21 พฤศจิกายน 2549 10:32 น.

** ทัศยุราชันย์(เจ้าหญิงเฌอมาลย์เทพอัปสร) **

แก้วประเสริฐ


                                                  บทที่  ๑๘
                                       เจ้าหญิงเฌอมาลย์เทพอัปสร

ยิ่งประดับไว้อย่างสวยงามกว่ายิ่งนัก มีฉัตรแก้วจับขอบด้วยทองคำ
ห้อยไว้ด้วยพู่ระย้าพลิ้วไสวตลอดเวลา  สะท้อนแสงหลากสีสันไปมา
 มีเหล่าทโมนไพรที่มีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรกำลังถวายงานพัด
โบกอยู่ทั้งสองข้างใกล้  บนแท่นประทับยกสูงนั่งไว้ด้วยจอมทโมนไพร
รูปกายสูงใหญ่มีขนเป็นประกายสีทองเหลืองอร่ามดูเด่นสง่างามน่าเกรงขาม 
 ทโมนยักษ์ทั้งสองก็รีบน้อมกายตรงเข้าไปทูลถวายรายงานทันที
หลังจากรับฟังการรายงานของทโมนไพรยักษ์ ก็หันหน้ามามององค์ยุพราช   
ท่านท้าววานิระหะหรือนัยหนึ่งทโมนไพรขนสีทองทรงลุกขึ้นจาก
พระราชอาสน์ที่ประทับก้าวตรงเข้าต้อนรับองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาทันที
     เมื่อเป็นดังฉะนี้องค์พระยุพราชก็ทรงน้อมพระวรกายถวายบังคมแด่
ท่านท้าววานิระหะ พลางเจ้าชายสิงหะฤทธาได้ทรงตรัสขึ้นว่า
     “ถวายพระพรทรงพระเจริญพระเจ้าข้า” องค์ชายน้อมถวายความเคารพ
   “กระหม่อมมาครั้งนี้มิได้หมายที่จะมาสร้างความเดือดเนื้อร้อนพระหฤทัย
ให้เป็นที่ระคายเคืองแก่พระองค์ก็หาไม่ เพียงเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว
โดยกระหม่อมมิทราบมาก่อนเลยว่าสถานที่แห่งนี้จะตกอยู่ใน
พระราชอำนาจของพระองค์เนื่องจากเห็นเป็นป่าเขาลำเนาไพร
ให้เหมาะแก่การจัดวางกำลังรี้พล  หากมิฉะนั้นก็จะเข้ามาเพื่อ
ทูลขอพระบรมราชานุญาติแด่พระองค์ก่อนจะทำการในครั้งนี้ พระเจ้าข้า”
 ทรงทูลน้อมกายถวายให้ทราบ
   ครั้นจอมวานรได้รับฟังและเห็นความองอาจสง่างดงาม ดั่งชายชาติอาชาไนย
ตลอดจนอากัปกิริยามารยาทนุ่มนวลขององค์พระยุพราชแห่งสิงหะนครเช่นนี้
ก็ให้บังเกิดความพอใจในพระราชหฤทัยพระองค์  แด่เจ้าชายพระองค์นี้ยิ่งนัก   
ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงชำเลืองหันไปตรวจสอบเจ้าชายก็เห็นเพียง
แต่ทรงนำเหล่าทหารมาเพียงเล็กน้อยนับได้เพียงแค่แปดนายเท่านั้น  
  พระองค์ก็ยิ่งทรงพึงพอพระราชหฤทัยยิ่งๆขึ้น แสดงถึงจิตใจห้าวหาญ
           ดังนั้น องค์เจ้าเหนือหัวแห่งทโมนไพรก็ทรงยิ้มแย้มแล้ว
พระองค์ได้ทรงตรัสแก่เจ้าชายสิงหะฤทธาขึ้นว่า
    “เมื่อก่อนที่จะมาเราก็ทราบกาลครั้งนี้แล้วจากการพยากรณ์ดวงดาว
พอจะทราบแล้วว่าอีกไม่กี่เพลานี้   จะมีหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์เสด็จมา
ถึงยังที่แห่งนี้ และให้เหล่าทหารคอยเฝ้าดูตรวจสอบว่าจะจริงประการใด
หากพบแล้วให้รีบกลับมารายงาน คงจะเป็นเพราะเข้าใจผิดกันและกัน
จึงสร้างความยุ่งยากเกิดขึ้นจนได้” องค์ท้าวานิระหะทรงตรัสกังวาน
     “ในเมื่อเป็นเหตุการณ์ขึ้นดังนี้เราเองก็เสียใจและต้องขออภัยด้วยนะ
 หากแต่ท่านมายังสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุอันใดฤารึ”
     “การครั้งนี้เนื่องด้วยเสด็จพ่อสิงหะราชแห่งสิงหะนครของหม่อมฉัน 
ให้กระหม่อมมาหยั่งเชิงทัพของฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬแห่งกาฬคีรีเพื่อเข้ามา
จะทำศึกกับนาครินทนาครแย่งชิงน้ำอมฤต พระจ้าข้า” ทรงทูลตอบ
     “หากการนี้องค์ชายมิได้มีพระประสงค์ต่อน้ำอมฤตศักดิ์ที่อยู่ในการดูแล
ของนาครินทนาครแล้วไซร้  เราก็จะขอต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยความยินดี
  หากมาดแม้นผิดกว่านี้แล้ว เห็นทีเราจะต้องเข้าต่อสู้กันถึงแม้หากจะต้อง
ตกตายไปจนหมดสิ้นก็ตามที  เพราะด้วยเป็นพระบัญชาจากสรวงสวรรค์
ให้เราและเหล่าทหารคอยเฝ้าปกป้องรักษาไว้ด้วยนะท่าน”ท้าวเธอทรงตรัส  
     “หามิได้พระเจ้าข้า เมื่อก่อนนี้เสด็จพ่อก็คิดมุ่งหมายแก่น้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์นี้
เหมือนกันแต่ต่อมา   พระองค์ทรงใคร่ครวญแล้วเห็นว่าไม่สมควรยิ่งนัก
อีกขัดต่อบัญชาสวรรค์  หากท้าวนิลกาฬได้ไปก็จะเป็นที่เดือดร้อนกันไปทั่ว
         จึงมอบหมายให้ข้าพระพุทธเจ้ามาเอง คอยสอดส่องดูแลช่วยเหลือลับๆและ
ร่วมประสานงานกับองค์พระยุพราชแห่งทันทะกะนครในการสู้รบอีกทางหนึ่ง
 ซึ่งองค์ยุพราชได้ยกพหลพลไกรเดินทางล่วงหน้ามาแล้วยังทิศใต้ของนครนี้
เพื่อเข้าร่วมปรึกษางานหาทางยับยั้งทางฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬที่ทรงมักใหญ่ใฝ่สูง
เสาะค้นหาวิธีการเพื่อชะลอการกำเริบสืบสานต่อไปภายหน้ากับพระยุพราช
ทันทะกะนครช่วยเหลือกันและกันพระเจ้าข้า” องค์พระยุพราชทรงกล่าว
       “ถ้าเป็นดั่งที่ท่านกล่าวมานี้  เราก็ให้รู้สึกสบายใจยิ่ง ฉะนั้นเราขอเชิญ
ท่านยุพราชเข้าพักในสถานที่นี้และภายในเมืองเราก่อนเพื่อจะรวมปรึกษาหารือ
 เราจะจัดการถวายต้อนรับและจะมอบกำลังพลของเราเข้าร่วมทำการครั้งนี้
แก่ท่านด้วยเป็นพิเศษ อย่าขัดใจเราเลยนะท่าน”  พระองค์ทรงกล่าวขึ้น
        “นับว่าทรงเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งด้วยแล้วพระเจ้าข้า ” 
 องค์พระยุพราชแห่งสิงหะนครรีบก้มพระวรกายถวายน้อมรับพระบัญชาทันที
    “นี่แนะท่านมุขอำมาตย์ท่านจงเตรียมต้อนรับพระยุพราชด้วยเสมอองค์กษัตริย์
ตลอดจนส่งเครื่องบริโภคไปยังเหล่าทหารที่พักยังยอดเขานิละวานรคีรีมาศ
 แล้วเชิญพระราชธิดาออกมาต้อนรับองค์พระยุพราชแห่งสิงหะนครด้วย
ทุกๆอย่างอย่าให้ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด   แล้วแจ้งให้เหล่าประชา
ทุกๆท่านทั้งพระนครคืนสู่สภาพดั่งเดิมได้แล้วด้วยนะ”  
องค์ท้าววานิระหะทรงหันมาตรัสแก่เหล่าทหารและบรรดามุขอำมาตย์ฝ่าย
ปกครองของพระองค์
   “รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” เหล่าบรรดาขุนทหารและมุขอำมาตย์ทั้งปวง
ต่างพากันน้อมกายถวายรับคำพระบัญชาเจ้าเหนือหัวโดยพร้อมเพรียงกัน
          ส่วน องค์พระยุพราชสิงหะฤทธาให้ทรงสงสัยยิ่งนัก  พระราชธิดา
ของท่านท้าวเธอนั้นจะทรงรูปลักษณ์ฉันท์ใด เพียงแต่ทรงดำริในพระราชหฤทัย
 พลางหันมาสั่งยังองครักษ์
   “ท่านสุระกำพล  ขอให้ท่านรีบกลับไปแจ้งยังท่านแม่ทัพด้วยว่าให้เตรียมจัด
กำลังรี้พลเข้าพักยังสถานที่นี้ได้ แล้ว   และรีบจัดสร้างพลับพลาให้แก่เราด้วย
 หากเสร็จสิ้นกิจธุระทางนี้เราก็จะรีบเดินทางกลับ”
    “รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า”  สุระกำพลองครักษ์รับพระบัญชา
แล้วน้อมกายถวายบังคมต่อองค์ท่านท้าววานิระหะและองค์พระยุพราช
ถดถอยออกมานอกท้องพระโรงแล้วเหาะกลับไปยังกองทัพทันที
    บัดดลสภาพแปรเปลี่ยนก็บังเกิดขึ้นภายในท้องพระโรงทันที 
องค์เจ้าเหนือหัวแห่งนครนี้ตลอดจนเหล่ามุขอำมาตย์ข้าราชบริพาร
และเหล่าขุนทหารทั้งหลาย ร่างกายก็พลันกลับกลายเป็นบุรุษรูปงาม
ประทับเหนือยังแท่นพระราชอาสน์ เหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายต่าง
ล้วนที่มีร่างกายองอาจสง่างามยิ่งนัก เป็นที่ตกตลึงแก่องค์พระยุพราช
และเหล่าทหารองครักษ์ทั้งแปดนายในการแปรเปลี่ยนเช่นนี้
    ยิ่งบรรดา ภายในปราสาทห้องพระโรงที่ใช้ในการต้อนรับแก่องค์พระยุพราช 
ก็ประกอบไปด้วยสิ่งบันเทิงใจมากมายทั้งหลาย 
       ภายในมีกลิ่นหอมหวนยิ่งนัก   อีกทั้งเหล่าบรรดานางอิสตรีที่สวยสด
งดงามแต่ละนางอรชรอ้อนแอ้นรูปทรงตระการตา  และตลอดจนเครื่อง
อุปโภคบริโภคถูกจัดวางไว้สวยงามปานประหนึ่งสรวงสวรรค์ คลอเคล้า
ไปด้วยเสียงร้องบรรเลงและมโหรีที่คอยต้อนรับเสด็จ 
 นางรำที่คอยฟ้อนรำถวายหาได้มีรูปร่างอย่างทโมนไพรก็หาไม่
 กลับมีเรือนร่างสวยงามปานประหนึ่งดังเทพอัปสรก็มิปาน  ส่วนที่ที่กำลัง
ร่ายรำอยู่เป็นที่เจริญหูเจริญใจแก่องค์พระยุพราชและเหล่าองครักษ์
ถึงกับต้องเบิ่งตาค้างไปตามๆกัน  ทำให้องค์พระยุพราชที่ฉงนสงสัยอยู่
เก่าก่อนก็ถึงกับแปรเปลี่ยนพระดำริภายในพระหฤทัยนี้ทันที 
      พระองค์ถึงกับทรงรำพึงว่า คงจะเหมือนสภาพกับนครของเราเป็นแม่นมั่น
 หรือว่าพระมเหสีขององค์ท้าววานิระหะ จะทรงเป็นมนุษย์หรือเทพ
เป็นแน่แท้ทรงฉงนพระทัย  ก็เป็นจริงดั่งที่ทรงปรารมภ์ในพระหฤทัย
    เมื่อองค์พระธิดาทรงเสด็จเข้ามาสู่สถานต้อนรับ ยิ่งสร้างความตื่นตลึง
แก่พระองค์และเหล่าทหารองครักษ์ไปกว่าเดิม  ด้วยพระวรกายของ
พระราชธิดาสวยสง่างดงามแพรวพราวไปด้วยรัศมีที่แผ่กระจายไปทั่ว
ปานประหนึ่งเทพไท้บนสรวงก็มิปาน  ท่านท้าวเธอตรัสกับองค์ยุพราชว่า
        “ท่านยุพราชทำตัวตามสบายเถิดนะ นี่คือราชธิดาองค์เดียวของเรา”
 พระองค์ทรงตรัส  แล้วผายพระหัตถ์มาทางราชธิดาของพระองค์
       “นี่คือลูกหญิงเฌอมาลย์”แล้วทรงหันกล่าวกับพระราชธิดา
“ท่านนี้คือองค์ยุพราชสิงหะฤทธาแห่งสิงหะนครที่ทรงมาเป็นแขก
บ้านเมืองเรา”
  พระองค์ทรงตรัสด้วยแย้มยิ้มผ่องใส
         “อ้อๆ...ท่านคงสงสัยในรูปลักษณ์ของเรากระมังดังที่เห็นฉะนี้
 เราขอบอกแก่ท่านว่าอันที่จริงเราเป็นเทพบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ของจอมเทพสวรรค์นี้    เมื่อเราได้รับพระบัญชาจากพระองค์ให้ลงมา
ปกป้องอาณาเขตแห่งเทือกเขานี้ เป็นด่านคุ้มครองปกป้องอาณาเขตไว้
จึงได้แปลงร่างกายเราและเหล่าเทพยาดาที่ติดตามเราลงมาจากฟากฟ้าต้อง
กลายร่างเป็นทโมนไพรเพื่อมิให้เป็นที่สงสัยแก่คนทั่วไปทั้งหลายนะ”
 พระองค์แถลงแก้ความสงสัย ให้องค์พระยุพราชทราบความเป็นไปมา
      “เราเองนี้มีชื่อบนสวรรค์นี้ว่า “วชิระวรุณเทพบุตร พระมเหสีเรา
ทรงพระนามว่าสุมาลีเทพอัปสร และลูกเรานี้ทรงพระนามว่า 
“เฌอมาลย์เทพอัปสร” ส่วนบรรดาไพร่พลของเราล้วนเป็นเทพบุตร
และเทพธิดาทั้งสิ้น  ที่ต่างมีรูปร่างเป็นทโมนไพรอันน่าเกลียดน่ากลัวนั้น 
เพื่อกำบังรูปลักษณ์มิให้เป็นที่สงสัยแก่คนอื่น    ได้มาเนรมิตพักอาศัยอยู่ที่นี่
ตลอดจนมหาปราสาทและสิ่งสร้างทั้งหลายเพื่ออำพรางตาไว้เท่านั้นเอง”
   องค์ท้าวเธอทรงตรังดังนี้เนื่องจากทรงพึงพอพระราชหฤทัยในองค์ยุพราช
องค์นี้ยิ่งนักที่ทรงมีพระวรกายสง่างามสมดั่งชายชาติทหารกล้า ซ้ำยังมีกิริยา
ที่อ่อนละมุนวาจาอ่อนหวาน แต่ดวงพระเนตรคมกล้ายิ่งนักปานประหนึ่ง
สายฟ้าดุจดั่งซุกซ่อนความเก่งกาจมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดแลเห็นได้ทั้งความกล้าหาญ				
19 พฤศจิกายน 2549 11:43 น.

** ทัศยุราชันย์(นิละวานรคีรีมาศ) **

แก้วประเสริฐ


                                     บทที่  ๑๗
                                นิละวานรคีรีมาศ

           เมื่อท่านท้าวสิงหะราชหลังจากที่ยุพราชโกเมศกุมารได้ลายกทัพออก
จากเมืองสิงหะนครไปแล้ว   ก็เข้าร่วมปรึกษาหารือกับยุพราชสิงหะฤทธา
และเหล่ามุขอำมาตย์ขุนทหารทั้งหลายถึงเรื่องการศึกที่จะมาถึงครั้งนี้
ด้วยพระอุปนิสัยจึงทรงคล้อยตามของยุพราชโกเมศกุมารที่จะมาเป็นว่าที่
พระชามาดาในพระองค์เสียแล้ว กริ่งเกรงว่าหากดำเนินตามพระองค์ไปก็จะ
เป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระราชธิดาของพระองค์   เมื่อปรึกษาข้อราชการเป็นที่
เรียบร้อยแล้วจึง มอบหมายให้ยุพราชสิงหะฤทธาเป็นแม่ทัพใหญ่ไปในศึกครั้งนี้
        ส่วนพระองค์มิได้เสด็จยกทัพไปแต่ประการใด หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น
ก็ให้พระยุพราชสิงหะฤทธาแจ้งต่อองค์ท่านท้าวนิลกาฬว่าพระองค์ทรง
พระประชวรไม่สามารถนำทัพมาเองได้ แล้วพระองค์ทรงมอบอาวุธคู่กาย
ให้แก่พระยุพราชในพระองค์เพื่อใช้ป้องกันตัวหากมีปัญหาเกิดขึ้นตลอดจน
เก็บไว้แสดงหากเป็นที่ครางแคลงพระทัยในท่านท้าวนิลกาฬด้วยและเวทย์มนต์
ที่ใช้กำกับอาวุธของพระองค์ไว้   เมื่อได้เวลาก็ให้องค์สิงหะฤทธาเคลื่อนขบวน
ทัพยกออกไปในทางทิศใต้แล้ววกเข้าสู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนาครินทนาคร
      ครั้นทัพขององค์สิงหะฤทธาเหาะผ่านทวีปต่างๆเพื่อเข้าไปยังที่จุดนัดหมาย
เมื่อใกล้ๆเข้ามาจะลุล่วงเข้าสู่อาณาเขตซึ่งเต็มไปด้วยขุนเขามากมาย
เปรียบประดุจกำแพงน้อยใหญ่กั้นขวาง  พระองค์ก็ตรัสใช้ให้ขุนทหารองครักษ์
ประจำพระวรกายทั้งสองนายเข้าไปตรวจสอบหาชัยภูมิที่ดีเพื่อที่จะใช้เป็นที่
พักหยุดกำลังพล จึงทรงตรัสว่า
    “นี้แน่ะ ท่านสุระพยัคฆาและท่านสุระติณนะกะจงไปตรวจสอบเพื่อเราจะใช้
เป็นที่วางกำลังพล แล้วรีบกลับมารายงานแก่เราด่วนด้วยนะท่าน”
     “พ่ะย่ะค่ะ”  ขุนทหารส่วนพระองค์รับพระบัญชา
 แล้วรีบเหาะนำเหล่าองครักษ์ทหารหลายนายแยกย้ายกัน
ไปค้นหาทำเลทันที
    ขุนทหารสุระพยัคฆาแยกไปทางซ้าย
 ส่วนขุนทหารสุระติณนะกะแยกไปทางขวา
     สุระพยัคฆาเห็นเหนือเขาใหญ่ที่สูงตระหง่านกว่าเขาใดๆ
ก็รีบนำทหารเหาะลงไปเป็นแมกไม้ใหญ่นานาพันธุ์กระจายไปทั่ว
ก็นำทหารลงไปยังภาคพื้นดิน เที่ยวตระเวนค้นหาแหล่งน้ำและถ้ำต่างๆ
ที่เป็นบริเวณพอใช้เป็นที่พักพิงได้  ขณะที่กำลังค้นหาอยู่นั้นก็ปรากฏเสียง
ดังจ๊อกแจรกจอแจดังสนั่นไปทั่วบริเวณเหนือยอดแมกไม้ใหญ่เหล่านั้น
ต่างก็เหลือบมองไปเบื้องบนก็เห็นเหล่าทโมนไพรจำนวนมากมาย
ซึ่งมีขนาดใหญ่เกือบเท่ามนุษย์กำลังโหนเถาวัลย์ด้วยใบหน้าดุร้ายขมึงตึง
 บ้างเหนี่ยวเถาวัลย์มือเดียวอีกมือถืออาวุธที่ทำด้วยไม้ท่อนสั้นๆยาวๆ
กำลังโยนตัวลงมาเป็นจำนวนมาก    เหล่าทหารก็รีบแยกย้ายกัน
เพื่อปกป้องตนพร้อมชักอาวุธออกมา เมื่อเข้าประชันหน้าฝ่ายทโมนไพร
ไม่ฟังความใดๆทั้งสิ้นก็เข้าตะลุมบอนหวดตีเหล่าทหารองครักษ์ทันที  
 ทั้งสองฝ่ายเข้าต่อสู้กันเป็นพัลวันด้วยอาวุธ เมื่อประชิดกัน
ต่างก็เข้ากัดขย้ำกันจนล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย
     เนื่องจากท่อนบนของทหารเมืองสิงหะนครเป็นใบหน้าราชสีห์ทั้งฝ่ามือ
จึงมิได้ตกเป็นรองแก่ทโมนไพรที่มีร่างกายใหญ่ก็หาไม่  
เสียงคำรามดุจราชสีห์ปนเสียงคำรามร้องจ๊อกแจรกจอแจดังไปทั่วบริเวณนั้น
 ได้ยินไปถึงกองทัพเบื้องบนและท่านสุระติณนะกะ ที่เที่ยวค้นหา
บริเวณทางด้านขวาก็รีบยกกำลังทหารเข้ามาสู่สถานที่ได้ยินเสียง
 ด้วยคิดว่าคงจะเกิดอันตรายแก่ทหารท่านสุระพยัคฆาเป็นแน่
     ครั้นมาถึงก็สั่งทหารให้รีบเข้าช่วยเหลือทหารของท่านสุระพยัคฆาทันที
 การสู้รบผ่านไปเป็นเวลานานผลก็ยังไม่ปรากฏแพ้ชนะกัน 
บรรดาเหล่า ต้นไม้ใหญ่น้อยต่างก็หักราบพนาสูรจนเป็นบริเวณ
กว้างกระจายออกไปทั่ว ซึ่งก่อนจะเข้าสัประยุทธ์กันนั้นยังเป็นที่เต็มไปด้วย
แมกไม้ใหญ่น้อยนานาพันธุ์อยู่   ต่อมาก็มีเสียงสนั่นดังลั่นสอดแทรก
เข้ามาปรากฏร่างของทโมนไพรตัวดำใหญ่สองตัวทะยานผ่านต้นไม้
เข้ามายังที่กลางการรบที่ติดพันกัน เข้าพ่นไฟใส่ยังทหาร
ฝ่ายเมืองสิงหะนครทันที
     เมื่อท่านสุระพยัคฆาเห็นดังนี้ก็ทะยานเข้าไปยังหมู่ทหาร
พลางอ้าปากพ่นน้ำเป็นละอองเล็กเข้าสู่ประกายไฟของหัวหน้า
ทโมนไพรทั้งสองทันที พลันเปลวประกายไฟที่กำลังเผาผลาญ
ทหารสิงหะนครก็มอดดับไป   ทโมนไพรใหญ่ทั้งสองแลเห็นดังนั้น
ก็กระโจนเข้าหาท่านสุระพยัคฆาเข้าตีด้วยกระบองเหล็กพากันเข้ารุมต่อตี 
      ท่านสุระติณนะกะเห็นดังนี้ก็รีบเข้าไปช่วยเหลือสู้รบพุ่งกันเป็นพัลวัน
ด้วยอาวุธนานาประการ ก็มิมีผู้ใดเพรี้ยงพล้ำต่อกัน เป็นเวลานาน จนความ
ทราบไปถึงองค์ยุพราชสิงหะฤทธา  พระองค์จึงตรัสเรียกแม่ทัพหน้าซึ่ง
กำลังคอยรับพระบัญชาอยู่ พร้อมทรงตรัสว่า
      “ท่านปรศุเดชะ เราสงสัยจะมีปัญหาแก่ท่านสุระพยัคฆาและ
ท่านสุระติณนะกะ กับเหล่าทหารเป็นแน่แท้ป่านนี้ยังไม่เห็นกลับมา
ท่านจง ออกไปตรวจดูหน่อยเถิด”
      “พระเจ้าข้า”  ปรศุเดชะรับพระบัญชาก็รีบออกมานำเหล่าทหาร
พร้อมชักขวานเพชรอาวุธประจำกายรีบนำทหารเหาะลงไปทันที
ครั้นแลเห็นเหล่าทหารและท่านองครักษ์ทั้งสองขององค์พระยุพราช
กำลังเข้าต่อสู้กับทโมนไพรยักษ์ทั้งสองเป็นพัลวันจนร่างกายทั้งสอง
ฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บไปตามๆกันก็ยังหายอมแพ้กันไม่ จึงรีบเข้ามา
พร้อมแผดเสียงคำรามก้องเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ด้วยอำนาจของ
พระยาราชสีห์ ทำให้เหล่าทโมนไพรทั้งหลายต่างพากันแตกกระเจิง
รีบกระโจนเข้าป่าดงดิบไปเกือบหมดสิ้น บ้างหนีเสียงคำรามไม่ทัน
ก็ถึงกาลแก่ชีวิตทันที แม้กระทั่งทโมนไพรยักษ์ก็ถึงกับเข่าทรุดลงกับพื้น
และถูกท่านสุระพยัคฆาท่านสุระติณนะกะจับกุมไว้ได้  นำเข้ามายัง
ท่านแม่ทัพปรศุเดชะสอบถาม   เมื่อท่านแม่ทัพปรศุเดชะเห็นดั่งนี้ก็รีบคุมตัว
ทโมนไพรยังกลับไปเข้าเฝ้าองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาพร้อมกับองครักษ์
สุระพยัคฆา  ส่วนทางท่านสุระติณนะกะก็จัดการเกณฑ์ไพร่พลจัดการ
ทำความสะอาดบริเวณเก็บกวาดให้สะอาดเพื่อใช้เป็นที่พักไพร่พลต่อไป
         เมื่อท่านแม่ทัพนำทโมนไพรยักษ์ทั้งสองเข้าเฝ้าองค์พระยุพราชแล้ว
พระองค์ก็ทรงไต่ถามเหตุการณ์ทั้งหลายโดยละเอียด ก็ได้รับการทูลถวายตอบ  
แล้วจึงหันมาทอดพระเนตรสองทโมนไพพลางตรัสถามว่า
        “นี่แนะท่านขุนกระบี่ทั้งสอง  เหตุใดท่านจึงมาปกปักรักษาบริเวณนี้ล่ะ
ท่าน  พร้อมทั้งสั่งให้ทหารแก้มัดแก่ทโมนไพรทั้งสองด้วย”
        ทโมนไพรยักษ์ทั้งสองต่างก็หันมามองหน้ากันและกัน ทางด้านทโมนไพร
ซึ่งตัวจะใหญ่กว่าก็น้อมทูลขึ้นว่า   
        “เกล้ากระหม่อมเป็นทหารเอกของท่านท้าววานิระหะแห่ง
ขุนเขานิละวานรคีรี   ให้มาขัดขวางการบุกรุกดินแดนแห่งนี้ พระเจ้าข้า”
    สร้างความแปลกใจแก่เหล่าขุนทหารทั้งหลายเป็นยิ่งนักที่ทโมนไพร
สื่อภาษากันได้ ต่างก็หันไปสบตากันและกันและต่างเฝ้ามองดู
        “กระนั้นหรือท่าน  เราและเหล่าทหารเหล่านี้หาได้มีเจตนา
จะเข้ามายึดถิ่นที่นี่ไว้ในราชอำนาจแต่อย่างไรไม่เพียงแค่ผ่านทางไป
เราคิดแต่เพียงหวังจะมาขอพักผ่อนชั่วคราวหากเสร็จกิจธุระก็จะจากไป
 แล้วเราจะมีหนทางใดละที่จะขอเข้าเฝ้าท่านท้าววานิระหะแห่งท่านได้เล่า
เพื่อจะขออนุญาตต่อพระองค์ท่าน”     พระยุพราชทรงตรัสสอบถาม
        “หากแม้นพระองค์มิคิดจะยึด ข้าพระพุทธเจ้าก็จะขอนำพระองค์เข้าไป
เจรจากับท่านท้าววานิระหะเสียก่อน  พระเจ้าข้า”  ทโมนไพรร่างยักษ์กล่าว
      “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นการดียิ่งนะท่าน  เอาละท่านเราสร้างความลำบากแก่
ท่านอีกจงช่วยนำเราไปทำการเจรจาครั้งนี้ด้วยเถิด”  พระองค์ทรงตรัสตอบ
       “ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญพระองค์เสด็จตามข้าพระพุทธเจ้ามา เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ทโมนไพรร่างยักษ์น้อมกายลงสนองพระดำรัส”
        พลางหันไปทางปรศุเดชะแล้วพระองค์ทรงตรัสว่า
       “ท่านปรศุเดชะ เราขอฝากไพร่พลให้ท่านดูแล ส่วนเราจะเข้าไปเฝ้าท่านท้าว
วานิระหะก่อน  ท่านนิระกำพลกับท่านสุระกำพลจงติดตามเราไปเพียงแค่ทหาร
องครักษ์แปดนายก็คงจะเพียงพอ  เพื่อมิให้ท่านท้าวได้หวาดระแวงต่อเรานะท่าน”
       “ถ้าอย่างนั้น ข้าพระพุทธเจ้าขอเชิญพระองค์เสด็จเถิดพระเจ้าข้า”  ทโมนไพร
กล่าวขึ้นพร้อมกับทโมนไพรที่ยืนฟังดูเหตุการณ์ต่างลุกขึ้นน้อมกายหมายนำทาง
         “เชิญเถอะท่านทั้งสอง”  พระองค์ทรงตรัสแล้วติดตามทโมนไพรดำเนินไป
     เมื่อออกมาข้างนอกทโมนไพรต่างก็ทะยานขึ้นยังเถาวัลย์ละลิ่วลอยไปเบื้องหน้า
องค์ท่านพระยุพราชและทหารก็เหาะติดตามไปทันที
      บัดดลก็มาถึงซึ่งถิ่นที่อยู่อาศัยของเหล่าทโมนเป็นปราสาทดูร้างกว้างขวาง
ดูใหญ่โตมโหฬาร ถึงแม้จะมีที่บางส่วนปรักหักพังแต่ก็ยังคงอยู่ในสภาพที่ใช้ได้
 ท่ามกลางขุนเขาแมกไม้น้อยใหญ่ใกล้ๆกับริมเขาเป็นหน้าผาสูงชันยิ่งนัก
  เมื่อทโมนไพรทั้งสองมาถึงเหล่าทโมนไพรต่างๆซึ่งยืนรักษาการณ์อยู่เห็น
ก็เปิดทางให้เข้ายังปราสาท  เมื่อทรงดำเนินผ่านเหล่าทโมนไพร
ก็เข้าสู่สถานชั้นในแลเห็นตระการตานักผิดกับรูปทรงภายนอกสิ้นเชิง
 เป็นที่ประดับประดาของเหล่ากษัตริย์โบร่ำโบราณมาก่อน 
มีแท่นที่ประทับตั้งอยู่ท่ามกลางเบื้องหน้าของเหล่าทหารหาญ
ที่กำลังเฝ้าองค์กษัตริย์แห่งนครนี้อยู่
ภายในประดับประดาด้วยแก้วหลากสีส่งแสงประกายแวววาวระยิบระยับ
สลับสีทองตลอดจนเครื่องใช้ต่างๆทำด้วยทองคำทั้งสิ้น
 แม้แต่ที่ประทับและเก้าอี้ของเหล่าทหารหาญก็ทำด้วยทองคำ
ประดับด้วยแก้วมณีหลากสี  ที่แท่นประทับที่อยู่ท่ามกลางของเหล่าทหารนั้น 
				
17 พฤศจิกายน 2549 12:04 น.

** ทัศยุราชันย์ (นาคราชจ้าวแห่งอสรพิษ) **

แก้วประเสริฐ


                               บทที่  ๑๖
                    นาคราชจ้าวแห่งอสรพิษ

                       รีบแจ้งให้เราทราบด้วยนะ” ทรงตรัสขึ้น
      “พะย่าค่ะ”   สุระนาคินทร์รับพระบัญชา  ถอยออกมา ใช้ให้ทหารเอกคู่ใจ
รีบเข้าไปยังสถานที่นั้นเข้าตรวจสอบตามถ้ำต่างๆโดยเร่งด่วน
       ครั้นทหารเอกทั้งสองนำกำลังทหารนาคราชไปยังบึงน้ำกว้างใหญ่บนภูเขา
ตรวจตราตามถ้ำน้อยใหญ่ ก็พบพญางูยักษ์แผ่พังพานส่ายศีรษะไปมาในถ้ำใกล้
ริมหนองน้ำใหญ่และเหล่าอสรพิษมากมาย ต่างก็แผ่พังพานดูสลอนไปทั่วทั้งในถ้ำ
       บ้างก็สยบหัวลงถดถอยเลื่อยเข้าสู่หลีบผนังถ้ำ  บางตัวก็หยุดขู่ต่างส่ายหัว
แลซ้ายแลขวาไปๆมาๆ  ส่วนงูใหญ่นั้นส่ายหัวอันใหญ่โตมโหฬารไปมา
เสียงขู่ก็ค่อยๆจางหายไป ละอองฝอยพิษที่พ่นออกมาก็หยุดชะงักลง แต่ยัง
มิคงสยบได้โดยง่าย  ด้วยเหล่าอสรพิษร้ายเหล่านี้ได้กลิ่นจากเหล่าทหารหาญ
ของนครทันทะกะที่กำลังเดินก้าวเข้ามาสู่หา ฉับพลันร่างงูใหญ่นั้นก็แปรสภาพ
กลายร่างเป็นมนุษย์ เป็นบุรุษวัยกลางคนสง่างามยืนมองเขม้นมาทางเหล่าทหาร
พลางน้อมกายลงคาราวะแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า
     “โอ้ท่านนาคราชท่านมาสู่สถานนี้ด้วยเหตุใดฤาท่าน”
ทหารเอกทางด้านซ้ายมือนามว่า นาคียะ ก็ก้าวนำหน้าหมู่ทหารพลางน้อมกาย
คาราวะ เอ่ยตอบ งูยักษ์ที่กลายร่างเป็นมนุษย์ว่า
      “เราเป็นทหารของเมืองทันทะกะนครแห่งลุ่มน้ำมหาสมุทรสีทันดร 
การครั้งนี้เพื่อจะมาพักอาศัยบริเวณแถวนี้ 
เมื่อเข้ามาตรวจสอบเพื่อพักอาศัยพบท่านอยู่หากว่าทำความรบกวนเหล่า
ท่านทั้งหลายก็ขออภัยด้วย เนื่องจากท่านยุพราชแห่งทันทะกะเสด็จมาด้วย
 จึงจะขอรบกวนท่านทั้งหลายขอพักอาศัยชั่วคราว  ด้วยเถิด
 เพื่อจะกลับไปรายงานทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ” นาคียะนาคราชแถลง
       งูยักษ์ในร่างมนุษย์ก็ส่งยิ้มตอบรับ แล้วกล่าวขึ้นว่า
   “ท่านนาคียะ เรื่องนี้เราต้องขออนุญาตจากท่านท้าวพิษยะราช
ราชันย์แห่งขุนเขาสินธุคีรีศรีเสียก่อนนะท่าน”  มนุษย์แปลงกล่าว
    “หากมาดแม้นเป็นดังที่ท่านกล่าวมานี้  ก็ต้องขอทำความลำบาก
แก่ท่านแล้วจงช่วยไปกราบทูลท่านท้าวพิษยะราชถึงการมาขอพำนัก
ของยุพราชแห่งเราด้วยเถิด” นาคียะนาคราชเอ่ยขึ้น
     “ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ขอเชิญท่านพำนักพักผ่อนก่อน
 เราจะเข้าไปทูลรายงานถวาย”   มนุษย์แปลงเอ่ย
 แล้วผ่ายมือไปยังผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยชั้นหินนานา มองดูคล้ายดั่งโต๊ะเก้าอี้นั้น  
พร้อมทั้งสั่งไปยังเหล่าอสรพิษทั้งหลาย ให้คอยดูแลแก่เหล่านาคราช
ตนเองก็ก้าวลึกเข้าสู่หลีบถ้ำทันที
     มิช้ามินานเสียงดังกังวานด้วยมโหรีก็แว่วล่องลอยมาจากภายในถ้ำ
  เบื้องหน้าที่เป็นโพรงถ้ำ  นาคียะนาคราชทหารเอกก็แลเห็นร่างของ
ชายชราที่เปี่ยมไปด้วยความสง่างามประดับร่างกายเสื้อผ้าคล้ายดังกษัตริย์ 
กำลังเดินผ่านออกมา    จึงได้ลุกจากเก้าอี้ก้าวออกมาน้อมกายคาราวะทันที
     ท่านท้าวพิษยะราชแห่งอสรพิษทั้งหลาย ก็น้อมกายรับการคาราวะตอบ
พลางเอ่ยขึ้นมาว่า
      “โอ้ใยถึงเป็นเช่นนี้เล่าท่านนาคราชผู้ยิ่งใหญ่  ถึงแม้นว่าเรากับท่านจะเป็น
เผ่าพงศ์คล้ายๆกัน แต่ด้วยอำนาจราชศักดิ์ศรีย่อมด้อยกว่าพวกท่านทุกประการ
มิต้องที่ท่านจะต้องแสดงถึงเพียงนี้ แค่นี้ก็ทำความละอายใจแก่ข้าพเจ้ายิ่งนัก”
ท่านพิษยะราชน้อมกายตอบ
       “หามิได้ท่านพิษยะราชเราเองมาที่นี้เพื่อกิจการบางประการมิได้ก้าวล่วง
อำนาจของท่านหรอก เพียงแต่มาไกลนักใคร่จักพักอาศัยชั่วคราวเท่านั้น
หากเสร็จจากกิจการนี้แล้ว ก็ต้องเคลื่อนกำลังพลไปจะมิทำให้สถานที่นี้เกิด
ความเดือดร้อนเสียหายแต่ประการใดก็หาไม่ “ นาคียะนาคราชเอ่ยขึ้น
         “เพียงแต่ว่าท่านเป็นเจ้าควบคุมอสรพิษทั้งปวงตลอดขุนเขาแห่ง
สินธุคีรีศรีนี้  ถึงแม้ว่าเราจะเป็นถึงพญานาคราชก็ตาม  ก็ต้องทำตาม
ราชประเพณีเสียก่อนให้เกียรติแก่เจ้าของสถานทีด้วย ”นาคียะกล่าว
         “โอ้ท่านพญานาคผู้ยิ่งใหญ่ เพียงแค่แม้แต่ท่านย่างเข้าสู่ขุนเขา
แห่งสินธุคีรีนี้ก็ย่อมเป็นที่ซาบซึ้งแก่ข้าพเจ้าและเหล่าบริวารทั้งหลาย
แล้วว่าครั้งหนึ่งมีท่านพญานาคมาเยี่ยมเยียนถึงถิ่นแก่เหล่าอสรพิษทั้งหลาย
    ฉะนั้นขอท่านจงกลับไปทูลองค์พระยุพราชด้วยเถิดว่า ทางเราพร้อม
ที่จะน้อมต้อนรับพักผ่อนหาความพระเกษมสำราญจากสถานที่นี้ด้วยเถิด”
พญาแห่งอสรพิษแห่งสินธุคีรีศรีน้อมตอบ
        “หากเป็นความประสงค์ของท่านแล้ว เราจะกลับไปทูลพระองค์
และจะขอพระบรมราชาอนุญาตให้ท่านเข้าเฝ้าเสด็จต่อพระองค์ด้วย”
        “หากได้รับความกรุณาจากท่านแล้ว ทางเราก็จะถวายการต้อนรับ
องค์พระยุพราชแห่งทันทะกะมิให้ต้องเป็นที่เดือดร้อนพระราชหฤทัย”
เจ้าแห่งอสรพิษกล่าวขึ้นด้วยความยินดี
       ครั้นแล้วนาคียะนาคราชก็รีบกลับไปแจ้งข่าวแก่ท่านแม่ทัพสุระนาคินทร์
ถึงเรื่องราวความเป็นไปของสถานที่ให้ทราบทุกประการ
      “ท่านปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว ดีมากท่านนาคียะ”  แม่ทัพแห่งทันทะกะเอ่ยชม
      “เราจะรีบไปทูลถวายรายงานแด่องค์พระยุพราชเดี๋ยวนี้”  ว่าแล้วท่านแม่ทัพ
ก็รีบเข้าไปทูลถวายรายงานแด่ราชบุตรโกเมศกุมารทันที
       เมื่อองค์ท้าวเธอได้รับฟังรายงานแล้วก็ทรงเป็นที่เกษมสำราญเบิกบานยิ่งนัก
แล้วทรงเอ่ยตรัสขึ้นว่า
       “ดีแล้วล่ะท่านสุระนาคินทร์ เราขอชมถึงการเจรจาของท่านนาคียะด้วยที่
ปฏิบัติต่อเผ่าพงศ์ของพวกเราได้อย่างนุ่มนวลเช่นนี้” แล้วพระองค์ก็ทรงถอด
พระธำมรงค์แก้วสวยสดมอบให้แก่สุระนาคินทร์เพื่อมอบเป็นน้ำใจแก่
นาคียะนาคราชทันทีที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อเผ่าพงศ์ได้งดงามเช่นนี้
        เมื่อเหตุการณ์เป็นไปด้วยดีมิต้องเกิดการรบพุ่งเสียเลือดเนื้อแต่ประการใด
ท่านท้าวเธอยุพราชก็เสด็จนำไพร่พลทั้งปวงจัดวางกำลังตั้งค่ายคูประตูกล
ตามแบบพิชัยสงครามลงบนยอดเขาแห่งสินธุคีรีศรีทันที แล้วทรงทอดดำเนิน
เข้าไปยังริมหนองน้ำใหญ่ ทรงเนรมิตพลับพลาขึ้นเข้าพักอาศัยตลอดพระองค์
ทรงตรัสแก่เหล่าขุนทหารอย่าได้ไปสร้างความหนักใจแก่เหล่าอสรพิษทั้งหลาย
ที่เป็นเจ้าของสถานทีนี้ด้วยอำนาจของพญานาคเป็นอันขาดมิฉะนั้นจะได้รับ
การลงโทษหนักตามกฎของทหารทันที
         ครั้นองค์ยุพราชเสด็จพักผ่อนยังที่พลับพลาแล้ว ก็ให้มีพระบัญชา
ไปเชิญท่านท้าวพิษยะราชแห่งขุนเขาสินธุคีรีศรีทันที เพื่อพระองค์จะทรง
ไต่ถามสภาพแวดล้อมต่างๆเพื่อประกอบการศึกวางแผนต่อไป
     เมื่อท่านท้าวพิษยะราชเข้ามายังพระราชสถานพลับพลาแล้ว ก็ทรงให้
ประทับบนพระเก้าอี้เคียงคู่พระองค์ทันที สร้างความปลาบปลื้มหฤทัยยิ่ง
แก่พิษยะราชถึงกลับมีน้ำใสเล็กๆคลอยังเนตรทั้งสอง พลางเอ่ยขึ้นว่า
     “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนักพระเจ้าข้า”
     “มิเป็นไรหรอก ท่านพิษยะราช ถึงแม้ว่าเราจะเป็นยุพราชแห่งทันทะกะ
ก็ตามทีเถิด แต่ท่านอย่าลืมซิว่าเราต่างเป็นเผ่าพงศ์ที่มีลักษณะเดียวกันย่อม
ต้องมีสายเลือดเหมือนๆกันและท่านก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ควบคุมดูแลแห่งขุนเขา
นี้ เป็นราชาแห่งอสรพิษทั้งหลาย เราเพียงแค่เป็นแขกมาเยือนขอพักพิงท่าน
ชั่วคราวเท่านั้น ย่อมสมควรที่จะให้เกียรติแก่ท่านนั่งสูงกว่าเราเสียอีกนะ
ในฐานะที่เป็นกษัตริย์แห่งอสรพิษทั้งปวงนะท่าน”  องค์พระยุพราชตรัส
     “ถึงแม้ว่าข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นกษัตริย์แห่งอสรพิษทั้งมวลก็ตามทีเถิด
เพียงแต่บรรพบุรุษได้กล่าวย้ำแล้วย้ำอีกว่าพวกเราต่างเป็นเพียงแค่บริพาร
แห่งพญานาคราชเท่านั้น หากได้ประสบพบเมื่อใดให้น้อมกายถวายตัวทันที”
    ท่านท้าวพิษยะราชกล่าวขึ้น
    “ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ตามทีเถิด เราก็สมควรยิ่งที่จะให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ต่อพวกพ้องอันเป็นสายเลือดเผ่าเดียวกันอย่าได้ดูหมิ่นดูแคลนต่อกันตามที่
พระราชบิดาเราพร่ำสั่งสอนมาแต่เยาว์วัยนะท่าน” องค์ยุพราชทรงพระสรวล
      ครั้นแล้วองค์พระยุพราชก็ทรงไต่ถามเหตุการณ์ทั้งปวงและตลอดถึง
อาณาเขตแห่งเมืองนาครินทนาคร ถึงแนวทางที่จะเข้าสู่นครนั้น  ซึ่งก็ได้รับ
การทูลถวายว่าเหล่าอสรพิษทั้งปวงได้รับบัญชาจากสรวงสวรรค์ให้ปกป้อง
คุ้มครองบริเวณอาณาเขตมิให้ผู้ใดก้าวล้ำเข้ามาได้แล้วกลับไปรายงานต่อ
ต่อเทพที่จะมารับรายงานเสมอๆมิได้ขาด  ฉะนั้นเหล่าอสรพิษทั้งหลาย
จึงได้รับพรจากองค์มหาเทพแห่งสรวงสวรรค์ให้ผู้ที่บำเพ็ญเพียร
มั่นคงด้วยฌานสมาบัติมีฤทธิ์เดชจะสามารถแปลงกายได้
และเป็นไปเกือบจะทุกๆตัว  นี่ดีว่าเราเป็นสายเลือดเดียวกัน
และทราบทางฌานว่าพระองค์ทรงมิได้มีน้ำพระทัยคิดที่จะรุกราน
นาครินทนาครเพียงแต่เหตุจำเป็นบังคับเท่านั้น
      มิฉะนั้นแล้วก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าขัดขวางต่อพระองค์
และเหล่าพญานาคทั้งหลายจนกว่าชีวิตจะสิ้นตักษัยด้วย  ถึงแม้ว่าจะมิใช่
อุปนิสัยของเหล่าอสรพิษก็ตามทีแต่ก็จนใจด้วยได้รับอาสาต่อองค์มหาเทพ
พิษยะราชทูลเล่าถึงความหลังให้องค์พระยุพราชมิได้ปิดบังแต่ประการใด
พร้อมทั้งยังสั่งแก่เหล่าอสรพิษทั้งมวลให้ช่วยดูแลปกป้องเหล่าทหารหาญ
ของพระองค์จากภัยอื่นๆที่เต็มไปทั่วมากมายหลากหลายชนิดอีกด้วย
      องค์พระยุพราชทรงรับทราบความเป็นไปแห่งท่านพิษยะราชก็ทรง
พระเกษมสำราญยิ่งนักกล่าวตรัสขอบใจเจ้าแห่งอสรพิษแห่งขุนเขาสินธุคีรีศรี
และบริวารทั้งหลาย    ครั้นสนทนาได้เวลาอันสมควรท่านท้าวพิษยะราช
ก็ทูลลากลับ  องค์ยุพราชก็ทรงพระเกษมสำราญยิ่งนักต่อบึงน้ำบนยอดเขา
สินธุคีรีศรีที่ใสสะอาดเยือกเย็น  เมื่อเสร็จจากการสรงแล้วก็เสด็จกลับยัง
พลับพลา   เพื่อคอยการนัดหมายของทางท่านท้าวนิลกาฬต่อไป

				
17 พฤศจิกายน 2549 09:26 น.

** ทัศยุราชันย์ (เภทภัยสัตว์ร้าย) **

แก้วประเสริฐ


                                         บทที่  ๑๕
                                     เภทภัยสัตว์ร้าย

              ก็จะเห็นแนวอาณาเขตของเมืองนาครินทนาครได้อย่างกระจ่าง 
โดยมิมีสิ่งกีดขวางแต่ประการใด  ฉะนั้นพ่อจึงอยากให้ลูกจัดทหาร
พอที่จะไว้ใจได้และประกอบด้วยฤทธาเพื่อความไม่ปรามาสเข้าตรวจสอบดู
            ภูมิประเทศเหล่านี้ก่อนก็จะดี ที่เราจะนำกำลังรี้พลลงไปเลยทีเดียว”
ท่านท้าวเธอหันมาตรัสกับราชบุตรของพระองค์
   “พระเจ้าข้าเสด็จพ่อ” วานนรินทร์ราชบุตรขานรับองค์ท้าวเธอ
 พลางเหาะผ่านเลยไปยังทางแม่ทัพหน้าอันคอยต้อนรับอยู่พลางกำชับสั่งว่า
     “นี่แน่ะท่านปักษาราช  ข้าขอให้ท่านจัดกำลังทหารลงไปตรวจสอบเหนือ
ยอดเขาติรังคะคีรีเฉพาะส่วนอันเป็นบริเวณกว้างและอาณาเขตรอบข้างเพื่อ
เสด็จพ่อเราจะใช้เป็นที่พักและวางกำลังรี้พลทั้งหลาย ให้ท่านทั้งหลายช่วย
ตรวจสอบดูแลทุกอย่างในบริเวณสิ่งต่างๆอย่างละเอียด  
ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจชอบกลท่านจงคัดทหารที่ล้วนแล้วแต่ฝีมือและมีฤทธิ์เดช
เข้าทำการนี้โดยเฉพาะด้วย”  องค์พระยุพราชทรงสั่ง
       “อ้อๆๆ...แล้วรีบกลับมารายงานแก่เราด่วนด้วยนะท่าน”  ทรงกำชับอีก
       “พะย่ะค่ะ”  ขุนทหารแม่ทัพปักษาราช  รับพระบัญชาแล้วรีบจัดคัดเลือก
ทหารเหาะลงไปยังบริเวณเหล่านี้ทันที 
        พอเหล่าทหารกล้าเหาะลงมาถึงพื้นที่บริเวณอันเป็นที่ราบกว้างพอเท้า
เหยียบลงพื้นปรากฏเป็นหลุมลึกจำนวนมากมาย ก็พากันร้องโหยหวนบ้าง
ตกลงไปเกือบเอว บ้างก็แค่หัวเขา บ้างก็แค่ส้นเท้า แล้วรีบทะยานเหาะขึ้น
มาทันที ปรากฏฝูงสัตว์ปีกจำนวนมหาศาลต่างพวยพุ่งตามติดขึ้นมากับเป็น
พัลวันทั้งตัวต่อและตัวแตนขนาดเกือบเท่ากำปั้น เข้ารุมต่อยทหารกล้าเหล่านี้
พวกที่ตกไปยังหลุมลึกหน่อยไม่ทันทะยานขึ้นก็ถูกฉุดหายไปในใต้พื้นดิน
ส่วนที่น้อยหน่อยก็สามารถทะยานขึ้นมาได้แต่เท้าที่ล่วงลึกลงไปขาดหายไป
เป็นเลือดสีดำๆไหลนองไปทั่ว
          ส่วนจำนวนต่อและแตนที่พุ่งขึ้นมาในอากาศต่างก็กระจายกันเข้าทำร้าย
ทหารหาญที่ล่องลอยในอากาศจนฟ้ามืดมัวดินไปทั่วบริเวณนั้น  บรรดาทหาร
ที่ถูกต่อและแตนต่อยต่างก็ล่วงสู่พื้นดินสิ้นใจไปตามๆกัน ตามตัวสภาพศพ
ใบหน้าดำคล้ำ ดุจดั่งโดนไฟอันร้อนแรงจี้ ท่านปักษาราชที่เหาะดูเหตุการณ์
เห็นเข้าก็ตะลึงตกใจ รีบนำพัดประจำกายออกมาพัดไล่ตัวต่อแตนนั้นทันที
ปรากฏเป็นเปลวไฟกรดเข้าเผาผลาญตัวต่อแตนล่วงหล่นตายไปจำนวนมาก
         เหล่าตัวต่อแตนเหล่านี้ก็หาได้หวั่นเกรงกลัวแต่ใดไม่ ยังคงบินรายล้อม
เพื่อจะเข้าทำร้ายร่างของปักษาราชเป็นพัลวัน เหล่าทหารคู่ใจของปักษาราช
รีบนำแส่ออกมาสาดไล่ตีเป็นชุลมุนไปทั่ว เนื่องจากมีจำนวนมากมหาศาล
ก็ไม่สามารถจะกำจัดเหล่าสัตว์นี้ได้  จึงรีบเหาะหนีไปเพื่อรายงานต่อ
องค์ยุพราชทันที  ส่วนเหล่าทหารกล้าทั้งปลายก็พยายามหาทางป้องกันตน
เองจากสัตว์ร้ายเหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายใดได้ จนถึงกับร้องโวยวาย
โหยหวนดังสนั่นไปทั่วนภาอากาศ   ส่วนที่มีฤทธาแก่กล้าคงทนต่อพิษร้ายได้
ก็พยายามใช้อาวุธเข้าต่อสู้เป็นพัลวัน ส่วนตัวต่อแตนก็ทิ่มต่อยไม่เลือกที่
จนต้องแตกกระเจิงไปตามๆกัน ส่วนพวกที่มีฤทธาด้อยก็ต้องตกตายไปทันที
          ครั้นปักษาราชกับทหารคู่ใจกลับมายังเบื้องพระพักตร์องค์ยุพราชก็รีบ
เข้าไปรายงานถึงผลร้ายต่างๆ ตลอดใบหน้าและร่างกายทุกคนต่างบวมปูด
ไปตามๆกัน   องค์ยุพราชวานนรินทร์เห็นเข้าก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก 
เมื่อรับทราบการรายงานครั้งนี้  จึงชักชวนทหารอกข้างพระวรกายรีบเสด็จ
ดำเนินไปทันทีตามติดด้วยปักษาราชพร้อมทหารคู่ใจ
          เมื่อพระองค์ไปถึงที่สถานเกิดเหตุก็แลเห็นฝูงต่อแตนกำลังไล่ต่อยเหล่า
ทหารหาญอยู่  จึงทรงพนมมือพร้อมร่ายเวทย์มนต์     บัดดลก็บังเกิดฟ้า
คำรามลั่นพายุหมุนเป็นวนกระหน่ำสู่ฝูงสัตว์ร้ายเหล่านี้เป็นเกลียวๆ
หมุนลอยเคว้งคว้างแต่หาได้ทำอันตรายแก่เหล่าทหาร
ชาวปักษินนครก็หาไม่ เพียงแค่พัดเหล่าตัวต่อแตนให้หลุดพ้น
ออกจากร่างกายเท่านั้น  เหล่าทหารทั้งหลายก็รีบหนีกลับคืนสู่ด้านหลัง
        เมื่อองค์พระยุพราชเห็นดังนี้ จึงทรงหยิบนำเอาคนโทแก้วหลากสี
ใบเล็กๆออกมา พร้อมทรงร่ายเวทย์กำกับแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ  
บัดดลแก้วคนโทน้อยก็ขยายตัวใหญ่โตมโหฬาร
ปรากฏกระแสน้ำพวยพุ่งออกมาจากคนโทแก้วทันที
สาดกระจายเป็นฝอยละอองเล็กๆเข้าสู่ยังตัวต่อแตน
         เมื่อหยาดน้ำเล็กกระทบเข้ากับตัวต่อแตนกลับเป็นน้ำกรดไฟ
เข้าเผาผลาญร่างของตัวต่อแตนเหล่านี้จนมอดไหม้เกรียม
พากันล่วงหล่นลงพื้นมิขาดสาย   หาได้หยุดเพียงแค่นั้นไม่หยาดน้ำเหล่านี้
กลับรินไหลลงสู่ยังบรรดาหลุมที่ตัวต่อแตนใช้อาศัยเป็นจำนวนมหาศาล
ก็บังเกิดควันพวยพุ่งขึ้นมามิขาดสาย  จนกระทั่งควันค่อยๆจางหายไป
ไม่ปรากฏฝูงตัวต่อแตนทั้งหลายจะออกมากจากหลุมเหล่านี้อีก
         คนโทแก้วใบนั้นก็กลับเป็นคนโทใบเล็กลอยเข้าหาองค์พระยุพราช
พระองค์ก็ทรงหยิบเข้าใส่ในพระอุระทันที พร้อมตรัสแก่ขุนทหารที่เฝ้า
ดูอยู่ ทรงตรัสว่า
     “อันที่จริงเราก็สังหรณ์ใจอยู่แล้ว เพียงมิคาดว่าจะอาศัยอยู่ในใต้พื้นดินนี้
บัดนี้ เหตุการณ์ก็สงบดีแล้วคงจะไม่มีเหตุร้ายอื่นใดแทรกเข้ามาอีก”
     ครั้นแล้วพระองค์ก็ให้เหล่าทหารหาญหลบไปข้างๆแล้ว ทรงพนมมือ
หลับพระเนตรพลางร่ายพระเวทย์  ฉับพลันพื้นดินที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ
ทั้งหลายก็หายไปกลับเป็นพื้นศิลาแผ่ครอบคลุมไปทั่วๆบริเวณนั้นแทนที่
แล้วบังเกิดเป็นพลับพลาน้อยใหญ่ผุดขึ้นมาจากพื้นดินสวยตระการตายิ่งนัก
เมื่อทุกประการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ก็ทรงหันไปสั่งยังขุนทหารปักษาราชทันที
    “นี่แน่ะ ท่านปักษาราช  ท่านจงไปทูลเสด็จพ่อเราว่าเหตุการณ์เรียบร้อยแล้ว
เชิญพระองค์เสด็จมาประทับยังพลับพลาแต่บัดนี้เถิด”  พระองค์ทรงตรัสขึ้น
     “พะย่ะค่ะ”  ปักษาราชรับสนองพระบัญชา แล้วรีบเหาะกลับไปทูลท่าน
ท้าววิหะคะยุราชทันที
       เมื่อท้าววิหะคะยุราชทราบเหตุทั้งปวงแล้วก็ทรงพระสรวลยินดี ทรงดำเนิน
ลงมายังพื้นดินที่เต็มไปด้วยหินอ่อนที่ปูราดไปตลอดแนวทาง  แล้วทรงตรัส
กับพระยุพราชทรงไต่ถามความเป็นไปทั้งหมด  เมื่อทรงได้ทราบข่าวต่างๆแล้ว
ก็ทรงดำเนินเข้าไปยังที่ประทับยังพลับพลาพร้อมให้จัดวางกำลังรี้พลกระจาย
ไปทั่วแนวบริเวณเหล่านั้น   เมื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ทรงพระดำเนินตรงไป
ยังพลับพลา พร้อมกับองค์พระยุพราชวานนรินทร์ พร้อมเหล่าขุนนางทั้งหลาย
พร้อมทั้งยังทรงปรึกษาข้อราชการเพื่อหาทางเข้าไป
ยังอาณาเขตเมืองนาครินทนาคร   ตลอดจนทรงวางกำลังรี้พล
แบ่งแยกการเข้าโจมตี และกำลังรี้พลเพื่อใช้ในการสนับสนุนต่างๆ 
และแผนการอื่นวางไว้ก่อนที่เราหากเข้ายังเมืองนาครินทนาครได้แล้วอีกด้วย
จัดส่งเวรยามทหารเพื่อรอคอยทางท่านท้าวนิลกาฬเพื่อแจ้งวันนัดประชุมต่อไป

      ส่วนทางด้านเมืองทันทะกะนคร ครั้นได้รับทราบข่าวจากพระราชสาสน์
ของท่านท้าวนิลกาฬ ก็เตรียมจัดกำลังรี้พลของเมืองทันทะกะยกพหลพลไกร
มาสมทบกับเมืองสิงหะนคร  องค์ยุพราชโกเมศกุมาร ก็ทรงเข้าร่วมปรึกษาหารือ
กับท่านท้าวสิงหะราช ถึงแนวทางต่างๆเพื่อคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันหากมี
การพลาดพลั้งเกิดขึ้น  และทรงเข้าเยี่ยมเยียนกับเจ้าหญิงอรุณรัศมี ซึ่งทั้งสองก็ให้
สัญญาว่าจะรอคอยและกลับมาหลังเสร็จศึกครั้งนี้ต่างพระองค์ก็ทรงอาลัยซึ่งกัน
และกัน  และมาคอยส่งเสด็จองค์พระยุพราชโกเมศกุมารด้วย 
        ครั้นได้เวลาอันสมควรแล้ว  องค์ยุพราชโกเมศก็ทูลลาท่านท้าวสิงหะราช
แล้วยกยกไพร่พลพหลพลพยุหะเสนาออกเดินทางผ่านนครใหญ่น้อยหลีกเลี่ยง
เหตุอันพึงจะมีเกิดขึ้นได้  บางครั้งก็นำเหล่าทัพเดินทางไปในในอากาศ  
     จวบจนถึงอาณาเขตเมืองนาครินทนาครทางด้านทิศใต้ 
 แล้วองค์ยุพราชก็สืบหาสถานที่เพื่อใช้ในการหยุดพักทัพไว้ 
ด้วยสถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นหินผาและภูเขาป่าไม้ดงดิบนานาพันธุ์
ไม่เหมาะแก่การเหล่าทหารของพระองค์เพื่อจะทรงหยุดพักทัพ 
     เนื่องด้วยพระองค์และเหล่าทหารพลไกรต่างก็เป็นนาคราช
จำเป็นอย่างยิ่งต้องหาที่พักอาศัยเป็นแหล่งน้ำพักพิง     จึงมอบหมายให้
นายทัพนายกองตระเวนเสาะหาตามภูผาต่างๆเพื่อหาแหล่งน้ำ พักพิง
 ให้เพียงพอต่อเหล่าทหารของพระองค์   ดังนั้นพระองค์จึงสั่งให้ไพร่พล
ตลอดจนแม่ทัพนายกองทั้งปวงให้เที่ยวค้นหาชัยภูมิที่เหมาะสม
แก่เหล่าไพร่พลทหารทั้งหลายเพื่อใช้เป็นที่สำหรับหยุดพักทัพจัดค่ายคูประตูกล
วางกำลังรี้พลต่างๆมิให้เดือดร้อน  ครั้นได้รับรายงานจากแม่ทัพนายกองที่
เที่ยวตระเวนค้นหามาทูลรายงานว่า
      “ขอเดชะ  กระหม่อมเที่ยวค้นหาไปพบสถานที่แห่งหนึ่งเหมาะอย่างยิ่ง
ที่ใช้สำหรับหยุดการเดินทัพครั้งนี้ ด้วยประกอบด้วยหนองน้ำใหญ่
บนยอดภูผาของเขาใหญ่สินธุคีรีศรีล้อมรอบด้วยเขาน้อยใหญ่ประกอบด้วย
ไม้นานาพันธุ์ซึ่งเป็นแหล่งรวมน้ำไหลลงยังเบื้องล่างเป็นสายธารน้ำตก
มีถ้ำที่เป็นสายธารซึมซับน้ำจากภูผา อยู่ด้วยกันมากมาย พระเจ้าค่ะ” 
 สุระนาคินทร์แม่ทัพกล่าวถวายรายงาน
      “อีกทั้งยังมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ร่มเย็นยิ่งนักอีกด้วยพระเจ้าข้า”
แม่ทัพนาคราชทูลถวายเสริม
       “นั้นก็ดีแล้ว เมื่อท่านแม่ทัพเห็นว่าเหมาะสมดี ก็สมควรจะนำเราและเหล่าทัพ
เข้าไปพักยังสถานที่นั่นเถอะ”  ยุพราชโกเมศทรงตรัส
        “พระเจ้าค่ะ  ขอให้หม่อมฉันส่งทหารเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัยเสียก่อน
อีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่นอนแล้วจัดสร้างพลับพลา  เพื่อพระองค์จะได้เสด็จ
เข้าพักผ่อนพระวรกายพระเจ้าข้า”  แม่ทัพกราบทูล
       “ดีแล้วล่ะท่านแม่ทัพ  ขอให้เป็นภาระหน้าที่ของท่านหากได้ผลประการใด

				
15 พฤศจิกายน 2549 11:29 น.

** ทัศยุราชันย์(กำแพงแห่งสวรรค์.) **

แก้วประเสริฐ


                                          บทที่ ๑๔
                                   กำแพงแห่งสวรรค์

     ระหว่างนั้นความปั่นป่วนวุ่นวายที่บังเกิดขึ้นเบื้องหน้าของกองทัพ 
พร้อมเสียงร้องต่างๆนาๆของเหล่าทหารอสูรดังกึกก้องสนั่นไปทั่ว
 ความทราบไปถึงท่านท้าวนิลกาฬ    ด้วยความสงสัยในพระราชหฤทัย
  ภายหลังจากได้ส่ง จันทะเสนอสูรเข้าไปตรวจตราสถานที่เพื่อพระองค์
จะได้ทรงจัดวางกำลังพลเพื่อรอเข้าบุกยังนครนาครินทนาคร
พระองค์จึงทรงหันไปตรัสใช้ อสุระฤทธาอสูรซึ่งคอยเฝ้าพระองค์อยู่
ให้รีบไปสืบความเป็นไปของเหตุการณ์นั้นแล้วมารายงานต่อพระองค์
       อสุระฤทธาก็ถวายบังคมลา  ออกไปยังแนวหน้าตรวจสอบความนัย
จนได้รับทราบรายละเอียด แล้วรีบกลับมารายงานโดยด่วน
        “ ขอเดชะ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นระหว่างท่านจันทะเสน
นำกำลังไพร่พลเข้าไปยังพื้นบนเขาตะนาวศรีคีรีนั้น  
ก็ปรากฏเป็นเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นจากใต้ดินเข้าทำลายล้างไพร่พลทหาร
ประกอบกับมีปักษีขนาดใหญ่พุ่งออกมาจิกตีทหารจนล้มตายมากมาย
พระเจ้าข้า”  อสุระฤทธาอสูรทูลรายงาน
         “แล้วเหตุการณ์เป็นอย่างไรรึ ท่านอสูรเห็นเสียงเงียบหายไปแล้ว”
 จอมอสูรดำรัสถามความต่อไป
         “ ขอเดชะเป็นด้วยท่านนิลพาหุกับท่านสหัสสะขันธ์และท่านจันทะเสน
เข้าต่อกรกับปักษีนั้นและปราบจนราบคาบทั้งเปลวไฟนั้นแล้วพระเจ้าค่ะ”
 องครักษ์ด้านซ้ายกราบทูลรายงาน
          “อะไรร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ จนถึงขั้นท่านแม่ทัพทั้งสอง
จำต้องลงมือด้วยตนเองเชียวล่ะ ไหนๆรายงานให้ละเอียดหน่อยซิ 
ว่าท่านแม่ทัพกับองครักษ์เราจัดการอย่างไรรึ”ท่านจอมอสูรตรัสถาม
ด้วยความสงสัยยิ่งนัก
          “หลังจากที่ท่านนิลพาหุเข้าต่อสู้กับหัวหน้าปักษีนั้น
จนได้รับบาดเจ็บไปทั่วกายแต่มิได้ย่อท้อกลับโรมรันพันตูอย่างชุลมุน
กระทั่งระหว่างติดพันได้ใช้มีดเล็กเข้าปักไปยังทรวงอกปักษีร้ายนั้น
 ด้วยฤทธิ์เดชของมีดเล็กนั้นพลันได้ขยายใหญ่ทำลายล้างร่างกายปักษี
ขาดแตกแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปจนวายปราณ   ส่วนเหล่าพวกปักษี
ทั้งหลายก็พากันแตกตื่นตกใจจะหนีกลับเข้าไปยังเปลวไฟนั้น   
แต่มิทันการณ์  ท่านจันทะเสนที่เฝ้าคอยหาจังหวะโอกาสอยู่ก็พ่น
ไฟประลัยกัลป์ออกจากปากเข้าทำลายล้างเหล่าปักษีจนมอดไหม้
ไปทั่วไม่สามารถหลบหนีไปได้สักตัวเดียว  ส่วนท่านสหัสสะขันธ์  
ก็ใช้น้ำเต้าวิเศษที่พกไว้ของท่านเข้าทำลายล้างไฟที่ลุกไหม้
จนมอดดับสิ้นไปแล้วพระเจ้าข้า”
          “ตอนนี้เกล้ากระหม่อม ได้สั่งให้ทหารช่วยกันเร่งรัด
จัดทำความสะอาดพื้นที่  และได้เนรมิตพลับพลาไว้  เพื่อรอรับพระองค์
เสด็จเข้าสู่ยังพลับพลาแล้วพระเจ้าข้า”  อสูรอสุระฤทธา
กล่าวถวายรายงานทั้งหมดให้จอมอสูรรับทราบความทั้งหมด
           “โอ้โฮ...เจ้าปักษียักษ์นี้มันมีฤทธิ์เพียงนี้เชียวหรือ 
ถึงสามารถทำลายทหารของข้าจนล้มตายได้ “
 ท่านท้าวนิลกาฬทรงอุทานเบาๆ
            “พะย่ะค่ะ ยากที่จะทำลายล้างได้  อีกประการหนึ่งปากที่แหลมคม
และเล็บมันมีพิษอย่างร้ายกาจ หากทำลายเนื้อเพียงแค่รอยข่วน
ก็สามารถตกตายไปได้เว้นแต่จะมีฤทธาเหนือกว่าเข้าคุ้มครองเท่านั้น
 และอีกประการหนึ่งเปลวไฟที่ลุกจากบนยอดผานั้น
ก็ร้อนแรงประหนึ่งไฟกรด พระเจ้าข้า”  อสุระฤทธากล่าวรายงานเสริม
          “นั่นซิ.....มิฉะนั้นยากนักที่จะทำลายทหารของข้าจนล้มตายได้ 
 นี่ขนาดเพียงแค่ย่างเหยียบยังมิทันถึงแผ่นดินในอาณาเขตนาครินทนาคร
 ยังมีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นได้ และแล้วพวกเหล่านครทั้งหลายที่ต้องไปยึดทำเล
จัดวางทัพล่ะจะเป็นฉันท์ใด” 
 พระองค์ทรงรำพึงเบาๆพอได้ยิน
          “ข้าพระพุทธเจ้าได้รับรายงานมาแล้วว่า เหล่านครต่างๆทั้งหลายนั้น
ได้จัดวางกำลังรี้พลไว้ตามยอดบรรพตต่างๆไว้เรียบร้อยแล้วพระเจ้าข้า   
ทุกๆนครล้วนแล้วแต่ประสพภัยพิบัติต่างๆกันด้วยทั้งสิ้น”
อสูรอสุระฤทธา กล่าวรายงานเสริม
         “เราเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล่านครทั้งสี่ตลอดนครหัวเมือง
ทั้งหลายพบสิ่งใด ท่านอสุระฤทธาช่วยให้ทหารที่ไว้ใจได้ จัดแบ่งกำลัง
เข้าตรวจสอบความเป็นไปของนครเหล่านี้ แล้วรีบกลับมารายงานให้เราทราบ”
        “รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า” อสุระฤทธารับสนองโองการแล้วรีบถอยมาเพื่อ
ออกมาจัดกำลังทหารองครักษ์ส่งออกไปตามพระบัญชาทันที

        จะขอกล่าวถึงเหล่านครต่างๆตลอดจนนครหัวเมืองของท่านท้าวนิลกาฬ
เมื่อได้รับพระราชสาสน์จากท้าวเธอแล้ว ครั้นได้ครบกำหนดวันเวลา
ก็รีบนำทัพมายังชัยภูมิตามที่ตกลงกันไว้   แยกแยะตามภูมิประเทศเหมาะสม
เพื่อเข้าล้อมยังอาณาเขตเมืองนาครินทนาครทันที ซึ่งต่างก็พบภัยพิบัติต่างๆกัน
        ท่านท้าวสุพพัตสุระแห่งนครอหิงสากะ ครั้นได้ฤกษ์งามยามดีก็เคลื่อน
พหลพลพยุหะยาตราทัพมาในทางอากาศ เข้าสู่อาณาเขตแห่งนาครินทนาคร
ทางด้านทิศตะวันตก  หาทางพักยังยอดเขาต่างๆเป็นสถานที่เพื่อใช้ในการนี้
ก็เหลือบมองหาทำเลชัยภูมิที่จะวางกำลังรี้พลประสานงานกับนครกาฬคีรี
ครั้นเห็นชัยภูมิที่เหมาะสมบนยอดเขาคิฌชคีรีเหมาะแก่การวางกำลังรี้พลของตน
ก็ให้เหล่าทหารเข้าตรวจสอบทำเลเหล่านี้  ก็พบสิ่งต่อต้านจากเจ้าของสถานที่
ทันที  เหล่าทหารทั้งหลายล้วนถูกเหล่าพยัคฆ์สมิงร้ายต่างๆเข้าพากันรุมล้อม
ดู วุ่นวายชุลมุนพากันเข้าขย้ำกัดกินเป็นอาหารจนต้องแตกพ่ายหนีกลับกองทัพ
และรีบเข้าไปรายงานท่านท้าวสุพพัตสุระ ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดจนทหาร
บางนายกำลังเข้าต่อสู้กับพยัคฆาเป็นพัลวัน จนส่งเสียงโวยวายไปทั่วบริเวณ
  อันพยัคฆาจนกลายเป็นพยัคฆ์สมิงเหล่านี้มีอิทธิฤทธิ์ต่างอยู่ยงคงกะพัน
ยากที่อาวุธของเหล่าทหารจะเข้าทำลายได้  สามารถแปลงกายได้ ทุกๆตัว
ล้วนแล้วอุดมไปด้วยพิษนานา แม้แต่เขี้ยวเล็บก็มีพิษนานาประการ และต่าง
เห็นเหล่าทหารเป็นอหิงสาจึงพากันเข้ารุมล้อมกัดกินมิได้เกรงกลัวแต่
ประการใดก็หาไม่  ถึงแม้ว่าจะมีสภาพกึ่งร่างมนุษย์กึ่งอหิงสา แต่ด้วยกลิ่นที่มี
อยู่ประจำกายล้วนแล้วแต่เป็นกลิ่นของอหิงสาป่า  ซึ่งล้วนเป็นอาหารอันโอชะ
ของเหล่าพยัคฆาทั้งสิ้น  มาดแม้นว่าทหารเหล่านี้จะมีพละกำลังมหาศาลและ
ประกอบด้วยฤทธาต่างๆแต่ก็ยังตกเป็นอาหารของเหล่าเสือสมิงเหล่านี้อยู่ดี
       เมื่อการต่อสู้ผ่านไปนานเข้าๆผลลัพธ์เหล่าทหารของอหิงสากะนครนี้
ก็ร่อยหรอเหลือน้อยทุกที  จนกระทั่งแม่ทัพของอหิงสากะนครซึ่งควบคุม
ทัพหน้า  มีนามว่าสุรินทร์อสูร ก็รีบเดินทางมาถึงร่วมกับทหารคู่ใจของตน
มองลงมายังเบื้องด้านล่าง   เห็นความวุ่นวาย เอะอะไปทั่ว พบเหล่าทหารถูก
พยัคฆ์ร้ายกัดกินมิได้เกรงกลัวต่ออาวุธใดๆทั้งสิ้น  หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเหล่า
ทหารหาญเหล่านี้ก็คงจะถึงซึ่งกาลอวสานแน่นอน  
      สุรินทร์อสูรแม่ทัพ จึงหยิบเอาบ่วงบาศกับกระบองห้าเหลี่ยมออกมา
พลางร่ายเวทย์มนต์ แล้วขว้างลงมายังกลุ่มเหล่าพยัคฆาร้ายทั้งหลาย 
 บัดดลก็เกิดพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง เชือกบ่วงบาศก็แยกตัวออกกระจาย
เป็นหลายๆบ่วง เข้ามัดยังร่างพยัคฆาทั้งหลาย  ส่วนกระบองห้าเหลี่ยมก็แยกตัว
เป็นกระบองจำนวนมากมายเข้ารุมตีพยัคฆ์ร้ายเหล่านี้จนถึงกับสิ้นชีวิตทันที
     เหล่าพยัคฆ์ร้ายซึ่งมีตัวหัวหน้าร่างกายสีขาวโพลนพาดเป็นลายพาดกลอน
เห็นท่ามิดีก็ส่งเสียงคำรามลั่นแล้วเผ่นทะยานหนีหายลงไปยังตีนเขา บรรดา
เหล่าพยัคฆ์ร้ายเมื่อเห็นตัวหัวหน้าส่งเสียงคำรามลั่นเสมือนบ่งบอกให้รีบหนี
จึงพากันละทิ้งเหล่าทหารต่างตัวก็รีบเผ่นหนีลงเขาไปจนหมดสิ้น
       สุรินทร์อสูรพร้อมทหารคู่ใจก็สั่งให้บรรดาทหารเข้าช่วยเหลือทหารที่
บาดเจ็บยังไม่ได้ล้มตายไปทำการรักษาพยาบาล ส่วนที่เสียชีวิตแล้วก็ให้
จัดการนำออกไปฝังยังที่อื่น  แล้วสั่งให้ทหารทำความสะอาดพื้นเพื่อใช้เป็น
ที่ประทับของท่านท้ายสุพพัตสุระจัดสร้างพลับพลาไว้คอยเสด็จเพื่อใช้เป็น
ประทับพักผ่อนเมื่อทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงเข้าไป
กราบทูลต่อท่านท้าวเธอ เพื่อเสด็จมาพักยังที่จัดสร้างต่อไป

      ส่วนทางด้านปักษินนคร ท่านท้าววิหะคะยุราชกับยุพราชวานนรินทร์ครั้น
ได้รับพระราชสาสน์แล้ว  ก็ทรงนำทัพเสด็จมาโดยพระองค์เป็นจอมทัพมอบให้
พระยุพราชวานนรินทร์เป็นแม่ทัพใหญ่นำรี้พลพหลพลไกรล่องลอยมาทางอากาศ
ผ่านมหาสมุทรสีทันดรเข้าสู่นครนาครินทนาครทางด้านทิศเหนือตามที่ตกลงไว้
กับท่านท้าวนิลกาฬ  เที่ยวเสาะหาสถานที่เพื่อจัดตั้งกำลังรี้พลทั้งหลาย 
เห็นสถานที่ดังกล่าวเต็มไปด้วยเทือกเขาอุดมไปด้วยไม้ใหญ่นานาพันธุ์ 
 ครั้นตรวจสอบแล้ว  ก็ให้เห็นสมควรที่จะไปยังเทือกเขาใหญ่
ของภูเขาติรังคะคีรีด้านบนเป็นทำเลกว้างพอที่จะจัดวางกำลังกระจายรอบๆได้
  จึงได้กล่าวกับยุพราชของพระองค์ว่า
       “นี่แน่ะ...พ่อวานนรินทร์ พ่อเองมองหาทำเลแล้วเห็นว่าภูเขาติรังคะคีรี
นี้เหมาะควรแก่การจัดตั้งค่ายต่างๆ  ลูกเห็นเป็นประการใดหรือไม่”
        “เสด็จพ่อ  ลูกก็เห็นด้วย เพียงแต่สังหรณ์สิ่งบางประการคือว่าสถานที่
นี้ทำไมถึงมีบริเวณกว้างใหญ่รายล้อมด้วยพฤกษ์ไม้ใหญ่แต่กลับไร้ซึ่งสัตว์ต่างๆ
เข้าใช้อาศัยอยู่เลย พระเจ้าค่ะ”  องค์ยุพราชทูลพระบิดา
       “ถึงอย่างไรพ่อมองผ่านภูเขามาก็หลายๆลูกแล้ว
หาได้มีที่ทำเลชัยภูมิดีไปกว่าภูเขาใหญ่นี้อีกก็หาไม่
ซึ่งความกริ่งเกรงของลูกก็ถูก แต่ไม่มีที่ใดที่จะเหมาะสมกว่านี้ได้
 อนึ่งหากเราสามารถตั้งยังที่ทำเลนี้ได้ หากมองลงไปเบื้องล่าง
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ