่ยวคบหาสมาคมกับพวกไปใน

สถานเริงรมย์ต่างๆ

    ส่วนชายผู้เป็นน้องกับชอบหมกหมุ่นกับการเล่าเรียนขมักเขม้นใน

การค้นคว้าศึกษาตำราต่างๆ  และเป็นคนช่างคิดใฝ่ฝันในสิ่งที่ไม่อาจ

จะเป็นไปได้   ตำราทั้งในและนอกล้วนแล้วแต่เขาหามาอ่านจนหมด

สิ้น  ทั้งทางด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านวิศวะ โยธา วิทยาศาสตร์หรือ

แม้กระทั่งด้านไสยาศาสตร์ล้วนแล้วแต่เขาร่ำเรียนมาอย่างช่ำชอง
 
นิสัยไม่ชอบการต่อสู้อาวุธใดๆทั้งสิ้น ต่างกับพี่ชายอย่างสิ้นเชิง

   ดังนั้นจึงเป็นที่คาดหวังของพ่อแม่ที่จะเห็นความก้าวหน้าของเขา

ด้วยการช่วยกันหาตำราต่างๆมาให้เขาได้ร่ำเรียนไว้เพื่ออนาคตต่อไป

เขาศึกษาวิชาการทั้งด้านปัจจุบันและอดีตที่ผ่านมา แม้แต่หนังสือ

อักษรต่างๆก็พอจะอ่านออกเขียนได้ เป็นอย่างดีไม่ติดขัด มักจะเก็บ

ตัวอยู่แต่ในห้องที่กองสุมไปด้วยตำหรับตำราต่างๆอันมากมาย

   แต่ก็ทำความพอใจให้แก่ผู้เป็นพ่อแม่ด้วยเพราะไม่เคยสร้างความ

เดือดร้อนแต่อย่างใด  ส่วนผู้พี่นั้นมักจะชอบหาเรื่องเป็นเนืองนิจ

พ่อแม่เขาเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าจึงไม่ค่อยจะมีเวลาเอาใจใส่มาก

นักคงปล่อยให้อยู่กับคนดูแลทั้งสองที่เป็นหญิงชรา ดังนั้นอุปนิสัยจึง

ออกไปในแนวคล้ายๆคนเลี้ยงเสมอ  พ่อแม่มักจะออกเดินทางไปใน

สถานที่ต่างๆทั้งในและนอกประเทศเกี่ยวกับธุรกิจ การเงิน การตลาด

   วันนี้หลังจากที่เขาอ่านตำราต่างๆจนหมดสิ้นก็สร้างความเบื่อหน่าย

จึงได้ออกมานั่งทอดอารมณ์ยังบริเวณนี้เพื่อที่จะทำให้อารมณ์ดีขึ้น

บ้าง  ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าค่อนข้างจะหงุดหงิดเนื่องจากไม่มีสิ่งใหม่ๆ

ให้เขาได้ค้นคว้าอีกต่อไป   หลังจากพระอาทิตย์จมหายไปในท้อง

ทะเลคงเหลือเพียงแสงอ่อนๆที่ยังเรืองรองบนพื้นขอบฟ้า  แต่ยังมี

แสงของดวงจันทร์ในเดือนขึ้นทอดแสงสุกใสสวยงามแทน ในปลาย

ขอบฟ้าแห่งท้องทะเลที่ดูมืดทะมึนเปรียบคล้ายปีศาจร้ายที่โอบไว้

ด้วยมือทั้งหมดของมัน   ยังมีแสงของดวงดาวน้อยใหญ่   ท้องฟ้า

บัดนี้  ล้วนแล้วเต็มไปด้วยดวงดาว  ต่างแข่งประชันโฉมแสงกันและ

กัน ด้วยแสงที่ไม่กระพริบและกระพริบของดวงดาวต่างๆอัน

ประกอบด้วยดาวพระเคราะห์และดาวฤกษ์ที่ทอแสงประกาย

ระยิบระยับแทน แต่ในท้องทะเลกลับสีออกจะคลึ้มๆดำทะมึน

อันชวนสร้างความสะพรั่งพรั่นพรึงน่ากลัวที่ครอบงำด้วยสิ่งมืดมิด

   ขณะที่ชายหนุ่มกำลังลุกขึ้นพร้อมทั้งดัดแข้งดัดขาหลังไปๆมานั้น

แล้วก็หันหลังกลับจากแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลเพื่อหวังจะกลับ

บ้านอันแสนเบื่อหน่ายเอือมระอา  ก้าวเท้าเดินกลับอย่างช้าๆแต่ใน

สมองเขาคิดว่าป่านนี้พี่ชายคงจะออกไปหาความสำราญภายนอก

เสียแล้ว เขาต้องอยู่คนเดียวด้วยคนที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กนั้นได้

จากโลกนี้ไปแล้วเมื่อเขาอายุได้สิบแปดปีผ่านพ้นมานอกนั้นเขาจะ

หมกอยู่ในห้องเพียงผู้เดียวไม่ไปท่องเที่ยวที่อื่นเหมือนดั่งพี่ชายเขา

ด้วยนิสัยไม่ชอบการต่อสู้ใดๆ ถึงแม้ว่าเขาจะร่ำเรียนรู้วิชาการต่อสู้

จากตำราแต่ไม่เคยได้ฝึกฝนฝึกปรือแต่อย่างใด ที่อ่านเพราะไม่มี

อะไรจะอ่านแม้กระทั้งพวกไสย์ศาสตร์ต่างๆเขาคิดว่านั่นคือ

สิ่งงมงายไร้สาระทั้งสิ้น 

   สงสัยเราจะไม่พ้นไปจากเจ้าอีกแล้วซินะเจ้าตำราทั้งหลายเอย ถึง

แม้ว่าข้าจะอ่านเจ้ามาหลายครั้งจนกระทั่งแทบจะจำได้ทั้งหมดก็ตาม

แต่ช่างเถอะในเมื่อไม่มีอะไรทำอ่านเจ้าไปดีกว่าไปตะลอนๆเช่นพี่

เขาที่คงจะไปแล้วล่ะ  เขารำพึงในใจเพียงผู้เดียวแต่เท้ายังย่างก้าว

อย่างช้าๆต่อ  ถิ่นนี้เขาช่ำชองมาตั้งแต่เด็กแล้วบัดนี้เขาเป็นหนุ่มเต็ม

ตัวอายุเลยเบญจเพศไปแล้วก็ตามแต่ทว่าในเมื่อสิ่งที่เขาทำอยู่นี้เป็น

ประจำจึงไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงในสิ่งอื่นๆแก่เขาได้  ถึงแม้ว่าจะมี

สาวๆในถิ่นนี้มาคอยส่งสายตาและยิ้มแก่เขา แต่เขาไม่เคยใส่ใจแต่

ประการใด เพียงแค่ยิ้มตอบแล้วก็เดินจากไปเท่านั้น

      เหตุเพราะเขามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์กว่าร่างที่สูงใหญ่สง่างามตลอด

ใบหน้าอันสวยงามดุจหญิงแต่ใจเขาซิมิได้มีความนึกคิดเรื่องเพศแต่

อย่างใดผิดกลับพี่ชายเขาที่เคยได้ยินคนรับใช้ภายในบ้านกล่าวว่าเขา

มีรูปร่างหน้าตาดีกว่าพี่ชายเขาเสียอีก  จนเมื่อมาชมต่อหน้าเขากลับ

ห้ามปรามมิให้พูดเช่นนี้อีก จะมีภัยถึงเขาเหล่านั้นด้วยรู้นิสัยพี่ชาย

เขาดีว่าเป็นคนค่อนข้างหยิ่งยโสโอหังไม่ชอบให้ใครๆเหนือกว่า

พี่ชายเขาไปได้  เมื่อยามใดที่ส่องกระจกดูใบหน้าตัวเองกลับมอง

อย่างทุเรศใจนัก  ทำไมคนเราจึงช่างหลงใหลต่อรูปลักษณ์ภายนอก

ไปได้ ทำไมล่ะไม่ดูอุปนิสัยภายในบ้าง จนอยากจะเอามีดมากรีดบน

ใบหน้าเขาเพื่อสร้างความอัปลักษณ์ก็เคยคิดเช่นนี้ แต่มีบางอย่างมา

เตือนเขาไว้จึงได้หยุดการกระทำเสีย

   ระหว่างเดินทอดน่องอย่างเชื่องช้านั้น ร่างที่ผึ่งผายก็ต้องหยุดชะงัก

ทันใดด้วยมีเสียงเรียกเบาๆลอยเข้ามา

   “คุณชายขอรับๆๆอย่าพึ่งกลับเลยรอผมเอาของมามอบให้ก่อนนะ

ขอรับคุณชาย  และก่อนจะมอบของให้พวกกระผมอยากจะขอดูอะไร

จากคุณชายบางอย่างขอรับ เพื่อให้แน่แก่ใจถึงจะมอบให้ขอรับ”

    เสียงลอยแว่วออกมาจากแนวไม้ที่เรียงรายตามแนวของแถวริม

ทะเล   ทำให้ชายหนุ่มชะงักหมุนตัวไปรอบๆเพื่อค้นหาตำแหน่งเสียง

นั้นแต่ไม่พบอะไรเลย   ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆแล้วก็เริ่มจะออกเดินต่อ

แต่แล้วก็ต้องสดุ้งเมื่ออยู่ดีๆก็ปรากฏร่างชายมีอายุสามคน กำลังเดิน

เข้ามาหา  ร่างทั้งสามแต่งกายแปลกประหลาดยิ่งนักจะว่าเป็นชาว

ภารตะก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นชายแถบเปอร์เซียก็มีส่วนคล้ายๆกัน แต่ทว่า

การเดินเหินของเขาซิแปลกจริงๆ จากสายตาที่มีแสงสลัวๆนั้นแต่ยัง

มีแสงนวลของดวงจันทร์ส่องพอจะเห็นได้อย่างเลือนลางก็ตาม  ก็แล

เห็นอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้คือการมาอย่างรวดเร็วยิ่งนักปานสาย

ลมที่หนังสือเคยร่ำเรียนมาก็มิปาน เพียงชั่วอึดใจเดียวชายทั้งสามก็มา

ถึงยังเบื้องหน้าเขาแล้ว
  
    ทั้งหมดพากันนั่งย่อกายขาข้างหนึ่งชันอีกข้างหนึ่งราบกับพื้นทั้งยัง

ประสานมือกุมกันระหว่างเบื้องอก หนึ่งในนั้นพลันกล่าวขึ้นว่า

   “คุณชายขอรับ....พวกผมรอเวลาอันเหมาะเจาะมานานแสนนาน

แล้ว เพื่อจะรอพบพิสูจน์ในสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าพยากรณ์ไว้และสั่งให้พวก

กระผมรอคอยคุณชาย จนท่านผู้เฒ่าได้ลาจากไป โดยท่านผู้เฒ่าบอก

แจ้งลักษณะต่างๆไว้ให้พวกกระผมทราบและฝากตัวเป็นผู้รับใช้

บุคคลนั้นตามคำสั่งท่านผู้เฒ่า และจะมอบตำราหนังสือต่างๆและ

สิ่งของไว้ให้คุณชายขอรับ  เพียงแต่ว่าต้องพิสูจน์สิ่งบางอย่างก่อน

ถึงจะมอบของเหล่านี้ให้ขอรับ”

   ครั้นได้รับฟังเช่นนั้นยิ่งสร้างความงุนงงสงสัยแก่เขาเป็นอันมาก

แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความสนใจของเขาคือหนังสือตำรานั่นเอง หาก

ไม่ได้ยินสิ่งนี้แล้วก็คิดว่าจะรีบเดินหนีห่างไปไม่สนใจอะไรมากนัก

จึงอดถามไปมิได้ว่า

   “สิ่งที่ท่านต้องการนั้นใครหรือท่านทั้งสาม  ท่านมาผิดตัวแล้ว

กระมัง???... อาจจะสร้างความผิดหวังแก่ท่านได้นะท่าน”

   “เพียงแค่พิสูจน์ในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่มีเท่านั้นแหละขอรับ พวก

กระผมได้เฝ้าติดตามคุณชายมาตั้งแต่อายุได้สิบกว่าขวบแล้วขอรับ”

   ชายหนุ่มนึกสนุกเป็นครั้งแรกในชีวิตวัยหนุ่มฉกรรจน์ที่เขาประสบ

จึงคิดจะเล่นหาด้วยจึงเปรยขึ้นว่า

   “หากมาดแม้นมิใช่บุคคลที่ท่านประสงค์อันพึงหมายพบพานล่ะ

ท่านจะต้องเสียใจนะ  โถๆๆสู้อุตส่าห์เฝ้าติดตามมาก็ได้นะท่าน”

   “ถึงแม้นว่าพวกข้าพเจ้าจะเฝ้าติดตามมาตั้งแต่คุณชายเกิดมาแล้ว

แต่ท่านผู้เฒ่ากล่าวว่า หากอายุเลยเบญจเพศแล้วสิ่งนั้นมิเจือจางหรือ

เลือนหายไปกลับส่งประกายแสงสดใสยิ่งขึ้นย่อมไม่ผิดพลาดขอรับ”

   ทำให้ชายหนุ่มอดคิดถึงร่างเขาเสียมิได้ ด้วยความสงสัยมานานถาม

คุณพ่อคุณแม่ถึงเหตุนี้  ก็ได้รับการยืนยันว่ามีมาพร้อมตั้งแต่เขาเกิด

มาแล้ว  เวลาอาบน้ำเขามักจะมองดูในกระจกเสมอๆ  เพราะมันดู

ลักษณะคล้ายปานก็ไม่เชิง จะว่าเป็นรอยหยดของน้ำยาที่หมอเอามา

เช็ดตัวเขาเวลาเกิดก็ไม่ใช่ เพราะต้องเป็นรอยด่างขาวดำเท่านั้น  แต่นี่

ด้านหลังข้างขวาเขาตรงสะบักไหล่เป็นรูปวงกลมสีแดงเรื่อๆ ส่วน

ด้านซ้ายมือเป็นวงกลมออกสีนวลใยจะว่าขาวหรือเหลืองก็ไม่เชิง

สิ่งนี้สร้างความแปลกประหลาดแก่เขา  ค้นคว้าในตำหรับตำราหรือ

อันมากมายก็ไม่มี ในนิยายเก่าๆหรือก็มีเพียงแค่ระบุว่าเป็นปานดำ

บ้างแดงบ้างเท่านั้น  หรือเป็นรูปสัตว์บ้างใบไม้บ้างต่างๆนาๆ

   แต่ของเขาซิเป็นวงกลมขนาดเล็กไม่ใหญ่โตแต่มันกลมมากๆสีออก

ชัดเจนและรู้สึกว่าจะมีประกายในบางครั้งเกิดขึ้น  ครั้นได้รับฟัง

เช่นนั้นก็บังเกิดความสงสัย สร้างความสนใจในใจ    ขึ้นมาทันที

หรือว่า????....ทั้งสามคนนี้อาจจะบางทีไขความลับของเขาได้กระมัง

    จึงสร้างความหวั่นไหวในใจ แต่ก็ยังทำเป็นเล่นตัวเล่นเชิงอยู่บ้าง

พลางเอ่ยแกมหัวร่อขึ้นว่า

   “ฮ่าๆๆๆๆ!!!!???....ชักน่าสนใจเสียแล้วซิท่านไหนๆลองเกริ่นเล่า

เรื่องราวต่างๆให้ฟังก่อนเราถึงจะให้พวกท่านพิสูจน์นะ”

   ชายที่เป็นหัวหน้าของชายทั้งหมด   ก็พลันเอ่ยขึ้นว่า

   “ณ ดินแดนอันไกลโพ้นเหนือมิตินั้นมีนครต้องสาปนครหนึ่งซึ่ง

รอคอยการกลับมาของบุคคลๆหนึ่งที่จะมาแก้ไขสถานะการณ์อัน

ร้ายกาจนี้  และมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้นครนี้พ้นจากสาป

ไปได้เท่านั้นขอรับท่าน   ด้วยนครแห่งนี้ต้องมนต์ที่ไม่อาจจะแก้ไข

ได้ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่ง สาปไว้  หากเล่าก็เรื่องยาวเพียงแค่ให้

คุณชายทราบไว้ในสิ่งใหญ่เท่านี้ขอรับ”

   “แหม๋ๆๆๆท่านเล่าเกริ่นนิดเดียวเหมือนกับนิยายโบร่ำโบราณเชียว

นะที่ยังงมงายในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่เชียวเลยล่ะท่าน”

   “แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงขอรับคุณชาย ท่านผู้เฒ่าซึ่งเป็นอาจารย์

ของพวกเราได้กำชับนักกำชับหนาให้หาบุคคลเช่นนี้ให้ได้และเรื่องนี้

ได้ตกทอดสืบต่อเนื่องกันมาหลายร้อยปีแล้วขอรับคุณชาย  พวก

ข้าพเจ้าเป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว  หากไม่ได้ดังประสงค์ก็เห็นทีจะต้องรอ

คอยไปอีกนานเท่าใดก็ไม่รู้ด้วย วันนี้ลักษณะดวงดาวต่างๆบรรจบ

พอดี ตามคำพยากรณ์ในหนังสือที่ถ่ายทอดสืบกันมาแล้วข้าพเจ้าเป็น

ผู้รักษาของเหล่านี้ไว้  หากไม่พบก็หาได้ทำให้คุณชายต้องเดือดร้อน

อะไรหรอก  เพียงแต่พวกข้าพเจ้าขอพิสูจน์เท่านั้นเองแหละขอรับ”

    ชายหนุ่มนึกก็ยิ่งสนุกมากยิ่งขึ้น จึงเอ่ยกล่าวอีกว่า

   “พวกท่านแน่ใจนะว่าหากการพิสูจน์นี้มิใช่เราจะไม่เป็นอันตราย

ไปนะ  และพวกท่านจะทำอันตรายแก่เราอีกด้วย”

   “สัญญาสัจจะขอรับคุณท่าน  หากแก้วสองดวงนี้เมื่อนำไปยังสถาน

ที่ของเขาแล้วก็จะจมหายไปในร่างกายของคุณชายเอง หากมิใช่ที่อยู่

ของแก้วสองดวงนี้ก็จะคงสภาพเดิมอยู่ขอรับแต่หาได้ทำอันตรายแก่

คุณชายแต่อย่างใดเล่า อีกทั้งพวกข้าพเจ้าก็จะกลับไปเพื่อรอคอย

กาลเวลาอีกต่อไป  คอยเวลาและส่งมอบงานต่อคนรุ่นใหม่ต่อไป”

   “เอาล่ะเมื่อท่านให้สัจจะสัญญาเช่นนี้เราก็พร้อมที่จะให้ท่านพิสูจน์

สิ่งที่ท่านเรียกว่าแก้วสองดวงนั้น เราขอชมก่อนได้หรือไม่ล่ะ???...”

   “ได้ขอรับคุณชาย หากคุณชายเป็นบุคคลที่แก้วทั้งสองนี้ยอมรับ

คุณชายก็จะเห็นเองแหละขอรับ”

    ชายหัวหน้าสองคนนั้นพลันล้วงไปหยิบลูกแก้วซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่

นักประมาณเท่าไข่นกกระทาเห็นจะได้  ออกมาทันทีแต่แล้วชายสาม

คนนั้นต่างพากันตลึงพรึงเพริศไปตามๆกัน ด้วยแก้วทั้งสองดวงนั้น

ต่างสีกัน ดวงหนึ่งสีแดงเข้มปานเลือดนก อีกดวงหนึ่งสีเหลืองอ่อน

นวล แต่ภายในซิกลับคล้ายๆมีน้ำใสๆวิ่งไปวิ่งมาได้ พลันส่งประกาย

เจิดจ้าเปล่งออกมาทันที   ทำให้ชายทั้งสามรีบวางลูกแก้วลงยัง

พื้นทรายโดยมีผ้าคลุมศีรษะของชายที่เป็นหัวหน้าคลี่แผ่รองรับไว้

   ชายหนุ่มก็แลเป็นใบหน้าอันแท้จริงของชายคนนั้นก็นึกชมเชยใน

ใจว่าช่างหล่อเหล่ายิ่งนักผิดกับชายอื่นทั่วๆไปถึงแม้จะมีอายุล่วงเข้า

ชายกลางคนไปแล้วก็ตาม  ครั้นแล้วชายทั้งสามคนก็ต่างรีบงอเขาที่

ยกไว้นำอีกข้างมาเสมอแล้วก้มลงกราบไปยังลูกแก้วสองดวงนั้นด้วย

ใบหน้าทั้งสามเอิบอิ่มยิ่งนัก  ชายหนุ่มมองการกระทำของพวกเขา

แล้วก็ให้นึกแปลกใจ  ที่เห็นพวกเขาให้ความเคารพนบนอบแก่ดวง

แก้วสองดวงนี้ยิ่งนักจึงแค่เพียงยืนแย้มยิ้มมองเฉยๆ  แต่ก็แปลกใจที่

แก้วทั้งสองดวงนี้ใยเปล่งประกายน่ารักอะไรเช่นนี้สีสรรแพรวพราว 

   ครั้นแล้วเมื่อหลังจากทำความเคารพเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เขาทั้งสาม

ก็เงยหน้าขึ้นมองร่างชายหนุ่มทันที หนึ่งในนั้นพลันเอ่ยขึ้นว่า

   “คุณชายขอรับ พวกกระผมขอน้อมคาราวะท่านด้วยก่อนจะมีการ

พิสูจน์ขึ้นก่อนขอรับ”

   “ไม่ตัองก็ได้กระมังจะติดยึดถือไปทำไมกันเล่า????....”

   “ไม่ได้ขอรับเป็นคำสั่งตกทอดมาขอรับ”

    โดยไม่ฟังความใดๆทั้งสิ้น  ทั้งสามต่างก็ก้มลงกราบชายหนุ่มทันที

ชายหนุ่มก็ตกตะลึงในการกระทำของบรรดาชายเหล่านี้ ด้วยความ

มึนงงสงสัย  ทันใดได้ยินเสียงหนึ่งในนั้นพลันเอ่ยอีกว่า

   “ขอความเมตตาคุณชายช่วยเมตตาถอดเสื้อใส่ออกหันหลังมา

ให้แก่พวกข้าพเจ้าตรวจสอบหน่อยขอรับคุณชาย”

   คงสนุกเหมือนกันเน๊อะชายหนุ่มนึกในใจ  แต่ก็ไม่ขัดพลางปลด

กระดุมเสื้อออก เผยร่างส่วนบนล้วนเป็นกล้ามมัดๆถึงแม้ว่าเขาจะไม่

เคยฝึกหัดการเล่นกล้ามมาก่อน เขาก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมร่างเขา

จึงเป็นเช่นนี้ ข้อนี้เพียงเก็บความสงสัยไว้ในใจเท่านั้น แม้แต่พี่ชายเขา

ที่ชอบฝึกการต่อสู้มาและการเพาะกายก็ยังมิอาจเทียบเขาได้เลย 

ดังนั้นเขามักจะแอบซ่อนใส่เสื้อตลอดเวลาไม่ให้พี่ชายเขาเห็นเลยสัก

ครั้งเดียว  แล้วเขาก็หันหลังไปให้ชายทั้งสามดูทันที  เสียงที่เขาได้ยิน

ดังลั่นมาจากชายสามคนถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นอากัปกิริยาใด  ก็นึก

คำนวณได้ว่าคงจะเกิดความตื่นหนกยิ่งนัก  จึงเอ่ยขึ้นว่า

   “เป็นอย่างไรล่ะท่านทั้งสาม  ข้าเป็นคนที่ท่านพึงประสงค์หรือไม่

ล่ะ???....ข้าจะใส่เสื้อได้หรือยัง”

   เสียงดังอย่างแสนจะดีใจกล่าวขึ้นว่าอีกนิดเดียวเท่านั้นแหละขอรับ

คุณชาย   ทันใดชายหนุ่มรู้สึกว่าเบื้องหลังเขาได้รับการวางอะไรบาง

อย่างลงบนผิวหนังเขา  ร่างกายเขารู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นทันทีเหมือนมี

อะไรบางอย่างพุ่งเข้าสู่ร่างกายส่งกระแสความร้อนเริ่มจะมากๆขึ้น

เรื่อยๆแทบจะทนไม่ได้ จนต้องร้องพรึ่มพรำออกมา  และแล้วก็รู้สึก

มีของอีกสิ่งหนึ่งวางลงยังเบื้องหลังเช่นครั้งแรกแปลกเขาคิดบัดนี้จุด

ที่ชายนั้นวางลงกลับส่งกระแสเย็นจากน้อยไปหามากค่อยแผ่ขยายขึ้น

เรื่อยๆและเข้าต้านทานกระแสความร้อนทันทีแล้วก็รวมตัวกันอย่าง

รวดเร็วทำให้ร่างกายเขาเกิดความเบาอบอุ่นอย่างแปลกประหลาดนัก

กระแสนั้นเย็นประดุจน้ำแข็งอันมากมายแผ่ขยายไปทั่วร่างเขาที่

กระแสความร้อนนั้นแผ่อยู่จนเขาแทบจะทนไม่ได้  เมื่อสายกระแส

นั้นบรรจบกันแล้วรวมตัวกันนั่นแหละเขาจึงค่อยๆรู้สึกสบายร่างกาย

ขึ้นอย่างบอกไม่ถูก  ชายหนุ่มจึงร้องถามชายทั้งสามทันทีว่า

   “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ??...ใช่คนที่พวกท่านค้นหาหรือไม่???...”

   เสียงเงียบไม่ดังขึ้นอีกจนเขาแปลกใจจึงรีบสวมเสื้อใส่ทันทีพร้อม

หันหน้ากลับเห็น  ร่างชายทั้งสามนั้นบัดนี้การแต่งกายแปรเปลี่ยนไป

หมดเป็นร่างกายที่สวมใส่ชุดเครื่องแบบทหารโบราณไป เขาเองก็ได้

ค้นคว้าเรื่องเหล่านี้มาเหมือนกัน แต่การแต่งกายของชายทั้งสามผิด

แผกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง   ด้วยหมวกสวมบนศีรษะทั้งสองด้านมี

ขนนกหลากสีหากนับไม่ต่ำกว่าเจ็ดสีเป็นอย่างน้อย อีกทั้งเครื่องแบบ

นั้นหรือ  ด้านหลังทั้งสองก็มีลักษณะคล้ายๆปีกนกสีขาวแซมสีต่างๆ

อันมากมาย ซ้ำยังส่งแสงประกายแววระยิบพรายไปทั่วร่าง

   ชายหนุ่มผงะร่างทันทีพร้อมรีบถอยหลังออกมาให้ห่างร่างทั้งสาม

นั้น   ที่ยังก้มหน้ากราบมายังเขาอยู่     หนึ่งในนั้นพลันเอ่ยขึ้นว่า

   “ขอเดชะข้าพุทธเจ้าทั้งสามขอถวายพระพรพระเจ้าข้า  ผลพิสูจน์

สำเร็จตามความปรารถนาสมกับที่พวกกระหม่อมและบริวารต่างรอ

คอยมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว  คงสมเจตนารมณ์ของท่านผู้เฒ่าที่รอ

คอยมาเนิ่นนานนักแล้ว   พวกข้าบาทจะต้องกลับไปจัดสร้างสิ่งต่างๆ

อีกเพื่อรอคอยพระองค์ต่อไป  สืบเนื่องจากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของ

พระองค์ที่จะต้องกระทำตามลิขิตฟ้าดินเองแล้ว  หากวันใดที่

พระองค์ต้องการจะให้พวกกระหม่อมช่วยเหลือเพียงเอ่ยชื่อไม่ว่าใคร

คนใดคนหนึ่ง  ซึ่งข้าพเจ้ามีนามว่าวิรุฬห์ ซ้ายมือข้าพเจ้ามีนามว่า

สุรสีย์ ด้านขวามือมีนามว่าอินทิราพระเจ้าข้า”................

                    แก้วประเสริฐ. 

( เรื่องนี้เป็นการผจญภัยเหนือแห่งกาลเวลา ที่ได้จินตนาการไว้ด้วยเห็นว่า อทิสมานกายใกล้อวสานแล้ว แล้วคุณ เอื้องอังกูรที่ข้าพเจ้าเคยเกริ่นๆให้ฟังไว้ในแนวการผจญภัย  จึงได้นำมาเกริ่นไว้ก่อนเป็น
ตัวอย่าง   หลังจากอทิสมานกายจบลงแล้ว ค่อยอ่านหาความสำราญ
ต่อนะครับ ขอบคุณผู้ที่คอยติดตามด้วยดีเสมอมา....แก้วประเสริฐ)

1139348gm3744qpip.gif600297y8krvnyajz.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ