9 มีนาคม 2553 17:49 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 42

แก้วประเสริฐ


             ลุ่มลึกอิสราวดี  42

               พลันชายหนุ่มยิ้มพลางแล้วกล่าวขึ้นว่า
  “ต่อไปข้าเองจ๊ะเรียกท่านว่าน้องจันทิราก็แล้วกันนะ  แต่บอกก่อนเสียว่าหากยามใดที่ข้าออกศึก
ให้น้องเราติดตามเราอย่าได้ห่างจากตัวเราเป็นอันขาด ท่านจะรับปากเราได้หรือไม่ล่ะ”
ครั้นนางได้ยินกล่าวเช่นนี้ก็แสนจะดีใจจึงเอ่ยขึ้นว่า

     “หากเป็นความประสงค์ของท่านพี่แล้ว  น้องเองก็ไม่ขัดข้องและกล้าขัดคำสั่งหรอกเจ้าค่ะ”
   “ ดีแล้วล่ะเราจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก  นี่หากน้องไม่ใช่บุตรีของท่านที่ปรึกษาใหญ่แล้วพี่
เองเห็นจะไม่รับไว้หรอก”

      จันทิราได้ฟังดังนั้นก็ลอบยิ้มในใจว่า  ดูต่อไปเถอะจะได้เห็นฝีมือของเราแล้วความห่วงใยก็จะ
หายไป  แต่ก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า
     “น้องจะไม่ทำให้พี่ท่านต้องเป็นห่วงมากหรอก ด้วยวิชาความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์
และท่านพ่อเห็นว่าคงจะสามารถเอาตัวรอดได้เจ้าค่ะ”

             ชายหนุ่มไม่ได้ว่าอะไรอีกหันไปทางท่านที่ปรึกษาใหญ่พลางนำแผนที่มากางแล้วบอกว่า
      “ข้าเองเห็นทีจะจัดส่งกำลังเข้าตีเมืองซิตวา  ส่วนแคว้นอีกสิบกว่าแคว้นนั้นเห็นจะต้องดำเนิน
การเหมือนเดิมเสียแล้ว  เพื่อตัดกำลังและเสบียงอาหารก่อน  ดังนั้นจำเป็นต้องให้ทหารแฝงตัวเข้า

ไปยังบรรดาแว่นแคว้นต่างๆเพื่อจะได้ไม่เป็นที่สงสัยของฝ่ายข้าศึก พร้อมกับชี้มือไปยังแผนที่ที่
ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาทำไว้ ซึ่งบัดนี้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งหมดแล้ว ตลอดแนวเขาต่างๆ  ท่านพ่อลุง
จะเห็นเป็นประการใดล่ะ”

       มหาอำมาตย์ใหญ่ที่ปรึกษาใหญ่พลันกล่าวขึ้นว่า
       “หากจะใช้กลยุทธ์เดิมอีกเห็นที่ฝ่ายแคว้นยะไข่ก็จะรู้ตัวตระเตรียมกำลังไว้   ให้เราทำเป็นจะเข้า
ตียังแคว้นมอญซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับแคว้นยะไข่   แต่เราจะไม่เข้าตีแคว้นมอญ  แต่เป็นระยะทางไกล
กว่าแล้ววกเข้าตีบรรดาแว่นแคว้นต่างๆของยะไข่ให้หมดเสียก่อนถึงจะเข้าตีเมืองซิตเวทีหลัง  ด้วย
ทางเมืองซิตเวก็จะยกกำลังมาช่วยบรรดาแว่นแคว้น  ในช่วงระยะนั้นเราก็ตีกองทัพเมืองซิตเวให้ขาดจาก
กันแล้วหวนกำลังพลส่วนหนึ่งเข้าตีเมืองซิตเวก็คงจะง่ายกว่านะ”


      “ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าท่านลุงจะนำพลทั้งหมดตีเลียบแคว้นมอญใช่ไหมล่ะค่อยไล่ตีแว่นเคว้น
ต่างๆ  ด้วยการยกไปทั้งหมดเพื่อข่มขวัญแล้วค่อย แบ่งกำลังส่วนหนึ่งไว้รอโอกาสตีทหารเมืองซิตเวด้วย
ก็จะทำให้แคว้นมอญเสริมกำลังพล  ส่วนทางด้านตองอูพึ่งคิดจะแยกตัวออกก็จะพลอยชะล่าใจไม่ต้อง
พะวงเมืองมะละแหม่ง ถูกไหมท่านพ่อลุง”   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น

      “ใช่แล้ว....หากเราวางกลลวงไว้เช่นนี้ก็ทำให้เมืองซิตเวค่อยคลายกังวลไม่ห่วงใยกลับเป็นห่วงบรรดา
แว่นแคว้นต่างๆที่ส่งเสบียงอาหารแก่เมืองซิตเวย่อมจะส่งทหารออกมาช่วยรบด้วย  ในตัวเมืองมันเองก็
จะมีคนจำนวนน้อย ด้วยนึกว่ายามใดที่ยังไม่เสียแว่นแคว้นไปย่อมสามารถรักษาตัวเมืองไว้ได้พ่อหลานชาย”
ท่านที่ปรึกษาใหญ่กล่าวขึ้น  

       “แต่ในทำนองเดียวกันอันเมืองมะละแหม่งกับเมืองตองอูมีแม่น้ำคั่นกลางอยู่  ก็ให้เมืองฮะคาที่เราให้ต่อ
เรือไว้รีบส่งเรือมาโดยปรับปรุงเป็นเรือสินค้ามาทำการค้าขายกับเมืองตองอู   แต่ให้คอยดูจังหวะหากมีโอกาส
เราอาจจะได้เมืองตองอูซึ่งตอนนี้พึ่งตั้งตัวใหม่ๆอยู่  มังสุรินทราเจ้าเมืองตองอูซึ่งต้องการอาวุธการค้านี้ให้นำ
อาวุธเป็นสินค้าทำทีไปส่งขายแก่เมืองตองอูซึ่งสั่งอาวุธจากเมืองฮะคาอยู่ก่อนแล้วนะ”

       “หากเป็นไปตามพ่อลุงก็จะดีซิเมืองตองอูก็จะได้ไม่ต้องระแวงด้วยศึกครั้งนี้อยู่ห่างไกลกับเมืองตองอูนัก
หมายถึงว่าพ่อค้าลูกเรือทั้งหลายล้วนเป็นทหารเมืองฮะคาใช่ไหมท่านพ่อลุง”
        ทีปรึกษาใหญ่พลางหัวร่อกล่าวขึ้นว่า
      “ท่านมหาอุปราชช่างมีความคิดละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก  หากได้โอกาสก็ให้ทหารเมืองฮะคายึดเมืองตองอูไว้เสีย
ทางเราหลังจากยึดแคว้นยะไข่ได้แล้ว  ก็จะอาศัยตีโอบล้อมรัฐมอญตีเมืองมะละแหม่งที่เจ้าสมิงนราบดินทร์ครอง
เมืองอยู่ในคราวเดียวกันเสียเลย  ด้วยบรรดาของเราระหว่างนี้กำลังห้าวหาญการศึกยิ่งนัก”


       พร้อมทั้งชี้ปักธงไปตลอดเส้นทางการเข้าโจมตีครั้งนี้ให้ชายหนุ่มดู  พร้อมกล่าวว่า
     “ขอให้พ่อหลานชายจงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งหลายมาประชุมให้เป็นความลับอย่างได้แพร่งพรายให้
เหล่าทหารทั้งหลายได้รู้  เมื่อเข้าตีแว่นแคว้นต่างๆได้ส่วนมากอาจจะมีการอ่อนน้อมยอมรับแก่พวกเราด้วย
นิสัยของพวกยะไข่นั้นเจ้าเล่ห์ย่อมจะหาทางเอาตัวรอด  บางครั้งอาจจะไม่ต้องเสียกำลังพลไปมาก อาจจะได้

กำลังเสริมขึ้นแล้วค่อยมาดำเนินการแก่บรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายต่อไปนะ”  ท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษากล่าว
    “เวลามิอาจจะล่าช้าได้แล้วล่ะเห็นว่าพวกเราจะเริ่มแผนการก่อนที่ข้าศึกทั้งหลายจะมีกำลังเพิ่มมากขึ้นนะ”
           ระหว่างที่ทั้งสามปรึกษากันอยู่นั้นทหารหน้าห้องก็เข้ามารายงานว่า  เจ้าเมืองปะอานขอเข้าพบ 
ดังนั้น
ชายหนุ่มจึงเก็บแผนที่ไว้แล้ว บอกทหารให้เชิญเจ้าเมืองเข้ามาได้    เมื่อทหารออกไปแจ้งแก่เจ้าเมืองปะอาน
แล้วสักครู่  เจ้าเมืองซึ่งได้รับนามว่าอลองสินธูแห่งราชวงศ์อลองสินธูบดินทร์ ก็ก้าวเข้ามา 
 
         ครั้นมาถึงก็น้อมกายลงถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มทันที    ชายหนุ่มก็เชิญให้นั่งยังโต๊ะซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้า
ครั้นอลองสินธูหรือกะมังกะยอนั่งเรียบร้อยแล้ว   เจ้าเมืองใหม่แห่งปะอานก็กล่าวขึ้นว่า
       “บัดนี้ข้าพระองค์ได้รวมรวมทหารที่คัดเลือกไว้แล้วทั้งแม่ทัพนายกองเพื่อเข้าร่วมกับฝ่าพระบาทแล้ว
ประมาณสี่หมื่นคนพระเจ้าข้า  ส่วนข้าพระองค์และท่านแม่ทัพใหญ่มุสะกะยะก็จะขอเข้าร่วมในศึกครั้งนี้
ด้วยพระเจ้าข้า” 
  
        เมื่อชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็บังเกิดความยินดียิ่งนัก แต่กลับกล่าวว่า  
     “อันตัวท่านเองนั้นไม่จำเป็นต้องไปด้วยกับเราหรอก ด้วยหน้าที่ในการปรับปรุงภายในเมืองยังมีอีกมากมาย
นัก หากมาในศึกร่วมกับเราครั้งนี้อาจจะทำให้ข้าเก่าของพวกเจ้าเมืองและมหาอำมาตย์เก่าจะกำเริบเสิบสาน
ขึ้นได้อีก  ฉะนั้นเพียงได้แม่ทัพใหญ่ไปกับเราก็เพียงพอแล้ว ส่วนทางควบคุมทัพให้ท่านคัดเลือกผู้ที่เหมาะสม
รักษาการแทนไปพลางๆก่อนก็แล้วกัน”


      “หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์เช่นนั้น  ข้าพระพุทธเจ้าหวังจะสนองพระเดชพระคุณด้วยที่ได้ครอบ
ครองเมืองก็ด้วยพระองค์  หากไม่ไปด้วยตนเองก็จะไร้ซึ่งน้ำใจพระเจ้าข้า”  เจ้าเมืองปะอานกล่าว
     “ข้าเองได้ยินเช่นนี้ก็ให้ซาบซึ้งแก่ใจข้ายิ่งนัก ขอบใจเจ้ามากนะ เอาอย่างนี้ดีกว่าให้ท่านกะเกณฑ์ทหารมาฝึก

ฝนเตรียมพร้อมไว้   หากวันใดข้าต้องการใช้ก็จะให้ท่านยกทัพเข้าจู่โจมยึดแคว้นบางแคว้นแก่ข้าก็เพียงพอแล้ว
อนึ่ง ภายในเมืองให้ใช้พระคุณเป็นที่ตั้งส่วนพระเดชนั้นให้ใช้ไปตามความเหมาะสมแต่ต้องเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็น
ใครก็ตาม  บางครั้งความเมตตาก็พาเราอับจนได้นะท่านเจ้าเมือง”
       “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ตัวข้าพระพุทธเจ้ามาก  ข้าพระองค์จะน้อมรับคำดำรัสไปปฏิบัติตามทุกๆ
ประการพระเจ้าข้า”

        ชายหนุ่มหัวร่อพลางเดินไปตบไหล่  เขาเชื่อมั่นว่าเจ้าเมืองปะอานลักษณะใบหน้าสี่เหลี่ยมเช่นนี้เป็นคนที่
ซื่อสัตย์นักและมีความรู้ความสามารถต่อไปจะเป็นกำลังสำคัญแก่เขามากทีเดียว  ที่เขากล่าวเช่นนี้หวังจะให้
เจ้าเมืองปะอานนี้แหละเข้าตีเมืองอิสราวดีล่วงหน้าก่อน  ด้วยการเดินทัพกว่าจะมาคงจะไล่เลี่ยกันเพื่อลวงล่อ
แก่เมืองอิสราวดีต่อไป  

  หลังจากสนทนากันเป็นที่ถูกใจกันครั้นถึงเวลาเจ้าเมืองปะอานก็ขอลากลับเมืองด้วย
ต้องไปดำเนินวางแผนการต่างๆที่ชายหนุ่มมอบหมายไว้เตรียมในกาลต่อไปข้างหน้า   ครั้นเจ้าเมืองปะอาน
กลับไปแล้วเขาก็แจ้งแก่แม่ทัพใหญ่มุสะกะยีจัดหาที่พักให้แก่เหล่าทหารไม่ต้องสร้างเป็นค่ายใหญ่นักด้วย
อีกวันสองวันเราก็จะต้องออกเดินทาง 

         พรุ่งนี้เช้าให้เข้ามาร่วมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับการรบพุ่งอีกครั้ง  ครั้นแม่ทัพใหญ่เมืองปะอานน้อมรับ
บัญชาแล้วก็ออกนำทหารไปเลือกที่พักพร้อมสั่งรองแม่ทัพและนายกองทหารอย่าได้ส่งเสียงดังมากนัก
ครั้นได้เวลาเข้าประชุมเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลายก็เข้าไปยังห้องประชุมใหญ่ในค่าย ซึ่งนั่งด้วยชายหนุ่ม

และท่านที่ปรึกษาใหญ่ บนโต๊ะยาวจัดวางเรียงแผนทีตลอดจนธงเล็กๆปักเรียงรายไปทั่ว   ชายหนุ่มให้แม่ทัพ
เข้ามาล้อมดู แล้วจัดแบ่งหน้าที่ให้แก่เหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลาย  อธิบายการเข้าโจมตีแคว้นต่างๆ จากใกล้ๆ
ไปหาไกลยังบรรดาแว่นแคว้นให้แบ่งกำลังออกเป็นสามฝ่ายทันที ฝ่ายหนึ่งรุกหน้ายึดแคว้นต่างๆ   


       ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเลียบแม่น้ำที่คั่นระหว่างเมืองมะละแหม่งทำเป็นล้อมเมืองแต่ห้ามตีเมืองจนกว่าจะได้รับ
คำสั่ง  สร้างค่ายรายล้อมไว้หากมีทหารเมืองมะละแหม่งออกมานอกเมืองเพื่อต่อสู้ให้จัดกองกำลังเข้าสู้รบเมื่อ
ได้รับชัยชนะแล้วห้ามยกพลตามเข้าไปในเมืองเด็ดขาด ให้ย้อนกลับค่ายพักจนครบกำหนดแล้วให้ถอนค่ายออก
เดินทางไปยังแคว้นในครอบครองยะไข่  ให้เข้าโจมตีโอบด้านข้างแว่นแคว้นยะไข่ทันที เพื่อล่อลวงเมืองมอญ

ให้เชื่อว่าการยกทัพมานี้หาได้ประสงค์โจมตีแคว้นมอญไม่  หากยึดเมืองแคว้นต่างๆได้แล้วให้นำกำลังพลไปรวม
ตัวยังเมืองซิตเวทันที     ส่วนอีกทางหนึ่งให้รอกำลังพลที่จะมาในเรือสินค้าที่ทำการค้าขายกับเมืองฮะคาซึ่งจะนำ
ทหารซุกซ่อนมาด้วยแต่จะลงในระหว่างทางก่อนจะถึงเมืองตองอู 
  
         พวกฮะคาจะแยกย้ายกันซุกซ่อนในป่าหากพบให้ส่งสัญญาณโดยนำธงเป็นสัญลักษณ์แสดงเสีย  ทางทหารฮะคาก็จะเข้าใจและการครั้งนี้เราจะนำทัพไปเองหากตีเมืองตองอูได้แล้ว  เราจะเดินทัพไปตีเมืองหงสาต่อไปเพื่อ
โอบล้อมเมืองซิตเว  ส่วนทหารด้านอื่นๆหากเมืองแว่นแคว้นใดยังตีไม่ได้  ทัพที่ตีได้ให้พากันไปช่วยเหลือ
ด้วยกัน   หากสามารถยึดบรรดาแว่นแคว้นต่างได้แล้วให้รวบรวมพลทหารแว่นแคว้นต่างๆไว้เป็นพวกให้มากๆ หากเจ้าเมืองใดไม่ยินยอมให้ฆ่าทิ้งเสียแล้วจัดตั้งเจ้าเมืองใหม่คัดเลือกตามที่พวกเจ้าเห็นสมควร  การแบ่งกำลังนี้

ออกเป็นสามฝ่ายนั้น  ฝ่ายแรกที่เข้าตีหน้าด้านเราแต่งตั้งให้ท่านมังกะยะเป็นแม่ทัพใหญ่ ส่วนท่านมังสุระเป็นรอง
แม่ทัพ เป็นทหารฝ่ายแรกที่ยกตีแคว้นเมืองยะไข่ไปเรื่อยๆ  
        ส่วนท่านแม่ทัพมังสีหะให้เป็นแม่ทัพใหญ่ ให้ท่านมุสะกะยีเป็นรองแม่ทัพในการนำพลทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเลียบไปตามลำน้ำแคว้นมอญแล้วเสแสร้งว่าจะยกไปตีเมืองมะละแหม่งแต่เราจะไม่ตีเมืองอาศัยเป็น

ทางผ่านเข้าโอบล้อมแว่นแคว้นยะไข่ช่วยเหลือท่านมังกะยะ  ด้วยเมืองมะละแหม่งนั้นติดกับแม่น้ำใหญ่อิสราวดี
 ห้ามเด็ดขาดมิฉะนั้นจะทำให้กองทัพเราทั้งหมดล่มสลายได้ในพริบตา และอย่าได้ดูถูกฝีมือศัตรูอย่าได้ตั้งโดย
ความประมาททุกๆครั้งให้ร่วมปรึกษาบรรดาแม่ทัพนายกองทุกๆนายทุกๆครั้งสรุปเสียงส่วนใหญ่ในการเข้าโจมตี
ฝ่ายศัตรูเป็นที่ตั้งถึงแม้ว่าแม่ทัพใหญ่ก็ควรจะรับฟังเหตุผลต่างๆให้รอบคอบด้วย
เพื่อหาข้อดีข้อเสียชัยภูมิ  

ให้ตรวจสอบดูชัยภูมิประเทศเป็นหลักสำคัญอย่างได้ถือความเก่งของตัวเองว่าต้องเหนือกว่าพวกเดี่ยวกันหาได้
ยินยอมรับฟังเสียงส่วนใหญ่ มิฉะนั้นหากทราบถึงเราจะลงโทษทันที ตลอดจนหาลู่ทางต่างของฝ่ายศัตรูด้วย
          ขอให้พวกเราใช้วิจารณาญาณไหวพริบสติปัญญาอย่าได้มีอารมณ์โกรธเป็นที่ตั้ง ในกรณีฉุกเฉิน
หากเกิดการผิดพลาดก็ให้ท่านทั้งสองแต่งตั้งรองแม่ทัพอื่นๆทำการแทนอย่าได้ละทิ้งหน้าทีเป็นอันขาด

ห้ามเด็ดขาดอย่าได้ให้เสียกำลังใจถอยทัพหนีกลับย่อมจะทำให้แผนการเราพินาศสิ้นทั้งหมด    หากไม่พร้อม
อย่างน้อยให้ตั้งมั่นยึดชัยภูมิเพื่อรอกำลังเสริมจากแม่ทัพของพวกเราที่โจมตีและให้ต่างแจ้งให้ทราบซึ่งกันและกัน
ทุกๆระยะทางที่โจมตีได้  หากเหลือกำลังให้รีบขอกำลังเสริมต่อทันทีอย่าได้ล่าช้าเด็ดขาด


        ส่วนทางเราก็จะเข้าโจมตีเมืองตองอูร่วมกับทหารเมืองฮะคาหากยึดได้ก็จะมุ่งสู่เมืองหงสาอันเป็นเมืองพึ่งตั้ง
ใหม่เช่นเดียวกับเมืองตองอู  หากเรายึดเมืองเหล่านี้ได้แล้วจะยกเข้าสู่เมืองซิตเวทันทีไปคอยรอทัพท่านทั้งหลายไว้
หากโอกาสเป็นของพวกเรา  เมื่อยึดเมืองยะไข่ได้ก็จะหวนกลับไปยึดแว่นแคว้นมอญทันที  อ้อๆๆหากสามารถยึด

แว่นแคว้นยะไข่ได้แล้วให้จัดกำลังพลไว้เป็นระยะทางเข้าแฝงตัวรวมกับชาวบ้านแห่งแคว้นมอญในลักษณะใดๆ
ตามที่ท่านเห็นสมควรพร้อมทั้งให้จัดทำถนนหนทางต่างๆเป็นแผนที่ส่งมาให้พวกเราทราบต่อๆไปด้วย
       เพื่อหลังจากเราสามารถยึดเมืองซิตะเวได้แล้ว  จึงจะอาศัยแผนที่บรรดาแว่นแคว้นของเมืองมะละแหม่ง
เพื่อจะได้เข้าโจมตีแว่นแคว้นเมืองมะละแหม่งต่อไป  ส่วนพลที่เหลือจากทิ้งไว้ให้นำกำลังพลมายังเมือง

เข้าโจมตีเมืองมะละแหม่งต่อไป  หากได้เมืองมะละแหม่งซึ่งขาดความช่วยเหลือจากบรรดาแว่นแคว้นต่างๆก็
คงจะง่ายด้วยเป็นทีราบซึ่งทหารพวกเราชำนาญยิ่งนักหากได้แล้ว   เราจะแจ้งแก่พวกพันธมิตรของเราให้ยกพลโอบล้อมเมืองอิสราวดีทันที ส่วนแว่นแคว้นของเมืองอิสราวดีท่านไม่ต้องมีปัญหา เพราะเราจะติดต่อกับแม่นาง
กษัตริย์ของเมืองอิสราวดีซึ่งเราจัดหาที่พักไว้ให้แล้วอย่างปลอดภัย  เพื่อออกมาทำหน้าที่ให้เข้ามาเกลี้ยกล่อมชาว

แว่นแคว้นต่างๆเองในด้านนี้คงจะไม่มีปัญหากับเรา  หากยังมีแว่นแคว้นใดยังเป็นพวกของกบฏอยู่เราจะจัดการ
ให้เรียบเป็นหน้ากลองเอง  ส่วนพวกท่านให้ไปรายล้อมเมืองอิสราวดีไว้แต่อย่าได้เข้าโจมตีเป็นอันขาด
       ด้วยไอ้กบฏมันมีอาจารย์ที่มีอิทฤทธิ์เรืองเวทย์มนต์ยิ่งนักพวกท่านมิอาจจะเข้าต่อสู้กับอำนาจไสยดำได้หรอก

ขอให้เป็นหน้าที่ของเราเองที่จะทำลายเวทย์มนต์   ข้าจึงถึงได้ปล่อยไว้เป็นเมืองสุดท้ายด้วยโดนตัดแขนขามันออก
แล้วเมืองมันย่อมเดือดร้อนเรื่องเสบียงอาหารที่บรรดาแว่นแคว้นต่างๆส่งส่วยให้แก่มัน
   เมื่อชายหนุ่มสั่งการแล้วก็ให้นายทัพนายกองทั้งหลายแยกย้ายเข้าควบคุมทหารมะรืนนี้เราจะทำการใหญ่ต่อไป


       บรรดานายทัพนายกองครั้นได้รับฟังคำสั่งพร้อมได้รับแผนที่ย่อยต่างๆไว้ต่างก็แสดงความเคารพแก่ชายหนุ่ม
พร้อมออกไปจัดการทหารและบรรดาอาวุธยุทโธปกรณ์  แต่ไม่ลืมนำสิ่งที่ชายหนุ่มประดิษฐ์มอบให้แก่นายทัพ
นายกองทุกๆนาย ตลอดอาวุธที่ใหญ่ใช้สำหรับทำลายประตูเมืองและกำแพงเมืองในเมืองเพื่อสร้างความโกลาหล

แก่บรรดาทหารและชาวบ้านทั่วๆไป  สั่งให้ทหารเตรียมพร้อมไว้พร้อมจะออกเดินทางในวันมะรืนนี้ ข้างขึ้นเดือน
หกแรมสิบห้าค่ำพอดี   ครั้นบรรดาทหารทั้งหลายเมื่อทราบจากนายทัพนายกองก็แสดงความยินดียิ่งนักด้วยทุกๆคนผ่านการศึกสงครามมาล้วนแล้วแต่ได้รับชัยชนะทั้งสิ้นทำให้ขวัญกำลังใจทหารทุกๆคนดีเยี่ยม ต่างกระเหี้ยน
กระหือในการรบพุ่งต่อไป หากได้มีความเกรงกลัวความตายใดๆไม่

       ครั้นชายหนุ่มสั่งการทหารทั้งหลายให้รู้หน้าที่แล้วก็กลับยังค่ายใหญ่  เข้าพักผ่อน แม่นางพรายทั้งสองก็พลัน
ปรากฏกายทันที   แม่นางทั้งสองยิ้มแล้วกล่าวชมเชยชายหนุ่มพลางกล่าวว่า
      “ พรายประกายแดงไม่เคยคิดเลยว่าท่านพี่นี้ทำไมจึงทราบเกี่ยวกับการปกครองวางแผนด้านการรบจึงได้รู้
รอบคอบละเอียดไปหมด หรือว่าท่านพี่เป็นท่านมหาอุปราชจริงๆกระมัง”
        “นั่นซิ”  นางพรายประกายเขียว
ก็กล่าวเสริมว่า“อันแม่นางจันทิราก็สวยคงจะถูกใจท่านพี่
กระมังนะ
  “พี่ประกายแดงท่านพี่เราถึงให้เคียงข้างรบด้วย”
        ชายหนุ่มหัวร่อหันมายั่วเย้าว่า   
        “หรือว่าหึงพี่แล้วหรือน้องพี่ที่รักทั้งสอง “ 
ฮ่าๆๆๆ.............

                 * แก้วประเสริฐ. *  

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
8 มีนาคม 2553 17:54 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 41

แก้วประเสริฐ


             ลุ่มลึกอิสราวดี  41

   เมื่อมังสุริยะชัยครั้นนั่งบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว ซ้ายขวานั่งด้วยเจ้าลิงทั้งสองเคียงข้างขาเขา
พลางมองเหล่าอำมาตย์ขุนทัพนายกองของเมืองปะอาน ที่ถูกควบคุมตัวมานั่งอยู่เบื้องหน้า
เรียงรายไปทั่วต่างถูกมัดมือไขว้หลังก้มหน้า  ทุกๆคนล้วนแต่ใบหน้าหมองเศร้ามีแต่เพียง
หนึ่งเดียวเป็นชายหนุ่มที่อาการปกติหาได้หวาดหวั่นแต่ประการใดไม่   ชายหนุ่มจึงเพ่งมอง
เป็นพิเศษ  เขาเป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะราศีผ่องใสยิ่งนัก ใบหน้าคางเหลี่ยมแต่หน้าผากกว้าง
สันจมูกโด่ง คิ้วหนาจรดเกือบใบหู หูยาวใหญ๋ผิดธรรมดา  นั่งเงยหน้ามองมาทางเขา
หาได้ก้มหน้าเหมือนพวกเหล่าเชลยอื่นก็หาไม่ ดวงตามกลมโตใหญ่จ้องแต่อ่อนโยน
     จึงให้บังเกิดความกังขายิ่งนัก  พลางกล่าวกับทหารให้แก้มัดแก่ชายหนุ่มคนนี้แล้วให้ยืนขึ้น
ก้าวเข้ามาหาเขา     เมื่อชายหนุ่มดังกล่าวถูกแก้มัดแล้วพลางก็ยืนขึ้นอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
พร้อมทั้งก้มคาราวะแก่มังสุริยะชัยทันที   แล้วเดินผ่านเหล่าเชลยทั้งหลายจวบจนใกล้จึงหยุด
 น้อมคาราวะชายหนุ่มอีกครั้ง  ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มมองดูลักษณะร่างกายช่างองอาจยิ่งนัก
สง่าผ่าเผยผิดกับบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหลาย จึงกล่าวว่า
        “เจ้ามีชื่อประการใดหรือ”
        “ข้าพระองค์มีนามว่า “กะมังกะยอ พระเจ้าข้า”  ชายหนุ่มน้อมกายตอบ
        “ ในเมืองปะอานนี้เจ้าทำหน้าที่ใดล่ะ”  มังสุริยะชัยกล่าวถามอีก
        “ข้ามีหน้าที่เป็นสมุห์ราชองครักษ์พระเจ้าข้า”
มังสุริยะชัยก็ให้บังเกิดความชอบใจแก่ชายหนุ่มที่ตอบได้ฉะฉานนอบน้อมและมิเกรงกลัวใดๆ
        “แล้วเจ้าฝึกทางด้านการรบพุ่งหรือไม่ล่ะ”
        “ข้าขอเรียนว่า ข้าเองร่ำเรียนมาทั้งด้านหนังสือและอาวุธต่างๆพร้อมมูลพระเจ้าข้า”
        “เอ๊ะ???....แปลกจริงนะ ใยเจ้าถึงเป็นแค่เพียงสมุห์ราช องค์รักษ์เท่านั้นหนอ” ชายหนุ่มรำพึง
        “ ด้วยกระหม่อมเองมิได้คิดจะใฝ่สูงในบรรดาลาภยศใดๆ  เพียงแค่เข้ามาเพื่อจะรับใช้เมือง
ด้วยการแนะนำของท่านรองแม่ทัพเอง  ซึ่งตอนแรกข้าพระองค์ปฏิเสธแต่ท่านรองแม่ทัพ
ร้องขอจะให้อยู่ช่วยในกองทัพ     แต่ข้าพระองค์เห็นว่าเมืองปะอานนั้น
เจ้าเมืองเป็นคนใช้แต่อารมณ์เป็นใหญ่มิฟังผู้ใด  จึงกล่าวแก่ท่านรองแม่ทัพว่า  หากจะให้ข้ารับใช้ก็ได้
ขอเพียงทำงานด้านหนังสือฝ่ายทหารเท่านั้นพระเจ้าข้า”
        “แล้วรองแม่ทัพนั้นตอนนี้ยังอยู่หรือไม่ล่ะเจ้ากะมังกะยอ”
        “ยังอยู่พระเจ้าข้า  แต่ถูกมัดอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์แล้วพระเจ้าข้า” กะมังกะยอกล่าวถวาย
พลางชี้ตัวรองแม่ทัพคนนั้นทันที
        มังสุริยะชัยหันไปมองตามที่ชายหนุ่มชี้ตัวเห็นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่องอาจผ่าเผยสมเป็นชาย
ชาติทหาร  จึงให้ทหารแก้มัดเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทั้งหมดทันที  พลางกล่าวขึ้นว่าใครเป็นคน
ที่แนะนำเจ้ากะมังกะยอมารับราชการล่ะ ให้ก้าวออกมาซิ   พลันทหารร่างองอาจคนนั้นก็ก้าวหน้า
ออกมาแล้วถวายความคาราวะทันที
       “เจ้าหรือที่แนะนำตัวชายหนุ่มกะมังกะยอ  แล้วเจ้าทำหน้าที่ในกองทัพตำแหน่งใดหรือเหตุใด
จึงแนะนำตัวกะมังกะยอมาทำงานด้วยล่ะ”
        “ขอเดชะด้วยข้าเองตรวจดูลักษณะถูกต้องตามตำราว่า บุคคลเช่นนี้หากต่อไปในอนาคตจะได้เป็น
ใหญ่เป็นโต หากหมกมุ่นอยู่กับงานด้านช่างตีเหล็กก็หาสมควรไม่พระเจ้าข้า”
       “ อืมมๆๆๆ....นับว่าสายตาเจ้ามิเลวเลยถึงกับรู้ตำราว่าด้วยลักษณะคนและเหมือนกับข้าที่มองเจ้ากะ
มังกะยอคล้ายๆกับเจ้า  เจ้ามีชื่อว่าอะไรเล่า”  มังสุริยะชัยถาม
       “ขอเดชะข้าเองมีนามว่ามุสะกะยีเป็นรองแม่ทัพเหล่าทหารหน่วยสอดแนมพระเจ้าข้า”  มุสะกะยีทูลขึ้น
ครั้นมังสุริยะชัยทราบเช่นนั้นก็มิได้กล่าวประการใดอีก   พลางสอบถามบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกอง
ทุกๆนาย   ครั้นไตร่ตรองเห็นว่าบางคนนั้นยังเป็นคนมักมากใช้อำนาจในทางไม่สมควรนักจึงสั่งปลด
บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองบางคนออกจากตำแหน่งทันที    ส่วนมหาอำมาตย์ใหญ่แม่ทัพใหญ่ให้นำไป
ประหารชีวิตเสียพร้อมยึดทรัพย์สินต่างๆที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดตลอดบรรดาแม่ทัพนายกองบางคนเสียสิ้น
        พร้อมทั้งแต่งตั้งแม่ทัพใหญ่ใหม่ทันทีโดยให้มุสะกะยีขึ้นดำรงตำแหน่งแทนส่วนแม่ทัพอื่นๆที่
มีความผิดตลอดจนอำมาตย์ทั้งปวงก็ให้ถอดยศเป็นไพร่  แล้วทรงแต่งตั้งรองขึ้นมาใหม่แทนตำแหน่งเดิม
ทำให้บรรดาอำมาตย์แม่ทัพที่มีความผิดต่างตกใจใบหน้าซีดเผือดไปตามๆกัน  ส่วนที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่
ก็ใบหน้าแจ่มใส  แล้วต่างถวายพระพรให้คำสัตย์ปฏิญาณตนเองว่าจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ตลอดไปหากจะ
ใช้ให้ทำอะไรแม้แต่บุกน้ำลุยไฟก็หาหวาดหวั่นไม่    แล้วสั่งให้ทหารถอดเครื่องแบบพวกที่ถูกลงโทษออก
เสีย  ส่วนที่ถูกประหารก็ถูกนำตัวออกไปและให้ทหารไปยึดทรัพย์สินทั้งหมดของบรรดาที่ถูกยึดทรัพย์
ให้เก็บมาเข้ายังคลังของเมืองปะอานต่อไป
        เมื่อมังสุริยะชัยกล่าวจบ   ก็พลางประกาศว่าอันเมืองปะอานนี้เป็นเมืองสำคัญนักที่ล้วนแล้วแต่ภูเขายาก
แก่การโจมตี  หากจะขาดเจ้าเมืองไปหรือก็จะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในการแก่งแย่งอำนาจกันเอง  ดังนั้น
ข้าขอให้แม่ทัพใหญ่และมวลอำมาตย์ที่ถูกแต่งตั้งใหม่นั้นคิดว่าใครเล่าที่จะขึ้นครองเมืองต่อไป   ทำให้มวล
เหล่ามหาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองต่างๆพลางมองหน้า แล้วพลางกราบทูลพร้อมๆกันว่า
        “ขอเดชะ ขอให้เป็นหน้าที่ของพระองค์เถิดพระเจ้าข้า  พวกข้าเองนั้นจะยินยอมพร้อมใจยอมรับหาก
เป็นพระประสงค์ของพระองค์พระเจ้าข้า”  
        ครั้นมังสุริยะชัยได้ฟังเช่นนั้นก็คิดเหมือนดังที่กล่าวไปแล้วว่าเหตุการณ์ต้องออกมาในรูปนี้ หากแม้นว่า
ใครกล่าวขึ้นเองก็หมายถึงความจงรักภักดีหามิไม่ด้วยเสแสร้งเป็นสำคัญแก่เรา   ดังนั้นจึงประกาศขึ้นทันที
        “ข้าเองไตร่ตรองโดยรอบคอบแล้วว่าเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนชาวปะอานตลอดจนแว่นแคว้นของ
กระเหรี่ยงจึงประกาศขอแต่งตั้งให้เจ้า  “กะมังกะยอ”  ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ต่อไป มีใครจะคัดค้านก็ให้แจ้ง
แก่ข้ามามิต้องกังวลเกรงใจข้า”
         เหล่าอำมาตย์และแม่ทัพนายกองทั้งหมดถึงกับตกตลึงด้วยคาดคิดมิถึงว่า  สมุห์ราชองครักษ์ที่มีตำแหน่ง
น้อยนิดนี้จะได้ถึงกลับเป็นเจ้าเมืองครองแผ่นดินต่อไป ต่างพากันส่งเสียงงึมงำไปทั่วพลางหันมามองเจ้า
กะมังกะยอทันที          มังสุริยะชัยเห็นเช่นนั้นก็ทรงพระสรวลพลางดำรัสขึ้นว่า
      “อันเจ้าเมืองคนเก่าแห่งปะอานนั้นมีตาหามีแววไม่  พวกเจ้ารู้หรือไม่อันเจ้ากะมังกะยอนี้เพียงแวบเดียวข้า
เห็นก็รู้ว่า  มันเป็นคนเก่งกล้าสามารถยิ่งนักเชี่ยวชาญการปกครองตลอดจนปฏิภาณไหวพริบ
เฉลียวฉลาดหาคนจับตัวได้ยากนัก  ที่สำคัญมันเป็นคนที่รู้จักประมาณในตัวยิ่งนัก หาได้มีความทะเยอทะยานเหมือนคนที่ข้าสั่งให้ประหารไป   ซึ่งมีแต่ความโลภโมโทสันหาคิดคุณค่าแผ่นดินหวังแต่เพียงแค่ลาภยศเพื่อ
ใช้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพ้องของตนเป็นสำคัญ หาได้รู้คุณค่าของประชาชนก็หาไม่   คิดเพียงแต่
จะเป็นใหญ่ใครล้มก็จะข้ามเสียหวังเพื่อคิดตลอดเวลาจะครอบครองผืนแผ่นดินนี้ มิได้มีความสัตย์ซื่อต่อผืน
แผ่นดินเกิดของพวกมันเอง   หากมาดแม้นต่อไปยามเจ้าเมืองชราขึ้นไอ้พวกอำมาตย์และบริวารพร้อมกับ
แม่ทัพใหญ่มันก็จะยึดอำนาจมาปกครองและต่อสู้กันเอง  ส่วนไพร่พลที่ถูกข้าปลดไปนั้นมันก็เป็นพวกคอย
สนับสนุนหยิ่งยโสโอหังมิคิดถึงคุณของพวกราษฎร์ที่อุ้มชูมันมา  กินเงินเดือนที่ประชาส่งมาให้เท่านั้นหาก
ต่อไปจะสร้างความยุ่งยากแก่การครองเมืองของเจ้ากะมังกะยอ  ด้วยบุคคลพวกนั้นจะหาทางคิดล้มล้างเอง
และจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกกะเหรี่ยงทั้งมวลในอนาคต   เจ้ากะมังกะยอนั้นมันเป็นคนมีความเมตตา
เป็นที่ตั้งย่อมทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอยู่ได้อย่างสงบสุข  ข้าเองเมื่อไม่มีคนคัดค้านแต่ประการใดจึงขอประกาศ
ในที่นี้ว่า ให้ทุกๆคนจงช่วยเหลือเป็นภาระดูแลแก่เจ้ากะมังกะยอต่อไปด้วย”
      บรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองเมืองปะอานทั้งหลายครั้นได้รับฟังต่างพากันอ้าปากค้างไปตามๆกัน
มันไม่คิดว่าชายหนุ่มอายุน้อยเพียงเท่านี้ใยถึงมีความคิดอ่านล้ำลึกเช่นนี้  และไม่สงสัยเลยว่าทำไมชายหนุ่มนี้
ถึงได้สามารถควบคุมบรรดาทหารทั้งหลายตลอดจนเข้าตีแว่นแคว้นต่างๆได้มาโดยง่ายดาย  แม่แต่เมืองปะอาน
ที่มีชัยภูมิอันยากแก่การโจมตียังต้องเสียดินแดนต่างๆตลอดจนเมืองให้แก่ชายหนุ่มน้อยคนนี้ไป แล้วได้ยิน
ชายหนุ่มคนนี้   ที่หันหน้าไปทางทหารของตนที่ล้วนแต่องอาจกล้าหาญถืออาวุธครบมือพร้อมเพรียงกัน
        พลางหันไปสั่งให้ทหารแจ้งแก่ฝ่ายในให้นำมงกุฎผู้ครอบครองแคว้นมาเพื่อเราจะสวมให้แก่เจ้ากะมังกะยอ
ครั้นทหารรับคำสั่งแล้วก็ไปแจ้งแก่ฝ่ายในทันที   บัดเดี๋ยวเหล่าสนมกำนัลทั้งหลายต่างพากันเดินถือพานที่ใส่
มงกุฎเจ้าเมืองออกมา  ตลอดจนนักดนตรีและเหล่านางรำเข้ามาพร้อมเพรียงกัน    มังสุริยะชัยจึงเรียกชายหนุ่ม
เจ้ากะมังกะยอให้มาพบทันที   ฝ่ายเจ้ากะมังกะยะนึกไม่ถึงว่าตนเองจะได้รับความเอ็นดูจากมังสุริยะชัยเช่นนี้
ถึงกลับน้ำตาซึม   รีบเข้าไปพลางก้มลงกราบยังเท้าของมหาอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์ทันที
มังสุริยะชัยรีบเข้าไปพยุงร่างให้ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า   เราจะเป็นคนครอบมงกุฎแก่เจ้าเพื่อครอบครองแผ่นดิน
ต่อไป     กะมังกะยอเมื่อได้รับฟังเช่นนั้น ก็คุกเข่าลงต่อหน้าแล้วมังสุริยะชัยก็พลันสวมมงกุฎลงบนหัวเจ้า
กะมังกะยอทันที   
          ทันใดเสียงดนตรีพร้อมนางรำก็ฟ้อนถวายเฉลิมฉลองกษัตริย์องค์ใหม่แห่งแคว้นกระเหรี่ยง
มังสุริยะชัยพลางกล่าวขึ้นในท่ามกลางเหล่าอำมาตย์ทหารหลายว่า  ข้าแต่งตั้งเจ้ากะมังกะยอเป็นกษัตริย์
แล้วข้าจะเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เพื่อเป็นต้นตระกูลราชวงศ์ใหม่ว่า   “อลองสิธูบดินทร์”  นับแต่นี้ไป
 บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองเมืองปะอานต่างเข้าน้อมถวายพระพรกษัตริย์องค์ใหม่เพื่อเข้าถวายสัตย์
ปฏิญาณตนแก่กษัตริย์องค์ใหม่ด้วยเสียงสนั่นลั่นไปทั่วท้องพระโรง   มังสุริยะชัยก็จูงมือกษัตริย์อลองสิธูบดินทร์
ขึ้นนั่งยังราชบัลลังก์     
            กษัตริย์แห่งเมืองประอานหลังจากรับคำสัตย์ปฏิญาณตนแล้ว เขาก็นำบรรดาอำมาตย์
แม่ทัพนายกองทั้งหมดเข้าให้สัตย์ปฏิญาณตนกับท่านมหาอุปราชว่าต่อไปนี้เมืองปะอานก็จะขอร่วมเป็น
ร่วมตายกับพระมหาอุปราชราชแม้จะชีวิตจะหาไม่ก็ตาม    ทำให้มหาอุปราชแห่งเมืองศิระสุริยันต์ซึ้งพระหทัย
เมื่อพระองค์ครั้นจัดการทางนี้เรียบร้อยแล้ว  ก็สั่งทหารทั้งหมดให้กลับไปยังค่ายพักทหารนอกเมืองทันที
         ก่อนที่มังสุริยะชัยจะหันกลับ  กษัตริย์องค์ใหม่ก็เข้ามาน้อมกายลงคุกเข่าพลางกล่าวคำปฏิญาณตนเอง
ว่าจะดำรงทศพิธราชธรรมตามพระองค์และจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ตราบชั่วชีวิต  พลางกล่าวว่าพึ่งจะดำรง
ตำแหน่งหากเมื่อจัดการทางนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะจัดหน่วยทหารเข้าร่วมกับพระองค์ทันที   มังสุริยะชัย
ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็หัวร่อพลางตบไหล่เบาๆ  แล้วกล่าวว่า
       “ขอให้เจ้าจงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้สงบสุข  ข้าเองเมื่อเสร็จธุระแล้วก็จะคืนแว่นแคว้นต่างๆเจ้า
ครอบครองแต่เดิม    หากได้ทหารเจ้าเข้าร่วมกับเราก็จะดียิ่งนักด้วยทหารเจ้าเชี่ยวชาญด้านหุบผาแนวไพร
ขุนเขามาก”
      “ข้าพระองค์ขอเพียงขอร้องพระองค์ทรงพักสักอาทิตย์หนึ่ง  ข้าเองจะนำทัพไปร่วมกับพระองค์พระเจ้าข้า”
      “ไม่ต้องหรอกเจ้าอลองสิธูบดินทร์  ขอเพียงเจ้าส่งแม่ทัพนายกองให้แก่เราก็เพียงพอแล้ว เอาล่ะข้า
เองก็จะทำตามที่เจ้าขอร้องแต่ทว่า  ข้าเองไม่ชอบการต้อนรับที่เอิกเกริกนักจะขอพักที่ค่ายทหารเราเท่านั้น
หากเจ้ามีขอปรึกษาใดแก่เราก็มาหาเราได้เสมอนะ” 
       “พระเจ้าจ้า  ข้าพระพุทธเจ้าจะส่งของลำเลียงไปตลอดเวลาที่พระองค์พำนักที่ค่ายทหารพระเจ้าข้า”
       “เอาล่ะขอบใจเจ้ามาก  ข้าเองกลับก่อนนะอย่าลืมคำมั่นสัญญาเสียล่ะ”
       “ชั่วชีวิตนี้ข้าพระองค์หาลืมเลือนไม่พระเจ้าข้า” กะมังกะยอกล่าวด้วยความนอบน้อม
       เมื่อชายหนุ่มออกจากเมืองปะอานแล้วก็กลับยังที่พัก  แล้วเรียกประชุมนายทัพนายกองสำรวจทหารทันที
การศึกครั้งนี้ฝ่ายเราเสียทหารไปจำนวนไม่มาก   ครั้นได้รับรายงานเช่นนี้ก็สร้างความดีใจยิ่งนักแก่ชายหนุ่ม
พร้อมทั้งตบรางวัลแก่เหล่าทหารทั้งปวงพร้อมทั้งให้จัดงานฉลองให้สนุกสนานที่เหน็ดเหนื่อยต่องานมาแล้ว
จากนั้นชายหนุ่มก็จูงมือท่านมหาอำมาตย์ใหญ่มาร่วมรับทานอาหารด้วยกันพร้อมกับแม่นางจันทิรา  พลาง
เอ่ยชมเชยแม่นางจันทิรามิขาดปาก  ทำให้แม่นางจันทิราถึงกับเอียงอาย ระหว่างทานพลางหัวร่อขึ้นทันทีทำ
ให้มหาอำมาตย์และแม่นางจันทิราสงสัยจึงถามว่า
       “พระองค์ทรงพระสรวลอะไรหรือพระเจ้าข้าถึงได้ทรงนานเช่นนี้”
       “ที่เราหัวร่อมากเช่นนี้ด้วยมองไปข้างหน้าว่าอันไอ้อำมาตย์แห่งเมืองอิสราวดีเห็นทีจะไม่พ้นความตายไป
จากมือเจ้ากะมังกะยอไปได้หรอก”   
       แล้วก็เล่าความต่างๆให้ท่านมหาอำมาตย์ทราบเรื่องราวต่างๆทั้งหมดฟังตลอดจนลักษณะต่างๆของเจ้าเมือง
ใหม่ให้ฟัง   มหาอำมาตย์ที่ปรึกษาครั้นได้ฟังก็หลับตาลงครุ่นคิดถึงลักษณะที่ชายหนุ่มบ่งบอกแล้วลืมตาเอ่ยขึ้น
       “ข้าพระองค์ตรวจดูนึกถึงตำราแล้วเห็นจะจริงดังพระองค์ตรัสมาพระเจ้าข้า   ตามตำราก็บ่งบอกถึงการข่มกัน
ของรังสีระหว่างเจ้าอำมาตย์กับกษัตริย์แห่งปะอานเป็นแน่แท้พระเจ้าข้า”
     “ นั่นซิตามตำราข้าเองก็บ่งบอกเช่นกันนะ  แล้วต่อไปเราเห็นที่จะต้องอาศัยคนของชาวกระเหรี่ยงนี้แหละ
ยกเข้าตีแคว้นยะไข่ต่อไป   ด้วยมันต่างเป็นชาวเขาด้วยกันย่อมจะรู้ทางซึ่งกันและกัน”  ชายหนุ่มกล่าว
       “แล้วชาวเมืองแว่นแคว้นข้าพระองค์ก็ล้วนแต่ชาวเขาเช่นกันนะเพค่ะ”  หญิงสาวท้วงติง
       “ใช่แล้วแม่นางย่อมล้วนเชี่ยวชาญเกี่ยวกับภูเขาทั้งสิ้นแต่ทว่า อันเมืองปะอานมีสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นยะไข่
อันแว่นแคว้นท่านถึงแม้จะเป็นภูเขาแต่ก็หาได้มีต้นไม้ปกคลุมมากมายนัก ผิดกับแว่นแคว้นทั้งสองนี้ซึ่งล้วน
แล้วอุดมด้วยพืชพันธุ์ไม้ใหญ่ๆทั้งสิ้นยากต่อการโจมตี  ยิ่งเมืองหลวงมันซิตตเวแล้วไม่เพียงอยู่บนเขาแต่ก็ปกคลุม
ไปด้วยไม้ใหญ่ทั้งสิ้น  นอกจากคนที่ชำนาญทางเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้  พวกเราถึงแม้มิเกรงกลัว  แต่ทว่าส่วนใหญ่
จะรบทางภาคพื้นดินทางราบเท่านั้น” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
         ครั้นหญิงสาวได้ฟังเช่นนั้นก็เห็นจริงถูกต้องดังชายหนุ่มกล่าว  พลางนึกในใจว่ามิน่าเล่าเขาเป็นผู้ที่
ชาญฉลาดนักถึงสามารถรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆได้  อีกทั้งได้ฟังข่าวเล่าลือว่าผ่านป่าดงดิบที่มนุษย์ยากจะเข้า
ไปได้และรอดออกมาถือได้ว่าไม่ธรรมดา ตลอดยังมีเพื่อนที่เป็นสัตว์ที่เก่งกล้าสามารถอีกด้วยต้องหมายถึงความ
เป็นอิสริยะบุรุษยากจะค้นหาได้ในแผ่นดินนี้  จนบังเกิดความรักใคร่ใฝ่ปองยิ่งนัก  ดังนั้นเพื่อหมายประสงค์จะ
ออกรบเคียงข้างร่วมกับชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับบิดาว่า
       “ข้าแต่ท่านพ่อข้าเองเห็นว่าภายในค่ายใหญ่นี้ก็ล้วนแต่ทหารอันเก่งกล้าสามารถยิ่งนัก  ข้าเองใครจะหา
ประสบการณ์กับพระองค์  อยากจะอยู่เคียงข้างเพื่อบางทีอาจจะช่วยเหลือพระองค์ช่วยศึกได้นะท่านพ่อ”
       ท่านมหาอำมาตย์ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจในความคิดอ่านของบุตรีทันทีจึงหันไปกล่าวกับชายหนุ่มว่า
         “ข้าพระองค์เห็นว่าข้าเองก็แก่เฒ่าแล้ว  อยากจะฝากบุตรีแก่ท่านไว้ใต้เบื้องยุคคลบาทให้คอยปรนนิบัติ
รับใช้ด้วย  ขอพระองค์อย่าได้รังเกียจหม่อมฉันเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
          ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ถึงกับอ้ำอึ้งไปในทันที  ครั้นจะปฏิเสธก็ให้เกรงใจกลัวจะผิดไมตรีกัน
ครั้นจะรับไว้หรือก็จะทำให้เกิดความเป็นห่วง  จะทำไฉนดีล่ะเราพลางคิดถึงแม่นางพรายทั้งสองขึ้นมาได้ว่า
ขอให้ดลใจเราช่วยเราด้วย   ทันใดความคิดก็สอดแทรกเข้ามาทันทีว่าให้รับไว้เถอะนางนั้นเก่งกล้าสามารถ
ทั้งมีสติปัญญามากมายจะเป็นประโยชน์มากนักและอาจจะช่วยงานท่านได้ดีเสียงกระซิบบอกมาดังนั้นชาย
หนุ่มแกล้งทำเป็นหัวร่อแล้วพลางกล่าวว่า
       “การรบครั้งต่อไปนี้จะสร้างความลำบากแก่แม่นางมากนักนะ  แม่นางคิดดีแล้วใยฤา”
      “หากแม้แต่บุกน้ำลุยไฟข้าพระองค์ก็หาได้หวั่นเกรงใดไม่ เพียงกริ่งเกรงพระองค์เท่านั้นจะไม่เห็นข้า
อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์พระเจ้าข้า”
       “เอาล่ะๆๆ????....ในเมื่อแม่นางประสงค์เช่นนี้ข้าเองก็ไม่ขัดข้องหรอก  แต่ว่าหากอยู่กันลำพังท่านมหา
อำมาตย์และแม่นางแล้วให้เรียกข้าธรรมดาก็ได้นะไม่ต้องถือยศถาบรรดาศักดิ์อย่างไรเราก็คนเหมือนกัน”
        ครั้นทั้งสองพ่อลูกได้ยินเช่นนี้ก็ให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นยิ่งนักว่าการมีเจ้านายเยี่ยงนี้ช่างประเสริฐยิ่งนัก
ยากจะหาเจ้านายที่เสมือนเช่นนี้ได้อีกต่อไปแล้ว............

             * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
7 มีนาคม 2553 13:53 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 40

แก้วประเสริฐ


                    ลุ่มลึกอิสราวดี  40

     ฝ่ายเจ้าเมืองมะกะยอแห่งปะอาน   ทราบข่าวศึกก็จัดสั่งทหารเข้ารักษาเมืองอย่างเข้มแข็ง  ครั้นได้รับ
สาสน์เจรจากับมังสุริยะชัย  ถึงกับหัวร่อลั่นหาได้สนใจแต่ส่งหนังสือให้กับทูตที่มาเจรจานำกับไปให้แก่
มังสุริยะชัยว่าหายินยอมพร้อมใจไม่ หากจะยึดเมืองเราก็ให้ระดมพลตีเข้ามาเถิดข้าเองหาได้เกรงกลัวไม่
ไม่เหมือนกับแว่นแคว้นอื่นๆ     ด้วยมีความเชื่อมั่นในภูมิประเทศอันมั่นคงและทหารของฝ่ายตนเองว่า
สามารถที่จะรับและรุกในการศึกครั้งนี้ได้  
      พร้อมกับมีหนังสือให้ม้าเร็วรีบไปแจ้งแก่เหล่าเมืองบริวารทั้งหลายให้รีบจัดส่งทหารมาช่วยการศึกครั้งนี้    ครั้นทหารออกเดินทางไปแล้วก็ไปยังเชิงเมืองเพื่อสั่งการพร้อมกับให้ตระเตรียมน้ำมันและคั่วทรายเตรียมไว้
ให้พร้อม   เพื่อป้องกันโจมตีหากเข้ามาใกล้ให้ใช้หน้าไม้ลูกดอกที่อาบยาพิษยิงทันที
       เมื่อมังสุริยะชัยจัดส่งหน่วยทหารเข้าแทรกซึมไปตามหมู่บ้านรอบเมืองและในเมืองแล้ว   ครั้นได้เวลาก็
แสร้งยกกำลังพลโห่ร้องด้านหน้าเมืองของเจ้ามะกะยอแต่ห้ามทหารเข้าโจมตีเพื่อรอจังหวะยั่วเย้า มะกะยอซึ่ง
มีนิสัยมุทะลุก่อน   ชายหนุ่มทราบว่าอันเมืองปะอานนี้เก่งกาจด้านยาสั่งและยาพิษด้วยท่านมหาอำมาตย์ที
ปรึกษาแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไว้แล้ว

      
       ดังนั้นชายหนุ่มจึงให้ทหารไปหลอกล่อเพื่อให้ทหารฝ่ายปะอานยิงลูกดอกอาบยาพิษมาแล้วแจ้งว่า
ให้เก็บไว้แล้วนำมามอบให้ทันที เพื่อจะให้เจ้าขนทองขนขาวพิสูจน์เพื่อหายามาป้องกันไว้เสียก่อน   
ครั้นทหารได้นำลูกดอกอาบยาพิษมามอบให้มังสุริยะชัยแล้ว   ชายหนุ่มจึงเรียกเจ้าขนทองขนขาวมาให้ดมพิสูจน์
ยาพิษ   เจ้าลิงทั้งสองบัดนี้เข้าใจคำพูดและกิริยาท่าทางชายหนุ่มแล้วก็รีบออกไปทันที 
       ชายหนุ่มสั่งทหารทั้งหลายอย่าได้เข้าใกล้กำแพงเมืองเด็ดขาด  ให้ยั่วเย้าด่าท้อต่างๆนาๆแก่เหล่าทหารจนกว่า
จะได้รับคำสั่ง   จนเวลาผ่านไปนานเจ้าขนทองขนขาวก็กลับมาพร้อมด้วยตัวยาหลายชนิด  ชายหนุ่มจึงสั่งให้
ทหารเรียกหัวหน้าหน่วยพยาบาลมาพบโดยด่วน   เมื่อหัวหน้าหน่วยพยาบาลเข้าพบแล้วชายหนุ่มก็สั่งให้นำยาทั้ง
หมดนี้ไปตำให้ละเอียดรักษาอย่าให้แห้ง   หากแห้งให้ชุบน้ำให้เปียกแล้วใช้น้ำที่คั้นเก็บรักษาไว้  หากใครโดน
ลูกดอกอาบยาพิษก็ให้ดื่มและนำเอากากมาพอกบาดแผลก็จะระงับความเจ็บปวดค่อยๆขจัดพิษออกสิ้น
         หัวหน้าหน่วยพยาบาลรับทราบแล้วก็นำตัวอย่างทั้งหมดซึ่งมีจำนวนมาก  ด้วยเจ้าขนทองขนขาวมอบยาแล้ว
ก็ไปรีบนำมาเพิ่มเติมอีกจนได้จำนวนมากมายนัก   ครั้นสั่งการเรียบร้อยแล้วแจ้งแก่หัวหน้าหน่วยพยาบาลว่าหาก
เสร็จพร้อมแล้วให้รีบมาแจ้งให้เขาทราบโดยด่วน      หลังผ่านไปอีกไม่นานนักราวครึ่งวันหัวหน้าหน่วยพยาบาลก็
กลับมาแจ้งว่าได้จัดการให้เรียบร้อยแล้ว


        มังสุริยะชัยทราบดังนี้ก็  รีบนำกำลังทหารม้าทั้งหมดพร้อมอาวุธที่เขาสร้างขึ้นมาออกนำหน้าเหล่าทหาร
ทั้งหลาย    เมื่อถึงยังด้านประตูเมืองก็เห็นมีทหารของเมืองปะอานจัดทัพรออยู่แล้ว    จึงขับม้าสีเทาทุ่งทะยาน
พร้อมออกคำสั่งบุกทันที    เหล่าทหารม้าที่เชี่ยวชาญกลยุทธ์ต่างๆก็เรียงหน้าเข้าต่อสู้ทันใด   เมื่อทัพทั้งสอง
ปะทะกันขึ้น   ฝ่ายของมังสุริยะชัยมีมากกว่าก็สามารถฆ่าข้าศึกลงได้เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก  เหล่าทหารของ
มะกะยอก็แตกพ่ายหนีกลับเข้าสู่เมือง  
        แม่ทัพนายกองของมะกะยอล้วนแล้วเสียชีวิตมากมาย  เหลือเพียงนายกองนำทหารกลับเข้าเมืองรายงานแก่
มะกะยอ  ว่าทหารของมังสุริยะชัยนั้นกล้าแข็งนักเชี่ยวชาญการรบทั้งม้าและทหารพื้นดิน  การใช้อาวุธก็แปลก
ประหลาดทั้งสิ้นนอกจากเหล่าทหารบรรดาแว่นแคว้นต่างๆที่ระดมมานั้นที่เสียชีวิตไปกับทหารของเรา   
เหตุที่กำลังพลทหารฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่า จึงมิอาจต้านรับได้
        เจ้าเมืองปะอานครั้นทราบและรู้ว่าบรรดาแม่ทัพที่ออกศึกครั้งนี้เสียชีวิตไป  ก็ยิ่งเพิ่มความโกรธเป็นยิ่งนักจึง
ใคร่จะนำทัพออกต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง   แต่บรรดาอำมาตย์ทั้งหลายต่างห้ามไว้ว่าหากการรบต่อไปผิดพลาดเมือง
ปะอานเห็นทีจะหาหัวหน้าควบคุมมิได้   เมื่อได้รับฟังการต้านทานเช่นนี้  มะกะยอก็พลันคิดได้จึงสั่งให้รักษา
กำแพงเมืองให้เข้มแข็ง      สักครู่ม้าเร็วก็กลับมารายงานว่าไม่สามารถจะเข้าเมืองต่างๆได้ด้วย บรรดาเมืองต่างๆ
ได้เสียไปให้แก่ข้าศึกหมดแล้วทั้งแปดเมือง   ต่างถูกกองทัพของข้าศึกทำลายเมืองและฆ่าเจ้าเมืองเสียสิ้นจัดตั้ง
เจ้าเมืองใหม่  บัดนี้กำลังพลทหารที่ตีเมืองทั้งแปดต่างมุ่งหน้ามาทางเมืองปะอานแล้ว


        มะกะยอได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจเป็นกำลังไม่คาดคิดว่า  ข้าศึกจะแยกการตี   หลายวันนี้ที่มายั่วเย้าก็เพื่อจะรอ
ให้กองทัพที่แบ่งไปตีเมืองต่างๆได้บรรลุผลสำเร็จนั่นเอง  จึงรีบจัดประชุมเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองทันทีว่า
จะทำประการใด   ด้วยนิสัยที่ดื้อดึงของชาวกะเหรี่ยงหาได้รู้หนักรู้เบาไม่ตามนิสัยชาตินักรบจึงแจ้งว่าให้ช่วยกัน
ระดมกำลังภายในเมืองเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาเมืองให้ได้ต่อไปพร้อมระดมพลรักษาเมืองอย่าได้ท้อถอย หากผู้ใด
ขัดขืนก็ให้ฆ่าทิ้งเสีย  คำสั่งนี้ยามออกไปทำให้เหล่าทหารพากันหวาดกลัวต่อคำสั่งนักจึงพยายามผลัดกันรักษา
เมืองอย่างเข้มแข็ง
          ฝ่ายมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่เข้ามารายงานแก่ชายหนุ่มว่า  บัดนี้บรรดากองทัพทั้งแปดสามารถตีเมือง
ต่างได้ได้ราบคาบหมดแล้ว  กำลังเดินทางมาถึงค่ายใหญ่แล้วคงอีกไม่เกินสองวันนี้   มังสุริยะชัยก็ยินดียิ่งนัก
แจ้งแก่ที่ปรึกษาใหญ่ว่า  ให้รีบไปต้อนรับกองทัพไว้แล้วให้พักผ่อนสักสองสามวันเพื่อให้กำลังวังชาทหารนั้น
กลับคืนมาเสียก่อน พร้อมให้จัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะแก่แม่ทัพนายกองทั้งหลายตลอดเหล่าทหารด้วย
         มหาอำมาตย์ทราบแล้วก็รีบออกไปจัดการตามคำสั่งชายหนุ่มทันที  ด้านแม่นางจันทิราที่ทราบการวางแผน
ของมังสุริยะชัย  ยามออกศึกก็ขี่ม้านำหน้าเหล่าทหารมิหวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้นซึ่งผิดกับแม่ทัพนายกองทั่วๆไปก็
หายความกังวลสงสัยในใจนางออกไป  ด้วยเหตุนี้เองทำให้เหล่าทหารทั้งหลายคะนองศึกยิ่งนักด้วยแม่ทัพใหญ่
นำหน้าเหล่าทหารออกศึกด้วยตนเอง  เพิ่มขวัญกำลังใจแก่มวลเหล่าทหารทั้งหลายบังเกิดความนึกชอบขึ้นในใจ
นางยิ่งนัก   มาดแม้นว่านางจะยังมิได้ออกรบสักครั้งเดียวก็ตามด้วยการติดตามท่านพ่อตลอดเวลาเป็นที่ให้คำ
ปรึกษาแก่ท่านเท่านั้น   ก็ใคร่คิดอยากจะออกรบร่วมกับชายหนุ่มด้วย  


       จึงหาโอกาสที่จะแจ้งให้ชายหนุ่มทราบได้ประจักษ์ในฝีมือนางบ้าง    ครั้นหน่วยทัพทั้งแปดเดินทางมาถึงแล้ว
ชายหนุ่มก็ออกไปต้อนรับยังหน้าค่ายแล้วกล่าวแสดงความยินดีแก่แม่ทัพนายกองทั้งปวง ทำให้เหล่าแม่ทัพ
นายกองบังเกิดความรักศรัทธาเชื่อมั่นต่อชายหนุ่มเป็นอันมาก   ภายหลังจากงานเลี้ยงฉลองเหล่าทหารผ่านไปแล้ว
ชายหนุ่มจึงเรียกประชุมแก่เหล่ามหาอำมาตย์และแม่ทัพนายกองทั้งหลาย พร้อมนำแผนทีของท่านมหาอำมาตย์มา
กางแล้วชี้แจงว่า เวลาก็เนิ่นนานมาทหารทุกๆคนต่างสมบูรณ์พร้อมแล้ว    เราจะเข้าโจมตีเมืองปะอานหากปล่อย
ช้าไป    จะทำให้บรรดาแว่นแคว้นอื่นๆเพิ่มกำลังมากขึ้นถึงแม้นว่าบัดนี้จะรู้ทั่วไปแล้วแต่ไม่คิดว่าเราจะเข้าโจมตี
        แว่นแคว้นใดก่อนเท่านั้น   จึงแต่งตั้งให้มังสุรเดชเดชาเป็นปีกขวายกกำลังเข้าตีเมืองด้านตะวันออก  มังนายะเดชะคุมปีกซ้ายยกกำลังพลเข้าตีด้านตะวันตก ส่วนทิศใต้นั้นให้เหมี่ยวสุรการแอบลอบเข้าทางด้านหลังซึ่งยากแก่
การโจมตีแต่ด้วยเหมี่ยวสุรการนั้นมีความชำนาญด้านภูเขาและค่อยๆเดินทางไปให้ส่งสัญญาณไปยังเหล่าทหารที่
แฝงตัวอยู่ในเมืองและรอบข้างให้ทราบเพื่อรวบรวมพบตีด้านหลังซึ่งติดกับหน้าผา  ส่วนด้านหน้าเราจะเข้าตีเมือง
เองให้ทุกๆท่านนำยาที่จะมอบไว้และบอกวิธีรักษาให้ตลอดจนนำอาวุธเพื่อใช้ทำลายเมือง   
       ด้วยอาวุธต่างๆรวมลูกดอกของหน้าไม้ของพวกปะอานนั้นล้วนแล้วแต่อาบยาพิษหากรักษาไม่ทันก็จะถึงแก่
ชีวิตทันที   ฉะนั้นจงอย่าได้ประมาทเด็ดขาดให้ใช้กลทางทหารเป็นหลักแล้วก็อธิบายถึงการโจมตีตามหลักพิชัย
สงครามที่ตนศึกษามาจากตำราเขียนบางส่วนมอบให้เหล่าแม่ทัพนายกองทันที   บรรดาแม่ทัพที่ชายหนุ่มสั่งการ
น้อมรับแผนที่แล้วก็ถอยออกมาเพื่อรอคำสั่งต่อไป   ได้เวลาที่แม่นางจันทิราสบโอกาสทันทีจึงกล่าวขอร้องให้
มอบกำลังส่วนหนึ่งเข้าโจมตีด้านหลังที่เป็นภูเขาด้วย  แม่นางอ้างว่าเธอเองเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะเพราะได้
ฝึกฝนจากอาจารย์มาอย่างดี  รอบรู้สิ่งต่างๆสิ้นประกอบกับท่านพ่อได้บันทึกไว้แล้วด้วย


        ครั้นชายหนุ่มได้ฟังก็บังเกิดความลังเล   แต่หากขัดใจหล่อนก็จะทำให้เสียกำลังใจยิ่งนัก จึงอนุญาตและจัด
กำลังให้นางส่วนหนึ่งร่วมไปกับแม่ทัพเหมี่ยวสุรการทันที    ครั้นได้เวลาฤกษ์งามยามดีแล้วท้องฟ้าแจ่มใสยิ่งนัก
ชายหนุ่มก็สั่งให้เคลื่อนกำลังพล  ให้สังเกตเสียงระเบิดเป็นสำคัญหากได้ยินเสียงระเบิดเกิดขึ้นก็ให้เข้าโจมตีโดย
พร้อมเพรียงกัน   บรรดาแม่ทัพที่ได้รับการแต่งตั้งรับทราบแล้วก็จัดกำลังพลออกเดินทางพร้อมชายหนุ่มทันที
ครั้นเสียงกลองศึกกังวานขึ้น  ชายหนุ่มก็ขับเจ้าสีเทาทะยานออกหน้าเหล่าทหารเคียงคู่กับเจ้าขนทองและขนขาว
ที่ขี่ม้ากระหนาบข้างทะยานออกไปด้วย
        กำลังพลทั้งปวงก็ดาหน้าเข้าสู่เมืองปะอาน   ฝ่ายเจ้าเมืองปะอานซึ่งยืนคุมพลทหารอยู่บนเชิงกำแพงครั้นเห็น
นึกว่าชายหนุ่มระดมกำลังเพื่อเข้าตีด้านหน้าเพียงด้านเดียวก็หัวร่อลั่นพลางเรียกระดมทหารเกือบทั้งหมดเข้าป้อง
เมืองด้านหน้าทันที      แต่พอเห็นกองทัพที่ดาหน้าออกมาต่างแยกย้ายกันทั้งปีกซ้ายขวาหลังก็นึกได้   รีบสั่งให้
เหล่าทหารกลับไปประจำยังประตูเมืองต่างๆทันที    เสียงย่ำเท้าทหารและหน่วยหม้าดังสนั่นหวั่นไหว ผงคลีคลุ้งกระจายตลบ
ไปทั่ว     แต่ทางเมืองปะอานหาได้ยกกำลังออกมาต้านรับใดไม่ เพียงแค่ตั้งรับภายในเมืองเท่านั้น    
        ดังนั้นชายหนุ่มก็ให้หยุดทัพพ้นระยะของลูกดอกหน้าไม้แล้วตั้งเรียงกระจายออกไป   เพื่อรอให้กองกำลัง
ที่จะเข้าตีประตูเมืองทิศอื่นพร้อมเสียก่อน   เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วชายหนุ่มก็หันม้ากลับแจ้งไปยังแม่ทัพให้
ลำเลียงอาวุธมาจัดตั้ง  ท่อนเหล็กบ้องไฟพิเศษนั้นก็ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว  ที่หมายคือประตูเมืองและกำแพง
เมืองที่บรรดาเหล่าหน้าไม้ใช้ป้องเมืองอยู่    ครั้นได้เวลาสมควรชายหนุ่มก็สั่งยิงทันที   
เสียงหวีดหวิวดังขึ้นบ้องไฟก็พุ่งทะยานเข้าสู่ประตูเมืองและกำแพงภายในเมืองทันที    
เสียงระเบิดกึกก้องกังวานพร้อมเสียงร้องโหยหวนของเหล่าทหาร   เกิดไฟไหม้ไปทั่วภายในเมืองทันที 
  ชายหนุ่มให้ระดมทหารออกยิ่งเพิ่มอีกทันที   ภายในเมืองก็เกิดไฟลุกไหม้โชติช่วงเป็นเปลวเพลิงสูงควัน
ไฟกระจายไปทั่ว   ทำให้บรรดาราษฎร์ต่างพากันส่งเสียงร้องระงม 

  
       ประตูเมืองก็พังทลายลงมาบรรดาพลหน้าไม้และเหล่าทหารที่เจ้ามะกะยอคิดว่าคงจะใช้สะพานไม้พาดกำแพง
เมือง  ซึ่งแลเห็นก็ทราบทันทีว่าเป็นกลลวงหลอกพวกมัน  แต่ที่แท้จริงคือเป้าหมายประตูกำแพงเมืองนั่นเองและสร้าง
ความชุลมุนแก่เหล่าทหารทั้งหลายนั่นเอง  มันบังเกิดความตกใจยิ่งนัก แต่ทว่าช้าไปเสียแล้ว  ชายหนุ่มพร้อมด้วย
เจ้าลิงขนทองขนขาวนำเหล่าทหารควงอาวุธประจำกายเป็นจักรผันป้องกันเหล่า ลูกดอกหน้าไม้หล่นหมดสิ้น 
เหล่าทหารม้านั้นได้รับสิ่งของที่ชายหนุ่มมอบให้คาดแขนไว้หาได้รับอันตรายใดๆไม่  ก็โลดทะยานนำฝูงม้าติด
ตามชายหนุ่มเข้าประตูเมืองทันทีตีฝ่าบรรดาทหารปะอานที่เข้ามาต่อสู้รบตายเป็นจำนวนมาก   
       บรรดาเหล่าไพร่พลทหารของชายหนุ่มก็เคลื่อนกำลังเข้าสู่ภายในเมืองได้  ส่วนทางด้านทิศตะวันออกและทิศ
ตะวันตกประตูเมืองก็ทลายลงเหล่าทหารของแม่ทัพทั้งสองก็เข้าสู่ภายในเมืองแล้วเข่นฆ่าเหล่าทหารปะอาน
ล้มตาย  เสียงอาวุธปะทะกันเสียงวุ่นวายต่างฝ่ายก็เสียชีวิตไป เลือดนองท่วมพื้นดินไปทั่ว  ด้านมะกะยอเห็นว่าไม่
อาจจะรับมือได้แล้ว  ก็รีบนำบรรดาเหล่ามเหสีบริวารนำทหารเพื่อหวังจะหลบไปทางทิศใต้  ครั้นมาถึงประตูเมือง
ก็ต้องตกใจเป็นยิ่งนักที่ประตูเมืองได้ถูกทำลายบรรดาทหารของตนก็ล้มตายไปเสียสิ้น  เหลือเพียงทหารของข้าศึก
เต็มไปหมด  ก็ย้อนหวนกลับเข้ายังวังอีกครั้งหนึ่ง
       แต่ก็ต้องตกตลึงเมื่อภายในวังล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเหล่าทหารข้าศึกทั้งหมด  มันคิดจะปลอมตัวเป็นชาวบ้าน
เพื่อหลบหนีแต่ไม่ทันการเสียแล้ว  แม่นางจันทิราได้ถึงตัวมันก่อนใครๆก็เข้าต่อสู้รบกับเจ้ามะกะยอซึ่งจนตรอก
ฝ่ายเจ้ามะกะยอเห็นแม่นางจันทิราซึ่งแต่งตัวเป็นทหารร่างเล็กอรชรนักก็นึกประมาท  แต่พอปะดาบไม่เท่าไหร่
จึงทราบว่า  ทหารร่างเล็กนี้ช่างมีพละกำลังฝีมือฉกาจฉกรรจ์นัก   ผ่านไปไม่เท่าใดแม่นางจันทิราก็สามารถตัด
หัวเจ้ามะกะยอได้   แล้วพลางหิ้วหัวเจ้าเมืองชูให้บรรดาทหารปะอานทราบว่า


        บัดนี้เจ้าเมืองปะอานได้เสียชีวิตไปแล้ว  พร้อมทั้งชูหัวของมะกะยอให้เหล่าทหารต่างๆได้แลเห็น
 ทำให้ทหารของปะอานต่างทิ้งอาวุธลงพร้อมยินยอมรับการจับกุมเสียงร้องบอกต่อๆไปยังเหล่าทหารปะอาน    ทั้งหมดก็พากันยอมสยบทิ้งอาวุธนั่งลงทั้งสิ้น   ครั้นชายหนุ่มเมื่อสามารถยึดเมืองปะอานได้แล้ว
   ก็ออกคำสั่งแก่แม่ทัพนายกองให้กำชับทหารอย่าได้สร้างความเดือดร้อนแก่เหล่าราษฎร์ทั้งสิ้น  
 พร้อมให้เหล่าทหารปลอบใจบรรดาราษฎร์ทั้งหลายอย่าได้ตื่นตระหนกตกใจว่าจะไม่ทำ
อันตรายใดๆ   ขอให้อยู่ในความสงบสุขทำให้มวลบรรดาราษฎร์นั้นถึงได้เงียบเสียงหยุดการหนีหลบออก
นอกเมือง
        เมื่อยึดเมืองปะอานได้แล้วเขาก็เข้ามายังท้องพระโรงมะกะยอแล้วนั่งลงยังบัลลังก์ทันทีเรียงรายไปด้วย
เหล่าทหารและบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองของปะอานที่ถูกจับกุมรอคำสั่งของมังสุริยะชัยต่อไป   แต่แล้ว
ชายหนุ่มก็ถึงกับตกตลึงเมื่อเห็น   แม่นางจันทิราได้นำหัวของเจ้ามะกะยอเดินเข้ามาพลางน้อมถวายแก่ชายหนุ่ม
พร้อมกับรายงานทันที
        ข้าพระองค์เห็นเจ้ามะกะยอมันและบริวารจะหนีออกทางทิศใต้หน้าผาซึ่งเป็นทางลับ ซึ่งหม่อมฉันเจนจัด
อยู่แล้วก็นำท่านเหมี่ยวสุรการตีเข้าประตูเมืองแต่ไม่ได้ใช้อาวุธที่พระองค์ประดิษฐ์เลย เนื่องจากมันคงคิดไม่ถึง
ว่าจะมีทหารเข้ามาทางนี้พระเจ้าข้า  แม่นางกล่าวขึ้น
         ข้าพระองค์ได้ต่อสู้กับมังกะยอตัวต่อตัวและสามารถฆ่ามันได้ด้วยอาศัยพระบารมีของพระองค์พระเจ้าข้า
แม่นางเสริมขึ้นอีก
         จริงหรือท่านแม่ทัพเหมี่ยวสุรการ   ชายหนุ่มสงสัยนักจึงหันไปถามแม่ทัพ
         ที่ท่านนายกองท่านนี้กล่าว ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้นพระเจ้าข้า  ข้าเองจะเข้าไปช่วยแต่นายกองท่านนี้บอก
ให้ข้าพระองค์ไม่ต้องช่วยคอยคุมเชิงห่างๆพระเจ้าข้า   แม่ทัพเหมี่ยวสุรการถวายบังคมทูล
         ครั้นชายหนุ่มทราบเช่นนั้นก็ลุกจากบัลลังก์แล้วเข้ามาจับไหล่ทั้งสองของแม่นางพลางกล่าว่า
         ถือได้ว่าท่านนายกองนี้มีฝีมือยิ่งนัก  ด้วยข้าเองนั้นทราบว่าเจ้ามะกะยอนั้นเก่งกล้าสามารถยิ่งไม่คิดเลย
ว่าจะต้องตกตายภายในเงื้อมมือของนายกองที่มีรูปร่างเล็กนักเช่นนี้  ถือได้ว่ามีความดีความชอบมากมายนัก
ชายหนุ่มยิ้ม  ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นบุตรีของท่านมหาอำมาตย์ แต่คาดมิถึงว่าช่างมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์เช่นนี้.........

           *   แก้วประเสริฐ.  *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
6 มีนาคม 2553 14:05 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 39

แก้วประเสริฐ


              ลุ่มลึกอิสราวดี  39

     เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้ว  มังสุริยะชัยก็เรียก มังสุรเดชเดชาทหารเอกคู่ใจมาแล้วกล่าวว่า
      “ต่อไปนี้ในเมื่อเรารวบรวมแคว้นต่างได้มากมายเช่นนี้  ยังไม่มีธงประจำกองทัพเราเลยจึง
คิดว่าใคร่ที่จะจัดสร้างประจำหน่วยรบของเราขึ้น  ขอให้ท่านแจ้งแก่เจ้าเมืองฮะคาให้ช่วยจัด
สร้างธงประจำหน่วยเราขึ้น ดังแบบที่ข้าเองสร้างขึ้นไว้”
       เมื่อมังสุรเดชเดชามองยังแบบแปลนเป็นเป็นพื้นสีขาวประกอบด้วยดวงอาทิตย์ส่องประกาย
รัศมีสีแดงไปรอบกลางพื้นธงสีขาวภายในเป็นสีน้ำเงินเข้มด้วยประกายดาวหกแฉกภายในเป็นวงกลม
สีแดงอยู่ในรูปดาวหกแฉก  พื้นธงเป็นรูปสามเหลี่ยมชายธงปลายแหลมยาว  จึงกล่าวว่า
     “พระเจ้าข้าแต่เห็นภายในพื้นธงแล้วไม่ทราบความหมายว่าหมายถึงอะไรพระพุทธเจ้าข้า”
      “อ้อ...มังสุรเดชเดชานั่นคือเครื่องหมายของเมือง “ศิระสุริยันต์”เก่าส่วนดาวหกแฉกนั้นคือตรา
แผ่นดินประจำตัวข้าเอง “ เมื่อกล่าวเสร็จก็นำสายสร้อยที่ร้อยรัดด้วยดวงตราประจำเมืองศิระสุริยันต์
ส่งให้ทหารคู่ใจดูทันที
         เมื่อทหารเอกซึ่งบัดนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ครั้นเห็นก็นึกชมความงามของดวงตรานักจึงเข้าใจอัน
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้ารัศมีประกายรอบด้านนั้นหมายถึงเมืองศิระสุริยันต์นั่นเองส่วนดวงดาว
นั้นคือตราประจำตัวท่านมหาอุปราช     เมื่อส่งคืนสร้อยแล้วก็ถามว่าจะให้จัดทำเท่าใด
        มังสุริยะชัยกล่าวว่า
    “ให้ทำให้เพียงพอกับกองทัพของเราก็แล้วกัน  หากไปตีแว่นแคว้นใดเขาจะได้
รู้ว่าเป็นกองทัพของศิระสุริยันต์ “   ครั้นแม่ทัพใหญ่ทราบดังนั้นก็รีบออกไปแจ้งแก่เจ้าเมืองตามคำสั่งต่อไป
        ครั้นได้เวลาอันสมควรแล้วกองทัพที่ประกอบด้วยริ้วธงต่างๆตามลักษณะของเหล่าหน่วยทหารนั้น
ก็เคลื่อนกำลังพลทั้งหมดมุ่งหน้าเข้าสู่ยังแคว้นรัฐฉานซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลนักกับลุ่มแม่น้ำอิรวดีซึ่งมีแม่น้ำ
แยกออกมาเกิดจากต้นน้ำภูเขาไหลลงสู่แม่น้ำอิรวดี     ระหว่างการเดินทัพจนถึงเมืองหน้าด่านของ
รัฐฉาน   เมืองซึ่งเต็มไปด้วยทหารเรียงรายตามเชิงกำแพง  ก็ให้ทูตนำสาสน์ไปส่งยังเจ้าเมืองทันที
เมื่อทหารแห่งเมืองหน้าด่านทราบดังนั้น  จึงตอบว่าขอพักรบไว้ก่อนรอจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากท่าน
อินทิราชัยซึ่งอยู่ในเมืองหลวงตองยีก่อน   


         เมื่อมังสุริยะชัยทราบเช่นนั้นก็ให้เหล่าทหารทั้งหลายล้อมเมืองหน้าด่านไว้ก่อน  ด้วยทราบว่ารัฐฉาน
นั้นปกครองด้วยพวกไทใหญ่ซึ่งนับเนื่องแล้วก็เป็นไทเหมือนกันกับเขาก่อนจะมาเป็นมหาอุปราชทางนี้
ฉะนั้นสายเลือดยังเข้มข้นจึงมิคิดจะหักโหมแต่ประการใดไม่   หากเจรจาเป็นผลก็จะได้ไม่ต้องเสียเลือด
เนื้อในสาสน์นั้นก็แจ้งเหมือนกันว่าเขาเองก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขจากไทเช่นกัน    
       เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ก็ได้รับคำตอบว่า   ทางเมืองตองยียินดีสมานเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับทางกองทัพของศิระสุริยันต์โดยแจ้งไปยังแปดเมืองรอบด้านให้ต้อนรับเหล่าทหารทั้งหลาย 
  ขอเชิญเข้าเมืองพักผ่อนก่อนเถิดมังสุริยะชัยก็มีสาสน์ไปยังเจ้าเมืองหน้าด่านว่าเราจะมุ่งไปยัง
เมืองตองยีเพื่อปรึกษาราชการเจ้าเมืองตองยีก่อน
         เจ้าเมืองหน้าด่านเมื่อทราบเช่นนั้นก็ออกมาด้วยตัวเองพร้อมเหล่าทหารออกจาก
ประตูเมืองมาต้อนรับแล้วเจ้าเมืองแจ้งว่า     จะขอร่วมติดตามพร้อมเหล่าทหารของตนร่วมทัพไปด้วย
เพื่อสะดวกในการผ่านทางไปยังเมืองหลวง   มังสุริยะชัยครั้นทราบเช่นนั้นก็บังเกิดความยินดี
กล่าวขอบใจเจ้าเมืองหน้าด่านทันทีว่านับต่อไปนี้พวกเราเสมือนเครือญาติกันเอง ในเมื่อท่านยินยอม
ร่วมไปด้วยก็จะเป็นประโยชน์ยิ่งนัก
       ดังนั้นทัพของท่านมหาอุปราชก็สามารถผ่านบรรดาแว่นแคว้นต่างๆพร้อมกับการต้อนรับที่ดียิ่ง
จนลุล่วงเข้าสู่อาณาเขตเมืองตองยี   เจ้าเมืองตองยีอินทิราชัยก็ออกมาต้อนรับชายหนุ่มยังหน้าประตู
เมืองทันที     ครั้นทั้งสองพบกันแล้ว ชายหนุ่มมังสุริยะชัยก็ลงจากหลังม้าพร้อมกับเข้าทำความเคารพ
ท่านอินทิราชัยพลางกล่าวว่า
        “ข้าหลานชายมังสุริยะชัยแห่งศิระสุริยันต์ของคาราวะท่านลุง  หากสิ่งใดที่ข้าเองทำความลำบากใจ
แก่พ่อลุงขออภัยให้แก่หลานคนนี้ด้วยเถิด”
      ครั้นเจ้าเมืองตองยีได้รับฟังเช่นนั้นแลไปเห็นเหล่าทหารอันมากมายยิ่งนักก็คิดในใจว่าเราคิดได้ถูกต้อง
แล้วหากเกิดการต่อสู้ยากนักที่จะต้านไพร่พลของชายหนุ่มได้ พลันกล่าวว่า
       “หลานเราหากนับเนื่องแล้วพ่อท่านเองก็นับว่าเป็นนายของข้า ข้าได้ทราบมาว่าท่านคือมหาอุปราชแห่ง
เมืองศิระสุริยันต์ย่อมมีศักดิ์เหนือกว่าข้ามากมายนี้ใยถึงกระทำเช่นนี้เล่า”  ชายชรากล่าว   แต่ภายในใจให้นึก
ชมเชยถึงความอ่อนน้อมหาได้ลุล่วงในอำนาจไม่
       “ที่พ่อลุงกล่าวเช่นนี้ก็สมควรอยู่หรอก  แต่บัดนี้ข้าเองก็มีสายเลือดคนไทอยู่จึงมิคิดที่จะล่วงเกินต่อคนไท
ด้วยกัน  ตามประเพณีเราต้องรู้จักเล็กจักโตสิ่งใดควรไม่ควรพระเจ้าข้า”  
        เมื่อชายหนุ่มกล่าวถึงเลือดเนื้อเชื้อสายก็ยิ่งทำให้เจ้าเมืองตองยีซาบซึ้งแก่ใจยิ่งนักถึงกับลุกเดินไปโอบไหล่
แล้วชักชวนให้เข้าไปในเมือง  ชายหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับแม่ทัพนายกองให้พักทัพไว้นอกเมือง ส่วนตัวเองก็จะ
เพียงนำกำลังคนไปไม่มากนักพร้อมด้วยเจ้าลิงทั้งสองก็ติดตามเจ้าเมืองเข้าเมืองไป     เจ้าเมืองอินทิราชัยก็ให้การ
ต้อนรับและกล่าวว่า
        “แล้วพ่อหลานชายคิดจะไปรวบรวมแคว้นใดอีกเล่า หากลุงช่วยได้ก็จะช่วยเหลือตามกำลังความสามารถไม่
ต้องเกรงใจลุงหรอก”  ชายชรากล่าว


        “พ่อลุงข้าเองคิดว่าจะออกเดินทางต่อไปยังแว่นแคว้นกระเหรี่ยงก่อนซึ่งอยู่บนเขา ด้วยแว่นแคว้นรัฐมอญนั้น
ตอนนี้กำลังมีปัญหากับเมืองตองอูอยู่  หากจะเกิดการรบพุ่งก็ต้องใช้กำลังมากมาย   หากจะไปแคว้นยะไข่ก็ไกล
และล้วนภูเขามากมายเช่นกันแต่เมืองนั้นอยู่ใกล้กับจีนไม่อยากจะกระทบกระเทือนต่างประเทศและยังมีความ
สัมพันธ์กับเมืองหงสาที่มีทหารล้วนกล้าแข็งนักแต่หากใช่จะเกรงกลัวก็หาไม่เพียงแต่หากได้แว่นแคว้นกะเหรี่ยง
ไว้แล้วตีเมืองชิตตเวแห่งแคว้นยะไข่เข้าโอบล้อมแว่นแคว้นมอญก็จะง่ายกว่า   มิฉะนั้นเมืองปะอานและเมือง
มะละแหม่งก็จะไหวตัวก่อนท่านพ่อลุง”
       “อีกประการหนึ่งเมืองปะอานนั้นล้วนแล้วแต่ภูเขา  ก็จะทำให้ไพร่พลทหารเราเกิดความชำนาญภูมิประเทศ
ยิ่งขึ้นด้วยเคยตีเมืองหล่อยก่อมาแล้ว   หากเข้าตีเมืองยะไข่ก็คงจะไม่ยากนัก”  ชายหนุ่มกล่าว
        “หากความคิดพ่อหลานชายคิดนั้นคือง่ายไปหายาก  ยากมาหาง่าย  หากสำเร็จการรวบรวมแคว้นก็อยู่ใน
กำมือของพวกเรา  แต่นี่หลานชายคิดคนเดียวหรือ”  ชายชราถามด้วยความสงสัย
        “หามิได้พ่อลุง  เป็นความคิดอ่านร่วมกันแต่ส่วนใหญ่เกิดจากท่านที่ปรึกษาใหญ่ของข้าเองแหละ”
         “นั่นซิมันเป็นกลยุทธ์ตามพิชัยสงครามที่เกิดจากลับลวง ลวงรับ นั่นเอง ข้าอยากใคร่พบเขานัก”
ชายชราเอ่ยขึ้น   
         “แต่ตอนนี้เขาอยู่ดูแลกองทัพอยู่แต่คิดว่าท่านลุงคงจะทราบดีเขาชื่อ  “เหมี่ยวมังกะยอชวา”
แห่งเมืองหล่อยก่อนั่นเองท่านลุง”
         “โอ้ๆ????.... หากเป็นบุคคลนั้นหากมาดแม้นว่าเจ้าเมืองมันไม่ถือตัวตนเองเชื่อฟังท่านมหาอำมาตย์
นี้แล้ว ใยเมืองหล่อยก่อก็คงจะไม่เสียโดยง่ายดายหรอก”
          “ในเมื่อหลานเราได้บุคคลนี้มารับใช้แล้วเสมือนได้ดวงแก้วมาเคียงคู่กายไม่ผิด  ข้าคิดว่างานครั้งนี้
สำเร็จไปเสียแล้วครึ่งหนึ่งนะ”  ชายชราอดที่จะแสดงความยินดีเสียมิได้
          “ หากแม้นหลานชายจะเคลื่อนทัพไปเมื่อใดเล่า”
         “หลานเองคิดว่าคงจะเป็นพรุ่งนี้  ด้วยท่านที่ปรึกษาใหญ่กล่าวว่าหากล่าช้าไปข้าศึกก็จะรู้ตัวเสียก่อน
ยากแก่การเข้าโจมตี   ข้าเองก็ขอลาพ่อลุงในตอนนี้เลยนะ”
        “แล้วหลานชายมีไพร่พลประมาณเท่าไหร่ล่ะ  ภูเขานั้นยากต่อการใช้ม้ายิ่งนัก”  ชายชราเอ่ยเตือน
        “หากตอนนี้เห็นจะประมาณสี่แสนกว่าๆกระมังพ่อลุง”
         “งั้นข้าก็จะมอบทหารให้อีกสามหมื่นนายพร้อมเสบียง  แต่ก็ต้องใช้เวลา แต่จะให้ติดตามไป
คงไม่ล่าช้าหรอก  ส่วนทหารนั้นให้หลานชายนำไปได้เลย”   เมื่อกล่าวเสร็จก็เรียกที่ปรึกษาให้ไปสั่งให้
นายทัพนายกองระดมกำลังสามหมื่นนายจะออกเดินทางไปร่วมรบกับชายหนุ่มพรุ่งนี้ทันที  ที่ปรึกษาครั้น
รับคำสั่งแล้วก็รีบไปแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่ทันที


          แล้วชายหนุ่มก็ขอลาเจ้าเมืองตองยีอินทิราชัยกลับยังกองทัพโดยไม่พักในเมืองตองยี   ครั้นเดินทาง
ถึงกองทัพแล้วก็ให้เรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองพร้อมท่านเหมี่ยวมังกะยอชวามาร่วมปรึกษากันว่าใน
กาลข้างหน้าคงจะไม่เหมือนเดี๋ยวนี้หรอก ด้วยนิสัยพวกกะเหรี่ยงนั้นเป็นคนดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่แบ่ง
แยกเป็นเหล่าๆอยู่ตามขุนเขายากแก่การโจมตี  ท่านพ่อลุงเหมี่ยวมังกะยะชวาเห็นเป็นประการใด
     “หม่อมฉันคิดว่า  หากองค์ชายเมื่อไปถึงแคว้นกะเหรี่ยงแล้วให้แบ่งกองทัพออกเป็นหลายๆทาง  ให้แม่ทัพ
คุมกำลังพลเข้าไปยึดแว่นแคว้นที่อยู่ในที่ราบก่อนซึ่งมีทั้งหมดแปดเมือง  หากได้เมืองเหล่านี้ไว้ แล้วค่อยยก
พลแต่ให้กระจายกำลังออกไปซุ่มไว้ตามเขาต่างๆโดยปลอมตัวคลุกคลีกับชาวบ้าน   
หากได้สัญญาณแล้วถึงจะเข้ารวมตัวกัน  หากไปเป็นกองทัพก็ยากจะยึดเมืองปะอานได้หรอกพระเข้าข้า”
  มหาอำมาตย์กล่าว   
       “อ้าวแล้วใครล่ะที่ยืนข้างหลังท่านพ่อลุงนะ” ชายหนุ่มถามเมื่อแลเห็นทหารรูปร่างเล็กๆยืนอยู่เบื้องหลัง”
        “อ้อ...บุตรีข้าพระองค์เองแหละพระเจ้าจ้า”  พลางหันไปเรียกทหารดังกล่าวให้มาถวายบังคมชายหนุ่ม
         “หรือท่านพ่อลุง  แล้วเขามีนามว่าอะไรล่ะ”  ชายหนุ่มถามพลางมองไปยังทหารร่างเล็กทันที  พลางนึก
ในใจว่ารูปร่างเช่นนี้จะไปสู้รบอะไรใครได้  เห็นบอกว่าเก่งฉกาจนัก
         “บุตรีข้าพระองค์ชื่อ  “จันทิรา” พระเจ้าข้า”  
         “ยังงั้นหรือ...ข้าขอกล่าวกับแม่นางก่อนว่า  เวลาออกจากค่ายพักห้ามแต่งกายเป็นหญิงโดยเด็ดขาดหวังว่า
แม่นางคงจะเข้าใจเจตนาที่พ่อท่านกล่าวไว้แล้วกระมัง”  ชายหนุ่มกล่าว
         “ทราบแล้วเพค่ะ...กระหม่อมจะทำตามพระประสงค์ทุกประการเพค่ะ”  หล่อนกล่าวพลางนึกชมความ
องอาจสง่าช่างหล่อเหลายิ่งนัก  นี่หรือเพียงแค่อายุเท่านี้สามารถควบคุมทหารตีเมืองต่างๆได้  ก็ให้นึกบังเกิด
ความชอบขึ้นในใจ  ซึ่งหล่อนไม่เคยมีมาแต่ก่อนเลย  ถึงแม้จะมีบรรดาหนุ่มๆมาติดพันก็ตามที
         ครั้นแล้วมังสุริยะชัยก็หันมากล่าวกับบรรดาแม่ทัพโดยจัดแยกกองกำลังเพื่อเข้าตีแว่นแคว้นกระเหรี่ยง
แปดเมืองโดยพลางสั่งแก่บรรดาแม่ทัพทั้งหลายว่า
ท่านมังสุรเดชเดชา  เข้าตีเมือง  กุละ
ท่านมังนายะเดชะ   เข้าตีเมือง ปุริสะ
ท่านเหมี่ยวสุรการ   เข้าตีเมือง เมงก่อ
ท่านมังกะยอ           เข้าตีเมือง การียะ
ท่านมังสุระ             เข้าตีเมือง กอรีกะ
ท่านมังสีหะ            เข้าตีเมือง ยะกี
ท่าน นิละกะ           เข้าตีเมืองมุลีกะ
ท่านสุระเดชะ         เข้าตีเมืองกันหะกะ


         โดยนำกำลังคนไปกองทัพละสี่หมื่น พร้อมอาวุธที่ข้าคิดประดิษฐ์ขึ้นไปด้วยเพื่อใช้ทำลายประตูเมือง
ส่วนข้าเองจะเข้าตีเมืองปะอานเอง   ให้แม่ทัพทั้งหลายที่จะไปตีเมืองนั้นๆให้ใช้พระคุณนำหน้าพระเดชหาก
เมืองใดยอมอ่อนน้อมก็อย่าทำอันตราย   การรบพุ่งครั้งนี้ต้องอาศัยสติปัญญาของพวกท่านแต่ให้ใจเย็นไว้อย่า
ได้ใช้อารมณ์คิดไตร่ตรองรักษาทหารทั้งหลาย   หากเมืองใดตีได้แล้วก็ให้รีบส่งกำลังไปช่วยเมืองที่ยังไม่สามารถ
เข้าตีได้  ครั้นตีเสร็จแล้วให้จัดตั้งเจ้าเมืองใหม่โดยเป็นประโยชน์แก่พวกเราเป็นที่ตั้ง  หากทหารฝ่ายนั้นยินยอม
สวามิภักดิ์จะร่วมทัพด้วยก็ให้รับเอาไว้แต่ให้คัดเลือกด้วยความระมัดระวัง จงให้เกียรติแก่เขาอย่าคิดว่าเป็นเพียง
ทหารที่พ่ายแพ้เป็นอันขาด   ท่านใดสงสัยอย่างไรแผนการเข้าตีเดี๋ยวท่านที่ปรึกษาใหญ่จะชี้แจงให้ท่านทราบถึง
การเข้าโจมตีเมืองต่างๆ
          เมือสั่งการแล้วก็หันมาทางท่านมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาทันที   อาศัยพ่อลุงช่วยอธิบายเส้นทางแผนการโจมตี
แก่เหล่าแม่ทัพทั้งหลาย  ข้าเองก็จะร่วมช่วยพิจารณาด้วย
       เมื่อเหมี่ยวมังกะยอชวาได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็เรียกบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหมดล้อมดูแผนที่ที่จัดเรียงรายไว้
ด้วยธงต่างๆ  ตลอดจนแผนที่ได้จัดทำขึ้นมอบให้แต่ละแม่ทัพเส้นทางการเดินทัพการหยุดพักตามรายทางตลอด
การวางกำลังพลต่างๆให้แก่บรรดาแม่ทัพนายกองทราบ   หากผู้ใดสงสัยให้รีบสอบถามทันที
       เหล่าแม่ทัพนายกองครั้นได้รับการชี้แจงอย่างละเอียดแล้วตลอดจนได้รับแผนที่เมืองต่างๆไว้ก็ขอลาไปเพื่อ
จะรีบออกเดินทางคัดเลือกทหารเหล่าล่ะสี่หมื่นซึ่งต้องแยกกันไปตามเมืองต่างๆออกเดินทางทันที
         ทางด้านจันทิราซึ่งยืนอยู่เคียงข้างพลันกล่าวขึ้นว่า
    “ข้าแด่ท่านมหาอุปราช  แล้วข้าพระองค์มิให้ดำเนินกิจการใดบ้างเชียวหรือ”
    “ข้าเองนั้นที่ไม่ใช้ท่านก็ด้วยต้องการให้ท่านปกป้องท่านมหาอำมาตย์ไว้ ด้วยทางเมืองปะอานนั้นมีชัยภูมิยาก
ยิ่งต่อการเข้าโจมตีนัก  อีกประการหนึ่งข้าเองก็เป็นห่วงท่านอยู่หรอก”  ชายหนุ่มกล่าว
     ทำให้แม่นางจันทิราถึงกับหน้าแดงทันทีนึกว่าชายหนุ่มคงจะพิสมัยตนบ้าง  จึงมิอาจกล่าวประการใด
           ครั้นได้เวลาของแม่ทัพนายกองนำพลทหารมาพร้อมแล้ว  ก็ออกไปอวยพรเสริมสร้างพลังใจแก่มวลทหาร
ทั้งปวงทันที    เสียงทัพทั้งแปดเคลื่อนพลทำให้แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นโดยแยกย้ายกันไปตามทิศต่างๆหมดสิ้น
แล้วชาย หนุ่มก็เข้าไปยังค่ายใหญ่พร้อมท่านเหมี่ยวมังกะยอชวาเพื่อปรึกษาแผนการรบต่อไป........

                 *   แก้วประเสริฐ.   *				
5 มีนาคม 2553 15:14 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 38

แก้วประเสริฐ


                ลุ่มลึกอิสราวดี  38

     มังสุริยะชัย ครั้นเห็นว่าได้เวลาเหมาะสมแล้วก็ให้ทหารไปเรียก เหมี่ยวมังกะยอชวามาพบ
ครั้นมหาอำมาตย์ใหญ่เข้ามา  ก็คาราวะทันที  มังสุริยชัยพลันหยิบสร้อยดวงตรามาให้แม่ท่าน
มหาอำมาตย์พลางถามว่า
     “ท่านรู้จักของสิ่งนี้หรือไม่”
   ครั้นเหมี่ยวมังกะยอชวาเห็นก็น้อมทูลขึ้นว่า
      “ทราบพระเจ้าข้าว่าเป็นดวงตราแผ่นดินประจำเมืองศิระสุริยันต์ที่มอบให้แก่ท่านมหาอุปราช
ไว้พระเจ้าข้า”
      “แล้วเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นราไม่ทราบหรือ???..”   มังสุริยะชัยถาม
      “คงจะทราบพระเจ้าข้าด้วย ดวงตรานั้นลอดออกมาจากเสื้อของพระองค์  แต่เจ้าเมืองคงจะไม่
คำนึงถึงพระเจ้าข้า”   
       “งั้นหรือ....เราถามไปยังงั้นเองแหละ  อ้อๆ...ท่านได้จัดการเรื่องส่วนตัวพร้อมหรือยังล่ะด้วย
เราจะเคลื่อนพลเพื่อรวบรวมอาณาเขตต่อไป  เห็นท่านทำแผนที่ไว้จึงใคร่ขอดูสิ่งที่ท่านทำไว้”
       “ได้พระพุทธเจ้าข้า...กระหม่อมได้เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว”   กล่าวจบท่านมหาอำมาตย์
เหมี่ยวกะยอชวาก็ล้วงแผนที่  ที่ทำด้วยหนังสัตว์ออกมาน้อมถวายให้แก่ท่านมหาอุปราชทันที
        “งั้นเรามาร่วมกันพิจารณาในแผนที่กันเถิด  ว่าเมืองใดเล่าสมควรจะเข้ายึดแว่นแคว้นก่อน”
        “บัดนี้ข้าพระองค์ได้ทราบว่า อันเมืองฮะคาแห่งแคว้นรัฐชินนั้นเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์นัก
ตลอดมีทัพเรือด้วยติดกับลุ่มแม่น้ำอิรวดี   แต่ข้าได้รับทราบว่าเห็นเจ้าเมืองฮะคาคือมังสีหะบดีได้
ยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์  กำลังส่งเครื่องราชบรรณาการพร้อมด้วยตัวเองมากำลังเดินทางจวนจะ
มาถึงแล้วพระเจ้าข้า”   มหาอำมาตย์ทูลถวายรายงาน
        “หรือเราเองก็พึ่งจะรู้จากท่านนี่แหละ  ข้าคิดจะเคลื่อนทัพไปตียังแคว้นรัฐชินพอดีหากเป็นเช่น
นี้ก็เห็นจะต้องคอยเจ้าเมืองฮะคาก่อนแล้วล่ะ   หากเขาเดินทางมาถึงให้ท่านออกไปต้อนรับแล้ว
นำมาหาเราก็แล้วกันนะท่าน”  มังสุริยะชัยกล่าว
         “ข้าเองสงสัยชื่อของพระองค์พระเจ้าข้าว่า เหตุใดจึงใช้ชื่อว่า มังสุริยะชัย  ข้าพระองค์เพียงทราบ
ว่าท่านมหาอุปราชนั้นชื่อว่า “มังสุระกานต์นรินทร์เดชา” พระพุทะเจ้าข้า


          ชายหนุ่มหรือมังสุริยะชัยหัวร่อ  พลางกล่าวว่า
        “ชื่อนี้ข้าตั้งเองแหละเพื่อมิให้เกิดความสงสัยแก่แว่นแคว้นทั่วๆไปนั่นเอง  ท่านก็ทราบชื่อแท้จริง
ของเราด้วยหรือ????....”  
        “ทราบดีพระเจ้าข้าด้วยก่อนนั้น  เจ้าชายได้เคยมายังเมืองหล่อยก่อด้วยและยังมาเยี่ยมสนทนากับข้า
แต่ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเหตุใดพระองค์จึงจำข้าไม่ได้ พระเจ้าข้า”  ท่านเหมี่ยงกระยอชวากล่าว
        “เนื่องจากข้าพลัดหลงไปในป่าทึบผจญภัยต่างนาๆทำให้ลืมเลือนไปกระมัง  ข้อนี้ขออย่าให้ท่านคิด
แต่ประการใดเถอะ”
        “พระเจ้าข้า  แต่ในการเดินทางครั้งนี้ข้าพระองค์ใคร่อยากจะนำธิดาซึ่งมีความเชี่ยวชาญทั้งรบและ
การเมืองต่างๆไปด้วย พระองค์จะเห็นเป็นประการใดพระเจ้าข้า”
         “  หากเป็นความประสงค์ท่านข้าเองก็ไม่ขัดข้องหรอกนะตามแต่ท่านเถอะ แล้วท่านมีบุตรธิดากี่คน
ล่ะท่านเหมี่ยวกะยะชวา”  มังสุริยะชัยกล่าว
          “ข้าพระองค์มีเพียงบุตรีคนเดียวพระเจ้าข้า  ด้วยเขาเป็นห่วงข้าพระองค์ว่าชรามากแล้วและอยู่คนเดียว
ด้วยภรรยาข้าพระองค์เสียไปนานแล้วจึ่งขอร้องให้มากราบทูลขอพระบรมราชานุญาติพระเจ้าข้า”
  มหาอำมาตย์กล่าว
       “งั้นหรือดีเหมือนกันท่านจะได้ทำหน้าที่ปรึกษาแก่ข้าและกองทัพด้วยข้าเองเชื่อมั่นต่อท่านมากนักจะได้
ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง  เอาเถอะหากมาในกองทัพเป็นหญิงก็ไม่เหมาะสมข้าขอให้ลูกสาวท่านแต่งตัวเป็น
ชายก็แล้วกันนะ   จะได้ไม่เป็นที่กังขาแก่เหล่าทหารๆทั้งหลาย”   มังสุริยะชัยกล่าวขึ้น
         “เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระองค์มากพระเจ้าข้า   ข้าพระองค์พร้อมที่จะทูลและยอมถวายชีวิตแต่
ท่านมหาอุปราชจวบชีวิตจะหาไม่พระเจ้าข้า  ก่อนเดินทางข้าพระองค์จะนำธิดามาทูลถวายชมก่อนพระเจ้าข้า”
          ชายหนุ่มเดินเข้าไปโอบไหล่ชายชราทันทีพร้อมกล่าวว่า
         “การศึกครั้งหน้านี้คงจะใหญ่หลวงนัก  แต่ข้ากังวลก็เพียงรัฐกระเหรี่ยง รัฐมอญกับรัฐยะไข่เท่านั้นเองด้วย
ทำเลนั้นล้วนแล้วแต่สูงชันเต็มไปด้วยภูเขาต้นไม้ใหญ่ยากแก่การยกทัพเข้าโจมตีเมืองหลวงมันได้”
          “แต่ข้าพระองค์ทราบเหมือนกันพระเจ้าข้า  แต่ได้เคยจัดหน่วยสอดแนมเข้าไปเป็นไส้ศึกไว้นานแล้วและ
รู้เส้นทางลัดเข้าสู่เมืองหลวงที่พวกมันจัดทำ  และเนื่องจากพวกมันนั้นประมาทจัดวางกำลังคนไว้น้อย หากเรา
ทำเป็นต่อสู้ด้านหน้า  ส่วนทางลัดนั้นให้จัดทหารอีกหน่วยแม้ทางจะลำบากไม่สามารถลำเลียงอาวุธต่างๆได้มาก
นักด้วย เป็นทางเท้า  แม้แต่ม้าก็สามารถสวนกันได้แค่ตัวเดียวพระเจ้าข้า”


          “ อ้อนี่ได้ท่านมาแนะนำแก่ข้านะ   หากมิฉะนั้นก็จะยากแก่การโจมตียิ่งนัก  เอาล่ะท่านไปแจ้งแก่ลูกสาว
ท่านให้จัดเตรียมตัวได้แล้ว  หากเจ้าเมืองฮะคามาถึงให้ต้อนรับหลังกลับไปแล้วก็จะออกเคลื่อนพลต่อไปเพื่อเข้า
รัฐฉานก่อนด้วยถึงแม้ว่าจะแกร่งกล้านักแต่เจ้าเมืองเป็นคนมีเหตุมีผลย่อมรู้จักหนักเบา” มังสุริยะชัยกล่าว
        “ข้าพระองค์อยากจะทูลเสริมอีกหน่อยพระเจ้าข้า”  เหมี่ยวกระยอชวาเอ่ยขึ้น
        “ท่านว่ามาได้เลยตามสบายเถอะนะ หากมีอะไรไม่ต้องกังวลหรอก”
        “หากแม้นเจ้าเมืองฮะคามายอมสวามิภักดิ์แล้ว   พระองค์ให้เจ้าเมืองต่อเรือไว้ให้มากๆเพื่อใช้ลำเลียงพล
ด้วยข้าเองพอจะเดาพระหทัยของพระองค์ว่า  สิ่งสำคัญคือเมืองอิสราวดีแต่เพียงใคร่จะกำราบแขนขาของมัน
ก่อน  จึงได้ตีโอบล้อมเมืองอิสราวดีไว้  ใช่ไหมพระเจ้าข้า”
          “ฮ่าๆๆๆ????.....สมแล้วที่ท่านเป็นที่ปรึกษาเราช่างรู้ใจเรายิ่งนักถูกแล้วเรามุ่งหมายที่สำคัญคือเมือง
อิสราวดีนั่นเอง  แล้วท่านให้เจ้าเมืองฮะคาต่อเรือไว้มากๆทำไมหรือท่าน”
          “เหตุที่ชาวเมืองฮะคานั้นอาศัยแม่น้ำเป็นหลักและเชี่ยวชาญทางน้ำและทางเรือตลอดจนการต่อเรือมาก
เมื่อเราได้เมืองต่างๆเพื่อเข้าโจมตีเมืองอิสราวดีนั้น   อันเมืองอิสราวดีติดกับแม่น้ำอิรวดี เก่งทั้งทางน้ำและ
ทางบกนัก   หากเราชนะทางบกมันก็จะหนีไปทางน้ำพระเจ้าข้า  หากเราได้เรือจากเมืองฮะคาแล้วยกกำลัง
พลไปทางน้ำซุ่มคอยไว้  หากเราเข้าโจมตีทางบกเมื่อใด   ก็ให้ทหารทางเรือเข้าตีด้านหลังกระหนาบทั้ง
สองทางปิดกั้นทั้งทางหนีของมันด้วยพระเจ้าข้า”   เหมี่ยวมังกะยะชวากล่าวรายงาน
          “อื่มมๆๆๆๆ.....สมแล้วที่ข้ามองคนไม่ผิด ท่านนี่หากเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นรามันเชื่อฟังท่านเห็นทีการ
ศึกนั้นคงจะลำบากนักจริงๆ”  มังสุริยะชัยกล่าว
          “เอาล่ะท่านที่ปรึกษาใหญ่เหมี่ยวมังกะยอชวาท่านไปได้แล้ว  เมื่อจัดการตามที่ข้าบอกแล้วพวกเราก็
จะออกเดินทางไปยังรัฐฉานทันที   หากเจรจาไม่ได้ผลก็เห็นทีจะต้องรบกันแต่นอนนะ”  ชายหนุ่มกล่าว


         ครั้นเจ้าเมืองฮะคาพร้อมเครื่องราชบรรณาการมาถึง  ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ก็ออกมาต้อนรับแล้วนำ
ท่านมังสีหะบดีเข้าเฝ้าท่านมหาอุปราชยังท้องพระโรงทันที
        เมื่อมังสีหะบดีก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงตามท่านมหาอำมาตย์ไป   เห็นชายหนุ่มนั่งยังบนราชบัลลังก์ก็
ให้แปลกใจยิ่งนัก ด้วยตนเองคาดคะเนว่าคงจะมีอายุมากนักแต่การณ์กลับกันไปเสียก็สะดุ้งในใจแต่เมื่อมา
ตามประเพณีก็ก้มลงน้อมทำความเคารพตามประเพณี     เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ลุกจากบัลลังก์มาแล้ว
ก้มพยุงร่างชายกลางคนขึ้นมา พร้อมกล่าวว่า
      “ข้ามังสุริยะชัยเองทำความลำบากใจให้แก่ท่านอามากนัก  ขอท่านอาอย่าได้ถือโกรธรังเกียจแก่ข้าด้วยเถิด”
      มังสีหะบดีได้ยินเช่นนั้นก็ให้ตกใจด้วยคาดมิถึงว่าผู้ที่สามารถยึดแว่นแคว้นเมืองหล่อยก่อได้นั้นจะมิถือ
ในตัวเอง มิได้หยิ่งยโสโอหังแต่ประการใดไม่ ซ้ำยังเรียกตัวเองประดุจดังญาติผู้ใหญ่อีก  ความคิดอ่านแต่
แรกก็หายไปสิ้นเชิง บังเกิดความรักใคร่แก่ชายหนุ่มยิ่งนัก  จึงน้อมกายถวายบังคมทูลว่า
        “พระองค์ทรงให้เกียรติแก่หม่อมฉันนัก จนมิอาจจะรับได้หรอกพระเจ้าข้า”  เจ้าเมืองฮะคากล่าว
        “หาเป็นเช่นใดไปเล่าท่านอา  ด้วยท่านอาซิกับให้เกียรติแก่ข้ายิ่งนักที่อุตส่าห์เดินทางไกลมากับทำให้ข้า
ผู้น้อยนี้ล่วงเกินต่อท่านอา  ซึ่งปกติจะควรเป็นข้าไปหาท่านอาถึงจะถูกต้องนะท่านอา”  ชายหนุ่มเอ่ย
         “ข้ามังสุริยะจึงใคร่ขอให้ท่านอา อย่าได้เรียกเช่นนี้อีกขอให้เรียกข้ามังสุริยะชัยเฉยๆหรือว่าหลานชายก็
จะทำให้ข้านี้มิต้องเกิดความละอายใจนัก  ด้วยฐานันดร์เราก็เสมอๆกันแต่ข้าเองอายุยังน้อยด้อยประสบการณ์
เห็นทีจะต้องพึ่งพาความรู้ความสามารถท่านอาอีกมากมายนักพระเจ้าข้า”  มังสุริยะชัยกล่าวอย่างนอบน้อมยิ่ง
         ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้เจ้าเมืองฮะคายิ่งซาบซึ้งแก่ใจจนถึงแก่อ้ำอึ้งไป  พลันกล่าวว่าหากเป็นพระประสงค์เช่น
นี้ก็จะขอน้อมรับพระบัญชา  นับแต่นี้ไปข้าเองขอเรียกท่านว่ามังสุริยะชัยก็แล้วกัน  ท่านจะให้ข้าทำสิ่งใดๆก็
แล้วแต่พ่อหลานชายจะกล่าวมิต้องเกรงใจเราหรอก”  เจ้าเมืองฮะคากล่าวด้วยความปิติยินดีนัก
       “ยังหรอกท่านอาขอเชิญท่านอารับทานอาหารด้วยกันเถิด ส่วนพวกติดตามมานั้นข้าเองสั่งกำชับไว้แล้วให้
ต้อนรับด้วยอาหารอย่างดีในที่พักรับรองแล้ว  ส่วนท่านอานั้นก็เข้ามาพักกับหลานด้วยกันเถิดเพื่อจะได้ปรึกษา
กันนะพระท่านอา”
       “ในเมื่อหลานชายเรามีความประสงค์เช่นนี้  เครื่องราชบรรณาการนั้นหลานเรามิเปิดดูหรอกหรือ”
        “ไม่หรอกท่านอา  คนอย่างข้านั้นรักใครและใคร่ครวญแล้วถือเป็นน้ำใจอันสูงส่งมากแก่ตัวข้านักจำมิรับไว้
หรือก็จะเสียขนบธรรมเนียมประเพณีไป  จึงใคร่เพียงขอรับไว้แค่ครึ่งเดียวก็พอหวังว่าท่านอาคงจะไม่ถือโทษแก่
ข้าน้อยด้วยนะท่านอา”
          เจ้าเมืองฮะคามังสีหะบดีได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งบังเกิดความรักเปรียบประดุจญาติสนิทมิปาน ด้วยคิดว่าชายหนุ่ม
คนนี้มิได้มีความโลภโมโทสันเห็นแก่สิ่งของเป็นสิ่งสำคัญ  ยึดถือสิ่งใดควรมิควรเป็นหลักรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่มิได้
หลงใหลในอำนาจของตัวเอง  คนประเภทนี้หากใครอยู่ในปกครองย่อมก่อเกิดแต่ความสุขความเจริญยิ่งนัก
 พลางหัวร่อแล้วก็ติดตามชายหนุ่มเข้าร่วมรับทานอาหารร่วมกัน  


         ชายหนุ่มหันมาเรียกท่านมหาอำมาตย์เหมี่ยวมังกะยะชวาเข้าร่วมรับทราบอาหารร่วมโต๊ะด้วยกัน
ทำให้เหมี่ยวมังกะยะชวาตกใจยิ่งนัก  ครั้นจะเอ่ยคัดค้านก็เกรงพระราชหฤทัยยิ่งนัก  จึงหันมาน้อมคาราวะขอ
อนุญาตต่อเจ้าเมืองฮะคาด้วย   เจ้าเมืองฮะคาครั้นเห็นชายหนุ่มถึงกับให้เกียรติแก่มหาอำมาตย์เช่นนี้ก็ยิ่งสงสัย
เหตุใดมหาอำมาตย์ผู้นี้ก่อนเคยเป็นมหาอำมาตย์แห่งเมืองหล่อยก่อกับได้รับเกียรติสูงส่งประดุจดังหน่อเนื้อเชื้อ
กษัตริย์ก็มิปาน   แต่ก็ไม่อาจจะขัดประการใดได้กลับนึกถึงสติปัญญาในการใช้คน  จึง ผายมือเชื้อเชิญทันที
         ทั้งสามก็ร่วมรับทานและสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดอ่าน  มังสีหะบดีครั้นได้สนทนากับมหาอำมาตย์ใหญ่
ก็ทราบทันทีว่าเหตุใด มังสุริยะชัยถึงให้ความไว้วางใจแก่มหาอำมาตย์คนนี้มากนักด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด
รอบรู้บรรดาแว่นแคว้นต่างๆไปแทบเสียสิ้น  ในระหว่างการร่วมรับทานอาหารมังสุริยะชัยก็เอ่ยปากขอร้องให้
ทางเมืองฮะคาช่วยต่อเรือไว้ให้มากๆเพื่อจะต้องใช้ในการต่อไป   เจ้าเมืองฮะคาก็ตอบตกลงว่าจะสร้างเรืองไว้
ให้มากหากชายหนุ่มต้องการเช่นนั้นไม่ต้องห่วงกังวลและมาทราบอีกด้วยว่า
ที่แท้มังสุริยะชัยก็คือมหาอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์ยิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น 
ว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงได้สามารถตีเหล่าแว่นแคว้นต่างๆได้อย่างรวดเร็วนักโดยไม่กังขาสิ่งใดๆเลย
        ครั้นแล้วเจ้าเมืองฮะคากล่าวว่าแล้วพ่อหลานชายจะไปยังแว่นแคว้นใดหรือ   ชายหนุ่มก็ไม่ปิดบังกล่าวว่าจะ
เคลื่อนทัพไปยังรัฐฉานเพื่อเจรจาการศึกก่อนด้วยเป็นทางผ่าน   เจ้าเมืองฮะคาจึงกล่าวว่า
       “หากแม้นพ่อหลานชายเราจะเคลื่อนพลเราจะแจ้งแก่บรรดาแว่นแคว้นของเราให้เปิดทางผ่านและให้นำ
ทหารเข้าร่วมเดินทางไปด้วย  ส่วนทางเมืองฮะคาจะมอบทหารให้แก่หลานชายสองหมื่นนายหากรวมกับแว่น
แคว้นของเราก็ตกราวๆเกือบแสนคนจะได้กระมัง”  มังสีหะบดีกล่าว
         “นับว่าข้าเองได้รับความเมตตาแก่ท่านอ่านอย่างเหลือล้นทีเดียว  จึงขอกราบขอบคุณท่านอานะที่นี้ด้วย
แล้วชายหนุ่มก็ยกมือไหว้มังสีหะบดีทันที    จนเจ้าเมืองฮะคารีบยกมือรับไหว้ตอบแทบไม่ทันพลางกล่าวว่า
เมื่อเดินทางถึงเมืองหลวงเราแล้วจะรีบเร่งระดมทหารส่งมอบ  ยามที่หลานชายผ่านแว่นแคว้นต่างๆของเราและ
ให้เหล่าแว่นแคว้นมอบทหารให้ตามแต่จะสามารถทำได้พร้อมด้วยเสบียงอาหารการศึกนี้ตลอดจนจะระดมคน
ก่อสร้างเรือขนาดใหญ่ให้อีกจำนวนมาก     
          ทั้งหมดต่างปรึกษารับทานอาหารไปนั้นก็สำราญบางครั้งก็ส่งเสียงหัวเราะกันสนิทสนมกันยิ่งๆขึ้นไปอีก
หลายวันผ่านไปได้เวลาสมควร  เจ้าเมืองฮะคาก็ขอเดินทางกลับเมือง   ชายหนุ่มก็ออกมาส่งยังนอกเมืองในระยะทางหนึ่งถึงเดินทางกลับเข้าเมือง   แล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งหลายให้ตระเตรียมกำลังไพร่พล
     มะรืนนี้พวกเราจะออกเดินทางผ่านแว่นแคว้นฮะคาแต่ให้ทหารทุกๆคนอย่าทำความเดือดร้อน
แก่บรรดาราษฎร์แว่นแคว้นต่างๆและมิให้เข้าเมืองบรรดาแว่นแคว้นเหล่านั้นเป็นอันขาด
          พร้อมทั้งให้เหล่าขุนทัพนายกองตระเตรียมให้พร้อม    มังกะยะ  มังสุระ และมังสีหะ
แห่งแคว้นหล่อยก่อก็ทูลทันที
        “ข้าแด่องค์เหนือหัว  ข้าทั้งสามปรึกษากันแล้วว่า จะขอออกเดินทางร่วมรบพร้อมด้วยทหารเมืองหล่อยก่อ
ไปในศึกครั้งนี้ด้วยพระเจ้าข้า”
        เมื่อมังสุริยะชัยได้ยินเช่นนี้ก็ยินดียิ่งนัก ด้วยทั้งสามแม่ทัพนั้นทราบมาว่าเป็นคนมีสติปัญญาเก่งฉกาจ
ในการรบพุ่งเกี่ยวกับด้านภูเขาแล้วยิ่งชำนาญยิ่งนักอดปลื้มใจมิได้จึงกล่าวว่า
       “หากแม้นว่าท่านทั้งสามยอมติดตามเราไป  ข้าเองก็ขอขอบใจพวกท่านนัก
ดังนั้นให้ท่านเตรียมไพร่พลทหารออกร่วมเดินทางกับเราได้”
       “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พวกข้านัก  ด้วยพวกข้าเป็นทหารก็ใคร่อยากจะเข้าสู่สงครามมาเนิ่นนานแล้ว
เพื่อทดสอบฝีมือตนเองด้วยเห็นว่าพระองค์ทรงรักใคร่เหล่าทหารมากยิ่ง
ทำให้พวกข้ายิ่งบังเกิดความเชื่อมั่นคิดใคร่จะทดแทนพระคุณของพระองค์พระเจ้าข้า”


        ชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้ก็ให้ปลาบปลื้มใจ จึงกล่าวว่า
     “เอาเถิดท่านทั้งสาม  เราเหล่าทหารทั้งหมดเปรียบประดุจดั่งสายเลือดอันเดียวกันเสมือนครอบครัวที่ไม่
อาจจะแตกแยกกันได้    เมื่อเป็นความประสงค์ของพวกท่านข้าก็ยินดี  มะรืนนี้พวกเราก็จะเคลื่อนพลออก
เดินทางไปยังรัฐฉานขอให้ท่านไปเตรียมไพร่พลได้แล้ว  เมื่อแจ้งแก่เหล่าขุนทัพนายกองแล้วก็สั่งเลิกประชุม
แล้วหันไปกล่าวกับมหาอำมาตย์เหมี่ยวกะยอชวาให้ท่านเตรียมตัวเพื่อเดินทางได้ต่อไป........

           *   แก้วประเสริฐ.   *

Cartoon_Animation_08.gifn016.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ