29 ตุลาคม 2549 20:17 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๓
วังวน
ชราชราทำท่าจะลุกขึ้นต้อนรับแล้วก็กลับนั่งลงอีก เพียงแต่น้อมตัวลงทำท่าเสมือนจะเชื้อเชิญเพียงแค่ส่งยิ้มแต่ประกายตากับเพ่ง
มองเสมือนตรวจสอบอะไรบางอย่าง สักครู่จึงเอ่ยปากชวน
“ ขอเชิญประทับก่อนมหาราชันย์” พร้อมผายมือไปทางอาสนะที่วางบนตั่งแก้วรูปลายแกะสลักขวามือ
เขารู้สึกแปลกใจต่อคำพูดและสิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหัน เมื่อก่อนเข้ามาก็มองไม่เห็นตั่งดังกล่าวเพียงแต่ชายชรา
กล่าวจบเท่านั้นก็บังเกิดสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จนตัวเองต้องลังเลใจไม่กล้าปฏิบัติตามคำกล่าวเชิญ
แต่สิ่งพิเศษเหล่านี้เขาได้ผ่านพบมาบ้างแล้วตั้งแต่เริ่มรู้สึกตัว
จึงไม่ค่อยจะแปลกใจมากเท่าใดนัก เพียงแต่มืนงง
ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ พลางหันมามองชายชราอีกครั้งด้วยความสงสัย
“ อ้อๆ...ลืมไปเพราะท่านจากมานานแสนนาน นานมากแล้วคงจะลืมอดีตไปเสียหมดสิ้นนะ” ชายชรา
กล่าวลอยๆขึ้นมา พร้อมทั้งหันมาทางหญิงสาวดาริกา
“ท่านหญิงดาริกา...เชิญนำท่านทัศยุประทับยังราชอาสน์เถอะ”
“เจ้าค่ะท่านปู่ราชครู” หญิงสาวน้อมรับคำ
กระตุกชายเสื้อดึงแขนชายหนุ่มให้เดินตาม แต่เขากับดึงดันยื้อยุดกับหญิงสาวจนสะบัดหลุดจากมือหญิงสาว
พร้อมก้มตัวลงเดินก้าวล้ำหน้าตรงไปยังชายชราที่หล่อนเรียกว่าปู่ราชครู ทรุดกายลงก้มกราบชายชราอย่างนอบ
น้อมแล้วกล่าวขึ้นว่า
“อดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันเสียแล้วพ่อปู่ราชครูขอรับ แม้กาลเวลานั้นๆอาจจะใช่แต่ก็ล่วงเลยมานานแสน
นาน นานเสียจนข้าพเจ้าไม่เข้าใจสาเหตุอันใดเกิดขึ้น จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจเลยถึง
สถานะที่เข้ามายังสถานที่นี้ด้วยได้อย่างไรขอรับ” ชายหนุ่มกล่าว
ชายชราอึ้งต่อคำพูดของชายหนุ่ม ซึ่งเป็นความจริงร่างของทัศยุจอมราชันย์ในอดีตต่างกับปัจจุบัน ถึงแม้ว่า
รูปลักษณ์จะมีส่วนคล้ายคลึงกันก็ตาม แต่สัญญาได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปทำให้ลืมอดีตไปเสียหมดสิ้น เราจะทำ
อย่างไรดีหนอ ถึงจะทำให้ทัศยุราชันย์ระลึกถึงอดีตได้ มีทางเดียวคือต้องอาศัยธาตุศักดิ์สิทธิ์และน้ำอมฤตอุทก
ผสมผสานกับฌานแห่งการระลึกชาตินั่นแหละถึงจะสมฤทธิ์ผล หากใช้สิ่งทั้งสองอย่างบวกกับฌานซึ่งอดีต
ท่านทัศยุก็เคยเข้าถึงจนเกือบหลุดพ้นโลกียฌานบารมีเก่าในอดีต
เข้าฝึกปรือใหม่คงสำเร็จเป็นแน่ ชายชรารำพึง
แล้วหันมากล่าวสำเนียงอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นสะท้านก้องไปทั่ว
“จริงซินะกาลเก่าทำให้เรานึกถึงอดีตยังคิดว่าปัจจุบัน แต่อย่างไรมหาราชก็ยังคงเป็นมหาราชเช่นเดิมแม้กาล
นั้นจะผันเปลี่ยนมาหลายศตวรรษแล้วก็ตาม เราจึงรอคอยเวลากลับมาของท่านอยู่เสมอเพราะดาวบนฟ้าลิขิต
เส้นทางของท่านไว้แล้วมิมีกาลแปรเปลี่ยนไปได้ จึงได้จัดคนสับเปลี่ยนรออยู่ปากทางเข้าเสมอมา ถึงแม้ว่าท่าน
จะกลับมาเพียงชั่วคราวหรือไม่ก็ตาม ตามแต่ฟ้าจะลิขิตในภายหลังเราก็ยังเชื่อ เชื่อในบุญบารมีที่ท่านเคยมี
ย่อมจะแผ่ไพศาลครอบคลุมสิ่งเลวร้ายได้ หากไม่มีท่านซิ “นาครินทนาคร”จะเป็นฉันท์ใดยากหยั่งทราบได้”
ชายหนุ่มอ้าปาค้าง งุนงง ต่อคำพูดของชายชราซึ่งมีศักดิ์ถึงท่านราชครูแห่งนาครินทนาคร และดูแลปกครอง
นครจนถึงปัจจุบันนี้ ได้กล่าวอ้างอิงถึงลิขิตของดวงดาวบนฟ้า นัยคำพูดนี้คงหมายถึงเขาแล้วเขาล่ะซึ่งช่วยอะไร
ได้ในเมื่อเป็นเพียงแค่มนุษย์เดินดินธรรมดาเท่านั้น เราเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาอาชีพหาของป่าเลี้ยงชีพไป
วันๆหนึ่ง อีกทั้งการศึกษาก็สำเร็จไม่สูงนักด้วยเหตุจำเป็นจึงต้องละทิ้งมาดูแลพ่อแม่ ชายหนุ่มรำพึงคิด
ชายชราเหมือนจะหยั่งรู้ความคิดอ่านภายในใจของเขาจึงได้กล่าวขึ้นอีกว่า
“ขอเพียงท่านทัศยุรับปากเราว่าจะอยู่ช่วยเหลือนาครินทนาครให้พ้นจากภัยพิบัต
ิที่กำลังล่วงก้าวเข้าสู่มานั้น
เพียงเท่านี้ และได้เข้าไปสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมหานครแห่งนี้โดยถือศีลพรตที่กำหนดไว้ราตรีกาลชำระร่างกาย
ด้วยธาตุบริสุทธิ์ก็สามารถเปล่งอิทธิฤทธิ์บารมีเก่าเข้าเสริมปัจจุบันของท่านแปรเปลี่ยนสภาพกลาย
เป็นทัศยุจอมราชันย์ดั่งเดิมได้ไม่ผิดเพี้ยนแต่ประการใดหรอก” ชายชราราชครูกล่าว
“และจะขอบอกกับท่านอีกสักอย่างคือว่า “นาครินทนาคร”นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการเก็บรักษา
น้ำอมฤตธาตุของจอมเทพเทวาทั้งหลายมอบให้ทัศยุราชันย์และเราตลอดจนถึง
ชาวนครนี้เป็นผู้ดูแลรักษาไว้
ซึ่งน้ำอมฤตอันศักดิ์สิทธิ์นี้หากผู้ใดได้อาบดื่มกินดวงวิญญาณจะเป็นอมตะ ถึงแม้จะดับด้วยของวิเศษใดๆก็ตาม
วิญญาณก็จะกลับไปสู่ธาตุแล้วฟื้นคืนกลับได้อีกนอกเสียจากตั้งสัตยาบันอธิษฐานไว้เท่านั้น เป็นสิ่งหมายปอง
ของเทพยดา ยักษ์ อสูรและมวลส่ำสัตว์ทั้งหลาย จึงได้คัดเลือกผู้ที่จะเข้ามาปกครองนครแห่งนี้อย่างระมัดระวัง
ท่านและเราตลอดจนผู้อยู่ทั้งปวงเป็นพิเศษได้ถูกคัดเลือกมา โดยได้รับพระบัญชาจากจอมเทพแห่งสรวงสวรรค์
ปีหนึ่งๆจะมีผู้มาคอยตรวจสอบและรายงานแด่จอมเทพถึงความเป็นไปของธาตุอย่างสม่ำเสมอ สถานะของ
ชนชาวนครนี้จึงพิเศษแปลกแตกต่างไปว่าวิญญาณทั้งหลาย สถานที่นี้จึงมีความเป็นอยู่กึ่งเทพแลมนุษย์จุดอยู่
ระหว่างกลางรอยต่อของภพแบ่งแยกจากสวรรค์และมนุษย์ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเกี่ยวกับธาตุอมฤตศักดิ์สิทธิ์
ต้องอาศัยแรงดึงดูดพละกำลังของทั้งสามภพเข้ามารวมประสานกันเป็นจุดเดียว อันหมายถึงนรกภูมิอีกด้วย
การที่ท่านได้วนเวียนและต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของสวรรค์ดังกล่าว มิอาจสามารถหลบเลี่ยงต่อคำบัญชานี้ได้จึง
ต้องย้อนกลับมาอีกเพราะก่อนที่ท่านจะสละสังขารทิพย์นั่นได้อธิษฐาน
ลงไว้ในธาตุถึงการกลับมาอีกครั้งของท่าน
การจากไปของท่าน จอมเทพพระองค์ทรงทราบได้มีบัญชาลิขิตดวงดาวให้สร้างมุมกลับแก่ดวงวิญญาณท่านไว้
ท่านจึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงชาตาชีวิตท่านได้” ชายชรากล่าวแจ้งปัญหาสวรรค์แก่ชายหนุ่มให้ทราบ
“แล้วคนอื่นๆทำไมท่านพ่อปู่ราชครูไม่จัดทำแทนข้าพเจ้าเพื่อปกป้องมหานครนี้ล่ะท่าน” ชายหนุ่มต่อลอง
“หากมีคนที่สามารถทดแทนท่านได้ดวงดาวคงไม่ลิขิตกำหนดไว้เช่นนี้หรอกท่าน”
“อีกประการหนึ่งหากมีคนสามารถถือศีลอาบน้ำธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถจะบังคับใช้
มหาศาสตราอาวุธฤทธิ์เดชอันเกรียงไกร ๕ ประการได้ ก็เป็นแค่เพียงคงทนต่อศาสตราอาวุธต่างๆ เหาะเหิรเดินดำดินท่องไปในธาตุต่างๆได้เท่านั้น เพราะศาสตราอาวุธนี้เป็นกำเนิดคู่กับธาตุที่สะสมบารมีเฉพาะท่านไว้
เพราะได้รับการประทานจากจอมเทพทั้งหลายไว้ปกป้องนครคู่กับท่านโดยเฉพาะแม้แต่เราก็ไม่กล้าบังอาจ”
“อ้อๆเกือบลืมบอกหากผู้ใดมิมีวาสนาบารมีพอเข้าอาบน้ำธาตุศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวแล้วก็จะต้องตกตายไปแม้แต่
วิญญาณธาตุก็พลอยต้องถูกกักขังชั่วนาตาปีจนกว่าจะพบกับพุทธทันดรจึงจะหลุดพ้นอำนาจนี้ได้ เราจึงมิอาจเสาะ
ค้นหาผู้หนึ่งผู้ใดได้นอกจากคอยท่านตามฟ้าลิขิตกำหนดเท่านั้น” ชายชราสาธยายสิ่งต่างๆให้ฟัง
“แล้วท่านแน่ใจหรือว่า ข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่ท่านเสาะหา” ชายหนุ่มท้วงติง
“ฮ่าๆๆๆมีใครในภพนี้หรือที่จะทราบชะตาที่ดินฟ้ากำหนดได้เที่ยงแท้แม่นยำกว่าเรา” ชายชราหัวร่อร่วน
ชายหนุ่มหันหน้าไปมองหญิงสาวที่นั่งลงข้างๆเขาที่คอยฟังการสนทนาอยู่ เห็นหล่อนยิ้มๆและพยักหน้าให้รับ
เหมือนจะขอร้องเขาให้ทำตามชายชราพ่อปู่ราชครูกล่าวไว้
ชายหนุ่มอึ้งต่อลักษณะท่าทางของหญิงสาว หากเขาทำตามคำขอร้องและไม่เป็นผู้มีบารมีดังที่กล่าวไว้ล่ะ
เพียงแค่คำพูดของชายชราก็ทำให้เขาเสียววูบเข้าไปยังหัวใจแล้วหากประสบจริงจะเป็นอย่างไรหนอ ชายหนุ่มคิด
แต่สิ่งต่างๆตั้งแต่เข้ามามันเสมือนเป็นอิทธิฤทธิ์ทั้งนั้น แม้ภายในกายเขาตั้งแต่ทานผลไม้ประหลาดนั้นถึงตอนนี้
รู้สึกว่าจะเร่งเร้าภายในเขาเสียจริงๆ และก็เป็นสิ่งที่น่าทดลองจริงๆเพราะตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้วและไม่
รู้ว่าจะได้กลับออกไปพบโลกที่เคยอาศัยอยู่ได้หรือเปล่า จึงได้กล่าวต่อรองกับชายชราว่า
“หากมาดแม้นว่าข้าพเจ้าทำตามท่านพ่อครูแล้ว หากยังจะคิดจะกลับไปสู่โลกปัจจุบันของข้าพเจ้าคงจะ
ไม่เป็นปัญหานะท่านพ่อปู่ขอรับ”
“ เราให้สัญญาท่านทัศยุ หลังจากท่านช่วยเหลือนาครินทนาครนี้พ้นภัยและยังคิดจะกลับที่เดิมเราจะจัดการ
ให้ท่านกลับโดยไม่มีข้อแม้แต่ประการใด แต่ๆต้องได้รับบัญชาจากจอมเทพด้วย” ชายชราให้สัญญา
“อ้อๆ..ขอถามท่านอีกอย่าง ทำไมพวกท่านตลอดจนท่านเองทำไมมีอายุเป็นกัลป์กาลไม่มีวันศูนย์ดับดังพวก
ข้าพเจ้าล่ะพ่อท่านราชครู” ชายหนุ่มถามสิ่งสงสัย
“เป็นเพราะธาตุบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ประการหนึ่ง เพราะอิทธิฤทธิ์ของศาสตราอาวุธ ๕ประการประการหนึ่ง
พรจากจอมเทพทั้งหลายประการหนึ่งความมีสัจจะยึดมั่นในคุณธรรมพร้อมที่ยอมพลีเพื่อปกป้องธาตุประการหนึ่ง
อีกในวันธรรมสวนะเราทั้งหมดตั้งมั่นในศีลประการหนึ่ง และผลไม้ที่บรรจุธาตุอมตะอีกประการหนึ่ง
ตลอดจนได้ชำระร่างกายจากธาตุอมฤตประการหนึ่ง รวมเจ็ดประการตามกำลังวันของดวงดาวที่คอยหมุนเวียนไว้
จึงทำให้ร่างกายนี้เป็นอมตะไปแต่ไม่ทุกๆคนหรอกนะท่าน จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนประชาชาวนครต้อง
อาศัยบุญบารมีสะสมก่อนที่จะเข้ามากำเนิดในภพภูมินี้อีกด้วยนะท่าน”ชายชราตอบ
“แล้วเหตุใดเมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเป็นทัศยุจอมราชันย์นั้นทำไมต้องดับสังขารลงล่ะท่านราชครู” ชายหนุ่มย้อน
“อ้อ...เพราะท่านไม่หลุดพ้นวังวนของกามารมณ์ที่ผูกพันจากเจ้าหญิงต่างๆที่พารุมเข้ามาและไม่สามารถ
แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ จนทำให้ท่านเกิดความเบื่อหน่ายแล้วตั้งจิตอธิษฐานต่อธาตุศักดิ์สิทธิ์ในระหว่างกำลังชำระ
ร่างกายของทุกเพ็ญ ๑๕ ค่ำทำต่อหน้าศาสตราอาวุธทั้งหลาย โดยมอบหมายภารกิจทั้งปวงแก่ข้าพเจ้าซึ่งเป็นทั้ง
พระสหายร่วมอาจารย์ท่านตลอดฝากศาสตราอาวุธให้ช่วยปกป้องคุ้มครองนาครินทนาครทั้งผู้คนทั้งมวลที่มีความ
จงรักภักดีอยู่เสมอมา จะมีบ้างที่ดับไปตามวาระกรรมก็มี สิ้นไปด้วยอำนาจฤทธิ์ของศาสตราก็มี ดับไปเพราะ
ผิดศีลธรรมก็มี ส่วนพวกที่ดับไปตามวาระนั้นเนื่องเหตุขาดความเชื่อมั่นต่ออำนาจสิ่งศักดิสิทธิ์ของธาตุจนกระทั่ง
ศาสตราอาวุธของท่านไม่สามารถคุ้มครองได้จึงต้องสิ้นสลายไปตามกฎแห่งกรรมนั้นๆหรอกท่าน”
ชายชราเล่าถึงความเป็นอมตะของผู้ที่อยู่ในช่วงปัจจุบันของชาวประชานาครินทนาคร
“ตอนนี้อีกประการหนึ่ง มหาศาสตราอาวุธคงคิดถึงจ้าวนายทำให้แสงที่เคยเจิดจ้ากลับจางลงทุกๆขณะลง
คงเหลือเพียงแค่พอทำให้รู้ว่ายังคงมีแสงอยู่เท่านั้น หากกาลต่อไปข้างหน้าถ้าปราศจากท่านเข้าไปปลุกมหาศาสตรา
คงจะหวนกลับไปสู่ท่านจอมเทพทั้งหลายด้วยเหตุดังนี้มหาศาสตราอาวุธจึงทอแสงอ่อนลง
อาจจะถึงกาลสิ้นอำนาจฤทธิ์ไม่อาจคุ้มครองนครนี้ อีกประการหนึ่ง เหล่าภพนาครต่างๆเคยยกทัพมาเพื่อ
จะแย่งชิงน้ำอมฤตธาตุอุทกนั้นก็จะยกรี้พลมารุกรานเรา ฝ่ายคิดรุกรานแย่งชิงหากทราบข่าวถึงมหาศาสตราอาวุธ
นี้เพียงเลาๆจึงได้ตระเตรียมขุมกำลังไว้เพื่อคอยโอกาสเข้ารุกรานนาครินทนาครนี้ซึ่งจำเป็นที่เราต้องพยายาม
หาทางให้ท่านกลับคืนมา จึงต้องคอยตรวจดูฟ้าแทบจะมิได้หลับนอนเลย ยิ่งกังวลมากขึ้น เพราะมีผู้แจ้งแก่เราว่า
มีผู้ที่คอยสอดส่องสอดแนมในแสงที่ปกคลุมมหานครนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอๆ” ชายชราเล่า
“หากมาดแม้นข้าพเจ้ายินยอมรับขอตกลงท่าน ในเมื่อข้าพเจ้ามิใช่ราชันย์ทัศยุคนเดิม เพียงแค่อายุอานาม
แล้วท่านก็มีมากกว่าข้าพเจ้ามากมายนัก ครั้นท่านจักบอกข้าพเจ้าว่าเป็นพระสหายในอดีตแต่ปัจจุบันนี้หาใช่ไม่
จึงขอเรียกท่านตามหญิงดาริกาดีกว่า เรียกท่านว่าพ่อปู่ราชครูก็แสนจะไพเราะถูกใจข้าพเจ้าเสียนักหนา หวังว่า
ท่านคงจะไม่ขัดข้องนะขอรับ อีกอย่างหนึ่งคำราชาศัพท์ทั้งหลายข้าพเจ้าเป็นชาวบ้านป่าธรรมดาย่อมจะไม่รู้ซึ้ง
เท่าที่ควรจึงอยากจะให้ใช้คำเรียบง่ายธรรมดาเพื่อข้าพเจ้าจะได้เข้าใจรู้ตามหวังว่าท่านจะตกลงและกำชับบริวาร
ของท่านด้วยก็จะเป็นการดียิ่งนะท่านพ่อปู่ราชครู ส่วนเรื่องทำตามข้อตกลงนั้นรู้สึกเห็นใจในการรอคอยของท่าน
และชาวนาครินทนาครยิ่งนัก ข้าพเจ้าเป็นคนอ่อนแออ่อนไหวง่ายบางครั้งอาจจะทำการมิสมควรอยู่แต่ก็มีความ
รู้สึกเห็นอกเห็นใจตามที่ท่านเล่ามานี้ เหตุดังนี้จึงมิเป็นการขัดข้องแต่ประการใด
27 ตุลาคม 2549 13:25 น.
แก้วประเสริฐ
** ทัศยุราชันย์**
บทที่ ๒
แปลกถิ่น
“ ตื่นเถอะคุณ...ๆ” เสียงเรียกเบาๆดังขึ้นริมหู
“ นี่เกือบเที่ยงแล้วล่ะน๊ะ “
“รีบแต่งตัวเถอะเดี๋ยวต้องไปพบ “ท่านพ่อปู่ ”ท่านกำลังคอย อย่าช้านะจ๊ะ ” เสียงหญิงสาวเรียกรีบเร่ง
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นแล้วขยี้นัยน์ตาพลางหันมอง พบใบหน้าของหญิงสาวที่เคยพบกำลังถือเสื้อผ้าเรียกอยู่
พร้อมก้มมองตัวเองซึ่งมีเพียงแค่กางเกงขาก๊วยและผ้าขาวม้าผืนเดียวเท่านั้น ส่วนมีดและเชือกเถาวัลย์ไม่รู้
อยู่ตรงไหนหรือหล่นหายไปพร้อมกับสายน้ำคราวหนีน้ำหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน กระพริบตาถี่ๆแล้ว
ค่อยๆลุกขึ้นนั่งมองอย่างงวยงง พ่อปู่ไหนหรือเขาคิด ก็พบเพียงหล่อนคนเดียวเท่านั้นยังมีใครอีกหรือ
แต่ไม่ได้ถามอะไรมากมาย เพราะปกตินิสัยเขาก็ไม่ค่อยชอบพูดจาวิสาสะกับใครๆอยู่แล้ว เมื่อรำคาญชาวบ้าน
ก็จะรีบแต่งตัวเข้าป่าทันทีเพื่อให้พ้นๆไปเสียจากการพูดจาต่างๆนานา มักจะชอบวิจารณ์เรื่องไม่ใช่เรื่องของตน
แต่กับไปวิจารณ์เรื่องของคนอื่น บางครั้งก็จะเกิดการทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอๆ เขาอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่พ่อแม่
ได้ทิ้งเขาไปเมื่อเริ่มวัยหนุ่ม เขาก็มิได้ติดพันใครๆทั้งสิ้น ญาติพี่น้องรึก็ไม่มี
พ่อแม่ก็นิสัยเหมือนเขาคือไม่ค่อยชอบพบปะมักจี่กับใครๆนอกจากทำหน้าที่ภายในบ้านเท่านั้น
จะมีบ้างก็เป็นงานประจำหมู่บ้านเท่านั้นหรือประชุมบางครั้งบางคราว ต่างคนต่างหากินกันไปตามอัตภาพ
ฉะนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มแล้วยืนมองหล่อน พร้อมทั้งกล่าวขึ้นว่า
“ จะไปล้างหน้าและอาบน้ำที่ไหนล่ะจ๊ะ ไม่เห็นมีน้ำที่ไหนเลยนอกจากแก้วหินเหล่านี้ ” ชายหนุ่มถาม
หล่อนยิ้ม จนเขาต้องอดชมในใจเสียมิได้ว่าหล่อนช่างงามอะไรเช่นนี้ ผิดกับหญิงชาวบ้านป่าทั่วๆไปราว
ฟ้ากับดินทีเดียว ใบหน้าเรียวกลมรับกับคิ้วจมูกปากราวกับถูกปั้นจากเทวดาตามที่เห็นจากปฏิทินรูปนางฟ้าจัง
เออ...แต่นี่อะไรๆก็ดูแปลกตาแปลกใจไปเสียทั้งหมดหรือว่าเป็นถิ่นสถานของเทวดาจริงๆน๊ะ เขาคิดรำพึง
“เร็วๆเถอะจ๊ะ ท่านพ่อปู่คอยนานไม่ได้ ” หล่อนเร่งเขา
“ เดี๋ยวก่อนจ๊ะ...เออๆ!!...ท่านมีชื่ออะไรหรือ...ตั้งแต่มายังไม่ทราบชื่อท่านเลยล่ะ”
“ อ้าๆๆ...ผมเองชื่อทัดจ๊ะ ทัดบ้านป่า...” ชายหนุ่มถามพร้อมแจ้งชื่อให้หล่อนทราบ
“ จะรู้ไปทำไมจ๊ะ เพราะเราก็ต้องจากกันอีกแล้วน๊ะ” หล่อนติง
“ อ้อ..เพื่อฉันจะได้จดจำผู้มีคุณแก่ฉัน ก็เท่านั้นเองแหละจ๊ะ”
“ สักวันหนึ่งแวะมาแถวๆนี้จะได้มาเยี่ยมเยียนจ้า” ชายหนุ่มอ้อนพร้อมเผยยิ้มที่คิดว่าตัวเองจะยิ้มได้งาม
“ ช่างเถอะ...เดี๋ยวคุณก็รู้เองแหละน่า” หญิงสาวก้มหน้าตอบเพื่อหลบสายตาของชายหนุ่ม
“ หากไม่ทราบชื่อคุณ ผมว่าไม่ไปดีกว่านะ เพราะเดี๋ยวท่านพ่อปู่ถามก็ไม่รู้ว่าใครช่วยเหลือผมซิ” เขาตอบ
พร้อมทั้งทำท่าจะเอนตัวลงนอนต่อ หากไม่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว ทำให้หญิงสาวลังเลใจไปสักครู่
“ อันที่จริงไม่สำคัญอะไรหรอกนะ แต่ว่าเฮอะๆๆช่างเถอะ ฉันชื่อ “ดาริกา” อย่ามัวโอ้เอ้เลยเร็วๆเข้า”
“เพราะท่านพ่อปู่จะต้องรีบไป ให้มาเร่งก่อนท่านจะไปน๊ะ” หล่อนก้มหน้าตอบเขา
“ แค่นี้แหละ..ทำหวงชื่อไปได้ ไม่เห็นจะน่าหวงเลยชื่อก็ไพเราะเหมือนดวงดาว ไม่เห็นเหมือนตัวตุ่นเลย”
เจ้าหล่อนทำตาโต คิดจะพูดแต่ก็นิ่งเสียพร้อมวางเสื้อผ้าไว้ที่โต๊ะหินข้างๆ เดินหลบไปพร้อมเสียงกำชับ
“แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยล่ะ อ๋อ...น้ำอยู่หลีบหินโน้นแน๊ะ” พร้อมชี้มือบอกทางเขา แล้วก็เดิน
หนีไปยังหลีบหินอีกด้านหนึ่ง คอยให้ชายหนุ่มชำระร่างกายแต่งตัวเสร็จจะมารับ
“ อ้าวๆๆแล้ว ดาว จะไปไหนล่ะ ไม่รอก่อนรึ” เมื่อเห็นหล่อนเดินจะเข้าหลีบหินข้างหน้า
“ ฉันชื่อดาริกาย๊ะ...มิใช่ ดาว น๊ะ...ฮึๆๆๆดาว ดาว เอ๊ะก็ไพเราะดีนี่นา “ หล่อนท้วงพร้อมอมยิ้มเหมือน
จะรู้สึกพึงพอใจต่อคำว่า “ดาว” เสียจริงๆ พร้อมทั้งรีบเดินหนีไปไม่ฟังคำท้วงติงใดๆจากชายหนุ่มอีก
เขารีบลุกขึ้นเดินไปยังที่หลีบหินที่หล่อนบอกทางให้เมื่อพ้นหลีบหินก็เห็นเป็นลานกว้างพอประมาณ
ตรงกลางเป็นแอ่งน้ำใสสะอาดไม่ใหญ่และกว้างนักประมาณสองสามวาเห็นจะได้ มีหินย้อยหลากสีส่งประกาย
ระยิบระยับแพรวพรายส่งสะท้อนแสงแวววับช่างงดงามอะไรเช่นนั้น แต่แต่น้ำในแอ่งก็ยังส่งประกายหลากสี
เช่นกัน เรียกได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยได้พบเห็นอะไรจะงามเท่าสถานที่นี้อีกเลย
“ แล้วเราจะปลดทุกข์หนักได้อย่างไรเล่าหว่า” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง แต่ทว่าเหมือนจะมีอะไรมาดลใจ
ทำให้ต้องเหลือบไปมองตรงหลีบหินตรงมุมสุดของลานหินเห็นเป็นหินเหลื่อมซ้อน เขาจึงเดินไปสถานที่
ดังกล่าวจะเป็นตามที่เสมือนมีอะไรดลใจหรือไม่ ก็ต้องแปลกใจที่ความคิดอ่านช่างตรงกันเสียเหลือเกิน
เพราะสถานที่นี้ก็เป็นสถานที่ใช้สำหรับปล่อยทุกข์จริงๆด้วย เขาจึงรีบจัดการทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ
พร้อมทั้งชำระร่างกายไปด้วย แล้วเดินออกมาเพื่อล้างหน้าอาบน้ำ แต่ทว่าพอหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง
ก็ต้องสะดุ้งในใจเพราะบริเวณเมื่อกี้นี้หายไปกลับเป็นเพียงหินย้อยที่ย้อยลงไปจัดเป็นม่านเล็กๆเท่านั้นเอง
“ ฮึๆๆหรือว่าพวกเทวดาไม่ต้องปล่อยทุกข์หนักดังเช่นเรา” เขาคิดคำนึง เพราะที่นี้อะไรๆก็แปลกๆ
อยู่แล้วล่ะ
“ มันเป็นวาสนาหรือเคราะห์แน่โว้ย” เขารำพึงกับตัวเอง พร้อมรีบจัดการกับตัวเองลงอาบน้ำในแอ่งน้ำ
“ อ้าวๆๆไม่มีอะไรถูตัวหรือ เอ๊ะก้อนหินสีนี้มีกลิ่น เอาล่ะเอาไอ้นี่แทนก็ได้” เขาคิดพร้อมทั้งนำหินสี
นั้นมาทำความสะอาดร่างกาย แล้วก็ต้องสะดุ้งในใจเพราะปรากฏว่าใช้ชำระร่างกายได้ดีกว่าสบู่ที่เขาทำขึ้น
ใช้เสียอีก ความรู้สึกว่าร่างกายช่างสะอาดสะอ้านกว่ากัน พร้อมทั้งเร่งตัวเองแล้วขึ้นจากแอ่งน้ำ
“ตายล่ะหว่า เสื้อผ้าที่เขาเอามาให้อยู่ข้างนอกโน่น จะเดินไปเอาก็กลัวสาวเจ้าจะมาเห็น ทำไงดีล่ะ”
แต่แล้วความคิดก็นึกถึงผ้าขาวม้าได้จึงรีบนำมาคาดนุ่ง พร้อมทั้งหยิบกางเกงเดินออกไปบริเวณลานถ้ำนั้น
พร้อมทั้งจัดการรีบผลัดเปลี่ยน พอหยิบขึ้นมาเห็นเป็นกางเกงเช่นขาก๊วยก็ค่อยโล่งอกไป เพราะเขา
คิดว่าจะเป็นผ้าถุงหรือผ้าสำหรับนุ่งโจงกระเบนเช่นคนแก่ๆในหมู่บ้านเขาใช้นุ่งกันเสียอีก เพียงแต่ว่ากางเกง
นั้นเป็นสีลายแปลกตา ตรงขอบทั้งด้านล่างบนเป็นขลิบลายทองริมขากางเกง ส่วนด้านบนเป็นรูปคล้ายดอกไม้
กำลังบานช่างเถอะรูปอะไรก็ช่าง แล้วหยิบเสื้อขึ้นมาดูเป็นเสื้อไร้แขนบางเบาใสมีขอบทองทั้งปกและขอบเสื้อ
“จะใส่ไปทำไม ใส่หรือไม่ใส่ก็คงเหมือนกันแหละบางอย่างนี้” เขาคิด แต่พอสวมเสื้อดังกล่าวแล้วมองตัว
เองก็พบว่าไม่สามารถแลเห็นเนื้อตัวเองเลยซ้ำยังอบอุ่นเย็นๆอย่างประหลาด รู้สึกตัวชักเบาๆอย่างไรชอบกล
“ช่างเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วอะไรจะเกิดให้มันเกิดไป” เขารำพึงตัวเอง พร้อมทั้งหันมองหาหญิงสาวคนนั้น
ก็เห็นเจ้าหล่อนเดินยิ้มออกมา แล้วยืนตะลึงจ้องมองดูเขาแต่งตัว รู้สึกตัวเจ้าหล่อนจะเบิกตากว้างเป็นพิเศษ
เหมือนจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“เหมือนผิดกันเป็นคนละคน” หล่อนยืนรำพึง
“ เรียบร้อยแล้วหรือ ทีแรกนึกว่าเต่าใส่เสื้อเสียอีก ผิดคาดจริงๆ ฮึๆๆ” สาวเจ้ากล่าวหัวเราะเบาๆ
พร้อมทั้งเดินมาดึงแขนเขาเพื่อนำเขาออกไป
“เดี๋ยวก่อนๆ ”
“ อะไรอีกล่ะ “
“เปล่าหรอก....!!!.... ฉันคงหล่อนะซิ ฮิๆๆ” เขากระเซ้าหล่อน
“จะบ้าหรือ...คนอะไรหลงตัวเอง รีบไปเถอะ” หล่อนปล่อยแขนเขา พร้อมก้มหน้าสะเทิ้นอาย
“ บอกตรงๆนะเธอ...ตั้งแต่ผมเกิดมาเป็นหนุ่มนี่ยังไม่เคยเห็นใครสวยเท่าเธอเลยล่ะ” เขายืนอมยิ้ม
“ ช่างเถอะๆ เธอก็หล่อจริงๆนี่ อุ๊ย บ้าบอเหมือนคุณไม่มีหรอก ไปๆๆๆรีบไปเถอะพ่อปู่จะคอยนาน”
หล่อนหันมาตอบพร้อมรีบเดินนำทางเข้าไปยังหลีบหินด้านที่หล่อนเดินออกมา เขารีบเดินตามหลังหล่อน
ก่อนนั้นเคยมาสำรวจเห็นเป็นโพรงใหญ่พอประมาณมืดสนิท แต่พอเธอเดินผ่านพลันก็ปรากฏแสงเรืองรอง
กระจายไปทั่วบริเวณนั้นเป็นบริเวณกว้างพอประมาณใช้สำหรับเดินได้สักสามสี่คนเห็นจะได้ เป็นทางราบ
แต่คดเคี้ยวไปมา ข้างฝาผนังถ้ำส่งประกายสีขาวนวลอมแดงชมพูตลอดแนวทางเห็นสองข้างทางปูไปด้วยหิน
หลากสีเล็กๆส่งประกายใสสดแวววาวไปทั่วราวกับมณีที่ต้องแสงอาทิตย์ก็มิปานระยิบระยังพร่างพราวไปหมด
สักพักหนึ่งก็แลเห็นปากทางออกเป็นแสงสว่างสีเขียวขจีสดใส หล่อนและเขายืนหยุดตรงนั้นเห็นหล่อน
ยกมือแล้วทำปากขมุบขมิบเหมือนจะท่องอะไรสักอย่างหนึ่ง เขายืนมองอย่างสงสัยแต่มิได้กล่าวถามอะไรหล่อน
คงยืนดูหล่อนเฉยๆ สักครู่ปรากฏตรงกลางแสงสว่างสีเขียวนั้นคล้ายมีบานประตูเปิดออก หล่อนหันมามองเขา
พร้อมเร่งให้รีบเดินตามหล่อนอย่าได้ห่างไกลนัก ทั้งสองเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปแต่เขาอดเสียมิได้ที่ต้องหันหลัง
กลับไปมองทางออกอีกปรากฏว่าทั้งแสงและประตูนั้นหายไป เป็นเพียงผนังหินกั้นธรรมดาเท่านั้นเอง
แล้วหันหน้ากลับแต่อนิจจา เขาต้องตกตลึงพึงเพริศต่อภาพต่างๆอีกครั้งเพราะบริเวณที่เขาแหละหล่อน
ยืนอยู่เป็นบริเวณกว้างเต็มไปด้วยไม้นาๆพันธุ์ชนิด ทั้งสองด้านเป็นภูเขาขึ้นกั้นทางไว้แต่แปลกกว่าภูเขาทั่วๆไป
เพราะเขาแต่ละลูกมีประกายแสงส่องออกมาจากด้านหลังเป็นแสงสะท้อนขึ้นไปในอากาศส่วนด้านหน้านั้น
แพรวพราวหลากสีกระจายคล้ายแสงหิงห้อยที่กลับบินว่อนในอากาศก็มิปาน รอบบริเวณดังกล่าวมีดอกไม้สะพรั่ง
กำลังเบ่งบานส่งกลิ่นหอมโชยอ่อนๆล่องลอยมาจะว่ากลิ่นคล้ายดอกกุหลาบก็มิใช่เป็นกลิ่นนมแมวก็มิเชิง
ครั้นสูดเข้าไปทำให้ร่างกายสดชื่นสมองรู้สึกปลอดโปร่งเป็นพิเศษ แต่ละช่อละดอกมีแสงสีทองส่องลอยประกาย
รอบล้อมดอกไม้นั้นๆระยิบระยับวนพราวไปทั่วทุกๆช่อดอกไม้นั้น
เบื้องหน้าเป็นทางเดินเล็กๆแต่โรยด้วยหินสีประหลาดต่างๆส่งแสงแพรวพราวไปทั่ว สองข้างทางเป็นต้นไม้เตี้ยดอกเล็กๆระยิบระยับพร้อมกลิ่นโชยมาแต่กลิ่นแตกต่างกันของระยะเส้นทางที่เดินเข้าไป
เขาเดินตามเจ้าหล่อนซึ่งเดินนำหน้ามุ่งตรงไปยังภูเขาลูกกลาง ที่แลเห็นไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
พอเข้าระยะใกล้ก็แลเห็นวิหารเล็กๆตั้งอยู่โดดเด่นเดี่ยวหลังเดียวรายล้อมด้วยดอกไม้
หน้าวิหารเป็นลานกว้างเล็กน้อยสองข้างเป็นสระน้ำที่ปลูกดอกบัวกำลังเบ่งบาน บริเวณรอบวิหารเห็นเป็นแสง
สว่างครอบคลุมเป็นแนววงโค้งครอบไว้หลากสี หล่อนพาเขาเดินมาจนถึงปลายสุดของวงโค้งแสง ก็ดึงเขาให้
ทรุดตัวลงนั่งกึ่งคุกเข่าพนมมือ พลางหล่อนก็น้อมตัวกล่าวคำออกไป
“ ท่านพ่อปู่...ข้าพเจ้านำท่าน “ทัศยุ”มาพบแล้วเจ้าค่ะ ”
เสียงเงียบไร้สุ่มเสียงตอบรับ เพียงแต่แสงโค้งนั้นเปิดเป็นทางพอทีจะเดินผ่านไปได้ พลางหล่อนหันมากล่าว
กับชายหนุ่มเบาๆ
“ ท่านระวังกิริยาไว้บ้าง กล่าวคำใดควรระมัดระวังคิดก่อนพูดนะ” หล่อนหันมาเตือนเขา
เหมือนกึ่งได้ยินซึ่งเป็นช่วงที่เขางุนงงต่อคำที่หล่อนกล่าวกับพ่อปู่ของหล่อน “ทัศยุๆ” แต่ เราชื่อ “ทัด” นี่หว่า
ไหงเป็น “ทัศยุ”ไปได้ ก็ไม่เห็นมีใครอีกนอกจากเรา จนกระทั่งหล่อนกระตุกชายเสื้อเขานั่นแหละถึงจะรู้ตัว
ทั้งสองเดินผ่านแสงเข้าไปยังประตูวิหารเล็กๆนั้นแล้วก้าวข้ามพ้นธรณีประตู ก็แลเห็นชายชรานุ่งขาวห่มขาวนั่ง
อยู่ตรงกลางใกล้ๆริมผนังด้านหลัง อากาศภายในเย็นฉ่ำกำลังพอดีๆ ลืมตามองมายังเขาทั้งสอง ด้วยใบหน้าเฉยเมย
ปราศจากอาการใดๆทั้งสิ้นดั่งผู้ทรงศีล ใบหน้าเต็มไปด้วยผมเครายาวขาวโพลงดุจดังใยหิมะ........ “ ทัศยุ ท่าน ”
26 ตุลาคม 2549 22:23 น.
แก้วประเสริฐ
** ทัศยุราชันย์ **
บทที่ ๑
ภัยพิบัติ
สายลมที่กรรโชกอย่างรุนแรง พัดเอากิ่งไม้แห้งเล็กๆหมุนวนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
กระแสเสียงกระหึ่มปานฟ้าจะถล่มทลายดังกึกก้องจากไกลค่อยๆใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
พร้อมทั้งสำเนียงอสุนิบาศก์คำราม ฝนที่โปรยลงมาค่อยๆเพิ่มความรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ชายหนุ่มร่างสันทัดนุ่งกางเกงขาก๊วยผ้าขาวม้าคาดพุงไม่ได้สวมเสื้อผ้า มองให้เห็น
ร่างที่กำยำเต็มไปด้วยก้อนเนื้อเป็นมัดๆสีค่อนข้างแดงอมดำ แหงนมองท้องฟ้าดูหมู่เมฆที่
มืดทะมึนครึ้มกำลังล่องลอยผ่านภูเขาที่แห้งผากอย่างรวดเร็วพัดต้นไม้เชิงเขาเอนลู่เป็นทาง
พร้อมทั้งเสียงไหลอู้กระหึ่มแว่วเข้ามาเป็นระยะๆตรงเข้ามายังทิศทางที่เขายืนอยู่....
“ สงสัยน้ำป่าจะมา ” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง
เขารีบกระวีกระวาดหยิบมีดตัดไม้ขึ้นเหน็บด้านหลัง พร้อมทั้งแบกกิ่งไม้แห้งที่ตัดไว้เป็น
ท่อนๆขึ้นพาดสู่บ่าพร้อมหิ้วของป่าที่หาได้ รีบออกเดินลัดเลาะตามทางเล็กๆที่ทอดคดเคี้ยว
ไปยังเบื้องล่างของตีนเขาผ่านลำธารเล็กๆที่ทอดยาวไกล กึ่งวิ่งกึ่งเดินอย่างเร่งด่วน
มุ่งสู่ที่อยู่อาศัยที่มองเห็นลิบๆสุดสายตาเบื้องล่างใต้แนวเนินหินเป็นชั้นๆออกไป
“ ฮึ ๆ!!...สงสัยจะไม่ทันเสียแล้วเรา” ใบหน้าปรากฏรอยกังวล ขมวดคิ้วจนเห็นได้ชัด
รำพึงเบาๆดังมาจากปากชายหนุ่มร่างสันทัด พลางหันสายตาแลขวาหาหนทางหนีภัยที่กำลังมา
การหนีน้ำป่าไม่ใช่สิ่งง่ายดายนัก ทั้งพายุฝนที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรงบริเวณที่ปราศจากต้นไม้
ยืนต้นพอจะกำบังหลบหรือชะง่อนหินที่สูงๆด้วยเป็นแนวต้นไม้ขนาดย่อมๆคละด้วยต้นไม้เล็กๆ
ไม่มีที่สูงพอจะขึ้นไปหลบพายุฝนและน้ำป่าได้เลยด้วยเป็นเชิงเนินเขาเล็กๆที่อุดมด้วยพืชสมุนไพร
ทำให้ย้อนนึกถึงครั้งหนึ่งเมื่อสมัยเด็กๆตามพ่อมาหาของป่าและฟืนตลอดจนสมุนไพรยา
พ่อและเขาตลอดจนเพื่อนๆของพ่อเกือบจะเสียชีวิตไปเพราะน้ำป่าที่ไหลพัดมาหลายๆทิศทาง
ต่างหนีกระเซิงหลงพัดกันคนละทิศละทาง แต่ด้วยความเป็นผู้มีประสบการณ์และชำนาญของพ่อ
ทำให้เขารอดจากอุทกภัยในครั้งนั้นได้แต่ทว่ามันก็ยังฝังจำไม่มีวันจะลืมสิ่งสยองพองขนต่อภัยใน
ครั้งนั้นและเป็นที่เล่าขานมาจนทุกวันนี้ ชาวชนบทเยี่ยงพวกเขา และทุกๆคนจึงได้รับการ
ถ่ายทอดสิ่งต่างๆนาๆตลอดจนการตรวจดูดิน ฟ้า ลม ฝนในวาระต่างๆกันเสมอๆจากบรรพบุรุษ
เขารีบวางท่อนไม้แล้วหันไปหาเถาวัลย์ นำมาตัดเป็นท่อนยาวพอประมาณพร้อมทั้งตัดต้นไม้
เลาะกิ่งเป็นท่อนๆวางขนานจัดการผูกมัดทำแพชั่วคราวพร้อมทั้งเสาไม้เพื่อใช้ในการค้ำแพ
และนำเถาวัลย์ตัดให้ยาวผูกขมวดเป็นเส้นยาวม้วนพาดสู่ไหล่ทั้งสองข้าง รอเสียงดังที่ค่อย
ได้ยินชัดขึ้นพร้อมเสียงน้ำไหลบ่ากังวานอย่างรุนแรง เสียงซู่ๆแรงขึ้น แรงขึ้นจนมองเห็นน้ำที่ไหล
เป็นละลอกสีหม่นปูนแห้งคละสีดำ ไหลทะลักลงมาจากเขาดั่งน้ำที่ถูกเทจากกระบอกก็มิปาน
เต็มไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่ง มันกระจายแยกแยะไปตามแนวไม้ ทำให้ไม้หักระเนระนาดไปตามกัน
ชายหนุ่มรีบขึ้นไปนั่งแพชั่วคราวพร้อมทั้งจับหลักที่ทำไว้ตรงกลางแพทั้งสี่หลักผูก
ผูกเถาวัลย์เป็นห่วงใช้สำหรับยึดเหนี่ยวมิให้พลัดหล่นจากแพยามกระแสน้ำเชี่ยวที่แพถูกไหลพาไปเข้า
กระทบกับกิ่งไม้หรือโขดหินซึ่งเขาเองยังไม่รู้เหตุการณ์จะเกิดออกมาในรูปแบบใด
ยังไม่ทันจะคิดถึงสิ่งอื่นๆกระแสน้ำได้พัดมาถึงพร้อมทั้งพาเขาและแพลอยละลิ่วลงสู่
เบื้องล่างท่ามกลางกระแสน้ำที่ปั่นป่วน ลมและฝนที่ตกลงมาอย่างหนักอากาศที่มืดครึ้ม
มองเห็นทั้งสองข้างอย่างเลือนราง แพกระทบกิ่งไม้และโขดหิน ดีที่เขาได้รับประสบการณ์
จากพ่อที่สอนไว้ มิฉะนั้นป่านนี้เขาคงจะม้วนต่วนลอยไปตามกระแสน้ำที่เชี่ยวคลั่งเสียแล้ว
มือทั้งสองข้างจับหลักที่ผูกเถาวัลย์ไว้อย่างเหนี่ยวแน่น ทาบลำตัวราบกับแพเท้าทั้งสอง
ข้างเกี่ยวเข้ากับหลักที่คล้องด้วยเถาวัลย์ปล่อยตัวตามสบายเพียงเกร็งข้อมือและเท้าเท่านั้น
กระแสน้ำป่วนพาร่างเขาและแพละล่องสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็วสองข้างเจิ่งนองไปด้วยน้ำ
ม้วนกระแทกกับต้นไม้ที่ถอนต้นถอนโคนลอยละลิ่ว บางครั้งกระทบกับแง่หินตามร่องทางน้ำ
ร่างกายถูกเกี่ยวเลือดไหลซิบๆไปเกือบทั้งตัว เขาคงปล่อยให้กระแสน้ำพาไปตามยถากรรม
จวบจนกระทั่งแสงอาทิตย์ลับหายขอบฟ้า ความมืดเข้ามาแทนที่น้ำก็ยังไหลเชี่ยวพา
ร่างเขาพร้อมแพบางครั้งพลิกคว่ำและหงายไปตามคลื่นที่เกิดกระทบจากแนวไม้และหินต่างๆ
เขาพยายามใช้กำลังเท่าที่มีอยู่เกาะเชือกเถาวัลย์อย่างเหนี่ยวแน่นทำตัวให้แนบกับแพเท่าที่ทำได้
ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเข้ามาแทนที แต่ก็ต้องฝืนอย่างสุดชีวิตเพื่อรักษาชีวิตมิให้ตกตายไป
จนกระทั่งหลุดลอดเข้าสู่ช่องผาผ่านช่องถ้ำแห่งหนึ่งแพสะดุดค้างปลายทางซึ่งเป็นถ้ำลอดเล็กๆ
ให้กระแสน้ำที่อ่อนตัวบ้างไหลผ่าน เขาติดอยู่ในช่องเล็กนั้นซึ่งแพขวางทางเดินของน้ำไว้
ด้วยสัญชาติญาณแจ้งเขาว่าต้องหาทางหลีกหนีให้พ้นจากวิกฤติกาลนี้เสียก่อนหาทางแก้ไข
ทางอื่นต่อไปก่อนที่หายนะจะตามมาภายหลัง ชายหนุ่มรีบสอดส่ายสายตามองหาทางที่จะหลบ
ภัยทางอื่น อาศัยแสงประกายของหินเพชรหน้าทั่งที่ส่องระยิบระยับแพรวพรายไปทั่วถ้ำนั้น
อย่างเลือนรางเห็นที่สามารถพออาศัยหลบภัยเป็นเนินหินเหนือธารน้ำที่ไหลอย่างบ้าคลั่ง ซ้ำยังมี
โพรงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่เหนือโขดหินสูงกว่าระดับน้ำที่ไหลอยู่ เขาไม่คิดอะไรอื่นอีกแล้ว
จึงได้ละแพพร้อมทั้งอาศัยพละกำลังค่อยๆว่ายฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวจนสามารถเกาะชะง่อนหิน
ที่ยื่นออกมา ตะวัดตัวขึ้นไปนอนพักเพื่อหายเหนื่อย ความอ่อนล้าสารพางค์กาย ที่ฝ่าฟันมาทั้งวัน
ทำให้ชายหนุ่มผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว พร้อมทั้งความมืดมิดที่แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ความรู้สึกเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งความเย็นซ่านปกคลุมไปตามใบหน้าประกอบด้วยความหิวโหย
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างช้าๆค่อนข้างลำบาก สายตาที่พร่าฟางพลันสะดุ้งเมื่อแลเห็นร่างของหญิงสาว
กำลังง่วนอยู่กับผ้าผืนเล็กๆที่บิดน้ำขึ้นจากขันลงหินใบค่อนข้างใหญ่พอประมาณห่างจากเขาไป
ไม่มากนัก เขารีบผุดตัวนั่งอย่างรวดเร็วด้วยความตะหนักแปลกใจระคนกันด้วยบริเวณเหล่านี้เขา
เคยท่องเที่ยวหาของป่าและเรียกได้ว่าชำนาญภูมิประเทศบริเวณเหล่านี้เป็นอย่างดี และท่าทางของ
หญิงสาวนี้ก็ไม่เหมือนกับชาวบ้านป่าทั่วๆไป เขาหันไปมองรอบๆแสงสว่างของแสงแดดที่ลอดจาก
ปล่องเหนือถ้ำสาดมายังบริเวณที่เขากำลังนั่งอยู่นี้ที่ใดแน่ อากาศภายในหรือก็เย็นฉ่ำแล้วสายน้ำที่ไหล
อย่างบ้าคลั่งมันหายไปไหนหรือทำไมไม่มีร่อยรอยของน้ำไว้ให้เขาเห็นเลย นอกจากแสงที่ระยิบระยับ
จากหินที่ไหลย้อยตามผนังถ้ำเป็นแสงสีต่างๆดูสวยสดงดงามยิ่งนัก หลังม่านหินย้อยเป็นเนินชั้นๆวาง
ด้วยเครื่องใช้สอยต่างๆดูแปลกตาไปจากของคนธรรมดาเสียจริงๆ
เขาตายไปแล้วหรือ?!!!.....ถึงมาอยู่ที่สวยงามเช่นนี้ได้ภาพแสงสะท้อนภาพวิจิตรด้วยสีต่างๆนาๆ
ภาพหญิงสาวที่ไม่ธรรมดา ภาพเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆซึ่งไม่เหมือนกับพวกคนเช่นเราเขาใช้อยู่
“โอ้ย?ๆๆๆ.....เรา” พร้อมยกมือขึ้นกุมหัวและเขกที่หัวหนักๆ
“ โอ้ย...เจ็บ” อุทานออกมาดังๆ หันซ้ายหันขวากรอกตาไปมา
“ เรายังไม่ตายนี่หว่า ” ชายหนุ่มอุทานเบาๆ
เสียงร้องของชายหนุ่มทำให้ หญิงสาวเจ้าของที่หันมามองท่าทางแปลกใจในอากัปกิริยาของเขา
“ ยังไม่หายดี พักผ่อนก่อนก็ได้ ถ้าหิวก็โน่นผลไม้ที่วางบนโต๊ะหินนั้นรับทานได้จ๊ะ” หญิงสาวกล่าว
“ ที่นี่ที่ไหนหรือคุณ ฉันมาแถวนี้บ่อยๆไม่เคยเจอเลย....อ้อ...ขอบใจมากนะจ๊ะที่ช่วยฉันไว้”
ชายหนุ่มถามและกล่าวคำขอบคุณเบา พร้อมส่ายสายตามองค้นหาสิ่งรอบข้าง
“ อย่ารู้เลยให้หายดีก่อนแล้วค่อยไปหรือจะพักอีกสักสองวันก็ได้จ๊ะ” หญิงสาวหันมายิ้มตอบ
“ ขอบใจจ๊ะ อ้อๆ แล้วน้ำป่ามันหายไปไหนหมดนะ ไม่เห็นมีร่องรอยเลยนี่นา ” ชายหนุ่มสงสัย
หญิงสาวยิ้มแต่ไม่ตอบพร้อมทั้งยกขันลงหินเดินหลบเข้าหลีบหินหลังม่านหินย้อยเข้าไปข้างใน
ชายหนุ่มจะเรียกก็ไม่ทันเสียแล้ว ความหิวเข้ามาเรียกร้องจึงค่อยๆลุกเดินไปยังโต๊ะหินที่วางผลไม้ไว้
เมื่อมองไปที่ถาดลงหินที่ใส่ผลไม้ก็ตกตะลึงพรึงเพริศด้วยความแปลกใจ เพราะผลไม้เหล่านี้เขาไม่เคย
ได้พบเห็นที่ใดๆในป่านี้เลยจะว่าเป็นมะม่วงป่าสุกก็ไม่ใช่หรือจะเป็นมังคุดก็ไม่เชิงมันส่งกลิ่นหอมๆ
เย็นๆโชยออกมาลูกกลมๆคล้ายลูกจันทร์สุก ซึ่งลูกจันทร์จะมีลักษณะแบนๆแต่แปลกที่มันกลมคล้าย
ลูกมังคุดแต่กลิ่นหอมคล้ายมะม่วงสุกแต่หอมเย็นกว่า และอีกหลายๆชนิดวางปะปนซึ่งเขาไม่รู้จักทั้งสิ้น
จึงทดลองหยิบลูกกลมๆขึ้นใส่ปากเพื่อกัด แต่พอฟันกระทบกับผิวผลไม้ก็ปรากฏเป็นน้ำเย็นๆ
ไหลลงสู่ลำคอละลายไปพร้อมกับเปลือกนั้นๆ ความหอมเย็นช่างซาบซ่านกระไรยิ่งนัก เกิดความร้อน
แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเกิดความอิ่มเอิบสดชื่นทันที จึงรีบหยิบผลไม้อื่นๆทดลองกินบ้างก็เป็น
ลักษณะเดียวกัน คือเมื่อกระทบฟันก็เป็นน้ำไปหมดแต่ทว่ารสชาติต่างๆกันไม่เหมือนกัน มีทั้งรสหวาน
เปรี้ยวอมหวาน รสซ่าๆแปลกประหลาดยิ่งนัก แต่ที่ยิ่งแปลกยิ่งกว่าก็คือรู้สึกเหมือนความร้อน
วิ่งวนไปวนมาจากล่างไปหาสูงจากสูงลงต่ำทั้งหัวปลายแขนและปลายเท้า ยิ่งกินมากความร้อน
ก็ยิ่งมาก ความหิวทำให้เขากินไปมากพอดูและเมื่อหันมามองในถาดอีกผลไม้ก็ไม่พร่องหายไปไหน
เหมือนจะเกิดขึ้นแทนที่ก็ไม่ปาน ข้างๆถาดลงหินมีแก้วน้ำลงหินทำด้วยหินหลากสีแพรวพราว
ภายในบรรจุน้ำไว้เต็ม เขาจึงยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย
รู้สึกตัวเบาๆคล้ายปุยนุ่นความร้อนที่วกวนเวียนรู้สึกจะค่อยทุเลาแล้วหายไป หนังตาเริ่ม
จะต่ำลงๆทุกที เหมือนอย่างที่เขาพูดกันว่า พอหนังท้องตึงหนังตาหย่อนเห็นจะจริง
อย่างเขาว่านั่นแหละ ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นเดินตรวจดูรอบๆบริเวณนั้นตามหลังม่านหิน
ที่ย้อยลงมา พบว่ามีถ้ำเล็กๆเป็นคล้ายๆโพรงใหญ่ภายในมืดมิดคงเป็นทางที่หญิงสาวเดินหายเข้าไป
ขณะลังเลอยู่นั้นความง่วงก็รู้สึกว่าจะมากขึ้นเขาคิดว่านอนพักสักตื่นก่อนดีกว่าแล้วค่อยค้นหาต่อไป
จึงเดินไปตามชั้นหลีบหินมองคล้ายๆจะเป็นเตียงก็ไม่เชิงแต่มีหินเป็นรูปสี่เหลี่ยมวางไว้
มีผ้าลายแปลกๆวางข้างบนอีกชั้นหนึ่งข้างๆมีผ้าลายแปลกขลิบทองคิดว่าเป็นผ้าสำหรับใช้ห่มวางอยู่
แต่พอนั่งลงบนเตียงซึ่งเห็นเป็นหินก็ต้องสะดุ้งสุดตัวผวาลงมามองอย่างตกใจ เพราะพื้นที่เห็นเป็นหิน
กลับนุ่มอย่างประหลาดไม่แข็งกระด้างเลย จึงยืนมองพิจารณาด้วยความสงสัย ค่อยๆเอานิ้วจิ้มๆดูก็นิ่ม
บุ๋มลงไปพอวางเอานิ้วออกก็พองแข็งเหมือนเดิมดูลักษณะคล้ายหินดีๆนี่เอง
“ ช่างเถอะขอนอนพักหน่อยนะ ง่วงเหลือเกินแล้ว ” เขารำพึงกับตัวเอง พร้อมเอนกายลงนอนทันที
โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆทั้งสิ้น คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาจนถึงที่นี่จนกระทั่งผล็อยหลับไปเมื้อไหร่ไม่รู้ตัว............
14 สิงหาคม 2549 17:37 น.
แก้วประเสริฐ
** ภาพชีวิต **
สกาวพร่างกระจ่างไว้ในราวฟ้า
ห้วงนภาเปรียบไปคล้ายภาพฝัน
สะท้อนจิตคิดถึงอดีตพลัน
เหมือนรักฉันเจิดจ้ามาต๊องแต่ง.
ติ๊กต๊อก...ติ๊กต๊อก..เร็วๆตื่นๆๆ เสียงนาฬิกาส่งเสียงลั่น
ฉันนอนไม่หลับ..ฟังเสียงเจ้าติ๊กต๊อกๆท่ามกลางความเงียบสงัด
ความฟุ้งซ่านแผ่กระจายไปในห้วงความคิด...นึกถึงสิ่งต่างๆนาๆ
ที่สอดแทรกเข้ามา ย้อนอดีตตอนชมภาพเก่าๆในช่วงกลางวัน
ความสนุกสนานร่าเริงที่ชายหาดทะเลสวย น้ำทะเลสีคราม
ทรายขาวเป็นเกล็ดแก้วระยิบระยับพร่างพรายไล้สีสันต์หลากสี
คลื่นพลิ้วละลิ่วเป็นระลอกๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้างวิ่งเข้าหาฝั่งที่ลาด
ทอดลงสู่ทะเล
มีบ้างคลื่นพุ่งเข้าหาโขดหินที่โผล่ขึ้นเป็นแนวกระทบ
จนเกิดเป็นละอองขาวแผ่กระจายยามกระทบแสงตะวันทอแสง
ยามเย็น บังเกิดเป็นประกายรุ้งแพรวพรายหลากสีต่างๆรายรอบ
หญิงสาวที่นั่งเหนือเนินโขดหินเท้าแกว่งน้ำเล่นไปมาช่างงดงาม
ปานประหนึ่งเทพนารีที่มาลงเล่นน้ำทะเลก็มิปาน
ฉันเก็บภาพเหล่านี้ไว้แต่ไม่เคยเลยที่จะนำมาแสดงให้
หล่อนได้รับรู้ชมดู ช่วงนั้นในความนึกคิดว่าจะไม่ต้องการ
ให้หล่อนได้รับรู้ในอิริยาบถของหล่อนต่อธรรมชาติที่ร่วมแสดง
นอกจากสักวันหนึ่งที่เจ้าหล่อนยอมรับไมตรีฉันอย่างแท้แน่นอน
แน่ล่ะภาพนั้นฉันได้เก็บใส่กรอบรักษาไว้เป็นอย่างดี
ตั้งไว้ตรงหัวเตียงนอนในบ้านบังกะโลที่ฉันซื้อไว้เป็น
สมบัติส่วนตัว ในพื้นที่ประมาณไร่เศษๆจะมีก็เป็นเพียงตายาย
ที่ฉันดูแลและให้คอยทำความสะอาดพักพิงเท่านั้น ยังไม่เคยที่
จะพาใครๆมาพักผ่อนเลยนอกจากฉันคนเดียวที่มักจะหาเวลาว่าง
ในวันหยุดสัปดาห์หลายๆวันติดต่อ เพื่อหนีพ้นจากความวุ่นวาย
ต่างๆนาๆ บ้านและเนื้อที่ที่ไม่ห่างไกลจากกรุงเทพฯเท่าใดนัก
ติดกับชายหาดที่ปราศจากคนพลุกพล่าน จึงเป็นชายหาดที่สมบูรณ์
สวยสดด้วยธรรมชาติพร้อมมูล
บางครั้งฉันจะมากับเพื่อนๆมีทั้งหนุ่มๆสาวๆทั้งหลายมาพักพิง
ซึ่งเป็นที่พักให้เช่าแต่ก็อยู่ห่างจากบ้านฉันไกลพอประมาณ สามารถเดิน
ไปมาหากันได้ แต่ฉันสั่งตากับยายไว้เสมอๆว่าหากเจอฉันมากับคนอื่น
ก็อย่าแสดงตัวรู้จักฉันเป็นอันขาด เพราะฉันไม่อยากให้ใครทราบว่าฉัน
มีบ้านอยู่แถวๆนี้ จึงเป็นที่สบายใจเมื่อบางครั้งที่ฉันและเพื่อนๆเดินเล่น
จนมาถึงบ้านของฉันและพบตากับยาย แกเพียงแต่ส่งยิ้มให้เท่านั้น
หน้าบ้านพักฉันปลูกไม้ที่ร่มรื่นตลอดจนไม้พื้นเมืองออกดอกสะพรั่ง
ลานทอดสู่ชายหาดเยื้องๆมีแนวโขดหินน้อยใหญ่ดูแลงามมักจะมีประกาย
รุ้งที่เกิดจากละอองน้ำซัดเข้าหาตัดเป็นมุมกับตะวันเสมอๆ จนทำให้เพื่อนๆ
ที่มาพากันร้องระงมด้วยความตื่นเต้น บ้างวิ่งไปแนวโขดหินเพื่อจับสายรุ้ง
แล้ววิ่งกลับสลับไปสลับมาด้วยอารมณ์สดชื่นระคนเสียงหัวร่อดีอกดีใจกัน
บ้างชี้ไม้ชี้มือไปยังบ้านฉันแล้วหันมาถามฉันว่าบ้านนี้สวยจริงๆนะเก๋ไก๋จริง
ปลูกแบบบังกะโลสลับบ้านไทยคล้ายบ้านในยุโรปจัง หน้าบ้านก็งามติด
กับชายทะเลใสสวยสดและมีประกายรุ้งกินน้ำในมุมมองอีกแบบหนึ่ง
คนถามเป็นหญิงสาวแล้วหล่อนหันหน้าไปรอบๆบริเวณแถวนั้น...
จริงซิน๊ะ..ไม่เห็นมีบ้านอื่นอีกเลยนอกจากบ้านหลังนี้หลังเดียว...ฮึๆ...
สงสัยจะเป็นของคนร่ำรวยมาซื้อปลูกทิ้งไว้ ใช้สำหรับพักผ่อนน่าอิจฉาจัง
หญิงสาวกล่าวรำพึงและอุทาน
อ้าวคุณ...คุณเรวดีซื้อไว้ซิครับ บางทีผมอาจจะมาขอพักอาศัยพักผ่อนบ้าง
ฉันตอบแก่หญิงสาว พลางอมยิ้ม...
อยากได้นะอยากได้หรอก...แต่ไม่รู้เขาจะขายหรือเปล่านะ..คุณวิวัฒน์..เพราะ
ที่ทำเลก็เหมาะเจาะงดงามอย่างนี้นะ หล่อนตอบพร้อมหันหน้ามามองฉัน
เขาอาจจะขายให้คุณก็ได้นา..เพราะต้องเกรงใจคุณพ่อคุณซึ่งออกใหญ่โต
เช่นนี้ หรือเขาอาจจะยกให้ฟรีๆก็ได้นะยิ่งคนซื้อสวยๆแบบนี้ ฉันเย้าเล่น
จะบ้าหรือคุณวัฒน์นี่...พูดเล่นไปได้ หล่อนหันมาค้อนแต่อมยิ้ม
จริงๆนะครับ...ผมพูดจริงๆ...อย่างนี้ดีกว่าผมขอถ่ายรูปคุณหน่อยนะครับ
อยากให้คุณไปนั่งเล่นน้ำที่โขดหินโน้นที่มีประกายรุ้ง ภาพคงจะสวยงามมากครับ
ได้ซิวัฒน์... แล้วขอรูปไว้ด้วยนาอย่าลืมล่ะ หล่อนพูดพร้อมเดินไปยังโขดหิน
อากาศเริ่มเย็นลงเย็นลงเพราะดวงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ยังมีแสงพอ
ที่จะเห็นทางจากการสะท้อนแสงกับท้องทะเล ซึ่งบางแห่งก็ดูสลัวๆกันแล้ว
ซึ่งต่างคนต่างกระวีกระวาดกันกลับ บางคนบ่นเสียดายเวลาจัง ช่างมืดเร็ว
บางคนว่าจะต้องมาเที่ยวกันอีก ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนาๆ
ส่วนคุณเรวดียังยืนจ้องบ้านน้อยหลังนี้ ดูเสมือนจะจำไว้อย่างมิรู้ลืมจนฉันต้อง
เอ่ยปากร้องเตือนหล่อน นั่นแหละเธอถึงจะหันหลังเดินตามพวกๆเราไป
พวกเราต่างคนต่างคุยกันไปแต่ละมุมมองที่ประทับใจกัน ส่วนคุณเรวดีนั้นกลับ
เงียบเสียงไปจนผมต้องร้องแหย่หล่อน
สงสัยบ้านนี้คงจะติดใจคุณมากใช่ไหมครับ
นั่นซิวัฒน์...ไม่รู้เป็นอะไรใจนะคิดอยากได้จัง...เอ.ใครน๊ะเป็นเจ้าของอยากรู้จริงๆ
หากเป็นเช่นนั้น..คุณก็บอกคุณพ่อคุณซิครับ เพื่อนท่านมีมากมายล้วนแต่
ผู้หลักผู้ใหญ่กันทั้งนั้นนี่นา ฉันบอกหล่อน
อืมม!!...กลับไปคราวนี้จะลองคุยกับคุณพ่อดู แล้ววัฒน์ช่วยสืบๆให้หน่อยนะ
ครับๆผมจะพยายามครับ ฉันอมยิ้มในใจ
นับจากวันนั้นผ่านไป...เราสองก็สนิทสนมกันยิ่งขึ้นไปเที่ยวไหนมาไหน
ด้วยกันเสมอๆ จนบางครั้งเพื่อนๆล้อเลียนว่าคงจะไม่แคล้วกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ
แต่วงจรชีวิตคนเราไม่แน่นอนเสมอ สิ่งที่ตั้งใจไว้ก็พลาดไปความไม่ตั้งใจกับได้มา
วนเวียนสับสนจนจะหาความแน่นอนมิได้ เรามาเที่ยวกันที่นี่เสมอๆยามมีเวลาว่าง
แต่ทว่าไม่เคยได้เข้าไปพักที่บ้านฉันสักครั้งเดียว ฉันตั้งใจไว้ว่าจะให้เป็นเซอร์ไพร์ส
กับหล่อนในวันที่เราตกลงเป็นคนๆเดียวกันเท่านั้น
หล่อนและคุณพ่อพยายามติดต่อหาเจ้าของบ้านนี้ แต่ก็ผิดหวังเพราะตากับยาย
นั้นเป็นคนท้องถิ่นและก็กว้างขวางพอประมาณจึงได้ช่วยเหลือฉันในเรื่องนี้ แน่ล่ะ
หากวันนั้นมาถึงคงมีปัญหาเหมือนกันแต่ฉันก็ได้เตรียมคำตอบไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่ทว่าเหตุการณ์มิเป็นไปตามที่ฉันคิด ไม่นานนักหล่อนก็ถูกบังคับให้แต่งงานไป
กับลูกชายเพื่อนคุณพ่อเธอเหตุผลทางการเมือง เราสองก็มีความสัมพันธ์แค่ทางเพื่อน
เท่านั้นเอง แต่ภาพถ่ายที่ฉันถ่ายไว้ก็ยังวางบนหัวเตียงนอนฉันเสมอมา ยามที่ฉัน
มาพักผ่อนมักจะมองภาพเธอเสมอๆมันเป็นภาพสะท้อนในรักฉันที่ห้อยต๊องแต่ง
แขวนไว้บนใยแมงมุมก็มิปาน
นาฬิกาติ๊กต๊อกๆพร้อมเสียงปลุกจนฉันต้องลุกขึ้นจากที่นอน หันไปมอง
นอกหน้าต่าง ท้องทะเลที่มืดครึ้มแต่ส่องประกายระยิบระยับจากแสงของดวงจันทร์
ที่ส่องสว่างไสวกระทบคลื่นในทะเลและหาดทราย ฉันยืนขึ้นพร้อมหันมายิ้ม
โดยส่งยิ้มไปยังภาพถ่ายเทพธิดาแห่งสายรุ้ง ที่ยิ้มตอบฉันก่อนที่จะสาวเท้าก้าว
เดินออกจากประตูหน้าบ้านไปยังชายหาดที่ระคนด้วยเสียงน้ำสาดแผ่วเบาลมพัดแรง
จนกระทบเสื้อนอนที่ใส่พลิ้วไปๆมาๆ คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญช่างงดงามนักปราศจาก
ดาวต่างๆที่พร่างพรายคงเหลือไว้เพียงดวงเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆจันทร์เพียงดวงเดียว
คงจะรักจันทร์มั่นคงเสียนัก ฉันสะท้อนใจให้นึกถึงเธอที่เปรียบเสมือนดวงจันทร์
ตัวฉันเล่าคงจะเป็นแค่ดาวดวงนั้นที่ได้แต่คอยมองจ้องเธอที่สวยสดงดงามเท่านั้น
มิอาจที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้อีกแล้วนะ ฉันทอดถอนใจสายตาเหม่อมองดู
คงอีกนานซินะที่ฉันจะหาคนที่ถูกใจเยี่ยงเธอได้อีก และคงเป็นภาพที่จะมา
ทดแทนภาพที่ฉันได้ตั้งไว้บนหัวเตียงนอนฉันซึ่งจะมาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เสียที
อีกไม่ช้าเราคงจะได้มีเด็กเล็กๆที่น่ารักอันเป็นสายใยผูกพันใจเราทั้งสองไว้
มาคอยวิ่งเล่นโดยมีเราสองคอยจ้องมองดูภาพชีวิตที่น่ารักเหล่านี้ เก็บภาพที่ประทับใจ
ไว้แก่เราทั้งสองชั่วกาลนาน โอ้ๆๆแล้ว..ใครล่ะจะเข้ามาทดแทนที่ฉันเพ้อฝันเหล่านี้กับ
เธอได้อีกล่ะ ฉันยืนรำพึงปล่อยภาพในอารมณ์ให้ล่องลอยไปสู่ยังท้องทะเลอันเวิ้งว้าง
จนสุดปลายขอบฟ้าดั่งจะค้นหาสิ่งนั้นๆมาช่วยปลอบประโลมขวัญวิญญาณแห่งฉันนี้
พร้อมที่จะพลีให้เธอเสมอชั่วนิจนิรันดร.
*** แก้วประเสริฐ. ***
3 สิงหาคม 2549 09:48 น.
แก้วประเสริฐ
ชีวิตของดิฉัน
เพราะดิฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณพ่อคุณแม่ จึงได้รับการเอาใจใส่ดูแลและตามใจ
ทุกๆอย่างตั้งแต่เยาว์วัยที่จำความได้ว่า หากดิฉันต้องการสิ่งใดแล้วท่านจะพยายามหามาให้
ไม่เคยขัดใจดิฉันเลยสักครั้งเดียว แม้กระทั่งวัยล่วงเลยเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
ฉะนั้นจึงเกิดเป็นนิสัยที่ติดตัวมาจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อสิ้นทั้งคุณพ่อคุณแม่ซึ่งท่านก็ทิ้ง
สมบัติพัสถานต่างๆอันพอที่จะทำให้ดิฉันสามารถเลี้ยงชีวิตไปได้ตลอดชั่วชีวิตนี้
เมื่อขาดคนเอาใจใส่ดูแลจำเป็นที่จะต้องดิ้นรนขวนขวายเลี้ยงชีพด้วยตัวคนเดียว แต่ก็ได้
อาศัยป้าซึ่งมีวัยชรามากเป็นผู้คอยช่วยเหลือดูแลทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ด้วยป้านั้นตัวคนเดียวขาดญาติ
พี่น้องและเคยดูแลเลี้ยงดิฉันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนกระทั่งเติบใหญ่ ก็ยังคอยดูและในสิ่งจำเป็นบาง
อย่าง เหตุที่ป้าขาดญาติพี่น้องได้อาศัยคุณพ่อคุณแม่ซึ่งท่านได้รับอุปการะมาตั้งแต่ป้ายังสาวๆ
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ยังฝากฝังไว้แก่ดิฉันว่าให้ถือเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งอย่าคิดว่าเป็นคนอื่น
ว่ากล่าวตักเตือนดิฉัน ก็ควรจะรับฟังไว้พิจารณาอย่าถืออำนาจเกินเลยไปจนทำให้ป้าเสียใจเด็ดขาด
หากท่านมิกล่าวไว้ ดิฉันก็ยังคิดเหมือนท่านเพราะดิฉันผูกพันรักใคร่ประดุจญาติผู้ใหญ่จริงๆของ
ดิฉันนั่นเอง
หลังจากกลับจากทำงานดิฉันมักจะซื้อของมาฝากป้าเสมอๆ ส่วนใหญ่แล้วป้าขอร้อง
เป็นพิเศษ คือ หมากพลูและบางครั้งอาจจะมียาเส้นเสริมบ้างในบางโอกาส ป้าไม่เคยเรียกร้องอะไร
มากไปกว่านี้ เสื้อผ้าหรือหากขาดก็จะปะชุนเย็บด้วยมือ ไม่เคยที่จะไปจ้างใครๆเขามาช่วยเย็บปะชุน
ดิฉันบอกว่าป้าทิ้งไปเถอะนะเดี๋ยวจะซื้อให้ใหม่ไม่ต้องไปเสียดมเสียดายหรอก
ป้ากลับย้อนดิฉันว่า เมื่อใช้ได้ก็ควรจะใช้อย่าหัดเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย ควรที่จะกระเหม็ดกระแหม่ไว้
เพราะว่าเงินทองเดี๋ยวนี้นั้นใช่ว่าจะหากันได้ง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ กว่าจะได้มาทั้งทีก็ต้องทั้งเหนื่อยกายและใจเรา
ยิ่งป้าแก่แล้วด้วยจะรับจ้างพิเศษก็ไม่ไหวเลยใช้ของเก่าๆนี่แหละอีกอย่างมันไม่คันด้วย
ของใหม่ที่คุณหนูซื้อมาให้ป้านะ ใส่แล้วมักจะคันจนเกาเป็นแผลเลยล่ะต้องเสียเงินซื้อยามาใส่อีก ใช่ว่าป้าจะรังเกียจนะ ถ้าจะใช้ต้องซักหลายๆน้ำจนกว่าขนมันจะหลุดนั่นแหละถึงจะค่อยยังชั่วหน่อย ป้าแกว่าให้ฟัง
กลับเป็นอย่างงั้นไป ดิฉันคิด หากมาคิดในมุมกลับก็จริงอย่างที่ป้าแกบอกเพราะดิฉันออกจะหรูหราฟุ่มเฟือย
ด้วยต้องเข้าไปในวงสังคมกับผู้ใหญ่ในที่ทำงาน บางครั้งต้องออกนอกสถานที่ตระเวนไปทั่วตามบริษัทต่างๆ
แทบเรียกว่าหาโอกาสนั่งในบริษัทน้อยมาก เหนื่อยก็เหนื่อยลำบากทุกอย่างผิดกับสมัยยังเด็กๆอยู่
ที่มีแต่ความสุขสบาย จะสบายจริงๆก็ได้อยู่บ้านเท่านั้น แต่ก็ต้องอยู่คนเดียวเพราะป้าเองก็ไม่ค่อยจะมา
สุงสิงเท่าใดนัก จนบางครั้งเหงามากคิดร้อยแปดพันเก้า แต่ก็ผ่านมาจนล่วงเข้าอายุเกือบจะสี่สิบเข้าไปแล้ว
ใช่ว่าดิฉันจะเป็นคนที่รูปร่างขี้เหร่ก็หาไม่ด้วยคนในบริษัทด้วยกันยังอิจฉาดิฉัน มักจะได้รับการทาบทาม
จากหนุ่มๆทั้งไม่หนุ่มเสมอมา แต่หนุ่มและไม่หนุ่มเหล่านั้นหาได้รับการแยแสสนใจไม่แม้แต่เพียงคนเดียว
ด้วยดิฉันคิดว่าเขามิได้รักดิฉันจริงหรอก เพียงคงหวังในสมบัติที่ดิฉันมีอยู่ บ้านหรือก็ออกใหญ่โต ปลูกใน
เนื้อที่เกือบสองไร่ รถยนต์ใช้มีตั้งสามคัน ล้วนเป็นรถที่ได้รับความนิยมชั้นสูงทั้งสิ้น หากดิฉันไม่ทำงาน
ก็คงไม่เป็นปัญหาใดๆแก่ดิฉันหรอก เพียงแค่เงินที่ฝากธนาคารเอาดอกเบี้ยมาใช้ก็เพียงพอกับดำเนินชีวิตแล้ว
แต่ด้วยเลือดของคุณพ่อที่มีอยู่ในตัวดิฉันคงจะมากจึงทำให้ต้องดำเนินชีวิตหาเลี้ยงตัวเอง
ครั้งหนึ่งคุณพ่อที่ยามสมัยมีชีวิตอยู่มักจะอบรมดิฉันในเรื่องนี้เสมอๆ จนเลยวัยศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว
แม้กระทั่งในบ้านยังมีป้ายที่เขียนติดไว้ที่ห้องรับแขกซึ่งยังแขวนอยู่ติดกับฝาผนังจนกระทั่งบัดนี้
เป็นป้ายขอบทองลายน้ำลวดลายไทยทำด้วยไม้สักลงทองลายรูปเป็นรูปสิงห์และรูปคชสีห์ในป่าอยู่ด้านล่าง
ส่วนด้านขอบบนเป็นรูปนางกินรี อยู่ใกล้ๆริมสระ บ้างสรงน้ำ บ้างยืน บ้างกำลังบิน ด้านข้างเป็นลวดลายกนก
ภายในเป็นแผ่นไม้แกะสลักจารึกอักษรลงทองปิดด้วยกระจกอย่างดี อักษรแกะสลักเขียนข้อความไว้ว่า
ชีวิตคนเราเกิดมาอยู่ด้วยการต่อสู้ อดทน ขยันหมั่นเพียร ละเอียดรอบคอบ
พิจารณาขบคิดปัญหาอยู่เสมอ จงคิดว่าปัญหาคือสิ่งที่นำเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง จงตีปัญหาให้แตก
แล้วนำปัญหานั้นมาเป็นหนทางปฏิบัติสู่แนวทางในการดำเนินชีวิตของตน
ก่อนจะไปทำงานดิฉันมักจะยืนอ่านและพิจารณาอยู่เสมอๆ หากมีปัญหางานเกิดขึ้นก็มักจะย้อน
คิดถึงข้อความเหล่านี้ แล้วนำมาพิจารณาค้นหาสาเหตุและผลต่างๆทำให้สามารถแก้ไขปัญหานั้น
ผ่านไปได้ด้วยดี ถึงแม้บางครั้งอาจจะไม่ดีนัก แต่ก็ได้รับผ่านความเห็นชอบของผู้ใหญ่เสมอๆมา
เหตุฉะนี้ดิฉันจึงได้รับความไว้วางใจจากท่านผู้ใหญ่ แม้บางครั้งดิฉันจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ในสิ่งไม่ควร
ทิฐิถือดื้อรั้นตามอุปนิสัยที่ติดตัวของดิฉันก็ตามที โต้เถียงในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกต้อง แต่ที่จริงๆแล้วยัง
ขาดความรอบคอบตรวจตราอย่างละเอียด เพราะเพียงแค่อ่านงานอย่างคร่าวๆก็ยังได้รับความเมตตา
อาจจะถูกต้องของเธอก็ได้ แต่เธอลองช่วยพิจารณา
ข้อความที่ส่งมาหน่อยซิ ผมอาจจะผิดก็ได้นา ท่านกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มๆ แล้วส่งเอกสารคืนให้ดิฉัน
ดิฉันกลับโต้เถียงย้อนท่านอีก ทั้งๆที่ไม่สมควรว่า
ดิฉันได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องแล้วนี่เจ้าคะ กล่าวพร้อมยื่นเอกสารให้อีกที
น่าๆๆคุณ...ถือว่าผมขอร้องเถอะนะครับ ลองอีกครั้งคงไม่เสียเวลาเสียหายอะไรนี่นา ท่านกล่าวขอร้องอีก
ได้ค๊า...ได้ๆๆๆๆ จะลองตรวจดูอีกทีน๊ะเจ้าคะ พร้อมทั้งหยิบเอกสารเดินตุ๊บป๊องๆเดินกลับไปที่โต๊ะ
ทำงานซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากโต๊ะท่านผู้ใหญ่มากนัก แล้วรีบลงมีตรวจอย่างละเอียดเสมือนประชดประชัน
ภายหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ยิบถึงสองครั้งสองคราจึงได้พบสิ่งผิดพลาดซึ่งซ่อนอยู่ภายใน
อักษรอันเป็นภาษาที่ใช้ผิดลักษณะความหมายไปคนละอย่างกับเนื้อหา หากไม่พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว
ก็จะคิดว่าเป็นการใช้ภาษาที่ถูกต้องกับเนื้อหางานทุกประการ
ดิฉันยิ้มกับตนเอง พร้อมนึกอยู่ในใจ
ฮึๆๆช่างละเอียดนักนะ หล่อนรำพึง
ภายหลังจากได้ทำการแก้ไขให้ถูกต้องทั้งความหมายและเนื้อหางานแล้ว ก็ยังอุตส่าห์แกล้งทิ้งงานไว้
บนโต๊ะทำงานทั้งๆที่รู้ว่างานชิ้นนี้เป็นงานเร่งด่วนมากต้องใช้ภายในวันนี้ช่วงบ่ายๆเพื่อเข้าประชุมใหญ่
ระดับประธานบริษัทก็ตามที ด้วยมานะทิฐิจะกลั่นแกล้ง ดิฉันคิดว่าจะนำไปส่งให้ก่อนประชุมสัก
ประมาณ 15 นาทีเพื่อตรวจสอบรายงาน ดูว่าจะตรวจสอบอีกหรือไม่
แต่ความคิดดิฉันผิดพลาดอีก หลังจากที่เขาได้รับรายงานแล้วเขา นั่งพิจารณาไปยิ้มไป บางครั้งหัวร่อเบาๆ
อะไรจะปานนั้น...จะบ้าหรือไง ดิฉันแอบมองและนำมาคิด พร้อมทั้งนั่งทำหน้าบึ้งๆอยู่แกล้งไม่สนใจ
ประมาณสักครู่ ท่านได้เดินมาที่โต๊ะดิฉัน พร้อมกล่าวคำขอโทษและขอบคุณดิฉัน
หากผมไม่ได้คุณเห็นจะแย่เหมือนกันคิดไม่ออกจริงๆว่าคุณแก้ไขโดยใช้อักษรที่เปี่ยมความหมายรัดกุม
ได้ดีอะไรเช่นนี้ เดี๋ยวผมจะให้เจ้าหน้าที่ช่วยซีล๊อกซ์เพื่อแจกจ่ายในที่ประชุมด้วย ขอบคุณครับ ท่านกล่าว
เขาบ้าหรือเราบ้าว๊ะ ดิฉันคิดนั่งงงเป็นไก่ตาแตก
หรือประชดเราว๊ะ ดิฉันคิดไปไกลกว่านั้นอีก
นี่ก็เป็นหนึ่งปัญหาที่ดิฉันได้รับความเมตตาจากท่าน แต่ด้วยความที่ได้รับความไว้วางใจและน้ำใจที่
เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจเห็นใจทำให้ดิฉันอยู่ที่บริษัทนี้ไปได้นาน ทั้งๆที่เงินเดือนหรือก็ไม่มากนัก จะพูดได้ว่า
ยังไม่พอค่าน้ำมันรถและค่าเสื้อผ้าที่ดิฉันสวมใส่เลย บางครั้งคิดจะลาออกเพื่อพักผ่อนที่บ้านดีกว่า เพราะงานนี้
ทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งร่างกายและสมอง อารมณ์ชั่ววูบทำให้คิดไป เราหรือก็มีเงินมากมายซ้ำยังใช้ไม่หมดจะมานั่ง
ทำงานทั้งในนอกสถานที่ไปทำไม นอนกินทั้งชาติก็ไม่หมด แต่ความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจดิฉัน
ได้คัดค้านอารมณ์นี้ตลอดมา พร้อมกับนึกถึงคำพูดของคุณพ่อคุณแม่ที่พยายามเฝ้าอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กๆ
ให้เป็นคนสู้ชีวิต อย่าได้ยอมแพ้กับอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น
หากมิฉะนั้นเกิดมาอายหมามันนะลูก ลูกดูซิหมามันยังไม่ยอมนอนเฉยๆเลยขนาดเราเลี้ยงดูมันอย่างดีนะ
ไม่ต้องเดือดร้อนไปหาเศษอาหารเยี่ยงหมาตัวอื่นๆที่นอกบ้านเรา ถึงเวลามันก็ได้กินและกินก็เป็นอาหารดีกว่า
มันยังอุตส่าห์นอนขวางประตูบ้าน หากใครมายังเห่าบอกคนในบ้านได้รับรู้ก่อนเรารู้เสียอีก ซ้ำถึงเวลามันยังช่วย
คาบผ้าที่เราแขวนไว้มาให้เราเพื่อใช้เข้าห้องน้ำหากเราลืม มันจะคอยสังเกตความเป็นไปในบ้านตลอดเวลา
และแต่ละบุคคลไม่ยอมอยู่เฉยๆ เราซิเป็นสัตว์ที่ประกอบไปด้วยภูมิปัญญาเฉลียวฉลาดกว่ามัน
มีทั้งสมองและร่างกายที่ตรง ไม่พิการเยี่ยงมันที่ขวาง แต่มันกลับไม่ขวางทางโลก และมีความซื่อสัตย์
ไม่เหมือนคนบางคนที่ชอบขวางทางโลกด้วยกัน ไม่สู้งานซ้ำยังเอารัดเอาเปรียบคนอื่นทำแทน คนประเภทนี้ซิ
น่ากลัว ขนาดตัวของตัวเองยังไม่ช่วยตัวเองคอยเอาแต่ความสุขสบาย คนประเภทนี้ซิน่าอายยิ่งนักจะเทียบกับหมา
ก็ยังไม่ได้ หมามันยังดีเสียกว่าที่มันไม่เคยให้คนอื่นช่วยมันจะช่วยตัวมันเองเสมอ สู้มันจะสู้เสมอเพื่อตัวมันเอง
และคนที่มีพระคุณแก่มัน อดทนก็อดทนยิ่งกว่า มันไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ขยันหรืออ้าวมันก็ขยันกว่ามันจะตื่นก่อนใคร ฝึกมันลำบากยากเข็ญอย่างไรมันจะทำไม่ยอมหยุด พ่อคิดว่ามันคงทำแบบสนุกสนานต่องานของมันนะลูก ความพยายามหรือมันก็มีความพยายามหากมีปัญหาเกิดกับมันมันจะพยายามทุกวิถีทาง
เพื่อช่วยให้มันเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้ง
ลูกลองคิดดูซิว่าคนที่ไม่คิดสู้งาน อดทน ขยันหมั่นเพียร จะสู้หมาในบ้านเราได้หรือไม่จ๊ะลูก
เมื่อดิฉันเกิดมีอารมณ์แบบนี้ขึ้นมาทีไร ก็จะนึกถึงคำพูดของคุณพ่อเสมอๆมา อย่าอายหมานะลูก
เพียงแค่คำนี้คำเดียวก็เปลี่ยนแนวความคิดของดิฉันไปหมดสิ้น อีกอย่างหนึ่งคือป้ายที่คุณพ่ออุตส่าห์ทำไว้
ในห้องรับแขกก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจดิฉันได้ตลอดเวลา ลบล้างปัญหาต่างๆที่ซับซ้อน สุมไว้ในสมองดิฉัน
เรื่องคู่ครองของดิฉันก็เหมือนกันคุณแม่สอนไว้อย่างสม่ำเสมอ ให้ไตร่ตรอง คิดให้รอบคอบเสียก่อน
ที่จะมีเหย้าเรือน ผู้ชายนะไม่ใช่ว่าจะมีแค่คนเดียวนะลูก มีให้เราเลือกตั้งหลายๆแบบ และแบบไหนล่ะที่ควรเป็น
ผู้นำครอบครัวเรา ลูกต้องให้เกียรติเขาแล้วนั่นแหละเขาถึงจะให้เกียรติแก่ลูก ไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องเป็น
คนร่ำรวยล้นฟ้า และก็ไม่จำเป็นเหมือนกันที่จะต้องมีคุณวุฒิที่เพียบพร้อมไปด้วยดีกรี หากมีนิสัยไม่ดีขาดคุณธรรมจริยธรรมประจำใจ ลูกได้ไปก็เปรียบเสมือนลูกเข้าสู่ประตูนรกที่มีแต่ความเดือดร้อนเนื้อร้อนใจตลอดเวลา จะหาความสุขสบายยั่งยืนในชีวิตของลูกก็แสนจะยาก จะเกิดความลำบากมิรู้สิ้นสุด
ฉะนั้นคนที่ลูกควรมองควรเป็นคนที่มีทั้งคุณธรรมและจริยธรรมเสมอต้นเสมอปลาย มิใช่เพียงเปลือกนอกดั่งที่เขาออกรายการในทีวีก็เยอะแยะไป หรือหนังสือพิมพ์ก็ประโคมข่าวเกือบจะเป็นรายวันไป
คนผู้นั้นต้องพร้อมเสมอทุกๆสถานการณ์ไม่ต่อหน้าและลับหลัง ถึงแม้จะไม่ร่ำรวยหรือประกอบไปด้วยคุณวุฒิดีกรีมาก หากเขาผู้นั้นเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ซื่อตรง ขยันอดทน หมั่นเพียรพยายามอยู่เสมอๆ
พูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมและไม่ปลิ้นปล้อนหลอกลวง มีความนึกคิดต่อสู้ชีวิตเพื่อตนเองและครอบครัว แม่ว่านั่นแหละควรจะเป็นผู้นำครอบครัวเรานะลูก สิ่งที่เป็นความยากจนแม่คิดว่าเขาผู้นั้นก็สามารถสร้างฐานะได้เองแหละ ลูกดูคุณพ่อของลูกซิเขาก็มิได้มาจากตระกูลที่ร่ำรวยและก็ไม่ได้มีดีกรีมากมายอะไร เพียงแค่ใบเดียวพ่อก็สามารถให้ความสุขและหาเลี้ยงครอบครัวสร้างฐานะได้เป็นปึกแผ่นให้แก่ครอบครัวได้อย่างดีมีสุขได้เป็นอย่างดีดังที่ลูกได้รับและเห็นตลอดชีวิตของลูก ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตที่พ่อมีอยู่แม้ว่าจะออกจากงานไปแล้วก็ยังได้รับเชิญไปเป็นที่ปรึกษาด้านการงานในบางโอกาส ชีวิตการทำงานของพ่อเจ้าได้สร้างชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเราจนได้รับการยกย่องเสมอมา จนเป็นที่กล่าวขวัญของคนทั่วๆไป แต่พ่อลูกก็มิได้หลงไปในสิ่งเหล่านี้ เพราะมีจริยธรรมคุณธรรม มิได้ยกตนข่มท่านถือแนวคิดปฏิบัติตามคำสั่งสอนในพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดตลอดมา
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคำสอนหนึ่งของคุณแม่ที่ถ่ายทอดให้แก่ดิฉันไว้คิดหากจะมีครอบครัว มาจนกระทั่งบัดนี้
ดิฉันยังหาคนที่ดีและใกล้เคียงกับคำพูดของคุณพ่อและคุณแม่ไม่ได้เลยจวบจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ใช่ว่าดิฉันจะเป็น
คนชาเย็นหรือก็หาไม่ ไม่เข้าสังคมหรือก็เปล่า ถนอมเนื้อถนอมตัวหรือก็ไม่เชิงเพราะงานบางงานก็ย่อมมีการ
แตะเนื้อต้องตัวบ้างถือเป็นธรรมดาในสังคมยุคนี้ แต่ไม่ควรเกินเลยปล่อยเนื้อปล่อยตัวปล่อยใจไปโดยไม่รักตัวสงวนตัว หลงระเริงไปในสิ่งยวนยั่วทั้งหลาย อันอาจจะเป็นการทำลายความเป็นลูกผู้หญิงที่พึงมี และพึงกระทำตนในสิ่งไม่สมควรพึงทำของลูกผู้หญิง ซึ่งดิฉันเห็นมามากต่อมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่จนเป็นข่าวเกรียวกราว
สร้างความเสื่อมเสียแก่ตัวเอง แก่วงศ์ตระกูล สร้างความต่ำต้อยในสังคมของผู้ที่เกิดมาอย่างไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรม จนเกิดสิ่งไม่ดีงามกระจายไปทั่วโลกถึงการกระทำของลูกผู้หญิง อับอายขายหน้าชนต่างชาติ ซึ่งประเพณี วัฒนธรรมที่ดีของเรา สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ที่สู้อุตส่าห์สะสมสร้างสิ่งดีงามไว้ให้ลูกหลาน อันเป็นเหตุเกิดเป็นภาระแก่สังคมอย่างเช่นในปัจจุบันนี้
ใช่ซินะเมื่อดิฉันเข้าสังคมทุกระดับชั้นมากเพียงใดก็ยิ่ง ได้เห็นการกระทำทุกๆระดับนั้น ทำให้ดิฉันเกิดความรู้สึกนึกคิดไปต่างๆนาๆ เกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือนมากเท่านั้น และยิ่งสะท้อนคำพูดของคุณพ่อคุณแม่แล้วก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกที่คัดค้านอารมณ์ความต้องการที่แฝงในร่างกายจิตใจดิฉันไปเสียสิ้น
ถึงแม้จนกระทั่งดิฉันจะขึ้นคานทองอย่างคนที่เขาพูดล้อเล่นเสมอๆ ดิฉันคิดว่าก็ยอม ยังดีเสียกว่าจะต้องถลำตัวไปกับสิ่งที่มีแต่ความหลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ หากเขาล่ะเป็นผู้นำครอบครัวของดิฉันแล้ว วันข้างหน้า
จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดิฉันนึกหลับตาลงด้วยความอ่อนล้าแห่งใจที่กำลังพุ่งเข้าสู่อารมณ์นาๆประการที่ประดังขึ้นมา แล้วสมบัติพัสถานต่างๆล่ะจะทำฉันท์ใดอีกล่ะหลังจากที่ดิฉันสิ้นไปจากโลกใบนี้ ผุดแทรกขึ้นมาอีก
จะยากอะไรเล่าเธอ..ใจหนึ่งบอกแก่ดิฉัน เราก็ทำพินัยกรรมแบ่งออกช่วยเหลือสังคมที่ต้องทนทุกข์ทรมานซึ่งมีอีกมากมายที่ยังรอการช่วยเหลืออยู่ หรือจะสร้างสาธารณะประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมก็ได้เพื่อเป็นบันไดก้าวล่วงไปยังภพข้างหน้าสร้างเป็นสมบัติแห่งกรรมดีติดตามตัวเราไปมิดีกว่าหรือ อารมณ์แห่งคุณงามความดีกล่าวขึ้น
อย่าๆๆนะ อย่าทำเธอจงเที่ยวให้สนุก ใช้ชีวิตให้สุขสบายในสมบัติที่เธอมีซิ โน่นแน๊ะเห็นไหมเขาไปเที่ยวกันยังต่างประเทศเอย เที่ยวตามคลับเอยแล้วก็สนุกสนานกับเกมส์ชีวิตแลกเปลี่ยนชีวิตกันและกันเอย เยอะแยะนะ
ของสนุกๆสนานทั้งนั้น เธอทำซิแล้วเธอจะรู้ว่าชีวิตนี้มีความสุขจริงๆนะ อารมณ์อีกอารมณ์หนึ่งแทรกขัดขึ้นมา
ดิฉันตลึงในความคิดแปลกๆที่แทรกซ้อนเข้ามาเกิดความลังเลขึ้นในอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านเหล่านี้ พลันนึกถึงห้องพระที่คุณพ่อและคุณแม่ต้องเข้าไปสักการบูชาสวดมนต์เป็นประจำทั้งเช้าและก่อนนอน ขจัดอารมณ์ทั้งสองหายไป ใช่ซินะเราเองตั้งแต่ทำงานมานี้ห้องพระถูกปิดตายยังไม่เคยเข้าไปสักการบูชาพระเลยสักครั้งเดียว
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ทำให้เกิดอารมณ์ผ่องใสขึ้นอย่างประหลาด เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที เห็นทีจะต้องเข้าไปบูชาสักครั้ง ดิฉันคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความอิ่มเอิบแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจและร่างกาย ความสดชื่นเกิดขึ้น
ความห่อเหี่ยวและสิ่งที่คิดต่างๆนาๆละลายจางหายไปเสียสิ้น
ดิฉันค่อยๆก้าวผ่านประตูห้องพระ จัดการทำความสะอาดด้วยตนเอง เปิดหน้าต่างให้ลมผ่านเข้ามาไล่ความอับชื้น ตรงไปหน้าโต๊ะหมู่บูชาที่ตั้งอยู่หน้าพระประธานองค์ใหญ่ที่คุณพ่อสร้างไว้ ความรู้สึกบอกว่าขนาดหน้าตักท่านคงประมาณสามศอกเห็นจะได้ส่วนสูงๆเกือบจะจรดเพดานห้อง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยสุโขทัย
พระพักตร์แย้มยิ้มให้แก่ดิฉัน จนบังเกิดความปิติ ขนลุกพองอย่างกะทันหัน ดิฉันจุดธูปบูชาด้วยธูปหอมส่งกลิ่นหอมรวยริน ช่างชื่นใจยิ่งนัก บังเกิดอารมณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วนิ่งปราศจากความคิดใดๆแทรกซ้อนเข้ามา
หลังจากบูชาพระเรียบร้อยแล้ว ดิฉันนั่งเพ่งพินิจมองพระพุทธรูปด้วยความปิติสดชื่น พลันสายตาเหลือบไปเห็นตู้หนังสือที่จัดวางไว้ข้างผนังมุมห้องด้านหนึ่ง คงจะเป็นหนังสือพระที่คุณพ่อสมัยมีชีวิตเก็บรักษาไว้หรืออ่านในยามที่เข้ามาเป็นประจำหลังสวดมนต์เสร็จกระมัง ดิฉันกวาดสายตาไปรอบๆพลันสดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกวางไว้ใต้แท่นบูชา จึงได้ก้มเอื้อมมือไปหยิบมาเป็นหนังสือคำสอนของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เกี่ยวกับการทำทาน โอ้ช่างตรงกับอารมณ์สองฝ่ายที่แนะนำดิฉันจังหรือว่าเป็นบุญมาช่วยขจัดปัญหาที่รุมเร้าให้แก่ดิฉันนั่นเอง
ดิฉันยกมือกราบบนหนังสือหน้าปกเป็นรูปพระภิกษุสงฆ์นั่งขัดสมาธิรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าไม่ยิ้มแต่ดูคล้ายจะยิ้ม
แล้วค่อยๆเปิดหนังสือขึ้นอ่านอย่างละเอียด ความนัยหนังสือขจัดปัญหาต่างๆให้แก่ดิฉันหมดสิ้น ณ ที่นี้เอง
พบแล้ว...ดิฉันพบแล้วหาทางออกให้แก่ชีวิตของดิฉันได้แล้วไม่ว่าจะเป็นสมบัติพัสถานต่างๆหรือแม้แต่กระทั่งร่างกายจิตใจของดิฉันเอง
แน่ล่ะต่อแต่นี้ไปดิฉันจะยึดมั่นถือปฏิบัติต่อคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ที่ทรงคุณอันประเสริฐยิ่งที่ถูกถ่ายทอดจากพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตเถระ โดย ยึดถือเป็นหนทางต่อแนวทางการดำเนินชีวิตของดิฉันตราบชั่วชีวิตนี้ที่ยังมีลมหายใจอยู่ ตราบจนลุล่วงสู่สัมปรายภพนิจนิรันดร์กาล....
*** แก้วประเสริฐ. ***
xxxxxxxxxxxxx
๒ สิงหาคม ๒๕๔๙