12 กุมภาพันธ์ 2553 13:03 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 17

แก้วประเสริฐ


               ลุ่มลึกอิสราวดี  17

      ท่ามกลางเปลวแดดร้อนระอุอบอ้าว  ประกายแสงแดดมองดูระยิบระยับไปทั่ว
ทุ่งกว้างใหญ่   จะหาต้นไม้สักต้นเพื่อใช้พักผ่อนก็ไม่มีเป็นลานกว้างใหญ่โล่งๆ
ทั้งสองระหว่างคนกับลิง    รีบออกเดินทางเพื่อมุ่งตรงไปภูเขา   น้ำที่เขาเตรียมมา
ถูกใช้ดื่มกินแทบจะหมดกระบอกแล้ว   หากยังไม่ถึงที่หมายและหาแหล่งน้ำไม่ได้
เห็นทีว่า   ทั้งสองคงจะแย่แน่นอนด้วยขาดน้ำซึ่งพยายามประหยัดการดื่มอย่างที่สุด
     บนท้องฟ้าแสงแดดจ้าจะหาเมฆแทบจะยาก  แต่กลับมีฝูงนกต่างบินว่อนหรือว่า
จะเป็นพวกนกแร้งที่คอยเหยื่อคือพวกเขากระมัง   ระยะทางที่ผ่านมาเขาพบซากสัตว์
มากมายกองเรี่ยราดกับพื้นดิน     เขาเข้าใจว่าสถานที่นี้คงจะเกิดเพลิงป่าไม้จนราบเลี่ยนเตียน
ไปหมด  ด้วยบรรดาตอไม้ต่างดำบ้างไม่ดำบ้าง  ส่วนหญ้าวัชพืชนั้นแห้งแทบหมดจะ
มีบางต้นที่ใบเหี่ยวเฉา

      จวบจนตะวันบ่ายคล้อยอากาศค่อยสดชื่นขึ้นบ้าง     ลมเย็นเริ่มพัดมาเย็นหน่อยซึ่ง
ตอนแรกถึงมีลมพัดแต่ยิ่งกลับร้อนมากยิ่งขึ้นแต่ก็ยังดี   ดีกว่าไม่มีลมเสียเลย
ทั้งสองก็ยังไม่พ้นทุ่ง    แต่ใจชื้นขึ้นหน่อยเมื่อเห็นว่าใกล้ภูเขามากแล้ว แนวเขาที่มอง
แต่ไกลเตียนโล่งปราศจากต้นไม้   เมื่อใกล้เข้ามา
จึงเห็นต้นไม้เล็กขนาดไม่ใหญ่มากนักเรียงรายเป็นขย่อมๆบ้าง  ล้วนแล้วแต่เป็นวัชพืช
ขึ้นแต่ห่างๆกัน     พอตกเย็นและอากาศเริ่มสลัวๆเขาก็ถึงตีนเขา      
       ชายหนุ่ม......สิ่งแรกคือหาแหล่งน้ำก่อนแต่เขาไม่เห็นลำธารเลยสักสายเดียว   ดังนั้น
จึงเปลี่ยนใจ   ทันใดนั้นได้ยินเสียงกระซิบจากแม่นางพรายว่า  เลี้ยวไปทางขวามือก็จะพบ
ถ้ำขนาดค่อนข้างใหญ่ภายในจะมีแอ่งน้ำอยู่    ชายหนุ่มกล่าวขอบใจแม่นางพรายทั้งสอง
ที่ช่วยชี้แนะทางให้         ดังนั้นจึงเดินเบี่ยงร่างไปทางขวามือทันทีโดยปีนป่ายขึ้นไปเพื่อ
ค้นหาถ้ำที่แม่นางบอก   ในแม่ช้าเขาก็เห็นปากถ้ำซึ่งมีวัชพืชขึ้นบางๆ

      เมื่อถึงปากถ้ำ  เขาและเจ้าขนทองนอนแผ่หลาทันทีด้วยความปวดเมื่อยขบ
ตามร่างกายคอยจนหายปวดเมื่อยก่อน    บรรดาแหล่งน้ำแล้วอาหารล่ะ?....
ด้วยตอนนี้หมดเกลี้ยงไปแล้ว   เห็นทีมื้อเย็นนี้คงจะต้องอดเสียแล้ว    
 แต่ช่างเถอะขอให้เจอน้ำก่อนก็พอจะประทังความหิวโหยไปได้บ้าง
    ครั้นหายทุเลาดีแล้ว   ชายหนุ่มก็ดึงร่างเจ้าขนทองเดินเข้าไปในถ้ำทันที  ตอนนี้อากาศ
เริ่มมืดมิดแล้วและเยือกเย็นด้วย   ทางเดินเห็นเพียงแค่สลัวๆเท่านั้น     
        ดังนั้นเขาจึงล้วงหยิบคบไฟที่เหลือมาจุดทันทีแล้วส่องทางเดินเข้าไป    บริเวณภายใน
กว้างขวางนักมีหลีบซ้อนๆกันหลายๆชั้น  มีหินย้อยเรียงรายยามกระทบกับแสงไฟก็ส่ง
ประกายระยิบทอแสงเรืองรองหลากหลายสีดูงดงามยิ่งนัก     แต่เขาหาได้สนใจไม่เพียงสิ่ง
เดียวที่เขาปรารถนาคือ น้ำๆเท่านั้น    เพื่อค้นสิ่งที่ต้องการจึงเที่ยวค้นหาก็ได้ยินเสียงของ
แม่นางพรายกระซิบบอกว่า    

         น้ำนั้นอยู่ข้างในต้องผ่านหลีบหินด้านซ้ายมือเข้าไปถึงจะพบ
เขาจึงจูงเจ้าขนทองเดินผ่านหินที่วางเรียงรายระเกะระกะไปทั่ว  ก้อนหินนั้นล้วนส่งประกาย
แสงสีสดใสหลากสีต่างๆ    พอผ่านหลีบหินไปได้สองสามชั้น
ทางด้านซ้ายมือ   พอพ้นหลีบหินเบื้องหลังนั้น   เขาก็พบแอ่งน้ำที่ไหลย้อยมา
จากหินย้อยเป็นน้ำใสบริสุทธิ์     ดังนั้นทั้งคนและสัตว์ต่างก็เข้าไปพากันดื่มกินจนอิ่มหนำ
สำราญแล้วนำมาลูบตัว   ชายหนุ่มพลางวักน้ำไปลูบยังตัวให้เจ้าขนทองเสียเปียกปอนไปทั่ว
มันแสดงอาการดีอกดีใจที่ได้น้ำเย็นด้วยผ่านอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาทั้งๆวัน
          เมื่อเขาจัดการดื่มกินแล้วก็นำกระบอกไม้ไผ่มาเติมน้ำให้เต็มทั้งสามกระบอกเพื่อจะได้
ใช้ในการเดินทางต่อไปข้างหน้า       พลันร่างนางพรายแสนสวยทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้นพวก
หล่อนได้เดินมาหาเขา   แล้วกล่าวว่าท้ายสุดของถ้ำนี้จะมีทางออกไปอีกฟากหนึ่งซึ่งอุดมไป
ด้วยผลไม้นานาชนิดซึ่งอันตราย    แต่ให้พักผ่อนที่นี่สักคืนก่อนพวกหล่อนจะคอยเฝ้าดูแลให้

            ชายหนุ่มกล่าวขอบใจพร้อมยิ้มส่งให้นางพรายทั้งสองทันที   ภายในถ้ำตอนนี้รู้สึกเย็นๆ
ขึ้นตามลำดับ     เขารีบนำคบไฟไปหาที่ปักเพื่อให้แสงสว่างกระจายได้ทั่วๆบริเวณ    และเดินหา
ที่ใช้สำหรับพักผ่อน   แต่ที่นี้มีบริเวณกว้างนักไม่เป็นปัญหาสำหรับจะหาที่พักเมื่อพบแล้วจึงได้
นำหนังเสือมาปูเพื่อใช้หลับนอนในค่ำคืนนี้    พลางหันไปถามแม่นางพรายว่า
        “แม่นางประกายแดง  ประกายเขียว ในบริเวณนี้จะมีสัตว์ร้ายอาศัยหรือไม่”
         “ไม่มีหรอกพี่ท่านด้วย  ถ้ำนี้เป็นสิ่งที่อาศัยของพญางูอยู่     แต่เหตุที่พี่ท่านและเจ้าน้อง
ประกายทองเข้ามาได้     ก็ด้วยอาศัยดวงแก้วของพญางูยักษ์ที่พี่ท่านและน้องห้อยคออยู่ตลอดจน
กระบองนาคราช    ทำให้ท่านพญางูเกรงกลัวไม่กล้าออกมารบกวนท่านพี่หรอก”    นางทั้งสองตอบ
          “อ้อ....เป็นเช่นนี้หรือ”   ชายหนุ่มอุทานเบาๆ
           “ตลอดคืนนี้น้องทั้งสองจะคอยระมัดระวังเฝ้าดูแลให้จ๊ะ   หากมีอะไรน้องจะปลุกท่านพี่ทันที”
          “ขอบใจน้องเรามากนะ  นี่หากพี่ไม่ได้น้องทั้งสองแนะนำ    ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องลำบากอีกนาน
สักเท่าไร  บางทีอาจจะต้องตายไปก็ได้”  ชายหนุ่มรำพึงเสียงเบาๆ
           “ไม่หรอกท่านพี่หากท่านพี่เป็นอะไรไป   น้องเองก็จะต้องลำบากด้วยเจ้าค่ะ”
           “ อ้าวๆๆทำไมล่ะน้องพี่?????....”   ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
      หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันแล้วพากันหัวเราะขึ้นมา........
           “ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องบอกท่านพี่หรอกเจ้าค่ะ”   นางประกายแดงตอบ
           “หากถึงเวลาแล้วบอกพี่ด้วยนะน้อง”      ชายหนุ่มกล่าว
            “ถึงเวลาแล้วท่านพี่จะรู้เองแหละจ๊ะ”    พรายเขียวตอบขึ้นบ้าง
     นับวันความผูกพันของทั้งสี่ก็กระชับแน่นแฟ้นมากยิ่งๆขึ้น  ความผูกพันนี้ต่อๆไปนับเป็นความรัก
เข้าใจเห็นใจซึ่งกันและกันจนแปรสภาพไปหมดสิ้น

      ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงจะขาดสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เด็ดขาดแน่นอน      หากเกิดการแปรเปลี่ยนใน
อนาคตเขาคงจะต้องเกิดความเสียใจมากๆ        ครั้นสนทนากันหยอกล้อกันพอได้เวลาเขาก็ขอ
ต่อแม่นางพรายทั้งสองเพื่อพักผ่อนเพื่อจะได้เอาแรงออกเดินทางต่อไปข้างหน้าอีก
      ครั้นรุ่งอรุณวันใหม่ย่างกรายเข้ามา   เขารีบเก็บสัมภาระซึ่งมีไม่มากนักจัดเข้าทีทางแล้วหลัง
จากชำระล้างใบหน้าและร่างกาย     ก็ออกเดินทางไปตามทางที่นางพรายทั้งสองแนะนำไว้
เดินทางไปถึงทางที่จะทะลุออกไปยังอีกฝั่งหนึ่ง     แต่ทางกลับเล็กลงๆไปเรื่อยๆจนเขาต้องคลาน
ออกไปเป็นระยะทางไกลพอสมควร   โดยเจ้าขนทองคลานไปล่วงหน้าก่อน    จนถึงทางแยก
เขาลังเลว่าจะไปทางใดดี   ก็พอดีได้ยินเสียงนางพรายกระซิบบอกให้แยกไปทางขวามือ
      เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็คลานไปตามทางที่นางบอกพื้นถ้ำรู้สึกว่ามีหินแหลมคมๆคอยบาดเนื้อ
เขา  เขามิมีเวลาสนใจรีบๆคลาน    ทางก็เริ่มจะกว้างขึ้นๆจนในที่สุดเขาและเจ้าขนทอง
สามารถยืนขึ้นได้    เขาหันไปมองดูด้านหลังเห็นว่าที่เขาผ่านมานั้นล้วนแต่เป็นหินแหลมคม
ทั้งสิ้น ยังกับฟันของสัตว์จำพวกหนึ่งก็ได้         แต่ความหิวทำให้เขาไม่สนใจอะไรมากนัก

         เมื่อพ้นจากปากถ้ำ  เขารีบสูดหายใจลึกๆทันทีด้วย  อากาศช่างเย็นบริสุทธิ์อะไรเช่นนี้
สภาพผิดกับด้านตรงข้ามยังกับหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว    ด้วยสถานที่นี้เต็มไปด้วยป่าเขา
แมกไม้พืชนานาพันธุ์   ที่ออกดอกสวยงามหลากสี  และผลไม้อุดมออกผลย้อยไปทั่ว
ช่างเป็นสถานที่ดังภาพวาดในเมืองแมนมิตามฝาผนังในโบสถ์มิผิด
       เขารีบจูงมือเจ้าขนทองซึ่งมีอาการตื่นเต้น
ดีอกดีใจ สะบัดมือเขา   พลางกระโดดโลดเต้นตีลังกาไปตามประสาลิงทั่วๆไป
         เขาไม่ต้องสั่งการแต่อย่างไรเมื่อถึงพื้นดินแล้ว  มันพุ่งทะยานโลดลิ่วไปยังต้นไม้ที่มีผล
ไม้ทันที     เลือกเก็บที่กินได้หอบพะรุงพะรังมาให้เขา      ชายหนุ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใน
ทันที     ด้วยต้นไม้บางต้นขยับเขยื้อนเถาวัลย์ไปๆมาๆ  ค่อยๆเลื้อยไปหาเจ้าขนทองแต่ด้วย
เหตุใดไม่ทราบ  เถาวัลย์นั้นเมื่อใกล้เจ้าขนทองกลับหยุดชะงักไม่กล้าเลื้อยเข้าใกล้ตัวมัน
ทำให้ชายหนุ่มรำลึกถึงคำที่กล่าวไว้ว่า..   สิ่งใดที่งดงามสวยนักมักจะมีเภทภัยเสมอๆจะมาก
หรือน้อยก็ล้วนแล้วสถานที่อำนวยให้
          พลางคำนึงว่าเห็นจะจริงด้วยเขามองเห็นต้นไม้ใหญ่ๆบางต้นส่ายไปส่ายมา    จะว่าลม
พัดก็ไม่ใช่   เพราะต้นไม้มันส่ายไปทั้งลำต้น        ครั้นหลังจากกินอาหารร่วมกับเจ้าขนทอง
แล้ว     เจ้าขนทองก็จะทะยานเข้าสู่ป่าแต่เขาได้เรียกมันทันที    เจ้าขนทองชะงักตีลังกาย้อน
กลับมาทันที   แล้วมองหน้าเขาเหมือนสงสัย        เขาชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่บางต้นที่ยังมีเถาวัลย์
ห้อยออกจากลำต้นให้เจ้าขนทองดู   เจ้าขนทองเมื่อแลเห็นเช่นนั้นตามันเหลือกไปๆมาๆ

         ชายหนุ่มมองไปยังสภาพภูมิประเทศรอบๆด้าน   เห็นมีช่องทางที่โล่งแต่เต็มไปด้วย
วัชพืชขึ้นประมาณเกือบครึ่งหน้าแข้ง    เขาคิดเห็นว่าอาจจะหลีกเลี่ยงเจ้าต้นไม้นี้ได้
ดังนั้นจึงจูงเจ้าขนทองให้เดิน   คราวนี้เจ้าขนทองไม่กระโดดอีกแล้วเดินตามเขาต้อยๆๆ
      เมื่อเดินไปได้ระยะหนี้ปรากฏว่างูพิษต่างๆตัวใหญ่ขนาดข้อมือเขาเห็นจะได้
ต่างก็ได้พุ่งตัวหลบทางเขาทันที   
ทันใดนั้นร่างของมันที่หนีหลายตัว   บางตัวก็ถูกต้นไม้นั้นใช้เถาวัลย์ซึ่งย้อยส่ายไปมาๆ
พากันรัดร่างมันจนแหลกละเอียด   บรรดาเถาวัลย์ต่างๆแยกย้ายกันจับพวกงูพิษทั้งหลาย
แล้วดูดซึมน้ำเลือดเนื้อของงูทันทีจนเหลือเพียงแต่ซากงูที่หล่นลงมายังโคนต้นไม้
        เขามองดูให้รู้สึกสะท้านใจหากเป็นร่างเขาหรือเจ้าขนทองล่ะคงจะเป็นเช่นเดียวกัน 
เมื่อเดินผ่านมาได้อยู่ในท่ามกลางต้นไม้เหล่านี้    เสียงดังครืนๆใกล้ๆเข้ามา  เขาหันขวับ
ไปมอง     โอ้ววๆๆ...มันเดินได้หรือ    ร่างเขาและเจ้าขนทองต่างตกอยู่ในวงล้อมของ
ต้นไม้ไปเสียแล้ว     บรรดาต้นไม้ต่างชูเถาวัลย์พุ่งตรงมาหาเขาบ้างก็เลื้อยมาตามพื้นดิน
บ้างก็แกว่งไกวส่ายไปๆมาๆ   เหล่าเถาวัลย์มันปิดทางออกของเขาเสียแล้วทุกๆต้นมัน
ต่างรายล้อม       แต่แปลกที่เถาวัลย์หาได้ใกล้เข้าถึงตัวเขาและเจ้าขนทองได้
          
        เมื่อเป็นดังนี้ทำให้เขารำลึกนึกถึงคำของท่านพญางูธนาธิบดีนาคา
ที่มอบกระบองนาคราชให้แก่เขา       ดังนั้นเขาจึงรีบส่งเสียงเรียก 
     “นาคราชๆๆ....”   เสียงเบาๆ   ทันใดมีแสงพุ่งออกมาจากตัวเจ้าขนทองทันที  พุ่งมาหา
เขา    ชายหนุ่มยื่นมือขึ้นรับไว้แล้วกล่าวว่า
       “เจ้าจงใหญ่ขึ้นเดี๋ยวนี้”    กระบอกน้อยเล็กนิดเดียวก็ขยายใหญ่เป็นกระบองกระชับมือ
เขาหยิบท่อนหัวซึ่งเป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียรชี้ไปยังเหล่าต้นไม้ที่มีเถาวัลย์ที่ส่ายไปๆมาๆ
ทันทีพร้อมกล่าวขึ้นว่า
         “เจ้านาคราชเอย   เจ้าจงทำลายมันเดี๋ยวนี้”
      บัดดลกระบองนาคราชก็ลอยออกจากมือเขาทันที   หัวของพญานาคได้มีลำแสงพุ่งออก
มาทั้งสิบสี่สาย  พุ่งแยกเข้าทำลายยังยอดกลางลำต้นของต้นไม้ทันที   เสียงดังฉี่ๆและระเบิด 
สนั่นหวั่นไหว   ต้นไม้ต้นแรกแตกกระจายยับเยิน   บรรดาต้นไม้อื่นๆต่างรีบหนีเสียงครืนๆ
ค่อยๆห่างออกไปทีละน้อยๆ   แต่กระบองนาคราชก็ไม่ยอมปล่อยปะละเลย  ทั้งลำแสงที่พุ่ง
ออกมาและตัวกระบองก็เข้าไปตี   ถูกต้นใดก็มีอันเป็นไปดังต้นแรกสักประมาณชั่วครู่ใหญ่
เหล่าต้นไม้ที่เคลื่อนที่ได้ต่างก็ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น     
          ครั้นหมดภาระทำลายต้นไม้แล้วกระบองนาคราชก็ย้อนกลับมา
ยังมือของชายหนุ่มอีกครั้ง   ชายหนุ่มมองดูต้นไม้ที่แหลกละเอียด
เขาได้รับกลิ่นเหม็นเขียวฉุนรุนแรงมากๆเขาต้องเอามือปิดจมูก  และมีน้ำสีเขียวๆข้น
เต็มไปทั่วบริเวณนั้น  บรรดาพืชต่างๆเมื่อได้รับน้ำจากต้นไม้ที่แหลกนั้นต่างก็บังเกิดควัน
และเหี่ยวแห้งอับเฉาตายไปทันที  เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็สั่งให้กระบองนาคราชกลับ
ไปยังที่เดิม   กระบองนั้นก็พลันหดตัวลงเล็กแล้วพุ่งไปยังร่างเจ้าขนทองสู่ยังดวงแก้วทันที
          ครั้นปราบบรรดาเจ้าต้นไม้จนหมดสิ้นแล้ว    ชายหนุ่มก็เรียกเจ้าขนทองให้ออกเดิน
ทางต่อไป   คราวนี้เจ้าขนทองมันแสดงความดีใจกระโดดโลดเต้นตีลังกานำหน้าเดินทาง
เพื่อนำเขาไปยัง   ป่าเนินเขาเพื่อหาทางออกจากภูเขาทั้งหลาย ต่างลุเข้าสู่แนวป่าผ่านซอก
แนวเชิงเขาทันใด............

                    *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
11 กุมภาพันธ์ 2553 16:04 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 16

แก้วประเสริฐ


           ลุ่มลึกอิสราวดี  16

     หลังจากพายุฟ้าคำรามสงบลงแล้ว    มังสุระบดีและมังสีหะมะทาซึ่งตื่นตระหนก
จากเสียงคำรามของฟ้าตลอดจนยอดปราสาท  ยอดฉัตรเหนือบัลลังก์หักโค่นลง
ทำให้นึกสังหรณ์ในใจ  แต่ด้วยความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงเข้าครอบงำไว้
     มังสุระบดีมหาอำมาตย์ใหญ่ที่คิดจะสถาปนาตนเองก็ส่งเสียงหัวร่อดังลั่น
พลันกล่าวขึ้นในท่ามกลางเจ้าแห่งแคว้นต่างๆตลอดจนเหล่าแม่ทัพนายกองขึ้นว่า
    “เหตุการณ์ครั้งนี้เห็นทีฟ้าดินจะอำนวยอวยพรให้แก่เราว่า  การครั้งนี้เห็นที
ว่าจะเป็นฤกษ์งามยามดี   ที่เราจะปรับเปลี่ยนแผ่นดินใหม่
เพื่อความผาสุกของเหล่าอาณาประชาราษฎร์ทั้งหลาย 
 ตลอดจนความสุขแก่เหล่าแว่นแคว้นต่างๆเสียเป็น
มั่นเป็นเหมาะแล้วแน่แท้นะ ราชวงศ์เก่าคงจะหมดสิ้นแล้ว
    เพื่อให้เราได้สร้างเศวตฉัตรและยอดปราสาทขึ้นเพื่อความรุ่งเรือง
ของราชวงศ์ใหม่เป็นแน่   พวกท่านทั้งหลายเห็นเป็นประการใดรึ”
    เหล่าเจ้าแคว้นต่างๆตลอดมวลอำมาตย์ข้าราชบริพารแม่ทัพนายกอง  ครั้นได้ยินคำกล่าวเช่นนี้  ซึ่งต่างก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจ
ก็พากันสรรเสริญ ยกยอปอปั้นไปตามๆ
กันหาได้มีผู้หนึ่งผู้ใดกล่าวขัดขวางก็หาไม่
    เจ้าแคว้นแห่งเมืองตองอูกล่าวว่า
   “ นั่นซิ  ฟ้าดินคงจะอำนวยชัยให้แก่ท่านเป็นแน่แท้”  ทั้งๆที่ภายในใจมันก็นึก
ประหวั่นต่อเหตุการณ์เช่นนี้  หากจะกล่าวตรงๆไปก็เกรงภัยจะเกิดขึ้นได้
     ข้างฝ่ายอำมาตย์น้อยใหญ่และแม่ทัพต่างก็ร้องสรรเสริญยกยอเป็นการใหญ่

      เมื่อมังสุระบดีได้ยินความเช่นนั้น  ก็หันไปสั่งแก่เหล่าสนมกำนัลให้นำมหามงกุฎ
ไปเก็บเสีย  แล้วพลางกล่าวขึ้นว่า
      “ในเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น  เราเห็นทีจะต้องสร้างมหามงกุฎขึ้นใหม่เสียแล้ว
อีกประการหนึ่ง  เราก็ขอยกเลิกการสถาปนาเป็นกษัตริย์ลงไว้ก่อน เว้นได้โอกาสฤกษ์งาม
ยามดีก็จะเถลิงราชสมบัติต่อไป   แต่เราจะรักษาการณ์แทนในตำแหน่งมหากษัตริย์ต่อไป
พวกท่านทั้งหลายเห็นเป็นไฉน”
      แล้วแต่ท่านมังสุระบดีเถิด  การครั้งนี้เมื่อรักษาการณ์ก็เปรียบเสมือนกับเป็นราชันย์เหมือนกัน”
   เหล่าเจ้าแคว้นต่างๆและมวลอำมาตย์แม่ทัพนายกองกล่าวขึ้นพร้อมเพียงกัน
   “เอาล่ะในเมื่อพวกท่านทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้แล้ว   เราก็ขอประกาศ ณ ที่นี้
ว่าจะแต่งตั้งให้ท่าน มังสีหะมะทาขึ้นดำรงตำแหน่งท่านมหาอำมาตย์ใหญ่และควบตำแหน่ง
เสนาบดีใหญ่ฝ่ายทหารอีกตำแหน่งหนึ่ง  
อำนาจทั้งหมดให้เป็นรองเราเท่านั้น”  
มังสุระบดีกล่าวขึ้น
    เหล่าอำมาตย์น้อยใหญ่และแม่ทัพนายกองก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่ประการใด   ได้แต่มอง
หน้ากันไปมา   
  แต่ในส่วนลึกคิดถึงเรื่องยอดปราสาทหักและเศวตฉัตรจะเกิดภัยแน่นอน
ด้วยการครั้งนี้มันบ่งบอกถึงลางร้าย    แม้แต่ท่านโหราธิบดีจารย์ก็กระอักกระอ่วนใจนัก
ครั้นจะกล่าวก็เกรงภัยจะตกถึงตัวจึงได้เงียบๆไว้

    ทันใดนั้นเองทหารคนสนิทของมังสีหะมะทาก็เข้ามารายงานข้างหูของท่านเสนาบดีใหญ่
มังสีหะมะทาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ  และรีบไปกระซิบที่ข้างหูแก่มังสุระบดีทันที
     ทำให้ผู้สำเร็จราชการซึ่งพึ่งรับตำแหน่งใหม่ๆถึงกับอุทานขึ้นมาทันที
     “อ้าาๆ????.... ใยมีเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเชียวหรือ”   แล้วหันไปสั่งแก่มังสีหะมะทาทันทีว่าให้
รีบออกไปดำเนินการทันที    แต่ตัวเองยังปั้นสีหน้ายิ้มแย้มหันไปกล่าวกับเจ้าแคว้นนครต่างๆ
ตลอดจนมวลอำมาตย์แม่ทัพนายกองน้อยใหญ่ทันที
      “ข้าขอขอบใจท่านทั้งหลายที่ให้เกียรติแก่แคว้นเรา  และท่านทั้งหลายไปพักผ่อนยังเรือน
ต้อนรับก่อน   ด้วยเรามีงานเร่งด่วนที่จะทำในครั้งนี้  ต้องขออภัยแก่ท่านทั้งหลายด้วยนะ”
      ฝ่ายเจ้าแคว้นนครต่างๆและมวลอำมาตย์ทั้งปวงได้ยินเช่นนี้  ก็บังเกิดความดีใจด้วยเห็นว่า
      เรื่องนี้คงจะไม่ธรรมดาเสียแล้วคงจะมีเหตุภัยร้ายแรงเกิดขึ้นแน่นอน   เพียงแต่พวกตนยัง
ไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้น  
      มังสุระบดีหันไปทางเหล่าแม่ทัพนายกองแล้วสั่งว่า
     “ขอให้ท่านแม่ทัพนายกองอยู่ก่อน  อย่าพึ่งกลับไป    เดี๋ยวท่านมังสีหะมะทาจะมีเรื่องปรึกษา
ข้อราชการ
      เหล่าบรรดาเจ้าแคว้นนครต่างๆตลอดจนมวลอำมาตย์แสดงความเคารพแก่มังสุระบดีแล้วก็
รีบต่างพากันทยอยออกไปจนหมดสิ้น

      ครั้นเหล่าแคว้นต่างๆและอำมาตย์ได้ออกไปแล้ว    มังสีหะมะทาก็หันไปสั่งแก่เหล่าแม่ทัพ
นายกองทันทีว่า
     “บัดนี้เกิดความวุ่นวายภายในเมือง  ให้ท่านเหมี่ยวมังละสุทีแม่ทัพคุมกำลังไปดับไฟที่วางเพลิง
คลังอาวุธและคลังฉางข้าวโดยด่วน  ตลอดจนจัดกำลังออกจับกุมผู้ก่อการโดยเร็ว   ส่วนท่านมังสุระศรี
ก็จัดกำลังเข้าตรวจค้นผู้ที่สงสัยและสั่งปิดประตูเมืองโดยด่วน
      ครั้นแม่ทัพทั้งสองนายรับคำสั่งแล้ว   ก็รีบออกมาจัดกำลังพลออกปฏิบัติการทันที
ระหว่างที่ฟ้าคำรามและฝนหยุดแล้ว  เหล่าทหารที่แฝงกายเป็นพลเรือนของมังละเว้เมื่อได้รับคำสั่ง
จากท่านเหมี่ยวนรธาแล้วก็คัดทหารกล้าตายเข้าเริ่มปฏิบัติงานโดยแบ่งเป็นกลุ่มๆละ ห้าคน  แยกย้าย
กันไปปฏิบัติงาน     ยามเมื่อเห็นยอดปราสาทราชมณเฑียรถูกฟ้าผ่าหักสะบั้นลงก็ให้เกิดความยินดียิ่ง
ถือเป็นฤกษ์ดี     
      งานนี้คงจะสำเร็จลุล่วงไปได้แน่นอนด้วยฟ้าดินคงพิโรธช่วยเหลือ   จึงนำกำลังพล
ทั้งหมดออกปฏิบัติการทันที   โดยกำชับว่าเมื่อวางเพลิงลุกดีแล้วให้รีบหนีออกจากตัวเมืองโดยเร็ว
อย่าได้รีรอชักช้าเป็นอันขาด   ด้วยประตูเมืองจะถูกปิดต้องมีเหตุการณ์นี้ขึ้นแน่นอน เมื่อสั่งการให้
เหล่าทหารกล้าทั้งหลายทราบ     ก็นำกำลังพลสามนายพร้อมสิ่งที่จะใช้วางเพลิงแยกย้ายไปทำงาน
ทันที
      บัดนี้แทบทุกมุมเมืองปรากฏเปลวเพลิงลุกลามขึ้นอย่างรวดเร็วประกอบกับพายุที่หายไปนั้น
กลับเกิดขึ้นพัดโหมกระหน่ำอีกวาระหนึ่ง  บ้านเรือนฝ่ายทหารถูกเปลวเพลิงมอดไหม้แทบหมดสิ้น
เสียงแตกเผียะๆดังลั่นสนั่นคลังอาวุธ    สถานที่เก็บม้าได้ถูกปล่อยวิ่งหนึเพ่นพานไปทั่ว
  คลังเสบียงอาหาร ตลอดจนอื่นๆต่างตกอยู่ภายใต้กองเพลิงทั้งสิ้น
      เหล่าทหารพากันวิ่งวุ่นหาน้ำมาดับเพลิงกันจ้าระหวั่นแต่น้ำที่จะหามาได้
นั้นไม่พอเพียงกับการใช้ดับไฟตลอดจนพายุได้โหมอย่างหนัก  เปลวเพลิงลอยขึ้นท้องฟ้าปลิวไป
ทั่วเมือง และติดไปยังบ้านชาวเมืองทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปเสียทั้งสิ้น  เมืองทั้งเมืองแทบ
ลุกเป็นไฟ   
      บรรดาเหล่าเจ้าแคว้นนครต่างๆพากันตื่นตระหนกไปตามๆกันเตรียมตัวเพื่อออกเดิน
ทางกลับ    และมาออที่ประตูเมืองทหารประจำประตูเมืองก็อนุญาตให้ออกไปนอกเมืองได้
ด้วยเห็นเป็นแขกบ้านแขกเมือง  คงจะได้รับอนุญาตจากท่านมังสีหะมะทาแล้ว   ขณะเดียวกัน
พวกทหารในร่างพลเรือนก็แอบแฝงออกมาด้วย    เมื่อพ้นประตูเมืองแล้วก็แยกย้ายกันกับยัง
ที่พักทันที
       เมื่อรายงานไปถึงท่านมังสุระบดีก็ให้โกรธ กระทืบพื้นแล้วเร่าๆ  รีบออกมาดูเหตุการณ์
พร้อมด้วยมังสีหะมะทาสั่งการอย่างเร่งด่วน     
เวลาผ่านไปจวบจนเพลิงยุติมอดไหม้ด้วยไม่มีสิ่งที่เป็นเชื้อเพลิงอีกแล้ว   
 บรรดาเหล่าอำมาตย์ทั้งหลายต่างก็ทยอยเข้ามาสมทบทันที  
 เมื่อแลเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นต่างพากันวิตกยิ่งนักกริ่งเกรงว่า    
       หากเป็นเช่นนี้แล้วเห็นทีผู้สำเร็จราชการก็คงจะเรียกเก็บเงินทองจากพวกตนและ
ราษฎร์ก็จะเกิดความสับสน   ด้วยตอนนี้พวกราษฎร์นั้น  ส่วนใหญ่ต่างหลบหนีออกเมือง
ไปเสียสิ้น    ที่เหลืออีกไม่มากนักเนื่องจากส่วนมาก   นอกจากพวกเด็กคนชราและพ่อค้าวานิช
    จึงต่างพากันปรึกษากันว่าจะหาทางทำอย่างไรดี
    เหล่าทหารเข้ามารายงานว่าเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้เกิดจากการลอบวางเพลิง  แต่ไม่สามารถ
จับคนร้ายได้   ด้วยในระหว่างการทำพิธีนั้นทุกๆคนต่างก็มาเพื่อที่จะร่วมแสดงความยินดีกับ
ท่านผู้สำเร็จราชการ   
    ดังนั้นไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นบัดนี้ประตูเมืองทุกๆประตูได้ถูกปิดตาย
และบรรดาเจ้าแคว้นนครต่างๆได้ต่างกลับไปหมดสิ้นแล้ว
    ครั้นมังสุระบดีทราบเหตุดังนี้   จะเอาความผิดกับทหารก็ไม่ได้จึงหันมาปรึกษากับ
มังสีหะมะทา  ว่าจะทำฉันท์ใดดี กล่าวขึ้นว่า  
    “นี่แน๊ะ!!!!....ท่านมหาอำมาตย์เสนาบดี  การครั้งนี้เหตุเกิดในเมือง  พวกบรรดา
แคว้นต่างๆก็จะเกิดการแข็งข้อแน่นอน   
     หากจะเอาความผิดทหารเราก็ไม่ได้   ขอให้ท่านตระเตรียมทหารและสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นใหม่โดยรีบด่วน 
ตลอดจนเสบียงอาหารไว้ให้พร้อมเพื่อป้องกันเหตุนี้นะ”

    “ขอรับ...ท่านผู้สำเร็จราชการข้าจะเรียกประชุมนายทัพนายกองด่วน   เพื่อวางแผนป้องกัน
ไว้   และจะจัดการซ่อมแซมสิ่งที่เกิดเพลิงไหมโดยด่วนที่สุดขอรับ”  ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ซึ่ง
พึ่งได้รับการแต่งตั้งหมาดๆกล่าวตอบ
     “เอาล่ะๆ....ในเมื่อท่านรับปากเราเช่นนี้เราค่อยคลายใจได้บ้าง  หากท่านต้องการสิ่งใดให้
แจ้งมายังข้าเพื่อจะจัดการให้ท่าน   ส่วนเราจะเรียกประชุมเหล่าอำมาตย์ทั้งปวงเพื่อจัดหาเงินมา
ช่วยเหลือการครั้งนี้   และจะนำเงินในท้องพระคลังออกมาใช้จ่ายไปก่อนและปรึกษาหารือเกี่ยวกับ
การวางแผนในเมืองต่อไป”   ผู้สำเร็จราชการที่ยกตัวเองขึ้นกล่าว
      ครั้นแล้วมันก็เดินทางเข้าวังทันที   ด้านมหาอำมาตย์ใหญ่ก็รีบไปบัญชาการเกี่ยวกับกองกำลัง
เพื่อสำรองใช้ในการปกป้องและปราบปรามบรรดาแว่นแคว้นต่างๆหาก เกิดการกระด้างกระเดื่อง
ตลอดจนสั่งทหารให้รีบซ่อมแซม   หากไม่สามารถซ่อมได้ก็ให้จัดการสร้างขึ้นใหม่   แล้วมีหนังสือ
ไปยังบรรดานายทัพนายกอง ตลอดจนบรรดากองทัพที่อยู่นอกเมืองให้ตระเตรียมกำลังไว้หากจำเป็น
ต้องใช้ในศึกสงครามต่อไป

      ทางด้านเหมี่ยวนรธา   ครั้นทหารที่ไปทำการมารายงานว่าการทำครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
และทุกๆคนปลอดภัยตามแผนการที่ท่านได้วางไว้ทุกประการ    เมื่อทุกคนจุดไฟที่ผสมด้วยน้ำมัน
แล้วรอจนไฟติดกระชุจึงได้รีบออกมา  และหาทางกลับไปนอกเมืองบ้างก็แฝงไปกับบรรดาเจ้าเมือง
ต่างๆออกไป     การครั้งนี้พวกมหาอำมาตย์มังสุระบดีไม่สามารถเถลิงปราบดาเป็นกษัตริย์ได้แต่มัน
ยกตัวเองขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการควบคุมอำนาจเด็ดขาดเสมือนหนึ่งองค์กษัตริย์มิปาน
       ครั้นเหมี่ยวนรธาได้รับรายงานแล้วก็ให้บังเกิดความดีใจ   รีบทำหนังสือรายงานไปยังท่านแม่
ทัพใหญ่    
       สักครู่ใหญ่เขาก็ได้รับรายงานจากทหารที่ปลอมแปลงตัวมาส่งรายงานว่าแม่ทัพใหญ่ได้
ค้นหาพบเจ้าแม่เหนือหัวแล้ว    และอารักขาอย่างปลอดภัยด้วยอยู่ยังป่าลึกในภูเขาแวดล้อมไป
ด้วยภูเขามากมายเป็นกำแพงกันยากนักจะเข้ามาตลอดแนวได้วางกำลังเรียบร้อย   โดยได้ทำการ  ตลอดได้ย้ายกองกำลังและไปนำอาวุธ
ที่ซ่อนเร้นตลอดจนบรรดาม้าศึกทั้งหลายกลับไปยังหุบเขา
หมดสิ้นเรียบร้อย           
      ดังนั้นนายกองเหมี่ยวนรธา  จึงมอบหนังสือส่งให้กลับไป
รายงานท่านแม่ทัพใหญ่เพื่อทราบผลการดำเนินการ  ตลอดจนเรื่องราวต่างๆ
เกี่ยวกับบรรดาแม่ทัพนายกองที่เข้ามาสวามิภักดิ์
และการส่องสุมกองกำลังไว้ให้แม่ทัพใหญ่ทราบ   เพื่อจะได้หาหนทางกอบกู้ช่วงชิงบัลลังก์คืน
       ในหนังสือของแม่ทัพใหญ่ยังได้กำชับให้แยกกองกำลังที่ฝึกไว้ออกเป็นกลุ่มย่อยๆ 
  อย่าให้เป็นที่สังเกตของเหล่าทหารในเมืองได้   
โดยให้นายกองเป็นผู้ควบคุมรับผิดชอบ  ส่วนทางด้านนี้ก็ได้จัดเตรียมกอง
กำลังไว้เพื่อรอเวลาโอกาสที่เหมาะสม   เพื่อยกกองกำลังเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีต่อไป.....


        ดังนั้นเจ้าขนทองก็กระโดดโลดเต้นตีลังกาแสดงความดีใจในชัยชนะของมันครั้งนี้   ชายหนุ่ม
เห็นดังนั้นก็หัวร่อแสดงความยินดีต่อมัน     แล้วก็จูงมือเจ้าขนทองออกเดินทาง    แต่ทว่าเบื้องหน้า
เขานั้นหาได้เป็นที่อยู่ของต้นไม้เขียวชอุ่มเลยก็หาไม่   กลับเป็นที่โล่งเตียนบรรดาต้นไม้เล็กๆต่างก็แห้งเฉา
เป็นบริเวณกว้าง   อากาศก็แสนร้อนอบอ้าวเป็นระยะทางไกล   เขามองไปยังเบื้องหน้าที่เป็นภูเขาก็
โล้นปราศจากต้นไม้ใดๆ  เห็นแต่เปลวระยิบระยับของแสงแดดไหวไปไหวมา
       ชายหนุ่มรีบตรวจดูน้ำในกระบอกทันที เห็นว่ายังพอจะมีเหลือเต็มอยู่สองกระบอกไม้ไผ่ แต่อีกกระบอกกลับเหลือครึ่งหนึ่ง 
      ทำให้ชายหนุ่มกังวลใจทันที  หากเขาจะต้องเดินทางไปยังเขาโล้นที่แล
เห็นอยู่ลิบๆ   น้ำที่เหลือจะพอประทังชีพได้อีกเท่าไหร่แต่ในเมื่อมาแล้วหากจะย้อนกลับไปก็จะเสียเวลา
      พลางคิดว่าเมื่อมาถึงที่นี้แล้วก็คงต้องปล่อยไปตามวาสนา   ดังนั้นจึงสลัดความคิดทั้งหลายออกแล้วจูงมือเจ้าขนทอง 
    รีบมุ่งหน้าเดินทางตัดตรงไปยังภูเขานั้นทันทีเผื่อจะมีโอกาสพบน้ำก็ได้.........

                    *   แก้วประเสริฐ.  *    

n016.gif				
10 กุมภาพันธ์ 2553 15:22 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 15

แก้วประเสริฐ


             ลุ่มลึกอิสราวดี  15

     ภายหลังจากที่นายกองของเสนาบดีจากไปพร้อมเหล่าทหารไปตรวจ
ยังร้านอื่น        ลับหลังนายกองก็รีบเข้าไปยังห้องลับทันทีพร้อมเขียน
หนังสือรายงานไปยังแม่ทัพเหมี่ยวสุรินทราบดีทันที  เพื่อให้ระมัดระวัง
ในการดำเนินการตลอดจนรับรายงานหากมี
      เสร็จแล้วก็มอบให้ทหารในร่างพ่อค้า  แฝงตัวนำไป มอบแก่แม่ทัพใหญ่    
แล้วก็ออกจากร้านค้าเพื่อออกนอกเมืองไปยัง   หน่วยสะสมกำลังซ่อนอยู่
ในป่าลึกที่ใช้สำหรับฝึกฝนอาวุธต่างๆ 
      เมื่อไปถึงก็เรียกหัวหน้าหมู่ที่ควบคุมเหล่าทหารใหม่สอบถามเหตุการณ์
และทราบมาว่า    บรรดาทหารที่หนีออกจากเมืองมานั้นต่างก็มาสมทบ
ด้วย      ที่ไม่พอใจในการกระทำของอำมาตย์ใหญ่และมีความจงรักภักดี
ต่อเจ้าแม่เหนือหัวรวมทั้งแม่ทัพต่างๆตลอดจนนายกองอื่นๆ

        นายกองเหมี่ยวนรธาเมื่อทราบดังนั้นก็ตรงไปยัง ที่พักของบรรดาแม่ทัพ
นายกอง   แสดงความเคารพต่อแม่ทัพต่างๆแล้วรายงานเรื่องภายในเมืองให้
ทราบไว้เพื่อจะได้ระมัดระวังตัว   บรรดาแม่ทัพเห็นดังนั้นก็พากันลุกขึ้นแล้ว
กล่าวขึ้นว่า
       “ท่านเหมี่ยวนรธา  พวกของเราถึงแม้จะเป็นแม่ทัพนายกองมาก่อน  แต่
บัดนี้หาใช่เป็นแม่ทัพและนายกองไม่    เห็นว่าท่านซึ่งมีความจงรักภักดีต่อ
พระแม่เจ้ารวบรวมจัดกำลังพลขึ้น  พวกข้าทั้งหลายขอยกย่องท่านให้เป็น
หัวหน้าพวกเรา  จะสั่งการใดๆ  ถึงจะลุยน้ำลุยไฟเราก็หาหวั่นเกรงใดไม่
และจะเชื่อฟัง เรื่องบรรดาศักดิ์ยศฐานันดรนั้นหมดสิ้นไปแล้ว”
         “ และต่อแต่นี้ไป  พวกเราจะถือท่านเป็นหัวหน้าพวกเราเท่านั้น”
      และพากันน้อมกายแสดงคาราวะแก่นายกองเหมี่ยวนรธา

      ครั้นเหมี่ยวนรธาเห็นเช่นนั้นพลางกล่าวว่า
         “ข้าขอขอบใจพวกท่านยิ่งนักที่ให้เกียรติแก่เรา  แต่ทว่าถึงอย่างไรหาก
นับด้วยความอาวุโสแล้วตลอดประสบการณ์   ท่านมีความเชี่ยวชาญกว่า
ข้ามากนัก   จำต้องพึ่งพาอาศัยท่านอีกมาก   เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเรามาสาบาน
เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันดีกว่านะขอรับ”
          บรรดาแม่ทัพนายกองเห็น  เหมี่ยวนรธาแสดงอาการอ่อนน้อมให้เกียรติ
แก่พวกตนเช่นนี้   พากันซาบซึ้งในน้ำใจจึงพร้อมใจกันตกลงรับปากคำ
           เหมี่ยวนรธาหันไปทางทหารที่คอยรับใช้ว่าให้ไปเอาเหล้ามาให้พร้อม
จอกขันในการดื่มกิน  พร้อมอาหารต่างๆมาเพื่อไหว้ฟ้าดินในการสาบานตนกัน
         เหล่าทหารที่ได้รับคำสั่งก็ออกไปนำสิ่งของอุปโภคบริโภคและรีบนำมา
ให้แก่เหมี่ยวนรธาทันที   เขาสั่งให้จัดโต๊ะบูชาฟ้าดินตลอดจนที่องค์พระรัตนตรัย
ด้วย     เมื่อเห็นครบถ้วนแล้ว  ทั้งหลายต่างคุกเข่าสักการบูชาพระรัตนตรัยกล่าว
คำสาบานร่วมเป็นพี่น้องเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายทันที  
       แล้วหันไปยังโต๊ะที่สำหรับไหว้ฟ้าดิน   เหมี่ยวนรธาหยิบเหล้าออกมา
เทยังขันใบใหญ่จนหมดไหแล้วนำมีดดาบออกมากรีดเลือดที่ยังท่อนแขน 
 ให้ไหลหลั่งลงไปยังเหล้าในขันนั้น
       บรรดาแม่ทัพนายกองเห็นดังนั้น  ก็ต่างทยอยกันมากรีดเลือดหลั่งสู่ขันนั้นทันที
พร้อมนำมีดวางไว้บนปากขันใบนั้น   แล้วต่างจุดธูปกล่าวคำสาบานต่อฟ้าดินทันที
       ว่าทั้งหมดจะขอร่วมเป็นร่วมตายไม่ว่าจะสิ้นชีวิตในการครั้งนี้ก็ตาม  เพื่อกอบกู้
อำนาจเพื่อมอบให้แก่พระแม่เจ้า

       ทั้งหมดเมื่อสาบานกันแล้วก็ต่างน้ำขันใบใหญ่ที่ผสมเหล้ากับเลือดต่างยกขึ้นดื่ม
วนเวียนกันจนหมดสิ้นทุกตัวนาย
       ครั้นพิธีเสร็จสิ้น  นายกองเหมี่ยวนรธาก็หันไปทางหญิงรับใช้ที่ผ่านการอบรมเป็น
ทหารให้จัดเตรียมอาหารต่างๆเพื่อใช้ในการต้อนรับพี่น้องร่วมสาบานทันที   ครั้นแล้ว
ทั้งหมดก็เข้าร่วมดื่มกิน  ต่างส่งเสียงเฮฮาหัวร่อต่อกระซิก  กันผลที่สุดไม่ว่าใครจะอาวุโส
เท่าไหร่หรือมียศสูงสักเพียงใด   ต่างลงมติให้เหมี่ยวนรธาเป็นหัวหน้า
        เหมี่ยวนรธาครั้นได้รับการยกย่องเช่นนี้  ก็ให้สัตย์แก่บรรดาพี่น้องร่วมสาบานว่าจะ
พยายามรักษาปกป้องพวกพี่น้องทั้งหลายด้วยชีวิต  หากมาดแม้นเขาจะผิดพลาดอย่างไร
ก็อย่าได้เกรงใจเขา  ให้ช่วยตักเตือนแก่เขาด้วย   พร้อมยกจอกขึ้นหันไปทางบรรดาพี่น้อง
ร่วมสาบาน    

       ทุกๆคนต่างลุกขึ้นยืนแล้วยกจอกเหล้ามาชนกันกล่าวสัตย์พร้อมกันว่าจะรักษาราชบัลลังก์
ให้แก่พระแม่เจ้าเหนือหัวด้วยชีวิตจะหาไม่   แม่ทัพที่อาวุโสท่านหนึ่งก็นำแผนที่ออกมากาง
เป็นแผนที่แสดงถึงเขตพระราชฐานทุกซอกมุม  และกล่าวว่า
      “ ท่านหัวหน้าเหมี่ยวนรธา  แผนที่นี้ไม่ใช่เพียงแต่แสดงเขตต่างๆแล้ว  
 ยังประกอบด้วยห้องลับน้อยใหญ่ที่น้อยคนนักจะล่วงรู้ได้  
แต่ด้วยข้าเองมีคนใกล้ชิดเป็นญาติทำงานเกี่ยวกับราชเลขาของ
องค์เจ้าเหนือหัวองค์ก่อน  ควบคุมห้องหนังสือทั้งปวง   ด้วยเหตุที่ข้าสังเกตเห็นไอ้อำมาตย์นั้น
มีความทะเยอทะยานมากไม่เห็นหัวผู้ใดและเป็นที่ใกล้ชิดไว้เนื้อเชื่อใจแก่องค์เจ้าเหนือหัว

        จึงคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ไม่วันใดวันหนึ่งจะต้องมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นแน่นอน   ข้าจึงให้ญาติ
ข้าพยายามคัดลอกเขตราชฐานให้ละเอียด   ด้วยญาติข้านั้นเป็นผู้รับผิดชอบต่อห้องคลังหนังสือนี้
จึงทราบและคัดลอกมาให้ข้า”   แม่ทัพผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว
         “โอ้ๆๆ...เมื่อเป็นเช่นนี้นับว่าฟ้าดินยังเมตตาแก่เมืองยิ่งนัก  เห็นทีการครั้งนี้คงจะสำเร็จสมความ
ตั้งใจแก่พวกเรา   และเป็นประโยชน์ยิ่งนัก   ฉะนั้นข้าเองคิดว่าหากนำมาลอกเพื่อมอบให้แก่บรรดา
พี่น้องทั้งหลายนี้ก็จะดี   ดีกว่าเก็บไว้คนเดียวหากมาดแม้นเกิดเหตุการณ์ที่คาดมิถึงขึ้นก็จะสามารถ
รักษาตัวเองและพวกพ้องได้ทางหนึ่ง    พวกท่านเห็นเป็นประการใด”   เหมี่ยวนรธาหันไปถาม
        ทั้งหมดหันมามองหน้ากันและคิดตรงกันว่า  สมแล้วที่เรายกย่องให้เขาเป็นหัวหน้าพวกเรา
ด้วยมีน้ำใจรักพวกพ้องยิ่งนัก    ตลอดจนความละเอียดรอบคอบ  
หากเกิดเหตุแผนที่ลับนี้สูญหายไป หรือตกไปอยู่ในมือฝ่ายตรงกันข้ามยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไร
และแผนการต่างๆที่วางไว้ก็จะสูญสิ้นไปหมด    นายกองท่านหนึ่งกล่าวขึ้นว่า
         “ความคิดอ่านของหัวหน้าเป็นความคิดกว้างไกลนัก  แต่ทว่ารู้มากก็ยิ่งเปิดเผยมาก  ดังคำกล่าว
ของคนโบราณว่า ความลับย่อมไม่มีในโลก  ถึงมีก็ควรจะน้อยลง  เอกสารนี้หากพวกเราเกิดถูกจับ
และค้นพบก็จะเป็นภัยอันใหญ่หลวงแก่พวกเรานะท่าน”
         
         “จริงของท่านนายกอง   ที่กล่าวมานี้ก็ถูกต้องเห็นที่ควรคัดลอกเพียงไม่กี่ฉบับมอบให้แก่คนที่
รอบรู้เชี่ยวชาญการศึกครั้งนี้   เพื่อจะได้จัดการวางกำลังได้อย่างถูกต้องนะ”
          “ท่านหัวหน้าเหมี่ยวนรธามอบหมายจะดีกว่า”  แม่ทัพอีกนายหนึ่งกล่าวขึ้น
          “หากเป็นเช่นนั้น  ท่านนายกองและแม่ทัพท่านก็กล่าวถูก  ข้าเพียงถามพวกท่านว่าจะทำฉันท์ใด
ส่วนในใจข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”  เหมี่ยวนรธากล่าว
            “เมื่อท่านหัวหน้ากล่าวเช่นนี้.....แล้วจะคัดลอกสักเท่าไหร่ตามแต่หัวหน้ากระทำเถิดจะมอบให้
ใครๆก็เหมือนกัน  เราต่างเป็นพี่น้องกันอยู่แล้วย่อมมีค่าเท่าเทียมกันหรอก”  แม่ทัพอีกนายหนึ่งกล่าว
             “เอาอย่างนี้ดีกว่าข้าคิดว่า  จะคัดเพียงแค่ห้าฉบับ  และข้าจะมอบให้แก่ท่านแม่ทัพนายกองสลับ
กันไป  ด้วยข้าเองไว้ใจพวกท่านทั้งหลายนัก”   เหมี่ยวนรธากล่าวขึ้น
             เมื่อต่างคนต่างตกลงกันได้   เหมี่ยวนรธาก็จัดการเขียนคัดลอกด้วยทุกๆคนต่างก็ช่วยกัน 
ในไม่ช้า  งานละเอียดต่างๆก็สำเร็จลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว   แล้วต่างมอบเอกสารลับให้แก่นายกอง
เหมี่ยวนรธาทันที
            ครั้นเมื่อท่านเหมี่ยวนรธาได้รับหนังสือลับมาแล้วก็เก็บไว้ในอกเสื้อยังมิได้มอบหมายให้แก่
ผู้ใด    พร้อมเชิญชวนร่วมกันดื่มหาความสำราญกันต่อไปโดยมีทหารหญิงที่ได้รับการฝึกฝนอบรม
มาอย่างเชี่ยวชาญคอยปรนนิบัติตลอดเวลา  แล้วก็พากันแยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อรุ่งขึ้นจะได้มา
ทำการฝึกอาวุธตลอดจนค่ายกลต่างๆแก่เหล่าทหารทั้งหลายต่อไป
           
           เมื่อต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว   นายกองเหมี่ยวนรธาก็นำเอกสารลับมาพิจารณาและจดจำ
รายละเอียดภายในเมืองตลอดจนสถานที่ต่างๆจนขึ้นใจ   แล้วหันไปยังทหารที่คอยรับใช้ให้ไปเรียก
แม่ทัพนายกองบางนายมาสี่นาย     ครั้นทหารออกไปเรียกแม่ทัพนายกองที่ท่านหัวหน้าสั่งแล้ว
          ในไม่ช้าร่างของแม่ทัพนายกองทั้งสี่รวมทั้งผู้ที่มอบบันทึกลับนี้รวมอยู่ด้วย   
 เมื่อต่างเข้ามาแล้วก็แสดงความเคารพต่อท่านเหมี่ยวนรธา    
นายกองก็เชิญท่านทั้งสี่นั่งลงพร้อมสนทนาเป็นพิธีต่างคุยและวางแผนการด้วย
  ว่าจะดำเนินการวางเพลิงในเมืองเพื่อให้เกิดความจลาจลในงานพิธีสถาปนา
ตนเองของเจ้ามหาอำมาตย์ขึ้นเป็นกษัตริย์  ต่างคนก็ออกความคิดเห็น   ร่วมช่วยกันวางแผนในการ
ดำเนินงานครั้งนี้จนเสร็จ   เมื่อปรึกษาเรียบร้อยแล้ว
          นายกองเหมี่ยวนรธาก็ล้วงหยิบบันทึกลับมามอบให้แก่แม่ทัพนายกองทั้งสี่
  ว่าให้ศึกษาให้ละเอียดเพื่อใช้ในการดำเนินการต่อไป   
แล้วก็เชิญให้แม่ทัพทั้งสี่กลับไปพักผ่อนได้
เสร็จแล้วก็ล้วงบันทึกลับคัดลอกอีกฉบับหนึ่งมาใส่ซองพร้อมบันทึกสิ่งต่างๆในการดำเนินการ
ขัดขวางในงานพิธีนี้แก่ท่านแม่ทัพใหญ่    โดยคัดคนที่ไว้ใจได้ไปส่งเอกสารนี้  ในการครั้งนี้นั้น
เขาก็ส่งทหารติดตามไปห่างๆถึงสามช่วงด้วยกันเพื่อความไม่ประมาท  หากเกิดการผิดพลาดใน
ระหว่างทาง   จะได้เข้าประสานงานรับช่วงต่อไป

          เมื่อสั่งการแก่เหล่าทหารภายในค่ายเรียบร้อยแล้ว   นายกองในร่างพ่อค้าก็เดินทางกลับมา
ยังร้านทันที   แล้วสั่งเหล่าทหารในร่างพ่อค้าตามร้านต่างๆที่แยกย้ายกันไปทั่วบริเวณเมืองให้เตรียม
พร้อมเพื่อจะดำเนินการคัดคนที่มีฝีมือที่สุดในการทำงานครั้งนี้โดยอำพรางซ่อนเร้นรอกำหนดเวลา
รอคำสั่ง   เพื่อคอยช่วยเหลือกำลังทหารของมังละเว้  และมังสุระยะข่าต่อไป
         ครั้นก่อนวันครบการสถาปนาเถลิงราชสมบัติของเจ้ามหาอำมาตย์มังสุระบดี  บรรดาเจ้าเมือง
แคว้นต่างๆที่เป็นเมืองขึ้นแก่เมืองอิสราวดีก็ต่างทยอยกันเข้าเมืองมาพร้อม
เครื่องราชบันนาการเพื่อมอบแก่ผู้จะเข้าครอบครองเมืองต่อไป
           จวบจนถึงเวลาในรุ่งอาทิตย์ที่ได้ฤกษ์ตามโหราจารย์กำหนดแล้ว    ภายในท้องพระโรงที่
ประดับไปด้วยความสวยงาม    บรรดาแขกเมืองต่างก็นั่งยังเก้าอี้ด้านหน้า ตรงกลางเป็นพื้นเป็นที่
นั่งกับพื้นของบรรดาเหล่าแม่ทัพนายกองและเจ้าหน้าที่สูงสุดที่ควบคุมกิจกายภายในเมืองทั้งสิ้น
          ส่วนราชบัลลังก์นั้นเป็นตั่งสองชั้นที่แกะสลักลวดลายสวยงามยิ่งนัก  เป็นช่อลายต้นไม้ประดับ
ด้วยสัตว์หิมพานต์ทั้งสิ้น  เหนือตั่งเป็นฉัตรใหญ่สามชั้นขลิบทองสวยงามนัก   แต่ยังไม่มีผู้ใดนั่ง 
 ข้างถัดลงมาสองข้างเป็นที่นั่งของมหาอำมาตย์ใหญ่มังสุระบดี
และเสนาดีมังสีหะมะทา   ด้านข้างท้องพระโรง ยืนเรียงรายไปด้วยเหล่าทหารทั้งหลายในมือถืออาวุธ
          อีกด้านหนึ่งของท้องพระโรงจัดเป็นที่นั่งของพระสงฆ์ที่จะมาคอยเจริญพุทธมนต์ ส่วนอีก
ด้านหนึ่งเป็นที่อยู่ของพวกพราหมณ์   ซึ่งกำลังร่ายมนต์เบื้องหน้าเป็นที่เซ่นสังเวยเทพยดาอยู่
          พิธีเริ่มขึ้นแล้ว ในระหว่างการร่ายอัญเชิญเทพยดาฟ้าดินนั้น  พลันก็เกิดพายุพัดกระหน่ำขึ้น
ตลอดจนฝนพร่ำๆ    เสียงฟ้าร้องคำรามลั่นสายฟ้าฟาดสลับกันไปๆมา  พราหมณ์ก็ร่ายมนต์ต่อไป
เสียงฟ้าก็ยังคำรามตลอดเวลา   ลมพายุก็โหมกระหน่ำอย่างไม่รู้หยุด    จนพราหมณ์ร่ายเวทย์จบ
มหาอำมาตย์ก็ให้อัญเชิญมงกุฎที่นางสนมกำนัลใส่พานทองถือเดินออกมาจากม่านชั้นใน
  เพื่อจะส่งมอบให้แก่มหาอำมาตย์  ใช้เพื่อสวมศีรษะปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ต่อไป
         เมื่อมหาอำมาตย์มังสุระบดีรับมงกุฎมาถือไว้    ก็บังเกิดอสุนีบาตฟาดดั่งสนั่นยังยอดประสาท
ราชวังหักล้มลงมา เสียงสนั่นหวั่นไหวลั่นเลื่อนไปทั่ว  
       ยอดฉัตรที่ตั้งไว้เบื้องหลังตั่งก็หักโค่นลงมายังทำความตกใจให้แก่เหล่าเจ้าเมืองทั้งหลาย
ตลอดจนข้าราชบริพาร    ทำให้มหาอำมาตย์ถึงกับตกใจมหามงกุฎพลันพลัดหลุดจากมือทันที............

                    *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
9 กุมภาพันธ์ 2553 15:31 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 14

แก้วประเสริฐ


                     ลุ่มลึกอิสราวดี  14

     แสงอาทิตย์เริ่มทอแสงประกายร้อนแรงขึ้น   เหล่าทหารทั้งหลายที่ถูกจัดขึ้น
เป็นกลุ่มๆ    ต่าง ก็รีบออกเดินทางเข้าสู่เมืองอิสราวดี ซึ่งคล้ายตรงกับชื่อของ
แม่น้ำอิรวดีโดยตัวเมืองนั้นใกล้ๆกับฝั่งของแม่น้ำห่างกันไม่ถึงโยชน์  
ใช้เป็นที่ค้าขายทางเรือตลอดจนเป็นที่ดื่มกินของชาวเมืองอิสราวดี
     ครั้นถึงประตูเมืองต่างก็แยกย้ายกัน  บ้างกลับไปบ้านพักบ้าง  บ้างที่อยู่ตามนอก
เมืองก็พากันแยกย้ายโดยถือเอาตลาดเป็นที่นัดหมาย   ที่ทุกๆคนจะต้องมาพบกัน
ทุกๆอาทิตย์ในตอนเช้า เพื่อจะได้คอยสัญญาณที่ถูกกำหนดไว้   
หากไม่พบเห็นสัญญาณดังกล่าวก็จะพากันกลับที่พักดังเดิม

     ส่วนนายกองเหมี่ยวนรธาก็แยกจากแม่ทัพ   พร้อมด้วยทหารคู่ใจสองนายแฝงตัว
เป็นพ่อค้าพานิช  ในระหว่างทางเขาทราบจากพวกพ่อค้าถึงเรื่องเกิดการขบถภายใน
วัง    ด้วยมหาอำมาตย์ใหญ่พร้อมด้วยเสนาบดีฝ่ายทหารเข้ายึดอำนาจจาก พระแม่เจ้า
เหนือหัว        ซึ่งได้หนีออกจากวังได้แต่ไม่รู้ไปอยู่ ณ หนใด   เพียงข่าวคราวนี้ 
นายกองทหารกล้าก็แสนจะดีใจที่  พระนางเจ้าไม่ต้องตกถูกจับกุมอยู่ภายใต้การยึด
ครองครั้งนี้    
    ดังนั้นทหารกล้าคนนี้ก็เปิดร้านขายของและด้านหนึ่งก็สะสมกำลังพลให้เพิ่มมากขึ้น
พร้อมทั้งส่งสายเข้าไปสืบความลับต่างๆทั้งนอกและในวัง  เพื่อจะได้เตรียมการยึดอำนาจคืน        
    แต่ในช่วงระยะนี้ด้านหนึ่งก็ส่งคนคอยติดตามข่าวคราวพระแม่เจ้าเหนือหัวด้วย

    สายได้กลับมารายงานว่าทางในวังกำลังจัดตั้งพิธีสถาปนากษัตริย์องค์ใหม่คือท่าน
อำมาตย์ใหญ่ “มังสุระบดี”ขึ้นครองราชย์แทน   หากแม้นข้าราชบริพารคนใดมิยอมก้มหัว
ให้ก็จะถูกนำไปประหารทันที     อีกประการหนึ่งที่ถูกคัดค้านก็ด้วยดวงตราแผ่นดินที่
ถูกปกครองมานานแสนนานนั้นสาบสูญไปพร้อมกับเจ้าแม่เหนือหัวด้วย    
      ด้วยความที่มันเกรงจะล่าช้าถึงไม่มีตราแผ่นดินก็จะสถาปนาตัวขึ้นก่อน  ด้วยชาวเมือง
พากันวุ่นวายระส่ำระสาย   แบ่งออกเป็นหลายๆฝ่าย   ชาวบ้านชาวเมืองได้อพยพหนีออก
จากเมืองตลอดเวลา   มันเกรงว่าหากสิ้นหรือเป็นเช่นนี้เมืองก็จะตกอยู่ในอันตรายทำให้
แคว้นต่างๆพากันกระด้างกระเดื่องแข็งเมือง
ยากต่อการยกกำลังทหารออกปราบปราม
      มันจึงรวมกับมหาเสนาบดีมังสีหะมะทาคิดแก้ไขโดยยกตนขึ้นเป็นกษัตริย์ก่อนที่เมือง
ต่างๆจะกระด้างกระเดื่อง       แต่สายกลับรายงานว่าถึงเหตุจะเป็นเช่นนี้แต่ก็ยังมีเหล่าทหาร
ที่ไม่พอใจ    ต่างแฝงตัวแยกย้ายกันหนีออกนอกเมือง  ซึ่งภายในวังคงเหลือแต่เหล่าทหารที่
อยู่ในการปกครองของเสนาบดีเท่านั้นกับทหารรักษาพระองค์ฝ่ายในที่แปรภักดิ์


        ดังนั้นมันจึงรวมหัวกันขึ้นสถาปนาตนเองและยกให้เสนาบดีใหญ่ฝ่ายทหารขึ้นเป็น
มหาอำมาตย์ใหญ่แทนทันที       การจัดงานจะเริ่มในอีกอาทิตย์หน้าที่จะถึงนี้แล้ว
        ทันใดนั้นทหารในร่างของพ่อค้าก็เข้ามารายงานอีก   พร้อมส่งหนังสือให้นายกองทันที
เหมี่ยวนรธา  ครั้นนำหนังสือที่มีตราลับอันเป็นของแม่ทัพใหญ่มาอ่าน     พลางหันไปสั่งแก่
ทหารคู่ใจว่า
       “ ท่านมังสุระยะข่า...   เราได้รับหนังสือแจ้งมาว่าให้พวกเราเข้าก่อกวนงานพิธีในครั้งนี้ 
 แต่เรายังนึกไม่ออกเลยว่าจะดำเนินการอย่างไรดี  ไหนๆท่านลองออกความเห็นหน่อยซิ”
      “ข้าแต่ท่านนายกอง   ข้าคิดว่าหากจะเข้าไปในวังเห็นทีจะยากด้วยมันมีทหารมากมาย
และเหล่าทหารองค์รักษ์ที่ล้วนเข้ากับพวกมหาอำมาตย์หมดสิ้นและล้วน
ที่เจนจัดและรู้หนทางดีกว่าพวกเรามากนัก   ข้าเองว่ามีทางเดียวเท่านั้นแหละ”
      “อะไรหรือท่านมังสุระยะข่า???...”     นายกองถาม
      “ข้าคิดว่าในช่วงระหว่างการทำพิธีนั้น   ให้พวกเราต่างวางเพลิงไปตามสถานที่ต่างๆรอบๆ
เมือง     ก็จะเกิดการสับสนจะทำให้เสียฤกษ์ในพิธี  บางทีงานอาจจะหยุดชะงักก็ได้” ทหารคู่ใจตอบแก่ท่านนายกอง
      “อืมมๆๆๆ....เป็นความคิดที่ดี  หากเราจะนำทหารเข้าไปก็เหมือนเอาน้ำมันไปราดกองไฟ
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ    ฉะนั้นใครล่ะจะจัดการเรื่องนี้ล่ะ”  นายกองถาม
      “ข้าเองท่านนายกอง...”     ทหารคู่ใจฝ่ายซ้ายอีกคนตอบ
      “เอาๆๆ...ในเมื่อพวกเราเห็นพ้องด้วยกันในแผนการนี้  ข้าขอมอบให้ท่าน “ท่านมังละเว้”
ไปดำเนินการก็แล้วกัน   แต่ว่าท่านอย่าได้ประมาทนะ  เมื่อพวกเราหากเมื่อวางเพลิงแล้วให้รีบ
หนีออกไปโดยเร็วและอย่าได้ถูกจับตัวหากจวนตัวจริงๆให้ดื่มยาพิษเสีย    หากแม้นว่างานนี้สำเร็จ
ข้าจะบำเหน็จรางวัลให้อย่างงามบอกทหารที่ทำการด้วยนะ     อ้อๆ..ด้วยข้าได้รับรายงานมาว่าตอนนี้
มันใช้ทหารแฝงตัวสมทบกับประชาชนไว้ด้วย”   เหมี่ยวนรธากล่าว

      “เรื่องนี้ข้าก็พอจะระแคะระคายเหมือนกันท่านนายกอง  ข้าจะคัดคนที่เชี่ยวชาญด้านนี้และแจ้ง
ถึงงานนี้ที่ตัดสินใจในเรื่องความตายด้วย  อนึ่งทหารกล้าพวกเราที่แฝงตัวล้วนแล้วแต่สาบานตัวกัน
ไว้แล้ว  ท่านนายกอง”    มังละเว้ตอบขึ้น
       ครั้นแล้วนายกองก็เรียกคู่ใจทั้งสองมาแล้วกางแผนที่ภายในเมืองทั้งหมด  แล้ววางแผนที่จะจุด
ไฟในสถานที่หลายๆแห่งรวมทั้งคลังเสบียงอาวุธและอาหารด้วย
     “ข้าเห็นว่าการเรียกพวกเรามาในครั้งนี้  ควรจะกระทำยังชายป่านอกเมืองเห็นจะเหมาะ ด้วย
ในเมืองนี้มีสายของฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งเราไม่รู้ว่าใครเป็นใครกัน    แต่ควรจัดคนคอยเฝ้าไว้ด้วย
ข้าขอมอบหน้าที่นี้ให้ท่านทั้งสองดำเนินการ    ส่วนตัวข้าจะคอยรับฟังข่าวและติดตามเรื่องภาย
ในเมืองด้วย    หากมีเหตุไม่เหมาะสมอย่างไรจะรีบส่งข่าวไปให้พวกท่านทราบ    อ้อๆๆ....
อีกประการหนึ่ง    การกระทำในครั้งนี้   ให้ท่านมังละเว้ดำเนินการ ส่วน ท่านมังสุระยะข่าให้คุม
ทหารรอเชิงหรือจะเข้ามาแล้วแยกย้ายกันคอยช่วยเหลือท่านมังละเว้ต่อไป”  นายกองกล่าว

       เมื่อทั้งสองได้รับทราบว่าจะต้องทำประการใดแล้ว   ก็น้อมกายอำลาออกเดินทางเพื่อไปส่ง
สัญญาณเรียกตัวเหล่าทหารกล้าทั้งหลายให้มาประชุมยังที่ป่านอกเมืองทันที   เพื่อจะทำการอีก
ในอาทิตย์หน้าที่จะถึงนี้
       ครั้นเหมี่ยวนรธาสั่งการเสร็จ  ก็ออกจากห้องลับมาทำหน้าที่ขายสินค้าหน้าร้านต่อไป  
หากมีใครที่รู้จักมาเห็นก็คงจะจำเขาไม่ได้  เนื่องจากเขาปล่อยผมรุงรังเพียงคาดผมด้วยผ้า
ธรรมดาไว้หนวดยาวย้อมสีเลาๆแต่ก็ให้มีบุคลิกดั่งพวกพ่อค้าทั่วๆไป
        ในขณะที่เขากำลังว้าวุ่นอยู่กับการจำหน่ายของนั้นๆ    เขาเหลือบไปเห็น นายกองของ
ท่านเสนาบดีกำลังนำทหารกลุ่มหนึ่งเที่ยวเดินตรวจสอบตามร้านค้าทั่วๆไป   เมื่อมาถึงยัง
ร้านค้าของนายกอง    
    เหมี่ยวนรธารีบเข้าไปน้อมคาราวะนายกองผู้นั้นทันที พร้อมกล่าวว่า
    “ท่านนายกองท่านจะให้ข้าพอจะช่วยเหลือท่านอะไรได้หรือไม่ขอรับ”
นายกองซึ่งวางมาดหยิ่งยโสหันมามอง แล้วพลางถามว่า
    “เจ้าเป็นเจ้าของร้านค้านี้หรือ”
    “ขอรับท่านนายกอง”
    “เอ...ข้าจำรูปร่างท่านคลับคล้ายคลับคลาว่าเราเคยเจอกันหรือเปล่านะ”  
นายกองผู้นั้นถาม
     “หามิได้หรอกขอรับ  ข้าเป็นชาวเมืองนี้แต่ได้ไปค้าขายและนำสินค้าจากเมืองยะไข่พึ่ง
จะมาถึงในราวอาทิตย์สองอาทิตย์นี่แหละ  ท่านจะสนใจผ้าหรืออุปโภคจากเมืองยะไข่หรือไม่ขอรับท่าน”    เหมี่ยงนรธา น้อมกายตอบ
     “เออนั่นซิถึงแม้ว่าบุคลิกท่านจะไปทางพ่อค้าก็จริง  แต่ทำไมท่านถึงไม่มีพุงและลักษณะ
คล้ายเป็นทหารนะ ทำให้ข้าสงสัยนัก”  นายกองถามด้วยความสงสัย
     “ข้าเองก็พอจะมีฝีมืออยู่บ้างขอรับ  ด้วยต้องคุมสินค้าไปยังต่างแดนไกล อีกอย่างหนึ่งทาง
ก็เต็มไปด้วยพวกกะเหรี่ยงและแม้ว   ซึ่งพวกนี้ชอบมาปล้นสะดมอยู่เสมอๆจึงจำเป็นต้อง
ฝึกอาวุธไว้ป้องกันตัวบ้างขอรับ”
     “ยังงั้นหรือ...แล้วเจ้ามิคิดจะเป็นทหารบ้างหรือไม่   
ด้วยหน่วยก้านท่านเหมาะกับเป็นทหารนัก”
     “ไม่หรอกขอรับท่านนายกอง  ตระกูลของข้าเป็นพวกพ่อค้าวานิชมาและข้าเองก็สืบทอดมา
จนถึงตัวข้า    เพียงแค่ส่งส่วยให้แก่ทางราชการมิได้ขาดก็ถือว่าเป็นการทดแทนบุญคุณแก่แผ่นดิน
ได้อีกทางหนึ่งขอรับ”
     “เออๆๆๆ....จริงซินะหากขาดพ่อค้าเมืองเราก็จะขัดสนเงินทอง   อ้อๆๆ...แล้วนี่อะไรหรือ???”
     “อ้อนี้คือเครื่องเงินและหินประดับหลากสีต่างๆ   ท่านจะนำหินหลากสีในเมืองเราไม่มีเพื่อ
นำไปให้แม่บ้านท่านบ้างไหมขอรับ  ข้าจะเลือกที่ดีที่สุดให้แก่ท่านขอรับ”
    “เอาล่ะๆไม่เป็นไร  เอๆๆ...แต่ก็ดีเหมือนกันนะพอดีเสร็จจากตรวจราชการแล้วข้ากำลังจะ
กลับบ้านจะได้หาสิ่งของแปลกๆไปฝากเมียข้าบ้าง    เจ้าจะให้อะไรแก่ข้าหรือ ไม่ต้องดีเด่นอะไร
มากนะ” 
 นายกองตอบแต่ในส่วนลึกๆคิดว่าหากมันนำสิ่งไม่ดีมาให้เห็นที่จะหาเรื่องมัน
     “สร้อยเส้นนี้เป็นอย่างไรขอรับ   ประดับด้วยหินหลากสีและตรงอุบะยังฝังพลอยสีแดงล้อม
รอบด้วยหินหลากสีอีกด้วย   แต่หากนับราคาแล้วคนธรรมดาไม่สามารถจะสู้ราคาได้  ข้าเก็บไว้เพื่อ
ขายให้แก่พวกพ่อค้าด้วยกันขอรับ”   เหมี่ยวนรธา กล่าว
      นายกองหยิ่งยโส   ยื่นมือมารับของจากนายกองเหมี่ยวนรธาพลางยกขึ้นพิจารณา ในระหว่าง
นั้นพวกทหารที่ติดตามมาด้วยต่างก็พากันหยิบของภายในร้านคนละชิ้นสองชิ้นใส่กระเป๋ามัน  
ลูกน้องของเหมี่ยวนรธาไม่กล้าเอ่ยปากได้แต่มองตาปริบๆเท่านั้น
      “เออๆๆ...เส้นนี้ก็แล้วกันนะสวยด้วยซี   อ้อเจ้าชื่ออะไรล่ะหากวันหน้าหากจะให้ข้าช่วยเหลือ
ได้บ้าง”  นายกองยโสกล่าว
      “ข้าเองชื่อ”มังมะค่า” ขอรับท่านนายกอง”    เหมี่ยวนรธา ตอบ
      “เอาล่ะข้าจะจำชื่อเจ้าไว้   หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดก็ไปหาข้าที่จวนถามหาข้าก็ได้
นะ    ข้าเกิดถูกใจเจ้าแล้ว”  นายกองผู้นั้นตอบ      พลางหันไปเรียกกลุ่มทหารให้เดินไปตรวจยังอีกที่
หนึ่ง
      “เดี๋ยวก่อนขอรับ  รอก่อนขอรับ”   เหมี่ยวนรธาตอบ
      “อะไรหรือ????...หรือเจ้าเสียดายของเสียแล้ว”
      “เปล่าหรอกขอรับ   นึกว่าเป็นสินน้ำใจที่ท่านเอ็นดูแก่ข้าเผื่อว่าโอกาสหน้าข้าอาจจะพึ่งพาใบบุญ
ท่านอีกขอรับ “   กล่าวจบชายหนุ่มก็หยิบยื่นห่อผ้ามอบให้แก่นายกองผู้นั้นอีก
 นายกองนั้นพลางเปิดดู   แล้วพลันหัวร่อเสียงดังลั่น
      “เจ้าช่างมีน้ำใจยิ่งนัก เจ้ามังมะค่า”
      “แล้วทำไมท่านนายกองถึงต้องมาตรวจด้วยตนเอง ใยไม่ใช้ทหารระดับต่ำกว่าท่านก็ได้นี่ขอรับ”
      “อ้อๆๆ...ที่ข้ามานี้ด้วยเหตุได้ข่าวว่ากองทัพของนายทัพใหญ่ เหมี่ยวสุรินทราบดีเคลื่อนกำลัง
จะเข้ามาในเมือง   ท่านมหาเสนาบดีเกรงว่าคงจะปลอมแปลงแฝงเข้าเมืองมานะ”
      “เอ๊ะๆๆๆ   เจ้าจะรู้ไปทำหรือหรือ???....
      “อ้อๆข้าเพียงแค่สงสัยเท่านั้นขอรับ  ก่อนนั้นเห็นแค่เพียงทหารและหัวหมู่เท่านั้นขอรับ”
      “อืมมๆ...จริงของเจ้าข้าระแวงมากไป   ปกติก็แค่หัวหมู่แต่นี่ข้าเป็นถึงนายกองมาเอง”
      “ใช่ขอรับ  ข้าถึงได้สงสัยนักคิดว่าต้องมีเรื่องสำคัญ   จะได้เตรียมตัวขนของเก็บไว้ยังไม่ขาย
จนกว่าเรื่องจะเรียบร้อย   ข้าเองกลัวจะเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นขอรับ”
      “เออๆๆไม่ต้องกลัวหรอก   หากข้ายังอยู่จะให้ทหารช่วยเหลือเจ้านะ  ข้าไปก่อนล่ะ
เดี๋ยวงานยังมีอีกมากต้องไปตรวจดูความสงสัย”
      “ขอรับข้าน้อยขอส่งแค่นี้นะขอรับ”  เหมี่ยวนรธาตอบ
      “เออๆๆขายของไปเถอะ คนเข้ามาในร้านเจ้ามายืนมองดู แต่เห็นพวกข้าจึงไม่กล้าเข้ามา”
      “ขอบคุณท่านนายกองมากขอรับ”   เหมี่ยวนรธาน้อมกายคาราวะด้วยความอ่อนน้อม
พลางนึกในใจว่า  มันช่างโลภเสียจริงๆแม้แต่สินบนแค่นี้ยังเกิดอยากได้ทำให้ลืมหน้าทีไป  หากเราทำการสำเร็จ   
เจ้าคือคนแรกที่ข้าจะต้องชำระแน่นอน   เขานึกในใจ........

               *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
8 กุมภาพันธ์ 2553 13:35 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 13

แก้วประเสริฐ


           ลุ่มลึกอิสราวดี  13

    “เอาล่ะพ่อหนุ่ม    ข้าเห็นทีจะต้องกลับเสียแล้วล่ะ”   พญางูในร่างชายชรากล่าว
     ชายหนุ่มก้มลงกราบชายชราอีกครั้ง
     “ขอให้จำเริญๆเถอะนะ ทำการใดจงสำเร็จตามปรารถนาทุกประการ  สหายน้อย
ในอดีตของข้า”   
      ชายชรากล่าวเสร็จพลางลุกขึ้นยืน   พลางก้าวเดินออกไปร่างพลัน
กลับกลายเป็นกลุ่มควันแล้วกลายเป็นแสงพุ่งหายไป
      ชายหนุ่มก้มหยิบกระบองสีดำสนิทขึ้นมาพิจารณา
เห็นเป็นประดุจแท่งหิน  จึงทดลองนำไปฟาดกับก้อนหินใหญ่ข้างๆ  
ปรากฏแสงประกายขึ้นมาทันทีแล้วก้อนหิน
ใหญ่นั้นก็แตกกระจายไป  เขานำกระบองมาตรวจดูว่าจะมีรอยบิ่นอีกหรือไม่   กลับพบว่าไม่มีร่องรอยบิ่นหรือรอยข่วนแต่อย่างไร

     ชายหนุ่มทดลองจนแน่แก่ใจแล้วกล่าวกับกระบองว่า  “นาคราช” เจ้าจงเล็กๆลงซิ
     ทันใดกระบองนั้นก็หดตัวลงทันที  และเล็กลง ชายหนุ่มนึกว่าให้เหลือขนาดยาวแค่คืบ
หนึ่ง   กระบองนั้นก็หดตัวจนเหลือเพียงแค่คืบหนึ่งตามใจชายหนุ่มทันที
    เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงเรียกเจ้าลิงขนทองมาแล้วพลางกล่าวกับกระบองว่า 
         “นี่แน๊ะ!!!...กระบองนาคราช ข้าจะมอบเจ้าให้กับเจ้าประกายทอง
ลิงน้อยตัวนี้นะขอให้เจ้าจงเชื่อฟังเขา  หากข้าเรียกเจ้าเมื่อใดให้เจ้าถึงจะกลับมาหาข้านะ”
  
    เสมือนกระบองจะรับรู้เจตนาของชายหนุ่ม   ชายหนุ่มรับรู้ได้จากความรู้สึก
ว่ากระบองนี้ดิ้นได้และสั่นเล็กน้อย   
 ชายหนุ่มจึงมอบกระบองนี้ให้แก่เจ้าขนทองแล้วสั่งว่า
    “นี่แน๊ะเจ้าประกายทอง  เจ้าจงรักษากระบองนี้ประดุจพี่น้องของเจ้านะ
  อีกประการหนึ่ง
เจ้าจงหาทางเก็บรักษาไว้ให้ดีเพื่อใช้ในการป้องกันตัวต่อไป”   
    ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
    เจ้าขนทองแสยะยิ้มแล้วยื่นมือมันมารับกระบองทันที   
เมื่อมันได้กระบองเสมือนมันจะถูกใจมาก  มันตีลังกาโลดแล่นออกนอกถ้ำทันที
    เขาเห็นมันร่ายรำควงกระบองเสียเร็วจี๋สอดส่ายผสมผสาน
กับท่าร่างที่เขาสอนไว้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว   
แล้วพุ่งกายมาหาเขาหันมากอดเขาไว้เหมือนแสดงความขอบคุณที่เขามอบสิ่งถูกใจ
ให้แก่มันรู้สึกว่ามันจะดีใจมากที่ได้อาวุธคู่กายมัน    
    ชายหนุ่มหัวร่อพลางตบหัวมันเบาๆ 
แล้วหันไปกล่าวกับแม่นางพรายทั้งสองว่า  
    “คงจะได้เวลาพวกเราออกเดินทางได้แล้วนะน้องเรา”
    “จ๊ะท่านพี่....นี่ก็สายแล้ว  อ้าวแล้วสิ่งที่ท่านพี่ลงอาคมขีดเส้นไว้นะไม่ลบเสียหรือ
    “ไม่หรอกจ้าน้องรัก  พี่คิดว่าต่อไปอาจจะเป็นประโยชน์แก่เราหรือคนดีอื่นๆได้  
หากไม่ก็จะได้ป้องกันพวกภูตพรายต่างๆหรือสัตว์ร้ายที่จะเข้ามาอาศัยอยู่  
หากเป็นสัตว์ที่ดุร้ายอาจจะเป็นเภทภัยต่อคนที่เข้ามาอาศัยก็ได้จ้า   
ยกเว้นคนที่มีจิตใจไม่ดีงามก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้จ๊ะ”  ชายหนุ่มกล่าว
    “อืมมๆๆ...พี่ท่านช่างคิดการณ์ไกลจริงๆนะ”  พรายสาวกล่าวขึ้น

     เมื่อทั้งหมดออกเดินทางออกจากถ้ำเพื่อจะกลับไปยังเบื้องล่าง   
เจ้าลิงน้อยออกเดินนำหน้าเขา
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ   ด้วยมีเส้นทางให้เดินลงไปข้างล่าง  
     ชายหนุ่มพิจารณาดูถึงทราบได้ว่าทางที่เห็นนั้นก็คือซากของงูยักษ์
ที่กลายร่างเป็นหิน  ที่เขากับเจ้าลิงน้อยขนทองผลักให้ตกหน้าผา
แต่หางมันยังพาดอยู่ริมหน้าผา  ร่างอันใหญ่โตของมันกลายเป็นทางเดิน
ให้พวกเขาโดยไม่ต้องปีนป่ายลงไปเหมือนเดิมอีก

     ระหว่างนั้น เขาเห็นก้อนหินสีแดงๆกระจายทั่วๆไป  จึงก้มลงหยิบมาพิจารณา
มันช่างมีน้ำหนักเบายิ่งนัก    เสียงแม่นางพรายกระซิบข้างหูเขาว่า
     “พี่ท่านนี่คือเลือดของงูยักษ์ที่กระเซ็นออกมาแล้วกลายเป็นก้อนหินไปแล้ว  
หากพี่ท่านเก็บไว้แทนก้อนหินเดิมก็จะดีสามารถใช้แทนอาวุธที่พี่ท่านถนัด
ในการขว้างปาและมันมีอำนาจทำลายสูงกว่าก้อนหินธรรมดาจ๊ะ”
    “เหรอๆงั้นก็ดีซิ”   ชายหนุ่มตอบ
     เขาจัดการเทก้อนหินที่คัดเลือกไว้ในการขว้างออกเททิ้ง  
แล้วเดินเก็บก้อนหินเลือดสีแดงๆรวบรวมมาเก็บใส่ถุงย่ามที่เขาทำขึ้นภายหลัง
  เจ้าขนทองเห็นเขาทำเช่นนี้ก็รีบเข้ามาช่วยเก็บด้วย
     ครั้นเขาเก็บได้เกือบเต็มย่ามแล้วก็หยุด  ชั่งน้ำหนักดูว่าเขาพอจะนำไปได้หรือไม่ 
 แต่ปรากฏว่าสามารถนำไปได้    ด้วยก้อนหินสีแดงมันมีน้ำหนักเบามาก   
ดังนั้นเขาจึงทดลองหยิบก้อนหินสีแดงนี้
จากพื้นดินมาก้อนหนึ่ง  แล้วทดลองขว้างทดลองระยะดู

     ฉับพลันก้อนหินที่เขาขว้างไปยังกิ่งไม้ที่ไกลที่สุดเท่าที่จะขว้างได้  
แต่ด้วยความเบาของก้อนหินและแรงขว้างซึ่งบัดนี้เขามีพละกำลังมากผิดกว่าเก่า
จึงไปได้ไกล    ปรากฏว่ากิ่งไม้ขนาดท่อนแขนเขาหักสะบั้นลงทันที        
     ชายหนุ่มอุทานออกมาด้วยความดีใจ  หากเป็นก้อนหินธรรมดาระยะไกลขนาด
นี้เขาคงอาจจะไม่สามารถทำลายกิ่งไม้ให้หักลงได้แน่นอนเขาคิด 
 เมื่อจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงจูงเจ้าขนทองออกเดินไปตามทางตะปุ่มตะป่ำ
ที่เป็นเกล็ดงูแต่กลายเป็นหินไปแล้ว  ซึ่งทางลาดบ้างโค้งบ้าง
จนในที่สุด      เขาก็ลงมายังพื้นดินได้

     ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปยังซอกหินที่เต็มไปด้วยพายุและหมอกควันหนาทึบ  
 ที่นางพรายกล่าวว่าเป็นพิษเขาให้เจ้าขนทองยืนอยู่ก่อน   
ส่วนตัวเขาค่อยๆย่างก้าวเข้าหากลุ่มควันที่หนาทึบนั้นทันที  เมื่อร่างชายหนุ่ม
มาถึงยังกลุ่มควันและพายุที่พัดจนหมุนวนไปๆมาๆ       
ผลปรากฏว่ากลุ่มควันและพายุสงบทันทีและแตกออกเป็นช่องทางให้เขาเดินไป
     หรือว่าเป็นอำนาจของก้อนแก้วที่เขาสวมคล้องคอไว้ดังที่แม่นางพรายสาว
กล่าวไม่ผิด
     เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็เรียกเจ้าลิงน้อยขนทองให้เข้ามาหาเขาทันที     
เจ้าลิงขนทองได้ยินดังนั้น   ก็พุ่งทะยานมายืนข้างกายเขา    
แล้วทั้งสองก็เริ่มออกเดินทางฝ่าหมอกควันพิษไปยังอีกด้านหนึ่งของภูเขาสองลูกทันที
     กลุ่มหมอกควันก็แตกและหุ้มห่อร่างทั้งสอง    มิอาจกรายเข้ามายังร่างได้
     ชายหนุ่มมองทางไม่เห็น  จะเห็นก็เพียงแค่ระยะทางที่เป็นช่องว่างเท่านั้น
   ทันใดเสียงสวบๆๆใกล้เข้ามา ๆ     เขาชะงักร่างทันทีนึกในใจว่าเสียงอะไร
หรือเป็นสัตว์ร้ายกระมัง  แต่ทำไมมันถึงฝ่าดงควันพิษเข้ามาได้   
ยังไม่ทันนึกได้เท่าไหร่    ปรากฏเสียงคำรามหวีดหวิวซึ่งเขาไม่เคยได้ยินเลย  
   เสียงมันร้องสนั่นลั่นมากจนรู้สึกว่าแสบแก้วหูเขาทั้งสอง ส่วนเจ้าขนทองก็
ยกมือทั้งสองมันปิดหูมันทันที

   ในท่ามกลางกลุ่มควันที่ตอนนี้เริ่มเจือจางลงไปมาก  หรือว่ามันจะมีกำหนด
เวลาที่ให้คนหรือสัตว์ผ่านไปได้   สิ่งที่เขาพบสิ่งรอบข้างบรรดาต้นไม้ต่างๆนั้นกลับ
เป็นสีเหลือง  บางต้นก็มีลักษณะไหม้คล้ายถูกไฟไหม้ก็มิปาน    
   ครั้นหมอกควันเจือจางจนแทบหมดสิ้นแล้ว   นี่หากเราไม่มีลูกแก้วของงูยักษ์ที่
มีอำนาจขจัดพิษแล้ว  เห็นทีร่างเขาคงจะต้องตายภายใน ณ ที่นี้แน่นอน   ชายหนุ่มคิด
   ภายใต้หมอกควันเจือจางเขาเห็นร่างสัตว์ประหลาดจะว่า เป็นแมงป่องก็ไม่ใช่
จะว่าเป็นตะขาบก็ไม่เชิง  ด้วยลักษณะมันคล้ายๆกับตะขาบแต่ตรงท้ายหางมันกลับ
มีลักษณะหงอนชูลักษณะเหมือนแมงป่องชูแกว่งไปๆมาๆ   ปลายหางมันกลับเป็น
สีดำคล้ำปนม่วง   ลำตัวมันกะประมาณขนาดต้นตาลเห็นจะได้  มันส่งเสียงคำราม
ดังฟอดๆๆ    พุ่งร่างมายังชายหนุ่มกับลิงขนทองทันที 

   ทันใดนั้นเจ้าขนทองก็ดึงกระบองที่มันเหน็บไว้ที่เอ็นงูที่เขาถักเป็นที่หุ้มดวงแก้ว
ออกมา   เสมือนกระบองจะรู้ใจเจ้าลิงใหญ่กระบองพลันขยายใหญ่และยาวขึ้นทันที
เขาเห็นเจ้าขนทอง  ควงกระบองพุ่งทะยานเข้าใส่ร่างสัตว์ประหลาดนั้นพร้อมทั้งฟาด
กระบองไปยังร่างของเจ้าสัตว์ประหลาด  เสียงดังแก๊งๆยามที่กระบองกระทบกับร่าง
เจ้าสัตว์ประหลาด   ทำเอามันหยุดชะงักได้พักหนึ่ง  แล้วหันหัวขวับมาทางเจ้าขนทอง
    เจ้าขนทองมิรอช้ามันกระโดดหลบไปหลบมาแล้ว   กระโจนขึ้นไปขี่บนหลัง
เจ้าสัตว์ประหลาด  ทันทีที่ร่างเจ้าขนทองขึ้นไปยังหลังมัน   หางที่คล้ายแมงป่องก็
สะบัดพุ่งเหล็กแหลมที่มีสีน่ากลัวทิ่มแทงมายังเจ้าขนทองทันที   เจ้าขนทองก็สะบัด
กระบองขึ้นรับ และหมุนร่างมันพลางสะบัดกระบองที่มีปลายแหลมแทงไปยังหาง
ก่อนจะถึงสีม่วงคล้ำปนม่วงทันที   คราวนี้ผลปรากฏเลือดสีดำๆพุ่งตามกระบอง
ที่ปลายเป็นแก้วแวววาวใส    ครั้นเลือดสีดำกระทบกับแก้วปลายแหลมนั้นมันก็กลับ
เป็นสีแดงฉานทันที   
    เจ้าสัตว์ประหลาดแสดงอาการเจ็บปวดร้องเสียงแซดๆ แล้ววกหัวกลับมาจะกัด
เจ้าขนทอง  แต่ด้วยสัญชาติฌานมันล่าช้ากว่าลิงมากมายนักถึงแม้ว่าเจ้าลิงจะมีร่างกาย
ใหญ่โตก็ตาม     แต่ความว่องไวหาได้เป็นปัญหาใดๆกับมันไม่  ร่างมันตีลังกาลงมา
ยังพื้นดิน  แล้วกลับทะยานฟาดกระบองที่มีหัวเป็นพญานาคเจ็ดเศียรทันที    แต่คราวนี้
เศียรพญานาคเจ็ดเศียรซึ่งมีพลอยแดงเป็นนัยน์ตามันก็มีลำแสงพุ่งออกมาเข้าสู่ร่างของ
สัตว์ประหลาดทันที     
     เสียงดังฉี่ๆ  นัยน์ตาของเจ้าสัตว์ประหลาดทะลุทันทีเลือดสีดำๆพุ่งออกมา   
ชายหนุ่มยืนมองดูการต่อสู้ทั้งสอง   เขาไม่นึกเลยว่าอำนาจกระบองที่ตรงหัวมีเศียร
พญานาคจะมีฤทธิ์เดชเช่นนี้   เมื่อหัวกระบองเศียรเจ็ดเศียรกระทบกับหัวของสัตว์
ประหลาด     หัวของเจ้าสัตว์ประหลาดก็แยกแตกออกทันที เขารีบกระโดดหลบ
สายเลือดและสมองมันที่กระเซ็นออกมา  เลือดมันเมื่อกระทบกับต้นหญ้าที่เขา
ยืนอยู่ก็เกิดเป็นควันไหม้ขึ้น   นี่หากเขายืนอยู่ที่เดิมก็คงจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เขาคิด
     เมื่อร่างของเจ้าสัตว์ประหลาดสิ้นหัวแล้ว  ร่างมันก็ดิ้นและฟาดทุรนทุราย
ร่างของมันฟาดไปตามต้นไม้เล็กๆต่างๆทำให้   ต้นกิ่งก้านหักสะบั้นเป็นวงกว้าง
เจ้าขนทองได้ทีก็กระโดดหนีห่างออกมาแล้วก็ทะยาน  ไปที่หางคล้ายๆหางแมงป่อง
ฟาดกระบองท่อนหัวออกไปที่ร่างเจ้าสัตว์ประหลาด  ซึ่งส่ายไปส่ายมาพร้อมร่าง
ที่ดิ้นรน อยู่      
      พลันเจ้าขนทองก็ฟาดกระบองท่อนหัวใส่ยังหางมันทันที   หางของเจ้า
สัตว์ประหลาดก็ขาดจากกัน   ยังกับถูกมีดดาบคมกริบตัดขาดจนในที่สุดร่างมันก็สงบนิ่ง
      เจ้าขนทองแสดงอาการดีใจแล้วรีบเก็บกระบองสีดำสนิทดูเหมือนกระบองนั้น
จะเข้าใจจิตใจเจ้าขนทองก็กลับเล็กลงเท่าเดิม   มันรีบนำมาสอดกับเอ็นลิงที่หุ้มห่อแก้ว
ซ่อนไว้ทันที    แล้วมันก็ตีลังกาพุ่งร่างมาหาชายหนุ่ม.........

               *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ