15 กรกฎาคม 2554 01:58 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๗
อากาศเริ่มขมุกขมัวด้วยเวลาบ่ายมากแล้ว ทุกๆอย่างล้วนอยู่ใน
ความเงียบสงบ เสียงหรีดหริ่งเรไรเริ่มส่งเสียงร้องระงมดังในบาง
ช่วงเวลา ร่างเจ้าผันนั้นที่แสร้งนอนตายอยู่นั้นครั้นแน่ใจว่าพวกนั้น
ได้จากไปแล้ว ก็ผลักร่างศพที่นอนทับร่างไว้พร้อมลุกขึ้นนั่งบิดกาย
ไปๆมาๆ มันนึกย้อนเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้จิตใจมันเกิดการเกิด
ความท้อแท้ยิ่งนัก พวกมันล้วนแล้วตายทั้งสิ้นและบรรดาคนเหล่า
นั้นก็พากันเล็งปืนมายังมันแต่ ได้รับการห้ามไว้จากชายคนหนึ่ง
แล้วพวกนั้นถึงได้จากไปจนหมดสิ้นคงทิ้งมันไว้ หรือว่ามันรู้ว่ามัน
แสร้งทำเป็นตาย มันรู้ได้อย่างไรกัน เจ้าผันคิดเท่าไหร่ก็ไม่ออก
ทำให้มันนึกถึงคุณพระคุณเจ้า จึงเอื้อมมือไปที่องค์พระที่มันสวม
หัวอยู่ออกมายกมือขึ้นไหว้ทันที แล้วความสำนึกดีชั่วก็เกิดขึ้น
ตั้งแต่เป็นหนุ่มมาและคบหากับเจ้าแม้นมันหาได้ทำในสิ่งดีๆไม่
แต่มันรอดตายมาได้สองครั้ง ด้วยความคะนองได้มาทำงานกับกำนัน
ล้วนแล้วแต่สิ่งชั่วร้ายทั้งสิ้นมั่วเหล้าเมายาผู้หญิงที่อยู่ภายในบ้านและ
ที่อื่นๆอีก ยิ่งนึกคิดเท่าไหร่ความอนาถใจมันก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
การที่มันรอดตายอีกครั้งนี้ถือว่ามันคงจะไม่ถึงที่ตาย แต่ถ้ามีครั้งที่
สามเล่าเห็นว่าคงจะไม่รอด ก็ทำให้มันเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตขึ้นมา
ครั้งแรกตอนไปกับไอ้แม้นซึ่งบัดนี้นอนตายอยู่ข้างก้อนหินใหญ่
และพวกทั้งหลายที่ต่างตายกันไป ยกเว้นมันคนเดียวเท่านั้น มันนึก
ย้อนกลับครั้งร่วมกันเพื่อฉุดสาวบงกชกับไปเจอพวกผีจนมันเกือบ
ตาย แต่ก็ปางเจ็บจนแทบจะตายและจะพิการยิ่งคิดยิ่งเกิดความ
ท้อแท้ในใจมันขึ้น มันทำงานให้กับกำนันมั่นก็เพราะความสะดวก
ความสบายไม่ต้องเหน็จเหนื่อยใดๆ เพียงแต่ต้องเสี่ยงเป็นบางครั้ง
ด้วยวัยยังคะนองของมันเอง ครั้นหวนย้อนกลับมาอีกครั้งซึ่งการ
ก็ช่างคล้ายๆกันเพียงแต่ว่าเป็นร่างคน แต่ทำไมเล่าเมื่อยิงไปถูก
กลับไม่มีเลือดไหลออกมาจากพวกมันเลย ก็ให้นึกแปลกใจนัก
เห็นว่าครั้งนี้ไม่ดีแน่ จึงหาทางหลบหนีแต่ไม่ได้จึงต้องแสร้งตาย
มาครั้งนี้ก็เหมือนกันมันยิงบรรดาผู้ที่เข้ามาล้อมยิงพวกมัน แต่
มันยิงถูกแต่เพียงแค่ร่างผงะเท่านั้นกระสุนที่มันยิงถูกเป้าอย่างจังแต่
หาได้ทำอันตรายใดๆแก่พวกมันไม่ จะว่าเป็นผีหรือก็คงจะไม่ใช่แต่
มันไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะเป็นกลางวันแท้ๆและสามารถใช้
ปืนได้ดีแม่นยำเสียด้วย ยิ่งคิดยิ่งท้อแท้ต่อชีวิตมัน ความสำนึกผิดก็
เกิดขึ้นแก่มัน น้ำตามันไหลพรากเมื่อสำนึกได้ ดังนั้นมันก้มลงกราบ
พระแม่ธรณีพร้อมเปล่งเสียงคำสาบานออกมาด้วยเสียงดังให้สัตย์
สาบานขึ้นว่า หากมันรอดตายครั้งนี้จะขอบวชเพื่อล้างความชั่วมัน
เสียบ้างขอให้พระแม่ธรณีเจ้าป่าเจ้าเขาจงเป็นพยานด้วยเถิด หากมัน
รอดพ้นตายคราวนี้จะล้างมือต่อความชั่วทั้งหลายและก็จะขอบวช
เพื่อชดใช้หนี้กรรมบ้าง ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงเป็นพยานด้วยเถิด
กล่าวเสร็จมันก็ก้มลงกราบ พร้อมสาบานต่อพระที่มันสวมติดตัวมา
ด้วยแล้วมัน โดยนำจากที่สวมหัวมาตั้งไว้บนหินให้คำสัตย์สาบาน
เสร็จแล้วก็นำพระมาสวมหัวมันดังเดิม พร้อมเหลียวซ้ายแลขวา
ครั้นเห็นว่าเหลือแต่เพียงมันคนเดียวเท่านั้น แล้วบรรดาศพพวกมัน
ล่ะจะทำอย่างไร คงต้องปล่อยไว้แบบนี้ลำพังตัวคนเดียวยังแทบ
จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว จะไปสนใจใยดีทำไมคงปล่อยไปตามนั้น
แล้วก็ลุกขึ้นยืนแต่ร่างกายมันเปื้อนไปด้วยคราบเลือดที่แห้งกรัง ใน
คิดชั่วแวบหนึ่งมันคิดว่า
พวกที่มานั้นคงจะไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แต่มันคงยังไม่ถึงที่ตาย
กระมังจึงทำให้พวกนั้น จึงเว้นชีวิตมันไว้มีหรือพวกนั้นจะไม่รู้ว่า
มันแสร้งทำเป็นตาย แต่ในขณะที่แอบมองดูอยู่ก็ไม่แน่ใจหรืออาจจะ
รู้ก็ได้ พวกเหล่านี้เป็นใครกันยิ่งคิดก็ยิ่งมึนงงมาก เอาล่ะต่อ
ไปนี้ข้าสาบานไว้แล้วจะหาทางออกจากสถานที่นี้ลัดเลาะไปแต่ใน
สภาพเช่นนี้คงจะเป็นที่สงสัยแก่คนพบเห็น
ดังนั้นมันจึงเดินค้นหาเสื้อผ้าตามบรรดาศพที่นอนตาย เลือกเสื้อ
ผ้าที่ไม่มีรอยเปื้อนเลือดผลัดเปลี่ยน สถานที่นี้มันเคยมาย่อมรู้แหล่ง
ที่ไหนมีน้ำ จึงเดินย้อนไปด้านหลังข้างๆเขาเป็นลำธารเล็กๆที่ไหล
มาจากเขา แล้วก็เปลื้องผ้าออกชำระรอยเลือดที่ใบหน้าอาบน้ำชำระ
ร่างกายมัน ล้างคราบเลือดออกให้หมดเพื่อคนจะได้ไม่สงสัยมัน
โดยใช้ใบไม้มาถูกลบรอยให้หมด แล้วก็ขึ้นมาสวมเสื้อผ้าใหม่
พลางนึกว่าเราจะไปไหนดีล่ะที่จะไม่ผ่านบ้านกำนันมั่น และหาวัด
ที่จะขอบวชล้างสิ่งชั่วร้ายต่างๆที่กระทำ ทันใดความนึกคิดแว๊บหนึ่ง
ก็เข้ามา มันนึกถึงพ่อหวนพ่อของสาวบงกชได้ว่าได้ไปบวชยังวัด
โคกอีแร้งทิ้งทุกๆสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้เป็นเจ้าอาวาสและอุปปัชฌา
จารย์อีกด้วยซึ่งก่อนนั้นกำนันหวนหรือก็เคยคุ้นเคยกับมันหากมันจะ
ขอร้องท่านก็คงจะได้ หากไปวัดอื่นๆจะมีปัญหาเกิดขึ้นอีกอย่างแน่
นอน คิดได้ดังนี้จึงมองไปยังบริเวณเหล่านั้น แล้วก็ออกเดินทาง
พลางหักกิ่งไม้ขนาดเล็กๆมาถือไว้ เดินไปฟาดเป็นทางเดินเพื่อป้อง
กันงูและแมลงมีพิษทั้งหลาย แต่การกระทำของมันหาได้รอดพ้นจาก
สายตาของเจ้าเริ่มไม่ที่แอบแฝงดูการกระทำของมัน ก็นึกอนุโมทนา
ที่มันกล่าวคำสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็คิดจะเกื้อหนุนมัน
ครั้นเจ้าผันเดินทางมาถึงรถกะบะมองดูแล้วว่ามันเหลือเพียงแค่
ซากด้วยรถถูกเผาเสียไหม้เกรียมไปหมด แต่ช่างเถอะเราเดินไปก็ได้
พลางก้าวเดินไปตามทางเล็กๆที่มันผ่านมา พลางคิดไปต่างๆนาๆ
ระหว่างการเดินทางด้วยเท้าหากจะไปถึงวัดก็ใช้ระยะทางไกล
ด้วยและยังต้องผ่านบ้านกำนันมั่นซึ่งมันไม่อยากไปนักอาจจะเจอใคร
จึงลังเลใจว่าจะทำอย่างไรดี แต่การกระทำของมันนั้นอยู่ใน
สายตาเจ้าเริ่มไปไม่ หลังจากที่ให้บริวารกลับไปแล้วมันรู้ด้วยกระแส
จิตที่ฝึกฝนมา คิดใคร่ที่จะสร้างผลบุญในการบวชของเจ้าผันนี้ด้วย
ว่าเจ้าผันนี้จะคงพ้นจากบ่วงกรรมแน่ มันจะได้สร้างกุศลอนุเคราะห์
มันด้วย จึงเปิดทางคอยเฝ้าดูแลให้เจ้าผันเดินทางไปจนถึงถนน
ใหญ่ในขณะที่มันกำลังละล้าละลังจะทำประการใดดี
พลันก็มีรถคันหนึ่งเปิดไฟส่องมาด้วยเป็นเวลาค่ำมืดแล้ว คิดว่าจะ
ได้ขอโดยสารรถไป หากไปในเมืองก็จะดี ดังนั้นมันจึงได้เดิน
ออกมาโบกรถ รถคันนั้นก็เข้ามาจอดใกล้ๆมันมันรีบไปที่คนขับ
พลางเอ่ยถามว่าจะไปที่ไหน??? แต่มันหารู้ไม่ว่าคนที่ขับรถมานั้น
ก็คือเจ้าเริ่มนั่นเอง มันยังไม่ทันร้องถามเสียงคนขับก็เปิดหน้าต่าง
พร้อมตะโกนร้องบอกมันทันที
“จะยืนหาห่าอะไรล่ะ มาๆขึ้นรถมาเลยข้าจะไปส่งให้เอง”
เล่นเอาเจ้าผันงุนงงหนักขึ้น เอ๊ะมันรู้ได้อย่างไรหวาว่าเราจะไปไหน
เสียงร้องก็ตะโกนมาอีกว่า
“เฮ้ยๆๆๆเร็วๆ เดี๋ยวไม่ทันการว๊ะ ไม่ต้องกลัวข้าหรอกข้าจะไป
ส่งมึงที่วัดให้นะไอ้ผัน”
“แล้วรู้อย่างไรว่าข้าจะไปไหนล่ะ??..แล้วรู้ชื่อข้าได้อย่างไร”
“เออๆๆๆๆ....ข้ารู้ก็แล้วกัน หรือว่ามึงจะเดินไปเอง ก็ตามใจมึง”
“ขอบใจมากว๊ะ ข้าไม่ถามอะไรอีกแล้วล่ะ เพียงสงสัยเท่านั้น”
“มึงไม่ต้องสงสัยอะไรหรอก รีบขึ้นรถมาเถอะรับรองว่ามึง
ปลอดภัยแน่นอน”
คราวนี้ไอ้ผันไม่ถามอะไรอีกแล้ว พลางเปิดประตูรถนั่งคู่ไปกับ
คนขับทันที รถก็เคลื่อนออกไปทันทีแต่เป็นทางไปทางบ้านกำนัน
มั่น ครั้นเหลือบมองไปภายในบ้าน เห็นบรรดาสาวๆกำลังนั่งกิน
เหล้ากันอยู่ เสมือนจะรอพวกมันอยู่ มันนึกว่ามึงจะไม่ได้พบพวก
ไอ้แม้นอีกแล้ว แล้วรถก็วิ่งเลยไปมันไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น จนรถ
แล่นผ่านถึงอาณาเขตของหมู่บ้านโคกอีแร้ง แล้วเลี้ยวซ้ายมือเข้าไป
ยังวัด แต่รถจอดหน้าวัดคนขับหันมาพูดว่า
“เออถึงวัดแล้วว๊ะ กูส่งมึงแค่นี้นะโน่นกุฏีหลวงพ่ออยู่ที่โน่นมึง
เข้าไปหาท่านแล้วเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่าเสือกปิดบังเสียล่ะ”
“แล้วมึงชื่ออะไรหรือว๊ะ ต่อไปข้าจะได้จดจำผู้มีคุณแก่ข้าไว้บ้าง”
“เออๆๆๆ...ไม่ต้องถามหรอก เอาล่ะกูไปแล้วนะโว้ย”
แล้วรถคันนั้นก็แล่นต่อไปหายไปในความมืดทันที ไอ้ผันก็ยกมือ
ขึ้นไหว้ไปที่โบสถ์ที่มันเห็น พอก้าวเข้าสู่ในบริเวณวัดก็ต้องชะงัก
ทันที เมื่อได้ยินเสียงตวาดดังลั่น แต่มันมองซ้ายมองขวาไม่แลเห็น
มีใคร สักพักหนึ่งจึงค่อยเห็นเงาลางๆของเด็กหนุ่มแต่แปลกมันคิด
โตป่านนี้แล้วยังไว้จุกอีก และบรรดาเด็กทั้งหลายที่ต่างวิ่งกันมายืน
อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มนั้นทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย ทุกร่างต่างมองมา
ทางมันทั้งสิ้น เหมือนคอยคำสั่งเด็กผมจุกที่เป็นหนุ่มนั้นอยู่
“มึงเข้ามาทำไมว๊ะในวัดนี้ จะเข้ามาขโมยของหรือไง”
“เปล่าหรอก???...ข้ามาเพื่อจะขอพบหลวงพ่อหน่อยเพื่อขอความ
เมตตาจากท่าน แล้วเอ็งล่ะเป็นใครหรือ???...”
ใบหน้าที่ทมึงบึ้งตึงของเด็กหนุ่มค่อยคลายความเครียดลง เอ่ยขึ้นว่า
“อ้อๆ....ข้าดูแลวัดนี้แหละว๊ะเมื่อมาดีก็ไม่เป็นไร หลวงพ่อท่าน
กำลังนั่งสมาธิอยู่”
“แล้วข้าจะมารบกวนหลวงพ่อหรือเปล่าล่ะ เอ็งช่วยนำทางข้าไป
ด้วยเพื่อข้าจะได้นั่งคอยหลวงพ่อจนกว่าจะออกจากสมาธิ”
ฉับพลันไอ้ผันก็เห็นร่างเด็กหนุ่มสะดุ้งแล้วหันมาพูดกับไอ้ผันว่า
“หลวงพ่อท่านบอกว่าให้เอ็งเข้าไปหาได้แล้ว โน่นๆๆกุฎีโน้น
แหละเอ็งไปคนเดียวก็แล้วกัน พวกข้าจะไม่ส่งแล้วล่ะ”
ไอ้ผันหันไปมองตามที่เด็กหนุ่มชี้บอก แล้วกล่าวกับเด็กหนุ่มว่า
“เออๆๆขอบใจมากแล้วเอ็งชื่ออะไรว๊ะ ต่อไปข้าก็จะมาอยู่ที่นี่ด้วย
จะได้เรียกชื่อเอ็งถูกนะ”
“ไหนเอ็งพูดใหม่ซิ จริงหรือว่าจะมาอยู่ในวัดนี้นะ”
“จริงโว้ยไอ้หนุ่ม ข้ามานี้ก็เพื่อจะมาขอหลวงพ่อช่วยข้าบวชอยู่ที่นี่
ไม่ไปไหนอีกแล้วล่ะ จะมาบวชเรียนกับหลวงพ่อนี่แหละ เอ็งยังไม่
ได้ตอบเลยว่า เอ็งนั้นชื่อเสียงเรียงนามอะไร หากเจอกันจะเรียกถูก”
“ข้าชื่อจุกเป็นหัวหน้าพวกเด็กๆนี้แหละ ต่อไปเอ็งก็จะรู้หรอกว่า
ข้าเป็นใคร ไปๆเถอะหลวงพ่อคอยอยู่นะ”
“เออขอบใจมากว๊ะจุก คงจะได้เจอกันอีกเพราะข้าจะมาบวชที่นี่
นะ และจะไม่สึกอีกแล้วล่ะ”
“อ้าวๆๆๆจริงๆหรือว่าจะมาบวชที่นี่แล้วไม่สึกไปเหมือนพวกอื่นๆ
มักจะบวชเป็นครั้งเป็นคราวแล้วก็ไป”
“จริงๆว๊ะจุก ข้าตั้งใจแน่วแน่แล้วล่ะ อย่างนั้นคงได้เจออีก ข้าชื่อ
ผันนะ ต่อไปก็คงจะเป็นพระที่นี่แหละ”
“ถ้าอย่างนั้นสิ่งใดพวกข้าล่วงเกินก็ขออภัยให้พวกข้าด้วยนะพี่ผัน
ซึ่งข้ามีหน้าที่เฝ้าวัดอยู่ไม่ได้ไปไหนหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอกข้าอภัยให้ทุกอย่าง ข้าจะปฏิบัติธรรมที่นี่ด้วยได้
ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อหวนมาก่อนแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขออนุโมทนาด้วยนะ ได้ธรรมอะไรก็ช่วยบอกข้า
ด้วยนะพี่ผัน ไปเถอะพี่ด้วยหลวงพ่อจะคอยนาน เมื่อกี้นี้ท่านสั่งข้า
มาว่าให้ปล่อยให้พี่เข้าไปได้แล้วล่ะ อย่าให้ท่านจะคอยนานนะ”
คราวนี้ไอ้ผันงงมันรู้ได้อย่างไรว่าหลวงพ่อสั่งมัน มันยังไงชอบกล
จริงๆ แต่ช่างเถอะเราตัดสินใจแล้วนี่นา ก็หันไปบอกว่า
“ถ้างั้นพี่ไปก่อนนะจุก แล้วค่อยเจอกันนะ”
“จ๊ะพี่ผัน แล้วอย่าลืมจุกกับพวกเสียล่ะ ไปๆๆโว้ยพวกเราไปเล่น
กันต่อเถอะต่อไปพี่ผันก็จะต้องมาอยู่ร่วมกับพวกเราแล้วล่ะ”
กล่าวจบร่างเจ้าจุกและพวกๆก็วิ่งไปภายในบริเวณวัดแต่ไอ้ผันมอง
ตามไปก็สะดุ้งทั้งตัว พลางขยี้นัยน์ตามันไป ด้วยมันมองเห็นเพราะ
ร่างนั้นช่างรวดเร็วและค่อยๆจางๆหายไป ในบริเวณปราศจากเด็กๆ
เอาเสียเลย คงเป็นบริเวณว่างเปล่าเท่านั้น ไอ้ผันเบิ่งตาโตใช่แล้วมัน
คิดว่าไอ้พวกเด็กพวกนี้คงไม่ใช่คนแน่นอน ขามันเริ่มสั่นขึ้นทันที
เท่านั้นเองเจ้าผันก็รู้ทันทีว่าอะไรคืออะไร ดังนั้นมันจึงรีบวิ่งพลาง
เดินทางขึ้นไปยังกุฎีหลวงพ่อทันที ครั้นมันเข้าไปถึงหน้ากุฎีมอง
เข้าไปในห้องภายใน นั้นปราศจากสิ่งใดๆทั้งสิ้น นอกจากพระบูชา
ร่างหลวงพ่อหวนนั่งเอนกายคอยมันอยู่แล้ว ไอ้ผันก็ก้มลงกราบ
ทันทีมันเอ่ยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลวงพ่อฟัง แล้วขอให้หลวงพ่อ
ช่วยบวชให้แก่มันด้วย มันจะเลิกวางมือชั่วร้ายทุกๆอย่างแล้ว
หลวงพ่อหวนครั้นได้ฟังดังนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
“คิดถูกต้องแล้วโยม ก่อนอาตมาก็เหมือนเอ็งแหละ กว่าจะกลับใจ
ได้ก็เกือบตายเหมือนกันแหละ จึงได้มาบวชกับหลวงพ่อทอง หมั่น
ศึกษาเล่าเรียนธรรม หากเอ็งตั้งใจบวชก็ให้บวชทั้งกายและใจนะ ให้
ตั้งใจบวชปฏิบัติธรรมให้เคร่งครัดให้วางตัวลืมอดีตเก่าๆเสียให้หมด
เพื่อจะได้พ้นจากเวรกรรมบ้างนะ”
“ขอรับหลวงพ่อผมตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า จะขอบวชจนตายครับ
หลวงพ่อและจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับทางโลกอีกต่อไปขอรับ”
“เอาล่ะข้าจะบวชให้ส่วนเรื่องการบวชนี้ เอ็งมีเมีย พ่อแม่หรือเปล่า
ล่ะ หากมีก็ต้องไปขออนุญาติก่อนนะถึงจะบวชได้มิฉะนั้นข้าก็บวช
ให้ไม่ได้หรอกผันเอ๋ย”
“กระผมยังไม่มีเมียครับหลวงพ่อตัวคนเดียว พ่อแม่ตายไปนาน
แล้วเติบโตก็ที่บ้านกำนันมั่นนั่นแหละ”
“ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่เป็นปัญหาหรอกข้าจะบวชให้ ขอให้ยึดมั่นถือ
มั่นอย่าได้ทนงตัว หากข้าจะสอนวิชาต่างๆให้นะ”
“ขอรับหลวงพ่อกระผมขอให้สัตย์สัญญาครับหลวงพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็ไปนอนหน้าห้องข้านี้แหละว๊ะไว้หัดท่องขาน
นาคให้คล่องเสียก่อนนะ แต่คิดว่าคงไม่นานหรอกว๊ะ”
“ขอรับหลวงพ่อผมจะยึดมั่นเชื่อฟังหลวงพ่อทุกๆอย่างขอรับ”
หลังจากนั้นไม่นานไอ้ผันก็ได้บวชเป็นภิกษุสงฆ์คอยปรนนิบัติ
หลวงพ่อหวน มันพบว่าเป็นทางที่ประเสริฐจริงๆจิตใจที่เคยรุ่มร้อน
ก็ปลอดโปร่งยิ่งด้วยการเจริญสมาธิ จนเวลาผ่านไปนานมันก็ร่ำเรียน
พระธรรมได้อย่างคล่องแคล่วมากมายกลายเป็นภิกษุที่เคร่งครัดใน
ธรรมวินัยยากจะหาตัวจับได้ยาก จึงเป็นที่ไว้วางใจของหลวงพ่อนัก
หลังจากเจ้าเริ่มปฏิบัติหน้าที่เสร็จก็กลับมารายงานอาจารย์เปล่ง
พร้อมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง เปล่งซึ่งบัดนี้ได้เป็นหัวหน้าหน่วย
ฝ่ายปฏิบัติงานด้านหนึ่งนั้น ก็ให้เรียกประชุมบรรดาหัวหน้าทั้งหมด
มาเข้าประชุมทันที โดยใช้ให้เด็กไปบอกพวกทั้งหลายให้รีบมา
ประชุมกันโดยด่วน เมื่อเหล่าบรรดาหัวหน้างานตลอดจนพรรคพวก
ของชวนมาครบแล้ว เปล่งก็เอ่ยขึ้นว่า
“บัดนี้เหตุการณ์ทางกรุงเทพฯเกิดการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงขนาน
ใหญ่และได้รับคำสั่งจากนายมาว่า บรรดายาเสพย์ติดทั้งหลายที่ถูก
แยกย้ายกันไปซุกซ่อนไว้ในถ่ำตามเขาต่างๆทั่วจังหวัดนั้น ได้ถูกแบ่ง
ออกเป็นสี่แห่ง และมีคำสั่งจากนายแจ้งมาว่าให้รีบจัดการทำลายเสีย
ให้หมดสิ้นก่อนที่มันจะมาขนย้ายไป ทำให้ยากแก่การทำลายล้าง
ดังนั้นข้าเองได้จัดวางแผนและทำแผนที่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ขอให้หัวหน้าจัดหน่วยกำลังแยกออกเป็นสี่ทาง ซึ่งหัวหน้าลูกน้อง
ของไอ้เสี่ยเม้งที่ให้พวกมันนำไปซุกซ่อน ก่อนที่ทางคนของเสี่ยเม้ง
มันจะมานำของไป ซึ่งมันวางแผนไว้ตามที่หัวหน้าฝ่ายลับได้
รายงานมาจากในเมืองแล้ว ดังนั้นข้าจึงได้จัดทำแผนที่ซึ่งนายได้
บอกไว้แล้วอยู่ที่ไหนบ้าง มีกำลังคนคุมอยู่เท่าไหร่ จึงให้รีบจัดการ
เสียให้สิ้นซากภายในวันสองวันนี้ หน่วยที่หนึ่งไปยังภูเขาทางด้าน
เหนือซึ่งมีบรรดาพวกเราคอยดูแลอยู่แล้ว ให้ตี๋ใหญ่พร้อมกับตี๋เล็ก
ควบคุมคนไปประมาณ ห้าสิบคนแต่ละหน่วยจะมีคนเพียงแค่ห้าสิบ
คนเท่านั้น หน่วยล่ะเท่าๆกันต้องรีบดำเนินการโดยเร็วอย่าให้มีการ
ผิดพลาดได้ ทำลายยาเสพย์ติดให้สิ้นซากภายในถ่ำนั้นแหละ
โดยด้านนี้ให้ตี๋ใหญ่เป็นหัวหน้านำกำลังไปจัดการ ทางด้านทิศ
ตะวันตกนั้นให้เจ้าพ่วงเป็นหัวหน้าไปกับเจ้าชื่นคุมกำลังไปทำลาย
ทางด้านทิศใต้นั้นให้เจ้าเริ่มเป็นหัวหน้าไปกับเจ้ากุ๋น ส่วนด้านทิศ
ตะวันออกนั้นให้เจ้าฉายซึ่งเป็นหัวหน้าหุ่นนั้นเป็นหัวหน้าพร้อมด้วย
เจ้าวาสคุมกำลังไปอีกทางหนึ่งโดยด่วน ให้เจ้าฉายนำทางไปนะ
ครั้นเวลาเที่ยงคืนตรงก็ให้เข้าโจมตีกำลังของฝ่ายดูแลของนั้น
พร้อมๆกัน ดังนั้นให้ทุกๆคนอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ส่วน
คนที่จะเข้าไปทำลายนั้นให้เด็กๆแฝงตัวเข้าไปเพราะเด็กพวกนี้จะ
ชำนาญทางอยู่แล้ว เพียงให้คอยคุมเชิงไว้เท่านั้นหากมีการต่อสู้กัน
ขึ้น แล้วปล่อยไว้ให้เหลือเพียงคนเดียวเพื่อจะได้กลับไปรายงานให้
หัวหน้าที่ควบคุมบรรดายาเสพย์ติดทราบเท่านั้นพอ”
“ใครจะมีปัญหาใดๆให้รีบบอกมาให้ดำเนินการในวันมะรืนนี้”
ตี๋ใหญ่พร้อมกับตี๋เล็กก็กล่าวขึ้นว่า
“หากไปตามที่บอกไว้เนื่องจากภูมิประเทศด้านนั้นเรายังไม่ชำนาญ
จะไปทำการทันตามเวลาหรือ”
“เรื่องการเดินทางนั้นไม่ต้องห่วง ด้วยบรรดาเด็กๆที่ติดตามไปนั้น
ทุกๆคนนั้นล้วนรู้กันหมดแล้ว จะบอกให้เอ็งทราบไว้ทุกๆคนด้วยว่า
บรรดาเด็กๆนั้นไม่ใช่คนหรอก เป็นหุ่นที่นายสร้างขึ้นมาแต่ได้รับ
การเล่าเรียนวิทยาคมมา พูดง่ายๆคือผีหุ่นนั่นเองแต่พวกเอ็งไม่ต้อง
กลัวหรอก ถ้าหากเด็กๆนั้นจะทำอาการอย่างไรก็ไม่ต้องตกใจกลัว
เพราะเขาเหล่านั้นจะรับฟังคำสั่งเอ็งเท่านั้นแหละ”
เมื่อเจ้าเปล่งกล่าวจบทำให้บรรดาพรรคพวกเจ้าเปล่งต่างหน้าตา
เหลิกหลักกันไปตามๆกัน พลางนึกว่าที่ก่อนนั้นมันก็อยู่กับพวกผี
ทั้งนั้นนี่หว่า คล้ายๆเจ้าเปล่งจะอ่านจิตใจพวกมันออกยกเว้นเจ้าวาส
คนเดียวเท่านั้นที่เฉยเมยเสียด้วยรู้แล้วแต่แรก แถมยังมีแฟนเป็น
นางไม้อีกด้วย งานครั้งนี้นางมณฑาแฟนมันคงจะต้องตามไป
แน่นอน เพราะอย่างไรหล่อนคงจะไม่ต้องการให้มันต้องมีอันตราย
มันจึงอมยิ้ม ด้วยเห็นเพื่อนๆมัน และบรรดาหัวหน้าฝึกและสายลับ
ต่างพากันตกใจตาเหลือกหน้าตาเหลิกหลั่กไปตามๆกัน
“ใช่แล้วที่เองฉลองในวันประชุมคราวที่แล้วก็ได้แก่พวกผีสาง
นางไม้ทั้งสิ้นแหละ ตอนนั้นไม่เห็นเอ็งกลัวกลับหยอกเย้าแล้วจะไป
กลัวอะไรอีกเล่า”
เจ้าเปล่งเอ่ยแล้วก็หัวร่อลั่น ส่วนบรรดาหัวหน้าหน่วยฝึกและ
หน่วยลับตลอดเพื่อนมันต่างตลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน...........
แก้วประเสริฐ.
8 กรกฎาคม 2554 17:01 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๖
ฟ้าเริ่มสางลางๆระหว่างที่ทุกๆคนต่างหาความสนุกสนานกัน
นั้นหารู้ไม่ว่า บรรดาหญิงสาวทั้งหลายนั้นหาใช่มนุษย์ไม่ คงมี
เพียงเจ้าวาสคนเดียวเท่านั้นในบรรดาพรรคพวก ส่วนบรรดา
หัวหน้าอื่นๆนั้นหารู้ไม่ บรรดาหญิงสาวทั้งหลายนี้หาใช่คนไม่
ฉับพลันร่างเจ้าเปล่งก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งเรียก
บรรดาคนทั้งหมดมาพร้อมทั้งอธิบายแแผนการณ์ขึ้นทันที
ดังนั้นโต๊ะยาวจึงเต็มไปด้วยบรรดาหัวหน้าต่างๆ ส่วนหญิงสาว
ทั้งหลายก็หลีกหลบหายไปหมด เจ้าเปล่งพลันเอ่ยขึ้นว่า
“พรุ่งนี้กำนันมั่นมันให้ลูกชายมันไปเอาของที่แอบซ่อนไว้ใน
การขนย้ายคราวที่เจ้าพ่วงไปเอามาและทำลายไปแล้ว จึงมีแอบ
อยู่ ข้าดูดวงชะตาแล้วว่าคราวนี้บรรดาสมุนทั้งหลายของกำนัน
คงจะถึงที่เสียแล้วด้วยกรรมมันมาถึงแล้ว จึงอยากให้พวกเราไป
จัดการให้เสร็จสิ้นไป ในระหว่างการขนย้ายมายังบ้านมันนะ”
“แล้วจะให้ใครไปล่ะ???...”
ไอ้ชื่นถามด้วยความสงสัย
“แล้วของที่ว่าไว้นั้นอยู่ไกลไหมเปล่ง”
ไอ้กุ๋น ไอ้ตี๋เล็ก ไอ้ตี๋ใหญ่”
ถามขึ้นบ้างคงมีแต่เพียงไอ้วาสคนเดียวที่นิ่งฟังเฉยๆ ด้วยมันรู้มาจาก
พรายสาวแล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ด้วยนางพรายนี้เป็นหัวหน้าของ
บรรดานางพรายทั้งหลายทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของเจ้าเปล่งอาจารย์
อีกด้วยได้รับการอบรมสั่งสอนวิชาการมากมายด้วยนางนั้นมี
สติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าบรรดาภูติผีอื่นๆทั้งหมด ดังนั้นเพียงแค่
ใช้เวลาไม่นานหล่อนก็ได้ฌานและสามารถรอบรู้เหตุการณ์อะไรๆ
ได้ดี ในเมื่อหล่อนเกิดรักเจ้าวาสซึ่งเป็นคนที่ไม่มักมากในกามคุณจึง
ได้บอกเรื่องนี้ที่หล่อนเห็นมาให้ทราบ
เจ้าวาสครั้นได้ฟังเปล่งกล่าวจึงเฉยๆ แต่เพื่อไม่ให้เปล่งสงสัยใน
การที่มันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว จึงแสร้งเอ่ยขึ้นบ้างว่า
“ถ้าเป็นเช่นนั้นทางเราควรให้เจ้าสนและเพื่อนๆมันที่มาเป็นพวก
เรานั้นไปดำเนินการมิดีหรือ???....”
“อืมมๆๆๆ...ข้าก็คิดเหมือนเอ็งแหละโว้ยวาส ด้วยข้าสังหรณ์ใจจึง
เมื่อคืนวานนี้ได้ให้เจ้าสนและพวกไปดูทางบ้านกำนันมาแล้วล่ะ มัน
ได้มารายงานหมดแล้ว ข้าเห็นว่าหากเรากำจัดทางเจ้ากำนันมั่นลงได้
ก็ทำให้ทางด้านนี้ก็จะทุเลาด้านเสพย์ติดลงไปมากทีเดียว ด้วยบรรดา
กำนันที่ตั้งขึ้นใหม่ ก็เห็นมีเจ้าช้วนที่มันได้เป็นกำนันคนเดียวเท่านั้น
ที่มันเก่งกล้าที่สุดพวกมากที่สุด แต่ว่ามันเป็นคนฉลาดคงจะไม่กล้า
ทำอะไรหรอก หากเราได้ไอ้ช้วนแห่งบ้านโคกยายหอยมาเป็นพวก
ก็คงจะดี จะได้ให้มันไปคอยดูแลริมโขงด้านโน้นไว้มันเป็นคนที่มี
น้ำใจ ลองรักใครรักจริงด้วยอีกเพียงแต่ว่า จะมีใครล่ะไปเกลี้ยกล่อม
มันเท่านั้นแหละ”
เจ้าเปล่งหรืออาจารย์เปล่งเอ่ยเปรยๆขึ้น
“ข้าเองแหละจะลองไปเจรจามันดูเพราะว่าเคยคบหากันมาจะไป
กับแม่มณฑาสองคนก็คงจะพอล่ะ จะให้แม่มณฑทาไปเกลี้ยกล่อม
เมียไอ้ช้วนมันอีกทาง อีกอย่างหนึ่งไอ้ช้วนมันเป็นคนรักชาติ
บ้านเมืองมากคนหนึ่งคงไม่ยากหรอกว๊ะเปล่ง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะนางมณฑามันศิษย์ข้ามัน
เฉลียวฉลาดอยู่แล้วและสามารถไปได้ทั้งกลางวันกลางคืนได้อีกด้วย
เอาเป็นตกลงตามนี้นะวาส ส่วนด้านอื่นๆอีกและใครล่ะจะอาสาไป”
“พวกของข้าเองแหละว๊ะเปล่ง”
พวกไอ้วาสต่างขันอาสาทันที ไอ้เปล่งหัวร่อก๊ากพร้อมเอ่ยขึ้นเพื่อ
ไม่ให้พวกมันเสียกำลังใจ
“พวกเอ็งทั้งหมดไปช่วยพวกหัวหน้าฝึกและหัวหน้าฝ่ายลับ
เถอะว๊ะ เพราะต้องขนอาวุธต่างๆมาหากใช้ชาวบ้านก็จะเป็นที่สงสัย
กันว๊ะ เพียงให้หัวหน้าที่คุมอาวุธอยู่นั้นส่งมอบให้พวกเอ็งแล้วเอ็งก็
นำมาส่งทางนี้เท่านั้น เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ ข้าเองก็ได้ปรึกษากับ
พี่ชวนไว้แล้ว เขาถึงได้กลับไปบ้านคนเดียว”
“อย่างนั้นก็ได้ขอให้พวกข้ามีส่วนร่วมบ้างก็แล้วกัน”
ไอ้ตี๋ใหญ่เอ่ยแทนพวกทั้งหมด ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงหันไปทางเจ้าเริ่ม
พร้อมสั่งทันที
“เริ่มเอ๋ยให้เอ็งนำกำลังไปประมาณ ยี่สิบคนก็พอแล้วแบ่งออกเป็น
สามพวก พวกหนึ่งคอยสะกัดพวกมันและฆ่าเสียให้หมดหรือจะ
เหลือไว้ก็ตามใจเอ็งนะ อีกส่วนหนึ่งเข้าไปทำลายของในถ่ำนั้นนะ
พวกหนึ่งทำหน้าที่คอยล่อหลอกมันให้ออกมาก่อน
งานนี้ให้ไอ้สน ไอ้โจ๊กและไอ้ดำนำทางไปก็แล้วกัน ส่วนการลง
มือนั้นเมื่อล่อมันออกมาแล้วก็จัดการเสียให้สิ้น แต่คงจะมีคนเฝ้าของ
อยู่ก็ให้ฝ่ายทำลายของนั้นจัดการ อย่าให้มีใครรอดกลับมาได้
แม้แต่สักคนเดียวนะ หรือจะเหลือไว้ก็ตามใจเอ็ง
เพราะว่าพรุ่งนี้มันจะออกเดินทางกันแล้วเพื่อไปนำของมาเก็บไว้
ส่วนไอ้กำนันมั่นมันจะเข้าเมืองไปหาไอ้เสี่ยนั่นปล่อยให้ลูกชาย
มันไปจัดการงานนี้เอง แต่ข้าเดาไม่ผิดเห็นทีว่ากำนันมันก็อาจจะถึง
ที่ตายด้วยล่ะ”
“อ้าวไหนๆเป็นอย่างนั้นล่ะเปล่ง”
“ก็เพราะไอ้เสี่ยในกรุงเทพฯมันไม่เหมือนไอ้เสี่ยแม้งหรอก มันคง
จะให้ลูกน้อยมันตามมาเก็บหลังจากเดินทางกลับนะ ตามที่ข้าดูดวง
ไว้ หากสิ้นกำนันมั่นคงจะทำให้พวกกำนันทั้งหลายขยาดกันไม่กล้า
ไปตามๆกัน หรืออาจจะมีการยิงกันเองระหว่างพวกไอ้เม้งกับไอ้เสี่ย
ทางกรุงเทพฯอีกด้วย ในไม่ช้านี้แหละว๊ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นตกลงตามแผนของมึงว๊ะเปล่ง แล้วจะเริ่มทำงาน
กันเมื่อไหร่ล่ะว๊ะ พวกเราไม่ได้นอนกันเลยนะโว้ยเปล่ง”
“ก็พวกมึงก็นอนเสียที่นี่นะซิว๊ะ ส่วนเจ้าพ่วงกับเจ้าเริ่มมันจะออก
ไปรอที่เกิดเหตุพร้อมด้วยไอ้สนกับไอ้ดำไอ้โจ๊กก่อน ทางโน้นมึงไม่
ต้องไปทำงาน ส่วนมึงจะทำงานก็ไปเพียงแค่ขนอาวุธก็ตกราวเย็นๆ
ค่ำๆนั่นแหละว๊ะ เพราะตอนกลางวันหัวหน้าฝึกจะกลับไปเริ่ม
ดำเนินการรอพวกมึงไว้ ส่วนรถนะไม่ต้องห่วงนายเขาจะการส่งมา
ให้อีกหลายๆคันไว้แล้วด้วยล่ะ ป่านนี้คงจะมาเรียบร้อยแล้วโว้ย”
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าก็ไปพักผ่อนได้แล้วซิว๊ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็กลับไปเตรียมงานไว้ก่อนนะ”
พวกเจ้าวาสเอ่ยและหัวหน้าฝึกด้วย
“เดี๋ยวข้าจะให้เด็กนำทางไปส่งนะไม่ต้องห่วงไปพักผ่อนที่บ้าน
ก่อนก็ได้เพราะกว่าพวกไปรับของไปถึงก็คงตกราวเย็นๆใกล้มืด
แหละนะ อ้อๆๆๆเรื่องนี้อย่าให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านตลอดชาวบ้าน
รู้เลยนะว่าเราจะมีการขนอาวุธกันเป็นอันขาด นายสั่งเอาไว้ด้วย”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกเปล่ง เพราะเราเคยทำงานกันมาแล้วเมื่อ
คราวไปปราบไม้เถื่อนนั้น ผ่านสงครามมาแล้วกันทั้งหมดแล้วล่ะ”
“แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ จะได้ให้เด็กไปส่งให้นะ”
“เห็นว่าเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็จะขอไปเลยดีกว่าจะได้ไปพักผ่อน
เตรียมตัวไว้ด้วย อีกอย่างหนึ่งบรรดาเด็กๆจะได้ไม่ห่วงด้วย”
ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงหันไปเรียกพวกมาสามสี่คนเพื่อจะนำทางให้
เหล่าหัวหน้าฝึกกลับออกไป เพราะมิฉะนั้นอาจจะหลงทางก็ได้
ครั้นเวลาสายๆพระอาทิตย์ส่งแสงกระจายไปทั่วบริเวณต่างๆทำให้
บรรดาหมอกต่างๆหายลับไปหมด การทำงานของชาวบ้านใน
หมู่บ้านซึ่งออกไปทำงานตามไร่นาแล้ว ภายในบ้านกำนันมั่น
ไอ้แม้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ลงมายังข้างล่าง ส่วนกำนัน
มั่นนั้นได้ออกเดินทางเข้าเมืองไปก่อนแล้ว เพราะต้องไปหาไอ้
เสียเม้งเพื่อรายงานผลต่างๆพร้อมหนังสือยืนยัน
ดังนั้นภายในบ้านกำนันจึงเหลือคนไม่กี่คนส่วนบรรดาสาวๆต่างก็
พากันกลับมาหลังจากไปพักที่บ้าน ต่างทะยอยกันเข้ามายังบ้านกำนัน
ด้วยไม่ได้ทำงานในไร่ด้วยสิ่งต่างๆได้เป็นของกำนันมั่นเรียบร้อยไป
แล้ว จึงทำให้บรรดาสาวที่ตกเป็นนางบำเรอของกำนันและคนที่
หล่อนชอบใจ เพื่อมาหาอาหารกินกันต่างแลเห็นบรรดาลูกชาย
กำนันได้เตรียมกำลังพล มีไอ้เจี๊ยบ ไอ้แช่มซึ่งหายดีแล้ว ไอ้หาญและ
ไอ้ผัน กำลังเตรียมตัวกันนำอาวุธต่างๆมาใส่ในรถกะบะ และยังมี
ชาญฉกรรจน์อีกสี่ห้าคนที่ไอ้แม้นให้ไอ้หาญไปติดต่อนำมาด้วย
สักครู่หนึ่งไอ้แม้นก็ก้าวลงมาจากบันไดบ้าน มันหันไปทาง
บรรดาสาวๆพลางกล่าวขึ้นว่า
“เฮ้ยพวกสาวๆโว้ยมึงคอยดูแลบ้านด้วยนะโว้ยพวกข้าจะไปทำธุระ
คิดว่าคงไม่นานหรอกตกเย็นๆคงจะกลับมาแล้วล่ะ อ้อให้พวกเอ็ง
จัดการเตรียมอาหารเหล้ายาไว้ด้วยนะจะได้มาร่วมกันกินกัน”
“พ่อแม้นไม่ต้องห่วงหรอก เออแล้วของหมดจะทำอย่างไรล่ะ”
“อ้าวๆๆๆ....มึงก็ไปซื้อในตลาดมาซิว๊ะทำโง่ไปได้”
“ซื้อนะซื้อได้หรอก แต่พวกข้าไม่มีเงินซื้อนี่นา”
“งั้นมึงมาเอาไปซื้อก็แล้วกันว๊ะ คอยเดี๋ยวนะ”
ไอ้แม้นก็ก้าวขึ้นบันไดเข้าไปในบ้านสักครู่หนึ่งก็เดินออกมาพร้อม
ยื่นเงินก้อนหนึ่งให้แก่นางสร้อยไว้ แล้วกล่าวว่า
“อีสร้อย มึงกับอีลัดดา อีชบา ไปสามคนก็พออ้อๆๆซื้อเหล้ามาเผื่อ
ไว้ด้วยนะ สักลังสองลังพร้อมโซดาด้วยนะ เอารถกะบะอีกคันหนึ่ง
ขับไปซื้อของก็แล้วกันในหมู่บ้านเรานี่แหละไม่ต้องเสือกไปซื้อใน
เมืองหรอก เงินคงจะพอนะเหลือก็แบ่งกันไว้แล้วกัน”
“เออๆๆๆ!!!!.....มีเงินทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วรีบกลับมากินก็แล้ว
กันนะ”
เมื่อเจ้าแม้นยื่นเงินให้แก่พวกสาวๆแล้ว ก็เดินไปขึ้นรถกะบะที่
ไอ้เจี๊ยบกำลังติดเครื่องรถรออยู่ ครั้นมันนั่งที่หน้ารถแล้วรถก็วิ่ง
ออกไปทางด้านทางไปบ้านโคกเนินสูง เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางป่าด้านเขา
ทันใดนั้นนกตัวหนึ่งก็พุ่งตัดหน้ารถปะทะกับกระจกหน้ารถตกลง
มาตายหน้ากะบะเครื่องทันที ร่างนกดิ้นกระแด๋วๆแล้วหล่นลงจาก
รถไปทันที ทำให้ไอ้แม้นสะดุ้งเฮื้อกที่เห็นเช่นนั้นรวมทั้งไอ้เจี๊ยบ
ด้วย ส่วนไอ้หาญ ไอ้ผันเองก็ตลึงเช่นกัน มันนึกถึงตอนไปเคยไป
ดักฉุดนางบงกชทันที เหมือนเป็นลางสังหรณ์แก่พวกมัน
ต่างคนต่างมองหน้ากัน ส่วนไอ้แม้นก็พรึมพรำทันทีแต่เสียงไม่ดัง
รอดออกมาก มันก็คิดเช่นเดียวกับไอ้หาญไอ้ผันด้วย จึงบอกแก่พวก
มันในเรื่องเรื่องแก่ไอ้เจี๊ยบและหันหลังไปทางไอ้หาญและไอ้ผันว่า
“เฮ้ยลางไม่ค่อยดีแล้วโว้ย ให้พวกมึงระวังตัวไว้ด้วยนะดีนะที่เป็น
กลางวันโว้ยมันแค่นกธรรมดาที่ถึงที่กระมังว๊ะ”
“ทำไมหรือพี่แม้น เรื่องธรรมดานกมันถึงที่ตายเสือกบินมาชนเท่า
นั้นเอง ไม่มีอะไรหรอกว๊ะเชื่อข้าเถอะ”
“เออๆๆๆ...ข้าก็คิดเหมือนมึงนี่แหละว๊ะ ช่างมันเถอะว๊ะรีบๆ
หน่อยก็แล้วกันนะโว้ย งานจะได้เสร็จแล้วมาฉลองกันกูสั่งให้บรรดา
อีสาวๆเตรียมอาหารไว้ฉลองกันแล้วโว้ย”
“จ๊ะพี่ ....เดี๋ยวข้าจะเร่งเครื่องอีกไปอีกไกลไหมล่ะ????.....”
“ไม่ไกลหรอกว๊ะ อีกเลี้ยวเดียวก็จะถึงแล้วมึงมองเขาลูกนั้นไว้แล้ว
ไปตามทาง ใครเอามีดตัดต้นไม้มาบ้างว๊ะ”
“ข้าเตรียมมาแล้วล่ะว๊ะแม้น”
ไอ้หาญตอบไอ้แม้นทันทีพร้อมนำออกมาโชว์ให้ไอ้แม้นเห็นด้วย
เก็บไว้ด้านหลังล่ะแต่คงไม่ได้ใช้กระมังเพราะมันไม่มีต้นไม้ใหญ่นี่
นา จะใช้ไปทำไมกัน มันพรึมพรำด้วยสงสัยในใจไม่ไม่พูดอะไร
“ก็ไม่แน่โว้ยไอ้แม้นบอกเพราะว่าเราไม่ได้มานานแล้วอาจจะบาง
ทีต้องใช้มันก็ได้นา”
สักครู่หนึ่งรถก็มาถึงทางสิ้นสุดลง รถเข้าไปไม่ได้ต้องเดินเท้าเข้า
ไปอีกหน่อยด้วยเป็นทางขรุขระมีต้นไม้บดบังทางไปสู่เขาคงมีแต่
ทางเล็กๆเท่านั้นที่ใช้เดิน ทั้งหมดจึงลงจากรถแล้วออกเดินไปโดย
มีไอ้หาญนำหน้า ใช้มีดตัดกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาให้เดินผ่านไปได้
สะดวก เมื่อผ่านพ้นกิ่งไม้ที่ขวางทางแล้วก็มองแลเห็นปากถ่ำ
เขาจึงพากันเดินเข้าไปในถ่ำ ไอ้แม้นกับไอ้ผันสองคน ส่วนที่เหลือ
ก็ยืนอยู่หน้าถ่ำทุกๆคนต่างพกอาวุธติดตัวมาด้วยกันทั้งสิ้น
เพียงไม่นานนัก ไอ้แม้นกับไอ้ผันก็เดินออกมา บอกทุกๆคนว่า
ครบเรียบร้อยแล้วโว้ย เตรียมตัวไปขนได้แล้วล่ะ ทันใดนั้นเสียง
ดังขึ้นอย่างโหยหวนชวนขนลุกดังขึ้นรอบๆบริเวณนั้นไปทั่วแนวป่า
“ไอ้แม้นโว้ยยยยยย!!!!ๆๆๆๆ....ให้กูช่วยพวกมึงด้วยหรือไม่ว๊ะ”
ทำเอาพวกไอ้แม้นสดุ้งกันไปตามๆกัน มันไม่คิดว่าจะมีคนอยู่
เพราะเป็นป่าร้างที่ไม่มีใครมาหาเก็บของป่าขาย เพราะไม่มีต้นไม้
หรือสมุนไพรอะไรเลย นอกจากต้นไม้ที่ไม่จำเป็นเท่านั้น
เสียงก็ดังขึ้นอีกหลายๆครั้งติดต่อกัน แต่เสียงนั้นมันชอนไชเข้าไป
ในหัวใจของคนได้ยินกันทั่วๆ ต่างหน้านาเหลิกหลั่กๆกัน
“ไอ้แม้นโว้ยยยยยยๆๆๆ....ข้าไอ้สนกับไอ้ดำ มึงจำไม่ได้หรือว๊ะ”
“ข้าไอ้โจ๊กด้วยไงล่ะว๊ะ มึงลืมเพื่อนมึงเสียแล้วหรือ????.....”
คราวนี้ไอ้แม้น ไอ้หาญ และไอ้ผันตาเหลือกทันที ด้วยพวกมันรู้ว่า
ที่เอ่ยชื่อมานั้น พวกมันที่ตายไปแล้วทั้งนั้นนี่เอง และของที่เก็บไว้ที่
นี่ไอ้พวกนี้ก็มาช่วยขนเก็บซ่อนไว้ และเป็นความคิดของไอ้สนเสีย
ด้วย จึงต่างตลึงตกใจไปสิ้น
“เฮ้ยๆๆๆพวกมึงใครกันแน่ว๊ะมาอ้างชื่อให้กูกลัวได้ไอ้ห่าเอ๋ย”
“กูไม่ได้อ้างว๊ะไอ้แม้น กูไอ้สนจริงๆนะโว้ยมึงดูซิ”
พอเสียงมันกล่าวจบ ร่างๆหนึ่งก็ค่อยสูงชะลูดขึ้นสูงขึ้นๆจนเลย
ต้นไม้ คราวนี้ไอ้แม้น ไอ้หาญ ไอ้ผัน จำได้แม่นยำแล้ว ว่ามันคือ
ไอ้สนที่ตายไปแล้วนั่นเอง ทุกๆคนยกเว้นคนอื่นที่พามาไม่รู้เรื่อง
รู้ราวก็เฉยๆ แต่ก็ตลึง ส่วนไอ้แช่มทรุดตัวลงนั่งทันที มันจำได้อย่าง
แม่นยำเพราะมันไปทำงานกับไอ้สนร่วมกันมาคราวก่อนนั้นเอง
“เฮ้ยๆๆๆมันปลอมตัวมา ออกไปยิงมันเลยว๊ะไอ้ห่าทำมาหลอก
ผีมันจะออกมากลางวันได้หรือว๊ะ????.....ไปยิ่งแม่งมันเลยว๊ะ”
“เออ!!!!ๆๆๆๆ....จริงๆว๊ะผีมันจะออกมากลางวันได้อย่างไรไป
พวกเรายิงมันเลยว๊ะ”
ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังสนั่นหวั่นไหว ปืนทุกกระบอกหันไปทาง
ร่างไอ้สนที่สูงชะลูดพร้อมไอ้ดำและไอ้โจ๊ก แต่ร่างนั้นหาสะเทือน
ใดๆไม่ ต่างหัวร่อเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณอย่างโหยหวนพองขน
“ยิงมาอีกซิว๊ะ ไม่เห็นยิงถูกสักนัดเดียวเลยโว้ย ฮ่าๆๆๆๆๆ....”
อันที่จริงกระสุนนั้นถูกทุกๆนัดแต่มันเลยผ่านร่างนั้นหายไปสิ้น
คราวนี้เลือดบ้าของไอ้แม้นกับพวกซึ่งไม่เชื่ออยู่แล้วว่าผีมันจะหลอก
ในกลางวันได้ พลางคิดว่าคงจะเอาหน้ากากเสื้อผ้าผูกไม้ยื่นให้เหนือ
ต้นไม้ไว้หลอกพวกมัน จึงได้ รีบวิ่งออกจากปากถ่ำกระจายกำลัง
ออกไปทันทีพร้อมส่งกระสุนไปยังใต้โคนไม้แถวที่มันแลเห็นว่า
เป็นคนชักไม้ขึ้นมาหลอกพวกมันเอง ทำให้ต้นไม้แตกกระจุยไป
และแล้วร่างพวกมันก็ล่วงผล๊อยๆๆไป เมื่อเสียงปืนดังระงมมาจาก
ทิศทางต่างๆ เป็นปืนยิงเร็วแบบอาก้า ร่างไอ้หาญซึ่งกำลังยิงร่างไอ้
สนอยู่ก็ผงะล่วงฟุบลงกับพื้นทันที เลือดไหลออกจากหน้าอกแดง
ฉานไปทั่วร่างกายมันล้มฟุบทันที แล้วไอ้แม้นกับไอ้ผันไอ้แช่มก็แล
เห็นร่างหลายๆคนต่างเดินเรียงรายกันเป็นแถวหน้ากระดานออก
มาจากแนวป่า แถวบริเวณลานหน้าถ่ำ มันต่างหันไปยิงพวกนั้นทันที
คนที่เฝ้าปากถ่ำก็ล่วงกลิ้งตกลงมาจากเนินหน้าปากถ่ำทันที ร่างมัน
ชุ่มไปด้วยเลือดสดๆตกลงมาข้างกายไอ้แม้นปะทะร่างซึ่งกำลังยิงอยู่
ด้วยสัญชาติญานมันรีบทิ้งตัวลงราบกับพื้นส่งกระสุนไปยังร่าง
ต่างๆที่ออกมาจากแนวป่าทันที ทุกๆร่างต่างกระจายกันออกยิ่งมา
ไปยังพวกไอ้แม้นและคนทั้งหลาย ต่างล้มตายลงหลายๆคน
ไอ้แม้นพร้อมตะโกนให้ทุกๆคนหมอบยิงไว้ อย่ายืนเป็นอันขาด
ดังนั้นบรรดาชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่ก็ต่างรีบหาที่กำบังยังก้อนหินบ้าง
นอนราบยิ่งโต้ตอบบ้าง ตามแนวโค้นต้นไม้ใหญ่บ้างทุกๆคนหันไป
ยิงยังร่างที่เดินออกจากแนวป่า แต่ก็พากันตกใจกันเมื่อกระสุนไม่
อาจจะทำอันตรายแก่พวกเหล่านั้นได้สักคนเดียว ทำให้ใจมันเสียแต่
กระสุนที่ยิงออกมานั้นต่างทำให้พวกมันมันล้มตายลงหลายคน
เสียงไอ้แม้นร้องลั่นตะโกนสั่งให้ทุกๆคนหนีเอาตัวรอดทันที
“ไอ้แช่มโว้ยช่วยกูด้วย กูถูกยิ่งแล้วโว้ย”
เสียงไอ้แม้นตะโกนให้ไอ้แช่มมาช่วยมันก่อนทันที แต่แล้วเสียงมัน
ก็เงียบหายไป ร่างมันผงะพลิกดิ้นพลาดๆท่ามกลางกองเลือดมันเอง
แต่ไอ้แช่มหันไปดูร่างไอ้แม้นก็ต้องจนใจเพราะ ร่างไอ้แม้นกลับ
ถูกยิ่งอีกที่ใบหน้าทำให้ ใบหน้ามันหายไปครึ่งหนึ่ง แต่แล้วมันเอง
ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อโดนกระสุนเข้าที่ร่างและศีรษะหงายพลิกคว่ำ
หน้าตายทันที การยิ่งต่อสู้ผ่านไปสักพักคงเหลือเจ้าผันเท่านั้นที่ยิง
พลางหนีพลางเพื่อจะหลบไปที่ถ่ำเพราะ รอบๆบริเวณนั้นล้วนแล้ว
แต่คนที่มายิงมันทั้งสิ้น ทางเดียวที่จะหลบคือถ่ำเท่านั้น มันมองไป
รอบๆเพื่อหาเพื่อน แต่ปรากฏว่าต่างตายกันหมดคงเหลือมันคนเดียว
มันส่ายร่างคล้ายงูไปๆมาๆ พร้อมหันไปยิงตอบครั้งหนึ่ง แต่แล้วมัน
ก็ต้องตกใจมากเมื่อ เสียงระเบิดในถ่ำดังสนั่นหวั่นไหว ปรากฏหิน
ล่วงพรูมาปิดปากถ่ำหมด ไอ้ผันชะงักที่พึ่งสุดท้ายมันหมดแล้วหมาย
ความว่ายาเสพย์ติดที่เก็บไว้คงถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้วด้วย มัน
สอดส่ายสายตาเพื่อหาทางเอาตัวรอด มันคิดคงจะเหลือมันคนเดียว
เท่านั้นเอง แล้วความคิดหนึ่งก็แว๊ปเข้ามามันรีบพลิกร่างไปยังร่างชาย
ฉกรรจ์ที่ถูกปืนตายอยู่ใกล้ไป มันรีบเอาร่างนั้นมาบังร่างมันไว้พร้อม
ละเลงเลือดไปตามใบหน้ามันและเสื้อผ้ามันทันทีแสร้างทำเป็นตาย
พร้อมคว่ำหน้าลงกับพื้นเหลือซอกหินพอแค่หายใจนำร่างที่ตายแล้ว
มาทับบนล่างมัน ปืนมันโยนทิ้งข้างๆ จึงทำให้มันรอดตัวไปได้ แต่
มันหารู้ไม่ว่าพวกที่รายล้อมมันไว้นั้นหาใช่คนไม่ย่อมรู้ว่ามันยังไม่
ตายปืนทุกกระบอกจึงหันไปยังร่างไอ้ผันทันทีหมายจะยิงซ้ำเพื่อไม่
ให้เหลือสักคนเดียว แต่เจ้าเริ่มยกมือห้ามปรามไว้พยักหน้าบรรดา
พวกพ้องไว้ไม่ต้องไปฆ่ามัน ปล่อยมันไว้คนเดียวเพื่อจะได้กลับไป
รายงานพวกมันทางบ้านของกำนันมั่นถึงเหตุการณ์เหล่านี้ไว้
ครั้นงานจัดการเรียบร้อยแล้ว บรรดาพวกเจ้าเริ่มก็ทะยอยกันหาย
ลับไปทันที พร้อมทั้งทำลายรถกะบะที่นำมาจากบ้านกำนันเสียสิ้น
ไม่ให้สามารถใช้ได้อีกต่อไป........
แก้วประเสริฐ.
30 มิถุนายน 2554 20:41 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๕
ปรี๊นๆๆๆๆ เสียงดังจากนอกรั้วบ้าน บรรดาหญิงสาวและหนุ่มต่าง
กำลังนั่งสนทนากัน บ้างก็กินเหล้าไปพลางๆคอยการกลับมาของเจ้า
แม้นและพวกที่ไปทำงานอยู่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งไปรีบเปิดประตู
บ้านทันที รถกะบะก็แล่นเข้ามาจอดยังใต้ต้นมะขามที่ใช้เป็นที่นั่ง
อยู่ เจ้าแม้นก้าวลงจากรถมาก่อนตามด้วยพวกที่หิ้วของพะรุงพะรัง
รถก็แล่นไปจอดยังที่เก็บรถใต้ถุนบ้าน เจ้าแม้นยังไม่ทันจะได้นั่ง
ก็ได้ยินเสียงตะโกนลั่นมาจากบนบ้านทันที
“ไอ้แม้นโว้ยมึงมาหากูก่อนโว้ย”
“เรื่องอะไรหรือพ่อ ทุกๆอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งแล้วนี่นา”
ไอ้แม้นตะโกนตอบพ่อมัน กำนันมั่นเหมือนจะไม่ทันใจนักจึงรีบ
ลงมาจากบ้านแล้วรีบเดินมาหากลุ่มเจ้าแม้นทันที ด้วยสีหน้าตื่นๆ
พลางกล่าวว่า
“ฉิบหายใหญ่แล้วโว้ยไอ้แม้น คนมารับของไม่ใช่ไอ้มุ้ยคนของ
เสี่ยเม้งหรอกว๊ะไม่รู้ใครมาสวมรอยโว้ย”
“เฮ้ยๆๆๆ!!!!!!????? จะเป็นไปได้หรือพ่อก็รูปร่างหน้าตาพ่อก็
เคยเห็นมาแล้วนี่นา ยังมีหนังสือยืนยัน นี่ใบรับของก็มันทำให้ผมไว้
พ่ออ่านดูซิ”
มันกล่าวพลางล้วงกระเป๋าควักหนังสือออกมาส่งให้ กำนันรับ
ไปอ่านดูก็สีหน้าเหมือนผีหลอก จึงกล่าวว่า
“พอมึงไปได้สักครูใหญ่ๆก็มีพวกมาบอกว่าเป็นไอ้มุ้ยคนของเสี่ย
เขา ชักยังไงเสียแล้วซิว๊ะ????..... มันก็มีหนังสือมาด้วยเหมือนกันกูดู
แล้วเหมือนกันเปี๊ยบเลยว๊ะ แล้วพวกก่อนนั้นไปทางไหนหรือว๊ะ”
“พอมันรับของออกหนังสือแล้วมันขนไปหมดเลยพ่อ ไม่ทิ้งไว้ให้
สักถุงเลยล่ะ มันบอกว่ายังไม่พอต้องไปเอาที่อื่นอีกด้วย หากพ่อไม่
เชื่อลองถามพวกที่ไปดูซิ”
“ใช่พ่อกำนัน พวกฉันยังช่วยมันขนแล้วมันบอกว่าต้องไปทำงาน
อื่นอีกจึงได้แยกทางไปทางลัดนะ”
ไอ้หาญ ไอ้ผันยืนยันคำของไอ้แม้นด้วย ทำเอากำนันเกาหัว
แกร๊กๆ มันชักยังไงว๊ะ คนก็เหมือนกันยังกับแกะรถก็เหมือนกันด้วย
โอ้ย พวกมึงลองไปดูซิว่าทางที่มันไปนั้นจะมีอะไรอีกหรือเปล่าด้วย
กำนันสังหรณ์ใจชอบกล
“งั้นข้ากับไอ้ผันไปดูเอง พ่อกำนันคอยเดี๋ยวนะ”
“เออๆๆๆ....ดีเหมือนกัน เห็นทีกูจะต้องไปพบเสี่ยเม้งเสียแล้วแล้ว
มึงรีบกลับมานะ”
กล่าวแล้วกำนันก็เดินไปคว้าแก้วเหล้าที่รินอยู่ของหญิงสาว
ยกขึ้นดื่มเอื้อกๆๆทีเดียวหมดแล้ว ด้วยความหงุดหงิดใจ พลางเอ่ย
เปรยกับบรรดากลุ่มที่นั่งฟังกำนันมั่น ในเรื่องนี้ว่า
“นั่นซิพอมึงไปก็มีมาอีกชุดเหมือนกันเปี๊ยบเลยว๊ะ กูสงสัยว่ากลุ่ม
แรกคงจะเป็นฝ่ายปลอมตัว ส่วนกลุ่มหลังคงจะใช่คนของเสี่ยมันว๊ะ
เพราะเมื่อมันฟังเท่านั้นดูหนังสือที่กลุ่มแรกให้ไว้จึงค่อยยังชั่วหน่อย
พวกมันชักปืนออกมา อีกสาวๆทั้งหลายก็เห็นไอ้แช่มก็รู้และยังเป็น
พยานให้แก่กู มิฉะนั้นยิงกันฉิบหายใหญ่มันรีบตามไป แล้วมึงไม่
เจอพวกกลุ่มหลังเลยหรือว๊ะไอ้แม้น”
“ไม่เจอจ๊ะพ่อ พอเสร็จข้าก็ไปซื้ออาหารที่พ่อสั่งยังร้านยายลัดดา
มาให้พึ่งจะกลับมานี่แหละ สงสัยว่ามันคงจะคอยดักทางกลับกระมัง
เพราะทางอื่นไปไม่ได้ด้วยนะพ่อ”
“เออจริงของมึง ไอ้หาญกับไอ้ผันไปแล้วคอยฟังข่าวมันก็แล้วกัน
อาจจะมีเรื่องกลับมาบอก หากมันมาให้มึงไปพบกูด้วยนะ”
กล่าวแล้วกำนันมั่นก็ก้าวพรวดๆขึ้นไปบนบ้านทันทีเหมือนหนูติด
จั่นไม่ผิด เดินไปเดินมาเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออกมายังชานเรือน
ไอ้แม้นกับพวกต่างงุนงงกันไปทั่ว พลางไอ้แม้นร้องว่า
“เฮ้ยอีสาวๆทั้งหลาย มีแบบนี้ด้วยหรือว๊ะ กูงงเอาเป็นมากๆ
เสียด้วยว๊ะ ทำไมมันถึงมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆทำไมคนมันจึง
เหมือนกันได้อย่างไรโว้ย พ่อกูจำไม่ผิดหรอกมิฉะนั้นคงไม่ให้ไปเอา
ของให้แหละ พ่อกูก็ผ่านประสบการณ์มามากด้วย อีกทั้งเล่ห์เหลี่ยม
หรือก็ไม่เป็นรองใคร แต่งานนี้มันดูชอบกลไงๆดูนะ แปลกโว้ย
แปลกจริงๆ กูคิดแล้วมึนยิ่งกว่าแดกเหล้าเสียอีกว๊ะ”
“จริงๆจ๊ะพี่แม้น พอพี่แม้นไปสักครู่ใหญ่ๆก็มีพวกมาอีกชุดหนึ่ง
เหมือนกันเปรียบเลยล่ะ ชุดหลังนี้ดุร้ายอีกด้วย ใบหน้าเหี้ยมเกรียม
มากๆ มันแยกกันพวกมันชักปืนออกมาทุกๆคนเลย ฝ่ายเราไม่มีอาวุธ
ด้วยใครจะคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ได้อีก มันมีทั้งอาวุธสั้นและ
อาวุธยิงเร็วพร้อมมูลเลยล่ะพวกเราได้แต่ตกใจตลึงไปหมด”
“แล้วจะทำอย่างไรดีว๊ะ เฮ้ยๆเอากับแกล้มของเราและของพ่อไป
ให้แก่หน่อยเพื่อแกจะได้ดับโมโหได้บ้าง???....”
“ใครจะกล้าเอาไปให้ตอนนี้ล่ะพี่แม้น พ่อกำนันกำลังโมโหอยู่นะ”
“งั้นมึงเอาไปเก็บไว้ก่อนโว้ย ส่วนของเราเอามานั่งแดกกันที่นี่
คอยไอ้หาญกับไอ้ผันก็แล้วกัน ไหนๆๆๆขอเหล้าสักแก้วซิว๊ะ”
บรรดาสาวๆกุลีกุจอรีบจัดการ อีนวลก็ยื่นส่งให้ทันที ไอ้แม้นรับ
มายกขึ้นดื่มพรวดๆเดียวหมด พร้อมส่งแก้วให้เติมมาอีก ทั้งหมดนั่ง
คุยกัน แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงสอดคล้องกันเช่นนี้อีก
ทั้งหน้าตาหรือก็ดันเหมือนๆกันอีกและซ้ำพ่อมันก็ยังให้ไปคงจะจำ
หน้าได้แน่นอน แต่นี่กลางวันนะหากกลางคืนก็คิดว่าเป็นผีแปลง
กายมาหลอกก็ได้ ยิ่งคิดความกลุ้มก็ยิ่งมากขึ้น
ดังนั้นทุกๆคนจึงกินไปมองไปที่หน้าประตูรั้วบ้านคอยดูไอ้หาญ
กับไอ้ผันที่ไปดูเหตุการณ์อยู่
ทันใดนั้นพ่อกำนันก็ก้าวฉับๆมายังพวกมันนั่งร่วมด้วยทุกๆคนต่าง
ขยับที่ให้กำนันมั่นนั่ง ด้วยความกลุ้มอยู่ข้างบนก็ไม่มีอะไรสู้มาคอย
ที่พวกไอ้แม้นไม่ได้ ต่างวิจารณ์ไปต่างๆนาๆ
“มันช่างเหมือนกันจริงๆนะพ่อ แล้วพวกกลุ่มแรกมันก็มาตามเวลา
ที่เสี่ยเม้งบอกไม่ผิดเวลา แล้วกลุ่มหลังล่ะพ่อมันมาถึงเมื่อไหร่”
“ก็นั่นซิว๊ะกูถึงไม่ระแวงสงสัยอีกทั้งหน้าตาและรถกูก็จำไม่ผิดนะ
ส่วนกลุ่มหลังมาช้า มันบอกว่ารถติดมากๆว๊ะ กูคิดว่ากลุ่มหลังนี่
แหละคือกลุ่มของเสี่ยเม้งเองแหละว๊ะ ส่วนไอ้กลุ่มแรกใครหว่า
กูก็สงสัยเหตุใดมันถึงรู้เวลามารับของอีกด้วย หรือว่าพวกมันจะ
เกลือเป็นหนอนหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไรหรอกกูมีหนังสือไว้ทำให้
ค่อยยังชั่วหน่อยนะ”
“หากไม่มีหนังสือก็เราฉิบหายกันเท่านั้นเอง เสี่ยมันคงจะไม่เชื่อ
หาว่าเราเล่นไม่ซื่อกับมัน”
“เออๆๆๆๆ....ที่ก็บอกมึงให้แอบซ่อนไว้ส่วนหนึ่งนั้นมึงไปดูมา
หรือเปล่าล่ะว๊ะ กูชักสงสัยจริงๆเมื่อทางนี้ยังเป็นไปได้ทางที่แอบ
ซ่อนไว้จะอยู่หรือเปล่านะ”
“ข้าเองเอาไปซ่อนไว้ที่เขาอีกลูกหนึ่งพ่อ คงจะไม่เป็นปัญหาหรอก
กระมัง เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะไปดูเอง ตอนนี้ก็ใกล้จะมืดทางไปลำบาก
มากด้วยนะ แล้วสิงห์สาราสัตว์มันก็ชุกชุมอีกด้วยมันจะออกมากลาง
คืนนะ”
“เออๆๆๆ....พรุ่งนี้มึงรีบเอาพวกไปตรวจดูนะ ด้วยเราจะได้มี
จำหน่ายไว้ไม่ขาดสาย”
“จ๊ะพ่อ ข้าจะไปดูเองแหละแต่ว่าไอ้หาญกับไอ้ผันไปดูมันจะรู้
หรือว่าเป็นอย่างไร ที่จริงไม่น่าให้มันไปหรอก ไปก็ไม่มีอะไร
เกิดขึ้นนะ แต่ข้าไม่อยากจะขัดใจพ่อเท่านั้นเอง”
“เออ!!!ๆๆๆจริงของมีว่า แต่กูใจร้อนไปไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง
ว๊ะ เรามีหนังสือยืนยันไว้แล้วนี่นา แต่ช่างมันเถอะว๊ะ ไม่พบก็ไม่เป็น
ไรหรอก มึงกินกับกูไปพลางๆก่อนก็แล้วกันนะ อ้าวอาหารที่กูสั่ง
ไว้มึงซื้อมา ก็เอามากินร่วมกันที่นี่ก็แล้วกัน อีลัดดาไปเอามาร่วมวัน
นี้กูจะกินร่วมกับพวกมึงนี่แหละว๊ะ”
“โอ้ว!!!!ๆๆๆเป็นบุญของพวกข้าจริงๆที่พ่อกำนันมาร่วมวงด้วย
นะ นานแล้วล่ะที่พวกเราไม่เคยเห็นพ่อกำนันจะมาร่วมด้วยเลย”
พวกสาวๆพากันส่งเสียงเฮฮากันลั่น เล่นเอาพ่อกำนันยิ้มแย้มได้
ด้วยมันไม่เคยมาร่วมวงกับพวกสาวๆและลูกชายมันเลย ดังนั้นสาว
ลัดดาก็รีบไปเข้าครัวพร้อมกับนางชบาลำเลียงอาหารออกมายังแคร่
และสาวๆก็มีหน้าที่คอยป้อนอาหารรินเหล้าส่งให้กำนันจนกำนัน
เมาทั้งสาวและเหล้า ก็เอ่ยว่า
“หากรู้ว่าสนุกดีอย่างนี้กูก็ลงมาร่วมวงกับพวกมึงก็จะดี ไอ้ห่ากิน
คนเดียวไม่สนุก อีแจ่ม อีสร้อยมันก็งั้นๆแหละคุยไม่สนุกเลยว๊ะ”
“ข้าก็บอกพ่อแล้วนี่นาว่าที่นี้สนุกสนานกัน หยอกเย้ากันได้เหมือน
ไปเที่ยวนั่งคาเฟ่เลยล่ะ แต่พ่อเต๊ะท่าเองแหละ”
“ไอ้แม้นนะไอ้แม้นเดี๋ยวกูถีบให้ โบราณว่าพ่อลูกอย่ากินเหล้า
ร่วมกันเดี๋ยวเวลาเมามาไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อใครเป็นลูกว๊ะ”
“ใครจะกล้าทำอย่างนั้นนะพ่อ”
“กูเห็นมามากแล้วโว้ยไอ้แม้น พอเมาเข้ามาเรียกพ่อเป็นพี่ พ่อ
เรียกลูกเป็นน้องว๊ะ กูเลยไม่กล้ามาร่วมนอกจากฟังพวกมึงคุยกัน
อันที่จริงมันก็สนุกนะ มีสาวๆนั่งป้อนด้วย ทำให้ดูสดชื่นขึ้นมากว๊ะ”
การสนทนาทั้งมีการโอบกอดบรรดาสาวๆ กำนันก็ร่วมด้วย
เพราะบรรดาสาวๆนั้นต่างก็ผ่านมือกันมาเกือบทุกๆคนด้วยเพียงแต่
สถานะการณ์บรรยากาศต่างกันเท่านั้นเอง ลมหรือก็พัดโชยๆสดชื่น
อากาศหรือก็ดีไม่เหมือนในบ้านกำนันคิด ไอ้ห่ากูนี่โง่มานานนักถึง
เรียกไปบรรยากาศมันก็เหมือนเดิม ไม่เหมือนที่นี่บรรยากาศมันแตก
ต่างกันมากๆ
ทันใดนั้นรถกะบะก็วิ่งเข้ามาจอด ไอ้หาญก้าวลงจากรถ ส่วนไอ้
ผันก็เอารถไปเก็บแล้วมาร่วมวงด้วย
“มีอะไรหรือเปล่าว๊ะไอ้หาญ”
กำนันร้องถามด้วยเสียงอ้อแอ้ ด้วยกำลังครึกครื้นสาวๆพากัน
ป้อนทั้งเหล้าและอาหาร ซึ่งอาหารก็อร่อยถูกปากกำนันอีกด้วย
“ไม่เห็นมีอะไรนี่นาพ่อกำนัน แต่เห็นแค่คราบเลือดส่วนศพนั้นไม่
มีข้าคิดว่าคงจะต้องมีคนตายแน่ๆเลยล่ะ ข้ากับไอ้ผันลงไปตรวจดู
เป็นรอยคราบเลือดมากๆที่แห้งกรังตามพื้นถนนและบริเวณตามใบ
ไม้เท่านั้นเองแหละ นอกนั้นไม่มีอะไรอีกเลยล่ะพ่อกำนัน”
“สงสัยว่าจะมีการยิงกันใหญ่แน่ๆ เพราะไอ้กลุ่มหลังมันไปคอยดัก
กลุ่มแรกอยู่ ส่วนจะเป็นศพหรือคนเจ็บคงจะถูกพวกมันเก็บไปหมด
แล้วล่ะว๊ะ เดี๋ยวไม่พรุ่งนี้มะรืนนี้กูจะต้องไปหาเสี่ยเม้งเสียแล้วเอา
หนังสือไปยืนยันกับเขา จะได้ไม่ต้องสงสัยอะไรทางเรา ส่วนไอ้
แม้นมึงก็ไปดูของที่เก็บไว้แล้วมาบอกกูด้วยนะ อย่าลืมเสียล่ะไม่ใช่
แดกจนเมาแล้วลืม”
“เรื่องนี้พ่อเคยเห็นข้าผิดคำสั่งพ่อหรือเปล่าล่ะ ในเมื่อมีงานทำข้าก็
กินพอบันยะบันยังเท่านั้นเองแหละ”
“เออจริงของมึง กูรู้เรื่องนี้ดีถึงให้มึงไปดูก่อน เมื่อมีเหตุเช่นนี้ได้ที่
เราแอบซุกไว้ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือเท่านั้น หากอยู่มึงเอาคนไปด้วยขนมา
ไว้ที่บ้านเราเลยนะ กูชักไม่ไว้ใจแล้วล่ะ”
“จ๊ะพ่อฉันจะไปหากอยู่ก็จะขนมาเก็บ แล้วจะเก็บไว้ที่ไหนล่ะ
พ่อ หรือว่าจะเป็นห้องใต้ดินที่ฉันได้บอกให้สร้างไว้นั้นนะ”
“อ้าวๆๆๆบ้านปลูกใหม่นั้นถัดไปที่เก็บของเราสร้างห้องใต้ดินไว้
นี่นามึงก็เอาไปไว้ที่นั่น มันห่างบ้านเราไปไม่เท่าไหร่อยากเสือกมา
เก็บในบ้านเสียล่ะ เดี๋ยวพลอยฟ้าพลอยฝนซวยละลอกสองอีก”
“ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อ ข้ารู้ดีเพราะเป็นคนบอกพ่อเองแหละจำไม่
ได้หรือว่า ให้สร้างห้องใต้ดินไว้หางบ้านเราไว้”
“เออจริงของมีงว๊ะ!!!!!....กูลืมไป ช่างมันเถอะว๊ะไปแดกเหล้า
ได้แล้วไอ้หาญไอ้ผัน”
ทุกๆคนขยับที่ให้ทั้งสองนั่ง ด้วยเป็นแคร่ใหญ่
ส่วนกำนันนั้นนั่งบนเก้าอี้ แต่เนื่องจากเห็นเด็กๆมันหยอกเย้าสาวๆ
บ้างก็พาลกอดหากำไร ก็ทนไม่ได้เลยมานั่งท่ามกลางสาวๆกินไป
หยอกเย้ากันไปจนเหล้าหมด ก็สั่งให้เด็กๆไปเอาเหล้ามรอีกสองขวด
เพื่อจะได้กินต่อไป ส่วนบรรดาสาวๆก็หยอกกำนันจับโน่นจับนี่จับ
ของลับกำนันบ้าง สร้างความสนุกสนาแก่กำนันมั่นมาก กำนันเองก็
ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน ดังนั้นบรรยากาศจึงครื้นเครงยิ่งนัก ความกลัด
กลุ้มของกำนันก็หายไปเพราะทุกๆคนปลอบใจกำนันบอกว่าจะกลัว
อะไรเรามีหนังสือยืนยันอยู่แล้วใบรับของก็มี กำนันชมไอ้แม้นที่
มันรอบคอบให้เซ็นต์รับของไว้ เหตุนี้จนเวลาผ่านไปจนดึกดื่นกำนัน
ก็เมาให้บรรดาสาวๆพยุงร่างขึ้นไปข้างบน คงปล่อยให้พวกหนุ่ม
สาวๆพากันหาความสนุกสนานกันต่อไป
แต่ทุกๆคนหารู้ไม่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของไอ้
สน ไอ้เข่ง ไอ้โจ๊กและได้ดำไม่ ซึ่งทั้งหมดแอบแฝงอยู่บนต้นมะขาม
ใหญ่ได้รับรู้การสนทนาทั้งหมด ซึ่งบัดนี้พวกมันหาใช่พวกผีธรรมดา
ไปแล้ว ด้วยการฝึกอบรมจากเจ้าเปล่งซึ่งเป็นอาจารย์มันแปรเปลี่ยน
สภาพไปหมดแล้ว จึงสามารถเข้าออกในบริเวณบ้านนี้ได้รวมทั้งเจ้า
ที่เจ้าทางก็อนุญาตเข้าใจมันดี เมื่อกำนันขึ้นเรือนไปแล้วได้ฟังไอ้
แม้น กำลังวางแผนการณ์จะไปขนส่งหรือดูของที่แอบซ่อนไว้ครั้น
พวกมันรู้แล้วก็ออกมาลาเจ้าที่เจ้าทางแล้วร่างมันก็หายลับไปทันที....
แก้วประเสริฐ.
22 มิถุนายน 2554 23:23 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๔
พอดีดวงจันทร์ส่องไสวกระจ่างทอแสงไปทั่วบริเวณลานกว้างทำ
ให้แลเห็นสภาพที่มีการประชุมกันและประกอบกับไฟฟ้าดวงเล็กที่
ปักเรียงรายไปรอบๆบริเวณ แสงสว่างจึงเพิ่มทำให้แลเห็นหน้าแต่ละ
คนได้อย่างแทบจะเรียกว่าชัดเจนมากพอประมาณ
ชายหนุ่มมองไปรอบๆนั่งเคียงข้างกับนางอัปสรทั้งสองถัดไปก็เป็น
ร่างของสารวัตรและผู้กอง ต่อไปด้วยบรรดาครูฝึกที่ประจำยังตำบล
ต่างๆและบรรดาหุ่นทั้งหลายด้านตรงข้ามกับสารวัตรก็เป็นร่างของ
ชวนเปล่งและพรรคพวกถัดไปก็เป็นร่างของแสงสีแสงชัย
เมื่อเห็นครบเรียบร้อยแล้ว ทุกๆคนต่างจ้องและรอคำกล่าวของเขา
จึงเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นให้บรรดาคนทั้งหลายฟัง
“ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับสารวัตรและผู้กองก่อนนะ
ครับ ว่าท่านทั้งสามและบรรดาตำรวจพวกเราได้เลื่อนตำแหน่งสูง
ขึ้นแล้ว ตามที่ท่านเอ่ย ในการที่ผมได้ไปพบมาและคำสั่งนั้นได้สั่ง
ลงมาแล้วยังท่านรองอภิวัฒน์ที่รักษาการณ์ผมชั่วคราว ต่อไปผม
จะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวแล้ว”
เมื่อชายหนุ่มเอ่ยขึ้นดังนี้ ก็ทำให้บรรดาสารวัตรและผุ้กองเกิด
ความสงสัยจึงเอ่ยขึ้นว่า
“จะเป็นไปได้หรือครับหัวหน้า ในเมื่อคำสั่งแต่งนี้ผมพึ่งได้รับมา
ไม่นานนี้แหละครับ”
สารวัตรชัชวาลย์ถามด้วยความสงสัย และผู้กองก็ต่างหันมามอง
หน้ากัน ด้วยยังไม่ถึงฤดูกาลย้ายแต่งตั้งที่คงจะมาถึงอีกในไม่ช้านี้
“ได้ซิสารวัตรด้วยเป็นกรณีพิเศษเพราะจะมีการโยกย้าย สารวัตร
เกิดขึ้นอีกระลอกก่อนจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น และท่านผู้
บัญชาการได้เซ็นต์แต่งตั้งมาแล้วล่ะ ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนและ
ให้เลื่อนชั้นตำแหน่งขึ้นมาอีกนะ”
“ใครหรือครับหัวหน้าที่จะถูกโยกย้ายอีกล่ะครับ”
“ตอนนี้คำสั่งตกมาแล้วล่ะแต่ยังไม่เปิดเผยด้วยผมได้สั่งไว้อย่าพึ่ง
แจ้งให้ผู้ที่ถูกโยกย้ายทราบเท่านั้นเอง”
ครั้นชายหนุ่มเอ่ยเช่นนั้นต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัยยิ่งขึ้นไป
อีก จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ผมเองก็มองไม่เห็นว่าจะมีใครที่จะโยกย้ายอีกเลยล่ะครับหัวหน้า
แต่เพียงแค่สงสัยเท่านั้นเอง ด้วยตำแหน่งที่ควบคุมนี้ก็มีไม่กี่คนเท่า
นั้นเองครับ”
“ต่อไปจะมีการย้ายเข้ามาอีกนะด้วย ทางด้านนี้จะต้องมีภาระเพิ่ม
มากขึ้นกว่าเก่า ด้วยบรรดาโรงพักต่างๆในแถบใกล้เคียงที่ทุรกันดาร
จะมาขึ้นกับพวกเรานะ ส่วนสารวัตรชัชวาลย์อาจจะต้องทำหน้าที่
สองตำแหน่งไปก่อนจนกว่าจะถึงเดือนตุลานี้แหละถึงอาจจะได้รับ
การแต่งตั้งเป็นทางการ”
ครั้นสารวัตรชัชวาลย์ได้ฟังยิ่งมึนงงสงสัยมากยิ่งขึ้น นอกจากปาก
อ้าตาค้างไปเมื่อได้ยินเจ้านายที่เขารักกล่าวเช่นนั้น ชายหนุ่มมอง
หน้าก็รู้ความในใจ เพื่อขจัดข้อสงสัยจึงกล่าวเป็นทางการว่า
“เนื่องจากจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองเราเกิดขึ้นแต่
ท่านผู้บัญชาการมองเห็นว่า หากท่านพ้นจากไปตามวาระแล้วจะเกิด
เหตุการณ์ขัดแย้งกันรุนแรงจึงได้กำชับมายังฝ่ายพวกเราให้เตรียมตัว
รับมือและสอดคล้องกับสถานะการณ์บ้านเมืองไว้ก่อน เพื่อว่าจะได้
ไม่เสียกำลังใจไป ให้พวกเราดำเนินการในแนวทางสองทางคือทั้งใน
ที่ลับและที่แจ้งไว้ ที่ว่าสารวัตรและผู้กองจะเลื่อนตำแหน่งนั้นก็ด้วย
สารวัตรวิเชียรและสารวัตรอำนวยจะถูกโยกย้ายออกจากภูมิภาคนี้ไป
ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้พวกเราทำงานกันได้สะดวก ที่ผม
กล่าวว่าสารวัตรต้องรักษาการณ์สองตำแหน่งนั้นคือว่า ด้วยตำแหน่ง
ของพตท.วิเชียรนั้นเป็นฝ่ายปราบปรามในขณะนี้ รอคอยตำแหน่ง
ท่านรองอยู่และทั้งสองนั้นสืบได้ว่ามีเลสนัยกับพวกพ่อค้าทำความ
เสื่อมเสียแก่วงการตำรวจเรา เห็นแก่อมิสสินจ้างจนลืมคำว่า
ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไป แต่ทั้งสองก็มีเส้นทางในกรุงเทพฯอยู่ไม่แน่
ว่าอาจจะทำให้บรรดาพวกพ่อค้าทางนี้เกิดความเหิมเกริมขึ้นมาอีก
ด้วยผมรายงานไป ท่านพิจารณาแล้วท่านเป็นคนซื่อตรงเคร่งครัด
ยิ่งนัก พิจารณาแล้วเห็นว่าหากคงไว้จะทำให้ผมและพวกเราทั้งหลาย
ต้องเกิดติดขัดหนทางในทางสว่างและทางมืด จึงได้เร่งรีบทำเสีย
ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้แหละ ดังนั้นสารวัตรชัชวาลย์จึง
ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นและยังรักษาการท่านรองอีกตำแหน่งหนึ่ง
ด้วย ส่วนผู้กองทั้งสองก็จะเลื่อนแทนตำแหน่งสารวัตรไป ส่วนอีก
ท่านหนึ่งนั้นได้รับอนุมัติมาให้เพิ่มอัตราเพิ่มขึ้นอีกเพื่อจะขยับขยาย
การควบคุมที่ต้องรับผิดชอบมาก ดังนั้นจึงได้เป็นสารวัตรทั้งคู่ไป
ดังนี้ ส่วนบรรดาหมวดหรือจ่านั้นก็ได้รับบำเหน็จเป็นกรณีย์พิเศษที่
ผมทำเสนอรายงานไป”
ครั้นชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเท่านั้นสร้างความตกตลึงพรึงเพริดแก่ตำรวจ
ทั้งหมดทันที ต่างพากันก้มลงกราบชายหนุ่ม พวกเขาคิดว่าการ
ทำงานร่วมกับหัวหน้านี้ไม่สร้างความผิดหวังแก่พวกเขาเลย ส่วน
หัวหน้าฝึกต่างๆนั้นก็ต่างแย้มยิ้มไปตามๆกันที่จะได้รับบำเหน็จการ
เลื่อนชั้นขึ้นไปในคราวนี้พากันส่งเสียงดังพึมพรำไปหมด
“แล้วท่านวิเชียรและท่านอำนวยยังไม่รู้ตัวอีกหรือครับหัวหน้า”
“ผมว่าพรุ่งนี้กระมังท่านรองคงจะแจ้งให้ทราบแล้ว และให้เบิกค่า
เดินทางได้ภายกำหนดไม่เกินสิบห้าวันครับ”
“หากเป็นเช่นนี้ท่านทั้งสองคงจะไม่โวยวายหรือครับด้วยหวังอย่าง
มากที่จะขึ้นเป็นรองครับ”
“ก็เป็นธรรมดาแหละสารวัตรที่ผู้เสียหายย่อมจะมีขึ้นแต่ช่างเถอะ
นะ เรามาเข้าเรื่องของเราต่อไปดีกว่าผมบอกเพื่อให้คุณทั้งสามและ
พวกเราดีใจเท่านั้นเองแหละ”
“ครับนาย????....แล้วพวกเราจะดำเนินการอย่างไรที่นายกล่าวว่า
จะมีการดำเนินการทั้งมืดและสว่างนะ”
“สารวัตรและผู้กองจะต้องหยุดการดำเนินการใดๆไปตาม
สถานะการณ์ก่อนคอยส่งเสริมช่วยเหลือฝ่ายทางมืดเท่านั้น โดยทำ
เป็นทองไม่รู้ร้อนนั่นแหละ หากได้รับอะไรมาก็ควรร่วมกัน
ปรึกษาหารือกันอย่าทำอะไรโดยวู่วามเด็ดขาด หากไม่ผิดตอนนี้ใน
กรุงเทพฯเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว ถึงอย่างไรผมก็ต้องรีบไปปฏิบัติ
หน้าที่ในเร็วๆวันนี้แหละ จะปล่อยให้ท่านรองคนเดียวไม่ได้ท่านก็
อายุมากแล้วด้วย และเหลือเวลาเดือนเดียวเท่านั้นก็อยากจะให้ท่าน
ได้พักผ่อนก่อน”
“ส่วนในทางมืดใครล่ะครับจะเป็นคนจัดการครับหัวหน้า”
“ในทางมืดผมจะให้เจ้าเปล่งนี่แหละเป็นหัวหน้าดำเนินการ
ทั้งหมด ส่วนพวกเราทำเป็นแค่แสร้งปฏิบัติไปตามเหตุการณ์แต่ไม่
ต้องจริงจังอะไรทั้งสิ้น ส่วนสายลับนั้นไม่ต้องบอกหากได้รับรายงาน
มาก็เพียงรับฟังไว้เท่านั้น ในทางกลับกัน สายลับฝ่ายมืดนั้นขออะไร
ก็ให้จัดการให้ ด้วยจะมีการขนย้ายสิ่งผิดกฏหมายครั้งใหญ่เกิดขึ้น
แต่การนี้จะไม่มีเป็นจำพวกแต่จะมีการผลิตในประเทศเรา โดยพวก
มันจะแยกชิ้นส่วนออกมา แล้วมาประกอบขึ้นในเราเอง”
บรรดาตำรวจทั้งหลายต่างมองหน้ากันไปๆมา ดังนั้นชายหนุ่มจึง
เอ่ยขึ้นอีกว่า
“การจะมาผลิตในระยะนี้ยังไม่ทันอยู่แต่จะอาศัยที่พวกมันซุกซ่อน
ไว้ลำเลียงออกมาก่อน ทางด้านกำนันมั่นนั้นเจ้าเปล่งก็ได้จัดการไป
เรียบร้อยแล้วล่ะ ส่วนที่ยังซุกซ่อนนั้นทางผมรู้แล้วว่ามันซุกซ่อนอยู่
ที่ใดบ้าง ฉะนั้นจึงจะให้เจ้าเปล่ง และพวกรวมทั้งหัวหน้าฝึกหน่วย
ลับทางเราและทางเพื่อนน้องชวน แต่ทว่าน้องชวนไม่ต้องออกหน้า
นะเพราะจะทำให้เป็นที่สงสัยให้บรรดาเพื่อนๆไปร่วมเท่านั้นเองการ
นี้ เจ้าเปล่งจะเป็นคนวางแผนการณ์ให้ทั้งหมด ที่เรียกประชุมนี้เพื่อ
แจ้งให้ หัวหน้าหน่วยฝึกและหน่วยราชการลับให้มาขึ้นตรงกับเจ้า
เปล่งไปเพื่อรับแผนดำเนินการของเจ้าเปล่ง การที่มาใช้สถานที่นี้นั้น
ด้วยเป็นที่เจ้าเปล่งได้วางแผนและวางค่ายกลต่างๆไว้คนอื่นจะเข้ามา
ไม่ได้ ใช้เป็นที่ทำงานได้เป็นอย่างดีเว้นแต่คนที่จะรู้สภาพค่ายกลนี้
เท่านั้นเอง แต่ผมคิดว่าคงจะหายากแล้วล่ะ อ้อๆๆทางตำบลอื่นล่ะมี
การแต่งตั้งกำนันไปแล้ว จากเหตุการณ์คราวป่าไม้นั้นทำให้บรรดา
กำนันที่ถูกแต่งตั้งใหม่ๆขยาดกันไปตามๆกัน คงจะไม่มีการร่วมมือ
กันแบบเก่าอีก ด้วยบรรดาพ่อค้ายังไม่ไว้วางใจนั่นเอง”
“หากมีเหตุการณ์เช่นนั้นพวกผมจะทำอย่างไรกันบ้าง???...ในเมื่อ
หัวหน้าแจ้งว่าในสถานที่นี้นั้นล้วนแล้วแต่วางค่ายกลอะไรๆ???ไว้
มากมายนั้น หากจะเข้ามาสามารถเข้ามาได้อย่างไรเล่าครับนาย”
ชายหัวหน้าฝึกคนหนึ่งถาม
“ใช่แล้วครับ หัวหน้าฝึกตอบถูกใจพวกผม เมื่อหัวหน้ามอบหมาย
ให้คุณเปล่งนั้นควบคุมดูแลแทน???...”
สายลืบลับที่ประจำยังตำบลต่างๆก็เอ่ยถามขึ้นบ้าง
“เรื่องนี้พวกเราไม่ต้องเป็นปัญหาหรอก หากต้องการจะเข้ามา
สถานที่นี้แล้ว ก็ให้มายังชายป่าแล้วตะโกนเรียกส่งรหัสเท่านั้นก็จะมี
คนออกมารับเข้าไปหาเจ้าเปล่งเองแหละ”
ชายหนุ่มตอบ พร้อมหันหน้าไปทางเจ้าเปล่งพลางเอ่ยขึ้น
“เจ้าเปล่งบัดนี้ทางด้านลับข้าเองพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆด้วยความ
เหมาะสมแล้วก็มีเพียงแต่เจ้าเท่านั้น เจ้าก็ไม่ต้องออกจากสถานที่นี้
นะหากมีอะไรไปส่งข่าวแก่ข้าและหรือนายหญิงที่ยังอยู่บ้านพ่อข้าอยู่
ก็ได้ ด้วยเจ้าแสงสีสินชัยก็ยังอยู่ที่นั่นแหละ ให้รายงานผลหรือ
ในทางเดียวกันข้าจะใช้เจ้าก็จะส่งคนมาบอกเจ้าเองแหละ”
“ครับนายอาจารย์ ข้าก็จะวางแผนต่างๆไว้ทั้งทางหนีและเข้า
จัดการไว้เป็นขั้นตอน แต่นายอาจารย์ยังไม่ได้บอกว่าที่เก็บของนั้น
อยู่ที่ใดและใครเป็นเจ้าของเลยครับ????.....”
“เรื่องนี้นั้น เสี่ยเม้งมันจัดการส่งให้ลูกน้องมันไปเก็บซ่อนไว้ตาม
เขาต่างๆ แต่ข้าได้ให้แสงสีสินชัยและพวกไปวางระเบิดไว้เรียบร้อย
แล้วล่ะ เพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลาจะเข้าไปจัดการ โดยจะแจ้งให้เจ้ารู้
แหละ อีกอย่างหนึ่งข้าคิดว่าให้ทำลายพร้อมๆกันนี้แหละ ส่วนเจ้า
จะแบ่งกำลังกันอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน”
แล้วชายหนุ่มก็หันหน้าไปทางหัวหน้าฝึกและหัวหน้าสายลับ
พลางเอ่ยว่า
“ส่วนด้านนี้ให้คอยสอดส่องและหมั่นฝึกชาวบ้านให้เชี่ยวชาญไว้
ด้วย อีกประการหนึ่งนั้นให้ทางเจ้าลำเลียงอาวุธต่างๆที่ซุกซ่อนไว้มา
เก็บไว้ในที่นี้เสีย ด้วยต่อไปอาจจะไม่แน่จะมีคนของทางการซึ่ง
ไม่ใช่พวกเราจะสืบเข้ามาและพบเสียก่อน ก็จะเดือดร้อนไปทั่วให้
รีบจัดการขนย้าย ข้าคิดว่าให้เจ้าเปล่งส่งคนไปช่วยก็แล้วกันนะ”
แล้วเขาก็หันหน้าไปทางเจ้าเปล่งพลางสั่งขึ้นทันทีว่า
“ไว้พรุ่งนี้ให้เจ้าส่งเด็กๆไปยังหมู่บ้านต่างๆเพื่อขนย้ายอาวุธมาเก็บ
ไว้ทางนี้ให้ลงมือทำงานในตอนกลางคืน ด้วยพวกเด็กเจ้าชำนาญทาง
อีกด้วยจะได้ไม่เป็นปัญหา ส่วนหัวหน้าฝึกและหัวหน้าสายลับก็ให้
คอยส่งมอบแก่เด็กๆของเจ้าเปล่งก็แล้วกัน”
“ครับพวกผมจะได้รีบไปจัดการให้เรียบร้อยทั้งหมด อ้อๆๆๆอีก
อย่างหนึ่ง หากเกิดปัญหาในหมู่บ้านจะทำอย่างไร????....เล่าครับนาย
ด้วย หากมีคนร้ายที่แฝงเข้ามาทางฝั่งโน้นขอให้นายแจ้งให้รู้ด้วย
ครับ ทางผมจะได้จัดการตามคำสั่งนาย”
“ถ้ายังกังวลก็ให้เก็บไว้บ้างก็ได้ แต่อย่าลืมให้หาที่เก็บไว้และหมั่น
สับเปลี่ยนที่เก็บไว้เสมอๆ แต่ครั้งละน้อยๆ ไม่ใช่ระดมทีเดียวหมด
นะก็จะเป็นที่สงสัยของคนอื่น อย่าลืมว่าทางคนอื่นจะไม่รู้ เพราะ
เหตุการณ์นี้จะไว้วางใจใครไม่ค่อยได้เสียด้วยซิ”
“ครับนาย!!!!.....ผมเองจะแบ่งไว้ส่วนหนึ่งเพียงแค่พอใช้เท่า
นั้นเอง แต่ส่วนใหญ่จะส่งมาทางนี้หมดครับ”
“ดีแล้วล่ะ ที่มาบอกก็คงจะมีเพียงเท่านี้แหละด้วยจะได้ไม่เป็นที่
กังขาระแวงกันและกัน ส่วนข้าก็จะไปทำงานด้านในเมืองคงจะไม่
ค่อยมีเวลามาทางนี้บ่อยนัก อีกอย่างหนึ่งถึงแม้จะมาพักยังบ้านก็
ตามแต่ก็ไม่อาจจะแสดงตัวได้ จะมาก็เพียงหมดเวลาทำงานเท่า
นั้นเอง สารวัตรและผู้กองและตำรวจทั้งหมดให้ปิดเรื่องนี้เป็น
ความลับไว้ด้วยนะ อย่าให้ทางโรงพักรู้เรื่องเสียล่ะด้วยทางนั้นให้
เพียงรู้เขาแต่อย่าให้เขารู้เราเป็นอันขาด”
“ครับทุกๆคนรับปากแล้วนาย ยังมีอะไรที่จะบอกอีกหรือเปล่า
ล่ะครับ”
“เห็นจะมีเพียงเท่านี้แหละ ขอให้ทุกๆคนหาความสนุกสนานและ
กินกันอย่างตามสบายนะ ให้ทุกๆคนปิดปากเงียบแม้แต่ครอบครัวก็
อย่าให้รู้เป็นอันขาดด้วยล่ะ”
“ครับๆนายรับรองว่าจะไม่ให้นายผิดหวังเรื่องนี้เป็นอันขาด”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเชิญตามสบายนะเดี๋ยวข้าก็จะรีบกลับก่อน
ล่ะเพราะมีเรื่องต้องทำอีก ไม่ต้องไปส่งพวกข้าหรอกคืนนี้หา
ความสุขที่พวกเจ้ายากจะหาได้อีกแล้วล่ะ เปล่งก็เหมือนกันต้อนรับ
พวกเราให้ดีๆด้วยนะ สาวๆทั้งหลายด้วยล่ะปรนนิบัติพวกเราให้ดีๆ
หน่อยนะ”
“เจ้าค่ะอาจารย์ พวกเราจะต้อนรับขับสู้ให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
พวกนางพรายทั้งหลายเอ่ยพร้อมๆกัน แล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นพร้อม
แม่นางอัปสารออกเดินทางกลับไปทันที แล้วก็ห้ามเจ้าแสงสีสินชัยที่
จะลุกตามเขาไป กล่าวว่า
“เจ้าแสงสีสินชัยก็ไม่ต้องตามข้าไปหรอกหาความสนุกและสนิท
สนมกับหัวหน้าฝึกและสายลับด้วยก็แล้วกันนะ”
“ครับอาจารย์ หากอาจารย์กล่าวเช่นนี้”
เจ้าแสงสีสินชัยก็หันไปทางเจ้าพ่วงเจ้าเริ่มพลางหยอกล้อด้วยเจ้า
พ่วงและเจ้าเริ่มอยู่กับเจ้าเปล่ง รอบล้อมด้วยบรรดาหญิงชายทั้งหลาย
ส่วนบรรดาเพื่อนเจ้าชวนและชวนก็ต่างคุยกับพวกหัวหน้าฝึกและ
หัวหน้าสายลับอย่างสนิทสนม ทั้งหมดล้วนมีบรรดาหญิงสาวนั่งคอย
ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ สาวๆทั้งหมดล้วนแต่สวยงามกันทั้งสิ้นร่างมี
กลิ่นหอมเย้ายวน แต่บรรดาทั้งหมดเกรงใจเจ้าเปล่งหัวหน้าซึ่งได้รับ
การแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า ซึ่งเจ้าเปล่งและชวนหาสนใจบรรดาสาวๆ
ไม่ต่าง พากันมานั่งคุยกันที่แคร่หน้าบ้านทางเข้าปากถ้ำ ซึ่งเขานี้มีถ้ำ
อีกมากมายและสลับซับซ้อนมากเจ้าเปล่งบอกแก่ชวน บางครั้งก็หัน
หน้าไปมองพวกๆที่กำลังสนุกสนานเฮฮา แต่ในงานนี้หาได้มีของมึน
เมาอยู่ด้วยเลย แต่พวกทั้งหมดเมาความสวยงามของสาวๆตลอดจน
กลิ่นหอมต่างๆเท่านั้น จวบจนเวลาล่วงเลยเข้ามากแล้วต่างก็จะขอตัว
กลับบ้านกัน แต่เจ้าเปล่งห้ามไว้ว่าดึกแล้วไม่สมควรจะกลับขอให้
พักผ่อนที่นี้ก่อนรุ่งเช้าค่อยออกเดินทางกันไป ยกเว้นเจ้าชวนที่ไม่
ยินยอมและขอออกเดินทางไปคนเดียวส่วนพรรคพวกนั้นจะติดตาม
กลับเจ้าชวนก็ห้ามไว้ด้วยเห็นว่าพวกมันต่างกำลังหลงใหลสาวๆอยู่
เจ้าเปล่งเองก็เดินออกมาส่งถึงปากทาง จนกระทั้งเจ้าชวนขับรถ
กะบะออกเดินทางกลับไป เจ้าเปล่งจึงเดินกลับเข้าบ้านทันที..........
แก้วประเสริฐ.
14 มิถุนายน 2554 15:02 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๙๓
คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ท้องฟ้าปราศจากเมฆก้อนใหญ่นอกจาก
ก้อนเมฆเล็กที่ล่องลอยผ่านไปตามกระแสลมพัด
ทำให้บริเวณลานกว้างใน
บ้านเจ้าเปล่งที่ถูกจัดวางไว้ด้วย โต๊ะยาวๆพร้อมเก้าอี้ยาวเช่นเดียวกัน
หลายๆโต๊ะยาว ที่จัดวางไว้ห่างกันไม่เท่าไหร่นัก ริมรอบบริเวณไฟฟ้า
ดวงเล็กเรียงราย เหนือเสาที่ถูกปักด้วยเสาเรียงราย ส่งแสงเจิดจ้า ไม่มาก
นัก ทอแสงสว่างแข่งกับแสงแห่งนวลจันทร์ที่ทอทาบลอดต้นไม้และไป
ยังลานกว้างพอประมาณบริเวณนั้นหลังจากพ้นจากเขาที่บดบังไว้ จึงทำ
ให้บริเวณนั้นสว่างไสว ไม่มากนัก แต่ก็มองเห็นได้เป็นอย่างดีตลอด
ทั้งแสงไฟและแสงแห่งดวงจันทร์ อีกด้วย ซึ่งภายในบริเวณนั้นอากาศ
สายลมพัด
เอื่อยๆแสนสดชื่นใบไม้ต่างไหวไปๆมาๆ สภาพจึงจัดว่าเหมาะสมดี
แต่ทว่าภายในบริเวณล้วนมีบรรดาผู้คนเป็นจำนวนมากเดินขวักไขว่ไป
มาทั้งหญิงและชาย ต่างช่วยกันจัดลำเลียงบรรดาโถน้ำและแก้วจัดวางไว้
ตามโต๊ะยาวๆนั้น ส่วนหน้ากระท่อมที่ติดภูเขายื่นออกมา วางไว้ด้วยแคร่
ไม้เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าพอประมาณนั่งด้วยร่างที่นุ่งขาวห่มขาวสวมใส่
ประคำสีออกดำๆกำลังนั่งสนทนากับคนสองสามคนอยู่ เพื่อรอเวลาถึงจะ
มาถึงอีกในไม่ช้า แต่หากสังเกตุดีๆจะเห็นว่าบรรดาชายหรือหญิงนั้นแต่ง
กายแปลกประหลาดนักคล้ายๆกับสาวในยุควรรณคดีเสียเกือบทั้งหมดจะ
มีนุ่งผ้าซิ่นบ้างก็คละเคล้ากันไปมาๆ
ทุกๆคนเฉพาะหญิงนั้นจัดว่าเป็นคนที่สวยงามกลิ่นหอมที่ออกมาจาก
ร่างนางนั้นช่างแปลกประหลาดกลิ่นหอมเย็นๆ ผิดกับจำพวกน้ำหอมที่
ชาวกรุงชอบใช้ล้วนเป็นคล้ายๆแป้งร่ำหรือพวกน้ำอบโชยกลิ่นหอมเย้า
ยวนนัก ส่วนชายเล่าหรือก็แต่งกลายแบบโบราณนุ่งกางเกงออกสีดำๆ
และสีน้ำเงินเข้มยาวเลยหัวเข่าเพียงเล็กน้อย เสื้อผ้าหรือก็ไม่เหมือนพวก
ที่แต่งกายในยุคบัจจุบันเลย ทุกๆคนกระวีกระวาดทำงานกันตัวเป็นเกลียว
ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาก่อนนำหน้าด้วยคนนำทาง ครั้นมา
ถึง ชายกลุ่มนั้นจำนวนหกคนก็แปลกใจยิ่งนัก เมื่อแลไปที่ร่างของชายที่
นุ่งขาวห่มขาว ทั้งหมดต่างขยี้นัยน์ตากันหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย
นัก หนึ่งในนั้นก็พลันเอ่ยถามพรรคพวกทันทีว่า
“พี่ชวนนั่นใช่เจ้าเปล่งหรือไม่พี่ พี่ลองดูซิหรือว่าเป็นอาจารย์หมอผี
กำลังก้มหน้าก้มตาคุยกับใครบางคนก็ไม่รู้ซิพี่”
“เออๆจริงซินะเจ้าใหญ่หรือตี๋ใหญ่ที่ถามมา ข้าว่าคงจะใช่เจ้าเปล่งแต่
แปลกจริงๆทำไมมันแต่งขาวนุ่มขาวก็ไม่รู้ซินะ”
“ข้าก็ว่าจะใช่เพียงแปลกที่การแต่งตัวเท่านั้นใบหน้ารูปร่างหรือใช่นะ
ใช่แน่ๆพี่ชวน”
“คงจะใช่แน่ๆเลยพี่ เฮ้ยพวกเราไม่ต้องสงสัยอะไรหรอกเดินไปหามัน
ก็จะรู้เองแหละน่า”
เจ้าวาสเสนอขึ้นมา ทำให้ทุกๆคนคล้อยตามไปด้วย ต่างก็เดินไปพลาง
เจ้าตี๋เล็กก็แกล้งส่งเสียกระแอมไอออกมา ทำให้คนที่นั่งบนแคร่นั้น
เงยหน้าขึ้นมาทันที พร้อมส่งยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินออกมาต้อนรับทันที
พร้อมทั้งยกมือไหว้ไปทางเจ้าชวนทันที
“สวัสดีพี่ชวน สบายดีหรือเปล่าล่ะ ระยะนี้พ่อหวนท่านไปเป็นเจ้า
อาวาสวัดโคกอีแร้งแล้วล่ะแทนหลวงพ่อทอง พี่ไปงานมาหรือเปล่าล่ะ
ส่วนข้าไม่ได้ไปหรอก เพราะกำลังคิดวางแผนการณ์ที่นายแจ้งมาให้
มาๆนั่งหาอะไรกินกันก่อนนะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกผลไม้นะพี่
ส่วนอาหารอื่นก็มีบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง เชิญๆๆๆพวกเรานั่ง
กันให้สบายได้แล้วล่ะ เฮ้ยๆๆๆ...พวกเราทุกๆคนคงจะสบายดีนะ”
“ข้าบอกแล้วว่าใช่เจ้าเปล่งแน่นอนไม่ผิด”
เจ้าวาสเปรยขึ้นพร้อมบอกให้ทุกๆคนเข้าไปหาเจ้าเปล่งทันทีด้วย
ความสงสัย เจ้ากุ๋นจึงถามว่า
“ข้าถามจริงๆเถอะว๊ะเปล่งทำไมถึงได้แต่งตัวแบบนี้ดูไปคล้ายๆพวก
อาจารย์หรือพวกหมอเสน่ห์หรือหมอผี ด้วยสวมประคำอีกด้วยซิ”
“เพื่อการฝึกสมาธิให้แนบแน่นเองนั่นแหละว๊ะไม่มีอะไรหรอกส่วน
ที่แต่งกายสีขาวนั้นหาใช่เป็นอาจงอาจารย์อะไรหรอกว๊ะกุ๋น เพียงแต่
ว่าข้าเลิกกินเนื้อสัตว์ กินแต่ผลไม้แทนการแต่งกายแบบนี้จิตใจก็ผ่องใส
ไม่ว้าวุ่นอะไรไม่ติดยืดอะไร การติดยืดมีเพียงแค่คำสั่งนายเท่านั้นเอง
แหละที่มีคุณมากยากจะทดแทนได้เท่านั้นว๊ะ”
แล้วทุกๆคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นึกชมมันในใจ ต่างพากันเข้าไปสวม
กอดเจ้าเปล่ง ยกเว้นเจ้าชวนเท่านั้นที่เพียงแค่ยืนอมยื้มหันหน้าไปมอง
รอบๆกาย แล้วใบหน้าคิ้วมันก็ขมวดด้วยความสงสัยจึงเอ่ยถามเจ้าเปล่ง
ขึ้นเพื่อแก่ความสงสัย ด้วยเห็นมีผู้คนจำนวนมากทั้งชายและหญิงอีก
อย่างหนึ่งการแต่งกายหรือก็แปลกๆผิดชาวบ้านทั่วๆไปเท่านั้น ทำให้มัน
นึกย้อนไปยังสาวลัดดาที่เป็นเจ้าของร้านอาหารทางบ้านทันที นับว่า
หล่อนนั้นจัดว่าเป็นหญิงงามที่สุดในตำบลก็ว่าได้ แต่หากมาเทียบกับสาว
ที่ต่างพาดสไบเฉียงเหล่านี้แทบเรียกว่าผิดกันราวกับฟ้าดินทีเดียว แล้ว
มารวมอยู่กับเจ้าเปล่งได้อย่างไร ส่วนชายหรือก็แต่งกายประหลาดๆไป
“เปล่งพี่ขอถามหน่อยเถอะนะ ด้วยรู้สึกมันแปลกๆชอบกลยังไงไม่รู้
ซิ ด้วยเห็นชายหญิงแต่งกายประหลาดแบบคนโบราณไม่ผิดเลยนะ”
ทุกๆคนก็ผละจากสวดกอดเจ้าเปล่งแล้วสนทนากันหันไปมองรอบๆ
ข้างมันทันที ก็แลเห็นดังคำที่พี่ชวนหัวหน้าพวกมันเอ่ยเหมือนกันต่างพา
กันมองมายังเจ้าเปล่งทันที เมื่อได้ยินลูกพี่มันถามขึ้นมา
“อ้อๆคนของนายและของข้าแหละพี่ชวน วันนี้นายสั่งให้มาต้อนรับ
พวกเราและ คนในเมืองเดี๋ยวก็คงจะมานั่นแหละ เด็กๆพวกเราทั้งนั้น
แหละไม่มีใครอื่นๆหรอก”
“แล้วทำไมถึงแต่งกายไม่เหมือนพวกเราเลยล่ะ กูก็ชักสงสัยเหมือนกัน
นะโว้ยคุณเปล่ง”
“ฮ่าๆๆๆ!!!!.....ก็คนที่พวกมึงแลเห็นอยู่นี้มันไม่ใช่มนุษย์นี่นาจะแต่ง
กายเหมือนพวกเราไปได้อย่างไร ข้าเองก็ต้องทำตามเขาบ้างเข้าเมืองตา
หลิ่วหากไม่หลิ่วตาตามก็ดูกระไร เหมือนมึงพายเรือหากเข้าไปในคลอง
มึงก็ต้องพายเรือไป ถ้าหากคลองมันคดมึงจะไม่พายเรือคดไปตามคลอง
ได้หรือว๊ะ ข้าเองก็แต่งตัวเหมือนกันแหละว๊ะ”
เจ้าเปล่งเอ่ยให้บรรดาพวกพ้องฟัง ทำให้ทุกๆคนเมื่อได้ยินว่าไม่ใช่
คนแบบพวกมัน ก็พากันนึกถึงผีขึ้นทันใด ต่างสะดุ้งตกใจหน้าซีดไป
ตามๆกัน รวมทั้งเจ้าชวนปกติมันจะเคร่งขรึมก็อดพลอยตกใจไปด้วย
เหมือนกัน
“ถ้าอย่างงั้นมันก็พวกผีซิว๊ะ ไอ้คุณเปล่ง”
ทั้งหมดร้องกันลั่น แล้วต่างเข้าไปรวมตัวรอบเจ้าเปล่งทันทีเหมือน
จะให้เจ้าเปล่งช่วยเหลือยยังไงยังงั้นแหละ พลันเจ้าเปล่งก็เอ่ยขึ้นว่า
“ไม่ใช่ผีหรอกเพื่อนๆพี่ชวน เขาเป็นพวกหุ่นของนายบ้าง พวกผีบ้าง
แต่ได้ปรับตัวเองเปลี่ยนสภาพเหนือผีไปแล้ว พวกรุกขเทวีบ้าง นางไม้
บ้าง ครั้นเมื่อมีงานก็ต้องแต่งตัวกันดีๆ หากไม่เชื่อลองถามพวกเราที่
เคยโดนมาแล้วก็ได้ซิว่าข้าพูดจริงไหม”
“จริงๆว๊ะ พวกเราสามคนโดนกันมาแล้วเมื่อหลงไปในค่ายกลค่ายแกน
อะไรนี่ล่ะพี่ชวนและลองถามเมื่อคราวมาเยี่ยมคราวก่อนก็ได้นะ”
เจ้าวาสเอ่ยขึ้นให้ลูกพี่มันฟัง แต่ที่มันตกใจเพราะเหตุการณ์ยังย้อนมาให้
มันจำได้ไม่รู้ลืมเมื่อคราวก่อนนั่นเองแหละ ทำให้เจ้าชวนงงยิ่งนักย้อน
ถามกลับไปว่า แล้วพวกเอ็งเจอกันมาทุกๆคนแล้วหรือไม่เห็นเล่าอะไร
ว่าเจออะไรกันบ้างเลย
ให้กูฟังเลยปิดเงียบกันทุกๆคน ทำให้พวกที่โดนกันมาต่างมองหน้ากัน
ด้วยเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก ยกเว้นเจ้าวาสเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ชวนแต่สภาพเหตุการณ์ผิดกันเท่านั้นเองล่ะแตกต่าง
กันไม่เหมือนคราวนี้เท่านั้นและมีน้อยกว่านี้มากนักแหละ”
“พี่ชวนเรื่องมันแล้วก็แล้วไปเถอะพี่อย่าไปถามพวกมันเลย มันจะอับ
อายเสียเปล่า เชิญไปนั่งที่โต๊ะยาวด้วยกันเถอะไปคุยกันที่นั่นก็แล้วกัน
นะพี่ อีกประเดี๋ยวพวกสารวัตรกับพวกก็จะมาถึงแล้วล่ะ ส่วนนายคงจะ
มาล่าสุด แล้วก็จะเริ่มประชุมกันเลยพี่”
เจ้าเปล่งตัดบทเพื่อไม่ให้เพื่อนๆต้องอับอายในเรื่องดังกล่าวเลยรีบนำ
หน้าไปยังโต๊ะยาวพร้อมนั่งสลับหันหน้าชนกันคุยกันไป บรรดาสาวๆ
ทั้งหลายก็พากันเข้ามา ช่วยรินน้ำส่งให้แต่ละคนยกเว้นเจ้าเปล่งคนเดียว
เท่านั้น เล่นเอาบรรดาพระกาฬทั้งห้าต่างไม่กล้าที่จะสบตากับบรรดา
สาวสวยทั้งหลาย มันพากันคิดไปต่างๆนาๆไม่กล้าที่จะละลาบละล้วง
ดังนิสัยชายหนุ่มทั่วๆไป
ทันใดนั้นมันทั้งห้าก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียสาวหนึ่งในห้านาง
เอ่ยขึ้นทันที ด้วยมันจำเสียงเหล่านี้ได้ดีอย่างไม่มีวันลืม
“พี่ๆจำน้องไม่ได้หรือ หายไปนานหรือว่าลืมน้องที่เคยมีอะไรกันไว้
แล้วล่ะ แหม๋ๆผู้ชายนี้ทำไมลืมง่ายดายจริงๆน๊ะ???....”
“เสียงนะคิดว่าพวกพี่ๆจำได้จ๊ะ แต่ทว่าเมื่อก่อนนั้นพี่ไม่รู้จริงๆว่าน้อง
เป็นใครกัน พอรู้ก็รู้สึกว่ามันเยือกเย็นเหมือนเอาใจไปแช่น้ำแข็งเลยล่ะ”
เจ้าวาสซึ่งตั้งสติได้ตอบแทนพวกมันที่ได้แค่อ้าปากค้าง ทำไมพวกมัน
จะจำเสียงไม่ได้ เพียงแต่บัดนี้พวกนางแต่งตัวเรียบร้อยแล้วลวดพาดสไบ
เฉียงกันไป กลิ่นกายหอมหวนมันจำกลิ่นได้เป็นอย่างดี
เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็ต่างพากันเข้ามานั่งเคียงคู่ด้วยทันที เล่นเอา ไอ้ตี๋
ใหญ่ ไอ้ตี๋เล็กไอ้ชื่นและไอ้กุ๋นต่างรีบถอยออกห่างทันที ส่วนไอ้วาสมัน
นั่งเฉยๆด้วย ตอนนั้นมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างไร เพียงแค่มีนาง
หนึ่งเดินมาชักชวนมันไปเล่นน้ำแต่มันรีบหนีไปเสียก่อน จนได้แม่นางไม้
มาช่วยเหลือมันไว้ จึงทำใจแข็งไว้แต่มันคิด หากมันมีเมียได้สวยแบบนี้
มันก็ยอมล่ะเป็นไงเป็นกัน ไอ้วาสรำพึงในใจเมียคนหาไม่ได้นี่นา ลองหา
เมียเป็นผีบ้างก็คงจะดี บางทีอาจจะดีกว่าเมียคนเสียอีกเพียงแค่ขอให้แปลง
กายเป็นแบบนี้เสมอๆไม่ใช่ว่าเป็นรูปร่างอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น กลิ่นหรือก็
หอมหวนยิ่งนัก ขออย่าให้เหม็นเป็นใช้ได้มันรำพึงในใจ
ดังนั้นไอ้วาสจึงหันมาส่งยิ้มแล้วถามชื่อทันทีว่า
“อ้าวแล้วน้องล่ะ มีชื่อว่าอะไรล่ะ???...พี่จะได้เรียกชื่อถูกจ๊ะน้อง”
“น้องชื่อมณฑาจ๊ะพี่วาส แล้วทำไมพี่ถึงไม่กลัวเหมือนเพื่อนๆพี่เสีย
ล่ะ??.....หรือว่าพวกนางนั้นไม่สวยเท่าน้องใช่ไหม??....”
“เรื่องแบบนี้พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่ใจเขาจ๊ะน้องมณฑา ส่วนพี่
เองนั้นไม่คิดอะไรมาก เป็นโสดมาถึงขนาดนี้แล้วจะหาสาวใดมาสนใจพี่
ไม่มีเลย ทั้งๆทีพี่เองก็ไม่ใช่คนเจ้าชู้อะไรหรอกแค่บางครั้งเพียงหยอกเย้า
เล่นเท่านั้นเอง หรือว่าพี่เองอาจจะรูปไม่งามไม่ต้องใจสาวๆพูดจาหรือก็
ไม่ไพเราะ เลยทำให้ไม่มีใครเหลียวแลเมื่อจะหาเมียคนจีบไม่ได้ก็ทำใจ
ได้ลองคิดจะจีบสาวไม่ใช่คน บางทีวาสนาพี่ส่งหรืออาจจะมีก็อาจจะมี
เมียกับเขาได้บ้างจะเป็นอะไรก็ช่างเถอะพี่ทำใจได้แล้วล่ะจ๊ะ”
“น้องเองก็รู้ว่าพี่เป็นคนมีนิสัยอย่างไรและเป็นโสดด้วยจึงหลังจาก
หยอกเย้าพวกพี่ๆเล่นก็ได้แต่คอยมองพี่ พี่บอกว่าไม่ค่อยสบายก็ไม่อยาก
ไปรบกวนพี่ ทั้งๆที่รู้แล้วว่าพี่ไม่เป็นอะไรแต่เรื่องนี้น้องเองก็ไม่ค่อยชอบ
ไปหักหาญน้ำใจใครเสียด้วย อีกอย่างหนึ่งเหมือนมีใครมาบอกว่าพวก
พี่ๆรวมทั้งพี่นะเป็นเพื่อนของอาจารย์อีกด้วยล่ะจ๊ะ ความคิดที่กล่าวมานี้
ขอให้เป็นจริงเถอะนะ รับรองว่าน้องจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังอย่างแน่นอน
อันว่าต้องถึงจะไม่ใช่คนก็ตามที แต่น้องตอนนี้มีศีลมีสัตย์กว่าแต่ก่อนและ
อีกอย่างหนึ่งสภาพปัจจุบันนี้ไม่เหมือนก่อนแล้วล่ะจ๊ะ ได้เปลี่ยนแปลงเมื่อ
ได้สร้างกุศลผลบุญไว้จึงได้เป็นนางไม้ไปแล้วจ้า
เพียงแต่พี่เองจะยอมรับได้เท่านั้นเอง ส่วนน้องนั้นก็ยังไม่เคยยุ่ง
เกี่ยวกับใครๆเลย เสียชีวิตก็ตอนวัยยังสาวด้วย ถูกสัตว์มันฆ่าตายไปจ๊ะ จึง
ได้เร่ร่อนมาเรื่อยๆจนมาพบสถานที่นี้แหละจ๊ะ พอดีได้รับความเมตตา
จากรุกขเทวีท่านรับไว้เพื่อคอยรับใช้งานแม่นางท่าน และท่านได้พามาพบ
อาจารย์เปล่งได้ช่วยอบรมบ่มนิสัยใหม่ตลอดจนสร้างบารมีให้แก่ตัวเอง
ด้วยจ๊ะ แต่เรื่องนี้แล้วแต่เวรกรรมใครเวรกรรมมันจ๊ะ
หากไม่เสียชีวิตไปก็คงจะหนีไม่พ้นพี่ได้หรอกด้วยเราสองเคยสร้าง
กุศลมาด้วยกันอธิษฐานกันไว้แล้วเมื่อภพก่อนอีกด้วย
ดังนั้น ทำให้น้องบังเกิดความสงสารเอ็นดูพี่ทั้งๆที่มีเหล่าชายในลักษณะ
เดียวกันมาเกี้ยวพาราสีน้อง น้องก็หาสนใจใยดีไม่จ้าพี่หรอก”
ครั้นเจ้าวาสได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ก็ลืมหมดว่านางเป็นอะไรไป แต่ด้วย
มันเองเป็นคนเด็ดเดี่ยวสัตย์ซื่อนัก รักใครมักจะรักยอมถวายชีวิตให้อยู่
แล้วดังนั้นมัน จึงไม่สนใจใยดีว่านางจะเป็นอะไรถึงจะไม่ใช่คน ดังนั้น
มันจึงเกี้ยวพาราสีนางมณฑากระเซ้าเย้าแหย่หยอกล้อกันเล่น จนทำให้
พวกมันที่ต่างที่เขยิบหนีแม่นางต่างๆนั้นจ้องมองไอ้วาสเป็นตาเดียวกัน
ว่าทำไมไอ้วาสถึงได้กล่าวจีบนางผีตนนี้ได้เหมือนกับว่านางผีนั้นเป็นคน
ส่วนเจ้าเปล่งครั้นเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกันขณะที่กำลังคุยอยู่กับ
เจ้าชวนลูกพี่มัน ต่างคุยกันอย่างสนุกสนานเย้ากันว่าไอ้เปล่งเดี๋ยวนี้หาใช่
ธรรมดาเสียแล้ว คุมพวกผีสางนางไม้ได้ในทำนองเดียวกันก็แลเห็นไอ้
วาสกำลังจึงสาวๆอยู่เหมือนกัน แต่ชวนเองเป็นคนไม่ค่อยสนใจในเรื่อง
นี้เพียงแค่ถามเจ้าเปล่งว่า
“นี่แน๊ะเปล่ง เมื่อเจ้าคุมบรรดาพวกนี้มีอะไรกับพวกสาวๆบ้างหรือเปล่า
ล่ะ ไม่ต้องเกรงใจหรือกลัวอายบอกข้าได้น๊ะข้าไม่บอกพวกเราหรอก”
“พี่เองก็รู้นิสัยข้าเป็นคนอย่างไรดีอยู่แล้วนี่นาจะไปสนใจได้อย่างไรยิ่ง
มาปกครองพวกนี้ขืนทำเป็นสมภารกินไก่วัดแล้วต่อไปจะปกครองได้
อย่างไรกันได้อีกเล่า อาจารย์นายก็สั่งนักสั่งหนาหากวันใดข้าผิดคำมั่น
สัญญาไว้กับอาจารย์นายแล้ว วิชาการต่างๆจะทำให้ข้าเองต้องลงไปยัง
อบายนรกแน่นอน ข้ากลัวมากพี่เพราะอาจารย์นายได้พาข้าไปเที่ยว
มาแล้วสู้อดเปรี้ยวไว้กินหวานมิดีกว่าหรือ จึงวางตัวไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆทั้งสิ้น
เพียงเมื่อทำงานให้นายเรียบร้อยก็เป็นอันใช่ได้ เมื่อไม่กี่วันนี้ข้าเองก็ทำ
ธุระให้นายเสร็จไปอย่างหนึ่งแล้วล่ะ”
“พี่โชติใช้ให้เอ็งไปทำงานอะไรหรือว๊ะเจ้าเปล่ง”
“นายใช้ข้าไปทำลายของผิดกฏหมายข้าได้ทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว”
ดังนั้นเจ้าอาจารย์เปล่งก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ชวนฟังจนหมดสิ้น
ทำให้เจ้าชวนยิ่งเกิดเพิ่มศรัทธาเชื่อมั่นรักพี่โชติมันยิ่งขึ้น ถึงกับรำพึงใน
ใจว่า ดีนะที่เราไม่เป็นคนเกเรและทำงานที่ไม่ดีด้วยนิสัยเราไม่ชอบทาง
นี้หากทำงานไป เหมือนพ่อที่พี่เขายังเมตตาสงสาร มิฉนั้นป่านนี้ไม่ตาย
ก็มีหวังติดคุกหัวโตแน่นอน และแล้วทั้งหมดก็หยุดสนทนากันเมื่อแล
เห็นชายคนหนึ่งนำหน้า สารวัตรชัชวาลย์ ผู้กองจำลองและผู้กองจรัสเข้า
มาในบริเวณนั้น เจ้าเปล่งก็ลุกขึ้นออกไปต้อนรับพร้อมยกมือไหว้ทันที
“นายแจ้งให้ทราบแล้วว่าจะมาประชุมกันคืนนี้ ทำไมใกล้ๆแค่นี้ก่อน
นี้เราทั้งหมดก็เคยมากันแล้วนี่นา แต่ทำไมจะหาทางมาพบไม่ได้หรือไง
จึงต้องให้คนออกไปรับเรามานะ?????....”
สารวัตรชัชวาลย์เอ่ยถาม พร้อมหันไปมองรอบๆตัวก็เห็นพวกของ
ชวนก็จำได้อย่างแม่นยำจึง เดินไปทักทายทันที บรรดาหญิงทั้งหลายเห็น
ดังนั้นก็รีบลุกขึ้นเดินออกไปทันที พร้อมคอยจังหวะเมื่อคนมาใหม่มานั่ง
ก็จะได้จัดน้ำจัดท่ามาบริการให้
“แล้วนายยังไม่มาอีกหรือ เปล่ง แล้วทำไมตอนนี้แต่งตัวยังกับนักบวช
เชียวนะ????...”
“ยังครับท่านสารวัตรนายบอกว่าให้รอคอยก่อน คิดว่าประเดี๋ยวก็คงจะ
มาเองแหละครับ อ้อๆที่แต่งตัวแบบนี้อำพลางตนเองได้ดีอีกด้วยแล้วมี
บางอย่างจะบอกท่านสารวัตรไม่ได้ด้วยครับ”
“อ้าวๆๆๆ????...เราก็พวกเดียวกันจะมาปิดบังกันทำไมล่ะ???...”
ผู้กองจำลองกับผู้กองจรัส ถามขึ้นพร้อมๆกัน
“ผมกำลังศึกษาวิชาการต่างๆทางด้านเวทย์มนต์ตลอดแผนการณ์ต่างๆ
อยู่ครับ ที่ให้คนไปรับท่านทั้งสามมานั้นผมได้ทดลองวางสิ่งบางอย่างไว้
หากไม่มีคนไปรับแล้วอาจจะติดอยู่ในนั้นจนตายไป ย่อมหาทางออก
ไม่ได้หรอกครับ”
“ฮ่าๆๆๆ????....ร้ายกาจถึงปานนี้เชียวหรือ???....ก็เขานำทางมาก็เห็นมี
แต่ต้นไม้ธรรมดาเท่านั้นนี่นา ไหนบอกว่าร้ายกาจหาทางออกไม่ได้”
ตำรวจทั้งสามระดับหน้าถามด้วยความแปลกใจ ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงเล่า
เรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าได้จัดการสร้างค่ายกลเอาไว้ หากไม่เชื่อไปสอบถาม
เจ้าตี๋ใหญ่และพรรคพวกยกเว้นพี่ชวนได้ครับ ทำเอาตำรวจทั้งสามตีสี
หน้าฉงนไปตามๆกัน แล้วหันไปสอบถามพรรคพวกตำรวจลับคือพวก
เจ้าเปล่งทันที และก็ได้รับการยืนยันด้วยทั้งหมดได้หลงเข้าไปติดกับอยู่
ในนั้นหาทางออกไม่ได้ เล่นเอาตำรวจทั้งสามด้วยงวยงงไปแบบเชื่อครึ่ง
ไม่เชื่อครึ่ง แต่ในเมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้นก็ต้องฟัง เจ้าเปล่งก็เชิญให้
ไปนั่งยังที่อันสมควร เพื่อรอนายมันจะมาถึง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวก
ตำรวจทั้งหลายแปลกใจก็คือ
ในบริเวณนั้นมีจำนวนคนทั้งหญิงและชายเป็นจำนวนมาก
หากประมาณคร่าวๆไม่ต่ำกว่าพันคนเป็นเด็ดขาด
แต่แปลกๆด้วยบริเวณนั้นก็หาใช่ที่จะกว้างขวางใหญ่โตไม่เพียง คนเดิน
สลับไปสลับมาแล้วก็หลบไปแล้วก็มา แต่หน้าตาไม่เหมือนๆกัน โต๊ะยาว
หรือก็มีจำนวนมากเสียด้วย อีกทั้งบนพื้นก็ถูกปูไว้ด้วยเสื่อที่ยังไม่ได้กาง
หลายสิบม้วนอีกด้วย โต๊ะยาวนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่โต๊ะเท่านั้นเองนอกนั้น
คงจะนั่งกับพื้นเสียแน่นอน ท่านสารวัตรและผู้กองคิดเช่นนั้น
มีอีกสิ่งหนึ่งคือไม่ได้ยินเสียงนกหากินในกลางคืนร้องเลยสักตัวเดียว
ซึ่งมันผิดปกติวิสัย หากเป็นป่าเช่นนี้ถึงอย่างไรก็ต้องมีเสียงร้องของสัตว์
หากินในกลางคืนบ้าง หรือไม่ก็ต้องมีพวกค้างคาวบินว่อนๆ ยุงหรือก็ไม่
มีสักตัวเดียว อากาศเย็นสดชื่นมากๆเอาเสียด้วยบรรดาพวกต้อนรับหรือ
ก็เป็นสาวๆสวยๆทั้งนั้น สวยกว่าสาวๆในเมืองที่เห็นมาเสียอีกยิ่งสร้าง
ความแปลกใจให้แก่นายตำรวจทั้งสามคนเป็นยิ่งนัก ครั้นจะถามหรือก็
เห็นจะไม่เหมาะสม จึงเพียงนั่งสนทนากันถึงเรื่องราวต่างๆในเมือง และ
เหตุการณ์ต่างๆเท่านั้นเอง อากาศในบริเวณนั้นก็หอมนักคล้ายกลิ่นของ
บรรดาดอกไม้ต่างๆมารวมกัน
ครั้นแล้วทุกๆคนก็หยุดการสนทนาเมื่อแลเห็นร่างของชายหนุ่มคน
หนึ่งเดินเคียงคู่มากับสาวสวยสองคน ซึ่งความสวยนั้นที่พวกเขาคิดว่า
บรรรดาสาวๆที่กำลังต้อนรับหรืออยู่ในที่นี้ เมื่อมาเทียบกับสาวที่เดิน
เคียงขนาบข้างชายหนุ่มมาแทบจะเรียกว่าผิดกันยิ่งกว่าฟ้าดินเสียอีก
เมื่อชายหนุ่มและสาวแสนสวยเดินมาใกล้ๆ ทุกๆคนก็ยืนขึ้นต้อนรับ
ทันที ด้วยเป็นชายหนุ่มโชตินายของพวกเขานั่นเอง บรรดาหนุ่มสาว
ทั้งหมดก็พากันนั่งลงโดยพร้อมเพรียงกันต่างยกมือขึ้นไหว้พนม
สารวัตรชัชวาลย์และผู้กองทั้งสองตลอดจนเจ้าเปล่งและพวกต่างก็ร้อง
ออกมาด้วยเสียงเดียวกันว่า
“นายๆๆๆมาแล้วหรือ เชิญครับเชิญพวกเรารอคอยพร้อมกันแล้ว
มาคอยตั้งนานพอสมควรแล้วครับ”
แล้วทั้งหมดต่างก็แสดงความเคารพ จนชายหนุ่มและหญิงสาวแสน
สวยเข้ามานั่งประจำยังที่ ที่เจ้าเปล่งจัดไว้ให้เป็นพิเศษ พลันเขาก็เอ่ย
ขึ้นว่า
“ขอเชิญทุกๆคนนั่งตามสบายเดี๋ยวค่อยจะมีเรื่องขอความ
ร่วมมือและจะ
ปรึกษากันหน่อยนะ” ดังนั้นบรรดาโต๊ะยาวและที่นั่งยาวจึงถูก
จัดนั่งเรียงรายไปเต็มหมดล้วนด้วยบรรดาที่ได้รับการแต่งตั้งตามลำดับ
ชั้นส่วนที่รองลงมา ก็นั่งยังลานทั้งหญิงชายเต็มไปหมด เมื่อครบแล้วชาย
หนุ่มจึงได้เอยขึ้นว่า...................
แก้วประเสริฐ.