27 กุมภาพันธ์ 2553 14:16 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 32

แก้วประเสริฐ


                          ลุ่มลึกอิสราวดี  32

     “หามิได้ท่านผู้เฒ่า  ข้าเองเพียงแต่ไม่อาจจะนิ่งดูดายได้ ดังสุภาษิตยุคข้าเองกล่าวไว้ว่า
“หากอยู่บ้านใคร  อย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกเขาเล่น” ซึ่งเป็นความหมายในเมื่อ
ข้าเองก็มาอาศัยพวกท่านอยู่จึงคิดใคร่จะทำประโยชน์เล็กๆน้อยๆให้พวกท่านเท่านั้นเอง”
       “  นี่ขนาดช่วยพวกข้าเล็กน้อยๆนะหรือ   แต่ข้าถึงแม้ว่าจะเป็นแม่ทัพใหญ่ก็หาได้คิด
คำนึงถึงว่า  การกระทำของท่านนี้จะแม้นดูๆง่ายดายนัก  แต่ผลลัพธ์มันช่างมหาศาลยิ่งนัก
ข้าเองทดลองให้คนของข้า ทดลองเข้าไปในค่ายกลของท่านแล้ว ผลออกมาว่าพวกนั้นไม่
สามารถจะออกมาได้  มันเต็มไปด้วยเมฆหมอกควันไฟร้อนระอุยิ่งนัก  จนข้าเองที่ได้รับ
การถ่ายทอดจากท่านมา  จึงต้องออกไปรับมันออกมาถึงจะออกมาได้   
         หากแม้นว่าเพียงดูแค่ผิวเผินแล้วก็เหมือนสภาพปกติธรรมดา  หากหลงพลัดเข้าไป
ยากจะแลเห็นตัวเองได้นับได้ว่าเป็นค่ายกลที่แปลกประหลาดมาก  ส่วนค่ายกลอื่นๆนั้น
ข้าเองยังไม่ได้ทดสอบนี่เพียงค่ายกลเดียวเท่านั้นข้าเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดนะท่าน”    
 ชายชรากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสยิ่งนัก”  ชายชราซึ่งอดีตเป็นแม่ทัพใหญ่กล่าว
        “มาๆขอให้ท่านไปร่วมประชุมกับนายหญิงเราเถอะเพื่อวางแผนต่อไป”
ครั้นชายชรากล่าวแล้วก็จูงมือชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างใน  ซึ้งประกอบด้วยโต๊ะยาวด้านหลัง
มีหนังสือต่างๆวางเรียงกันไว้   บนหัวโต๊ะนั่งด้วยเจ้าหญิงแห่งอิสราวดีนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนอีกด้านหนึ่งมีโต๊ะเพียบพร้อมด้วยอาหารผลไม้ต่างๆตั้งคอยอยู่ก่อนแล้ว
         ครั้นทั้งสามเข้าไปนั่งสนทนาเพื่อวางแผนการในการดำเนินการกู้แผ่นดินต่อไป มีอยู่
ตอนหนึ่งที่ชายหนุ่มกล่าวกับชายชราขึ้นว่า
       “ในเมื่อท่านนายกองทำหน้าที่พ่อค้าสอดแทรกซึมในเมืองอยู่นั้น  ท่านจะให้เขาหาของ
แก่ข้าได้หรือไม่ก็ไม่รู้  ด้วยของเหล่านี้จะมีอยู่ในแคว้นเมืองจีนโน่นแหละท่าน”
        “ขอให้พ่อหนุ่มบอกมาเถิดว่าต้องการสิ่งใด  เราก็จะพยายามให้เขาหามาให้ท่านอาจจะ
ต้องใช้เวลานานเพราะอยู่ที่แคว้นจีนโน่นแนะหรือเป็นในเมืองหลวงของเขาหรือเปล่าล่ะ”
        “ของที่ข้าต้องการนี้อยู่ติดกับแว่นแคว้นของเราคือ รัฐฉางอานแห่งแคว้นจีนไม่ถึงเมืองหลวง
หรอกท่านผู้เฒ่า”  ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
        “ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่เป็นปัญหาหรอก  ไหนๆท่านบอกมาซิว่าต้องการสิ่งใดบ้าง”
         “อ้อที่ข้าต้องการมีแค่สามสี่อย่างเท่านั้นเองแหละท่านผู้เฒ่า  คือมี  ดินประสิว  กำมะถัน
และเศษเหล็กส่วนเศษเหล็กสร้างเป็นรูปกลมๆก็คงไม่ต้องไปหาที่อื่นก็ได้ในแคว้นเรา
คงอาจจะมี เพียงแค่สองอย่างเท่านั้นเอามามากเท่าจะมากได้ ให้แยกกันมานะท่านผู้เฒ่า” 
          เหตุที่ชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ด้วยนึกถึงสมัยตอนเด็กๆเขาชอบทำพลุเล่นโดยนำส่วนประกอบ
มาทำเองคือพวกดินดำนั่นเอง  มานึกได้ว่าหากนำมาใช้ในด้านการทหารด้วยก็จะยิ่งประกอบให้
กองทัพน้อยๆนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  เขานึกถึงงานบ้องไฟที่มหาสารคามขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
          “ได้ซิพ่อหนุ่มเราจะให้ทหารรีบไปจัดการแจ้งแก่นายกองเพื่อจัดหาสิ่งที่ต้องการเหล่านี้ให้”
          “อ้อๆ...อีกประการหนึ่งข้าอยากได้ต้นพริกที่แห้งๆมาจำนวนมาก  ซึ่งข้าเห็นพวกเราปลูกไว้
มากมายแล้ว   มาตากแดดให้แห้งแล้วนำมาเผาให้เป็นถ่านแล้วบดให้ละเอียดเก็บให้แก่ข้าเป็นจำนวน
มากๆไว้ด้วยนะท่านผู้เฒ่า”   ชายหนุ่มกล่าว
          “อ้อเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาหรอกพ่อหนุ่มข้าจะให้เขารีบปลูกพริกไว้ให้มากมายแล้วนำต้นมา คง
จะทันกับของสองสิ่งที่ท่านต้องการ    ส่วนเศษเหล็กนั้นทางเราก็มีช่างตีดาบและหล่อหลอมอาวุธอยู่
แล้วทางด้านหลังเขานี่เอง  กำลังเร่งจัดทำอาวุธต่างๆอยู่”  ชายชรากล่าว
          “หากเป็นเช่นนั้นขอให้ข้าได้ไปดูการทำงานของเขาด้วยได้ไหมล่ะท่านผู้เฒ่า”
          “ได้ซิพ่อหนุ่ม    เดี๋ยวเราเสร็จจากการวางแผนแล้วทานอาหารกันแล้วข้าจะนำท่านไปดูการทำงาน
ของพวกช่างที่กำลังประกอบอาวุธต่างๆไว้นะ”
         ชายหนุ่มยิ้มแล้วทั้งสามก็จัดการวางแผนการโดยคิดว่าหากได้ฝึกทหารจนเชี่ยวชาญ  พร้อมกับ
สร้างกองทัพม้าขึ้นมาได้แล้วก็จะนำกำลังเข้ายึดเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้เมืองอิสราวดีไว้เป็นกำลัง
แล้วค่อยทยอยขจายตีเมืองต่างๆโอบล้อมเมืองไว้  
 แต่ต้องคอยเจ้าสีเทาจะนำบริวารมันมาได้หรือไม่ก่อน   หากฝึกม้าป่าเหล่านี้ได้
จากคนของที่นี่ที่ชำนาญเรื่องนี้อยู่แล้ว   ก็นับได้ว่าเป็นกองกำลังที่มีประสิทธิภาพประกอบกับด้วยตัวเขาเอง
จะใช้เวทย์มนต์ช่วยเหลืออีกทางหนึ่งด้วยเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารทั้งหลาย  ชายหนุ่มอธิบายแผน
การต่างๆให้แก่ชายชราและหญิงสาวฟัง  พร้อมกับแจ้งว่าที่ท่านเห็นหาได้ทราบไม่ว่าเขาเองมีนางพรายสองนาง
เคียงข้างอยู่ด้วย  ทำให้หญิงสาวที่กำลังก้มอ่านแผนที่ต่างๆอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นทันที  ด้วยนางเองนั้นเป็นคู่หมั้น
ของท่านอุปราชซึ่งนางเชื่อว่าคือชายหนุ่มคนนี้นี่เอง  ความอิจฉาริษยาย่อมเกิดขึ้นกับผู้หญิงไม่มากก็น้อยจึงถาม
ขึ้นว่า
      “ท่านผู้กล้าหาญท่านกล่าวว่ามีนางพรายอยู่ด้วยใยฤา”
       “ใช่แล้วแม่นาง  ที่ข้าต้องกล่าวเช่นนี้ด้วยจะทำให้ท่านทั้งสองเกิดความสงสัยหากนางปรากฏกายขึ้น  ด้วยเขา
เป็นทั้งพี่น้องที่ข้ารักดุจร่วมเป็นร่วมตายกันมาในป่าใหญ่นั่นเอง”  ชายหนุ่มกล่าว
      แล้วก็เล่าถึงเหตุได้นางพรายทั้งสองให้แก่คนทั้งสองฟัง  ทำให้นางซึ่งเป็นถึงกษัตริย์
ค่อยคลายใจได้ใคร่อยากจะเห็นนางพรายทั้งสองทันที  จึงถามไปว่า
      “ท่านผู้กล้าหาญ  หากข้าน้อยอยากจะพบกับแม่นางจะทำอย่างไรหรือท่าน”
      “อ้อ ไม่ยากหรอกแม่นาง   เพียงพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว หากข้าจะให้แม่นางทั้งสองปรากฏกายก็ย่อมจะได้
เห็นหรอกจ้า    ที่นางพรายเมื่อปรากฏกายนั้นนางไม่ต้องการให้พวกท่านเห็น  ดังนั้นท่านจึงมิอาจจะเห็น
พวกแม่นางได้   งั้นคืนนี้ท่านทั้งสองมาในห้องพักข้าเถิดก็จะเห็นนางทั้งสองที่พวกท่านไม่เห็นนั้นด้วย
 ข้าเองกำชับไว้เท่านั้น”  ชายหนุ่มกล่าว
       “ตกลงหลังค่ำแล้วพวกข้าทั้งสองจะไปพบแม่นางเพื่อได้รู้จักกันไว้นะท่าน”   แม่นางกษัตริย์กล่าว
       “หาเป็นใดไม่หรอกแม่นาง ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน   แต่ขอให้ข้าได้ออกไปตรวจดูการทำงานของพวกช่างก่อน
เถอะนะ”      แล้วชายหนุ่มก็ขอตัวแก่แม่นางเจ้าหลังจากปรึกษากันเสร็จ  แม่นางชวนให้ทานอาหารก่อนแต่เขา
บอกว่าหากตรวจการทำงานเสร็จก็จะมาร่วมรับทานอาหารพร้อมกันและให้แม่นางพรายมาร่วมด้วย 
 ทำนางกษัตริย์ยินดียิ่งนัก  ว่าแม่นางพรายที่ชายกล่าวไว้จะมีความสวยงามมากน้อยเพียงใด
           หลังจากนั้นชายหนุ่มและอดีตแม่ทัพใหญ่ก็ออกเดินทางลัดเลาะไปตามเขาเบื้องหลังที่พัก ก็เห็นโรงงาน
หล่อหลอมเหล็กทำอาวุธต่างๆ  ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาตรวจสภาพดูแล้วลองใช้ฟันไปยังกองท่อนเหล็กที่เรียงรายไว้
ดาบเหล่านั้นเกิดประกายไฟแต่ไม่สามารถทำให้ท่อนเหล็กเหล่านั้นขาดจากกันได้   จึงได้เอ่ยขึ้นว่า
      “ท่านผู้เฒ่าดาบและอาวุธเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะทำได้ดีก็ตามแต่หากไปเจอดาบที่แข็งแกร่งกว่าย่อมจะถูกทำลายได้
โดยง่าย   จะเป็นอันตรายแก่ทหารของเราเอง   เอาอย่างนี้ดีกว่าข้าจะทดลองให้ช่างหลอมดาบขึ้นเดี๋ยวนี้สักเล่ม
ก่อนโดยช้าจะคอยควบคุมด้วยตัวเองนะ”
      “ได้ซิพ่อหนุ่ม”   พลางหันไปสั่งยังหัวหน้าหมวดช่างที่คอยยืนฟังต้อนรับอยู่  พลางหันไปสั่งให้รีบจัดทำการ
หลอมเหล็กใหม่เดี๋ยวนี้    ชายดังกล่าวก็รีบไปสั่งยังลูกน้องให้รีบดำเนินการโดยด่วน   ในขณะที่ช่างกำลังหลอม
เหล็กกล้าอยู่นั่น   ชายหนุ่มล้วงไปในย่ามของเขาแล้วนำก้อนหินสีแดงซึ่งบัดนี้กลายเป็นแก้วใสๆสีแดงขึ้นมาก้อน
หนึ่งแล้ว   เดินเข้าไปยังเบ้าหลอมเหล็กที่กำลังละลายอยู่พลางโยนก้อนหินแก้วสีแดงใสลงไปในเบ้าหลอมทันที
พลันปรากฏประกายหลากสีขึ้นจากปากเบ้าหลอมทันใด   ทำความประหลาดใจแก่ชายชราและหัวหน้าช่างยิ่งนัก
        เมื่อเสร็จแล้วก็นำมาเทยังแบบพิมพ์ครั้นได้ทีแล้วช่างก็เริ่มตีดาบ  โดยชายหัวหน้าช่างเป็นคนลงมือเอง
  เขาตีไปชุบน้ำไปครั้นตีจนได้ที่แล้ว จึงนำไปลับดาบให้คมพร้อมนำมาชุบในน้ำ   เขาคิดว่าคงจะเป็นน้ำยาด้วยไม่
เหมือนน้ำทั่วๆไป   ครั้นเย็นลงจึงนำมาส่งมอบให้แก่ชายชรา   ชายชราก็นำมาส่งให้ชายหนุ่ม  
ชายหนุ่มจึงกล่าวแก่ชายชราว่า
        “ท่านผู้เฒ่าโปรดทดลองดาบเล่มนี้ด้วยตนเองเถอะ   แล้วนำไปทดลองกับกองท่อนเหล็ก
ที่ข้าเองกระทำเมื่อสักครู่นี้เถิด”
         เมื่อชายชราฟังเช่นนั้นแล้วก็เดินถือดาบที่สร้างเสร็จใหม่ๆมาเดินไปทางด้านกองเหล็ก
แล้วยกดาบขึ้นฟันไปทันทีผลปรากฏว่าท่อนเหล็กทั้งหลายที่เรียงกองไว้
ขาดสะบั้นไปเกือบหมดสิ้น  ทำให้ชายชราถึงกับอุทานออกมาตลึงต่อดาบเล่มนี้ทันที
       เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หันมากล่าวกับชายหนุ่มว่า
           “โอ้ๆ...พ่อหนุ่มมันช่างพิสดารจริงๆนะแล้วสิ่งที่พ่อหนุ่มใส่ลงไปในเบ้าหลอมเป็นก้อนแก้วสีแดงนั้นคือ
อะไรหรือจึงทำให้ดาบเหล่านี้คมกล้ายิ่งนักสามารถตัดเหล็กกล้าขาดกระจุยได้ล่ะ”
        ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆแล้วเล่าเรื่องความเป็นมาเกี่ยวกับก้อนแก้วสีแดงใสๆ  ซึ่งเขาก็พึงสังเกตเห็นว่าก้อนหิน
เลือดของพญางูนี้บัดนี้กลายเป็นก้อนแก้วใสๆสีแดงไปแล้ว  ให้แก่ชายชราฟัง    ทำให้ชายชราถึงกับอุทานขึ้น
อีกครา   พร้อมขอชายหนุ่มพิจารณาดูอีกครั้งหนึ่ง  เขาจึงล้วงหยิบมาให้ชายชราดูมันเป็นแก้วสีแดงสวยสดใส
มากๆ แล้วจึงส่งคืนให้ถามว่า
         “แล้วพ่อหนุ่มพกมามากมายนักไม่หนักหรือ”
         “ท่านผู้เฒ่าก็ดูแล้วนี่นาว่าก้อนแก้วนี้เบายิ่งนัก  ข้าเอามาย่ามหนึ่ง  เดี๋ยวจะแบ่งให้นายช่างใช้ในการทำ
อาวุธต่างๆไว้ให้แก่เหล่าทหารทั้งหลาย   ให้ท่านเรียกนายช่างมาข้าจะอธิบายให้เขาฟัง”
          เมื่อชายชราได้รับฟังเช่นนั้น ก็หันไปเรียกนายช่างที่ยังยืนอ้าปากค้างอยู่เมื่อเห็นการทดลองดาบที่เขาเอง
ทำขึ้น แทบไม่เชื่อสายตามว่ามันจะมีอานุภาพมากมายเช่นนี้   เมื่อเขาเข้ามาแล้วชายหนุ่มก็กล่าวกับนายช่างทันที
       “นี่แน๊ะ...นายช่างข้าจะมอบสิ่งของให้ท่านไว้ใช้ในการหล่อเหล็กแต่ให้เอาอาวุธที่ทำไว้แล้วนำมาหลอมใหม่
ด้วยพร้อมทำก้อนเหล็กกลมๆจำนวนมากไว้   เมื่อใส่เหล็กในเบ้าต่างๆแต่ละเบ้าใช้ทำอาวุธต่างๆ
ให้ท่านนำก้อนแก้วนี้ใส่ไปในเบ้าล่ะหนึ่งเม็ดด้วยนะ ส่วนเหลือจากเทเหล็กแล้วให้เหลือไว้ไม่ต้องหมด
ให้ใส่เหล็กเติมไปเรื่อยๆจนครบ แล้วถึงจะมาทำเป็นอาวุธด้วยล่ะ หากหมดประกายแสงก็ให้เติมก้อนแก้วนี้ลงไป”
       “ขอรับท่านพ่อหนุ่ม”  นายช่างซึ่งมีอายุค่อนข้างจะชราน้อมกายกล่าว
      แล้วชายหนุ่มก็ล้วงในย่ามหยิบก้อนแก้วสีแดงออกมาจำนวนหนึ่งมอบให้แก่นายช่างไว้กำชับว่าเริ่มทำโดย
ให้สักเกตุว่าหากเบ้าใดที่มีแสงประกายเกิดขึ้นคือเบ้าที่ใส่ก้อนแก้วลงไปแล้วถือว่าใช่ได้แล้วจึงนำมาทำอาวุธต่างๆ
ได้    เราจะกลับแล้วล่ะอย่าลืมคำเตือนของเราเสียล่ะ  
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ชวนชายชรากลับยังที่พัก  ส่วนชายชรานั้นก็ไม่ลืมที่จะนำดาบเล่มที่ทดลองนี้ติดตัวไปด้วย
       เพราะเชื่อมั่นในคมดาบนี้ยิ่งนักซึ่งดีกว่าดาบประจำตัวเสียอีกเห็นทีคงจะใช้เป็นอาวุธคู่กายกระมัง
  ชายหนุ่มคิด  แล้วพลางเดินสนทนากันไปเรื่องราวต่างๆนานาเกี่ยวกับการสร้างทหารให้มีความแข็งแกร่ง
จนถึงที่พัก   แล้วพลันพบเจ้าพบเจ้าหญิงที่ยืนคอยอยู่หน้าประตูถ้ำอยู่ก่อนแล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปข้างใน   
        ชายชราเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้แก่เจ้าหญิงฟังทุกประการ  ทำให้หญิงสาวถึงกับตาโตและขอดูดาบพลาง
ทดลองกับหินย้อยที่ส่งประกายงดงามทันที   ผลหินย้อยได้ขาดหล่นตกลงมาทันที  หล่อนจึงหันไปกล่าวขึ้นว่า
หากมีดาบเช่นนี้สักเล่มหรือมีดเล็กก็จะดี   ชายชราจึงกล่าวว่าหากต้องการเช่นนี้
จะสั่งให้ไปจัดการสร้างมีดเล็กให้แก่หล่อนด้วยตอนนี้กำลังสร้างกันอยู่ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆไว้
คงจะมีการสร้างไว้แล้วด้วยชายหนุ่มได้มอบของสิ่งหนึ่งให้แล้วล่ะ    หญิงสาวครั้นทราบ
รายละเอียดก็ขอชายหนุ่มดูแก้วสีแดงใสๆ   ชายหนุ่มก็ล้วงหยิบมาให้ก้อนหนึ่ง   นางนำมาพิจารณาดูแล้วเอ่ย
ปากขอต่อชายหนุ่มทันที   ชายหนุ่มยิ้มพร้อมทั้งเลือกในยามที่มีลักษณะสวยงดงามที่สุดส่งให้แก่หญิงสาวทันที
        หญิงสาวก็มอบก้อนเดิมคืนให้รับของใหม่มาพร้อมทั้งซุกไปไว้ในอกเสื้อชั้นใน  พลางถามว่า
     “ท่านผู้กล้าหาญทำไมถึงพกมามากมายนักล่ะ”
     “อ้อๆแม่นางข้าพเจ้าใช้เป็นอาวุธของข้าเองแหละในการขว้างปาไปยังศัตรูเองแหละแม่นาง”   ชายหนุ่มตอบ
     “แหม...น่าเสียดายนักนะด้วยมีความสวยงามเช่นนี้”  หญิงสาวกล่าวขึ้น
     “ก่อนนั้นมันแค่ก้อนหินสีแดงธรรมดาเท่านั้นหรอกแม่นาง   แต่บัดนี้เหตุใดจึงกลายเป็นหินสีแดงสดใสข้าเอง
ก็ไม่อาจจะทราบได้   พึ่งจะรู้ก็ตอนที่นำให้ช่างใส่ลงไปในเบ้าหลอมเหล็กนั่นแหละ”  ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
     “นอกจากเป็นอาวุธท่านแล้วจะมีประโยชน์อะไรหรือไม่ล่ะท่านผู้กล้าหาญ”  หญิงสาวถามหินสวยงามนี้
      “ จากที่ข้าเองรู้จากท่านผู้เฒ่ากล่าว่าสามารถป้องกันสิ่งร้ายๆได้ด้วยนะแม่นาง”  ชายหนุ่มกล่าว
พร้อมทั้งล้วงในยามหยิบมาอีกก้อนหนึ่งส่งมอบให้ชายชราแม่ทัพใหญ่ทันที  กล่าวบอกให้เก็บเอาไว้อาจจะเป็น
ประโยชน์ในกาลเบื้องหน้าก็เป็นไปได้
         ทันใดนั้นเสียงกึกก้องแว่วเข้ามาพร้อมร้องเอะอะของเหล่าทหารทั้งหลาย   ทำให้ทั้งหมดสงสัยจึงรีบออกไป
จากถ้ำมองทันที   ทหารคนหนึ่งเข้ามารายงานว่ามีฝูงม้าป่าจำนวนมากมายนักกำลังมุ่งมาทางหุบเขานี้   เมื่อเป็น
เช่นนั้นชายชราทราบดีว่าเป็นอะไร  จึงสั่งบอกให้ทหารนั้นรีบไปแจ้งแก่บรรดาทหารทั้งหลายที่เฝ้าปากทางปล่อย
ให้ฝูงมาทั้งหลายผ่านเข้ามาอย่าทำอันตรายโดยเด็ดขาด
        บัดดลยังมิทันทีทหารจะออกไปก็ปรากกฎร่างเจ้าสีเทานำฝูงม้ามาจำนวนมากมายนัก  เจ้าสีเทาวิ่งเข้ามาพร้อม
ยกขามันขึ้นร้องก้องแล้วเข้าคลอเคลียชายหนุ่มทันที  ที่ได้ห่างหายกันไปหลายวันชายหนุ่มก็ลูบไล้จูบไปบนหน้า
มัน   พร้อมกับมองไปด้านหลังเห็นฝูงม้านั้นมากกว่าบริวารเจ้าสีเทามากนัก ก็ให้สงสัยแต่ด้วยปฏิภาณเขาจึงพอจะ
เดาได้ว่าเจ้าสีเทามันคงจะไปชักชวนบรรดาฝูงม้าป่าทั้งหลายให้มาร่วมกับมัน   ด้วยการเข้าต่อสู้กับจ่าฝูงจนได้รับ
ชัยชนะแก่ฝูงม้าทั้งหลายแล้วนำมันมาที่นี่  ดังนั้นจึงได้มีจำนวนมาป่ามากมายนัก
        ชายชราอดีตแม่ทัพใหญ่ก็หันไปสั่งการให้ทหารช่วยกันสร้างที่พักให้แก่เหล่าม้าป่าแล้วเรียกผู้ฝึกม้ามาพร้อม
กับสั่งให้ค่อยๆฝึกม้าทั้งหลายให้คุ้นและใช้ในการศึกต่อไป   ทหารเหล่านั้นก็รับคำแล้วไปจัดการหาอาหารน้ำให้
แก่เหล่าม้าทั้งหลาย  ซึ่งบัดนี้เจ้าสีเทาส่งเสียงร้องกู่ก้องขึ้นทำให้บรรดาฝูงม้าป่าที่แตกตื่นจะเข้าทำร้ายทหารที่จะ
เข้าไปหยุดชะงักทันที   และยินยอมให้ทหารเหล่านี้เข้าไปจับต้องตัวมันได้มันคงได้รับการกำชับของเจ้าสีเทา
นั่นเอง   ดังนั้นจึงไม่ยากนักเมื่อเหล่าทหารสร้างคอกที่พักให้แก่ม้าทั้งหลายนับหลายๆหลังเพราะมีจำนวน
ประมาณเกือบกว่าสามร้อยตัวได้เข้าอาศัยยังคอกแต่โดยดีและลงมือกินอาหารน้ำที่ทหารนำไปมอบให้................

                                *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
26 กุมภาพันธ์ 2553 14:36 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 31

แก้วประเสริฐ


                 ลุ่มลึกอิสราวดี  31

     “อ้า???....  แล้วข้าหรือจะช่วยเหลือแม่นางได้อย่างไรกันล่ะ  ในเมื่อข้าเองก็มีเพียง
แค่หนึ่งคนสามสัตว์เท่านั้นเอง”      ชายหนุ่มตอบ
    ครั้นแม่นางได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น  พลางเอ่ยขึ้น
     “แต่ข้าน้อยพิจารณาแล้วว่า  ในเมื่อท่านสามารถผ่านป่าทึบอันอุดมไปด้วยสัตว์น้อย
ใหญ่และล้วนแต่อันตราย   พวกเรายังไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปอาศัยอยู่ได้ ด้วยบรรดาสัตว์
ทั้งหลายหาใช่เหมือนกับแถบบริเวณแถวนี้ไม่ ล้วนแต่ดุร้ายและร่างกายใหญ่โต  ก่อนนั้น
ข้าน้อยก็เคยนำพวกหลบหนีไปเป็นจำนวนมาก   แต่ต้องพ่ายแพ้แก่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั่น
จนเหลือผู้คนรอดกลับมาได้ไม่มากนัก เจ้าค่ะ”  
     “อ้อๆๆ??ด้วยเหตุนี้เองหรือ  ข้าเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดนับ   ตั้งแต่หลงพลัดเข้าไป
ในนั้นและหาทางออกแทบไม่เจอ  ต้องอาศัยหนทางของลำธารเป็นหลักมุ่งหน้ามาจึงจะ
สามารถออกมาได้เหมือนกัน  แต่ก็ต้องใช้เวลาเนิ่นนานจนเจ้าลิงขนทองยังเล็กๆนักจนกระทั่ง
มันเป็นหนุ่มไปเสียแล้วล่ะ   อันที่จริงที่นั่นล้วนแล้วแต่สัตว์ประหลาดๆร่างกายใหญ่โตยังกับ
ภูเขาลูกย่อมๆเลยทีเดียวไม่ใช่ดินแดนของมนุษย์อาศัยอยู่   แต่คงจะยังไม่ถึงฆาตของข้ากระมัง
จึงสามารถพยุงชีวิตรอดออกมากได้นะแม่นาง”     ชายหนุ่มกล่าวขึ้น

       “ นั่นซิท่านผู้กล้าหาญ  เราถึงได้เรียกท่านเช่นนั้นด้วยเราและพวกก็เผชิญภัยจากสัตว์เหล่านี้
มาแล้วขนาดตัวเดียวนะ   ยังเหลือทหารรอดกลับมาได้น้อยส่วนคนฝีมืออ่อนๆก็สิ้นชีวิตเป็น
อาหารแก่พวกมันเสียสิ้นจ๊ะ”     องค์หญิงตอบแก่ชายหนุ่มพร้อมใบหน้าละห้อยยิ่งนัก
      “เอาอย่างนี้ดีกว่า ไหนๆข้าก็ตัวคนเดียวไร้ที่อยู่อาศัยหากได้พักพิงกับแม่นางและช่วยเหลือได้
เท่าที่จะช่วยได้   ข้าเองหาใช่เก่งกาจอะไรไม่เพียงแต่โชควาสนาค้ำจุนแก่เราหรือว่าดวงยังไม่ถึงที่
ตายก็อาจจะเป็นไปได้    ถ้าหากแม่นางจะให้เราอยู่เราก็ไม่ขอปฏิเสธแม่นางหรอกแต่แม่นางจะให้
เราทำอะไรได้บ้างล่ะ”     ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นกับองค์หญิง
       “ข้าน้อยดูจากอาวุธของท่านที่เปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งนัก  และท่าทางองอาจสง่างามการสะพาย
อาวุธก็หาใช่บุคคลไร้ฝีมือก็หาไม่  กลับบ่งบอกถึงลักษณะที่ซ่อนเร้นของท่านผู้กล้าหาญเอาไว้ดุจ
ประกายอัญมณีที่ยังไม่กระทบแสงฉันท์ใดฉันท์นั้นแหละ   แม้แต่ท่านผู้เฒ่าเองก็ยังตลึงต่อท่านนัก
หากไม่เป็นดังที่ข้าน้อยกล่าวไว้    ท่านผู้เฒ่านี้ยากจะพยายามให้ท่านอยู่ด้วยท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่
แห่งนครอิสราวดี  มีความรอบรู้วิชาการต่างๆมากมายรอบด้านทีเดียว
         แต่ท่านหากจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอันใหญ่โตก็ได้ไม่ยากนัก    แต่ท่านเป็นคนที่ถ่อมตัวรัก
แคว้นยิ่งกว่าชีวิตหาได้ทะเยอทะยานต่อลาภยศชื่อเสียงแต่ประการใด    เพียงขอแค่รับใช้พวกเรา
และขอแค่เพียงแม่ทัพใหญ่ไว้เพื่อคอยปกป้องเมืองเท่านั้นอื่นๆใดหาได้ต้องการไม่  
 เสด็จพ่อเรามิอาจขัดใจท่านผู้เฒ่าได้ด้วยทราบถึงเจตนารมณ์แต่ก็ดีไป  เหตุการณ์สงบและยังสามารถ
ทำทุกๆคนเกรงกลัวควบคุมอำนาจที่พวกข้าราชการทั้งหลายไว้   นี่หากเราไม่ให้ท่านผู้เฒ่า
ไปติดตามหาคนๆหนึ่งแล้ว     เราเองก็หาได้เป็นดั่งเช่นนี้ไม่หรอกท่าน”  

           พระนางกล่าวด้วยน้ำเสียงสลดใจเศร้าสร้อยยิ่งนัก  พร้อมกับหยาดน้ำตารินหลั่งไหลออกมา
เปื้อนทั้งสองแก้มรินหยดลงบนเสื้อ       จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงสารครั้นจะไปช่วยเช็ดหยาดน้ำตา
ให้แก้ไม่สมควรยิ่งนัก   จึงเอ่ยปากว่า
         “ก่อนที่ข้าจะมาหาได้มีฝีมือแต่ประการใดไม่  จนกระทั่งข้าเองพลัดเข้าไปยังป่าทึบนั้นข้าได้
พบสถานที่แห่งหนึ่ง  จะด้วยโชควาสนาของข้าก็ไม่รู้จึงได้พบของอันเป็นตำรับตำราใช้ในการ
ฝึกสอน ตลอดจนค่ายกลต่างๆจากผู้ใดก็มิอาจจะทราบได้  จึงได้ร่ำเรียนและฝึกฝนจนใช้วิชาการ
ต่างๆผ่านพ้นมาได้   หากแม้นว่าข้าเองได้อยู่กับท่านก็คิดจะจัดการด้านทหารเสียใหม่และฝึกฝนเขา
ให้เป็นตามหลักวิชาการในตำรา   ถึงมาดแม้นว่าคนจะน้อยก็ตามทีหาใช่ว่าจะไร้ประโยชน์อันใดก็
หาไม่  หากประกอบด้วยการวางค่ายกลด้วยแล้ว   แม้นข้าศึกมาด้วยจำนวนหมื่นแสนก็มิอาจจะทำ
อันตรายใดๆแก่เหล่าทหารที่น้อยนิดนี้ได้  ตามตำราที่บ่งบอกและข้าเองก็เชื่อมั่นเช่นกัน  ตลอดจน
วิทยาคมต่างๆซึ่งยากจะฝึกสอนได้   ข้าคิดว่าหากไม่ขัดใจแม่นางกับท่านผู้เฒ่าแล้ว    ข้าเองก็จะขอ
อนุญาตควบคุมสถานการณ์เหล่านี้ด้วยตนเอง  และใช้ในการฝึกสอนวิชาการต่างๆซึ่งอาจจะผิดกับ
หลักการฝึกดั่งเดิมด้วยล่ะแม่นาง”  ชายหนุ่มเกิดความสงสารและคิดจะช่วยเหลือแม่นาง

          เมื่อแม่นางแห่งอิสราวดีและท่านแม่ทัพใหญ่ได้ยินคำกล่าวของชายหนุ่มเช่นนี้  ต่างก็พากัน
ยินดีเป็นอย่างยิ่ง   ถึงกลับน้อมกายลงคาราวะแก่ชายหนุ่มทันทีพร้อมๆกัน  พร้อมกับท่านผู้เฒ่าเอ่ยว่า
      “หากมาดแม้นได้ท่านมาช่วยเหลือและช่วยอบรมวางระบบการปกครองใหม่ก็ถือได้ว่าเป็นบุญ
วาสนาต่อพวกเรามาก    ตกลงข้าพเจ้าจะเรียกมวลทหารที่นี่ทั้งหมดมาให้ท่านฝึกฝนรับรู้วิชาการต่างๆ
จากท่าน   เพื่อใช้ในการปกป้องข้าศึกที่ข้าได้รับรายงานมาว่า   เรื่องของที่นี่ได้ถูกรายงานไปในเมือง
ที่ไอ้มหาอำมาตย์ตอนนี้มันเพียงแค่รักษาการณ์อยู่  แต่คงไม่นานหรอกมันก็จะเถลิงตัวเองเป็นกษัตริย์
แทนเพื่อครอบครองอาณาเขตเมืองขึ้นทั้งหมด  ซึ่งประกอบด้วยเจ็ดแคว้นหรืออาจจะเป็นแปดแคว้น
ก็อาจจะเป็นไปได้ในไม่ช้าไม่นานนี้   ซึ่งลุ่มน้ำอิรวดีเป็นแม่น้ำใหญ่ใช้หล่อเลี้ยงเหล่าแคว้นต่างๆไว้
ตลอดจนเมืองอิสราวดีด้วย แต่ด้วยบารมีของเจ้าเหนือหัวองค์ก่อนจึงได้รวบรวมปกครองไว้  อันได้แก่
       แคว้น กะฉิ่น  แคว้นกะยา   แคว้น กะเหรี่ยง  แคว้นฉาน แค้วนรัฐชิน  แคว้นรัฐมอญ แคว้นยะไข่
ซึ่งเราทราบว่าเมืองตองอูซึ่งอยู่ในแคว้นดังกล่าวกำลังคิดแยกตัวออกมา   หากไอ้มหาอำมาตย์มันขึ้น
เป็นกษัตริย์ได้ก็ย่อมจะมี พลานุภาพอำนาจการเมืองยิ่งขึ้น  แต่ไม่ทราบเหตุผลกลใดถึงยังไม่กล้าขึ้น
ดำรงตำแหน่งก็ไม่อาจจะรู้ได้ท่านผู้กล้าหาญ”   ชายชรากล่าวขึ้น

       “ โอ้โฮ???.....สามารถปกครองได้มากมายเช่นนี้นับว่าย่อมมีทหารที่เก่งกล้าสามารถตลอดจน
เชี่ยวชาญการศึกยิ่งนัก    นั่นนะซิท่านเองมองการไกลถึงขอควบคุมเหล่าทหารไว้ทั้งหมดนี่เอง”
      ชายหนุ่มอุทานแล้วกล่าวขึ้น        
      “ถูกแล้วพ่อหนุ่มหากเราไม่ทำแบบนี้ป่านนี้บรรดาแคว้นต่างๆซึ่งตลอดเวลา
พร้อมจะแยกตัวออกไปกัน   แต่เนื่องจากมันเกรงใจเรานั่นเองจึงยังคงมิกล้าที่จะทำการ
ใดๆขึ้นมา    แต่ตอนนี้เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่เสียแล้ว   ข้าคิดว่าอีกไม่นานนักหรอกบรรดาแว่นแคว้นต่างๆ
ก็จะแยกตัวออกจากเมืองอิสราวดีแน่นอนพ่อหนุ่ม”    ชายชรากล่าวตอบชายหนุ่ม
        “ช่างเถอะท่านผู้เฒ่าแม่นางเอย  เราไม่ต้องคำนึงถึงกาลนี้หรอก  เพียงแต่เรารับปากพวกท่าน
เมื่อรวบรวมเหล่าทหารและนำกำลังเข้ายึดเมืองอิสราวดีคืน
ให้แก่แม่นางได้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนแว่นแคว้นอื่นค่อยๆปราบปรามไป
    ตั้งแต่เล็กไปหาใหญ่ก็คงไม่ยากเท่าไหร่นัก  หากเราได้เมืองมาแล้วจัดฝึกฝนยุทโธปกรณ์ให้แก่เหล่าทหาร
จนแก่กล้าก่อน  ตลอดไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขเรียบร้อยแล้วนั่นแหละถึง   จะไปรวบรวมกันใหม่
อีกครั้งหนึ่ง   ท่านผู้เฒ่าและแม่นางเห็นเป็นประการใดเล่า”      ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความกระตือรือร้นยิ่งนัก

       “พวกเราเชื่อมั่นว่าท่านเองสามารถจัดการได้  ด้วยหากไม่มีความสามารถคงไม่ผ่านด่านป่าทึบอันร้ายกาจ
นี้ออกมาได้หรอก   และยิ่งได้ฟังท่านกล่าวถึงวิชาการต่างๆอีกตลอดจนรับหน้าที่ช่วยในการฝึกสอนก็ยิ่งทำให้
พวกเราเกิดกำลังใจมากยิ่งขึ้น   เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะเรียกทหารทั้งหมดให้มาสลับผลัดเปลี่ยนการฝึกอาวุธ
และจะนำท่านไปตรวจดูภูมิประเทศต่างๆก่อนเพื่อจะได้หาทางวางค่ายกลตามที่ท่านกล่าวไว้”   แม่นางกล่าว
        “ตอนนี้ขอเชิญท่านเข้าไปพักผ่อนและรับทานอาหารก่อนเถิด  แต่บอกก่อนว่าเสบียงอาหารเรามีไม่มาก
นักพอแค่ประทังท้องไปวันๆหนึ่งเท่านั้นเอง”  ท่านผู้เฒ่ากล่าว
        “หามิได้เรื่องอาหารนั้นเราทานแค่ผลไม้หาได้แตะต้องเนื้อสัตว์ใดๆไม่  จึงไม่ต้องรบกวนท่านทั้งหลาย
หรอก   เพียงเราจะให้เจ้าลิงทั้งสองไปค้นหาผลไม้เอาเองแหละท่าน”   ชายหนุ่มกล่าวขึ้นบ้าง
          “อ้าวๆ????....ท่านไม่ทานเนื้อสัตว์เลยหรือ”   ทั้งหมดถามด้วยความสงสัย
          “ใช่แล้วท่านผู้เฒ่าแม่นางเราเว้นจากเนื้อสัตว์มานานเสียนานแล้ว  ด้วยอยู่ในป่าลึกทานแต่ผลไม้จนเคย
ชิน   ครั้นเราทำลายบรรดาสัตว์มีเนื้อเราก็หาได้ทานมันไม่   ท้องข้าจึงเคยชินแต่ผลไม้เท่านั้นเอง”  ชายหนุ่มกล่าว
          “ถ้าอย่างงั้นเราจะให้ทหารไปเก็บผลไม้มาให้เองไม่ต้องให้ลิงทั้งสองท่านต้องเหนื่อยยากหรอก” 
 ผู้เฒ่ากล่าว ขึ้นและ ณ ที่นี้ข้าขอแต่งตั้งท่านขึ้นบัญชาการทหารทั้งหมดมอบให้แก่ท่านดูแลก็แล้วกัน ตลอดจน
จะแจ้งข่าวให้ท่านเหมี่ยวนรธานายกองที่แฝงตัวอยู่ในเมืองปลอมตัวเป็นพ่อค้าและมีสาขาอีกมากมายด้วย  อ้อๆๆ
เราขอมอบตราประจำตัวให้ท่านรับไว้เสียเลย   หากมาดแม้นท่านเดินทางไปในเมืองบรรดาทหารที่ปลอมตัวหาก
เห็นดวงตรานี้ก็จะยินยอมอยู่ในอำนาจท่านทั้งสิ้น “    พร้อมๆชายชราก็ปลดสายสร้อยออกมาจากคอมอบให้แก่
ชายหนุ่มทันที   ชายหนุ่มเมื่อยินยอมรับหน้าทีแล้วก็ยื่นมือขึ้นไปรับ  แล้วกล่าวว่า

          “ในระหว่างที่ก่อนเราจะออกจากป่านี้มาเราได้พบชายชราอาศัยอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่งท่านซึ่งเป็นเจ้าของ
ลิงขาวนั้นได้มองข้าเองและหลับตา  ครั้นลืมตาขึ้นมาจึงได้มอบสร้อยดวงตราให้แก่ข้าไว้ว่าเป็นของประจำตัวข้า
แต่ข้าเองก็งุนงง  เพียงกล่าวเป็นนัยๆไว้เท่านั้นเองแล้วจากมา     ต่อมาได้เดินทางมาอีกและพบกับเจ้าชายชรา
โฉดชั่วยิ่งนักมันคิดทำร้ายข้า  แต่ก็พ่ายแพ้ไปหนีไปแต่มันได้เสียแขนไปข้างหนึ่ง  ข้าจึงได้ทำลายปราสาม
หรือบ้านก็ไม่เชิงแต่เราได้ค้นพบของสิ่งหนึ่งเป็นดวงตรากับกระบองสีดำจะว่าดำก็ไม่เชิงนัก  แต่เรามอบให้
แก่เจ้าขนทองเป็นอาวุธประจำตัวมันไว้   เราจึงมีดวงตราสองดวงเราจะมอบให้   ท่านลองพิจารณาดู
ซิว่าเป็นของอะไรเราเองก็ไม่รู้เพียงแต่ติดตัวมาเท่านั้น   ท่านเป็นผู้ใหญ่ทีกว้างขวางในบรรดา
แคว้นทั้งหมดอาจจะล่วงรู้ความเป็นมาเป็นได้ก็ได้ “   ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับปลดสายสร้อยทั้งสอง
ส่งให้แก่ชายชราพิจารณาดูทันที  มอบตราดวงแรกให้ชายชราก่อน
          “ผู้ที่บอกให้ข้าไปเอาบอกว่าเป็นของประจำราชวงศ์มานมนานแล้ว  และไม่ใช่ของประจำตัวดังชายชรา  
คนแรกกล่าวหรอก  หากมีคนที่รู้จักเห็นก็จะแจ้งให้แก่ข้าทราบเองได้แหละ”
          ครั้นชายชราและแม่นางกษัตริย์เห็นดวงตรานั้นก็ถึงกับตลึงทั้งหมด
พลางทรุดกายลงนั่งทันทีพร้อมยกมือพนม  กล่าวอุทานเสียงขึ้นพร้อมกันเกือบเป็นเสียงเดียวกันว่า

        “ท่านมหาอุปราชพระเจ้าข้า  นี่คือตราประจำตัวของท่านมหาอุปราบแห่งแคว้น “ศิระสุริยันต์”  ก่อนนั้นเป็น
เมืองที่ควบคุมอำนาจแถบนี้ทั้งหมดดังที่กล่าวรวมทั้งแคว้นอิสราวดีด้วยพระเจ้าข้า   ไม่คิดเลยว่าข้าติดตามหามา
นานแสนนาน  เวลาจะพบก็พบได้โดยมิได้คาดฝัน” ชายชรากล่าว พร้อมกับผายมือมาทางแม่หญิงที่ก็ยกมือไหว้
อยู่   กลางกล่าวว่า
          “นี่คือแม่นาง “ อิสรวดีนารี”  อันเป็นคู่หมั้นหมายของพระองค์พระเจ้าข้า”   ผู้เฒ่ากล่าวด้วยความยินดีดีใจ
เป็นที่สุด  ส่วนแม่นางนั้นก็ก้มหน้าเขินอายไปมิอาจจะกล่าวใดๆทั้งสิ้น ส่วนอีกดวงตราหนึ่งเป็นดวงตราแผ่นดิน
ประจำเมืองอิสราวดีที่หายสาบสูญไปหลังจากพระเจ้าแผ่นดินสิ้นพระชนม์ชีพ  เราได้ติดตามค้นหาเช่นเดียวกัน”
            ชายหนุ่มตกตลึงทันทีหรือว่าเราอาจจะเป็นเหมือนคำเหล่านี้  หรือว่าเราหลงมาในมิติลี้ลับขึ้นมาแล้วกระมัง
เราเองนั้น   สมัยก่อนแค่สามัญชนธรรมดาเท่านั้นนี่นา หรือว่า?????....เอาเถอะเข้าเมืองตาหลิ่วแล้วก็หลิ่วตาตาม
ก็แล้วกันชายหนุ่มคิด   ด้วยเหตุการณ์มันก็แตกต่างกันสิ้นเชิงอยู่แล้วนี่นา  พลางชายหนุ่มอุปโหลกขึ้นกล่าวทันที
      “นี่หรือดวงตราท่านมหาอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์นคร แต่หาใช่ของเรามาก่อนไม่ เพียงแต่มีคนเขาบอก
เราไว้อีกทีหนึ่งนะ  ท่านลองทบทวนใหม่ซิท่าน” 
       “คงไม่ผิดหรอกพระเจ้าข้า   ด้วยใบหน้าตลอดลักษณะท่าทางรูปร่างเสมือนเป็นบุคคลเดียวกัน  จึงเชื่อมั่น
ยิ่งนัก   ตอนที่เห็นพระองค์ครั้งแรกแล้วก็ให้นึกฉงนจนตกตลึงไป”  พลางหันมาทางแม่นางเคียงข้างพลันกล่าว
แก่แม่นางกษัตริย์ทันที
          “พระองค์ทรงทอดพระเนตรเหมือนข้าพเจ้าคิดหรือไม่พระเจ้าข้า”
        “ไม่ผิดหรอกท่านแม่ทัพใหญ่  เราเองก็ตกใจแต่แรกที่เห็นใบหน้าเขาเต็มๆแล้วล่ะ  คงไม่ผิดหรอก”  แม่นาง
กษัตริย์ตรัสขึ้น
          “เอาล่ะๆ??....  จะเป็นมหาอุปราชหรือไม่ก็ตามทีแต่ตอนนี้ การเรียกของพวกท่านทำให้ข้าเขินใจยิ่งนัก
ขอให้พวกเราเรียกกันแบบธรรมดาดีกว่า  ท่านเรียกข้าว่าหลานชายก็ได้  ส่วนแม่นางก็คือลูกสาวท่านก็แล้วกัน
ต่อไปนี้   มิควรจะใช้คำเหล่านี้เพราะจะทำให้เป็นที่สงสัยแก่ศัตรูเราได้  และอย่าได้ลืมตัวไปเสียล่ะ”   
 ชายหนุ่มตัดบทความเสีย

          ครั้นเวลารุ่งเช้าของวันใหม่   ชายชราก็พาชายหนุ่มออกตรวจดูบริเวณทั่วๆไป  พร้อมสั่งให้
ทหารใกล้ชิดไปแจ้งแก่บรรดาทหารทั้งหลายให้มารวมตัวกัน
ที่ลานหน้าถ้ำทั้งหมด  เพียงให้เหลือไว้คอยดูแลต้นทางบางทีเท่านั้น      ดังนั้นเมื่อทหารทั้งหมด
ที่แต่งกายแบบชาวบ้านมารวมตัวขึ้นยืนแบบอย่างทหาร จัดเป็นหมวดหมู่ตามระเบียบทหารแล้ว   
       ชายชราก็ประกาศเสียงดังลั่นแก่เหล่าๆทหารทั้งหลายว่า    
       “บัดนี้เราขอมอบอำนาจสั่งการทั้งหมดให้แก่  ชายหนุ่มหลานเราคนนี้ที่พึ่งมาถึงเพื่อช่วยเหลือในการกอบกู้
เอกราชกลับคืนมา   ฉะนั้นทุกๆคนจงเชื่อฟังคำสั่งเขาประดุจคำสั่งเราเช่นกัน   หากคนใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษตาม
กฎของทหารไม่ยกเว้นทั้งสิ้น”   กล่าวจบก็หันมาทางชายหนุ่มพร้อมให้ชายหนุ่มกล่าวแก่มวลทหารทั้งปวงด้วย
        “เอาล่ะทหารอันเป็นที่รักของข้าทั้งหลาย  มาดแม้นว่าข้าเองพึ่งจะมาถึงก็ตามทีแต่หากผิดพลาดอะไรไปบ้าง
ก็ขอท่านที่ปกครองบรรดาทหารตามชั้นๆช่วยบ่งบอกชี้แจงแนะแก่ข้าได้  ข้าถือเสมือนว่าพวกท่านทั้งหลายหาใช่
ใครอื่นใดไม่  ข้าคิดว่าเรามาเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกันจะดีกว่าช่วยกันรักษาบ้านเรือนเราให้เรียบร้อย  ถึงแม้
ว่าจะต้องอยู่ในระเบียบกฎข้อบังคับบ้าง  ก็อย่าได้คิดอะไรมากผิดกันก็ต้องว่าเป็นผิด ถูกก็ว่าเป็นถูก อภัยให้กัน
ได้ก็อภัยให้แก่กัน      ฉะนั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปให้หัวหน้าหมู่ นายกองทั้งหลายคัดพี่น้องเราออกมาฝ่ายละ
ยี่สิบคน   ข้าเองจะทำการฝึกสอนด้วยตัวข้าเองเมื่อสำเร็จแล้วพวกเราก็จะผลัดเปลี่ยนกันไปจนครบกันทุกๆคน
ท่านหัวหน้ากอง หัวหน้าหมู่หรือว่าพี่น้องคนใดจะคัดค้านหรือแสดงความคิดเป็นอย่างอื่นใด
ก็ให้แสดงออกมาได้ไม่ต้องเกรงใจเรา”   ชายหนุ่มกล่าวแก่มวลทหารทั้งปวง

        เสียงไชโยโห่ร้องดังกังวานป่า  เสียงทหารทั้งหมดกล่าวพร้อมเพรียงกันว่าจะเคารพเชื่อฟังชายหนุ่ม ต่างก็
ไม่มีปัญหาจะสอบถาม   บรรดานายกองนายหมู่ต่างก็เข้าไปคัดเลือกเหล่าทหารตามที่ชายหนุ่มสั่งทั้งสิ้น  โดย
แยกออกมาต่างหาก   เป็นกลุ่มใหญ่ๆทีเดียว       ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงกล่าวให้นายกองและหัวน้าหมู่แจ้งแก่ทหาร
ที่เหลือกลับไปทำหน้าที่ต่อไปได้   และยังกำชับให้หัวหน้ากองและหัวหน้าหมู่ไม่ต้องกลับให้ฝึกฝนกับชายหนุ่ม
อีกด้วย        ดังนั้นเมื่อทหารกลับไปหมดแล้วชายหนุ่มก็เริ่มฝึกสอนวิชาการต่างๆให้แก่เหล่าทหารฝึกซ้อมกัน
โดยมิชักช้าทันที   ด้วยเขาคิดว่าเวลาคงจะไม่มีมากนัก  ส่วนการขว้างก้อนหินเขาก็ให้ลิงทั้งสองช่วยฝึกฝนทำเป็น
ตัวอย่างให้ดูอีกทางหนึ่งด้วย  โดยแยกหมวดออกเป็นหน่วยขว้างปา  หน่วยใช้ดาบ หน่วยใช้หอก  ใช้ธนู ตาม
ลำดับไป หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ
          ระหว่างนั้นผู้เฒ่ากับแม่นางยืนมองดูการฝึกฝนของชายหนุ่มก็ให้แปลกใจยิ่งนัก ด้วยท่าร่างการฝึกฝนช่าง
แตกต่างไปกับเหล่าทหารหาญในแว่นแคว้นทั้งปวงเกือบจะหมดสิ้น   เป็นท่าร่างแปลกๆใหม่ๆผสมผสานความ
รวดเร็วเป็นหลัก การหลบหลีกการเข้ากระทำช่างแปลกประหลาดมากนัก     ทำให้ผู้เฒ่าถึงกับสะอึกระทึกใจนัก
นี่เองที่ทำให้ชายหนุ่มคนนี้รอดพ้นจากป่าดิบที่ร้ายกาจยิ่งนักมาได้     หากมาดแม้นว่าเหล่าทหารทั้งหมดนี้
สามารถฝึกจนเชี่ยวชาญก็ยิ่งง่ายต่อการสู้รบกับบรรดาเมืองแว่นแคว้นต่างๆได้อย่างง่ายดาย

        เวลาผ่านไปๆในไม่ช้าเหล่าทหารทั้งมวลที่สับเปลี่ยนมาฝึกฝนก็เชี่ยวชาญการฝึกใหม่ๆและต่างสำนึกในบุญ
คุณของชายหนุ่ม  ต่างพากันเรียกว่าท่านอาจารย์ทุกๆนายไปหมด เกิดความรักใคร่สามัคคีกลมเกลียวกันยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มในยามว่างๆ   ก็พาบรรดาเหล่าทหารที่ฝึกจนเชี่ยวชาญแล้วมาจัดตั้งกระบวนค่ายกลต่างๆ   โดยเรียงราย
ทั้งภายนอกและภายในจนเป็นค่ายกลหลายๆค่าย    แต่ที่สำคัญนักคือเหล่าทหารที่ชายหนุ่มคิดคือเรื่องม้าที่จะจัด
ตั้งกองกำลังไว้เป็นพิเศษ
         ดังนั้นชายหนุ่มจึงไปหาเจ้าสีเทาและกล่าวกับมันพร้อมทำมือประกอบ   เจ้าสีเทาเสมือนมันจะรู้ความหมาย
ของชายหนุ่มพร้อมๆกับร้องขึ้นยกขาหน้าทั้งสอง   แล้วก้มหัวมาหาชายหนุ่มเลียไปตามใบหน้าเขาแล้วก็วิ่งออก
จากหุบผาเขาทันที   ชายหนุ่มทราบว่ามันจะไปที่ใด    แต่ท่านผู้เฒ่าและแม่นางมิทราบเจตนาของชายหนุ่มนี้
จึงกล่าวขึ้นว่า
         “พ่อหนุ่มท่านใช้ม้าของท่านไปที่ใดหรือ”
         “อ้อๆ...พ่อเฒ่าเราให้มันไปเรียกพวกพ้องของมันที่อยู่ในป่าดงดิบกลับมาเพื่อใช้ในสงครามข้างหน้าซึ่งเรา
จำเป็นต้องมีกองกำลังม้า   บรรดาม้าที่เป็นลูกน้องของเจ้าสีเทาล้วนแต่เป็นม้าที่ดีและวิ่งรวดเร็วมากคะนองดุร้าย
มิเกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น  หากได้มาฝึกและมีเจ้าสีเทากำกับด้วยเห็นทีเราจะได้กองกำลังม้าหลายร้อยตัวไว้เป็น
กำลังสำคัญจ๊ะท่านพ่อเฒ่า”
        “ด้วยเหตุนี้หรือ  โอ้วๆๆ...ข้าเห็นการฝึกปรือทหารและเปลี่ยนแปลงวิธีการแล้วก็ให้ซาบซึ้งใจยิ่งนักผิดแผก
จากเหล่าทหารทั้งหลายในภูมิภาคนี้ไปเสียสิ้นเชิง..............

                   *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
25 กุมภาพันธ์ 2553 13:30 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 30

แก้วประเสริฐ


                ลุ่มลึกอิสราวดี  30

     สงสัยเจ้าสีเทามันจะชำนาญทางแถบนี้ยิ่งนัก  มันพาวิ่งไปตามทางที่เป็นทางใช้สำหรับ
เดินทางโดยเฉพาะ  มันวิ่งได้รวดเร็วปานพายุมิมีผิดประเดี๋ยวเดียวทั้งหมดก็ห่างขุนเขามา
เขาหันไปมองด้านหลังเห็นอยู่ห่างไกลมากๆ  แสดงถึงฝีเท้าของเจ้าสีเทาสมกับเป็นจ่าฝูง
ของม้าป่าทั้งปวง  เขาคิดฝูงม้าป่าที่มันคุมอยู่มันอาจจะปล่อยวางได้ด้วยพ้นภัยคงจะมีตัว
อื่นควบคุมแทนมันแน่นอน   เมื่อมันมารับใช้เขาแล้วถึงกับทิ้งฝูงไปทีเดียว
     ดังนั้นเขาจึงยิ่งมอบความรักให้แก่มันมากแสดงถึงว่ามันคงจะรักซื่อสัตย์เจ้านายมันนั่นเอง
พอวิ่งทิ้งขุนเขาไปจนมองดูลิบๆ    เขาเห็นเส้นทางวกไปเวียนมาจวบมาจนเขาอีกลูกหนึ่งแต่
ต้นไม้นั้นมีไม่มากนักเหมือนที่เขาผ่านมาเลย  เหตุนี้เขาจึงชะลอดึงร่างเจ้าสีเทาให้ผ่อนช้าๆลง
แล้วเดินเหยาะย่างชมดูว่า  จะมีคนอาศัยอยู่หรือไม่ตามปกติตั้งแต่เขาผ่านมาจะหาผู้คนไม่พบ
เลยนอกจากฝูงคนที่ไล่ล่าเจ้าฝูงม้าป่ามาเท่านั้น  แล้วพวกนั้นหายไปไหนหมดเขาสงสัยยิ่งนัก
     พอเหยาะย่างม้าไปแบบช้าๆ   เสียงโห่ร้องก้องดังออกมาจากเหลี่ยมเขามีคนประมาณสัก
ห้าหรือหกคนที่ขี่ม้ามุ่งมาทางเขา   เขาหยุดม้าลงจ้องมองดูคนเหล่านั้นเพื่อดูว่ามันจะทำอย่างไร
กับเขา   สักพักมันก็เข้ามารายล้อมรอบตัวเขา   มีเสียงหนึ่งตวาดสอบถามเขาด้วยเสียงดังลั่น
      “เอ็ง???....เป็นใครมาจากเมืองไหนว๊ะ!!!!....”
ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงราบเรียบทันทีว่า
      “เราหาใช่คนในเมืองเหล่านี้ทั้งสิ้น  เพียงเราออกจากป่าด้านโน้น  พลางชี้มือให้มันดู   เราหลง
ป่ามานาน  พึ่งหลุดพ้นป่าและมาทางนี้  เราที่นี่เรียกว่าอะไรหรือท่าน”   ชายหนุ่มตอบแบบสุภาพ
       อาการดุดันของชายร่างกลางคนแต่กำยำยิ่งนักค่อยทุเลา   เมื่อเห็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อประหลาด
และเบื้องหลังยังมีลิงสีต่างกันสองตัวร่วมอยู่บนหลังม้านี้      มันเพ่งมองไปยังม้าที่เขาขี่อยู่ทันทีแล้ว
กล่าวขึ้นว่า
       “แปลกจริงๆพ่อหนุ่ม???...  ม้าตัวนี้เป็นม้าที่พวกเราพยายามจะจับมันมานานใช้เวลาเป็นปีๆก็ไม่
สามารถจับมันได้   มันเป็นจ้าวลมกรดที่มีความเร็วสูงทางด้านนายเรามีความต้องการนัก   พ่อหนุ่มจะ
ขายให้เราได้หรือไม่ล่ะ   หากไม่แพงมากนักนะ”
      “ คงจะไม่หรอกท่าน  ด้วยมันเปรียบเสมือนเพื่อนตายของเราไปเสียแล้ว”  ชายหนุ่มกล่าวเบาๆด้วย
ถ้อยคำสุภาพนัก
      “ข้าเองยังสงสัยอยู่ไม่หาย ขนาดพวกเราที่มานี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญการฝึกม้าจับม้า  
คลุกคลีมากับพวกม้าทั้งหลายมาตั้งแต่เด็กๆจนอายุปูนนี้   
ยังไม่เคยเจอม้าที่ร้ายกาจเช่นนี้เลย  และเคยจับม้าป่ามามากต่อมากนัก   
       แต่สำหรับเจ้าตัวนี้กับฝูงมันกลับไม่สามารถจับได้   ม้าพวกเราต่างก็เป็นม้าที่มีความเร็วสูงเช่นกัน
หากไปเทียบกับพวกมันแล้ว  ช่างห่างไกลกันยิ่งนัก  ถ้าหากพ่อหนุ่มไม่ขายให้เรา  
เราจะขอเชิญท่านไปพบกับหัวหน้าเราหน่อยได้ไหม  หากเราไปเจรจาเองเขาก็จะโกรธเรามากยิ่งนัก
และอาจจะทำร้ายพวกเราได้”         ชายกลางคนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความดุดันดังแต่แรก เมื่อ
เขาเห็นว่า  ชายหนุ่มไม่ได้เป็นพวกเมืองใดๆ
      ทำให้ชายหนุ่มคิดว่า  พวกมันพวกนี้อาจจะมีเรื่องกันระหว่างเมืองต่อเมืองกันแน่นอน  ดังนั้นเขาซึ่ง
ไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น  คิดว่าเมื่อพบผู้คนแล้วก็จะหาทางแก้ไขในการต่อไปดีกว่า   เมื่อคิดได้เช่นนั้น
ก็เอ่ยขึ้นว่า
     “ถ้าหากเรื่องนี้ทำความลำบากใจแก่ท่านนัก  ก็ได้ข้าจะไปพบหัวหน้าท่านเองก็ได้  ให้ท่านนำทางไปเถิด”
      “ถ้าอย่างนั้น   ข้าเองขอขอบใจเจ้านัก  มิเช่นนั้นพวกเราคงจะแย่แน่ๆ   ขอเชิญพ่อหนุ่มตามเรามาเถิด”
ชายกลางคนหัวหน้ากลุ่มคนเหล่านั้นตอบ   เขามองไปยังร่างคนทั้งหลายล้วนแล้วแต่พกดาบธนูและบ่วงบาศ
กันทุกๆคน  จึงเชื่อว่าเป็นพวกจับม้าและต่างก็คงจะมีฝีมือถึงได้มีอาวุธประจำกายทุกๆคน     เมื่อคิดเช่นนั้น
ก็ติดตามพวกจับม้าไป
         เมื่อสามารถเข้าใจกันได้   หัวหน้าพวกจับม้าก็ควบม้านำหน้าออกไป  ยังซอกเหลี่ยมเขาแต่เจ้าสีเทาเสมือน
ไม่ยอมติดตามอยู่ด้านหลังมันจะพุ่งทะยานออกนำหน้าฝูงม้าทั้งหลาย   แต่เขาต้องตบคอมันเบาๆแล้วชะลอร่าง
เจ้าสีเทาไว้นั่นแหละมันถึงยินยอม   เขาออกติดตามไปด้านหลัง      พอพ้นเหลี่ยมเขาก็เป็นทางคดเคี้ยวแต่บนเขา
นั้นเขาสังเกตเห็นมีคนอยู่เรียงรายเป็นระยะๆไป   
ชายกลางคนหัวหน้าก็ส่งสัญญาณไปยังเหล่าคนที่อยู่ตามซอกบนภูเขาตลอดระยะทาง
     จนลุล่วงขึ้นไปยังเขาซึ่งเป็นเนินสูงบ้างต่ำบ้างจวบเข้าสู่กลางภูเขาที่ล้อมรอบ   
        เป็นลานกว้างขนาดใหญ่  แต่หาได้มีบ้านสักหลังหนึ่งก็หาไม่เขาสงสัยในใจพวกมันพักยังที่ใดกันแน่  
เมื่อเจ้าหัวหน้าที่นำพวกมาลงจากหลังม้า   แต่ชายหนุ่มไม่ยอมลงและกล่าวขึ้นว่า
       “ขอท่านหัวหน้าเข้าไปรายงานว่าข้าและม้ามาแล้ว  ก็แล้วกันนะ”
ชายที่เป็นหัวหน้าหัวร่อ   พลางกล่าวว่าเจ้ายังกริ่งเกรงอะไรอยู่อีกหรือ
        “มิได้หรอกท่าน  เราเพียงแต่คิดว่าทางที่ดีควรจะอยู่ที่นี่จะดีกว่านะท่าน”
        “ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก  เจ้ามาข้าก็ดีใจแล้วจะได้กล่าวรายงานให้รู้เรื่องไป”    ว่าแล้วชายกลางคนพร้อม
พวกที่ลงจากหลังม้า ทยอยเข้าไปคงเหลือทิ้งไว้เพียงแค่สองคนเท่านั้น
        สักครู่หนึ่งชายชราพร้อมกับหญิงสาวและชายฉกรรจ์ต่างๆก็ทยอยออกมามาก   ชายหนุ่มพึ่งและเห็นว่าพวก
เหล่านี้ล้วนพักอาศัยตามโพรงถ้ำ  ครั้นเหลือบไปมองรอบๆภูเขา ก็เห็นโพรงแต่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้นาๆชนิด
หากมองแต่ไกลหรือใกล้ๆไม่สักเกตุก็ยากที่จะค้นหาถ้ำเหล่านี้ได้   ครั้นชายชราพร้อมหญิงสาวก้าวเดินออกมา
ชายหนุ่มรีบลงจากหลังม้าเจ้าสีเทาทันที พร้อมกับก้มกายน้อมคาราวะชายชรานั้นทันที
          ชายชราเพ่งมองดูชายหนุ่มเมื่อเห็นสภาพร่างกายของเขาก็ตะลึง   และจ้องเพ่งมองอย่างเหมือนจะใช้ความ
คิดอะไรบางอย่าง  ซึ่งชายหนุ่มไม่รู้ว่าชายชราคนนั้นซึ่งมีร่างกายกำยำยิ่งนักแม้วัยจะดูชราภาพมาก  แต่ร่างกาย
หาได้ชราไปตามใบหน้า    ร่างกายกับประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
           เมื่อชายชราแลเห็นอย่างชัดเจนก็ถึงกับอุทานออกมาอย่างลืมตัว
      “โอ้ๆๆๆ???....ท่านมหาอุปราชใช่หรือเปล่าพระเจ้าข้า”
          ครั้นเป็นเช่นนี้ชายหนุ่มก็รำลึกนึกถึงชื่อนี้มาจากชายชราที่เฝ้าปราสาทหลังหนึ่งทันที  ด้วยคำๆนี้ก็เคยเอ่ย
กล่าวขึ้นเหมือนกัน   ดังนั้นจึงตอบว่า
         “ข้าพเจ้าหาใช่อุปราชอะไรๆนั่นไม่หรอกท่านผู้เฒ่า   ด้วยข้าพเจ้าพลัดมาในถิ่นเหล่านี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้
ด้วยกาลก่อนข้าพเจ้านอนดูดวงจันทร์ที่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดีจนกระทั่งหลับไป   แล้วก็เล่าเหตุการณ์ที่พบที่ชาย
ฝั่งให้แก่ชายชราฟัง”
ชายชราที่มีลักษณะราศีผ่องใสนัก  เขาคิดว่าคงจะไม่ใช่บุคคลชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่แท้
จึงได้เอ่ยขึ้นแจ้งให้ทราบ
   เสียงชายชราอุทานออกมาอีก
       “โอ้แปลกๆๆมากๆจริงๆนะ   ช่างเหมือนกันราวกับแกะเชียวแหละ   แล้วท่านพลัดมายังบริเวณเหล่านี้
ได้อย่างไรกันล่ะพ่อหนุ่ม”
        “อันที่จริงข้าพเจ้าก็ออกเดินทางมาเรื่อยๆพร้อมสหายคู่ใจข้าพเจ้า   พอพ้นแนวเขาจากป่าทึบก็พบฝูงม้า
ฝูงนี้   เห็นเจ้าจ่าฝูงมันท่วงท่าสง่างามยิ่งนักถูกใจข้าพเจ้ายิ่ง   จึงได้จับมันมาฝึกและเป็นพาหนะของข้าพเจ้า
ขอรับท่านผู้เฒ่า”    ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
        “อืมมๆๆๆ.??....   สงสัยม้ามันจะเลือกนายของมันเอง   ข้าให้คนของข้าที่เชี่ยวชาญเรื่องม้าศึกไปจับตั้ง
หลายปีก็ยังไม่สำเร็จ   ข้าพบมันครั้งแรกก็ทราบว่ามันคือจ้าวแห่งม้าทั้งปวง  หากแม้นม้าตัวใดก็ตามหากพบ
มันก็จะตื่นตระหนกตกใจหมด ด้วยมันมีอำนาจในตัวของมันเองแหละ   หรือว่าจะเป็นม้าคู่บุญของท่านกระมัง”
       ชายชรารำพึงกับตัวเอง   
       “ข้าไม่สงสัยอะไรเจ้าอีกแล้ว  เนื่องจากการแต่งตัวของเจ้าไม่เหมือนใครๆเลย  เสื้อหรือก็ช่างแปลกประหลาด
เป็นยิ่งนัก   คันธนูเจ้าและลูกธนูคล้ายๆมีรังสีแสงแวววับออกมา   คนในบริเวณเมืองเหล่านี้หาได้มีเช่นดังท่านไม่
ถ้าหากท่านจะให้เกียรติแก่ข้าขอให้ได้ชมม้าจ้าวลมกลดอย่างใกล้ชิดได้หรือไม่พ่อหนุ่ม”  ชายชรากล่าว
       “ได้ซิท่านผู้เฒ่า  เดี๋ยวข้าจะเรียกมันมาให้ท่านดูนะ”   พลางส่งเสียงเรียกเจ้าสีเทาทันที
        “เจ้าสีเทา มาใกล้ๆซิและอย่าทำร้ายท่านผู้เฒ่านะเขาเป็นคนดี”   ชายหนุ่มกล่าว
        ครั้นม้าสีเทาได้ฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น   มันก็ยกขาหน้าสองขาขึ้นแล้วก้มตัวเดินเข้ามาหาชายหนุ่มทันที
เมื่อชายชราเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งแน่แก่ใจตัวเองว่าดูไม่ผิด   มันเป็นม้าคู่บุญของชายหนุ่มคนนี้จึงสามารถบ่งการมัน
ได้น้อยคนนักที่จะฝึกฝนม้าป่าได้รู้เรื่องราวดี   หากไม่ใช่ม้าคู่บุญบารมีแล้วยากยิ่งนัก   เมื่อชายชรารำพึงก็เดินไป
ใกล้ๆมัน   เจ้าสีเทาส่งเสียคำรามทันทีจนชายหนุ่มต้องกำชับอีกแล้วตบหลังมันเบาๆนั่นแหละมันถึงยอมสยบให้
ชายชราเข้าลูบคลำร่างกายของมันได้   ชายชรารู้สึกพึงพอใจแล้วเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มพักที่นี่สักคืนก่อน
         ด้วยเวลาก็ใกล้จะมืดค่ำแล้ว   ชายหนุ่มแลไปยังท้องฟ้าก็เห็นจริงตามชายชรากล่าวจึงหันไปทางเจ้าขนทอง
และขนขาวบอกแก่มันว่าจะพักที่นี้ก่อนค่อยจะเดินทาง    เจ้าลิงทั้งสองตีลังกาจากหลังม้ามายืนกระหนาบข้าง
ชายหนุ่มทันที   ทำเอาชายชราถึงกับประหลาดใจกว่าเดิมอีกด้วยเจ้าลิงทั้งสองมันช่างใหญ่โตเกือบเท่าคนๆหนึ่ง
แต่เหตุใดมันจึงคล่องแคล่วผิดกับร่างกายมัน   ซ้ำยังเชื่อฟังชายหนุ่มแปลกหน้าอีก   พลางคิดว่าคนๆนี้มิใช่ธรรมดา
ไปเสียแล้วหากได้เป็นพวกพ้องด้วยก็จะเห็นทีจะช่วยเหลือได้เป็นอย่างดี
          ดังนั้นจึงถามชายหนุ่มว่า   
    “พ่อหนุ่มล่ะมีชื่อว่าอะไรหรือ  คุยกันมาตั้งนานยังไม่รู้ชื่อกันเลยส่วนข้านี้มีนามว่า  “เหมี่ยวสุรินทราบดี”  และ
เจ้าล่ะนามใดล่ะ”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็นึกถึงเรื่องราวที่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดีขึ้นมาได้  หรือว่าท่านผู้เฒ่านี้คือแม่ทัพใหญ่แม่เมืองอิสราวดี
กระมัง   แต่เพื่อให้แน่แก่ใจตัวเองจึงย้อนถามไปทันทีว่า
       “งั้นท่านก็คือแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดี  ใช่ไหมขอรับ”
       “เอ๊ะๆๆ....เจ้ารู้ได้อย่างไรล่ะข้าคือแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดี
      ครั้นจะเล่าให้ฟังเรื่องมันยาวจึงสรุปเพียงสั้นๆว่า   
         “  ข้าพเจ้าเองเห็นกองทัพท่านขณะชมจันทร์อยู่และแอบซ่อนตัวไว้  ได้ยินนายกองท่านกล่าวชื่อท่านขอรับ”
เมื่อกล่าวจบ   เขาเองหากจะบอกชื่อจริงไปก็ไม่ดี
        ชายหนุ่มคิดคำนึงและไม่สอดคล้องกลับพวกเหล่านี้  จึงตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ว่า
       “อ้อๆ.....ข้าพเจ้าหรือชื่อ  “ มังสุริยะชัย”  ขอรับท่านผู้เฒ่า
       “เอะ???.... แปลกเหตุใดชื่อจึงสอดคล้องกับท่านมหาอุปราชแห่งเมือง “ศิระสุริยันต์”  ที่ล่มสลายไปหลายๆปี
แล้ว   อันที่จริงเมือง ศิระสุริยันต์  กับเมือง อิสราวดี  นั้นเปรียบเสมือนเมืองพี่เมืองน้องกันเชียว  แปลกจริงๆ”
     ชายชรากล่าวขึ้น   ซึ่งชายหนุ่มหัวร่อในใจนี่เพียงชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาเองใยจึงไปสอดคล้องได้   เออเห็นว่าเราอาจ
จะหลงเข้ามาในอดีตกาลเสียแล้วกระมัง  ชายหนุ่มรำพึงกับตนเอง
     แล้วชายชราก็กล่าวขึ้นอีกว่า  อันเมือง ศิระสุริยันต์  กับเมืองอิสราวดีนั้นต่างมีข้อผูกพันกันลึกซึ้งยิ่งนัก  ด้วยเจ้า
แม่แห่งแคว้นอิสราวดีนั้นเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับท่านอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์กัน  แต่เมืองมาล่มสลายไปก่อน
ด้วยการทำลายของเจ้าแห่งเมืองศิระสุริยันต์เอง  ส่วนท่านมหาอุปราชได้หายไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ   พวกเรา
ได้ออกติดตามจนกระทั่งบัดนี้   เมืองอิสราวดีตกอยู่ในเงื้อมมือของอำมาตย์ชาติชั่วพร้อมทั้งพวกพ้องมันหาได้นึก
ถึง  ความไว้วางพระราชหฤทัยของพระองค์ก็หาไม่   พวกมันคิดขบถต่อราชบัลลังก์ยึดครองอำนาจจนพระแม่เจ้า
ต้องเสด็จหนีออกมา  
       เมื่อชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้  ชายชราคิดเพื่อต้องการเรียกร้องความเห็นใจแก่ชายหนุ่มเพื่อหวังที่จะได้ให้เป็นพวกพ้องในการกอบกู้ราชบัลลังก์คืน  ด้วยลักษณะท่าทางของชายหนุ่มผู้นี้ผิดกับสามัญชนทั่วๆไปยิ่งนัก
       “ดังนั้นจึงกล่าวว่า   นี่แน๊ะพ่อหนุ่ม   นี่คือเจ้าแม่แห่งอิสราวดี ทรงพระนามว่า
พระแม่เจ้า “อิสรวชิรบดินทร์เดชา”  ที่ข้าได้ค้นหาจนเจอและนำมาถวายอารักขาไว้”   
       เมื่อกล่าวเสร็จเช่นนั้นพลางชายชราก็  ย่อกายลงยังหญิงสาวที่แต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดาแล้วที่ยืนเคียงข้าง
ผายมือแจ้งแก่ชายหนุ่มทันที
       “พระแม่เจ้าจะเห็นเป็นประการใดพระเจ้าข้า  หากจะชักชวนเขามาร่วมเป็นพวกเดียวกับเรา”
    หญิงสาวที่อยู่ข้างกายผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า
       “ เราบอกแก่ท่านแล้วไม่ต้องเอ่ยคำราชาศัพท์  ให้เพียงแสดงตัวว่าเราเป็นลูกสาวท่านก็พอต่อไปอย่าได้
กล่าวคำเช่นนี้อีกนะท่านผู้เฒ่า”
      “พระเจ้าข้า???....โอ๊ะ??...  จ๊ะๆๆๆลูกเรา”   ชายชรารีบยืนขึ้นทันที
ชายหนุ่มเหลือบตามองหญิงสาวที่สูงศักดิ์ทันที   นับได้ว่าหล่อนถึงแม้ไม่แต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าอันสวยงามก็ตาม เพียงแค่แต่งกายธรรมดาดุจชาวบ้านทั่วๆไปก็ตามที
แต่สง่าราศีพร้อมกับความสวยงามหาได้น้อยไปกว่านางพรายทั้งสองเสียอีก
      แม่นางนั้นพลางหันมายิ้มกับชายหนุ่ม  ยามเมื่อมองหน้าเต็มตาก็ตกตลึงไปทันที   อะไรจะมีเหตุการณ์เช่นนี้
เกิดขึ้นได้หรือ นางคิดในใจทำไมใบหน้าและรูปร่างองอาจช่างละม้ายคล้ายหรือว่านับว่าเหมือนก็เป็นไปได้
กับท่านมหาอุปราชคู่หมั้นหมายเรายิ่งนัก   จึงก้มหน้าลงพลางกล่าวว่า
        “ท่านผู้กล้าหาญเราเองนี้ช่างอาภัพนัก  ใคร่อยากจะขอร้องแก่ท่านผู้กล้าหาญประการหนึ่งขอท่านผู้กล้าหาญอย่าได้
นึกรังเกียจเดียดฉันท์แก่เราเลย “  ครั้นกล่าวเสร็จนางก็ย่อกายแล้วพนมมือไหว้ชายหนุ่มทันที
        ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงรีบยกมือขึ้นรับไหว้ทันที  แล้วกล่าวว่า
       “อันคำพูดของแม่นางนั้นใยเล่าช่างมีความหมายและเชื่อมั่นแก่ตัวข้ามากนักเจียวหรือ”
    “  ใช่แล้วท่านผู้กล้าหาญเราเองตอนนี้นอกจากท่านผู้เฒ่าและเหล่าทหารจำนวนน้อยนิดนี้  ยากยิ่งนักที่จะกลับคืนยัง
เมืองอิสราวดีได้   หากได้ท่านผู้กล้าหาญช่วยเหลือข้าพเจ้าคิดว่าก็จะเป็นกำลังสำคัญยิ่งนัก  จึงใคร่หวังในความ
กรุณาแก่ข้าน้อยด้วย  ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะไม่รังเกียจเดียดฉันท์แก่ข้าน้อยนี้หรอกนะ”  หญิงสาวในร่างของ
เจ้าแม่แห่งอิสราวดีกล่าว พร้อมกับก้มน้อมกายลงคาราวะชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง
จนทำให้ชายหนุ่มถึงกับอ้ำๆอึ้งๆไปในทันที
      “อ้าๆๆ????.....แล้วข้าหรือจะ........

                 *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
24 กุมภาพันธ์ 2553 13:24 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 29

แก้วประเสริฐ


                     ลุ่มลึกอิสราวดี  29

     ภายหลังจากค้นพบสิ่งที่ต้องการแล้ว  ชายหนุ่มก็จูงลิงทั้งสองออกมาจากนอกบริเวณนั้น
หมายออกเดินทางต่อไป    แต่แล้วต้องชะงักด้วยคิดว่าหากจะปล่อยให้ปราสาทนี้อยู่ต่อไป
เจ้าเฒ่าโฉดชั่วอาจจะหวนย้อนกลับมาอีกก็ได้   จึงหยิบกระบองนาคราชออกมาบริกรรม
แล้วยกขึ้น   พลันหัวพญานาคราชก็ปรากฏลำแสงพวยพุ่งออกมาไปยังปราสาททันที กลาย
เป็นแสงไฟลุกโชติช่วงยามที่ชายหนุ่มวาดหัวกระบองไปทางใด   ไฟก็ลุกเผาผลาญไปทาง
นั้นจน  ปราสาทกลายเป็นเถ้าถ่านกองฝอยหินไปหมดสิ้น     ครั้นจัดการเรียบร้อยแล้วก็
       ออกเดินทางต่อไปลัดเลาะเลียบชายลำธารจนกลายเป็นน้ำตกไปสู่เบื้องล่าง   ครั้นจะทำ
เหมือนก่อนก็ไม่ได้ด้วยไม่มีที่หยั่งเท้าเอาเสียเลย   จำเป็นต้องปีนเขาที่อุดมไปด้วยพืชพันธุ์
ต่างๆ    ทั้งหมดก็ปีนเขาส่วนเจ้าลิงทั้งสองมันล่วงหน้าไปก่อนด้วยความชำนาญในการปีนป่าย
ส่วนเขานั้นถึงแม้จะเลียนแบบมันได้บ้าง  แต่ฝ่ามือมันไม่เหมือนกับมันจึงเกิดลื่นไหลแต่ก็
สามารถทำได้บ้างแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังรวดเร็วกว่าธรรมดาที่ไม่ได้ผ่านการฝึกเลียนแบบมัน
ดังนั้นอีกไม่นานเขาก็บรรลุถึงยอดเขา     

        ซึ่งเจ้าลิงมันไปรอคอยอยู่ก่อนแล้วเขามองไปอีกด้านหนึ่งเห็นเป็นท้องทุ่งกว้างใหญ่
ยาวเหยียดสุดสายตาแต่ก็ไม่ใช่ทุ่งโล่งปราศจากอะไร  มีพืชเล็กๆขึ้นและต้นไม้ขนาดต้นสน
ซึ่งผิดกับที่เขาผ่านมาในป่าลึกไม่    มันเป็นต้นสนป่าสลับกับต้นไม้ใหญ่แต่ไม่ใหญ่มากนัก
กลับกลายเป็นอีกโลกๆหนึ่งทันทีเขาหันกลับไปมองด้านหลัง      มันช่างแตกต่างกันสิ้นเชิง
ทำให้เขาเกิดสงสัยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้แค่เพียงผ่านภูเขาลูกนี้เท่านั้นอะไรๆก็เปลี่ยนไปหมด
หรือว่าอาจจะเป็นทางไปสู่หนทางที่เขาก้าวล่วงเข้ามาก็อาจจะเป็นไปได้กระมัง      แต่เขามิได้
หวังอะไรมากนัก  การผจญภัยแทบจะเอาชีวิตไม่รอดนี้เป็นบทเรียนอันล้ำค่าของเขามากมาย
          ทำให้ร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้นและเรียนรู้อะไรซึ่งพิสดารในการต่อสู้   เขาคิดหากได้กลับไป
สู่สถานที่ที่เขาก่อนเข้ามายังไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะติดตามเขาไปอีกหรือเปล่าเขาแค่เพียงสงสัยเท่านั้น
ทันใดนั้นเขาแลไปเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งลู่ไปตามสายลมในระยะไกลเขาจ้องมองดู    ควันเหล่านี้
มันมุ่งหน้ามาทางภูเขาที่เขายืนดูอยู่บนยอด     เหตุนี้จึงทำให้เขารีบหาทางลงไปยังตีนเขาทันทีแต่
ไม่นานนักด้วยอาศัยต้นไม้ที่เรียงรายและก้อนหินเป็นทางลงไปไม่สูงชันแต่เป็นเนินค่อยๆเป็นขั้นๆ
ลงไป         ดังนั้นเขาจึงอาศัยสิ่งเหล่านี้ทะยานตัวค่อยๆผ่านไปตามต้นไม้ที่ทอดไปสู่เบื้องล่างได้
ในเวลาไม่นานนัก

         จึงเดินค้นหาลำธารซึ่งบัดนี้มันกลายเป็นลำธารสายใหญ่จวบมองเลยไปข้างหน้ากลายเป็นแม่น้ำ
คั่นระหว่างทางสองฟากฝั่งและไหลคดเคี้ยวไปตามเขาต่างๆจนลับสายตา   เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาคิดว่า
นี่คือต้นน้ำจากน้ำตกที่เขาผ่านมา   และยืนคอยมองกลุ่มควันซึ่งเขาคิดว่าคงจะเป็นกลุ่มคนที่กำลังควบ
ม้าเข้ามาทางนี้กระมัง    แต่ความคิดเขาผิดคาดเมื่อแลเห็นชัดเจนว่าเป็นกลุ่มม้าป่าที่ต่างวิ่งคล้ายจะหนี
อะไรมาสักอย่างหนึ่ง   แต่สิ่งที่เขาสนใจที่สุดคือม้าตัวแรกที่มีรูปร่างช่างสวยงามยิ่งนักมันสูงใหญ่กว่า
ม้าอื่นๆมันวิ่งได้รวดเร็วนำหน้าทิ้งพวกมันไว้เบื้องหลัง    
         แต่มันได้หยุดรอพวกๆก่อนแล้วถึงจะวิ่งนำหน้าต่อไปเป็นเช่นนี้เป็นระยะๆ  ทำให้เขานึกถึง
การฝึกฝนการขี่ม้าในอดีตก่อนที่เขายังไม่มาสถานที่นี้เขาเป็นทหารม้ารักษาพระองค์มีหน้าที่
ควบคุมฝึกหัดม้าในพระราชพิธีต่างๆ       แม้ยามอยู่ต่างประเทศเขาก็เคยแข่งขันม้าวิบากต่างๆ
มาก็เคยได้รับรางวัลในการแข่งม้ายามศึกษายังต่างประเทศมาแล้ว  มันมีลักษณะถูกต้องตามตำรา
การดูม้าว่าเป็นม้าที่อุดมไปด้วยเกียรติยศโภคทรัพย์เป็นม้าศึกที่ใช้ในการสู้รบ  วิ่งได้เร็วปานพายุ
ในระยะไกลๆก็หาเหนื่อยเมื่อยล้าไม่   มันจะรักและซื่อสัตย์ต่อผู้ที่มันรักและเป็นเจ้าของมันด้วยชีวิต
       ถ้าหากใครได้เป็นเจ้าของถือได้ว่าเป็นคนที่ต้องมีวาสนาเสมือนได้ของวิเศษชนิดหนึ่งทีเดียว
ดังนั้นชายหนุ่มคิดจะจับเจ้าม้าตัวนี้ไว้   หากมาดแม้นว่าเขามีวาสนาต่อมันก็คงจะสามารถจับมันได้
ด้วยมันเป็นม้าที่ดุร้ายมากพละกำลังวังชามากมายมหาศาลทีเดียว    พอพวกมันวิ่งมาถึงเห็นเขาก็ชะงัก
และมุ่งหน้าเลี่ยงไปยังซอกภูเขาซึ่งเขาเองก็พึ่งจะรู้ว่ามันมีซอกเขาอยู่    พอมันลับหายไปสักครู่หนึ่งก็
มีกลุ่มควันพุ่งตลบฟุ้งติดตามมาด้วยเหล่าชายฉกรรจ์จำนวนไม่ถึงสิบคนมุ่งมาทางนี้เหมือนกัน  เขาจึง
จูงเจ้าลิงน้อยหลบไปยังหลังก้อนหินใหญ่ด้วยไม่อยากจะพบกับพวกมัน      พอมันมาถึงยังที่ไม่ห่างไกล
จากเขามากนัก   มันต่างหยุดม้าลงแล้วส่งเสียงเจรจา บัดนี้เขาฟังภาษามันออกแล้ว  มันต่างพูดกันว่าไม่
รู้เจ้าม้าป่าเหล่านี้หายไปไหนกันหมด หาร่อยรอยไม่เจอเลย 
  
          พวกมันเที่ยวค้นหากันแต่มันไม่ใกล้เข้ามาหาเขาด้วยคงคิดว่า   กำบังที่เขาอาศัยอยู่นี้จะเป็นที่
หลบซ่อนของเหล่าฝูงม้าป่าได้นั่นเอง   สักพักใหญ่ๆมันก็หันหลังขี่ม้ากลับไปทางเดิมจนลับหายไป
เมื่อเห็นมันหายไปแล้ว   เขาจึงนำเจ้าลิงทั้งสองออกจากที่ซ่อนแล้วมุ่งหน้าไปทางเหลี่ยมซอกเขาเพื่อ
ไปหาเจ้าจ่าฝูงม้าป่าทันที  หมายที่จะจับมันมาฝึกใช้งานต่อไป   ครั้นลุล่วงผ่านไปได้ไม่นานก็เป็นลาน
เล็กๆที่อุดมไปด้วยต้นหญ้าอ่อนไหว   เขาแลเห็นมันกำลังเพลิดเพลินกับการหาอาหารใบหญ้ากินกันอยู่
ดังนั้นเขาจึงตบไหล่เจ้าลิงทั้งสองให้รออยู่ที่นี่ก่อน   

        เขาค่อยๆย่องๆพร้อมกับนำเถาวัลย์มาทำบ่วงบาศเพื่อใช้จับเจ้าจ่าฝูงทันที  ตอนนี้ประสบการณ์
เขามีมากแล้วจึงนำฝุ่นมาโรยในอากาศตรวจทิศทางลมก่อนเมื่อแน่ใจแล้วว่าอยู่ใต้ทิศทางลมก็ค่อยๆ
ย่องไปหาเจ้าจ่าฝูงทันที    ทันใดเสมือนมันจะรู้มันเงยหน้าจากการกำลังกินใบหญ้าอ่อน
 หูทั้งสองมันตั้งชันส่ายหน้าไปๆมาๆเขาหยุดกับทีก้มตัวหลบยังกลุ่มต้นหญ้า
หลังต้นไม้ค่อนข้างใหญ่ทันที   เมื่อมันสอดสายตาจนแน่แก่ใจแล้วก็ก้มหน้ากินอาหารต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้  เขาค่อยๆคลานไปหามันทันที   จังหวะที่มันเงยหน้าขึ้นเขารีบขว้างบ่วงบาศที่สะบัดเป็น
วงกลมๆแล้วขว้างไป   
         บ่วงบาศดังกล่าวก็เข้าคล้องคอมันพอดีมันส่งเสียงร้องก้องพร้อมกับยกขาหน้าทั้งสองขึ้น
 เสียงมันร้องดังลั่นเหมือนเตือนให้พวกมันหลบหนีไป      ทำให้พวกม้าป่าทั้งหลายพลันหยุดการ
กินอาหารแล้วต่างรีบวิ่งเผ่นหนีออกไปจากที่นั้นทันที   คงเหลือเจ้าจ่าฝูงเพียงตัวเดียว   มันดึงร่างเขา
ซึ่งตอนนี้เขามีพละกำลังมากมายนักยังถึงกับถลาไปข้างหน้าแต่ด้วยปฏิภาณไหวพริบเขา
รีบผ่อนเถาวัลย์แล้วนำปลายไปพันกับต้นไม้ทันที   
       เจ้าจ่าฝูงมันพยายามดึงเถาวัลย์เพื่อให้ขาดออกจากกัน   พร้อมกับตะกรุยดินที่ปนด้วย
หญ้ากระจุยกระจายไปแต่มันหาได้ทำให้เถาวัลย์นี้ขาดจากกันได้    มันยกขาหน้าทั้งสองร้องเสียง
ดังกึกก้อง   หากเขาเข้าไปตอนนี้ยากนักจะเข้าใกล้มันได้จึงรอเวลาสักพัก   จนเห็นมันเหนื่อยอ่อน
มากแล้วเวลาผ่านไปนานแสนนาน จนมันยืนสงบนิ่ง

      เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงนึกถึงตำราที่บันทึกไว้  จึงยกมือขึ้นหยิบไปยังกอต้นหญ้าพลางยกขึ้นจรด
หน้าผากแล้วบริกรรมพระเวทย์ทันที เขาเป่าไปยังกอหญ้าที่ถอนมาไว้   แล้วก็ร่ายพระเวทย์เป่าไป
ยังร่างเจ้าจ่าฝูงม้าป่าทันที    บัดดลเจ้าม้าป่าตัวนั้นก็มีอาการซึมเซาทันทีมันยืนนิ่ง เพียงแค่สะบัดหาง
ของมันไล่พวกแมลงเท่านั้น    เขาค่อยๆเดินเข้าไปหามันอย่างช้าๆ   เมื่อไปใกล้ตัวมันก็ร่ายพระเวทย์
เป่าไปต้องร่างมันอีกสามคาบ   ผลปรากฏว่ามันหายจากความดุร้ายทันทีแล้วหันหน้ามามองเขาด้วย
สายตาที่บ่งบอกถึงความปราศจากความดุร้าย   เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็นำต้นหญ้าที่ผ่านการปลุกเสกแล้ว
ส่งให้มันกิน  มันก็กินต้นหญ้าจากเงื้อมมือเขาทันทีหลังจากกินจนหมดสิ้นอาการพยศของมันก็หายไป
         เพื่อความแน่ใจเขาจึงเข้าไปลูบที่หัวมันสามครั้งพร้อมตบไปยังหัวของมันด้วยพระเวทย์ที่บันทึกไว้
มันยินยอมให้เขาลูบไล้ไปทั่วตัว  พลางส่งเสียงร้องเบาๆจนแน่แก่ใจเช่นนี้เขาจึงค่อยๆไปปลดบ่วงบาศ
ออกจากคอมันเพื่อทดลองดูว่ามันจะอยู่ในคำสั่งเขาอีกหรือไม่   เมื่อมันได้รับอิสระเช่นนี้มันก็โผนทะยาน
วิ่งออกไปทันที   ชายหนุ่มนึกว่าคราวนี้เห็นทีจะไม่สำเร็จสมปรารถนาเสียแล้วกระมังเขาจึงเดินไปม้วน
เถาวัลย์ไปปลดยังต้นไม้แล้วนำมาคล้องไหล่   พร้อมทั้งเดินเพื่อไปหาเจ้าลิงทั้งสองเพื่อจะหาทางออกเดิน
ทางต่อไป  

        ทันใดนั้นเองเสียงควบของม้าดังขึ้นใกล้เข้ามาอีกเขาเบี่ยงร่างกายหลบพร้อมกับเจ้าลิงทั้งสองเข้าบัง
ต้นไม้ทันที    ปรากฏว่าเป็นเจ้าจ่าฝูงมันวิ่งกลับมาหาเขาแล้วมายื่นอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมทั้งแลบลิ้นเลียไปตาม
ใบหน้าเขา   ชายหนุ่มดีใจมากว่าการครั้งนี้คงจะสมฤทธิ์ผลเป็นแน่นอนจึงค่อยลูบและจูบไปตรงหน้าฝากมัน
ทันทีเพื่อบ่งบอกถึงความรักที่มีต่อมัน  เจ้าจ่าฝูงม้าป่าร้องเบาๆแล้วก็เลียสูดกลิ่นของเขาไปพร้อมๆกันพลาง
คลอเคลียกับร่างเขา  มันหันไปมองเจ้าลิงทั้งสองแต่มันหาได้มีความดุร้ายแต่ประการใดไม่ แล้วก็หันมาหา
ชายหนุ่มคลอเคลียเสมือนยินยอมสยบต่อเขาแล้ว    ดังนั้นเขาจึงเอาเถาวัลย์มาทำเป็นห่วงร้อยรัดตามที่เคย
ปฏิบัติแก่ม้าที่เขาเคยฝึกมา  แล้วนำเอาหนังเสือมาพาดบนหลังเจ้าจ่าฝูงเพื่อใช้แทนอานสำหรับขับขี่ทันที
         เจ้าจ่าฝูงซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตพู่มันออกสีขาว ลำตัวมันออกสีเทาๆแต่ปลายพวงหางมันกับเป็นสีขาว
ส่วนเท้าทั้งสี่ตั้งแต่ข้อเข่าลงมาเป็นสีขาวทั้งสิ้น  นับได้ว่าเป็นสีแปลกประหลาดผิดกับม้าทั่วๆไปซึ่งมักจะ
มีลักษณะเช่นน้อยๆมากทีเดียว   เมื่อเขาจัดการเรียบร้อยแล้วจึงทดลองฝึกมันดูโดยวิธีผิวปากเรียกมัน ปรากฏว่า
มันก็วิ่งมาหาเขาหลังจากที่เขาได้จัดผูกหนังสัตว์และทำเชือกด้วยเถาวัลย์เรียบร้อยแล้ว   มันได้วิ่งออกไปเสมือน
จะรำคาญต่อสิ่งที่มันต้องรองรับ  วิ่งหายไปสักพักเขาก็ผิวปากเรียกมันทันทีครั้นเจ้าจ่าฝูงม้าป่าได้ยินเสียงเรียกจาก
ชายหนุ่มมันก็วิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วแล้วมาคลอเคลีย
          นับได้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ชาญฉลาดมาก  ส่วนเจ้าลิงทั้งสองก็เข้าไปแสดงตัวสนิทสนมกับมัน  เวลาผ่านไป
นานพอควรทั้งสามก็สามารถเข้าใจกันได้ดี

        ชายหนุ่มมองท้องฟ้าเห็นพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงมากแล้วแสดงว่าจวนจะค่ำจึงไม่คิดจะออกเดินทางต่อไป
ยังทุ่งกว้างเบื้องหน้า  สู้หาทางพักผ่อนที่นี่ก่อนสักคืนหนึ่งแล้วรุ่งขึ้นค่อยจะออกเดินทางไปสู่ยังโลกใหม่
ดังนั้นเขาจึงหาที่พักผ่อน ส่วนเจ้าจ่าฝูงนั้นเขาตั้งชื่อใหม่ให้มันทันทีว่า ” สีเทา”   ด้วยร่างมันออกสีค่อนข้างจะเทา
และทดลองเรียกชื่อมันแทนการผิวปาก  ปรากฏว่ามันสามารถจำชื่อมันได้อย่างรวดเร็วไม่จำเป็นต้องผิวปากเรียก
มันก็วิ่งมาหาเขาทันที     เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เขาก็ปล่อยให้มันหากินตามสบาย ส่วนเขาและลิงได้ไปแอบพัก
ยังเหลี่ยมเชิงเขาที่สามารถกำบังลมและฝนน้ำค้างได้   คืนนี้มันมืดสลัวมากด้วยปราศจากพระจันทร์คงมีแต่
ดวงดาวส่งแสงประกายระยิบระยับเท่านั้น   จวบแม่นางพรายทั้งสองปรากฏร่างขึ้นมา
         นางพรายแสดงความยินดีต่อชายหนุ่มที่สามารถได้พาหนะคู่ใจที่ยากแก่การบังคับได้  และให้ชายหนุ่มพัก
ผ่อนได้  พวกนางจะคอยเฝ้าระวังภัยให้เอง  ชายหนุ่มก็บังเกิดความหยอกล้อต่อแม่นางทั้งสองว่า
        “อ้าว???...แล้วน้องพี่ไม่เข้ามานอนข้างพี่เช่นเคยอีกหรือ”   
        “อ้าๆ???....เห็นจะไม่แล้วล่ะจ๊ะ”   นางตอบด้วยความเอียงอาย
        “ทำไมล่ะน้องพี่.....อย่าคิดมากอะไรเลย  พี่คิดว่าที่นี่คงจะไม่มีเหตุการณ์ร้ายอะไรหรอก  อ้อๆๆขอขอบใจ
น้องพี่มากนะจ๊ะที่ช่วยพี่ไว้จากหลุมนั้น”    ชายหนุ่มกล่าว
        “ก็เป็นหน้าที่ของน้องอยู่แล้วนี่ค่ะ  ที่ต้องช่วยเหลือท่านพี่เสมอๆจ๊ะ”   หญิงสาวทั้งสองเอ่ยขึ้น
        “ หากไม่ได้น้องพี่ทั้งสองช่วย เห็นทีพี่คงจะจบสิ้นไปเสียแล้วล่ะ”   ชายหนุ่มกล่าว
        “ คนมีบุญวาสนาเช่นพี่ท่าน  ฟ้าดินย่อมคุ้มครองเสมอๆแหละจ้า”  หญิงสาวกล่าว
        “คำๆนี้พี่ฟังดูมันแสยงหัวใจชอบกล  ขอน้องพี่อย่างได้กล่าวเช่นนี้อีกเลยนะจ๊ะ”   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
        “ก็เป็นความจริงนี่จ๊ะท่านพี่  มิฉะนั้นท่านพี่ไม่สามารถอยู่มาถึงตอนนี้ได้หรอก”   หญิงสาวคัดค้าน
        “เอาเถอะๆ....พี่เองไม่อยากได้ยินก็แล้วกันนะจ๊ะ”
         “จ๊ะๆ...หากท่านพี่มีความประสงค์เช่นนี้”
         “งั้นมานอนข้างๆพี่ได้แล้วจ๊ะ”  ชายหนุ่มเย้าอีก

     ทำให้หญิงสาวทั้งสองขวยเขินเอียงอาย  แต่ไม่อาจขัดใจชายหนุ่มได้   จึงได้เข้าไปแนบข้างทั้งสองชายหนุ่ม
ทันที   กลิ่นหอมกายสาวตลอดจนกลิ่นคล้ายบุปผาชาติโรยรินเข้าจมูกชายหนุ่ม  จนเคลิบเคลิ้มไปทันทีแต่ก็
พยายามอดกลั้นสิ่งเร่าร้อนในกายไว้อย่างยากเย็น  จนกระทั่งหลับไป
    ครั้นตะวันรุ่งเช้าย่างกรายเข้ามาเมื่อจัดการชำระล้างใบหน้าและทำความสะอาดเรือนร่างแล้วเขาก็เดินออกมา
พร้อมกับเจ้าลิงทั้งสอง  พลางร้องเรียกเจ้าสีเทาทันที   เจ้าม้าแสนรู้มันรีบวิ่งมาหาชายหนุ่มแล้วเข้าคลอเคลีย
ประจบเขา   ชายหนุ่มพร้อมสัมภาระก็กระโดดขึ้นบนหลังมันทันทีพร้อมกับเข้าลิงทั้งสองที่เกาะกันอยู่
เบื้องหลัง     เขาควบเจ้าสีเทาออกไปยังซอกไหล่เขาสู่ท้องทุ่งที่มองเห็นไกลลิบๆทันที..........

         *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
23 กุมภาพันธ์ 2553 12:49 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 28

แก้วประเสริฐ


               ลุ่มลึกอิสราวดี  28

      ขณะร่างชายหนุ่มอยู่ท่ามกลางอากาศ  ครั้นแลเห็นอาวุธต่างๆพุ่งเข้าใส่ก็ตีลังกาใช้
กระบองฟาดไปยังอาวุธที่จะมาต้องกาย   ส่วนเจ้าลิงขนขาวเห็นเช่นนั้นก็เอาไม้ที่ผ่าน
การชุบเรืองแสงหวดไปยังบรรดาอาวุธ   ช่วยชายหนุ่มอีกแรงหนึ่งแต่ร่างที่บนอากาศ
หล่นลงหลังจากฟาดอาวุธพ้นไปแล้ว  เรารีบทะยานคว้าเกาะยังผนังฟื้นขอบทันทีร่าง
จึงห้อยอยู่ปากหลุม ส่วนกระบองนาคราชก็เข้าทำลายบรรดาอาวุธจนหักสลายไปสิ้น
       หินที่ชายหนุ่มเหนี่ยวรั้งอยู่ก็หลุดร่วงลงมาทำให้ชายหนุ่มพลัดตกลงไป  แต่ทว่าเขา
รู้สึกเหมือนมีคนมาช่วยรับและดันร่างเขาให้ลอยขึ้น  ดังนั้นชายหนุ่มจึงพุ่งร่างอาศัยเท้า
ที่หยั่งได้  ร่างจึงหลุดพ้นปากหลุมแล้วกระโดดไปยังพื้นทันที   
        ชายหนุ่มนึกถึงแม่นางพรายทั้งสองคงจะมาช่วยเขาด้วยในปากหลุมนั้นมืดมิด
ปราศจากแสงสว่างจากดวงอาทิตย์นางจึงสามารถออกมาช่วยเขาได้   เมื่อชายหนุ่มพ้น
และยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เขาก็ก้มลงกราบยังพื้นดินทันที  แล้วกอบเอาดินพร้อม
เศษหินต่างๆขึ้นมายกขึ้นจรดหน้าผากท่องเวทมนต์พลางซัดไปยังร่างของชายชรา
ที่กำลังส่งเสียงหัวร่ออย่างดีอกดีใจ   ยามแลเห็นร่างของเขาหล่นไปในหลุมอาวุธ
ที่วางหงายคมขึ้นมาด้วยคมหอกจำนวนมากที่มันสร้างพร้อมกลไกลต่างๆอีกมากมาย
ทำไว้เพื่อกำจัดศัตรูที่ล่วงล้ำเข้ามายังปราสาทและสองข้างยังมีลูกธนูที่พุ่งมาอีก 
  
        มันคิดว่าป่านนี้คงจะเสียชีวิตไปแล้ว   แต่มันก็ต้องตาเหลือกเมื่อเห็นร่างชายหนุ่ม
อีกครั้งเสียงหัวร่อมันหายไปทันที    เมื่อแลเห็นก้อนไฟจำนวนมากมายพุ่งกระจาย
เข้ามาหามัน   ดังนั้นชายชราจึงรีบล้วงไปในยามกำสิ่งของบางอย่างแล้วเสก   
ขว้างไปยังลูกไฟต่างๆ    ของที่เจ้าชายชราโฉดก็กลับกลายเป็นห่าฝนใหญ่เข้าดับไฟ
 แต่เศษหินมันเข้ามากระทบยังร่างมันจนต้องเซถอยหลังไปแต่หาได้ทำอันตรายมันไม่
        เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนี้จึงพุ่งร่างเพื่อเข้าหาชายชราทันทีแต่เขาก็ต้องชะงักร่าง  เจ้าชายชรา
นั้นขว้างประคำที่มันถือออกมาขว้างมากลายเป็นพญานกอินทรีย์ใหญ่ตัวมหึมาหลายสิบตัวพุ่ง
ร่างมาหาเขา    ชายหนุ่มมิรอช้ารีบดึงเศษขนนกวายุภักดิ์ขึ้นมาแล้วร่ายพระเวทย์ทันทีพร้อมกับ
ปล่อยเศษขนนกวายุภักดิ์   ขนนกก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกจากฝ่ามือเขาไปกลายเป็นร่างของ
นกวายุภักดิ์หลายสิบตัว   
           พอเจ้าอินทรีย์ยักษ์จำนวนนั้นเมื่อแลเห็นนกวายุภักดิ์ที่รี่ตรงมาหามัน  
ร่างต่างๆของมันชะงักถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ปลุกเสกก็ตาม    แต่ด้วยแพ้อำนาจที่มีอยู่
ของสัตว์ทั้งสองมันข่มกันในตัวเองอยู่แล้ว
ทำให้เจ้านกอินทรีย์ร่างยักษ์ก็ถึงกับพ่ายอำนาจต่อนกวายุภักดิ์ที่ผ่านการเสกของชายหนุ่มพากัน
บินหนีแต่ก็ไม่พ้น  นกวายุภักดิ์ที่ใหญ่และรวดเร็วกว่า  พร้อมมันก็ส่งเสียงร้องขู่คำรามกึกก้อง
สะท้านไปทั่วป่าบริเวณแถวๆนั้น    
           ชายชราเห็นเช่นนั้นมันนึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มนี้ยังเป็นเด็กอ่อนหัดจะมีวิทยาคมแก่กล้าและ
ยังมีของวิเศษในตัวอีก   เฉพาะเพียงแค่เศษขนนกที่มันสวมใส่ยังมีอานุภาพเพียงนี้  มันจึงเรียก
ประคำกลับทันที   แต่ทว่าช้าไปเสียแล้วเจ้านกวายุภักดิ์ทั้งหลายก็ถึงตัวเจ้านกอินทรีย์ต่อสู้กันแต่
อย่างไรก็ตามทั้งจิตวิญญาณมันพ่ายแพ้แก่กันไม่นานเจ้าเหล่านกอินทรีย์ก็ตกตายสิ้น กลายเป็นเศษ
ลูกประคำที่แตกหักไปหมด   แล้วร่างนกวายุภักดิ์ก็พุ่งร่างเข้าใส่ยังร่างของชายชราโฉดทันที

         เจ้าชายชราที่เรืองด้วยเวทย์มันมันรีบเสกมนต์พลางหยิบของภายในย่ามออกมาสาดไปยังร่าง
พวกบรรดานกที่เข้ามาปลายเป็นเปลวเพลิงสกัดกั้นไว้ทันที  เจ้านกทั้งหลายเมื่อไม่สามารถทำอันตราย
แก่ชายชราที่เรืองวิทยาคมได้ก็กลับมาสู่ยังฝ่ามือชายหนุ่มทันที   เขาจึงเก็บเศษขนนกวายุภักดิ์เข้ายัง
ย่ามของเขาไว้    พร้อมทั้งชักดาบออกมาเดินไปหาชายชราทันที   เสียงดาบยามออกจากฟักส่งเสียง
ก้องกังวานมาก    จนทำให้ร่างชายชราถึงกับเขม่นมองดูดาบเห็นประกายเขียวปานปีกแมลงทับก็ให้
ตกใจมากๆ  ด้วยมันจำได้ว่านั่นเป็นดาบของท่านมหาราชครูผู้เรืองฤทธิ์เดชและเป็นอาจารย์ของมันด้วย 
         แต่มันเนื่องจากถูกท่านมหาราชครูขับไล่ออกมา  จึงสร้างความโกรธแค้นแก่มันคิดจะทำลายล้าง
ราชวงศ์ของมหาราชครูทีเข้ารับราชการอยู่ให้สิ้นซาก  จึงได้สมคบกับมหาอำมาตย์ใหญ่ช่วยส่งเสริม
เข้ายึดอำนาจภายในเมืองอิสราวดีเสีย   แล้วแยกตัวออกมาบำเพ็ญตบะเพิ่มเติมให้แก่กล้าสำเร็จแต่
ด้วย  อาจารย์มันหาได้สั่งสอนมันจนหมดไม่จึงไปร่ำเรียนวิชาอีกหลายๆอาจารย์ที่คงจะมีนิสัยคล้ายๆกัน
จนสำเร็จ     มันไม่นึกว่าจะได้เห็นดาบเล่มนี้อีก   ดังนั้นมันจึงถามชายหนุ่มทันที
        “นี่เจ้าหนุ่มน้อย  เอ็งไปได้ดาบนี้มาอย่างไรหรือ”
      ครั้นชายหนุ่มได้ยินมันดังนั้นจึงกล่าวปดมันทันทีว่า
        “ด้วยอาจารย์ท่านได้สั่งสอนและมอบให้แก่ข้าเองแหละ  ทำไมหรือ”  
     ชายชราโฉดได้ยินเช่นนั้นยิ่งแค้นใจยิ่งขึ้นด้วยคิดว่าชายหนุ่มคงจะร่ำเรียนวิชาอาคม
มาจากอาจารย์มันจนหมดสิ้น  แล้วถึงได้มอบดาบวิเศษเล่มนี้ให้แก่มัน  
 จึงไม่ฟังอีล้าค่าอีลมมันจึงย่างสามขุมเข้ามาพร้อมด้วยกระบองที่หัวไม้เท้ามันเป็นรูป
สัตว์ประหลาดที่อาจารย์ที่มันร่ำเรียนมาภายหลังเมื่อสำเร็จวิชาการต่างๆมอบให้มันไว้
    
 บัดนั้นเจ้าลิงทั้งสองได้เข้ามาอยู่ข้างกายชายหนุ่มทันทีหลังจากข้ามหลุมลึกออกมาได้
         ชายชรามองเห็นก็ชะงักร่างมันทันทีเพ่งสายตามองไปยังเจ้าลิงทั้งสอง 
เห็นก็ให้นึกแปลกใจนักด้วยมันมีขนแตกต่างกันมากตัวหนึ่งสีทอง อีกตัวหนึ่งสีขาว
 ส่วนเจ้าสีขาวนั้นมือมันถืออาวุธใดมิอาจทราบได้ส่งแสงแวววาวประกายหลากสีนัก
         เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ส่งมอบกระบองนาคราชให้แก่เจ้าขนทองทันที
ลิงทั้งสองต่างมีอาวุธครบมือมันห้าวหาญนัก  ไม่ทันฟังชายหนุ่มก็พุ่งร่างมันเข้าใส่ยัง
ร่างชายชราทันที    ทั้งสองตัวต่างควงอาวุธรวดเร็วเป็นจักรผันกระจายวงกลมออกเป็น
หลายๆวงเข้าล้อมรอบตัวชายชราทันที    
       ชายชราเมื่อมองกระบองนาคราชเองก็ให้สะท้านใจยิ่งนัก  ด้วยมันหาใช่อาวุธที่คน
เราจะสร้างมันขึ้นมาเองได้ด้วยเป็นอาวุธของเทพยดา  ซึ่งมันรู้ว่าอาวุธไม้เท้ามันมิอาจ
จะต่อกรกับกระบองนาคราชได้  แต่ช้าไปเสียแล้วร่างเจ้าขนขาวยกกระบองตีไปยังร่าง
ของชายชราทันที  
        ชายชรารีบยกไม้เท้าหัวสัตว์ประหลาดเข้ารับมือแต่ไม่อาจทานน้ำหนัก
การาฟาดจากเจ้าขนขาวได้ถึงกับเซร่นๆไป เสียงดังเคล้งๆประกายไฟแลบออกมามากมาย
ไม้เท้ามันเกือบจะหลุดจากมือ   มันไม่คิดว่าเจ้าลิงขาวนี้จะมีพละกำลังมากมายเช่นนี้ซ้ำการ
เข้าตียังเชี่ยวชาญคล้ายฝึกฝนวิชาร่วมสำนักเดียวกับมันก่อนด้วยการใช้ท่าร่างไม่เหมือนการ
ตีทั่วๆไป  ทุกๆกระบวนการตีประกอบด้วยท่าร่างที่พิสดารยิ่ง

       ดังนั้นมันจึงรีบร่ายเวทย์มนต์พร้อมชี้หัวไม้เท้าไปยังร่างเจ้าลิงขาวทันที   ปรากฏประกาย
แสงเจิดจ้าพุ่งเข้าใส่เจ้าขนขาว   เจ้าขนทองเห็นเช่นนั้นมันก็กระโดดเข้าขวางร่างเจ้าขนขาว
ทันทีพร้อมยกหัวไม้เท้าที่เป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียรชี้ไปยังร่างเจ้าชายชราด้วยมันเคยใช้กระบอง
นี้มาก่อนแล้วจึงรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจของกระบองเป็นอย่างดี 
        ฉับพลันดวงตาของพญานาคทั้งเจ็ดก็เปล่งสีแดงจ้าเฉิดฉายเป็นลำแสงเข้าไปยังประกายแสง
ของหัวไม้เท้าชายชราทันที   เมื่อแสงกระทบกันเสียงดัง เปรี้ยงปร้างเป็นระยะๆแล้วหดหายกลับ
คืนยังหัวไม้เท้าของชายชรา  บัดดลหัวไม้เท้าก็ระเบิดแตกกระจายจนทำให้เจ้าเฒ่าโฉดถึงกับต้อง
โยนไม้เท้าทิ้งลงกับพื้น   มันตกตลึงต่อเหตุการณ์เช่นนี้   มันรีบปลดประคำที่เม็ดใหญ่โตออกมา
แล้วร่ายพระเวทย์โยนขึ้นไปบนอากาศทันที
         ทันใดนั้นประคำก็ขยายใหญ่เป็นเปลวเพลิงในลูกประคำเข้าล้อมรอบชายหนุ่มและลิงทั้งสอง
ลุกไหม้เป็นประกายสูงยิ่ง    แผ่ความร้อนมายังชายหนุ่มและลิงทั้งสองทันทีชายหนุ่มนั่งลงกับพื้น
พลางนึกถึงท่านพญาธนาธิบดีนาคาทันทีพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกสามคำ   บัดนั้นก็เกิดพายุพัดกระหน่ำ
เมฆฝนมาจากที่ใดไม่ปรากฏ   สายพายุพัดจนเจ้าเชายชราเซแซดๆไปด้วยแรงแห่งพายุซัดเข้ากับผนัง
ก้อนหินทันใด   แล้วท้องฟ้าฟาดสายฟ้าเปรี้ยงๆฝนก็ตกมายังบริเวณรอบกองไฟที่ล้อมชายหนุ่มและ
ลิงทั้งสองดับลงทันที  กลายเป็นลูกประคำที่ขาดจากสายแตกแยกทันใด    แล้วร่างของท่านพญาธนาธิบดี

ก็ปรากฏกายขึ้น  พลางเข้าพยุงร่างชายหนุ่ม   เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็เข้ากราบคาราวะท่านพญานาคา
ท่านหัวร่อ แล้วกล่าวว่า
       “ไอ้เฒ่าชรานี้มันโฉดชั่วนัก  มันไม่อยู่ในศีลธรรมมักมากในกามคุณยิ่งมันที่เก่งกาจก็ด้วยอำนาจของ
เวทย์มนต์ไสยดำทั้งสิ้น  ถึงอย่างไรมันก็ไม่อาจจะทานอำนาจพุทธคุณไปได้หรอก”
        “แล้วจะกำจัดมันได้อย่างไรหรือขอรับท่านผู้เฒ่า”  ชายหนุ่มถาม
        “ตอนนี้ดวงมันยังไม่ถึงฆาต  แต่ก็ไม่นานนักแล้วล่ะพ่อหนุ่ม”  ท่านพญานาคราชกล่าว
        “เดี๋ยวเราจะจัดการให้เอง  แต่ในปราสาทมันนั้นมีของชนิดหนึ่งให้เจ้าค้นหาเราไม่สามารถบอกได้
ด้วยเป็นวาสนาแต่ละคน   หากเจ้ามีวาสนาก็จะค้นพบเองแหละ  เรารู้ว่าเป็นของที่คู่ควรแก่เจ้ายิ่งนัก”

           เมื่อท่านพญานาคราชกล่าวจบ   เดินไปหาเจ้าเฒ่าโฉดทันที    ส่วนเจ้าเฒ่าโฉดเสมือนมันรู้ว่านี่ไม่
ใช่คนธรรมดายากจะต่อกรได้มันจึง รีบเผ่นหนีแต่ไม่ทันเสียแล้ว   ท่านพญานาคราชชี้นิ้วไปยังร่างของ
มันทันทีเป็นลำแสงสีสวยงามยิ่งนัก เข้าทำลายร่างส่วนแขนมันขาดไปทันใด   เจ้าเฒ่าโฉดเมื่อเสียแขนไป
มันก็รีบเผ่นหนีเข้าป่าไปทันที    เสียงหัวร่อลั่นของท่านท้าวพญานาคราชดังไล่หลังมัน ยิ่งทำให้มันหนี
แทบสิ้นชีวิตหายลับไปจนไม่อาจจะเหลียวหลังกลับมามอง  ลิ้มลุกคลุกคลานยืนได้ก็วิ่งหนึ่งสุดชีวิต
         หลังจากกำราบเฒ่าโฉดชั่วแล้วพลางหันหลังมายังชายหนุ่มที่นั่งพนมมืออยู่พลาง เรียกให้เข้ามาใกล้ๆ
แล้วก็สอนวิชาต่างๆให้ชายหนุ่มทันทีเพื่อใช้ในกาลข้างหน้าต่อไป   ชายหนุ่มซึ่งได้ฟังเพียงไม่กี่ครั้งก็จดจำ
ได้หมดสิ้น  พลางกราบลงที่แทบเท้าท่านพญานาคราช  ท่านพยุงตัวเขาขึ้นพลางกล่าวว่า
       “เห็นทีเราหมดธุระแล้วจะต้องกลับแล้วขอให้เจ้าระวังตัวไว้ให้ดีนะ กาลข้างหน้ายังมีอีกมากมายนักแต่
เจ้าควรเข้าไปยังปราสาทค้นหาสิ่งที่เจ้าจะต้องใช้ในวันข้างหน้าให้พบด้วย”  ท่านพญานาคราชกล่าวสิ้นคำ
ร่างก็ค่อยๆเลือนรางแล้วหายวับไป  ท้องฟ้าก็กลับแจ่มใสดังเดิม  ชายหนุ่มมองไปยังหน้าปราสาทแล้ว
จูงมือเจ้าลิงทั้งสองผ่านเข้าไปข้างใน  ซึ่งเป็นบริเวณโล่งๆ  มีห้องแค่สี่ห้องเท่านั้นหาได้มีอะไรที่ผิดสังเกตใดไม่
        เขาก็นึกแปลกใจนอกจากที่นอนของเฒ่าเจ้าเล่ห์แล้วหามีสิ่งใดพิสดาร
ไม่นอกจากตั่งไม้ที่ใช้เป็นที่นอนของมัน   เขาเดินไปพิจารณาไปตามฝาผนังห้องที่วาดด้วยภาพสีต่างๆเป็นลวดลายแปลกตายิ่งนักจะหาที่ผิดสังเกตหรือก็ไม่มี
  ทดลองกดเคาะมือไปตามฝาผนังก็มีเสียงดังปกติแทบทุกๆแผ่นตลอดจนพื้นต่างๆ   จึงมานั่งยังตั่งไม้พลางทอด
ถอนใจแล้วคิดว่า    เห็นทีเราคงจะไร้วาสนาเสียแล้วกระมังจึงหาของที่ท่านพญานาคราชกล่าวไม่เจอ 
พลางล้มกายลงนอนยังตั่งใช้ความคิดนาๆประการ   หากไม่มีแล้วท่านพญานาคราชใยจึงกล่าวเช่นนี้เล่า
แต่เราหาไม่เจอเองทั่วทุกซอกมุม ฝาผนังก็แล้วหาได้มีสิ่งใดเป็นที่ซ่อนของดังกล่าวได้
        ฉับพลันความคิดเขาก็นึกขึ้นไดว่าทุกๆแห่งค้นหาแล้วแม้กระทั่งพื้นอิฐต่างๆ  มีแห่งเดียวที่เขายังไม่
ได้ค้นคือบริเวณใต้ตั่งที่เขานอนนี่เอง    เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วลากตั่งออกมาจากบริเวณนั้นทันที
แล้วใช้ส้นมีดเคาะๆไปตามพื้นอีกครั้งหนึ่ง  เสียงมันดังปกติยามเขาเคาะไปเรื่อยๆก็มีเสียงแปลกๆรู้สึกว่าเสียง
มันคล้ายโปร่งไม่แน่นเหมือนเสียงที่เคาะทั่วๆไป   จึงค่อยๆเคาะไปตามบริเวณปรากฏว่าเสียงดังโปร่งๆมี
ประมาณหกแผ่นจึงแน่ใจว่าที่เขาค้นหาคงจะอยู่ภายใต้พื้นแห่งนี้แน่นอน  จึงค่อยๆเอาปลายดาบงัดออกมา
ทีละแผ่นๆจนหมด  กลับเห็นเป็นบันไดทอดยาวลงไปข้างล่าง  
       เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงกล่าวกับเจ้าลิงทั้งสองให้คอยเฝ้าปากทางไว้   เจ้าขนทองไม่ยอมมันสั่นหน้าและส่ง
เสียงร้องบอกแก่เจ้าขนขาวให้คอยเฝ้าปากทางไว้แต่ผู้เดียว   ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ปล่อยเลยตามเลยค่อยๆย่าง
เท้าเดินลงไป   พอก้าวจนถึงพื้นเป็นทางยาวทอด  แต่ข้างฝากลับประดับด้วยมุกที่แปลกประหลาดส่งแสง
สีนวลใยแลเห็นไปทั่งบริเวณ   มีประมาณสามสี่ลูกเห็นจะได้ เขาค่อยก้าวเข้าๆไปทีละก้าวด้วยนึกถึงหลุม
ที่ก่อนจะเข้ามา   เจ้าเฒ่าโฉดคงจะสร้างกลไกอะไรไว้หากยิ่งเป็นของสำคัญมันยิ่งสร้างรัดกุมยิ่งขึ้น  เขามองไป
รอบๆบริเวณแล้วค่อยๆย่างเท้าพอพ้นทางเดินเป็นผนังเหมือนประตูห้องๆหนึ่งจึงค่อยๆแง้มเปิดออก ทันใดนั้น
ยามประตูเปิดออกเสียงดังหวีดๆๆพร้อมกับมีเสียงดังครืนๆ   เขารีบหันหลังไปดูเห็นเป็นซี่กรงเหล็กกั้นทางออก
เขาไปเสียแล้ว  เขาไม่สนใจเดินย่างเข้าประตูไปทันทีก็มีเสียงลมดังขึ้นแล้วหอกก็ทิ่มแทงจากพื้นดินส่วนฝาผนัง
ก็มีลูกธนูพุ่งออกมามากมายเขารีบใช้ดาบฟาดฟันไปยังหอกทั้งหลายจนขาดสิ้น  ส่วนลูกธนูนั้นเจ้าขนทองใช้
กระบองนาคราชกระโดดตีจนลูกธนูหักและตกยังพื้นจำนวนมาก  ชายหนุ่มก็เข้าช่วยเจ้าขนทองทันทีจนหมดสิ้น
         
        เมื่อหมดสิ่งกีดขวางแล้วเขาก็มองไปยังมุมห้องแลเห็นเป็นแท่นบูชามีกระบองสีดำมะเหลือมส่งประกาย
สดใสแวววาวยิ่งนัก   เขาจึงเดินไปใกล้ๆเป็นพานทองวางสิ่งของไว้แต่ในพานทองกับวางด้วยของชิ้นหนึ่งซึ่ง
ลักษณะคล้ายดวงตราอะไรทำนองนั้นประดับด้วยเพชรนิลจินดามากมายสวยงามยิ่งนัก   ดังนั้นจึงเอื้อมมือไป
หยิบขึ้นมาพิจารณาแล้วนำมาใส่ในอกเสื้อด้านในทันที   แล้วยกมือคว้ากระบอกสีดำปลายทั้งสองประดับด้วย
ทองล้อมรอบเพชรส่งประกายแวววาว        เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงส่งกระบองสีดำเหล็กที่เขียวจนดำนั้นให้แก่เจ้า
ขนทองทันทีพร้อมนำเอากระบองนาคราชมาเสียบไว้ยังเสื้อชั้นใน   พร้อมหันหันหลังเดินออกมา  สิ่งกีดขวาง
เป็นท่อนเหล็ก ชายหนุ่มใช้ดาบฟันไปยังท่อนบนล่างมันขาดออกจากกัน พอที่จะให้เขาลอดออกมาได้
จึงเดินกลับไปทางเดิมเพื่อขึ้นสู่เบื้องบนทันที
        เจ้าขนทองครั้นได้อาวุธคู่ใจมันก็ดีใจตีลังกาหลายๆรอบ  แล้วควงกระบองเป็นวงกลมราวจักรผันทันที
เกิดเสียงดังสะท้านแสบแก้วใบหู  ชายหนุ่มจึงบอกให้มันหยุดนั่นแหละมันถึงหยุด  เขาค่อยๆแงะเอาไข่มุก
ออกมาทีละลูกๆจนหมดรวมได้ประมาณหกลูก  แล้วเก็บไว้ในย่ามของเขาเพื่อหวังว่าจะอาจมีประโยชน์ต่อไป
ในวันข้างหน้า   แล้วเดินขึ้นบันไดมาพบเจ้าขนขาวนั่งเฝ้าปากหลุมอยู่  จึงดึงมือมันขึ้นมาพากันเดินออกจากวิหาร
เพื่อจะออกเดินทางต่อไป   เขาคิดว่าหากได้ข้ามเขาลูกเบื้องหน้าแล้วอาจจะได้พบหมู่คนบ้างแล้วหันไปตบหัวลิง
ทั้งสองเบาๆพร้อมย่างก้าวออกเดินทันที..........

               *   แก้วประเสริฐ.   *   

n016.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ