7 ธันวาคม 2549 19:02 น.

** ทัศยุราชันย์(สันติคืนสู่นาครินทนาคร) **

แก้วประเสริฐ


                                     บทที่  ๒๘
                            สันติคืนสู่นาครินทนาคร

ที่เรากล่าวมานี้หวังว่าท่านทั้งสองคงจะเข้าใจนะ”  องค์ท้าวทัศยุราชันย์ทรงตรัสด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม
มิได้มีพระอาการแสดงเสแสร้งแต่ประการใด  ครั้นพระยุพราชนิละกาสูรย์กับพระยุพราชอหิงสากุมาร
ทรงได้รับคำพระราชดำรัสเช่นนี้  ก็ทรงเห็นความผิดชอบชั่วดีที่เกิดขึ้น ทราบดีถึงความเป็นไปในศึกครั้งนี้
 ด้วยพระองค์ทั้งสองตลอดจนพระมารดาก็เคยทรงห้ามปรามท่านท้าวเธอไว้แล้วแต่ก็ทรงไม่สามารถทำได้
 แต่ด้วยความทะนงถือดีทิฐิของพระองค์ท้าวเธออันแรงกล้าด้วยโทสะจึงต้องถึงกลับกาลพินาศสิ้นไป
เสียหมดสิ้น   อีกทั้ง ตลอดจนเห็นพระอากัปกิริยาขององค์ท้าวเธอทรงอ่อนน้อมถ่อมตัวมิได้ถือดีใน
พระราชอำนาจว่าเป็นผู้ที่ชนะศึกในครั้งนี้ ตลอดจนก็มิเห็นพระองค์เป็นเยี่ยงนักโทษดั่งเมืองอื่นๆกระทำกัน
ก็ทรงเป็นที่พึงพอพระราชหฤทัยยิ่งนัก  จึงน้อมพระวรกายถวายบังคมทูลแด่องค์ท้าวเธอว่า
        “ขอเดชะอันที่จริงแล้วข้าพระพุทธเจ้าก็ทรงมิเห็นด้วยกับพระราชบิดานัก
 ได้เคยทูลคัดค้านแล้วจนพระองค์ไม่พึงพอพระราชหฤทัยยังคงกระทำการเช่นนี้ ตัวข้าพเจ้าถึงได้
บ่ายเบี่ยงไปในการศึกครั้งนี้แต่แรก  ได้หนีออกจากเมืองไปเมื่อเห็นว่าพระราชบิดาเสด็จไปแล้วก็ทรงเป็นห่วง
ครั้นพระองค์ทรงทราบว่าเรากลับมาแล้วก็ให้เรายกทัพมาช่วย แต่นี่จนด้วยเกล้ามิอาจจะหลีกเลี่ยงไปได้
จึงต้องจำนำทัพมาช่วยพระเจ้าข้า  หากเป็นได้ประการใด ข้าพระพุทธเจ้าจะขอนำพระศพพระราชบิดาคืน
กับไปยังเมืองกาฬคีรีนครถวายพระเพลิงตามราชประเพณีด้วยพระเจ้าข้า”  
องค์พระยุพราชนิละกาสูรย์กล่าวถวายรายงาน เพราะรู้สึกชอบในพระอัชฌาสัยในองค์ทัศยุราชันย์ยิ่งนัก
องค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงพระราชดำรัสแก่องค์ยุพราชนิละกาสูรย์ว่า
    “อันการข้อนี้ไม่เป็นปัญหาใดๆหรอกท่านองค์พระยุพราช พระศพของท่านท้าวนิลกาฬที่เราทราบมานั้น
ได้ถูกจัดไว้ในที่อันสมควรแก่ฐานะกษัตริย์ไว้เรียบร้อยแล้ว หากพระองค์จะกลับคืนไปยังกาฬคีรีนครเราก็
จะช่วยน้อมอัญเชิญพระศพจัดอย่างทำเนียมราชประเพณีส่งมอบให้แก่ท่านไม่ต้องกังวงเรื่องนี้หรอกเพียง
ขอให้ท่านเข้าใจเราและชาวนาครินทนาครเท่านั้นเราก็เป็นที่ปรารถนาพึงพอใจแล้วล่ะ และขอเชิญท่าน
เข้าพักผ่อนตามพระราชอัชฌาสัยเสียก่อนนะ”
    “ขอบพระทัยพระเจ้าข้า”  องค์ยุพราชกาละนาสูรย์ทรงน้อมพระเศียรถวายบังคมทันที
      ทางด้านพระยุพราชอหิงสากุมารก็ทรงทูลขึ้นว่า
  “ที่จริงข้าพเจ้ามิได้คิดจะเข้ามาในการครั้งนี้เพียงแต่จะเข้ามานำพระศพพระราชบิดา
และนำทหารของข้าพระองค์
กลับคืนสู่นครซ้ำยังพระราชมารดากำชับหนาว่าเมื่อมาแล้วให้รีบกลับโดยเร็วอย่ายุ่งเกี่ยวทางนี้
 แต่ด้วยเกรงใจองค์พระยุพราชนิละกาสูรย์พระสหายและท่านท้าวนิลกาฬจึงจำต้องนำทัพเข้าร่วมการศึก
ครั้งนี้พระเจ้าข้า”
       แล้วพระยุพราชทั้งสองพระองค์ต่างหันมามองพระพักตร์กันแล้วต่างก็พากันถวายทูลโดยพร้อมเพรียงกัน
        “กระหม่อมทั้งสองจะขอให้สัจจะปฏิภาณว่าหากได้กลับไปถึงยังพระนครหม่อมฉันแล้วก็จะทูลแจ้ง
เหตุผลต่างๆของทางนครนาครินทนาครถวายแก่พระราชมารดาเพื่อให้ทรงทราบทุกประการทั้งยังจะเกลี้ย
กล่อมพระมารดาให้ทราบถึงเหตุผลต่างๆนี้เกี่ยวกับทางเมืองนาครินทนาครให้ทราบมิให้ขุ่นข้องหมองใจ
 หากแม้นได้ขึ้นครองราชย์สมบัติวันใดก็จะขอเข้าร่วมเป็นพระราชไมตรีที่ดีต่อกันจวบจนสิ้นอายุขัย
ของเหล่าข้าพเจ้า  พระเจ้าข้า”
     องค์ท้าวเธอก็ทรงหันมาตรัสด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบานพระหฤทัยยิ่งนักทรงตรัสว่า
      “เราและชาวนครนาครินทนาครนี้ขอขอบใจท่านทั้งสองล่วงหน้าและก็ให้สัจจะไว้เช่นเดียวกัน
ว่าจะรักษาสัมพันธไมตรีนี้ตลอดไป      ขอท่านทั้งสองจงสบายพระทัย และทรงเข้าพักผ่อน
ตามพระอัชฌาสัยให้เป็นที่ทรงพระเกษมสำราญก่อนเถิดนะที่จะส่งเสด็จกลับ”
    พลางหันไปทางเหล่าสมกำนัลให้นำทั้งสองพระองค์ไปพักยังตำหนักรับรองต่อไป   
   พอนางสนมกำนัลนำองค์พระยุพราชทั้งสองออกไปพ้นแล้ว
 ก็ทรงหันมายิ้มแย้มกับองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาและพระยุพราชโกเมศกุมารทรงขอบพระทัย
เป็นอย่างยิ่งที่ทรงช่วยในการศึกครั้งนี้และพระองค์ทรงกล่าวกับเจ้าหญิงทั้งหลาย
ขอขอบพระทัยเป็นยิ่งนักที่ช่วยเหลือจนได้รับความสันติสุขกลับคืนมาอีกครั้ง  
 แล้วพระองค์ทรงตรัสว่า
        “นี่ดีนะที่พระยุพราชวานนรินทร์และองค์ท่านท้าวเธอวิหะคะยุราชที่ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งนัก
ทรงเข้าพระทัยถึงเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี มิฉะนั้นยังไม่ทราบเลยว่าจะเกิดความเสียหายขึ้นอีกมากน้อย
เพราะพระวิหะคะยุราชและพระยุพราชนั้นทรงหลักแหลมยิ่งนัก”  พระองค์ทรงเปรยเบาๆให้ฟังและ
ทรงตรัสขึ้นอีกว่า
      “ในเมื่อเราทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นพระสหายกันทั้งสิ้นข้าพเจ้าและเจ้าหญิง
จะขอแสดงน้ำพระทัยต้อนรับเป็นพิเศษสักคราหนึ่ง   หวังว่าท่านทั้งหลายคงไม่ปฏิเสธด้วยนะ
อีกประการหนึ่งใคร่จะกราบทูลเชิญพระบิดาของสหายเราให้มาร่วมในพระนครนี้lสักครั้ง
เพื่อจะได้เป็นเกียรติแก่ชาวนครนาครินทนาคร   ท่านทั้งหลายเห็นเป็นประการใด”  
       “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพระเจ้าข้า เพค่ะ”  
เจ้าชายและเจ้าหญิงทูลรับสนอง
       “อ้อๆๆท่านพ่อปู่ลำบากมากแล้วในการครั้งนี้  
ข้าพเจ้าขอฝากให้ท่านพ่อปู่จงช่วยแจ้งให้แก่ท่านวิษณุเดชะและท่านวีระพิชัย
ตลอดอัครเสนาบดีฝ่ายพลเรือนจงช่วยเบิกจ่ายปูนบำเหน็จแก่เหล่าทหารหาญ
ทั้งหญิงและชายในการนี้ทุกๆคนด้วยนะท่านพ่อปู่”
        “รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า”
  ท่านพ่อปู่ราชครูน้อมรับพระบัญชา แล้วเลี่ยงลุกถวายบังคมลาถดถอยออกไป
  เมื่อท่านมหาราชครูกลับไปแล้ว องค์พระยุพราชทั้งสองก็กราบทูลลาองค์ท้าวเธอ
       “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วเห็นทีกระหม่อมขอทูลลากลับด้วย พระเจ้าข้า
องค์ชายทัศยุราชันย์และองค์ชายโกเมศกุมารทูลเพื่อกลับไปยังที่ประทับเพื่อ
จัดแจงดูแลเหล่าทหารหาญทั้งหลายที่บาดเจ็บในการศึกครั้งนี้
ครั้นองค์หญิงเฌอมาลย์ทรงทอดพระเนตรเห็น ดังนั้นจึงขอทูลลาขึ้นบ้าง
        “หม่อมฉันก็เห็นจะทูลลากลับเช่นเดียวกัน เพค่ะ”
องค์หญิงเฌอมาลย์ทูลขึ้นบ้าง
          “อย่าพึ่งซิ น้องหญิงช่วยดูและเสด็จพี่ที่ได้รับบาดเจ็บก่อนนะ”
องค์หญิงดาริกาทรงขัดขึ้นทันที
            “ก็มีเสด็จพี่ทั้งสามอยู่ดูแลปรนนิบัติอยู่แล้วนี่นา”
องค์หญิงเฌอมาลย์ทรงตรัส
             “มิได้นะ  ก็น้องพี่ทรงเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรยายิ่งนัก ยิ่งกว่าหมอ
หลวงในพระราชวังนี้เสียอีก”  องค์หญิงดาริกาทรงตรัสทัดทาน
          “หม่อมฉันเพียงรู้แค่นิดๆหน่อยๆเพค่ะ” เจ้าหญิงทรงตรัส
             “นั่นซิพี่เองก็ได้ยินเรื่องราวแบบนี้เหมือนกันนะน้องหญิง”
เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงตรัสเสริมบ้าง
             “หรือว่าน้องหญิงจะคิดถึงองค์ชายสิงหะฤทธากระมังหนอ”
องค์หญิงปทุมวดีทรงเย้า พร้อมหันมาหลิ่วพระเนตรกับองค์หญิงเฌอมาลย์
ทำให้พระพักตร์องค์หญิงเฌอมาลย์แดงขึ้นทันที
             “หามิได้เพค่ะ  เสด็จพี่น้องต้องการไปดูและทหารของน้องว่าบาดเจ็บ
มากน้อยเพียงใดเพค่ะ”  องค์หญิงเฌอมาลย์ทรงแก้เขินพระองค์
             “เรื่องทหารคงไม่เท่าไหร่หรอก ส่วนที่สำคัญคงจะเป็นองค์ชายมากกว่า”
  แล้วองค์หญิงปทุมวดีก็ทรงพระสรวลดังลั่น
           “เอาล่ะๆ  พี่เองก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากนักคงจะหายดีแล้ว ยิ่งด้วยได้สาวๆ
สวยๆเช่นนี้มาช่วยดูแลด้วยแล้ว อาการก็หายเร็วผิดปกตินะ”  องค์ทัศยุราชันย์
ทรงพระดำรัสด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มเบิกบานทรงกระเซ้าขึ้นบ้าง
           “อุ้ยทรงหวานจริงๆนะเพค่ะ อย่างนี้เสด็จพี่ดาริกาถึงได้ทรงพระโกรธายิ่งนัก
ยามที่ทรงเห็นพระองค์ถูกฟาดด้วยกระบองกระเด็นสิ้นสติไป 
ถึงกลับเต้นเร่าๆกลางสนามรบทันที    อุ้ยๆๆเจ็บเพค่ะ” 
 เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงหันมากระเซ้าต้องสะดุ้งทันทีที่โดนเจ้าหญิงดาริกาทรงแอบเหน็บ
แหนบเนื้อหน้าพระเพลาเอา
             “หรือไม่จริงเพค่ะเสด็จพี่”  พลางหันมาพยักพระพักตร์หลิ่วพระเนตรยั่วเย้ามองยัง
เจ้าหญิงดาริกาแล้วทรงหันไปยิ้มกับเจ้าหญิงปทุมวดี
             “จริงหรือน้องหญิง”  องค์ทัศยุราชันย์ตรงตรัสขึ้นบ้าง
             “ไม่รู้ล่ะเสด็จพี่ น้องก็ทรงเห็นหน้าพระพักตร์ยังกับยักษ์โขมดไม่ผิดเลยเพค่ะ”
 เจ้าหญิงปทุมวดีพระองค์ทรงเสริมขึ้นทันที
              “ยายนี่อีกคนทำสงครามแบบไหนนะ กำลังรบกันแต่ไม่หันไป
มองข้าศึก ดันหันไปดูบนฟากฟ้าดีนะไม่ถูกข้าศึกฟันตายก็ดีถมไปแล้ว
มิฉะนั้น ฮึๆๆๆ”  องค์หญิงดาริกาหันมาแซ่วพระองค์หญิงปทุมวดีบ้าง
      เอาล่ะๆๆเป็นอันว่าอยู่กันทั้งสี่คนก็แล้วกันนะแล้วเสวยพระกระยาหารร่วมด้วยกัน 
นี่ก็เกือบเย็นแล้วพระองค์ท้าวทัศยุราชันย์ทรงตัดบท
        “เดี๋ยวพี่จะไปสรงสักหน่อยเหนียวตัวแย่อยู่แล้ว น้องหญิงทั้งหมดอยู่
ก่อนนะเดี๋ยวจะออกมาสนทนาด้วย” แล้วพระองค์ก็เสด็จไปข้างในทันที
  เจ้าหญิงทั้งสี่พระองค์ก็ทรงเย้าแหย่หยอกล้อกันด้วยความสนุกสนานรื่นเริง
ลืมถึงเรื่องการศึกสงครามเสียสิ้น  พระองค์ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆของ
พระองค์แลกเปลี่ยนกันฟัง จวบจนองค์ทัศยุราชันย์เสด็จเข้ามาร่วมสนทนาด้วย
เมื่อทรงประทับเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ทรงหันมาเอ่ยกลับเจ้าหญิงมณีกานต์ทันที
         “น้องหญิงมณีกานต์และน้องหญิงปทุมวดี เมื่อเจ้ามาแล้วพี่ก็จะมิให้น้อง
ทั้งสองกลับยังพระนครรัตนาขอให้อยู่กับพี่ที่นี่อย่าได้ไปไหน ส่วนทางเมือง
รัตนานครนั้นพี่เองทรงใคร่ครวญดีแล้ว ควรที่จะมอบหมายให้พระอนุชาของ
เสด็จพ่อของน้องหญิงทั้งสองทรงขึ้นปกครองอาณาประชาราษฎร์ต่อไป
ส่วนทหารหญิงชายที่ติดตามมานี้ พี่อยากจะใคร่ขอไว้รับใช้ทางนี้กับน้องหญิง
เสียที่นี้เลย  หวังว่าน้องหญิงทั้งสองคงจะเห็นดีกับพี่ด้วยนะน้อง”
       องค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสด้วยพระพักตร์เศร้าสร้อยมาทางองค์หญิงทั้งสอง
         “พี่เองก็เห็นด้วยกับเสด็จพี่ด้วยล่ะน้องหญิงจงตัดสินพระทัยเถิดนะ”
องค์หญิงดาริกาก็ทรงเอ่ยตรัสขึ้นบ้าง
         “หากน้องหญิงยังคิดถึงเมือง  พี่และน้องหญิงดาริกาก็จะร่วมเดินทางไป
เยี่ยมเยียนด้วยกันทั้งสี่นี่แหละ”   ท่านท้าวทัศยุราชันย์พระองค์ทรงตรัสเสริม
        ทางด้านเจ้าหญิงมณีกานต์ทรงหันพระพักตร์มาทางเจ้าหญิงปทุมวดีเพื่อ
จะทรงขอความเห็นชอบด้วย  ครั้นเห็นองค์เจ้าหญิงปทุมวดีทรงพยักพระพักตร์
แสดงถึงการเห็นคล้อยตามกับพระราชสวามีก็ทรงพระทัยอ่อนตามใจองค์
ทัศยุราชันย์พลางเอ่ยพระโอษฐ์ขึ้นว่า
        “หากแม้นวันใดพระองค์ทรงรังเกียจหม่อมฉันเมื่อใด ก็จะขอทูลลากลับ
เมืองของหม่อมฉันพร้อมกับน้องโดยมิบอกกล่าวด้วยนะ เพค่ะ” 
				
7 ธันวาคม 2549 09:52 น.

** ทัศยุราชันย์(อวสานจอมอสูร) **

แก้วประเสริฐ


                                                  บทที่  ๒๗
                                              อวสานจอมอสูร

บรรดาทหารเหล่าอสูรต่างๆก็ถึงกับมิมีอันทำการสู้รบมัวพะวงต่อสัตว์เหล่านี้บ้างก็วิ่งหนีจาระหวั่น
 บ้างก็ต้องสังเวยชีวิตไปกับพิษภัยอันร้ายกาจของเหล็กในของตัวต่อแตนยักษ์อีกพิษต่างๆ
ของบรรดาเหล่าอสรพิษและของเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลาย ภายในบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยฝูงสัตว์ทั้งหลาย
ที่พากันเข้ารุมช่วยทางด้านทหารของเมืองนาครินทนาครต่อสู้กับเหล่ายักษ์ อสูรเป็นพัลวันมิย่อท้อ
บ้างก็ตกตายไป ส่วนที่อยู่ก็พุ่งเข้าหามิได้เกรงกลัวความตายกัน จนถึงกับทำให้เหล่าอสูร ยักษ์ทั้งหลาย
พากันแตกตื่นตกใจเสียขบวนทัพ ส่วนบนฟากฟ้าก็เต็มไปด้วยอาวุธวิเศษนานานัปการเข้าต่อสู้กันและกัน 
ทั้งเหล่าฝูงต่อแตนทั้งลายคาดเหลืองและตัวเหลืองดั่งทองและสัตว์มีปีกต่างๆก็พากันมาช่วยเข้ามา
ร่วมรบทั้งทาง ฟากฟ้าและบนดิน บรรดาท้องฟ้าเดี๋ยวก็มืดครึ้มเดี๋ยวก็สว่างบ้างก็ขมุกขมัวมืดฟ้ามัวดิน
สลับกันไปทั่ว   ระงมไปด้วยเสียงร้องก้องด้วยความเจ็บปวดจากอาวุธและพิษร้ายของสัตว์ร้ายเหล่านี้
          ท้าวเธอนิลกาฬเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ก็ทรงกริ้วพิโรธยิ่งนักตวาดด้วยพระสุระเสียงดังกึกก้อง
 สองพระเนตรแดงกร่ำกระทืบพระบาทดังสนั่นได้ยินดังไปทั่ว   พระหัตถ์ขวากุมกระบองสีดำเหล็ก
ไหลละเลื่อมเป็นเงาประกาย   พระหัตถ์ซ้ายทรงสะบัดผ้าแพรไหมสีดำไปทางใดก็เกิดไฟประลัยกัลป์
เข้าเผาผลาญทหารทั้งหลายและบรรดาสัตว์ต่างๆล้มตายหล่นเกลื่อนทั่วบริเวณส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง
       ท้าวทัศยุราชันย์เห็นดังนี้ก็ทรงร่ายพระเวทย์โยนจักรเพชร ตรีเพชร บ่วงบาศนาคราช  พระหัตถ์ทั้งสอง
ก็ทรงแกว่งไกวดาบและตรีเพชรเข้าฟาดฟันทหารแตกกระจาย รุกเข้าไปจนถึงหน้าพระราชรถขององค์
ท่านท้าวนิลกาฬ   ต่างก็เข้ารบพุ่งตีฟาดฟันรบพุ่ง  ท่านท้าวเธอก็ทรงหวดด้วยกระบองเหล็กไหล
เข้าใส่ดาบทันที เกิดประกายไฟแลบเสียงดังสนั่นกึกก้องปานแผ่นดินจะถล่มทลาย   ครั้นได้จังหวะ
ท่านท้าวองค์ทัศยุราชันย์ก็ฟันด้วยดาบไปยังพระอุระของท้าวนิลกาฬขาดเป็นสองท่อน แต่พอดาบผ่านพ้น
ไปร่างท่านท้าวนิลกาฬก็คืนกลับเข้าประสานสู่สภาพดังเดิม  ทรงพระสรวลดังลั่นพลันพระองค์ก็ทรงหวด
ท่านท้าวทัศยุราชันย์ด้วยกระบองเหล็กไหลสีดำไปยังร่างของท้าวทัศยุราชันย์บ้างทำให้ร่างท้าวทัศยุราชันย์
ปลิวกระเด็นลอยไปในอากาศทันที  เจ้าหญิงทั้งหลายต่างหวีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกพระหฤทัย
กันเซ็งแซ่ไปหมดต่างแหงนมองดูร่างขององค์ทัศยุราชันย์ลอยละลิ่วไปบนท้องฟ้า  เจ้าหญิงมณีกานต์
ก็ทรงพระพิโรธยิ่งนักพลางสลัดทิ้งราชพาหนะพระยาราชสีห์รีบทะยานเหาะขึ้นไปรับร่างองค์ทัศยุราชันย์ 
ที่ทรงสิ้นพระสติสมประดีไปไปทันที   ก่อนที่ร่างนั้นจะล่วงหล่นมายังพื้นดินก็ทรงไขว่คว้าไว้ได้รีบเหาะ
นำร่างขององค์ทัศยุราชันย์เข้าไปยังในเมืองนาครินทนาครทันที
         เจ้าหญิงดาริกาทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็ทรงพระพิโรธจนลืมพระองค์พุ่งทะยานด้วยความโกรธ
พุ่งเข้าหาท้าวนิลกาฬ   พระองค์ทรงฟาดร่างของท้าวนิลกาฬที่กำลังทรงพระสรวลสำราญลั่นด้วยความดี
พระราชหฤทัยดังสนั่นไปทั่วโดยมิได้ทันคิดจะปกป้องร่างกายพระองค์ด้วยทรงเชื่อมั่นในฤทธิ์ที่มีอยู่นั้น
ก็เลยถูกเจ้าหญิงดาริกาทรงตีเข้าด้วยด้ามตรีศูลที่ได้รับพระราชทานจากพระแม่เจ้าอุมาเทวีแห่งจอมเขา
ไกรลาสไว้เป็นศาสตราอาวุธประจำพระองค์ซ้ำยังถูกแทงด้วยงาช้างขององค์พระพิฆเนศวรเจ้าที่ทรวงอุระ
ปักคามิอาจจะทรงถอนออกมาได้ติดแน่นพระวรกายเลือดไหลซึมตลอดเวลา  หงายหลังพลัดตกจาก
พระราชรถด้วยความเผลอของพระองค์ทันที  เมื่อพระองค์เห็นผู้ที่ลอบทำร้ายพระองค์นั้นเป็นอิสตรีเช่นนี้
 ทำให้พระองค์ทรงหวนรำลึกถึงคำตรัสขององค์พระศิวะมหาเทพแห่งเขาไกรลาสที่ประทานพรให้ไว้
แก่พระองค์ ก็ยิ่งทรงแตกตื่นตกพระทัยเป็นยิ่งนัก   รีบทะยานกายหมายคิดจะหลบหนีจากเจ้าหญิงดาริกา
       แต่ด้วยความแค้นเคืองอย่างที่หาที่สุดมิได้ของเจ้าหญิงดาริกาทรงรีบพุ่งพระคทาตรีศูลเข้ายังเบื้องหลัง
ของท้าวนิกาฬทันที   คมของตรีศูลก็เข้าเสียบทะลุออกยังเบื้องหน้าพระอุระ พระโลหิตท่านท้าวนิลกาฬ
ก็หลั่งสาดชโลมไปทั่วบริเวณพื้นแผ่นดินร่างพระองค์คว่ำพระพักตร์ถูกตรีศูลปักกับพื้นแผ่นดินทันที
    หากเป็นการก่อนมิใช่อิสตรีแล้วไซร้ร่างนั้นก็จะคงทนต่อศาสตราอาวุธทั้งปวงหากขาดออกจากกัน
หรือเป็นบาดแผลใดๆก็จะคืนกลับสู่สภาพดังเดิมทันทีเร็วพลัน   แต่บัดนี้ร่างของจอมอสูรหาได้เป็น
เช่นเก่าก่อนแต่ใดไม่ ร่างพระองค์จึงค่อยๆดึงพระวรกายทั้งๆที่คมของตรีศูลยังปักคาพระอุระรีบหันกลับ
มาทอดพระเนตรเจ้าหญิงดาริกาด้วยพระอาการเหม่อลอย    พระเนตรทั้งสองเบิ่งโปนเส้นพระโลหิต
บนพระพักตร์เขียวคล้ำแสดงความหวาดวิตกตระหนกยิ่ง  คล้ายคิดจะทรงตรัสแต่มิมีเสียงดังออกมา
   ร่างของพระองค์ค่อยๆทรุดลงกับพื้นสองพระเนตรค้างสิ้นพระทัยลงไปในทันที  ส่วนบรรดานายทัพ
นายกองทั้งหลายที่ต่างเฝ้าคุ้มครองต่างตื่นตระหนกพากันส่งเสียงร้องระงมไปทั่วบริเวณส่งเสียงดังว่า
องค์ท่านท้าวเธอนิลกาฬได้สิ้นพระชนม์ชีพแล้ว  เหล่าบรรดาทหารทั้งปวงที่ได้ยินเช่นนั้นหันมามองดูแล้ว
ต่างก็รีบหนีไปจากบริเวณสนามรบทันที  แต่ก็หาได้หลุดพ้นไปจากการตามไล่ล่าของบรรดาเหล่าฝูง
สัตว์ต่างๆที่เที่ยวไล่ตามทำร้ายแทบจะมิเหลือกลับคืนไป
           ทางด้านองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาที่เข้าต่อสู้กับพระยุพราชอหิงสากุมารทั้งสองพระองค์ต่าง
เข้าโรมรันมิมีผู้ใดแพ้ชนะแก่กันด้วยมีฝีมือทัดเทียมกัน   ด้านองค์พระยุพราชโกเมศกุมารกับพระยุพราช
นิละกาสูรย์ก็ต่างต่อสู้ยากจะหาผู้ใดแพ้ชนะได้   บรรดาไพร่พลต่างก็ล้มตายกันไป  จนเหลือน้อยเต็มที
เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นทางด้านเจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเฌอมาลย์ต่างนำทหารเข้ามาช่วยรบกับ
พระยุพราชสิงหะฤทธาและพระยุพราชโกเมศกุมารอีกแรงหนึ่งโดยแยกกันเข้าไปช่วย
ทางองค์หญิงเฌอมาลย์เข้าไปช่วยรบทางด้านยุพราชสิงหะฤทธา   เจ้าหญิงปทุมวดีเข้าไปช่วยทางด้าน
พระยุพราชโกเมศกุมาร เมื่อเพิ่มขึ้นเป็นสองต่อหนึ่งต่างก็ประลองฤทธิ์ด้วยอาวุธวิเศษทั้งหลาย
ต่างมีฤทธิ์เดชแตกต่างกันเข้าหักล้างซึ่งกันและกัน ยังหาผู้ใดแพ้ชนะกันไม่ จนกระทั่งทางพระยุพราช
นิละกาสูรย์กับพระยุพราชอหิงสากุมารก็เสียที ล้มลงก็เลยถูกเจ้าหญิงทั้งสองจับกุมตัวได้ทั้งสองพระองค์
ด้วยกำไลแก้วของเจ้าหญิงปทุมวดีเข้ามัดร่างขององค์พระยุพราชนิละกาสูรย์และยุพราชอหิงสากุมารแน่น
มิอาจขยับตัวไปได้อาวุธของพระองค์ทั้งสองก็ล่วงหลุดจากพระหัตถ์ ถูกเจ้าหญิงเฌอมาลย์เข้าเก็บไว้ได้
       เมื่อเหล่าทหารทั้งหลายเห็นพระยุพราชทั้งสองถูกจับกุมในการต่อสู้ครั้งนี้และท่านท้าวนิลกาฬสิ้น
พระชนม์ไปแล้ว  เหล่าทหารทั้งหลายก็ต่างแตกกระเจิงพาหนีกันอลหม่าน บ้างถูกจับกุมตัวได้บ้างหนี
หายเข้าป่าทางภูเขาต่อไป   บ้างเหาะตะเริดเปิดเปิงหนีหายคนละทิศละทางเพื่อหาทางกลับไป
ยังพระนครของตน  พากันทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์เกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณรวมทั้งพาหนะตลอดจนเครื่อง
ใช้ในการศึกต่างๆนานาเป็นจำนวนมากมาย
           ครั้นเจ้าหญิงดาริกาครั้นเห็นองค์ท้าวนิลกาฬทรุดสิ้นพระชนม์ไปก็รีบไปตรวจสอบให้แน่พระทัย
เมื่อเห็นองค์ท่านท้าวนิลกาฬสิ้นพระชนม์   ก็ทรงเหาะทะยานไปหาองค์หญิงมณีกานต์ทันที  
ต่างช่วยกันรีบนำองค์ทัศยุราชันย์กลับเข้าสู่ยังนครนาครินทนาครเพื่อรักษาพระอาการ 
  ท่านมหาราชครูรีบเข้ามารับร่างขององค์ท้าวทัศยุราชันย์และรีบนำเอาน้ำอำมฤตศักดิ์สิทธิ์กรอกใส่
ทางพระโอษฐ์ ส่วนเจ้าหญิงทั้งสองก็ทรงนวดพระวรกาย  พอเวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่องค์ทัศยุราชันย์
ก็ทรงผายพระอัสสาสะและพระปัสสาสะจากช้าๆค่อยเร็วๆขึ้นตามลำดับ แล้วพระองค์ก็ทรงลืมพระเนตร
พร้อมกุมพระปรัศว์ครวญครางเบาๆ ทรงพยายามจะลุกขึ้น แต่เจ้าหญิงทั้งสองได้กดพระวรกายไว้
ให้พระองค์ทรงพักพระวรกายนิ่งๆ  เมื่อเป็นดั่งฉะนี้แล้ว พระองค์ทรงตรัสว่า
        “ น้องหญิงพี่โดนกระบองท่านท้าวนิลกาฬฟาดนึกว่าพี่จะสิ้นพระชนม์เสียแล้ว”
  เจ้าหญิงทั้งสองทูลเกือบพร้อมกันว่า
         “ยังเพคะขอพระองค์ทรงพักพระวรกายก่อนเถิดแล้วจะทูลให้ฟังในภายหลัง”
  ครั้นพระองค์ทรงพักผ่อนพระวรกายจนหายดีแล้วจึงทรงลุกขึ้นพลางทรงพระดำรัสถาม
         “การศึกเป็นอย่างไรบ้างน้องหญิง พี่เองไม่ค่อยสบายใจนัก”
         “การศึกสิ้นสุดแล้วเพค่ะ  ท่านท้าวนิลกาฬทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนองค์พระยุพราชทั้งสอง
ก็ถูกจับกุมไว้ด้วยแล้วเพค่ะ”  องค์หญิงดาริกาทูล
         “ถ้าเป็นอย่างนี้ขอเราพบหน่อยได้ไหมน้องหญิง”  องค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัส
          “อย่าพึ่งเลยเพค่ะ ขอให้ฝ่าบาททรงดีกว่านี้สักหน่อย”  เจ้าหญิงตรัส
ครั้นเวลาผ่านเลยไปได้พอยาวนานเห็นว่าพระอาการดีขึ้นมากแล้วจึงทรงตรัสขึ้นว่า
          “ไม่หรอกน้องหญิงพี่หายดีแล้วเพียงแต่ยังขัดอยู่บ้างนะ” ทรงตัดด้วยความ
เป็นห่วงเป็นใยของเจ้าหญิง    ทรงพยายามทรงลุกยืนพระวรกายขึ้นสาวพระบาทไปๆมาๆ
ให้ทอดพระเนตรแก่เจ้าหญิงทั้งสองดูว่าทรงไม่เป็นอะไรมากแล้ว  
          พระองค์ก็ทรงเดินมาขึ้นนั่งประทับพลางกวาดพระเนตรไปทั่วบริเวณทันที
ก็ทอดพระเนตรเห็นเจ้าหญิงดาริกา เจ้าหญิงมณีกานต์ถัดไปเป็นเจ้าหญิงปทุมวดี
และเจ้าหญิงเฌอมาลย์ตลอดจนพระยุพราชสิงหะฤทธาและพระยุพราชโกเมศกุมาร
ตลอดท่านพ่อปู่ราชครูกำลังทยอยเข้ามาแล้วเข้านั่งเฝ้าล้อมรอบพระองค์อยู่ ทรงเห็น
ทุกๆพระองค์ต่างมีสีหน้าซึ่งทรงแสดงเป็นห่วงเป็นใย  ก็ทรงพระสรวลเบาๆทรงไต่ถาม
ถึงเหตุการณ์ต่างๆในการศึกครั้งนี้   ซึ่งต่างก็รายงานทูลถวาย หลังจากที่พระองค์ถูกกระบองเหล็ก
ไหลสีดำตีเข้าข้างพระวรกายลอยกระเด็นไปยังบนฟากฟ้า เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงขึ้นไปรับ
และเจ้าหญิงดาริกาทรงสังหารองค์ท้าวนิลกาฬจนสิ้นพระชนม์ชีพด้วยคทาตรีศูลและแทงด้วยงาช้าง
ของพระแม่เจ้าอุมาเทวีกับองค์พระพิฆเนศวรเจ้าจนถึงกับสิ้นพระชนม์ไปในกลางสนามรบครั้งนี้
ส่วนเจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเฌอมาลย์ต่างเข้าช่วยพระยุพราชทั้งสองจนสามารถจับกุมพระยุพราช
แห่งอหิงสากะนครและนิลกาฬนครได้ และนำพระองค์มามอบให้มหาราชครูรักษาจนฟื้นพระองค์ 
 ส่วนเหล่าทหารทั้งหลายของเมืองต่างๆต่างก็ได้หลบหนีไปสิ้น ทั้งยังถูกพวกพยัคฆาลายพาดกลอน
และฝูงต่อแตนเหล่าอสรพิษต่างๆติดตามเข้ารุมทำร้ายไป หายไปจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนทหารหญิงชาย
ที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีนั้นหาได้มีผู้ใดเสียชีวิตแต่ประการใดไม่ นอกจากเหล่าทหารที่ไม่ได้รับ
การฝึกฝนเท่านั้น แต่บัดนี้ได้กลับฟื้นคืนชีวิตได้ทั้งหมดแล้วด้วยอำนาจของน้ำอำมฤตศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่า
ทหารทั้งหลายได้ดื่มกินไว้ก่อน พอสิ้นชีวิตไปก็ไปบังเกิดขึ้นในธารอันศักดิ์สิทธิ์กลับเข้ามาทำการหมด
แล้ว บัดนี้นครนาครินทนาครได้กลับคืนเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ จะมีก็เหล่าทหารที่ยังคงเข้าไปเก็บกวาด
รักษาพื้นที่ให้ได้รับความสะอาดดุจดังเดิมเท่านั้น 
  เมื่อองค์ทัศยุราชันย์รับทราบแล้วก็ขอร้องให้ช่วยไปนำยุพราชทั้งสองที่จับกุมได้มาเฝ้าทันทียังแท่น
ที่ประทับรักษาพระองค์  เมื่อมีการทูลทัดทานแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะองค์ทัศยุราชันย์ไม่ทรงยินยอมด้วย
จึงต้องตามพระราชหฤทัย ใช้ทหารชายหญิงไปที่ยังควบคุมตัวพระยุพราชทั้งสองเพื่อนำเข้าเฝ้า
           ครั้นนำตัวพระยุพราชนิละกาสูรย์และอหิงสากุมารมาถึง องค์ท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงเข้าไป
แก้มัดแก่องค์ยุพราชทั้งสองทันทีด้วยพระองค์เอง   พร้อมพระองค์ทรงตรัสเชิญทั้งสองพระองค์
ให้เข้าประทับยังที่สมควร  แล้วทรงกล่าวขอโทษต่อองค์ยุพราชทั้งสองถึงเหตุการณ์ที่ไม่สมควรทำ
แก่องค์ยุพราชทั้งสอง ท่ามกลางความงุนงงสงสัยแก่ทั้งหลาย ตลอดจนสร้างความมึนงง
ต่อองค์ยุพราชทั้งสองเป็นยิ่งนักไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีนี้เกิดขึ้น เพราะพระองค์ทั้งสองก็เป็น
นักโทษไปแล้วย่อมจะทำการอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่แบบนี้แก่พระองค์    แล้วองค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงตรัสว่า
       “ท่านทั้งสองหาใช่เป็นความผิดแก่ท่านประการใดไม่  สาเหตุที่เป็นไปเช่นนี้ก็ด้วยเพราะความ
อยากเต็มไปด้วยตัณหาและความโลภหวังในสิ่งที่ไม่สมควรจะพึงมีซึ่งขัดต่อพระบัญชาสวรรค์เบื้องบน
 การที่เราอยู่ที่นี่ก็มิได้เคยคิดที่จะเป็นศัตรูแก่เหล่านครใดๆเลย  ทางเราเพียงแค่ถือปฏิบัติต่อบัญชาเบื้องบน
เท่านั้นเพื่อรักษาน้ำอำมฤตไว้ให้แก่เหล่ามหาเทพทั้งหลายใช้ในเมื่อเกิดความจำเป็นในกาลภาคหน้า
ที่พระองค์จะประสงค์นั้น   หากมิใช่พระบิดาของท่านยุพราชนิละกาสูรย์มิหลงผิดก็คงจะไม่มี
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เราเองก็เสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องจำเป็นเข้าต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งนี้ไว้   
 ตลอดจนท่านท้าวสุพพัตสุระนั้นมีความเข้าใจผิดต่อกัน  หากต่างคนต่างที่จะอยู่อย่างสันติต่อไป
ไม่รุกรานซึ่งกันและกันและหวังในสิ่งที่ไม่สมควรจะได้เช่นนี้แล้วก็คงไม่ทำให้เหล่าประชาอาณาเขต
พากันเดือดร้อนไปตามๆกัน หวังว่าพระยุพราชทั้งสองเข้าใจ  ขอพระองค์คงจะไตร่ตรองถึงเหตุผลต่างๆ
อย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วย  เราเองนั้นมิได้คิดว่าทุกๆคนจะเป็นศัตรูแก่กันทั้งสิ้นเพียงแต่ต้องปฏิบัติอย่างมิมี
ทางที่จะหลีกเลี่ยงได้  จึงขอพระยุพราชทั้งสองพระองค์อย่าได้มีความขุ่นข้องหมองใจแก่เราและเหล่าประชา
ชาวนาครินทนาครแต่ประการใดเลย   การสูญเสียครั้งนี้เราเองก็รู้สึกเสียใจและต้องขอโทษท่านทั้งสองด้วย
				
6 ธันวาคม 2549 12:47 น.

** ทัศยุราชันย์(ศึกมหาเทพศาสตราอาวุธ) **

แก้วประเสริฐ


                                             บทที่  ๒๖
                                   ศึกมหาเทพศาสตราอาวุธ

เป็นทางการอีกครั้งหนึ่งด้วย    องค์พระยุพราชก็ทรงน้อมพระวรกายถวายความเคารพแล้ว
นำเหล่าทหารกลับสู่ยังฐานทัพแจ้งรายละเอียดให้เสด็จพ่อทราบทุกประการ ท่านท้าวเธอก็ทรง
พระสรวลบอกให้ทุกๆคนเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองปักษินนคร  เมื่อพร้อมเสร็จทุกๆสิ่งทุกอย่าง
องค์ท้าวเธอพร้อมพระยุพราชก็นำเหล่าทหารทั้งหมดออกเดินทางกลับสู่ยังปักษินนครทันที
          ทางฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬเมื่อรับแจ้งว่าทหารว่ากองทัพที่ยกไปตีที่อาศัยของยุพราชทั้งสอง
ประสบความแตกพ่ายยับเยินก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก ที่เหตุการณ์ที่ทรงวางไว้ได้กลับตาลปัดโดยสิ้นเชิง
  ครั้นจะถอยทหารกลับก็ให้ละอายใจเป็นยิ่งนัก จึงได้จัดรวบรวมทหารและเมืองต่างๆที่หลงเหลืออยู่
วางกำลังทัพใหม่เพื่อเข้าโจมตีนครนาครินทนาครทันที   เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทางกองทัพปักษินนคร
ยกกองทัพล่าถอยกลับเมืองแล้วมิได้เข้าช่วยรบพุ่งกันอีกก็ทรงพระพิโรธโกรธายิ่งขึ้น  และยิ่งได้รับทราบว่า
ทางเมืองอหิงสากะนครก็ถึงกาลพินาศในการศึกครั้งนี้แม้แต่องค์ท้าวสุพพัตสุระก็ถึงกาลตักษัยในสนามรบ
ทำให้เสียกำลังพระทัยเป็นยิ่งนัก  แต่ด้วยทิฐิมานะที่ไม่ยินยอมผู้ใดก็มิได้ถอยให้แก่การศึกในครั้งนี้
โดยเด็ดขาด   พระองค์ทรงสั่งให้ถอยทัพกลับไปที่มั่นก่อน  แล้วตรัสเรียก สหัสสะขันธ์แม่ทัพใหญ่
เข้าปรึกษาข้อราชการ วางกำหนดแผนการขึ้นใหม่ ด้วยขาดพันธมิตรที่จะทำการช่วยเหลืออีกต่อไป
พระองค์ทรงให้ตราพระราชสาสน์ไปยังเมืองอหิงสากะนครแจ้งข่าวการสิ้นพระชนม์ของท่านท้าว
สุพพัตสุระแก่ยุพราชอหิงสากุมารและพระมเหสีอชิรเทวีให้ทรงทราบพร้อมทั้งขอกำลังสนับสนุน 
 และพระองค์ให้แจ้งไปยังเมืองเมื่อทราบว่าองค์พระยุพราชเสด็จกลับมาแล้ว  พระองค์จึงมีรับสั่งให้
องค์พระยุพราชนิละกาสูรย์กรีฑาทัพมาช่วยเหลือโดยเร็วพระองค์จะรอทัพยังบนยอดเขาคิฎชคีรี 
 หากได้กองทัพครบเมื่อไหร่ก็จะเข้ายึดเมืองนาครินทนาคร     เมื่อสหัสสะขันธ์ทรงรับพระบัญชาแล้ว
ก็จัดส่งพระราชสาสน์ให้ม้าเร็วเหาะไปยังเมืองทั้งสองทันที  เพื่อแจ้งข่าวแก่ท่านพระยุพราชทั้งสองเมือง   
           ครั้นกาลเวลาผ่านไปสองวันบรรดาทัพของอหิงสากะนครซึ่งนำโดยพระยุพราชอหิงสากุมาร
และยุพราชนิละกาสูรย์ยกทัพมาถึงพระองค์ก็ทรงวางแผนศึกครั้งนี้  โดยให้สหัสสะขันธ์อสุรเป็นทัพหน้า
เข้าจู่โจมเป็นรูปสามเหลี่ยมพุ่งเข้าประตูเมืองนาครินทนาคร   ส่วนทางยุพราชอหิงสากุมารเป็นทัพปีกขวา
และทางด้านยุพราชนิละกาสูรย์เป็นทัพปีกซ้าย พระองค์เองเป็นทัพหลวงตรงกลางพุ่งทะลวงเข้าโจมตี
กำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือทันทีในลักษณะรูปปลายธนู   ครั้นได้เวลาเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้นก็ยาตราทัพทันที
           ส่วนทางด้านยุพราชสิงหะฤทธา พระยุพราชโกเมศกุมารซึ่งนำโดยเจ้าหญิงเฌอมาลย์ก็นำทัพทั้งหมด
เข้าสู่ยังเมืองนาครินทนาครโดยมีท่านมหาราชครูเป็นผู้เปิดทางเข้า ให้แก่ทัพทั้งสาม  ครั้นเขาพัก
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว    ท่านมหาราชครูก็ทรงวางแผนการรบครั้งนี้ พลางแจ้งแก่องค์ทัศยุราชันย์
และเหล่ายุพราชเจ้าหญิงทั้งหลายว่า
       “มหาราช เราได้ตรวจดูดวงดาวของทางฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬแล้วดาวประจำองค์นิลกาฬนี้
ช่างมัวหมองเสียยิ่งนัก เห็นทีว่าการศึกครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเป็นแน่แท้พระเจ้าข้า”
        “ถึงแม้ว่าจะมีดาวเสริมพระราศีแต่ก็เปล่งประกายผ่องใสมิได้เข้าเสริมแก่ดวงชะตาของท้าวนิลกาฬ
แต่ประการใดไม่ เพียงแค่เปล่งประกายอยู่ห่างๆเท่านั้นเองพระเจ้าข้า”
ท่านมหาราชครูถวายรายงานเสริมต่อ
        “แล้วเราจะวางทัพในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างไรล่ะท่านพ่อปู่ราชครู”
      องค์ราชันย์ทรงดำรัส  พลางหันไปทางองค์พระยุพราชทั้งสองเพื่อร่วมทรงปรึกษาในการรบครั้งนี้
        “ท่านพระยุพราชมีความเห็นประการใดบ้าง   ขอได้โปรดแจ้งให้แก่ข้าพเจ้าด้วย”
        “อนึ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหญิงปทุมวดีว่าทางทหารสอดแนมที่ส่งออกไปนั้นกลับมารายงานว่า
 ท่านองค์ท้าวเธอระดมกำลังครั้งนี้อย่างสุดกำลังมาทั้งเมืองโดยท้าวเธอเองจะเป็นทัพกลางสหัสสะขันธ์เป็นทัพหน้า ส่วนองค์ยุพราชในพระองค์จะเป็นแม่ทัพทางปีกซ้าย ส่วนท่านยุพราชอหิงสากุมารจะเป็น
แม่ทัพคุมปีกขวาจะเข้าโจมตีเราในราตรีกาลพรุ่งนี้นะ” องค์ทัศยุราชันย์ทรงดำรัสขึ้นมา
       “หากเป็นดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะขอรับศึกทางปีกขวาพระเจ้าข้า”  ยุพราชสิงหะฤทธาทรงตรัส
        “ข้าพเจ้าก็ขอรับหน้าที่ทำศึกทางด้านปีกซ้ายพระเจ้าข้า”   ยุพราชโกเมศกุมารทรงตรัสขึ้นบ้าง
        “เมื่อท่านยุพราชทั้งสองเห็นชอบด้วยประการนี้ ข้าพเจ้ายินดียิ่งและจะขอทำศึกกับทัพหน้าเอง 
 ส่วนเจ้าหญิงทั้งสี่คงมีหน้าที่จัดการกับทัพหลวงของท่านท้าวเธอและเหล่าทหารของท่านท้าวเธอ
ซึ่งเป็นทัพกลางด้วยท่านท้าวเธอนั้นมิมีใครที่จะเข้าทำร้ายได้ นอกจากอิสตรีเท่านั้นจึงเหมาะแก่การนี้
ส่วนข้าพเจ้านั้นจะนำทัพเข้าสนับสนุนทางด้านพระองค์หญิงทั้งสี่ เพื่อมิให้เกิดการผิดพลาดขึ้นได้
การเข้าทำร้ายแก่องค์ท่านท้าวนิลกาฬขอให้เป็นหน้าที่ขององค์หญิงทั้งสี่และเหล่าทหารหญิงทั้งหมด
 ท่านพ่อปู่ราชครูและองค์ยุพราช เจ้าหญิงจะเห็นเป็นประการใดเล่า” 
       องค์ทัศยุราชันย์ทรงดำรัสพลางหันมาถาม
    “เหมาะด้วยประการทั้งปวงแล้ว พระเจ้าข้า” ท่านมหาราชครูเสริมขึ้น
    “ พระหม่อมก็เห็นชอบทุกประการด้วยพระเจ้าข้า เพค่ะ”  เจ้าชายและเจ้าหญิงทรงตรัสพร้อมเพรียงกัน
     “หากมิมีผู้ใดเห็นไปมากกว่านี้อีก เป็นอันว่าแผนการนี้พวกเราตกลงจะทำตาม ข้าพเจ้าขอเชิญทุกๆท่าน
จงตระเตรียมวางกำลังพลเพื่อจะเข้าสู้รบในวันพรุ่งนี้จะได้มิมีการติดขัดแต่ประการใดหรือว่าเรามา
หาความผ่อนคลายอารมณ์กันสักประเดี๋ยวหนึ่งก็จะเป็นการดี ทำให้สมองเราปลอดโปร่งคิดอะไร
จะได้แจ่มใสดีขึ้นกว่าการหมกมุ่นเกินไป”
         ทรงตรัสแล้วพระองค์ก็เข้าไปจูงพระหัตถ์เจ้าชายทั้งสองเดินเคียงคู่กันออกไปยังสวนอุทยาน
ภายในพระตำหนัก ทำให้เจ้าชายต่างเมืองทรงปลาบปลื้มพระหฤทัยแก่องค์พระยุพราชทั้งสองยิ่งนัก 
ซึ่งทรงมิได้ถือพระองค์แต่ประการใด
     ครั้นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นต่างก็ทรงนำทัพของตนออกจากประตูเมืองเข้าสู่สมรภูมิทันที  ต่างพระองค์ทรง
แยกย้ายกันไปตั้งรับศึกตามที่ได้วางแผนกันไว้แต่แรกแล้วต่างแยกออกเข้ารับศึกทันที    
     ฝ่ายสหัสสะขันธ์ซึ่งนำทัพหน้าด้วยไพร่พลมหาศาลกรีฑาทัพมาถึงกำแพงเมือง  ฝ่ายเมืองนาครินทนาคร
ก็จัดทหารออกมายังนอกกำแพงเพื่อรับศึกในครั้งนี้แล้วด้วยเหมือนกัน  เมื่อทั้งสองทัพเผชิญหน้าต่อกันต่าง 
รีบสั่งแก่ทหารตนรีบเข้าโจมตีทันที   องค์ทัศยุราชันย์ที่ทรงประทับบนจักรเพชรที่หมุนลอยละล่อง
นำเข้าสู่ทางทัพหน้าเมืองกาฬคีรีนครทันทีท่ามกลางรายล้อมของเหล่าขุนทหารทั้งปวง  
พระองค์ก็ทรงสั่งให้เหล่าทหารของพระองค์เข้าต่อต้านรับศึกการโจมตีของเหล่าบรรดาทัพของ
แม่ทัพหน้าสหัสสะขันธ์ ซึ่งต่างดาหน้าพากันโห่ร้องชักอาวุธต่างๆพุ่งทะยานเข้ามาหารบพุ่งกับทหาร
ของพระองค์ที่กระจายเป็นแถวหน้ากระดาน   องค์ทัศยุราชันย์ พระหัตถ์ขวาทรงคันศร   
 พระหัตถ์ซ้ายทรงดาบวิเศษ กวัดแกว่งพระแสงดาบเข้าฟาดฟันเหล่าทหารอสูร   ส่วนพระคันศร
ก็ใช้ตีเหล่าทหารจนแตกพ่ายกระเจิงไปตามกัน จนลุล่วงเข้าไปยังเบื้องหน้าของแม่ทัพสหัสสะขันธ์   
ทั้งสองก็เข้าโรมรันพันตูกัน ทางฝ่ายด้านสหัสสะขันธ์ก็ใช้กระบองเพชรเข้ารับรุกต่อสู้กับดาบวิเศษ
จนเกิดประกายไฟแปลบปลาบไปทั่วบริเวณสนามรบที่ต่างรบพุ่งกันอย่างชุลมุนและห้าวหาญ
        ท่านแม่ทัพสหัสสะขันธ์ พลันถอยกายหลบไปด้านข้างล้วงหยิบเอาตุ๊กตาที่ปั้นเป็นรูปมังกรเจ็ดหัว
 สามตัว พร้อมร่ายพระเวทย์มนต์โยนรูปปั้นนั้นทั้งสามตัวไปยังเบื้องอากาศทันที  พลันรูปปั้นก็ได้
กลับกลายเป็นมังกรยักษ์พากันพ่นไฟและรุกไล่ทหารของนาครินทนาครจนแตกเป็นช่อง
 ส่วนกระบองเพชรก็กลับกลายเป็นกระบองจำนวนมากเข้ารุกไล่ทหารนาครินทนาครอยู่ตลอดเวลา 
 ต่างพากันล้มรุกคลุกคลานไปทั่วบริเวณบ้างก็ใช้อาวุธวิเศษของตนเข้าต่อต้านกันเสียงดังสนั่นไปทั่ว 
 บนฟากฟ้าก็เนื่องแน่นไปด้วยทหารต่างเข้าสับยุทธ์ทั้งทางอากาศและทางพื้นดิน   เหล่าทหารนอน
กระจายไปทั่วเต็มไปด้วยศพทหารและเลือดที่รินหลั่งไหลนอง ต่างก็ส่งเสียงร้องโหยหวนระงมไปสิ้น
     องค์ทัศยุราชันย์พระองค์ก็ทรงหยิบบ่วงนาคบาศขว้างเข้าใส่ยังมังกรยักษ์พร้อมทั้งตรีเพชร  
บ่วงนาคราชก็แยกกันเข้ามัดร่างมังกรยักษ์ที่กำลังโลดแล่นอยู่มิให้ทำการแต่ใดได้ ตรีเพชรก็ส่งประกาย
วูบวาบเป็นวิชชุสายฟ้าเข้าทำลายร่างของมังกรยักษ์ทั้งสามตัวจนถึงแก่แตกสลาย   กลายเป็นจุลไปเสียสิ้น
ทั้งบ่วงนาคราชก็กลายเป็นพญานาคพร้อมด้วยตรีเพชร พุ่งเข้าหากระบองเพชรทั้งหลายที่กำลังไล่ตี
เหล่าทหารนาครินทนาครอยู่พร้อมกัน   ช่วยเข้าต่อสู้กันเป็นพัลวัน กระบองเพชรมิอาจต้าน
มหาศาสตราอาวุธท่านจอมมหาเทพทั้งหลายได้ก็ถึงแก่กาลอวสานทันที   พญานาคราชก็กลับกลายเป็น
บ่วงวงไฟขนาดใหญ่เข้ารัดตัวสหัสสะขันธ์อสูร  ส่วนตรีเพชรก็เข้าตัดศีรษะแม่ทันใหญ่
แห่งเมืองกาฬคีรีนครหลุดออกจากคอตกยังพื้นดิน ร่างล้มหงายถึงแก่สิ้นชีวิตทันที   เหล่าทหารเอก
ขององค์ทัศยุราชันย์อันได้แก่อัสนี วายุ พินทุและพิรุณซึ่งนำโดยแม่ทัพวีระพิชัย และวิษณุเดชะ
จัดแยกแบ่งกำลังเป็นซ้ายขวานำทหารเข้าต่อสู้กับทหารเอกของสหัสสะขันธ์ด้วยอาวุธวิเศษต่างๆนาๆ
เหล่าอาวุธทั้งหลายก็บินกระจายเต็มไปทั่วทั้งสนามรบบนดินและบนฟากฟ้า  ทหารอสูรต่างถอยร่นไป
จนถึงหน้าของทัพหลวงท่านท้าวนิลกาฬที่ทรงพระราชรถเทียมด้วยอาชาล่ำพีทั้งเก้าตัวจนอลหม่าน
ไปทั่วบริเวณทัพทั้งซ้ายและขวาพระองค์    ทางด้านปีกซ้ายซึ่งองค์พระยุพราชนิละกาสูรย์นำทัพ
ก็เข้าปะทะกับองค์พระยุพราชโกเมศกุมารทรงกรีฑาทัพเข้าต่อสู้ประจัญบานกันจนชุลมุนวุ่นวายไปทั่ว
ต่างส่งเสียงร้องระงมแว่วมิขาดสาย  ทางด้านปีกขวาทัพของยุพราชอหิงสากุมารก็เข้าปะทะกับ
องค์พระยุพราชสิงหะฤทธาทันทีซึ่งไพร่พลของทั้งสองทัพที่เข้าต่อสู้กับยุพราชนิละกาสูรย์
 ยุพราชอหิงสากุมาร  การต่อสู้มิแต่เพียงพระยานาคราชกับมนุษย์กึ่งราชสีห์ก็หาไม่   ยังประกอบ
ไปด้วยไพร่พลทหารทโมนไพรและเหล่าอสรพิษทั้งหลายพากันเข้าทุบตีขบกัดกับเหล่าทหาร
เมืองอหิงสากะนครและกาฬคีรีนครจนต้องหลบหลีกสัตว์ร้ายเหล่านี้เป็นพัลวัน ทโมนไพรบ้าง
จับร่างของทหารอสูรฉีกแยกร่างเป็นสองข้าง นำเอาศพทหารมาต่อสีกับฝ่ายอสูรแทนอาวุธที่สูญหาย
บ้างก็ใช้อาวุธคล้ายกระบองสีดำหวดฟาดบรรดาเหล่าทหารอสูรดึงตัวมาขบกัดฉีกร่างขาดกระจาย
ส่วนเหล่าอสรพิษของหาได้น้อยหน้าแต่ประการใด อสรพิษแต่และตัวรูปร่างใหญ่โตเท่าต้นตาลเข้า
รัดร่างทหารอสูรจนขาดใจตาย ด้านส่วนหางก็ฟาดบรรดาทหารกระเด็นไปหากหลบมิได้ก็ถูกหางนั้น
ฟาดจนตกตายไป ส่วนท่อนหัวก็เข้าขบกัดและพ่นฟองพิษใส่เข้าใบหน้าทหารอสูรจนดำลุกไหม้ไป
ส่วนด้านบนอากาศก็เจอกับพวกปักษีร่างยักษ์เที่ยวโฉบเฉี่ยวขยุ้มด้วยกรงเล็บอันแหลมคม ทางด้าน
บนดินก็เจอเหล่าต่อแตนซึ่งมีขนาดใหญ่โตเข้าไล่ต่อยใบหน้าและร่างกายไม่อันเป็นการสู้รบทันที
การต่อสู้ของเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายเหล่านี้สร้างความปั่นป่วนให้เกิดกับกองทัพอสูรเป็นล้นพ้น
        ครั้นทัพหน้าของเมืองกาฬคีรีนครแตกพ่ายร่นถอยไปนั้น ทางองค์ทัศยุราชันย์และพระมเหสี
เจ้าหญิงดาริกา เจ้าหญิงมณีกานต์ เจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเฌอมาลย์แห่งนครนิละวานร
ที่ต่างทรงพระราชพาหนะประกอบด้วยเหล่าสัตว์ที่ทรงพะลานุภาพยิ่ง อาทิเช่นพระยาราชสีห์ 
พระยาคชสีห์ วายุภักดีปักษีและพระยาหงส์ทองทรงนำเหล่าทหารหญิงล้วนในนครนาครินทนาคร
และเมืองรัตนานคร เข้ารบพุ่งกับเหล่าทหารของเมืองกาฬคีรีอย่างดุเดือดมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันไล่รุก
 เข้าไปจนล่วงเข้าสู่หน้าพระราชรถของท่านท้าวนิลกาฬที่พระองค์ทรงประทับบนพระราชรถเทียมอาชา
ศึกเก้าตัว ที่รายล้อมไปด้วยเหล่าขุนทหารเอกรูปร่างกำยำทั้งหลายต่างพากันแยกย้ายกระจายกำลังเข้า
ต่อสู้กับเจ้าหญิงทั้งสี่และทหารหญิงทันทีอย่างสุดความสามารถ ปกป้องท่านท้ายนิลกาฬอย่างสุดชีวิต
        ส่วนบนแพงเมืองท่านมหาราชครูสิริปัญญา ก็อ่านพระเวทย์มนต์ต่างๆมุกแก้วประจำเมือง
ก็ยิ่งแผ่พะลานุภาพโชติช่วงชัชวาลกระจายแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณรายรอบภายในกำแพง
และกระจายออกไปสู่สนามรบทันทีบัดดลนั้นพลันปรากฏเสียงคำรามกึกก้องและเสียงหวีดหวิวแผ่ไป
ทั่วปรากฏเป็นฝูงพยัคฆาลายพาดกลอนที่ปกปักรักษาขุนเขาและเหล่าต่อแตนฝูงใหญ่สีทองอร่ามทั้งตัว
ต่างพากันมาจากยอดเขาต่างๆที่รายล้อมรอบบริเวณอาณาเขตนาครินทนาครพุ่งตรงเข้าไปยังเหล่าทหาร
อสูรที่กำลังรบพุ่งกันนั้น พากันเข้าตบ ขบกัดไล่ต่อยพัลวันด้วยพิษสงอันร้ายกายเข้าร่วมตัวก็พวกต่อแตน
สีดำคาดเหลืองที่ช่วยเข้าต่อสู้รบกันอยู่ก่อนแล้วยิ่งเพิ่มพาลานุภาพของเหล่าตัวต่อแตนขึ้นเป็นทวีคูณ
ส่วนเสือลายพาดกลอนก็มีรูปร่างใหญ่โตกว่าเสือทั่วๆไป แยกย้ายกันเข้าตบกัดเข้าใส่บรรดาทหารอสูร
อย่างมิเกรงกลัว ที่เสียชีวิตไปก็มีมาก ส่วนที่ยังไม่เสียชีวิตก็ไม่กลัวแม้แต่อาวุธวิเศษที่เข้ารุมล้อมแต่อย่างไร
ต่างก็ช่วยประสานงานกับบรรดาทโมนไพรยักษ์เหล่าอสรพิษตัวต่อแตนอย่างสมานสามัคคียิ่ง
				
5 ธันวาคม 2549 09:23 น.

** ทัศยุราชันย์(ศึกอหิงสากะนคร) **

แก้วประเสริฐ


                                              บทที่  ๒๕
                                         ศึกอหิงสากะนคร

       ครั้นขุนทหารวิชชุฆานรับพระราชสาสน์มาเก็บไว้ในอกแล้ว ก็ถดถอยออกมา
ต่างพากันน้อมตัวถวายบังคมลา  ได้รับพระราชกระแสรับสั่งเพิ่มเติมว่า
    “ลำบากท่านทั้งสองยิ่งนัก  ฝากบอกกล่าวแก่ทัศยุราชันย์ด้วยว่าทางเรานั้น
พร้อมจะช่วยเหลือเพียงแต่ให้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่งนะท่าน” องค์ท้าวเธอดำรัส
     “พ่ะย่ะค่ะ เพค่ะ  ขอรับสนองพระบัญชาด้วยเกล้าพระเจ้าข้า”ขุนทหารทั้งสองทูลถวาย
       เมื่อออกจากห้องพลับพลาก็พากันกำบังกายออกมา เดินทางกลับยังพระนคร
นาครินทนาครทันที
      องค์ท้าวเธอวิหะคะยุราชครั้นเห็นขุนทหารชายหญิงทั้งสองกลับไปแล้วก็ทรงตรัส
แก่องค์พระยุพราชทันที
     “เห็นทีความคิดอ่านการศึกครั้งนี้ของลูก ลึกซึ้งชาญฉลาดยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นลูกรัก
ของเรา เจ้าทำให้พ่อเปลี่ยนนิสัยได้ เพียงแค่ทหารหญิงชายสองคนนี้ก็ช่างห้าวหาญ
องอาจยิ่งนักสามารถผ่านด่านต่างๆของท่านท้าวและเราเข้ามาได้ถึงยังที่นี่ 
โดยที่มิรู้ระแคะระคายแต่ประการใด นี่ดีนะที่พ่อเองมีประสบการณ์อยู่บ้างให้สงสัยด้วย
เห็นผ้าม่านนั้นยามไหวกลับปรากฏเป็นรูปร่างรอยคนขึ้นมาขึ้นมาสองรอยตอนแรกคิด 
ว่าเป็นรอยผ้าม่านทิ้งชาย   มิฉะนั้นหากเป็นคนมาปองร้ายเราทั้งสองเห็นทียากจะระวัง
ตัวเองได้   ขุนทหารทั้งสองนี้มิเพียงมีฤทธิ์แค่นี้เท่านั้น คงประกอบด้วยวิทยาอาคมแก่กล้า
ที่ร้ายกาจอีกมากนะลูก   พ่อเองคิดว่าคงจะไม่มีเพียงแค่นี้หรอกอาจจะมีมากกว่านี้มากด้วย 
องค์ท้าวนิลกาฬคงเห็นจะถึงซึ่งกาลอวสานในการศึกครั้งนี้เป็นแน่แท้เสียแล้วกระมัง
ด้วยเหตุที่ทหารของนาครินทนาครนั้น มิคงจะมีทหารชายที่เก่งกล้าประกอบด้วยวิทยาอาคม
กลับสร้างกองทหารหญิงที่เก่งกล้าสามารถมากมายไว้รอรับในการศึกนี้โดยเฉพาะเป็นแน่เทียว
  และท่านท้าวเธอแม้จะเก่งกล้าสามารถไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดๆก็ตามแต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่
เพศสตรีและทรงมีความหวั่นเกรงยิ่งนักซึ่งพรขององค์พระศิวะมหาเทพแห่งขุนเขาไกรลาส
ที่พระองค์ได้ทรงประทานพรไว้ย่อมไม่อาจจะปกป้องคุ้มครองตนได้นะลูกรัก”
      องค์ท้าวเธอทรงพระดำรัสพลางทรงพระสรวลเบาๆ ที่พระองค์ไม่วู่วามเปลี่ยนความคิดนี้ได้
    “หากเป็นดั่งฉะนี้แล้วเห็นทีความคิดอ่านก็คงจะมิผิดพลาดแต่ประการใด เพราะลูกเองนั้น
ก็ให้สนเท่ห์ยิ่งนัก   เมื่อคราวที่ร่วมประชุมกันที่เมืองนิลกาฬแล้ว ลูกได้แลเห็นองค์พระยุพราช
แห่งสิงหะนครและทันทะกะนครทรงพระปรีชาสามารถมากกล่าวอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ประกายตา
ซิกลับเหี้ยมหาญดุดันปานประหนึ่งราชสีห์มิผิด  และหันไปสบพระเนตรกันเสมอๆ  ลูกก็ให้รู้สึก
ฉงนในยิ่ง  หรือว่าพระองค์ทั้งสองคงอ่านการเหล่านี้ออกสิ้น พยายามอ่อนน้อมต่อทางเราเป็นพิเศษ
ซึ่งแตกต่างกับเมืองอหิงสากะนครและนิลกาฬนครที่การเจรจากับสายตาไม่ตรงกันพระเจ้าข้า”
  องค์ยุพราชวานนรินทร์ทูลถวายสิ่งที่ผิดปกติวิสัยให้พระราชบิดาทรงรับทราบ
       “นั่นซิพ่อเองก็สงสัยเหมือนกับลูกนั่นแหละเพียงเห็นยังเป็นเด็กเล็กนักใยจะมีความคิดอ่าน
ที่ลึกซึ้งได้”  พระองค์กล่าวเสริมขึ้น   หากเป็นการที่เราคิดอ่านถูกต้องแล้วไซร้เห็นที่เรื่องนี้คง
 จะพ้นซึ่งปัญหาไปได้นะ   แล้วทั้งสองพระองค์ก็ร่วมทรงปรึกษาเพื่อจัดกำลังพลใหม่ให้ประสาน
สอดคล้องกับทางเมืองนาครินทนาครต่อไป
       ครั้นเพลาแห่งสองราตรีผ่านไปยังหามิผู้ใดสามารถจะเข้าตีผ่านเข้าไปยังกำแพงเมืองนั้นได้
สร้างความรุ่มร้อนพระวนกระวายในพระราชหฤทัยองค์ท้าวนิลกาฬอย่างยิ่ง  ทรงได้วางแผนเพื่อ 
นัดหมายให้เข้าตีเมืองอีกครั้ง    เพราะกาลเวลาใกล้จะพ้นคืนแห่งวันเพ็ญศิวะราตรีนี้ไปแล้ว ซึ่ง
อำนาจศักดิ์สิทธิ์ในการปกป้องจะกลับคืนมา  ย่อมทำให้สร้างความลำบากมากไปกว่านี้  
    โดยแจ้งไปยังพันธมิตรทั้งหลายว่า  ส่วนทางด้านทิศตะวันออกและใต้นั้นจะทรงนำทัพ
เข้าจัดการตีเอง   เพียงให้ทางเมืองที่เหลือเข้าตีเมืองอีกครั้ง และทางเมืองสิงหะนคร
และทันทะกะนคร ที่แปรเปลี่ยนไปในครั้งนี้พระองค์จะทรงแบ่งกำลังพลยกเข้าไปตี
กระหนาบเองเพื่อให้แตกสลายไปเพื่อจะได้ไม่ให้เป็นพิษภัยต่อไปได้ เมื่อท่านท้าวเธอ
ทรงปรารมภ์แล้วก็จัดแบ่งกำลังเข้าสู่ด้านทิศดังกล่าวแยกย้ายกันเข้าตีเมืองอย่างดุดัน
 กำลังส่วนหนึ่งก็ยกเข้าไปยังยอดเขาที่พักไพร่พลของท่านยุพราชสิงหะฤทธาและยุพราช
โกเมศกุมารที่พักอาศัยอยู่โอบล้อมรุกกระหน่ำโจมตีหวังให้แตกพ่ายยับเยินทั้งสองทัพ
         ส่วนทางด้านอหิงสากะนครก็ระดมพลเข้าตีทางทิศที่ได้รับมอบหมายทุ่มกำลังเข้าต่อสู้
อย่างสุดความสามารถ ทรงสั่งให้สุรินทร์อสูรและทหารทั้งหลายหาทางเข้าเมืองให้ได้  
 การศึกรบติดพัน  จนพระองค์หญิงปทุมวดีต้องนำกำลังพลออกจากกำแพงเมืองเข้าต่อสู้
กับสุรินทร์อสูรทันที   พระองค์ทรงพาหนะ คชสีห์และนำเหล่าทหารหญิงชายที่ทรงฝึกไว้
เข้าต่อสู้กับทหารของสุรินทร์อสูรทั้งสองฝ่ายเข้าสู้รบกันติดพันชุลมุนวุ่นวายกระจายไปทั่ว
 ฝ่ายทางด้านทหารของเจ้าหญิงถึงแม้ว่าจะมีกำลังพลน้อยกว่าแต่ทว่าเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
ยิ่งนักและประกอบด้วยวิทยาคมอาศัยฤทธิ์เวทย์มนต์แยกร่างออกจากกันเข้าต่อสู้ทัดเทียมกัน
ทหารทั้งสองฝ่ายต่างมีฤทธิ์เดชเดชาประกายอาวุธต่างกระจายเต็มไปทั่วสนามรบส่งเสียงคำราม
เสียงดังลั่นสะเทือนหวั่นไหวเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ  บนฟากฟ้าก็เต็มไปด้วยอาวุธวิเศษ
เข้าหักล้างซึ่งกันและกันทั้งดาบ กระบอง คทา ลูกตุ้ม น้ำเต้าเป็นต้นต่างก็แสดงซึ่งอิทธิฤทธิ์
เฉพาะทางของกันและกัน บ้างก็สลายหายไป  บ้างก็หันมาทำลายทหารบนภาคพื้นดิน บ้างก็
ลงมาต่อสู้ป้องกันเหล่าทหารของตนเองเอาไว้ ทำให้เลือดนองกระจายไปทั่วทั้งศพมากมาย
      ทางด้านองค์หญิงปทุมวดีก็เข้ารบกับสุรินทร์อสูรต่างใช้อาวุธวิเศษเข้าต่อสู้กันเป็นพันวัน
 ทางฝ่ายสุรินทร์อสูรเข้าต่อตีองค์หญิงด้วยกระบองห้าเหลี่ยมปะทะกับขลุ่ยแก้ววิเศษที่แปรสภาพ
เป็นดาบกายสิทธิ์  ทางด้านพระยาคชสีห์ก็เข้าขบกัดเหล่าทหารที่เข้ามารุมล้อมจนตกตายไป
ร่างกายแหลกละเอียดหาชิ้นดีมิได้  บางครั้งก็พ่นน้ำออกจากงวงช้างเป็นน้ำกรดไฟเข้าใส่ทหาร  
 สุรินทร์อสูรโกรธแค้นอย่างยิ่งตาแดงทั้งสองข้างดั่งเพลิงที่ไม่สามารถทำร้ายแก่องค์หญิงได้
พลางล้วงหยิบบ่วงบาศขว้างเข้าใส่พระยาคชสีห์และเหล่าทหารองค์หญิงทันทีพลันบ่วงบาศ
ก็แยกตัวออกเป็นหลายๆบ่วงซึ่งลุกเป็นไฟพุ่งเข้าใส่ทหารและพระยาคชสีห์   พระยาคชสีห์
ก็อ้าปากพ่นไฟกรดเข้าทลายบ่วงบาศทันที  ด้วยอำนาจของพระยาคชสีห์มีมากกว่าก็ทำลายบ่วง 
ของสุรินทร์อสูรมอดไหม้ไปมิอาจเข้ามาใกล้    ครั้นองค์หญิงปทุมวดีเห็นดังนี้  ทรงถอดกำไลแก้ว
จากข้อพระหัตถ์ ร่ายพระเวทย์ทรงเหวี่ยงเข้าต้านทานบ่วงบาศ กำไลแก้วก็กลับกลายเป็นสายฟ้า
เข้าทำลายบ่วงบาศของท่านสุรินทร์อสูรจนมอดไหม้เป็นจุลในพริบตา  สุรินทร์อสูรเห็นดั่งนั้น
ก็เพิ่มความโกรธพลางถอดกำไลข้อแขนทั้งสองข้างออกเหวี่ยงเข้าสู่ยังกำไลแก้วขององค์หญิง
กลายเป็นไฟพะเนียงต่อสู้กันบนกลางอากาศ ฤทธิ์ของไฟกรดก็สาดเข้าใส่หมู่ทหารทั้งสองฝ่าย
 เมื่ออาวุธวิเศษทั้งสองกำลังต่อสู้กัน  พระองค์ก็ทรงขับพาหนะ คชสีห์เข้าหาสุรินทร์อสูรฟาดฟัน
ด้วยดาบขลุ่ยแก้ว ยามแหงนหน้ามองดูอาวุธนั้นเข้าปะทะอาวุธอสูร เสียงดังสะท้านสะเทือนไป
ทั่วพื้นดิน  การต่อสู้ดำเนินไปยังมิมีผู้ใดแพ้ชนะกัน     ด้านประตูเมืองก็เปิดออกองค์ท่านทัศยุราชันย์
เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทรงยกกำลังพลออกมาช่วยเหลือเจ้าหญิงปทุมวดีทันทีทรงเสด็จบนอาชาสีขาว
ปลอดเพรียวกำยำขับพุ่งเข้าสู่สุรินทร์อสูร พระองค์กวัดแกว่งพระแสงดาบฟาดพันเหล่าทหารอสูร
จนแตกกระจายเป็นช่องทาง  ครั้นทรงเสด็จดำเนินมาถึงก็ตรัสให้เจ้าหญิงทรงถอยห่างออกมา 
เมื่อได้โอกาสพระองค์ก็ทรงนำจักรเพชรขว้างเข้าใส่สุรินทร์อสูรด้วยอำนาจของมหาศาสตราอาวุธ 
 สุรินทร์อสูรมิอาจต้านทานได้  จะรีบหลบหนีไปทันทีแต่ไม่พ้นจักรเพชรที่หมุนเข้าตัดศีรษะ แขนขา
อวัยวะส่วนต่างๆของสุรินทร์อสูรขาดสิ้นตกตายไป  ท่านท้าวสุพพัตสุระมองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
ที่แม่ทัพใหญ่พระองค์เสียทีต่อจักรเพชรขององค์ทัศยุราชันย์ ก็ทรงพระพิโรธโกรธาเป็นยิ่งนักจึง 
ขับทหารเข้ามารายล้อมองค์ทัศยุราชันย์และองค์หญิงปทุมวดีพร้อมเหล่าทหารหญิงทันทีด้วยทรงมี
ไพร่พลมากว่า  แต่ก็หาทำให้ทั้งสองพระองค์หวั่นเกรงแต่ประการใดไม่ทรงเข้าต่อสู้กับองค์สุพพัตสุระ
 ส่วนเหล่าทหารขององค์หญิงบ้างก็หายตัวไปทำร้ายทหารอสูรที่ต่างตกตะลึงมิเห็นร่างทหารหญิงนี้
บ้างก็แยกร่างกายเป็นหลายๆร่างบ้างก็แปลงกายต่างๆนานาเข้าต่อสู้เข่นฆ่าทหารอสูรที่ตกตลึงงวยงง
ด้วยคาดคิดมิถึงว่าจะพบกับทหารหญิงด้วยสิ่งแปลกๆเช่นนี้    องค์ท่านท้าวอหิงสากะก็ทรงล้วงหยิบ
แว่นแก้วพลางส่องมาทางเจ้าชายและองค์หญิงทันทีปรากฏเป็นเพลิงไฟประลัยกัลป์เข้าใส่ยังพระองค์
ทั้งสองแต่ด้วยฤทธิ์ของน้ำอำมฤตและผลไม้วิเศษหาได้รับอันตรายใดไม่  องค์ชายก็มิได้หวาดหวั่นพรึง
แก่พระองค์ทรงหยิบตรีเพชรออกชี้ไปยังแว่นแก้วทันทีด้วยฤทธิ์อำนาจของมหาศาสตราอาวุธเป็น
ประกายสายฟ้าแปลบปลาบเข้าต่อต้านและทำลายจนแว่นแก้วนั้นก็แตกละเอียดกระจัดกระจายไป
 องค์ท้าวสุพพัตสุระเห็นดังนั้นก็ทรงล้วงหยิบเอาประคำพลอยแก้วลักษณะสีดำมะเมื่อมออกสาธยายมนต์
แล้วทรงขว้างใส่ประกายตรีเพชรทันทีเกิดแสงสว่างลุกเป็นไฟเข้าหักล้างอาวุธของตรีเพชรแต่เบื้องอากาศ
ปรากฏจักรเพชรได้กระจายแยกตัวออกจากจากกันแล้วออกพุ่งเข้าหาใส่ยังร่างท้าวสุพพัตสุระทันทีทุกแห่ง 
แม้ร่างกายของท่านท้าวสุพพัตสุระจะสามารถคงทนต่ออาวุธนานาประการยามเข้าต่อสู้กับผู้ใดก็ตามที  
 แต่ก็ไม่อาจจะต่อต้านอิทธิฤทธิ์เดช จักรเพชรของมหาเทพองค์พระนารายได้ ร่างพลันถูกตัดแยกเป็น
ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทันที แต่ร่างกายท่านท้าวก็หาถึงซึ่งกาลตักษัยไม่ กลับเข้ารวมตัวกันอีกครั้งทะยาน
เข้าหาองค์ทัศยุราชันย์ พร้อมส่งพระสรวลหัวร่อพระสุระเสียงดังลั่นเยาะเย้ยหมายเข่นฆ่าพิฆาต    
      ทัศยุราชันย์เห็นดังนี้จึงทรงปลดคันธนูจากพระอังสาน้าวคันศรพร้อมลูกธนูยิงออกไป  เสียงลูกศร
แหวกอากาศดังกึกก้องปานกัมปนาทแผ่นดินหวั่นไหวท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสีทันทีลูกธนูก็พุ่งเข้าเสียบ
พระอุระท่านท้าวแห่งอหิงสากะ  จนมิดลูกธนูด้วยอำนาจลูกศรพรหมเมศร์ของท่านท้าวมหาพรหม
แห่งสรวงสวรรค์  ท่านท้าวสุพพัตสุระก็ถึงกาลตักษัยทันทีมิอาจกลับคืนสู่สภาพดังเดิมได้ พลันร่างล้ม
ทรุดกายลงพื้นดินเกิดประกายไฟเข้าลุกเผาผลาญร่างขององค์ท้าวสุพพัตสุระมอดไหม้สูญหายไป
 บรรดาเหล่าอสูรทั้งหลายและทหารเอกครั้นเห็นดั่งนี้ก็พากันแตกกระจายต่างก็พากันหลบหนีไปสิ้น
รีบพากันหนีไม่เป็นขบวนทัพหนีกลับไปยังเมืองอหิงสากะนครทันทีต่างพากันทิ้งอาวุธสิ่งของต่างๆ
ไว้มากมายเต็มสนามรบไปทั่ว     องค์ทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงปทุมวดีครั้นเห็นดังนั้นพระองค์ทั้งสอง
ก็สั่งทหารมิให้ติดตามเหล่าทหารอหิงสากะเพียงเข้าจัดการกวาดล้างทำความสะอาดบริเวณแล้วยกพล
เข้าเมือง เพื่อเข้าไปช่วยศึกทางด้านทิศเหนือตะวันออกและทางด้านทิศใต้ต่อไป
          ทางฝ่ายปักษินนครหลังจากที่ได้มีข้อตกลงกับทางนาครินทนาครแล้วเมื่อเข้าตีเมืองนาครินทนาคร
ก็แสร้งทำเป็นฮึกเหิมอกอาจส่งสำเนียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณเร่งให้เมืองสินธุนครเข้าโจมตีทันที
ทางฝ่ายสินธุนครมิรู้ในกลอุบายก็ส่งทหารเข้าบุกยังประตูเมืองจนได้รับเสียหายแตกพ่ายทั้งแนวหน้า
เสียไพร่พลล้มตายมากมายต้องพากันร่นถอย   แต่ก็ยังถูกทางทหารปักษินนครยั่วเย้าก็มีความโกรธ
เมื่อตั้งหลักได้แล้วก็พากันหันหลังกลับเข้าต่อสู้ใหม่ทางทหารปักษินนครก็มิได้เข้าทำการช่วยเหลือ 
ทางทหารของนาครินทนาครก็ไม่ได้พุ่งอาวุธใส่ยังทหารของปักษินนครคงเข้ากวาดล้างทหารของ
สินธุนครเพียงอย่างเดียว  เจ้าหญิงดาริกาที่ทรงคุมกำลังพลยกออกมาก็เข้าห้ำหั่นจนทหารเมืองสินธุ
นครแตกพ่ายยับเยินอีกครั้งหนึ่งโดยต้องเสียไพร่พลเกือบหมดกองทัพเหลือรอดกลับไปเพียงน้อยนิด 
 แล้วเจ้าหญิงดาริกาก็ทรงเผชิญหน้ากับองค์ยุพราชวานนรินทร์ด้วยพระพักตร์แย้มยิ้ม องค์ยุพราช
วานนรินทร์ก็ทรงน้อมพระองค์ถวายบังคมพระองค์หญิงทันที    เจ้าหญิงดาริกาทรงส่งยิ้มตอบเอ่ย
พระโอษฐ์ตรัสแก่ยุพราชวานนรินทร์แจ้งให้ถึงทางท่านท้าวสุพพัตสุระพระองค์ได้เสียชีวิตไปแล้ว
พร้อมกับทหารของพระองค์แตกพ่ายยับเยิบหนีกลับไปหมดแล้ว  องค์พระยุพราชครั้นพอทรงทราบ
สาเหตุถึงเมืองอหิงสากะนครก็ทรงทูลลาพระองค์หญิงและฝากทูลลาองค์ทัศยุราชันย์ไว้หากเสร็จศึก
วันใดจะเสด็จมาเยี่ยมทั้งสองพระองค์   องค์หญิงดาริกาก็ทรงตรัสขอบพระทัยและฝากอวยพร
แก่องค์ท่านท้าววิหะคะยุราชว่าทรงขอขอบพระทัยยิ่งนัก   ต่อไปนี้ทั้งสองเมืองก็จะมีสัมพันธ์ไมตรีที่ดี
ต่อกันหากเสร็จศึกครั้งนี้ก็จะหาทางไปยังเมืองปักษินนครเพราะเยี่ยมคาราวะท่านท้ายวิหะคะยุราช
				
30 พฤศจิกายน 2549 08:30 น.

** ทัศยุราชันย์(วานนรินทร์ยุพราช) **

แก้วประเสริฐ


                                    บทที่  ๒๔
                              วานนรินทร์ยุพราช

ถึงเรื่องราวภายนอกมานะท่านพ่อปู่”  องค์ทัศยุราชันย์ทรงพระดำรัส
    แล้วก็ทรงเล่าเรื่องต่างๆให้มหาราชครูแห่งนาครินทนาครรับทราบทุกประการ
เมื่อมหาราชครูรับฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปสักพัก พลางกล่าวทูลว่า
      “เมื่อการเป็นเช่นนี้  เห็นทีทางปักษินนครคงจะทำศึกเพียงแค่ลวงต่อท่านท้าวนิลกาฬ
มิได้ทำศึกโดยแท้จริง หรือว่าทางปักษินนครคงจะพบเห็นเล่ห์เพทุบายที่วางกลศึกไว้   
อีกประการหนึ่งทาง   ท่านท้าววิหะคะยุราชซึ่งมีพระอุปนิสัยดุร้ายยิ่งนัก คงจะได้รับการ
หว่านล้อมจากองค์พระยุพราชวานนรินทร์จนทรงแปรเปลี่ยนพระราชหฤทัยเสียแล้ว 
หรืออาจจะมีสาเหตุอื่นใดที่ทางเราไม่รู้ได้  ก็นับว่าเป็นบุญของเมืองนาครินทนาครยิ่งนัก
ทาง เรานั้นหาได้เกรงกลัวต่อท้าวนิลกาฬและท้าวสุพพัตสุระก็หาไม่   อันพระอุปนิสัยใจคอ
ของท่านท้าวเธอนิลกาฬถึงแม้จะเหี้ยมหาญมุทะลุดุดัน  แต่ก็ขาดความละเอียดรอบคอบถี่ถ้วน
มิเห็นผู้ใดในสายตามีความลุ่มหลง โลภ ความโกรธเป็นเกณฑ์เอาแต่ใจตัวเองเป็นสำคัญ
มัวเมาอยู่แต่ในกามารมณ์ยิ่งนัก  แม้แต่พระยุพราชของพระองค์ซึ่งมีความเฉลียวฉลาดมาก
ก็ยังมิเห็นชอบด้วยคัดค้านไม่ยอมเสด็จมาในการศึกครั้งนี้  หากมาดแม้นมีองค์พระยุพราช
ของพระองค์เสด็จมาศึกครั้งนี้คงยากแก่การรับมือได้  แต่นี้เพราะองค์ยุพราชมีพระอุปนิสัย
เหมือนพระราชมารดาหมกมุ่นอยู่ในศีลธรรมจริยธรรมเพียงแค่เฝ้าปกครองนครเท่านั้น
จึงเกิดการคัดค้านขึ้นและเสด็จหนีออกจากเมืองไป จวบจนพระราชบิดามาการศึกจึงได้หวน
กลับมายังเมืองอีกครั้งหนึ่ง   ซึ่งการนี้ ผิดกับท่านท้าววิหะคะยุราชถึงแม้พระองค์จะดุร้าย
แต่พระอุปนิสัยนั้นกลับเยือกเย็นยิ่งนัก คาดการณ์คำนวณเหตุการณ์ได้แม่นยำยิ่งนัก  อีกทั้ง
พระองค์ชอบทรงไตร่ตรองได้อย่างละเอียดรอบคอบรอบรู้ทั้งตำหรับพิชัยสงคราม
และอุปนิสัยคนได้อย่างเยี่ยมยอด    นี่ซิที่เราหวั่นเกรงกว่าผู้ใดๆก็มีเพียงท่านท่านท้าวเธอ
พระองค์นี้เท่านั้น ตลอดจนยังมีพระยุพราชที่ทรงเฉลียวฉลาดมากด้วยปัญญายากจะหาบุรุษใด
มาทัดเทียมได้ รอบรู้กลศึกตำหรับพิชัยสงครามอย่างเชี่ยวชาญเล่ห์กลเพทุบายต่างๆดีเยี่ยม
        นี่แสดงถึงชาตาฟ้าดินได้เข้าคุ้มครองเมืองเราเป็นแม่นมั่นถึงทำให้ทรงแปรเปลี่ยน
พระอุปนิสัยขององค์ท้าววิหะคะยุราชได้ถึงเพียงเช่นนี้ ”  ท่านมหาราชครูกล่าวขึ้น
       “นั่นซิท่านพ่อปู่ หากแม้นการเข้ารบร่วมของเมืองปักษินนครเกิดขึ้น
เราจะทำประการใด  ที่มิให้เคืองขุ่นแก่องค์ท่านท้าววิหะคะยุราชล่ะ”
     องค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสถามขึ้น
       “การครั้งนี้เราคาดการว่าองค์พระยุพราชวานนรินทร์ที่พระองค์ทรงเฉลียวฉลาดยิ่งนัก
ก็จะหาทางคลีคลายเองได้   ส่วนทางเรานั้นหากมีการรบพุ่งขึ้นเมื่อใด   ก็ให้ทหารฝ่ายเรา
พยายามหลบเลี่ยงการต่อสู้กับทหารของทางฝ่ายปักษินนคร   ทำเป็นทีเข้าต่อสู้กันอย่าให้
เกิดความรุนแรงขึ้นได้เพราะจะเห็นเหตุให้เสียการศึกทั้งปวงนะพระองค์”
        “ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ควรจะนัดหมายกับองค์พระยุพราชวานนรินทร์ให้เข้าใจถึงเหตุผลนี้
แสร้งทำเป็นกลอุบายหลอกล่อต่อท่านท้าวนิลกาฬ ทำอย่างไรจะส่งข่าวให้ทราบโดยเร็วได้”
        “แล้วใครล่ะจะเป็นผู้ไปส่งข่าวนี้ให้ทรงรู้ได้ล่ะ”  องค์ท้าวทัศยุราชันย์ตรัสขึ้น
ฉับพลันพระองค์หญิงปทุมวดีทรงกล่าวขึ้นถึงการณ์นี้ว่า
       “หม่อมฉันขอรับอาสาการนี้เพค่ะ “ องค์หญิงปทุมวดีหันไปยิ้มทรงกล่าว
       “น้องหญิงจะไปเองหรือ เราไม่ให้ไปหรอกนะ”  ท้าวทัศยุราชันย์ตรัสเป็นห่วง
       “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเพค่ะ น้องหญิงคงจะให้องครักษ์หญิงไปทำการนี้หรอก
เพราะว่าได้ฝึกปรือวิทยาอาคมจนเชี่ยวชาญยิ่งนัก  สามารถล่องหนหายตัวไปทำการครั้งนี้
และก็จะ มิเป็นที่สงสัยแต่ประการใดเพค่ะ “ องค์หญิงปทุมวดีทรงแย้มพระสรวล
        “หากเป็นเช่นนี้พี่เองก็เบาใจยิ่งนัก “  องค์ท้าวเธอรำพึงเบาๆ
        “ถ้าเป็นได้อย่างนี้ ก็คงจะสำเร็จต้องรีบดำเนินการก่อนวันพรุ่งนี้นะ”  ท่าน
มหาราชครูกล่าวขึ้น
          “ถ้าอย่างนั้น ขอให้เสด็จพี่รีบตราพระราชสาสน์ถึงองค์พระยุพราชวานนรินทร์
แล้วนำมาให้หม่อมฉันเพค่ะ”  องค์หญิงปทุมวดีตรัสขึ้น
          “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะทำเดี๋ยวนี้เลยล่ะ”  ว่าพลางพระองค์ก็ทรงเสด็จไปยังโต๊ะ
หนังสือของท่านพ่อปู่ราชครู ทรงร่างพระราชสาสน์ทันที เสร็จแล้วก็ทรงนำมาให้
แก่เจ้าหญิงปทุมวดี    ครั้นองค์หญิงได้รับหนังสือแล้วก็เสด็จออกไปยังนอกตำหนัก
ตรัสแจ้งแก่เหล่าสนมกำนัลที่ยืนคอยรับบัญชาให้ไปตาม วิชชุเมฆานและศรีสวรรค์
ให้เข้ามาพบพระองค์โดยด่วน   เมื่อนางสนมรับบัญชาแล้วก็รีบออกไปทันที
       ในช่วงระยะคอยกันอยู่นั้นต่างพากันปรึกษาหารือสิ่งต่างๆกับท่านมหาราชครูอยู่
   ครั้นหัวหน้าฝ่ายทหารวิชชุเมฆานและศรีสวรรค์เข้ามาถวายบังคม
องค์หญิงปทุมวดีก็ทรงมีรับสั่งทันทีทรงพระดำรัสว่า
        “นี่แน่ะ วิชชุเมฆานและศรีสวรรค์  เราจะให้ท่านทั้งสองนำพระราชสาสน์
นี้ไปพบแก่องค์พระยุพราชวานนรินทร์อย่าให้ผู้ใดจับได้เป็นอันชาด  หากมาดแม้นว่า
ทำการมิสำเร็จก็ให้ทำลายหนังสือฉบับนี้พร้อมกับทำลายตัวเองทันที แม้นหากพลาดพลั้ง
ก็ขออย่าได้กลับมาให้เราเห็นหน้าเจ้าอีกต่อไป”  องค์หญิงปทุมวดีตรัสด้วยพระพักตร์
เคร่งขรึมดุดันในพระกระแสดำรัส   จนเป็นที่หวาดหวั่นแก่ทหารทั้งสองยิ่งนัก
      “พ่ะย่ะค่ะ  เพค่ะ.....พระองค์รับไว้ด้วยเกล้า จะมิทำให้พระองค์หญิง
เสียพระหฤทัยแก่การนี้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ เพค่ะ” 
 หัวหน้าทหารหญิงชายและทหารหญิงศรีสวรรค์น้อมรับพระบัญชา
      “ให้เจ้าทั้งสองจงออกเดินทางได้แล้วและล่องหนหายตัวไปอย่าปรากฏตัวที่ใด
พอใกล้ๆยังที่ประทับให้ผุดดำดินไปโผล่ใกล้ๆพอเห็นองค์พระยุพราชอยู่พระองค์เดียว
ถึงจะถวายพระราชสาสน์นี้   ทุกๆประการอย่างให้เหล่าทหารได้เกิดสงสัยเป็นเด็ดขาด
พวกเจ้าทั้งสองเข้าใจหรือไม่”  องค์หญิงทรงตรัสกำชับ
       “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ เพค่ะ”   ครั้นแล้วเมื่อวิชชุเมฆานรับพระราชสาสน์แล้ว
ทั้งสองก็พลันหายตัวจากไปทันที ต่อหน้าองค์ทัศยุราชันย์และองค์หญิงดาริกาตลอดจน
ท่านมหาราชครูที่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ต่างพากันเอ่ยปากชมเชยทหารขององค์หญิงปทุมวดี
เป็นเสียงเดียวกันถึงความเด็ดขาดและความสามารถของทหารชายหญิงทั้งสองมิขาดปาก
       “หากเป็นเช่นนี้ทางเราก็รู้สึกสบายใจเพียงแต่ต้องรอการติดต่อกลับเท่านั้น”
ท่านมหาราชครูปรารมภ์ขึ้นเบาๆ
        ฝ่ายขุนทหารชายและหญิงครั้นออกจากพระนครก็เหิรเดินอากาศสู่ฟ้ามุ่งหน้าเข้า
ไปยังภูเขาติรังคะคีรี ผ่านทหารของนครสินธุนครที่กระจัดกระจายอยู่แถวตามเชิงเขา 
 ก็หลีกหลบพอถึงที่เปลี่ยวก็รีบลงพื้นดิน พากันปรึกษาคาดคำนวณเห็นพ้องต้องกันแล้ว
ก็พากันชำแรกร่างลงสู่พื้นดินเลาะไปตามกระแสน้ำที่ไหลมาจากยอดเขาแทรกร่างผ่าน
ขึ้นไปยังยอดเขาผ่านกองทหารปักษินนครเข้าสู่ห้องพลับพลา ครั้นโผล่ขึ้นมาเห็นทั้งสอง
พระองค์นั่งอยู่บนพระเก้าอี้มีโต๊ะตั้งไว้อยู่ริมหน้าต่าง  ทั้งสองก็รีบแอบยังม่านบังตาทันที
 เนื่องด้วยองค์ท้าววิหะคะยุราชกำลังปรึกษากับองค์พระยุพราชวานนรินทร์อย่างเคร่งเครียด
 ได้ยินท่านวิหะคะยุพราชท้าวเธอทรงตรัสเบาๆ  
     “หากลูกพ่อคิดดีแล้ว พ่อเองก็ตามใจลูก เพียงแต่ว่าทางเมืองนาครินทนาครนั้นเมื่อได้รับ
การติดต่อแล้วจะมีความคิดอ่านประการใดนั้นแก่เราหรือไม่พ่อเองก็ยังคาดการณ์มิถูก” 
   ครั้นแล้วพระองค์ทรงหยุดชะงักมิทรงกล่าว  พลางหันไปทางม่านที่ขุนทหารหญิงชายกำบัง
ร่างแอบอยู่   พระองค์ทรงตวาดด้วยพระสุระเสียงเบาๆกึ่งเสียงดัง
      “นั่นใครบังอาจนักมาแอบฟังเราสองพ่อลูกที่หลังม่าน ให้รีบปรากฏตัวออกมาโดยเร็ว”
       องค์พระยุพราชวานนรินทร์ก็ทรงผินพระพักตร์หันมาจ้องมองดูพร้อมชักอาวุธพระขรรค์
เพชรออกจากพระวรกายผุดลุกขึ้นยืนทันทีบังร่างองค์วิหะคะยุราชไว้
      ขุนทหารวิชชุเมฆานและทหารหญิงศรีสวรรค์  เห็นดังนี้ก็ให้เกิดความสะดุ้งตกใจยิ่งนักมิคาด
ว่าองค์ท่านท้าววิหะคะจะทรงทราบได้อย่างไรเนื่องจากได้กำบังร่างไว้มิได้เกิดพิรุธเกิดขึ้น
ก็ยังสามารถตรวจสอบพบเห็นได้  แสดงถึงพระพละพลานุภาพอันแกร่งกล้ายิ่งนัก 
ทั้งที่มิได้ระคายให้ผิดสังเกตพบเห็นได้แต่ประการใดจึงพากันกลับคืนร่างแล้ว พร้อมก้าวมา
โน้มกายเข้าถวายบังคมองค์ท้าวเธอทันที   ที่ยืนเฝ้ามองมาท่าทางขึงขัง
      “ขอถวายพระพรพระเจ้าข้า  กระหม่อมเป็นทูตมาจากเมืองนาครินทนาคร
เพื่อนำพระราชสาสน์ขององค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์มาถวายให้ทรงทอดพระเนตร
ควรมิควรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าด้วยพระเจ้าข้า”
       องค์ท้าวเธอและพระยุพราชเมื่อได้ทรงฟังเช่นนั้นก็ทรงเก็บพระขรรค์
พระพักตร์คลายความตึงเครียดลงทันที  ท่านท้าวเธอทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสขึ้นว่า
     “กระนั้นหรือท่าน  มาแบบนี้ทำให้เราเกิดความสงสัยยิ่งนักไหนๆส่งมาให้ข้าดูหน่อยนะ 
 อือๆพวกเจ้าช่างเก่งกล้าสามารถอาจหาญยิ่งนัก  ที่สามารถผ่านทหารของนคร
ท่านท้าวนิลกาฬและเหล่าทหารของข้าที่เฝ้าอารักขาอย่างเข้มงวดกวดขันมาได้ 
 หากมีคนดั่งพวกเจ้ามากมายเช่นนี้เห็นที่ยากยิ่งนักที่จะปกป้องตัวเองได้ เหอะมี
ทหารหญิงมาด้วยหรือนี่”
 พระองค์ทรงตรัสชมเชยทหารทั้งสองที่เฝ้าหมอบรับพระบัญชาทรงแคลงพระทัยนัก
    “ทรงพระกรุณาธิคุณแล้วพระเจ้าข้า”  วิชชุเมฆานและศรีสวรรค์ยกมือขึ้นน้อมก้ม
ถวายพระบังคม พร้อมยื่นพระราชสาสน์ส่งให้ท่านท้าวเธอทันที
     เมื่อท่านองค์ท้าวเธอรับพระราชสาสน์มาทอดพระเนตรก็ทรงพระสรวลพลางยื่น
ส่งให้องค์พระยุพราชทันที
     “เขามีหนังสือมาถึงลูกนะ  อ่านดูซิ”  พระองค์พลางยื่นให้องค์พระยุพราช
     “ ทางเขาช่างมีอัชฌาสัยดียิ่งนะ”  พระองค์ทรงดำรัสต่อ
 องค์พระยุพราชวานนรินทร์ครั้นรับหนังสือมาอ่านทบทวนแล้วก็ทูลแก่องค์ท้าวเธอ
     “เสด็จพ่อทรงเห็นเป็นประการใดในพระราชสาสน์นี้พระเจ้าค่ะ”
     “แล้วแต่ลูกซิ  ส่วนพ่อนั้นเห็นว่าเขาคงมิได้มีเล่ห์เพทุบายประการใดไม่
เพราะในหนังสือนั้นก็กล่าวอย่างชัดแจ้งมิได้มีข้อเบี่ยงเบนเล่ห์ตามตำรา
พิชัยสงครามอยู่แต่ประการใดไม่ เพียงรอคำตอบจากเราเท่านั้น”
      “ถ้าเป็นอย่างนั้นลูกคิดว่าควรตกลงกระทำการให้สอดคล้องซึ่งกันและกันแต่
ทว่าอาจจะมีการล้มหายตายเจ็บกันบ้างนะเสด็จพ่อ”   องค์ยุพราชตรัสขึ้น
       “ก็เป็นธรรมดาในการศึกเช่นนี้ย่อมต้องเสียไปบ้างทั้งสองฝ่ายเพียงแต่ว่า
รักษาส่วนใหญ่ไว้ก็เพียงพอย่อมมิเป็นที่คลางแคลงใจแก่ฝ่ายตรงข้ามใดๆได้”
       “ถ้าเสด็จพ่อเห็นด้วย ลูกก็จะตอบพระราชสาสน์นี้ให้ท่านทูตนำไปทูล
ถวายแก่องค์ท้าวเธอทรงทราบถึงแผนการพระเจ้าข้า”
        “ดีแล้วล่ะลูกแล้วนัดหมายวันที่เราทั้งสองจะเข้าต่อสู้กันให้ชัดเจนด้วย
        “พระเจ้าข้า”   องค์พระยุพราชรับสนองพระบัญชา  ทรงเสด็จไปยังโต๊ะ
หนังสือพลางเขียนพระราชสาสน์ตอบแก่องค์ทัศยุราชันย์ เมื่อเสร็จสรรพก็ทรง
นำมายืนให้แก่ขุนทหารวิชชุฆานทันที
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ