21 พฤศจิกายน 2549 10:32 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๑๘
เจ้าหญิงเฌอมาลย์เทพอัปสร
ยิ่งประดับไว้อย่างสวยงามกว่ายิ่งนัก มีฉัตรแก้วจับขอบด้วยทองคำ
ห้อยไว้ด้วยพู่ระย้าพลิ้วไสวตลอดเวลา สะท้อนแสงหลากสีสันไปมา
มีเหล่าทโมนไพรที่มีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรกำลังถวายงานพัด
โบกอยู่ทั้งสองข้างใกล้ บนแท่นประทับยกสูงนั่งไว้ด้วยจอมทโมนไพร
รูปกายสูงใหญ่มีขนเป็นประกายสีทองเหลืองอร่ามดูเด่นสง่างามน่าเกรงขาม
ทโมนยักษ์ทั้งสองก็รีบน้อมกายตรงเข้าไปทูลถวายรายงานทันที
หลังจากรับฟังการรายงานของทโมนไพรยักษ์ ก็หันหน้ามามององค์ยุพราช
ท่านท้าววานิระหะหรือนัยหนึ่งทโมนไพรขนสีทองทรงลุกขึ้นจาก
พระราชอาสน์ที่ประทับก้าวตรงเข้าต้อนรับองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาทันที
เมื่อเป็นดังฉะนี้องค์พระยุพราชก็ทรงน้อมพระวรกายถวายบังคมแด่
ท่านท้าววานิระหะ พลางเจ้าชายสิงหะฤทธาได้ทรงตรัสขึ้นว่า
“ถวายพระพรทรงพระเจริญพระเจ้าข้า” องค์ชายน้อมถวายความเคารพ
“กระหม่อมมาครั้งนี้มิได้หมายที่จะมาสร้างความเดือดเนื้อร้อนพระหฤทัย
ให้เป็นที่ระคายเคืองแก่พระองค์ก็หาไม่ เพียงเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว
โดยกระหม่อมมิทราบมาก่อนเลยว่าสถานที่แห่งนี้จะตกอยู่ใน
พระราชอำนาจของพระองค์เนื่องจากเห็นเป็นป่าเขาลำเนาไพร
ให้เหมาะแก่การจัดวางกำลังรี้พล หากมิฉะนั้นก็จะเข้ามาเพื่อ
ทูลขอพระบรมราชานุญาติแด่พระองค์ก่อนจะทำการในครั้งนี้ พระเจ้าข้า”
ทรงทูลน้อมกายถวายให้ทราบ
ครั้นจอมวานรได้รับฟังและเห็นความองอาจสง่างดงาม ดั่งชายชาติอาชาไนย
ตลอดจนอากัปกิริยามารยาทนุ่มนวลขององค์พระยุพราชแห่งสิงหะนครเช่นนี้
ก็ให้บังเกิดความพอใจในพระราชหฤทัยพระองค์ แด่เจ้าชายพระองค์นี้ยิ่งนัก
ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงชำเลืองหันไปตรวจสอบเจ้าชายก็เห็นเพียง
แต่ทรงนำเหล่าทหารมาเพียงเล็กน้อยนับได้เพียงแค่แปดนายเท่านั้น
พระองค์ก็ยิ่งทรงพึงพอพระราชหฤทัยยิ่งๆขึ้น แสดงถึงจิตใจห้าวหาญ
ดังนั้น องค์เจ้าเหนือหัวแห่งทโมนไพรก็ทรงยิ้มแย้มแล้ว
พระองค์ได้ทรงตรัสแก่เจ้าชายสิงหะฤทธาขึ้นว่า
“เมื่อก่อนที่จะมาเราก็ทราบกาลครั้งนี้แล้วจากการพยากรณ์ดวงดาว
พอจะทราบแล้วว่าอีกไม่กี่เพลานี้ จะมีหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์เสด็จมา
ถึงยังที่แห่งนี้ และให้เหล่าทหารคอยเฝ้าดูตรวจสอบว่าจะจริงประการใด
หากพบแล้วให้รีบกลับมารายงาน คงจะเป็นเพราะเข้าใจผิดกันและกัน
จึงสร้างความยุ่งยากเกิดขึ้นจนได้” องค์ท้าวานิระหะทรงตรัสกังวาน
“ในเมื่อเป็นเหตุการณ์ขึ้นดังนี้เราเองก็เสียใจและต้องขออภัยด้วยนะ
หากแต่ท่านมายังสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุอันใดฤารึ”
“การครั้งนี้เนื่องด้วยเสด็จพ่อสิงหะราชแห่งสิงหะนครของหม่อมฉัน
ให้กระหม่อมมาหยั่งเชิงทัพของฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬแห่งกาฬคีรีเพื่อเข้ามา
จะทำศึกกับนาครินทนาครแย่งชิงน้ำอมฤต พระจ้าข้า” ทรงทูลตอบ
“หากการนี้องค์ชายมิได้มีพระประสงค์ต่อน้ำอมฤตศักดิ์ที่อยู่ในการดูแล
ของนาครินทนาครแล้วไซร้ เราก็จะขอต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยความยินดี
หากมาดแม้นผิดกว่านี้แล้ว เห็นทีเราจะต้องเข้าต่อสู้กันถึงแม้หากจะต้อง
ตกตายไปจนหมดสิ้นก็ตามที เพราะด้วยเป็นพระบัญชาจากสรวงสวรรค์
ให้เราและเหล่าทหารคอยเฝ้าปกป้องรักษาไว้ด้วยนะท่าน”ท้าวเธอทรงตรัส
“หามิได้พระเจ้าข้า เมื่อก่อนนี้เสด็จพ่อก็คิดมุ่งหมายแก่น้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์นี้
เหมือนกันแต่ต่อมา พระองค์ทรงใคร่ครวญแล้วเห็นว่าไม่สมควรยิ่งนัก
อีกขัดต่อบัญชาสวรรค์ หากท้าวนิลกาฬได้ไปก็จะเป็นที่เดือดร้อนกันไปทั่ว
จึงมอบหมายให้ข้าพระพุทธเจ้ามาเอง คอยสอดส่องดูแลช่วยเหลือลับๆและ
ร่วมประสานงานกับองค์พระยุพราชแห่งทันทะกะนครในการสู้รบอีกทางหนึ่ง
ซึ่งองค์ยุพราชได้ยกพหลพลไกรเดินทางล่วงหน้ามาแล้วยังทิศใต้ของนครนี้
เพื่อเข้าร่วมปรึกษางานหาทางยับยั้งทางฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬที่ทรงมักใหญ่ใฝ่สูง
เสาะค้นหาวิธีการเพื่อชะลอการกำเริบสืบสานต่อไปภายหน้ากับพระยุพราช
ทันทะกะนครช่วยเหลือกันและกันพระเจ้าข้า” องค์พระยุพราชทรงกล่าว
“ถ้าเป็นดั่งที่ท่านกล่าวมานี้ เราก็ให้รู้สึกสบายใจยิ่ง ฉะนั้นเราขอเชิญ
ท่านยุพราชเข้าพักในสถานที่นี้และภายในเมืองเราก่อนเพื่อจะรวมปรึกษาหารือ
เราจะจัดการถวายต้อนรับและจะมอบกำลังพลของเราเข้าร่วมทำการครั้งนี้
แก่ท่านด้วยเป็นพิเศษ อย่าขัดใจเราเลยนะท่าน” พระองค์ทรงกล่าวขึ้น
“นับว่าทรงเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งด้วยแล้วพระเจ้าข้า ”
องค์พระยุพราชแห่งสิงหะนครรีบก้มพระวรกายถวายน้อมรับพระบัญชาทันที
“นี่แนะท่านมุขอำมาตย์ท่านจงเตรียมต้อนรับพระยุพราชด้วยเสมอองค์กษัตริย์
ตลอดจนส่งเครื่องบริโภคไปยังเหล่าทหารที่พักยังยอดเขานิละวานรคีรีมาศ
แล้วเชิญพระราชธิดาออกมาต้อนรับองค์พระยุพราชแห่งสิงหะนครด้วย
ทุกๆอย่างอย่าให้ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด แล้วแจ้งให้เหล่าประชา
ทุกๆท่านทั้งพระนครคืนสู่สภาพดั่งเดิมได้แล้วด้วยนะ”
องค์ท้าววานิระหะทรงหันมาตรัสแก่เหล่าทหารและบรรดามุขอำมาตย์ฝ่าย
ปกครองของพระองค์
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” เหล่าบรรดาขุนทหารและมุขอำมาตย์ทั้งปวง
ต่างพากันน้อมกายถวายรับคำพระบัญชาเจ้าเหนือหัวโดยพร้อมเพรียงกัน
ส่วน องค์พระยุพราชสิงหะฤทธาให้ทรงสงสัยยิ่งนัก พระราชธิดา
ของท่านท้าวเธอนั้นจะทรงรูปลักษณ์ฉันท์ใด เพียงแต่ทรงดำริในพระราชหฤทัย
พลางหันมาสั่งยังองครักษ์
“ท่านสุระกำพล ขอให้ท่านรีบกลับไปแจ้งยังท่านแม่ทัพด้วยว่าให้เตรียมจัด
กำลังรี้พลเข้าพักยังสถานที่นี้ได้ แล้ว และรีบจัดสร้างพลับพลาให้แก่เราด้วย
หากเสร็จสิ้นกิจธุระทางนี้เราก็จะรีบเดินทางกลับ”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า” สุระกำพลองครักษ์รับพระบัญชา
แล้วน้อมกายถวายบังคมต่อองค์ท่านท้าววานิระหะและองค์พระยุพราช
ถดถอยออกมานอกท้องพระโรงแล้วเหาะกลับไปยังกองทัพทันที
บัดดลสภาพแปรเปลี่ยนก็บังเกิดขึ้นภายในท้องพระโรงทันที
องค์เจ้าเหนือหัวแห่งนครนี้ตลอดจนเหล่ามุขอำมาตย์ข้าราชบริพาร
และเหล่าขุนทหารทั้งหลาย ร่างกายก็พลันกลับกลายเป็นบุรุษรูปงาม
ประทับเหนือยังแท่นพระราชอาสน์ เหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายต่าง
ล้วนที่มีร่างกายองอาจสง่างามยิ่งนัก เป็นที่ตกตลึงแก่องค์พระยุพราช
และเหล่าทหารองครักษ์ทั้งแปดนายในการแปรเปลี่ยนเช่นนี้
ยิ่งบรรดา ภายในปราสาทห้องพระโรงที่ใช้ในการต้อนรับแก่องค์พระยุพราช
ก็ประกอบไปด้วยสิ่งบันเทิงใจมากมายทั้งหลาย
ภายในมีกลิ่นหอมหวนยิ่งนัก อีกทั้งเหล่าบรรดานางอิสตรีที่สวยสด
งดงามแต่ละนางอรชรอ้อนแอ้นรูปทรงตระการตา และตลอดจนเครื่อง
อุปโภคบริโภคถูกจัดวางไว้สวยงามปานประหนึ่งสรวงสวรรค์ คลอเคล้า
ไปด้วยเสียงร้องบรรเลงและมโหรีที่คอยต้อนรับเสด็จ
นางรำที่คอยฟ้อนรำถวายหาได้มีรูปร่างอย่างทโมนไพรก็หาไม่
กลับมีเรือนร่างสวยงามปานประหนึ่งดังเทพอัปสรก็มิปาน ส่วนที่ที่กำลัง
ร่ายรำอยู่เป็นที่เจริญหูเจริญใจแก่องค์พระยุพราชและเหล่าองครักษ์
ถึงกับต้องเบิ่งตาค้างไปตามๆกัน ทำให้องค์พระยุพราชที่ฉงนสงสัยอยู่
เก่าก่อนก็ถึงกับแปรเปลี่ยนพระดำริภายในพระหฤทัยนี้ทันที
พระองค์ถึงกับทรงรำพึงว่า คงจะเหมือนสภาพกับนครของเราเป็นแม่นมั่น
หรือว่าพระมเหสีขององค์ท้าววานิระหะ จะทรงเป็นมนุษย์หรือเทพ
เป็นแน่แท้ทรงฉงนพระทัย ก็เป็นจริงดั่งที่ทรงปรารมภ์ในพระหฤทัย
เมื่อองค์พระธิดาทรงเสด็จเข้ามาสู่สถานต้อนรับ ยิ่งสร้างความตื่นตลึง
แก่พระองค์และเหล่าทหารองครักษ์ไปกว่าเดิม ด้วยพระวรกายของ
พระราชธิดาสวยสง่างดงามแพรวพราวไปด้วยรัศมีที่แผ่กระจายไปทั่ว
ปานประหนึ่งเทพไท้บนสรวงก็มิปาน ท่านท้าวเธอตรัสกับองค์ยุพราชว่า
“ท่านยุพราชทำตัวตามสบายเถิดนะ นี่คือราชธิดาองค์เดียวของเรา”
พระองค์ทรงตรัส แล้วผายพระหัตถ์มาทางราชธิดาของพระองค์
“นี่คือลูกหญิงเฌอมาลย์”แล้วทรงหันกล่าวกับพระราชธิดา
“ท่านนี้คือองค์ยุพราชสิงหะฤทธาแห่งสิงหะนครที่ทรงมาเป็นแขก
บ้านเมืองเรา”
พระองค์ทรงตรัสด้วยแย้มยิ้มผ่องใส
“อ้อๆ...ท่านคงสงสัยในรูปลักษณ์ของเรากระมังดังที่เห็นฉะนี้
เราขอบอกแก่ท่านว่าอันที่จริงเราเป็นเทพบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ของจอมเทพสวรรค์นี้ เมื่อเราได้รับพระบัญชาจากพระองค์ให้ลงมา
ปกป้องอาณาเขตแห่งเทือกเขานี้ เป็นด่านคุ้มครองปกป้องอาณาเขตไว้
จึงได้แปลงร่างกายเราและเหล่าเทพยาดาที่ติดตามเราลงมาจากฟากฟ้าต้อง
กลายร่างเป็นทโมนไพรเพื่อมิให้เป็นที่สงสัยแก่คนทั่วไปทั้งหลายนะ”
พระองค์แถลงแก้ความสงสัย ให้องค์พระยุพราชทราบความเป็นไปมา
“เราเองนี้มีชื่อบนสวรรค์นี้ว่า “วชิระวรุณเทพบุตร พระมเหสีเรา
ทรงพระนามว่าสุมาลีเทพอัปสร และลูกเรานี้ทรงพระนามว่า
“เฌอมาลย์เทพอัปสร” ส่วนบรรดาไพร่พลของเราล้วนเป็นเทพบุตร
และเทพธิดาทั้งสิ้น ที่ต่างมีรูปร่างเป็นทโมนไพรอันน่าเกลียดน่ากลัวนั้น
เพื่อกำบังรูปลักษณ์มิให้เป็นที่สงสัยแก่คนอื่น ได้มาเนรมิตพักอาศัยอยู่ที่นี่
ตลอดจนมหาปราสาทและสิ่งสร้างทั้งหลายเพื่ออำพรางตาไว้เท่านั้นเอง”
องค์ท้าวเธอทรงตรังดังนี้เนื่องจากทรงพึงพอพระราชหฤทัยในองค์ยุพราช
องค์นี้ยิ่งนักที่ทรงมีพระวรกายสง่างามสมดั่งชายชาติทหารกล้า ซ้ำยังมีกิริยา
ที่อ่อนละมุนวาจาอ่อนหวาน แต่ดวงพระเนตรคมกล้ายิ่งนักปานประหนึ่ง
สายฟ้าดุจดั่งซุกซ่อนความเก่งกาจมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดแลเห็นได้ทั้งความกล้าหาญ
19 พฤศจิกายน 2549 11:43 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๑๗
นิละวานรคีรีมาศ
เมื่อท่านท้าวสิงหะราชหลังจากที่ยุพราชโกเมศกุมารได้ลายกทัพออก
จากเมืองสิงหะนครไปแล้ว ก็เข้าร่วมปรึกษาหารือกับยุพราชสิงหะฤทธา
และเหล่ามุขอำมาตย์ขุนทหารทั้งหลายถึงเรื่องการศึกที่จะมาถึงครั้งนี้
ด้วยพระอุปนิสัยจึงทรงคล้อยตามของยุพราชโกเมศกุมารที่จะมาเป็นว่าที่
พระชามาดาในพระองค์เสียแล้ว กริ่งเกรงว่าหากดำเนินตามพระองค์ไปก็จะ
เป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระราชธิดาของพระองค์ เมื่อปรึกษาข้อราชการเป็นที่
เรียบร้อยแล้วจึง มอบหมายให้ยุพราชสิงหะฤทธาเป็นแม่ทัพใหญ่ไปในศึกครั้งนี้
ส่วนพระองค์มิได้เสด็จยกทัพไปแต่ประการใด หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น
ก็ให้พระยุพราชสิงหะฤทธาแจ้งต่อองค์ท่านท้าวนิลกาฬว่าพระองค์ทรง
พระประชวรไม่สามารถนำทัพมาเองได้ แล้วพระองค์ทรงมอบอาวุธคู่กาย
ให้แก่พระยุพราชในพระองค์เพื่อใช้ป้องกันตัวหากมีปัญหาเกิดขึ้นตลอดจน
เก็บไว้แสดงหากเป็นที่ครางแคลงพระทัยในท่านท้าวนิลกาฬด้วยและเวทย์มนต์
ที่ใช้กำกับอาวุธของพระองค์ไว้ เมื่อได้เวลาก็ให้องค์สิงหะฤทธาเคลื่อนขบวน
ทัพยกออกไปในทางทิศใต้แล้ววกเข้าสู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนาครินทนาคร
ครั้นทัพขององค์สิงหะฤทธาเหาะผ่านทวีปต่างๆเพื่อเข้าไปยังที่จุดนัดหมาย
เมื่อใกล้ๆเข้ามาจะลุล่วงเข้าสู่อาณาเขตซึ่งเต็มไปด้วยขุนเขามากมาย
เปรียบประดุจกำแพงน้อยใหญ่กั้นขวาง พระองค์ก็ตรัสใช้ให้ขุนทหารองครักษ์
ประจำพระวรกายทั้งสองนายเข้าไปตรวจสอบหาชัยภูมิที่ดีเพื่อที่จะใช้เป็นที่
พักหยุดกำลังพล จึงทรงตรัสว่า
“นี้แน่ะ ท่านสุระพยัคฆาและท่านสุระติณนะกะจงไปตรวจสอบเพื่อเราจะใช้
เป็นที่วางกำลังพล แล้วรีบกลับมารายงานแก่เราด่วนด้วยนะท่าน”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขุนทหารส่วนพระองค์รับพระบัญชา
แล้วรีบเหาะนำเหล่าองครักษ์ทหารหลายนายแยกย้ายกัน
ไปค้นหาทำเลทันที
ขุนทหารสุระพยัคฆาแยกไปทางซ้าย
ส่วนขุนทหารสุระติณนะกะแยกไปทางขวา
สุระพยัคฆาเห็นเหนือเขาใหญ่ที่สูงตระหง่านกว่าเขาใดๆ
ก็รีบนำทหารเหาะลงไปเป็นแมกไม้ใหญ่นานาพันธุ์กระจายไปทั่ว
ก็นำทหารลงไปยังภาคพื้นดิน เที่ยวตระเวนค้นหาแหล่งน้ำและถ้ำต่างๆ
ที่เป็นบริเวณพอใช้เป็นที่พักพิงได้ ขณะที่กำลังค้นหาอยู่นั้นก็ปรากฏเสียง
ดังจ๊อกแจรกจอแจดังสนั่นไปทั่วบริเวณเหนือยอดแมกไม้ใหญ่เหล่านั้น
ต่างก็เหลือบมองไปเบื้องบนก็เห็นเหล่าทโมนไพรจำนวนมากมาย
ซึ่งมีขนาดใหญ่เกือบเท่ามนุษย์กำลังโหนเถาวัลย์ด้วยใบหน้าดุร้ายขมึงตึง
บ้างเหนี่ยวเถาวัลย์มือเดียวอีกมือถืออาวุธที่ทำด้วยไม้ท่อนสั้นๆยาวๆ
กำลังโยนตัวลงมาเป็นจำนวนมาก เหล่าทหารก็รีบแยกย้ายกัน
เพื่อปกป้องตนพร้อมชักอาวุธออกมา เมื่อเข้าประชันหน้าฝ่ายทโมนไพร
ไม่ฟังความใดๆทั้งสิ้นก็เข้าตะลุมบอนหวดตีเหล่าทหารองครักษ์ทันที
ทั้งสองฝ่ายเข้าต่อสู้กันเป็นพัลวันด้วยอาวุธ เมื่อประชิดกัน
ต่างก็เข้ากัดขย้ำกันจนล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย
เนื่องจากท่อนบนของทหารเมืองสิงหะนครเป็นใบหน้าราชสีห์ทั้งฝ่ามือ
จึงมิได้ตกเป็นรองแก่ทโมนไพรที่มีร่างกายใหญ่ก็หาไม่
เสียงคำรามดุจราชสีห์ปนเสียงคำรามร้องจ๊อกแจรกจอแจดังไปทั่วบริเวณนั้น
ได้ยินไปถึงกองทัพเบื้องบนและท่านสุระติณนะกะ ที่เที่ยวค้นหา
บริเวณทางด้านขวาก็รีบยกกำลังทหารเข้ามาสู่สถานที่ได้ยินเสียง
ด้วยคิดว่าคงจะเกิดอันตรายแก่ทหารท่านสุระพยัคฆาเป็นแน่
ครั้นมาถึงก็สั่งทหารให้รีบเข้าช่วยเหลือทหารของท่านสุระพยัคฆาทันที
การสู้รบผ่านไปเป็นเวลานานผลก็ยังไม่ปรากฏแพ้ชนะกัน
บรรดาเหล่า ต้นไม้ใหญ่น้อยต่างก็หักราบพนาสูรจนเป็นบริเวณ
กว้างกระจายออกไปทั่ว ซึ่งก่อนจะเข้าสัประยุทธ์กันนั้นยังเป็นที่เต็มไปด้วย
แมกไม้ใหญ่น้อยนานาพันธุ์อยู่ ต่อมาก็มีเสียงสนั่นดังลั่นสอดแทรก
เข้ามาปรากฏร่างของทโมนไพรตัวดำใหญ่สองตัวทะยานผ่านต้นไม้
เข้ามายังที่กลางการรบที่ติดพันกัน เข้าพ่นไฟใส่ยังทหาร
ฝ่ายเมืองสิงหะนครทันที
เมื่อท่านสุระพยัคฆาเห็นดังนี้ก็ทะยานเข้าไปยังหมู่ทหาร
พลางอ้าปากพ่นน้ำเป็นละอองเล็กเข้าสู่ประกายไฟของหัวหน้า
ทโมนไพรทั้งสองทันที พลันเปลวประกายไฟที่กำลังเผาผลาญ
ทหารสิงหะนครก็มอดดับไป ทโมนไพรใหญ่ทั้งสองแลเห็นดังนั้น
ก็กระโจนเข้าหาท่านสุระพยัคฆาเข้าตีด้วยกระบองเหล็กพากันเข้ารุมต่อตี
ท่านสุระติณนะกะเห็นดังนี้ก็รีบเข้าไปช่วยเหลือสู้รบพุ่งกันเป็นพัลวัน
ด้วยอาวุธนานาประการ ก็มิมีผู้ใดเพรี้ยงพล้ำต่อกัน เป็นเวลานาน จนความ
ทราบไปถึงองค์ยุพราชสิงหะฤทธา พระองค์จึงตรัสเรียกแม่ทัพหน้าซึ่ง
กำลังคอยรับพระบัญชาอยู่ พร้อมทรงตรัสว่า
“ท่านปรศุเดชะ เราสงสัยจะมีปัญหาแก่ท่านสุระพยัคฆาและ
ท่านสุระติณนะกะ กับเหล่าทหารเป็นแน่แท้ป่านนี้ยังไม่เห็นกลับมา
ท่านจง ออกไปตรวจดูหน่อยเถิด”
“พระเจ้าข้า” ปรศุเดชะรับพระบัญชาก็รีบออกมานำเหล่าทหาร
พร้อมชักขวานเพชรอาวุธประจำกายรีบนำทหารเหาะลงไปทันที
ครั้นแลเห็นเหล่าทหารและท่านองครักษ์ทั้งสองขององค์พระยุพราช
กำลังเข้าต่อสู้กับทโมนไพรยักษ์ทั้งสองเป็นพัลวันจนร่างกายทั้งสอง
ฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บไปตามๆกันก็ยังหายอมแพ้กันไม่ จึงรีบเข้ามา
พร้อมแผดเสียงคำรามก้องเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ด้วยอำนาจของ
พระยาราชสีห์ ทำให้เหล่าทโมนไพรทั้งหลายต่างพากันแตกกระเจิง
รีบกระโจนเข้าป่าดงดิบไปเกือบหมดสิ้น บ้างหนีเสียงคำรามไม่ทัน
ก็ถึงกาลแก่ชีวิตทันที แม้กระทั่งทโมนไพรยักษ์ก็ถึงกับเข่าทรุดลงกับพื้น
และถูกท่านสุระพยัคฆาท่านสุระติณนะกะจับกุมไว้ได้ นำเข้ามายัง
ท่านแม่ทัพปรศุเดชะสอบถาม เมื่อท่านแม่ทัพปรศุเดชะเห็นดั่งนี้ก็รีบคุมตัว
ทโมนไพรยังกลับไปเข้าเฝ้าองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาพร้อมกับองครักษ์
สุระพยัคฆา ส่วนทางท่านสุระติณนะกะก็จัดการเกณฑ์ไพร่พลจัดการ
ทำความสะอาดบริเวณเก็บกวาดให้สะอาดเพื่อใช้เป็นที่พักไพร่พลต่อไป
เมื่อท่านแม่ทัพนำทโมนไพรยักษ์ทั้งสองเข้าเฝ้าองค์พระยุพราชแล้ว
พระองค์ก็ทรงไต่ถามเหตุการณ์ทั้งหลายโดยละเอียด ก็ได้รับการทูลถวายตอบ
แล้วจึงหันมาทอดพระเนตรสองทโมนไพพลางตรัสถามว่า
“นี่แนะท่านขุนกระบี่ทั้งสอง เหตุใดท่านจึงมาปกปักรักษาบริเวณนี้ล่ะ
ท่าน พร้อมทั้งสั่งให้ทหารแก้มัดแก่ทโมนไพรทั้งสองด้วย”
ทโมนไพรยักษ์ทั้งสองต่างก็หันมามองหน้ากันและกัน ทางด้านทโมนไพร
ซึ่งตัวจะใหญ่กว่าก็น้อมทูลขึ้นว่า
“เกล้ากระหม่อมเป็นทหารเอกของท่านท้าววานิระหะแห่ง
ขุนเขานิละวานรคีรี ให้มาขัดขวางการบุกรุกดินแดนแห่งนี้ พระเจ้าข้า”
สร้างความแปลกใจแก่เหล่าขุนทหารทั้งหลายเป็นยิ่งนักที่ทโมนไพร
สื่อภาษากันได้ ต่างก็หันไปสบตากันและกันและต่างเฝ้ามองดู
“กระนั้นหรือท่าน เราและเหล่าทหารเหล่านี้หาได้มีเจตนา
จะเข้ามายึดถิ่นที่นี่ไว้ในราชอำนาจแต่อย่างไรไม่เพียงแค่ผ่านทางไป
เราคิดแต่เพียงหวังจะมาขอพักผ่อนชั่วคราวหากเสร็จกิจธุระก็จะจากไป
แล้วเราจะมีหนทางใดละที่จะขอเข้าเฝ้าท่านท้าววานิระหะแห่งท่านได้เล่า
เพื่อจะขออนุญาตต่อพระองค์ท่าน” พระยุพราชทรงตรัสสอบถาม
“หากแม้นพระองค์มิคิดจะยึด ข้าพระพุทธเจ้าก็จะขอนำพระองค์เข้าไป
เจรจากับท่านท้าววานิระหะเสียก่อน พระเจ้าข้า” ทโมนไพรร่างยักษ์กล่าว
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นการดียิ่งนะท่าน เอาละท่านเราสร้างความลำบากแก่
ท่านอีกจงช่วยนำเราไปทำการเจรจาครั้งนี้ด้วยเถิด” พระองค์ทรงตรัสตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญพระองค์เสด็จตามข้าพระพุทธเจ้ามา เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ทโมนไพรร่างยักษ์น้อมกายลงสนองพระดำรัส”
พลางหันไปทางปรศุเดชะแล้วพระองค์ทรงตรัสว่า
“ท่านปรศุเดชะ เราขอฝากไพร่พลให้ท่านดูแล ส่วนเราจะเข้าไปเฝ้าท่านท้าว
วานิระหะก่อน ท่านนิระกำพลกับท่านสุระกำพลจงติดตามเราไปเพียงแค่ทหาร
องครักษ์แปดนายก็คงจะเพียงพอ เพื่อมิให้ท่านท้าวได้หวาดระแวงต่อเรานะท่าน”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าพระพุทธเจ้าขอเชิญพระองค์เสด็จเถิดพระเจ้าข้า” ทโมนไพร
กล่าวขึ้นพร้อมกับทโมนไพรที่ยืนฟังดูเหตุการณ์ต่างลุกขึ้นน้อมกายหมายนำทาง
“เชิญเถอะท่านทั้งสอง” พระองค์ทรงตรัสแล้วติดตามทโมนไพรดำเนินไป
เมื่อออกมาข้างนอกทโมนไพรต่างก็ทะยานขึ้นยังเถาวัลย์ละลิ่วลอยไปเบื้องหน้า
องค์ท่านพระยุพราชและทหารก็เหาะติดตามไปทันที
บัดดลก็มาถึงซึ่งถิ่นที่อยู่อาศัยของเหล่าทโมนเป็นปราสาทดูร้างกว้างขวาง
ดูใหญ่โตมโหฬาร ถึงแม้จะมีที่บางส่วนปรักหักพังแต่ก็ยังคงอยู่ในสภาพที่ใช้ได้
ท่ามกลางขุนเขาแมกไม้น้อยใหญ่ใกล้ๆกับริมเขาเป็นหน้าผาสูงชันยิ่งนัก
เมื่อทโมนไพรทั้งสองมาถึงเหล่าทโมนไพรต่างๆซึ่งยืนรักษาการณ์อยู่เห็น
ก็เปิดทางให้เข้ายังปราสาท เมื่อทรงดำเนินผ่านเหล่าทโมนไพร
ก็เข้าสู่สถานชั้นในแลเห็นตระการตานักผิดกับรูปทรงภายนอกสิ้นเชิง
เป็นที่ประดับประดาของเหล่ากษัตริย์โบร่ำโบราณมาก่อน
มีแท่นที่ประทับตั้งอยู่ท่ามกลางเบื้องหน้าของเหล่าทหารหาญ
ที่กำลังเฝ้าองค์กษัตริย์แห่งนครนี้อยู่
ภายในประดับประดาด้วยแก้วหลากสีส่งแสงประกายแวววาวระยิบระยับ
สลับสีทองตลอดจนเครื่องใช้ต่างๆทำด้วยทองคำทั้งสิ้น
แม้แต่ที่ประทับและเก้าอี้ของเหล่าทหารหาญก็ทำด้วยทองคำ
ประดับด้วยแก้วมณีหลากสี ที่แท่นประทับที่อยู่ท่ามกลางของเหล่าทหารนั้น
17 พฤศจิกายน 2549 12:04 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๑๖
นาคราชจ้าวแห่งอสรพิษ
รีบแจ้งให้เราทราบด้วยนะ” ทรงตรัสขึ้น
“พะย่าค่ะ” สุระนาคินทร์รับพระบัญชา ถอยออกมา ใช้ให้ทหารเอกคู่ใจ
รีบเข้าไปยังสถานที่นั้นเข้าตรวจสอบตามถ้ำต่างๆโดยเร่งด่วน
ครั้นทหารเอกทั้งสองนำกำลังทหารนาคราชไปยังบึงน้ำกว้างใหญ่บนภูเขา
ตรวจตราตามถ้ำน้อยใหญ่ ก็พบพญางูยักษ์แผ่พังพานส่ายศีรษะไปมาในถ้ำใกล้
ริมหนองน้ำใหญ่และเหล่าอสรพิษมากมาย ต่างก็แผ่พังพานดูสลอนไปทั่วทั้งในถ้ำ
บ้างก็สยบหัวลงถดถอยเลื่อยเข้าสู่หลีบผนังถ้ำ บางตัวก็หยุดขู่ต่างส่ายหัว
แลซ้ายแลขวาไปๆมาๆ ส่วนงูใหญ่นั้นส่ายหัวอันใหญ่โตมโหฬารไปมา
เสียงขู่ก็ค่อยๆจางหายไป ละอองฝอยพิษที่พ่นออกมาก็หยุดชะงักลง แต่ยัง
มิคงสยบได้โดยง่าย ด้วยเหล่าอสรพิษร้ายเหล่านี้ได้กลิ่นจากเหล่าทหารหาญ
ของนครทันทะกะที่กำลังเดินก้าวเข้ามาสู่หา ฉับพลันร่างงูใหญ่นั้นก็แปรสภาพ
กลายร่างเป็นมนุษย์ เป็นบุรุษวัยกลางคนสง่างามยืนมองเขม้นมาทางเหล่าทหาร
พลางน้อมกายลงคาราวะแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า
“โอ้ท่านนาคราชท่านมาสู่สถานนี้ด้วยเหตุใดฤาท่าน”
ทหารเอกทางด้านซ้ายมือนามว่า นาคียะ ก็ก้าวนำหน้าหมู่ทหารพลางน้อมกาย
คาราวะ เอ่ยตอบ งูยักษ์ที่กลายร่างเป็นมนุษย์ว่า
“เราเป็นทหารของเมืองทันทะกะนครแห่งลุ่มน้ำมหาสมุทรสีทันดร
การครั้งนี้เพื่อจะมาพักอาศัยบริเวณแถวนี้
เมื่อเข้ามาตรวจสอบเพื่อพักอาศัยพบท่านอยู่หากว่าทำความรบกวนเหล่า
ท่านทั้งหลายก็ขออภัยด้วย เนื่องจากท่านยุพราชแห่งทันทะกะเสด็จมาด้วย
จึงจะขอรบกวนท่านทั้งหลายขอพักอาศัยชั่วคราว ด้วยเถิด
เพื่อจะกลับไปรายงานทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ” นาคียะนาคราชแถลง
งูยักษ์ในร่างมนุษย์ก็ส่งยิ้มตอบรับ แล้วกล่าวขึ้นว่า
“ท่านนาคียะ เรื่องนี้เราต้องขออนุญาตจากท่านท้าวพิษยะราช
ราชันย์แห่งขุนเขาสินธุคีรีศรีเสียก่อนนะท่าน” มนุษย์แปลงกล่าว
“หากมาดแม้นเป็นดังที่ท่านกล่าวมานี้ ก็ต้องขอทำความลำบาก
แก่ท่านแล้วจงช่วยไปกราบทูลท่านท้าวพิษยะราชถึงการมาขอพำนัก
ของยุพราชแห่งเราด้วยเถิด” นาคียะนาคราชเอ่ยขึ้น
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ขอเชิญท่านพำนักพักผ่อนก่อน
เราจะเข้าไปทูลรายงานถวาย” มนุษย์แปลงเอ่ย
แล้วผ่ายมือไปยังผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยชั้นหินนานา มองดูคล้ายดั่งโต๊ะเก้าอี้นั้น
พร้อมทั้งสั่งไปยังเหล่าอสรพิษทั้งหลาย ให้คอยดูแลแก่เหล่านาคราช
ตนเองก็ก้าวลึกเข้าสู่หลีบถ้ำทันที
มิช้ามินานเสียงดังกังวานด้วยมโหรีก็แว่วล่องลอยมาจากภายในถ้ำ
เบื้องหน้าที่เป็นโพรงถ้ำ นาคียะนาคราชทหารเอกก็แลเห็นร่างของ
ชายชราที่เปี่ยมไปด้วยความสง่างามประดับร่างกายเสื้อผ้าคล้ายดังกษัตริย์
กำลังเดินผ่านออกมา จึงได้ลุกจากเก้าอี้ก้าวออกมาน้อมกายคาราวะทันที
ท่านท้าวพิษยะราชแห่งอสรพิษทั้งหลาย ก็น้อมกายรับการคาราวะตอบ
พลางเอ่ยขึ้นมาว่า
“โอ้ใยถึงเป็นเช่นนี้เล่าท่านนาคราชผู้ยิ่งใหญ่ ถึงแม้นว่าเรากับท่านจะเป็น
เผ่าพงศ์คล้ายๆกัน แต่ด้วยอำนาจราชศักดิ์ศรีย่อมด้อยกว่าพวกท่านทุกประการ
มิต้องที่ท่านจะต้องแสดงถึงเพียงนี้ แค่นี้ก็ทำความละอายใจแก่ข้าพเจ้ายิ่งนัก”
ท่านพิษยะราชน้อมกายตอบ
“หามิได้ท่านพิษยะราชเราเองมาที่นี้เพื่อกิจการบางประการมิได้ก้าวล่วง
อำนาจของท่านหรอก เพียงแต่มาไกลนักใคร่จักพักอาศัยชั่วคราวเท่านั้น
หากเสร็จจากกิจการนี้แล้ว ก็ต้องเคลื่อนกำลังพลไปจะมิทำให้สถานที่นี้เกิด
ความเดือดร้อนเสียหายแต่ประการใดก็หาไม่ “ นาคียะนาคราชเอ่ยขึ้น
“เพียงแต่ว่าท่านเป็นเจ้าควบคุมอสรพิษทั้งปวงตลอดขุนเขาแห่ง
สินธุคีรีศรีนี้ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นถึงพญานาคราชก็ตาม ก็ต้องทำตาม
ราชประเพณีเสียก่อนให้เกียรติแก่เจ้าของสถานทีด้วย ”นาคียะกล่าว
“โอ้ท่านพญานาคผู้ยิ่งใหญ่ เพียงแค่แม้แต่ท่านย่างเข้าสู่ขุนเขา
แห่งสินธุคีรีนี้ก็ย่อมเป็นที่ซาบซึ้งแก่ข้าพเจ้าและเหล่าบริวารทั้งหลาย
แล้วว่าครั้งหนึ่งมีท่านพญานาคมาเยี่ยมเยียนถึงถิ่นแก่เหล่าอสรพิษทั้งหลาย
ฉะนั้นขอท่านจงกลับไปทูลองค์พระยุพราชด้วยเถิดว่า ทางเราพร้อม
ที่จะน้อมต้อนรับพักผ่อนหาความพระเกษมสำราญจากสถานที่นี้ด้วยเถิด”
พญาแห่งอสรพิษแห่งสินธุคีรีศรีน้อมตอบ
“หากเป็นความประสงค์ของท่านแล้ว เราจะกลับไปทูลพระองค์
และจะขอพระบรมราชาอนุญาตให้ท่านเข้าเฝ้าเสด็จต่อพระองค์ด้วย”
“หากได้รับความกรุณาจากท่านแล้ว ทางเราก็จะถวายการต้อนรับ
องค์พระยุพราชแห่งทันทะกะมิให้ต้องเป็นที่เดือดร้อนพระราชหฤทัย”
เจ้าแห่งอสรพิษกล่าวขึ้นด้วยความยินดี
ครั้นแล้วนาคียะนาคราชก็รีบกลับไปแจ้งข่าวแก่ท่านแม่ทัพสุระนาคินทร์
ถึงเรื่องราวความเป็นไปของสถานที่ให้ทราบทุกประการ
“ท่านปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว ดีมากท่านนาคียะ” แม่ทัพแห่งทันทะกะเอ่ยชม
“เราจะรีบไปทูลถวายรายงานแด่องค์พระยุพราชเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วท่านแม่ทัพ
ก็รีบเข้าไปทูลถวายรายงานแด่ราชบุตรโกเมศกุมารทันที
เมื่อองค์ท้าวเธอได้รับฟังรายงานแล้วก็ทรงเป็นที่เกษมสำราญเบิกบานยิ่งนัก
แล้วทรงเอ่ยตรัสขึ้นว่า
“ดีแล้วล่ะท่านสุระนาคินทร์ เราขอชมถึงการเจรจาของท่านนาคียะด้วยที่
ปฏิบัติต่อเผ่าพงศ์ของพวกเราได้อย่างนุ่มนวลเช่นนี้” แล้วพระองค์ก็ทรงถอด
พระธำมรงค์แก้วสวยสดมอบให้แก่สุระนาคินทร์เพื่อมอบเป็นน้ำใจแก่
นาคียะนาคราชทันทีที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อเผ่าพงศ์ได้งดงามเช่นนี้
เมื่อเหตุการณ์เป็นไปด้วยดีมิต้องเกิดการรบพุ่งเสียเลือดเนื้อแต่ประการใด
ท่านท้าวเธอยุพราชก็เสด็จนำไพร่พลทั้งปวงจัดวางกำลังตั้งค่ายคูประตูกล
ตามแบบพิชัยสงครามลงบนยอดเขาแห่งสินธุคีรีศรีทันที แล้วทรงทอดดำเนิน
เข้าไปยังริมหนองน้ำใหญ่ ทรงเนรมิตพลับพลาขึ้นเข้าพักอาศัยตลอดพระองค์
ทรงตรัสแก่เหล่าขุนทหารอย่าได้ไปสร้างความหนักใจแก่เหล่าอสรพิษทั้งหลาย
ที่เป็นเจ้าของสถานทีนี้ด้วยอำนาจของพญานาคเป็นอันขาดมิฉะนั้นจะได้รับ
การลงโทษหนักตามกฎของทหารทันที
ครั้นองค์ยุพราชเสด็จพักผ่อนยังที่พลับพลาแล้ว ก็ให้มีพระบัญชา
ไปเชิญท่านท้าวพิษยะราชแห่งขุนเขาสินธุคีรีศรีทันที เพื่อพระองค์จะทรง
ไต่ถามสภาพแวดล้อมต่างๆเพื่อประกอบการศึกวางแผนต่อไป
เมื่อท่านท้าวพิษยะราชเข้ามายังพระราชสถานพลับพลาแล้ว ก็ทรงให้
ประทับบนพระเก้าอี้เคียงคู่พระองค์ทันที สร้างความปลาบปลื้มหฤทัยยิ่ง
แก่พิษยะราชถึงกลับมีน้ำใสเล็กๆคลอยังเนตรทั้งสอง พลางเอ่ยขึ้นว่า
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนักพระเจ้าข้า”
“มิเป็นไรหรอก ท่านพิษยะราช ถึงแม้ว่าเราจะเป็นยุพราชแห่งทันทะกะ
ก็ตามทีเถิด แต่ท่านอย่าลืมซิว่าเราต่างเป็นเผ่าพงศ์ที่มีลักษณะเดียวกันย่อม
ต้องมีสายเลือดเหมือนๆกันและท่านก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ควบคุมดูแลแห่งขุนเขา
นี้ เป็นราชาแห่งอสรพิษทั้งหลาย เราเพียงแค่เป็นแขกมาเยือนขอพักพิงท่าน
ชั่วคราวเท่านั้น ย่อมสมควรที่จะให้เกียรติแก่ท่านนั่งสูงกว่าเราเสียอีกนะ
ในฐานะที่เป็นกษัตริย์แห่งอสรพิษทั้งปวงนะท่าน” องค์พระยุพราชตรัส
“ถึงแม้ว่าข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นกษัตริย์แห่งอสรพิษทั้งมวลก็ตามทีเถิด
เพียงแต่บรรพบุรุษได้กล่าวย้ำแล้วย้ำอีกว่าพวกเราต่างเป็นเพียงแค่บริพาร
แห่งพญานาคราชเท่านั้น หากได้ประสบพบเมื่อใดให้น้อมกายถวายตัวทันที”
ท่านท้าวพิษยะราชกล่าวขึ้น
“ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ตามทีเถิด เราก็สมควรยิ่งที่จะให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ต่อพวกพ้องอันเป็นสายเลือดเผ่าเดียวกันอย่าได้ดูหมิ่นดูแคลนต่อกันตามที่
พระราชบิดาเราพร่ำสั่งสอนมาแต่เยาว์วัยนะท่าน” องค์ยุพราชทรงพระสรวล
ครั้นแล้วองค์พระยุพราชก็ทรงไต่ถามเหตุการณ์ทั้งปวงและตลอดถึง
อาณาเขตแห่งเมืองนาครินทนาคร ถึงแนวทางที่จะเข้าสู่นครนั้น ซึ่งก็ได้รับ
การทูลถวายว่าเหล่าอสรพิษทั้งปวงได้รับบัญชาจากสรวงสวรรค์ให้ปกป้อง
คุ้มครองบริเวณอาณาเขตมิให้ผู้ใดก้าวล้ำเข้ามาได้แล้วกลับไปรายงานต่อ
ต่อเทพที่จะมารับรายงานเสมอๆมิได้ขาด ฉะนั้นเหล่าอสรพิษทั้งหลาย
จึงได้รับพรจากองค์มหาเทพแห่งสรวงสวรรค์ให้ผู้ที่บำเพ็ญเพียร
มั่นคงด้วยฌานสมาบัติมีฤทธิ์เดชจะสามารถแปลงกายได้
และเป็นไปเกือบจะทุกๆตัว นี่ดีว่าเราเป็นสายเลือดเดียวกัน
และทราบทางฌานว่าพระองค์ทรงมิได้มีน้ำพระทัยคิดที่จะรุกราน
นาครินทนาครเพียงแต่เหตุจำเป็นบังคับเท่านั้น
มิฉะนั้นแล้วก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าขัดขวางต่อพระองค์
และเหล่าพญานาคทั้งหลายจนกว่าชีวิตจะสิ้นตักษัยด้วย ถึงแม้ว่าจะมิใช่
อุปนิสัยของเหล่าอสรพิษก็ตามทีแต่ก็จนใจด้วยได้รับอาสาต่อองค์มหาเทพ
พิษยะราชทูลเล่าถึงความหลังให้องค์พระยุพราชมิได้ปิดบังแต่ประการใด
พร้อมทั้งยังสั่งแก่เหล่าอสรพิษทั้งมวลให้ช่วยดูแลปกป้องเหล่าทหารหาญ
ของพระองค์จากภัยอื่นๆที่เต็มไปทั่วมากมายหลากหลายชนิดอีกด้วย
องค์พระยุพราชทรงรับทราบความเป็นไปแห่งท่านพิษยะราชก็ทรง
พระเกษมสำราญยิ่งนักกล่าวตรัสขอบใจเจ้าแห่งอสรพิษแห่งขุนเขาสินธุคีรีศรี
และบริวารทั้งหลาย ครั้นสนทนาได้เวลาอันสมควรท่านท้าวพิษยะราช
ก็ทูลลากลับ องค์ยุพราชก็ทรงพระเกษมสำราญยิ่งนักต่อบึงน้ำบนยอดเขา
สินธุคีรีศรีที่ใสสะอาดเยือกเย็น เมื่อเสร็จจากการสรงแล้วก็เสด็จกลับยัง
พลับพลา เพื่อคอยการนัดหมายของทางท่านท้าวนิลกาฬต่อไป
17 พฤศจิกายน 2549 09:26 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๑๕
เภทภัยสัตว์ร้าย
ก็จะเห็นแนวอาณาเขตของเมืองนาครินทนาครได้อย่างกระจ่าง
โดยมิมีสิ่งกีดขวางแต่ประการใด ฉะนั้นพ่อจึงอยากให้ลูกจัดทหาร
พอที่จะไว้ใจได้และประกอบด้วยฤทธาเพื่อความไม่ปรามาสเข้าตรวจสอบดู
ภูมิประเทศเหล่านี้ก่อนก็จะดี ที่เราจะนำกำลังรี้พลลงไปเลยทีเดียว”
ท่านท้าวเธอหันมาตรัสกับราชบุตรของพระองค์
“พระเจ้าข้าเสด็จพ่อ” วานนรินทร์ราชบุตรขานรับองค์ท้าวเธอ
พลางเหาะผ่านเลยไปยังทางแม่ทัพหน้าอันคอยต้อนรับอยู่พลางกำชับสั่งว่า
“นี่แน่ะท่านปักษาราช ข้าขอให้ท่านจัดกำลังทหารลงไปตรวจสอบเหนือ
ยอดเขาติรังคะคีรีเฉพาะส่วนอันเป็นบริเวณกว้างและอาณาเขตรอบข้างเพื่อ
เสด็จพ่อเราจะใช้เป็นที่พักและวางกำลังรี้พลทั้งหลาย ให้ท่านทั้งหลายช่วย
ตรวจสอบดูแลทุกอย่างในบริเวณสิ่งต่างๆอย่างละเอียด
ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจชอบกลท่านจงคัดทหารที่ล้วนแล้วแต่ฝีมือและมีฤทธิ์เดช
เข้าทำการนี้โดยเฉพาะด้วย” องค์พระยุพราชทรงสั่ง
“อ้อๆๆ...แล้วรีบกลับมารายงานแก่เราด่วนด้วยนะท่าน” ทรงกำชับอีก
“พะย่ะค่ะ” ขุนทหารแม่ทัพปักษาราช รับพระบัญชาแล้วรีบจัดคัดเลือก
ทหารเหาะลงไปยังบริเวณเหล่านี้ทันที
พอเหล่าทหารกล้าเหาะลงมาถึงพื้นที่บริเวณอันเป็นที่ราบกว้างพอเท้า
เหยียบลงพื้นปรากฏเป็นหลุมลึกจำนวนมากมาย ก็พากันร้องโหยหวนบ้าง
ตกลงไปเกือบเอว บ้างก็แค่หัวเขา บ้างก็แค่ส้นเท้า แล้วรีบทะยานเหาะขึ้น
มาทันที ปรากฏฝูงสัตว์ปีกจำนวนมหาศาลต่างพวยพุ่งตามติดขึ้นมากับเป็น
พัลวันทั้งตัวต่อและตัวแตนขนาดเกือบเท่ากำปั้น เข้ารุมต่อยทหารกล้าเหล่านี้
พวกที่ตกไปยังหลุมลึกหน่อยไม่ทันทะยานขึ้นก็ถูกฉุดหายไปในใต้พื้นดิน
ส่วนที่น้อยหน่อยก็สามารถทะยานขึ้นมาได้แต่เท้าที่ล่วงลึกลงไปขาดหายไป
เป็นเลือดสีดำๆไหลนองไปทั่ว
ส่วนจำนวนต่อและแตนที่พุ่งขึ้นมาในอากาศต่างก็กระจายกันเข้าทำร้าย
ทหารหาญที่ล่องลอยในอากาศจนฟ้ามืดมัวดินไปทั่วบริเวณนั้น บรรดาทหาร
ที่ถูกต่อและแตนต่อยต่างก็ล่วงสู่พื้นดินสิ้นใจไปตามๆกัน ตามตัวสภาพศพ
ใบหน้าดำคล้ำ ดุจดั่งโดนไฟอันร้อนแรงจี้ ท่านปักษาราชที่เหาะดูเหตุการณ์
เห็นเข้าก็ตะลึงตกใจ รีบนำพัดประจำกายออกมาพัดไล่ตัวต่อแตนนั้นทันที
ปรากฏเป็นเปลวไฟกรดเข้าเผาผลาญตัวต่อแตนล่วงหล่นตายไปจำนวนมาก
เหล่าตัวต่อแตนเหล่านี้ก็หาได้หวั่นเกรงกลัวแต่ใดไม่ ยังคงบินรายล้อม
เพื่อจะเข้าทำร้ายร่างของปักษาราชเป็นพัลวัน เหล่าทหารคู่ใจของปักษาราช
รีบนำแส่ออกมาสาดไล่ตีเป็นชุลมุนไปทั่ว เนื่องจากมีจำนวนมากมหาศาล
ก็ไม่สามารถจะกำจัดเหล่าสัตว์นี้ได้ จึงรีบเหาะหนีไปเพื่อรายงานต่อ
องค์ยุพราชทันที ส่วนเหล่าทหารกล้าทั้งปลายก็พยายามหาทางป้องกันตน
เองจากสัตว์ร้ายเหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายใดได้ จนถึงกับร้องโวยวาย
โหยหวนดังสนั่นไปทั่วนภาอากาศ ส่วนที่มีฤทธาแก่กล้าคงทนต่อพิษร้ายได้
ก็พยายามใช้อาวุธเข้าต่อสู้เป็นพัลวัน ส่วนตัวต่อแตนก็ทิ่มต่อยไม่เลือกที่
จนต้องแตกกระเจิงไปตามๆกัน ส่วนพวกที่มีฤทธาด้อยก็ต้องตกตายไปทันที
ครั้นปักษาราชกับทหารคู่ใจกลับมายังเบื้องพระพักตร์องค์ยุพราชก็รีบ
เข้าไปรายงานถึงผลร้ายต่างๆ ตลอดใบหน้าและร่างกายทุกคนต่างบวมปูด
ไปตามๆกัน องค์ยุพราชวานนรินทร์เห็นเข้าก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก
เมื่อรับทราบการรายงานครั้งนี้ จึงชักชวนทหารอกข้างพระวรกายรีบเสด็จ
ดำเนินไปทันทีตามติดด้วยปักษาราชพร้อมทหารคู่ใจ
เมื่อพระองค์ไปถึงที่สถานเกิดเหตุก็แลเห็นฝูงต่อแตนกำลังไล่ต่อยเหล่า
ทหารหาญอยู่ จึงทรงพนมมือพร้อมร่ายเวทย์มนต์ บัดดลก็บังเกิดฟ้า
คำรามลั่นพายุหมุนเป็นวนกระหน่ำสู่ฝูงสัตว์ร้ายเหล่านี้เป็นเกลียวๆ
หมุนลอยเคว้งคว้างแต่หาได้ทำอันตรายแก่เหล่าทหาร
ชาวปักษินนครก็หาไม่ เพียงแค่พัดเหล่าตัวต่อแตนให้หลุดพ้น
ออกจากร่างกายเท่านั้น เหล่าทหารทั้งหลายก็รีบหนีกลับคืนสู่ด้านหลัง
เมื่อองค์พระยุพราชเห็นดังนี้ จึงทรงหยิบนำเอาคนโทแก้วหลากสี
ใบเล็กๆออกมา พร้อมทรงร่ายเวทย์กำกับแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ
บัดดลแก้วคนโทน้อยก็ขยายตัวใหญ่โตมโหฬาร
ปรากฏกระแสน้ำพวยพุ่งออกมาจากคนโทแก้วทันที
สาดกระจายเป็นฝอยละอองเล็กๆเข้าสู่ยังตัวต่อแตน
เมื่อหยาดน้ำเล็กกระทบเข้ากับตัวต่อแตนกลับเป็นน้ำกรดไฟ
เข้าเผาผลาญร่างของตัวต่อแตนเหล่านี้จนมอดไหม้เกรียม
พากันล่วงหล่นลงพื้นมิขาดสาย หาได้หยุดเพียงแค่นั้นไม่หยาดน้ำเหล่านี้
กลับรินไหลลงสู่ยังบรรดาหลุมที่ตัวต่อแตนใช้อาศัยเป็นจำนวนมหาศาล
ก็บังเกิดควันพวยพุ่งขึ้นมามิขาดสาย จนกระทั่งควันค่อยๆจางหายไป
ไม่ปรากฏฝูงตัวต่อแตนทั้งหลายจะออกมากจากหลุมเหล่านี้อีก
คนโทแก้วใบนั้นก็กลับเป็นคนโทใบเล็กลอยเข้าหาองค์พระยุพราช
พระองค์ก็ทรงหยิบเข้าใส่ในพระอุระทันที พร้อมตรัสแก่ขุนทหารที่เฝ้า
ดูอยู่ ทรงตรัสว่า
“อันที่จริงเราก็สังหรณ์ใจอยู่แล้ว เพียงมิคาดว่าจะอาศัยอยู่ในใต้พื้นดินนี้
บัดนี้ เหตุการณ์ก็สงบดีแล้วคงจะไม่มีเหตุร้ายอื่นใดแทรกเข้ามาอีก”
ครั้นแล้วพระองค์ก็ให้เหล่าทหารหาญหลบไปข้างๆแล้ว ทรงพนมมือ
หลับพระเนตรพลางร่ายพระเวทย์ ฉับพลันพื้นดินที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ
ทั้งหลายก็หายไปกลับเป็นพื้นศิลาแผ่ครอบคลุมไปทั่วๆบริเวณนั้นแทนที่
แล้วบังเกิดเป็นพลับพลาน้อยใหญ่ผุดขึ้นมาจากพื้นดินสวยตระการตายิ่งนัก
เมื่อทุกประการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ทรงหันไปสั่งยังขุนทหารปักษาราชทันที
“นี่แน่ะ ท่านปักษาราช ท่านจงไปทูลเสด็จพ่อเราว่าเหตุการณ์เรียบร้อยแล้ว
เชิญพระองค์เสด็จมาประทับยังพลับพลาแต่บัดนี้เถิด” พระองค์ทรงตรัสขึ้น
“พะย่ะค่ะ” ปักษาราชรับสนองพระบัญชา แล้วรีบเหาะกลับไปทูลท่าน
ท้าววิหะคะยุราชทันที
เมื่อท้าววิหะคะยุราชทราบเหตุทั้งปวงแล้วก็ทรงพระสรวลยินดี ทรงดำเนิน
ลงมายังพื้นดินที่เต็มไปด้วยหินอ่อนที่ปูราดไปตลอดแนวทาง แล้วทรงตรัส
กับพระยุพราชทรงไต่ถามความเป็นไปทั้งหมด เมื่อทรงได้ทราบข่าวต่างๆแล้ว
ก็ทรงดำเนินเข้าไปยังที่ประทับยังพลับพลาพร้อมให้จัดวางกำลังรี้พลกระจาย
ไปทั่วแนวบริเวณเหล่านั้น เมื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ทรงพระดำเนินตรงไป
ยังพลับพลา พร้อมกับองค์พระยุพราชวานนรินทร์ พร้อมเหล่าขุนนางทั้งหลาย
พร้อมทั้งยังทรงปรึกษาข้อราชการเพื่อหาทางเข้าไป
ยังอาณาเขตเมืองนาครินทนาคร ตลอดจนทรงวางกำลังรี้พล
แบ่งแยกการเข้าโจมตี และกำลังรี้พลเพื่อใช้ในการสนับสนุนต่างๆ
และแผนการอื่นวางไว้ก่อนที่เราหากเข้ายังเมืองนาครินทนาครได้แล้วอีกด้วย
จัดส่งเวรยามทหารเพื่อรอคอยทางท่านท้าวนิลกาฬเพื่อแจ้งวันนัดประชุมต่อไป
ส่วนทางด้านเมืองทันทะกะนคร ครั้นได้รับทราบข่าวจากพระราชสาสน์
ของท่านท้าวนิลกาฬ ก็เตรียมจัดกำลังรี้พลของเมืองทันทะกะยกพหลพลไกร
มาสมทบกับเมืองสิงหะนคร องค์ยุพราชโกเมศกุมาร ก็ทรงเข้าร่วมปรึกษาหารือ
กับท่านท้าวสิงหะราช ถึงแนวทางต่างๆเพื่อคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันหากมี
การพลาดพลั้งเกิดขึ้น และทรงเข้าเยี่ยมเยียนกับเจ้าหญิงอรุณรัศมี ซึ่งทั้งสองก็ให้
สัญญาว่าจะรอคอยและกลับมาหลังเสร็จศึกครั้งนี้ต่างพระองค์ก็ทรงอาลัยซึ่งกัน
และกัน และมาคอยส่งเสด็จองค์พระยุพราชโกเมศกุมารด้วย
ครั้นได้เวลาอันสมควรแล้ว องค์ยุพราชโกเมศก็ทูลลาท่านท้าวสิงหะราช
แล้วยกยกไพร่พลพหลพลพยุหะเสนาออกเดินทางผ่านนครใหญ่น้อยหลีกเลี่ยง
เหตุอันพึงจะมีเกิดขึ้นได้ บางครั้งก็นำเหล่าทัพเดินทางไปในในอากาศ
จวบจนถึงอาณาเขตเมืองนาครินทนาครทางด้านทิศใต้
แล้วองค์ยุพราชก็สืบหาสถานที่เพื่อใช้ในการหยุดพักทัพไว้
ด้วยสถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นหินผาและภูเขาป่าไม้ดงดิบนานาพันธุ์
ไม่เหมาะแก่การเหล่าทหารของพระองค์เพื่อจะทรงหยุดพักทัพ
เนื่องด้วยพระองค์และเหล่าทหารพลไกรต่างก็เป็นนาคราช
จำเป็นอย่างยิ่งต้องหาที่พักอาศัยเป็นแหล่งน้ำพักพิง จึงมอบหมายให้
นายทัพนายกองตระเวนเสาะหาตามภูผาต่างๆเพื่อหาแหล่งน้ำ พักพิง
ให้เพียงพอต่อเหล่าทหารของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงสั่งให้ไพร่พล
ตลอดจนแม่ทัพนายกองทั้งปวงให้เที่ยวค้นหาชัยภูมิที่เหมาะสม
แก่เหล่าไพร่พลทหารทั้งหลายเพื่อใช้เป็นที่สำหรับหยุดพักทัพจัดค่ายคูประตูกล
วางกำลังรี้พลต่างๆมิให้เดือดร้อน ครั้นได้รับรายงานจากแม่ทัพนายกองที่
เที่ยวตระเวนค้นหามาทูลรายงานว่า
“ขอเดชะ กระหม่อมเที่ยวค้นหาไปพบสถานที่แห่งหนึ่งเหมาะอย่างยิ่ง
ที่ใช้สำหรับหยุดการเดินทัพครั้งนี้ ด้วยประกอบด้วยหนองน้ำใหญ่
บนยอดภูผาของเขาใหญ่สินธุคีรีศรีล้อมรอบด้วยเขาน้อยใหญ่ประกอบด้วย
ไม้นานาพันธุ์ซึ่งเป็นแหล่งรวมน้ำไหลลงยังเบื้องล่างเป็นสายธารน้ำตก
มีถ้ำที่เป็นสายธารซึมซับน้ำจากภูผา อยู่ด้วยกันมากมาย พระเจ้าค่ะ”
สุระนาคินทร์แม่ทัพกล่าวถวายรายงาน
“อีกทั้งยังมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ร่มเย็นยิ่งนักอีกด้วยพระเจ้าข้า”
แม่ทัพนาคราชทูลถวายเสริม
“นั้นก็ดีแล้ว เมื่อท่านแม่ทัพเห็นว่าเหมาะสมดี ก็สมควรจะนำเราและเหล่าทัพ
เข้าไปพักยังสถานที่นั่นเถอะ” ยุพราชโกเมศทรงตรัส
“พระเจ้าค่ะ ขอให้หม่อมฉันส่งทหารเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัยเสียก่อน
อีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่นอนแล้วจัดสร้างพลับพลา เพื่อพระองค์จะได้เสด็จ
เข้าพักผ่อนพระวรกายพระเจ้าข้า” แม่ทัพกราบทูล
“ดีแล้วล่ะท่านแม่ทัพ ขอให้เป็นภาระหน้าที่ของท่านหากได้ผลประการใด
15 พฤศจิกายน 2549 11:29 น.
แก้วประเสริฐ
บทที่ ๑๔
กำแพงแห่งสวรรค์
ระหว่างนั้นความปั่นป่วนวุ่นวายที่บังเกิดขึ้นเบื้องหน้าของกองทัพ
พร้อมเสียงร้องต่างๆนาๆของเหล่าทหารอสูรดังกึกก้องสนั่นไปทั่ว
ความทราบไปถึงท่านท้าวนิลกาฬ ด้วยความสงสัยในพระราชหฤทัย
ภายหลังจากได้ส่ง จันทะเสนอสูรเข้าไปตรวจตราสถานที่เพื่อพระองค์
จะได้ทรงจัดวางกำลังพลเพื่อรอเข้าบุกยังนครนาครินทนาคร
พระองค์จึงทรงหันไปตรัสใช้ อสุระฤทธาอสูรซึ่งคอยเฝ้าพระองค์อยู่
ให้รีบไปสืบความเป็นไปของเหตุการณ์นั้นแล้วมารายงานต่อพระองค์
อสุระฤทธาก็ถวายบังคมลา ออกไปยังแนวหน้าตรวจสอบความนัย
จนได้รับทราบรายละเอียด แล้วรีบกลับมารายงานโดยด่วน
“ ขอเดชะ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นระหว่างท่านจันทะเสน
นำกำลังไพร่พลเข้าไปยังพื้นบนเขาตะนาวศรีคีรีนั้น
ก็ปรากฏเป็นเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นจากใต้ดินเข้าทำลายล้างไพร่พลทหาร
ประกอบกับมีปักษีขนาดใหญ่พุ่งออกมาจิกตีทหารจนล้มตายมากมาย
พระเจ้าข้า” อสุระฤทธาอสูรทูลรายงาน
“แล้วเหตุการณ์เป็นอย่างไรรึ ท่านอสูรเห็นเสียงเงียบหายไปแล้ว”
จอมอสูรดำรัสถามความต่อไป
“ ขอเดชะเป็นด้วยท่านนิลพาหุกับท่านสหัสสะขันธ์และท่านจันทะเสน
เข้าต่อกรกับปักษีนั้นและปราบจนราบคาบทั้งเปลวไฟนั้นแล้วพระเจ้าค่ะ”
องครักษ์ด้านซ้ายกราบทูลรายงาน
“อะไรร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ จนถึงขั้นท่านแม่ทัพทั้งสอง
จำต้องลงมือด้วยตนเองเชียวล่ะ ไหนๆรายงานให้ละเอียดหน่อยซิ
ว่าท่านแม่ทัพกับองครักษ์เราจัดการอย่างไรรึ”ท่านจอมอสูรตรัสถาม
ด้วยความสงสัยยิ่งนัก
“หลังจากที่ท่านนิลพาหุเข้าต่อสู้กับหัวหน้าปักษีนั้น
จนได้รับบาดเจ็บไปทั่วกายแต่มิได้ย่อท้อกลับโรมรันพันตูอย่างชุลมุน
กระทั่งระหว่างติดพันได้ใช้มีดเล็กเข้าปักไปยังทรวงอกปักษีร้ายนั้น
ด้วยฤทธิ์เดชของมีดเล็กนั้นพลันได้ขยายใหญ่ทำลายล้างร่างกายปักษี
ขาดแตกแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปจนวายปราณ ส่วนเหล่าพวกปักษี
ทั้งหลายก็พากันแตกตื่นตกใจจะหนีกลับเข้าไปยังเปลวไฟนั้น
แต่มิทันการณ์ ท่านจันทะเสนที่เฝ้าคอยหาจังหวะโอกาสอยู่ก็พ่น
ไฟประลัยกัลป์ออกจากปากเข้าทำลายล้างเหล่าปักษีจนมอดไหม้
ไปทั่วไม่สามารถหลบหนีไปได้สักตัวเดียว ส่วนท่านสหัสสะขันธ์
ก็ใช้น้ำเต้าวิเศษที่พกไว้ของท่านเข้าทำลายล้างไฟที่ลุกไหม้
จนมอดดับสิ้นไปแล้วพระเจ้าข้า”
“ตอนนี้เกล้ากระหม่อม ได้สั่งให้ทหารช่วยกันเร่งรัด
จัดทำความสะอาดพื้นที่ และได้เนรมิตพลับพลาไว้ เพื่อรอรับพระองค์
เสด็จเข้าสู่ยังพลับพลาแล้วพระเจ้าข้า” อสูรอสุระฤทธา
กล่าวถวายรายงานทั้งหมดให้จอมอสูรรับทราบความทั้งหมด
“โอ้โฮ...เจ้าปักษียักษ์นี้มันมีฤทธิ์เพียงนี้เชียวหรือ
ถึงสามารถทำลายทหารของข้าจนล้มตายได้ “
ท่านท้าวนิลกาฬทรงอุทานเบาๆ
“พะย่ะค่ะ ยากที่จะทำลายล้างได้ อีกประการหนึ่งปากที่แหลมคม
และเล็บมันมีพิษอย่างร้ายกาจ หากทำลายเนื้อเพียงแค่รอยข่วน
ก็สามารถตกตายไปได้เว้นแต่จะมีฤทธาเหนือกว่าเข้าคุ้มครองเท่านั้น
และอีกประการหนึ่งเปลวไฟที่ลุกจากบนยอดผานั้น
ก็ร้อนแรงประหนึ่งไฟกรด พระเจ้าข้า” อสุระฤทธากล่าวรายงานเสริม
“นั่นซิ.....มิฉะนั้นยากนักที่จะทำลายทหารของข้าจนล้มตายได้
นี่ขนาดเพียงแค่ย่างเหยียบยังมิทันถึงแผ่นดินในอาณาเขตนาครินทนาคร
ยังมีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นได้ และแล้วพวกเหล่านครทั้งหลายที่ต้องไปยึดทำเล
จัดวางทัพล่ะจะเป็นฉันท์ใด”
พระองค์ทรงรำพึงเบาๆพอได้ยิน
“ข้าพระพุทธเจ้าได้รับรายงานมาแล้วว่า เหล่านครต่างๆทั้งหลายนั้น
ได้จัดวางกำลังรี้พลไว้ตามยอดบรรพตต่างๆไว้เรียบร้อยแล้วพระเจ้าข้า
ทุกๆนครล้วนแล้วแต่ประสพภัยพิบัติต่างๆกันด้วยทั้งสิ้น”
อสูรอสุระฤทธา กล่าวรายงานเสริม
“เราเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล่านครทั้งสี่ตลอดนครหัวเมือง
ทั้งหลายพบสิ่งใด ท่านอสุระฤทธาช่วยให้ทหารที่ไว้ใจได้ จัดแบ่งกำลัง
เข้าตรวจสอบความเป็นไปของนครเหล่านี้ แล้วรีบกลับมารายงานให้เราทราบ”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า” อสุระฤทธารับสนองโองการแล้วรีบถอยมาเพื่อ
ออกมาจัดกำลังทหารองครักษ์ส่งออกไปตามพระบัญชาทันที
จะขอกล่าวถึงเหล่านครต่างๆตลอดจนนครหัวเมืองของท่านท้าวนิลกาฬ
เมื่อได้รับพระราชสาสน์จากท้าวเธอแล้ว ครั้นได้ครบกำหนดวันเวลา
ก็รีบนำทัพมายังชัยภูมิตามที่ตกลงกันไว้ แยกแยะตามภูมิประเทศเหมาะสม
เพื่อเข้าล้อมยังอาณาเขตเมืองนาครินทนาครทันที ซึ่งต่างก็พบภัยพิบัติต่างๆกัน
ท่านท้าวสุพพัตสุระแห่งนครอหิงสากะ ครั้นได้ฤกษ์งามยามดีก็เคลื่อน
พหลพลพยุหะยาตราทัพมาในทางอากาศ เข้าสู่อาณาเขตแห่งนาครินทนาคร
ทางด้านทิศตะวันตก หาทางพักยังยอดเขาต่างๆเป็นสถานที่เพื่อใช้ในการนี้
ก็เหลือบมองหาทำเลชัยภูมิที่จะวางกำลังรี้พลประสานงานกับนครกาฬคีรี
ครั้นเห็นชัยภูมิที่เหมาะสมบนยอดเขาคิฌชคีรีเหมาะแก่การวางกำลังรี้พลของตน
ก็ให้เหล่าทหารเข้าตรวจสอบทำเลเหล่านี้ ก็พบสิ่งต่อต้านจากเจ้าของสถานที่
ทันที เหล่าทหารทั้งหลายล้วนถูกเหล่าพยัคฆ์สมิงร้ายต่างๆเข้าพากันรุมล้อม
ดู วุ่นวายชุลมุนพากันเข้าขย้ำกัดกินเป็นอาหารจนต้องแตกพ่ายหนีกลับกองทัพ
และรีบเข้าไปรายงานท่านท้าวสุพพัตสุระ ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดจนทหาร
บางนายกำลังเข้าต่อสู้กับพยัคฆาเป็นพัลวัน จนส่งเสียงโวยวายไปทั่วบริเวณ
อันพยัคฆาจนกลายเป็นพยัคฆ์สมิงเหล่านี้มีอิทธิฤทธิ์ต่างอยู่ยงคงกะพัน
ยากที่อาวุธของเหล่าทหารจะเข้าทำลายได้ สามารถแปลงกายได้ ทุกๆตัว
ล้วนแล้วอุดมไปด้วยพิษนานา แม้แต่เขี้ยวเล็บก็มีพิษนานาประการ และต่าง
เห็นเหล่าทหารเป็นอหิงสาจึงพากันเข้ารุมล้อมกัดกินมิได้เกรงกลัวแต่
ประการใดก็หาไม่ ถึงแม้ว่าจะมีสภาพกึ่งร่างมนุษย์กึ่งอหิงสา แต่ด้วยกลิ่นที่มี
อยู่ประจำกายล้วนแล้วแต่เป็นกลิ่นของอหิงสาป่า ซึ่งล้วนเป็นอาหารอันโอชะ
ของเหล่าพยัคฆาทั้งสิ้น มาดแม้นว่าทหารเหล่านี้จะมีพละกำลังมหาศาลและ
ประกอบด้วยฤทธาต่างๆแต่ก็ยังตกเป็นอาหารของเหล่าเสือสมิงเหล่านี้อยู่ดี
เมื่อการต่อสู้ผ่านไปนานเข้าๆผลลัพธ์เหล่าทหารของอหิงสากะนครนี้
ก็ร่อยหรอเหลือน้อยทุกที จนกระทั่งแม่ทัพของอหิงสากะนครซึ่งควบคุม
ทัพหน้า มีนามว่าสุรินทร์อสูร ก็รีบเดินทางมาถึงร่วมกับทหารคู่ใจของตน
มองลงมายังเบื้องด้านล่าง เห็นความวุ่นวาย เอะอะไปทั่ว พบเหล่าทหารถูก
พยัคฆ์ร้ายกัดกินมิได้เกรงกลัวต่ออาวุธใดๆทั้งสิ้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเหล่า
ทหารหาญเหล่านี้ก็คงจะถึงซึ่งกาลอวสานแน่นอน
สุรินทร์อสูรแม่ทัพ จึงหยิบเอาบ่วงบาศกับกระบองห้าเหลี่ยมออกมา
พลางร่ายเวทย์มนต์ แล้วขว้างลงมายังกลุ่มเหล่าพยัคฆาร้ายทั้งหลาย
บัดดลก็เกิดพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง เชือกบ่วงบาศก็แยกตัวออกกระจาย
เป็นหลายๆบ่วง เข้ามัดยังร่างพยัคฆาทั้งหลาย ส่วนกระบองห้าเหลี่ยมก็แยกตัว
เป็นกระบองจำนวนมากมายเข้ารุมตีพยัคฆ์ร้ายเหล่านี้จนถึงกับสิ้นชีวิตทันที
เหล่าพยัคฆ์ร้ายซึ่งมีตัวหัวหน้าร่างกายสีขาวโพลนพาดเป็นลายพาดกลอน
เห็นท่ามิดีก็ส่งเสียงคำรามลั่นแล้วเผ่นทะยานหนีหายลงไปยังตีนเขา บรรดา
เหล่าพยัคฆ์ร้ายเมื่อเห็นตัวหัวหน้าส่งเสียงคำรามลั่นเสมือนบ่งบอกให้รีบหนี
จึงพากันละทิ้งเหล่าทหารต่างตัวก็รีบเผ่นหนีลงเขาไปจนหมดสิ้น
สุรินทร์อสูรพร้อมทหารคู่ใจก็สั่งให้บรรดาทหารเข้าช่วยเหลือทหารที่
บาดเจ็บยังไม่ได้ล้มตายไปทำการรักษาพยาบาล ส่วนที่เสียชีวิตแล้วก็ให้
จัดการนำออกไปฝังยังที่อื่น แล้วสั่งให้ทหารทำความสะอาดพื้นเพื่อใช้เป็น
ที่ประทับของท่านท้ายสุพพัตสุระจัดสร้างพลับพลาไว้คอยเสด็จเพื่อใช้เป็น
ประทับพักผ่อนเมื่อทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงเข้าไป
กราบทูลต่อท่านท้าวเธอ เพื่อเสด็จมาพักยังที่จัดสร้างต่อไป
ส่วนทางด้านปักษินนคร ท่านท้าววิหะคะยุราชกับยุพราชวานนรินทร์ครั้น
ได้รับพระราชสาสน์แล้ว ก็ทรงนำทัพเสด็จมาโดยพระองค์เป็นจอมทัพมอบให้
พระยุพราชวานนรินทร์เป็นแม่ทัพใหญ่นำรี้พลพหลพลไกรล่องลอยมาทางอากาศ
ผ่านมหาสมุทรสีทันดรเข้าสู่นครนาครินทนาครทางด้านทิศเหนือตามที่ตกลงไว้
กับท่านท้าวนิลกาฬ เที่ยวเสาะหาสถานที่เพื่อจัดตั้งกำลังรี้พลทั้งหลาย
เห็นสถานที่ดังกล่าวเต็มไปด้วยเทือกเขาอุดมไปด้วยไม้ใหญ่นานาพันธุ์
ครั้นตรวจสอบแล้ว ก็ให้เห็นสมควรที่จะไปยังเทือกเขาใหญ่
ของภูเขาติรังคะคีรีด้านบนเป็นทำเลกว้างพอที่จะจัดวางกำลังกระจายรอบๆได้
จึงได้กล่าวกับยุพราชของพระองค์ว่า
“นี่แน่ะ...พ่อวานนรินทร์ พ่อเองมองหาทำเลแล้วเห็นว่าภูเขาติรังคะคีรี
นี้เหมาะควรแก่การจัดตั้งค่ายต่างๆ ลูกเห็นเป็นประการใดหรือไม่”
“เสด็จพ่อ ลูกก็เห็นด้วย เพียงแต่สังหรณ์สิ่งบางประการคือว่าสถานที่
นี้ทำไมถึงมีบริเวณกว้างใหญ่รายล้อมด้วยพฤกษ์ไม้ใหญ่แต่กลับไร้ซึ่งสัตว์ต่างๆ
เข้าใช้อาศัยอยู่เลย พระเจ้าค่ะ” องค์ยุพราชทูลพระบิดา
“ถึงอย่างไรพ่อมองผ่านภูเขามาก็หลายๆลูกแล้ว
หาได้มีที่ทำเลชัยภูมิดีไปกว่าภูเขาใหญ่นี้อีกก็หาไม่
ซึ่งความกริ่งเกรงของลูกก็ถูก แต่ไม่มีที่ใดที่จะเหมาะสมกว่านี้ได้
อนึ่งหากเราสามารถตั้งยังที่ทำเลนี้ได้ หากมองลงไปเบื้องล่าง