20 มีนาคม 2553 18:16 น.
แก้วประเสริฐ
ฟ้าเพียงดิน (๖)
ชายหนุ่มฟังการประชุมด้วยทีท่าสนใจแต่มิได้กล่าวประการใด พลางนึกในใจว่าคุณพ่อ
ช่างละเอียดรอบคอบมาก พลางตรวจรายการต่างๆบนหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ตามรางานของ
หัวหน้าฝ่ายต่างๆ พลันได้ยินคุณพ่อกล่าวว่า
“คุณองอาจ แล้วรายงานด้านต่างประเทศของประเทศเกาหลีที่มีหนังสือแจ้งมาว่าให้ทาง
เราเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เพียงผู้เดียว ตอนนี้งานไปถึงไหนแล้ว ขอทราบด้วย”
“เรียนท่านผู้บริหารใหญ่ บัดนี้ทางเราได้ติดต่อไปเรียบร้อยแล้วตามที่ท่านผู้บริหารแจ้ง
แต่ทว่า ทางบริษัทเขาอยากจะมาดูสถานที่ประกอบการโดยทำเป็นหนังสือแจ้งมาจะส่งคนมา
ดูกิจการในราวอาทิตย์หน้า วันอันแท้จริงจะแจ้งให้ท่านทราบอีกครั้งหนึ่ง ที่ยังมิได้รายงานไว้
ด้วยยังไม่ได้คำตอบอันแน่นอนเท่านั้นครับ” ฝ่ายต่างประเทศรายงานด้วยวาจาทันที
“หากเป็นเช่นนั้นก็ให้คุณองอาจต้อนรับและให้ไปดูสถานที่จะใช้ประกอบรถยนต์ตลอดจน
สาขาที่เปิดไว้ในกรุงเทพฯซึ่งทางเราได้จัดสร้างไว้เรียบร้อย หากได้รับรายงานจากบริษัทแม่เมื่อใด
ก็ให้รีบรายงานโดยด่วนด้วยนะ” คุณอัศวโรจน์แจ้งให้ทราบ
“ครับ!!!!.....หากทางเราได้รับการยืนยันเป็นที่แน่นอนก็จะเปิดและรีบเร่งขยายงานออกต่าง
จังหวัดทันที ด้วยได้แจ้งให้คุณกฤษณะแจ้งไปยังบรรดาสาขาของเราให้จัดการสาขาและเตรียมการ
โฆษณาไว้แล้วครับ”
“แต่ถ้าหากฝ่ายเกาหลีขัดข้องอย่างไร ผมเองได้รับแจ้งมาว่าทางญี่ปุ่นก็สนใจงานทางเราด้วยคุณ
เห็นเป็นประการใดล่ะคุณองอาจ”
“แต่ถ้าหากทางญี่ปุ่นซึ่งก็ทำกิจการเดียวกันก็ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ ด้วยผมและคุณกฤษณะ
ได้เปิดสาขาในนามของบริษัทเราสำรองไว้แล้วให้เป็นฝ่ายรับผิดชอบดูแลด้านนี้ไว้แล้วครับท่าน ตามราย
งานที่แจ้งไว้ในรายงานทางคอมฯครับท่าน” ผู้จัดการทั้งสองฝ่ายตอบ
“แล้วด้านคุณกฤษณะเล่า การขายด้านเครื่องอุปกรณ์ ส่วน ลิฟต์ผมตรวจดูไม่เห็นเดินหน้าไป
แต่อย่างใดเลย”
“ทางด้านอุปกรณ์ด้านอื่นๆตลอดลีฟท์ถึงไม่ได้เพิ่มจากยอดเดิมนั้น แต่ไม่ได้ลดลงทุกอย่าง
ด้วยขณะนี้เกิดเหตุการณ์ภายในบ้านเมืองอยู่จึงชะงักไปครับท่าน ผมคิดว่าหากบ้านเมืองสงบ
คงจะได้ขายลิฟต์และอุปกรณ์ตลอดเครื่องอุปโภคบริโภคได้มากขึ้น ระยะนี้ได้โฆษณษาไปเรื่อยๆ
เพียงแต่เพลาๆไปบ้าง แต่เราได้เสริมทางด้านต่างประเทศไว้รอรับแล้วครับท่าน อีกประการหนึ่ง
ด้วยบรรดาการก่อสร้างต่างๆได้หยุดชะงักไปก่อน คงอีกไม่นาน ด้วยมีออเดอร์สั่งของมาแล้วครับท่าน”
“จริงซินะ เหตุการณ์บ้านเมืองเรากำลังวุ่นวาย ทั้งทางด้านในประเทศและต่างประเทศ แต่ขอให้พวก
เรารักษายอดการจำหน่ายและการผลิตไว้ตามรายการต่างๆไว้ ส่วนราคานั้นควรจะให้ชะลอๆไปพลางๆก่อน
ให้ผู้จัดการสาขาทั้งหลายทราบด้วยนะ เพียงให้รีบเร่งหายอดจำหน่ายไว้ให้มากๆไว้ก่อน ส่วนบริษัทใดที่ยัง
ต้องการก็ให้รีบจัดการให้เสร็จโดยเร็วด้วย”คุณ อัศวโรจน์แจ้ง
“คุณยุพาล่ะด้านการจำหน่ายต่างที่คุณทำรายงานมานั้น เห็นควรลดอัตราลงเสียบ้างเพื่อให้สอดคล้องกับ
เหตุการณ์บ้านเมืองลงมาหน่อยนะ แล้วแจ้งให้ฝ่ายการขายแจ้งไปยังบรรดาสาขาต่างๆทั้งในและนอกด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ แล้วท่านจะให้ลดประมาณสักเท่าไหร่ดีล่ะท่าน”
“ผมเห็นว่าควรจะลดสักหนึ่งเปอรเซ็นต์หรือสองเป็นตามลักษณ์ของสินค้าก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะจะได้แจ้งให้ฝ่ายการขายทราบโดยด่วนเจ้าค่ะ”
“อ้อแล้วทางด้านบุคลากรล่ะ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เพิ่มลดเท่าไหร่ คุณจารุวรรณ”
“อัตรากำลังบุคลากรนั้นหยุดรับการสมัคร เพียงรอการเปิดรับสมัครที่อาจจะเปิดการขายจากต่างประเทศจาก
คุณองอาจไว้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังพิจารณาเกี่ยวกับการปลดคนงานตามสภาพเหตุการณ์ปัจจุบันอยู่เจ้าค่ะ”
คุณจารุวรรณกล่าวรายงาน
“ใช่แล้วสมควรเป็นแบบนั้นด้วยสภาพเหตุการณ์เราต้องตรึกตรองกันให้รอบคอบให้สอดคล้องกันและกัน
และด้านคุณ เบญจมาศล่ะ งานฝ่ายบัญชีเป็นอย่างไรบ้าง”
“ด้านการเงินนั้นยังอยู่ในสภาพคล่องตัว ด้านในและต่างประเทศยังอยู่ในสภาพเดิมแต่เค้าว่าอาจจะลดลง
บ้างเล็กน้อยเจ้าค่ะ” ฝ่ายบัญชีกล่าวรายงาน
“อ้อยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ เจ้ากานต์ลูกชายผมเองขออัตรา หนึ่งอัตรา เพื่อเวลาเขาเข้ามาบริหารงานแทนผม
คือหน้าที่เลขานุการส่วนตัว ให้คุณนำเอกสารที่ผมจะมอบให้คุณนี้ไปแต่งตั้งได้เลยนะ กินตำแหน่งผู้ตรวจการ
พิเศษประจำบริษัทสามารถตรวจสอบทุกๆฝ่ายได้ แต่ตอนนี้ยังไม่เข้าทำงานเขาจะทำรายงานส่งทางบ้านเขาให้
เขากินเงินเดือนๆละ ห้าหมื่นบาทไปก่อน เบิกจ่ายตั้งแต่เดือนนี้ไปเลยด้วย” คุณอัศวโรจน์กล่าว
“เจ้าค่ะดิฉันจะรีบดำเนินการโดยด่วนเจ้าค่ะ”
แล้วผู้จัดการฝ่ายบุคลากรก็ลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาน้อมกายลงแล้วรับเอกสารจากมือผู้บริหารใหญ่ทันที
พร้อมก็เดินกลับไปนั่งโต๊ะตามเดิม
“คุณพิมพ์ผกาให้จัดทำรายงานประชุมทั้งหมดรีบส่งผมโดยด่วนด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวชื่อพิมพ์ผกาตอบอย่างนอบน้อม พลางเงยหน้า แล้วหล่อนก็สะดุ้ง ไม่ใช่เพียงแต่หล่อน
เท่านั้นชายหนุ่มก็สะดุ้งเช่นเดียวกัน ด้วยเขาเพียงแต่หลับตาฟังการสั่งงานการประชุมต่างๆจากคุณพ่อและหัน
ไปมองผู้จัดการฝ่ายต่างๆจดจำไว้ แต่หาได้สังเกตว่าที่เบื้องหลังท่านมีหญิงสาวนั่งโต๊ะเคียงคู่ท่านอยู่
ด้วยหล่อนมัวแต่กำลังจดรายงานต่างๆไว้ พร้อมกำลังบันทึกลงในคอมพิวเตอร์อยู่จึงไม่ได้และเห็นใบหน้า
พลันชายหนุ่มนึกถึงแม่แย้มขึ้นทันที ระหว่างที่เขาหลับไปและตื่นแต่เพียงแย้มนัยน์ตามองดูเห็นหล่อนเพียง
ไม่นานนักแต่เขาจำได้ ไม่นึกว่าหล่อนจะมาเป็นเลขานุการของบิดาเขา
ทั้งสองเมื่อสบตากันก็ต่างคนต่างคิดไปต่างๆนาๆทันที หญิงสาวก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มที่หล่อนแลเห็นนอนอยู่
บ้านโซฟานั้นจะเป็นถึงลูกชายคนเดียวของท่านบริหารใหญ่เจ้าของแห่งบริษัทที่หล่อนทำงานอยู่
ด้านชายหนุ่มก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า หล่อนจะเป็นคนดูแลแม่แย้มที่เขารักดุจดั่งแม่ตัวเองในระหว่างเขาไปต่าง
ประเทศและซื้อของมาฝากแม่เขาเป็นประจำอีกด้วยจะเป็นเลขานุการของพ่อไป ทำให้ทั้งสองตลึงงันทำให้คุณ
อัศวโรจน์สงสัย แต่ไม่กล่าวประการใด
เจ้าของบริษัทและผู้บริหารใหญ่พลางกล่าวในที่ประชุมว่า ในเมื่อผมอ่านรายงานจากท่านและเซฟไว้เรียบร้อย
แล้ว หากทุกๆคนมีปัญหาใดขัดข้องอย่างไรให้รีบรายงานผมโดยด่วนด้วย ถ้าไม่มีก็ขอปิดประชุมก่อน อ้อๆๆ
ลูกชายผมจะเข้ามาบริหารในบริษัทนี้อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ฉะนั้นเขาก็คือผมหากผิดพลาดอย่างไรก็ตักเตือนเขา
ด้วยถือว่าเป็นลูกหลานของท่านๆก็แล้วกัน
ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วยกมือไหว้ไปทางผู้จัดการฝ่ายทั้งห้าทันที บรรดาฝ่ายทั้งหลายก็ยืนขึ้นแล้ว
รับไหว้ตอบ ต่างคิดในใจว่านี่หรือจะมาเป็นหัวหน้าพวกเขาอายุก็ยังไม่มากนักแต่ต่างคิดไปต่างๆนาๆแล้วก็
นั่งลงดังเดิม ครั้นได้ยินผู้บริหารใหญ่สั่งกล่าวปิดประชุมก็ลุกขึ้นน้อมกายคาราวะทันทีแล้วต่างก็ค่อยๆทยอย
กันเดินออกจากนอกที่ประชุม คงเหลือเพียงคุณอัศวโรจน์ ชายหนุ่ม และหญิงสาวเท่านั้น
“นี่เจ้าค่ะ แผ่นดิสท์ของแต่ละฝ่ายได้บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกันหกแผ่น ห้าแผ่นเป็นรายงานของหัว
หน้าฝ่าย อีกแผ่นหนึ่งเป็นประชุมด้วยวาจาเจ้าค่ะ” แล้วหญิงสาวก็น้อมกายยื่นส่งให้แก่คุณอัศวโรจน์ทันที
ถอยหลังไปยืนรอคำสั่งต่อไป
“ฉันสังเกตว่าเธอกับลูกฉันเหมือนจะรู้จักกันมาก่อนแล้วใช่ไหมพิมพ์ผกา”
“ไม่รู้จักกันเจ้าค่ะ แต่เคยเห็นเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบ
“อ้าวๆๆ???....แล้วเจอกันที่ไหนล่ะ” บิดาพีระกานต์ถามด้วยความสงสัย
“พบเห็นเขานอนหลับที่บ้านป้าแย้มเจ้าค่ะ ระหว่างดิฉันนำขนมไปมอบให้ป้าแย้มเจ้าค่ะ”
“แล้วคุยกันด้วยหรือเปล่าล่ะ”
“เปล่าเจ้าค่ะ เมื่อเห็นป้าแย้มมีลูกชายมาหาซึ่งดิฉันก็สงสัยเหมือนกันด้วยทราบว่าป้าแย้มไม่ได้แต่งงาน
จนป่านนี้จะมีลูกชายได้อย่างไรเหมือนกันเจ้าค่ะ”
คราวนี้คุณอัศวโรจน์รู้ทันทีว่าหลังจากไอ้กานต์มันหายหัวไปไหน ตามที่คุณหญิงภรรยากล่าวว่ากานต์
มันจะไปธุระ แต่เร่งให้กลับบ้านเร็วๆ พลางหันหน้ามาทางชายหนุ่มทันที
“บอกพ่อซิเจ้ากานต์ว่าที่คุณพิมพ์ผกาแจ้งมาจริงหรือเปล่า เห็นแม่บอกว่าไปธุระที่แท้ไปหาแม่แย้มหรือ”
“ครับคุณพ่อ ผมเองเห็นทราบว่าทางคุณพ่อคุณแม่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่บ้านเลย แวะไปเยี่ยมแม่แย้มหน่อย”
“เออให้มันได้อย่างนี้ซิ มันช่างเหมือนพ่อจริงๆนะ”
“ฮ่าๆๆๆๆไอ้กานต์นะไอ้กานต์ ไม่เบาความคิดอ่านกว้างไกลนัก” แล้วชายกลางคนก็หัวร่อลั่นทันที
แล้วชายปลายวัยชราก็กอดคอเจ้าลูกชายเดินออกจากห้องประชุมทันที
หญิงสาวก็เดินตามหลังคิดไปต่างๆนาๆด้วยคาดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันในลักษณะแบบนี้
“ครั้นถึงประตูก็ลดมือออกจากคอของชายหนุ่มแล้วหันไปถามว่า แล้วแกจะไม่ไปเดินชมฝ่ายต่างๆบ้าง
หรือจะได้รู้จักห้องต่างๆเวลามาทำงานนะ”
“อีกหนึ่งเดือนล่ะคุณพ่อ เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ผมเห็นจะขอตัวไปหาไอ้หนกมันหน่อยด้วยจะปรึกษากันว่าจะ
ไปเที่ยวทะเล ด้วยมันจะบินไปยุโรปในอาทิตย์จะถึงนี้แล้ว”
“ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวพ่อแม่จะตามไปด้วย เจ้าล่ะจะเอาใครๆไปบ้างล่ะ “
“ก็เพื่อนๆและเมียมันเท่านั้นครับคุณพ่อเอาคนที่สนิทๆไป ไม่อยากให้เอิกเกริกนัก” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
แล้วคุณอัศวโรจน์ก็หันหลังกลับไปถามหญิงสาวทันที
“ หนูไปเที่ยวทะเลด้วยกันไหมล่ะนำแม่แย้มไปด้วยนะบอกพี่เค้าว่าฉันเองคิดถึง ไอ้กานต์มันคงอยากให้ไปร่วมด้วยนะ บอกแม่แย้มเห็นคงจะไปด้วยหรอกจะได้สั่งให้เขาจัดการทำความสะอาดบ้านพักไว้หรือหนูจะเอา
พ่อแม่ไปด้วยก็ไม่ขัดข้องนะ”
“ดูก่อนเจ้าค่ะแต่จะบอกแก่ป้าแย้มให้ทราบเจ้าค่ะ” หญิงสาวกล่าวตอบ
“คุณพิมพ์ผกาขอเชิญด้วยนะครับ แล้วบอกแม่แย้มว่าผมต้องการให้ไปด้วย แม่แย้มต้องไปแน่นอนล่ะ”
“เจ้าค่ะคุณชาย” หญิงสาวกล่าวตอบ
ครั้นพอเดินพ้นหน้าห้องก็แจ้งให้หญิงสาวที่น้อมคาราวะให้กลับไปทำงานหน้าที่เดิมได้แล้ว พร้อม
คุณอัศวโรจน์ก็แยกทางกับชายหนุ่มเพื่อเข้าไปยังห้องทำงานซ้ายมือที่ติดกับห้องประชุมใหญ่พร้อมหญิงสาวทันที
หลังจากแยกทางกลับบิดาแล้ว ชายหนุ่มก็เดินระเหยไปเรื่อยๆลงลิฟท์มาแล้ว เดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ
ด้วยยังเห็นเวลามีอีกมากนัก เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จำชายหนุ่มได้ดีและเห็นเขาเดินเข้าไปยังที่ประชุมหน่วย
ประชาสัมพันธ์ทั้งหมดก็รีบออกมายกมือไหว้ชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มหัวร่อพลางบอกว่า
“ขอบคุณทุกๆคนครับ เดี๋ยวผมจะกลับเดี๋ยวนี้ทำตัวตามสบายเถอะ” กล่าวจบชายหนุ่มก็รีบสาวเท้าผ่าน
หน้าประตูใหญ่ ฝ่ายพนักงานรปภ.ก็ทำความเคารพ ชายหนุ่มทันที แล้วเขาก็รีบเดินไปที่รถแล้วสตาร์ทรถออก
จากบริษัทหากนกด้วยนัดหมายกันไว้ก่อนแล้ว
เมื่อชายหนุ่มขับรถมาถึงซอยชิดลมก็แวะซื้ออาหารต่างๆแล้วเดินเข้าไปในบ้านเพื่อน เห็นไอ้หนกกำลังง่วน
อยู่กับต้นไม้ เขาแอบไปยืนไม่ให้มันรู้ตัว พอได้จังหวะก็เตะตูดมันทันที เสียงดังป๊าบ จอบเล็กๆในมือมันกระเด็น
หลุดมือทันที หัวคะมำทิ่มไปยังกระถางต้นไม้ เสียงมันด่าสนั่นลั่น
“ใครว่ะไอ้ห่า???....เดี๋ยวเถอะกูจะเอาคืน” พลางหันมายกมือตั้งท่ามวยการ์ดทันที เมื่อสมัยมันยังเรียนหนังสือ
มันเคยชกมวยนักเรียนได้แชมป์รุ่นมาแล้ว แต่พอมันเห็นชายหนุ่มเท่านั้น ก็รีบปล่อยมือทั้งสองลงทันที
“ไอ้เห้?...กูนึกว่าใครเสือกเตะกูเสียหัวทิ่มนี่กูว่าจะเอาคืนซะหน่อย” ว่าพลางก็ก้าวย่างสามขุมเข้าหาชายหนุ่ม
ทันใด ชายหนุ่มหัวร่อก๊าก
“มาๆๆไอ้หนก มึงดูซิว่านี่อะไรในมือกู “ แล้วชายหนุ่มก็ยกกล่องใส่เหล่าฝรั่งอย่างดีขึ้นทำท่ารับหากไอ้หนกเตะเขาจริงๆด้วยมือขวา ส่วนมือขวาถือถุงใส่บรรดาอาหารต่างยกขึ้นด้วย
ไอ้หนกชะงักพรืดพลางหัวร่อลั่นกูก็แกล้งขู่มึงยังงั้นแหลว้าอ้ายเห้.....ไปๆๆมึงเข้าไปในบ้านบอกแม่บ้านกู
ให้เตรียมไว้เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนแล้ว
“อ้าวไอ้เห้?...มึงไม่เรียกพวกเรามากินด้วยกันหรือว๊ะ กูได้ยินไอ้รุจน์มันโทรมาหากูว่าจะมาหากลุ้มใจมันว๊ะ
มึงโทรไปบอกมันก็แล้วกันพวกเรานะโว้ยอย่าให้มันเสือกพาเมียมาด้วยเดี๋ยวไม่สนุกว๊ะ” พูดแล้วกนกก็เดินเข้าบ้านตรงไปยังห้องน้ำทันที.........
* แก้วประเสริฐ. *
17 มีนาคม 2553 21:09 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 61 (อวสาน)
งานพิธีพระราชสยุมพรบังเกิดขึ้น ประชาชนภายในเมืองต่างหยุดการค้าขายทั้งสิ้นพากันออกมา
ร่วมถวายพระพรพร้อมเพรียงกัน ทางฝ่ายอำมาตย์ใหญ่เสนาบดีก็จัดการเฉลิมฉลองด้วยบรรดา
มโหรีการแสดงต่างๆอย่างมโหฬาร ให้บรรดาประชาราษฎร์ต่างชมกัน ภายในเมืองมีแต่เสียงหัวร่อ
บรรดาเหล่าทหารหาญทั้งหลายก็ได้รับอนุญาตจากแม่ทัพใหญ่ตามแนวกำแพงเมืองมิให้มีการป้อง
กันแต่ประการใดมาร่วมงานในครั้งนี้ เพียงกำชับว่าหากดื่มกินเหล้าแล้วอย่าสร้างความเดือดร้อนให้
แก่ประชาชน หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก เป็นที่ครึกครื้นสนุกสนานไปทั่วเมือง
ในท้องพระโรงนั้นถูกประดับประดาด้วยสีสันอันอลังการ สถานที่ใช้รดน้ำพระคนโทนั้นก็ถูก
ประดับด้วยสีสันลวดลายต่างๆ หน้าโต๊ะที่ประดับไว้กับประดับด้วยไข่มุกส่งแสงเรืองรองยิ่งนัก
เหล่าบรรดาสนมกำนัลนางต่างแต่งกายโอ้อวดกันและกัน ส่งเสียงหัวร่อและต่างเข้ารับแขกเมือง
มิให้ขาดพระแม่เจ้าสิริสาอลงกรณ์วดีเป็นผู้ที่หลั่งน้ำพระสยุมพรคนแรกตามมาด้วยพระปิตุลาและ
เจ้าเมืองอิสราวดีและเจ้าเมืองขององค์หญิงต่างๆแล้วตามไปด้วยบรรดาแว่นแคว้นต่างๆแล้วเข้าประจำที่
ภายในมีการแสดงมโหรีฟ้อนรำอวยพรถวายให้แขกเมืองชม ต่างพากันส่งเสียงหัวร่อต่อกระซิกกัน
มีความรักใคร่ดุจพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ครั้นงานรดน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าศิระสุริยะชัยราชันย์
ก็พาพระมเหสีทั้งหลายกล่าวขอบคุณไปยังบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลาย
บรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายต่างตาค้างไปตามๆกันถึงความงดงามของพระมเหสีทั้งหลาย คิดไม่ถึงว่า
พระมหากษัตริย์แห่งเมืองศิระสุริยะชัยจะทรงเปี่ยมด้วยพระบารมียิ่งนัก ประดุจดาวล้อมเดือนมิปาน
ต่างเซ็งแซ่กล่าวขานมิสิ้นสุดต่างสดุดีพระบารมีของปฐมกษัตริย์เมืองนี้มากมาย ชายหนุ่มก็ทักทาย
บรรดาเจ้าเมืองต่างๆโดยพร้อมเพรียงกันทุกๆพระองค์ แล้วทรงมอบของขวัญตอบแทนเพื่อเป็นที่
ระลึกประกอบด้วยสิ่งของมีค่ายิ่งนัก แล้วก็เสด็จมายืนหน้าพระราชบัลลังก์ ทรงให้เหล่าสนมกำนัล
นำพานออกมา ภายในพานประดับด้วยแก้วสดใสที่ถูกเจียรนัยสีแดงคือก้อนหินสีแดงนั่นเองที่กลาย
เป็นแก้ว ครั้นถูกเจียรนัยแล้วส่งประกายแวววาวสดใสยิ่งนักล้อมด้วยเพชรนิลจินดาเก้าประการ
สายสร้อยนั้นทำด้วยทองคำและเรียงรายด้วยเพชรทั้งสิ้น พร้อมทั้งสวมมงกุฎที่ประดับประดาด้วย
เพชรนิลจินดาเก้าประการหน้ากระบังมงกุฎก็ประดับด้วยแก้วสีแดงที่ถูกเจียรนัยไว้ยอดของหน้ากระบัง
นั้นถูกประดับด้วยขนนกวายุภักดิ์ที่มีสีสันแวววาวหลากสี มวยผมของเหล่ามเหสีประดับด้วยปิ่นทองที่
เรียงรายด้วยเพชรนิลจินดาต่างแห่งเมืองหงสาที่พระแม่เจ้าทรงสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษมอบให้ตอนหลั่งน้ำ
แล้วพระองค์ทรงปักบนมวยผมให้เองทุกๆพระองค์หญิง
ครั้นได้รับของมาแล้วชายหนุ่มก็ทรงสวมสร้อยที่พระศอแล้วสวมมงกุฎบนพระเศียรพระอัครมเหสี
ก่อนแล้วก็ทำแบบเดียวกันกับรองลงมาจนครบแปดเจ้าหญิง บรรดานางรำก็นำดอกไม้นานาชนิดที่ส่ง
กลิ่นหอมยิ่งนักโปรยไปยังบรรดาพระมเหสีทั้งแปดทันที มโหรีต่างบรรเลงเพลงติดตามด้วยนางรำออก
มาร่ายรำ ทำให้บรรดาเจ้าเมืองที่เป็นพระบิดาพระมารดาขององค์หญิงพากันหลั่งน้ำพระเนตรด้วยความ
ปลื้มปิติไปสิ้น แม้ แต่อำมาตย์หัวหน้าเผ่าคิกิอุระกะและพี่ชายก็ปิติปลื้มยินดีไปทั่ว แม้ว่ารู้แล้วว่าแม้จะ
เป็นบุตรสาวตนเองแต่ก็แค่เพียงร่างกายแต่ภายในหาใช่ไม่ ด้วยเคยเข้าเฝ้าแล้วพระนางประกายแดงและ
พระนางประกายเขียวจำไม่ได้เลย แต่ด้วยปฏิภาณไหวพริบก็ไม่ทรงรังเกียจให้การต้อนรับประดุจบิดา
และพี่ชายเช่นเดียวกัน
ตลอดจนถามไถ่ความเบื้องหลังของร่างแม่นางทั้งสองอย่างละเอียด หัวหน้าเผ่าซึ่งบัดนี้เป็นอำมาตย์
ก็กราบทูลให้ทราบทั้งสิ้น นางทั้งสองจึงยกย่องเสมอบิดาตนเอง ครั้นงานพิธีผ่านไปจวบจนเกือบจะ
เที่ยงคืน เจ้าเมืองต่างๆก็พากันลากลับไปพักผ่อนยังที่ห้องรับรองแขกทันที เหลือแต่เหล่าสนมกำนัล
และทหารองครักษ์ที่ยังคอยปรนนิบัติชายหนุ่มและเจ้าหญิงทั้งแปดอยู่จนกระทั่งชายหนุ่มนำพระมเหสี
ทั้งแปดเข้าสู่ยังตำหนักของพระองค์แล้วก็ทรงเย้าหยอกล้อกันกัน ทำให้บรรดาพระมเหสีต่างเอียงอาย
ไปตามๆกัน พลางชายหนุ่มก็เอื้อนเอ่ยพระดำรัสขึ้นในท่ามกลางการหยอกเย้าของเหล่ามเหสี ทำให้เหล่า
พระมเหสีหยุด ต่างหันมาฟังพระดำรัสทันที
แปดนางช่างเพริศพริ้ง ลาวัลย์ จริงเฮย
ผิวเปล่งดั่งนวลจันทร์ หยาดเยิ้ม
ยากคิดแบ่งเสกสรร คืนก่อ สวาทแฮ
ยิ่งพิศยิ่งเคลิบเคลิ้ม อ่อนซึ้งนวลฉวี ฯ
ลีลานางดุจฟ้า โลมดิน
เปรียบดั่งหงส์ยุพิน ยากคว้า
ค่ำนี้ยากคงถวิล กกกอด นางเฮย
พิศยิ่งใจอ่อนล้า ยากแท้เยือนนาง ฯ
องค์หญิงจันทิราเทวีครั้นได้รับฟังก็แย้มยิ้มพลันเจื่อนแจ้วทันที
อิสราวดีซาบซึ้ง ก่อนใคร พี่เอย
เคยสู่หมั้นเหตุไฉน ป่วนซึ้ง
ใยท่านพี่มากไป จวบก่อ กาลแฮ
จงฝากสิ่งก้นบึ้ง แห่งห้วงเสน่หา ฯ
องค์หญิงอรทัยตอบโต้ทันควัน
เดือนดาวแม้นมิคล้อง ใฝ่ปอง
อวบอัดมัดเรืองรอง คอยแล้ว
เหล่าหญิงเลือกให้ครอง รอพี่ ต่อแฮ
ตัวพี่อย่าคลาดแคล้ว เหล่าน้องคอยสนอง ฯ
ส่วนองค์หญิงกัลยาเทวีก็ไม่ยอมแพ้เอื้อนเอ่ยพลางพระสรวลดังลั่นแถมหลิ่วตาอีกด้วย
มังกรทองผ่องแพร้ว หฤทัย พี่เอย
หงส์ฟ้าปีกวิไล หุบซึ้ง
ถ้ำทองผ่องอำไพ หวังเทียบ เมฆินทร์
อันอาจจะโกรธขึ้ง หมดสิ้นถวิลปอง ฯ
พอพระนางกลางจบก็พลางหัวร่อต่อกระซิกกับเจ้าหญิงองค์อื่นๆ
องค์หญิงสิริกัลยาหัวร่อพลางขานแจ้ว
บุรุษใยโลกนี้ ป่วนคนึง
มิคิดความตราตรึง แย่แล้ว
ในสนามรบถูกขึง ฟันฝ่า มากแฮ
เพียงหนึ่งหญิงเพริศแพร้ว พี่เจ้าใคร่ครวญ ฯ
องค์หญิงสิรินภาวดีตรัสขึ้นทันที
ข้าศึกยังเตลิดแล้ว ยามพบ พี่นา
หญิงหนึ่งงามบรรจบ จากฟ้า
กลัวเกรงกลับมิสงบ ฝากต่อ ใครเอย
องค์พี่งามเลิศหล้า สุดแท้ผ่านสนอง ฯ
องค์หญิงประกายแดงเทวีหันไปหยิกแขนชายหนุ่มแล้วเอ่ยว่า
ประกายแดงแนบข้าง ยังยอม พวกเอย
ไม้ดอกกรุ่นกลิ่นพยอม หอบซึ้ง
นางยอมซึ่งชวนดอม ใยพี่ กลัวแฮ
ใครเอ่ยซาบซึ้งบึ้ง กิ่งแก้วเหม่อมอง ฯ
องค์หญิงประกายเขียวพลันทรงพระสรวลลั่นเอ่ยวจีไปพลางหัวร่อไป
ใดใดใยโลกนี้ แปลกจริง
แต่ก่อนเคยแอบอิง สู่น้อง
บัดนี้กลับยากพิง ฟ้าแนบ สวรรค์แฮ
โอ้อกเอ๋ยต้องร้อง แปลกแท้แมนสรวง.ฯ
ครั้นเจ้าหญิงอิสรวดีนารีได้ฟังการหยอกเย้าก็ไล่หยิกทุบตีพวกนางทั้งเจ็ดทันที เหล่าบรรดาแม่นาง
ทั้งเจ็ดก็พากันทรงพระสรวลลั่นห้องแล้วพากันชักชวนกันออกไป ทิ้งไว้ให้ชายหนุ่มอยู่กับแม่นางอิสรวดีนารี
เพียงสองต่อสอง เมื่ออยู่สองต่อสองเจ้าหญิงอิสรวดีนารีก็นั่งเขินอาย ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาสวมกอดแม่นาง
ทันที พลางอุ้มแม่นางเดินไปยังแท่นบรรทมทันที พลางเล้าโลม เจ้าหญิงซึ่งใจปฏิพัทธ์อยู่แล้วก็โอนอ่อนผ่อนตามชายหนุ่มค่อยๆเล้าโลมแล้วค่อยเปลื้องเครื่องทรงออกจนร่างกายเปลือยเปล่า ชายหนุ่มถึงกับตลึงในความ
งดงามยิ่งนัก เพ่งร่างที่ขาวผ่องอวบอัดยามขาดเครื่องทรงก็เผยความสมบูรณ์
ออกมาปทุมพระถันเต่งตึงจงอยสีชมพูตระการเด่นเย้ยผงาดต่อแสงไฟที่ส่องแสง
แวววาววับๆแวมๆ ยิ่งเพิ่มความงามแก่ชายหนุ่ม เมื่อทั้งสองเข้าประคองกอดกันต่างระรื่นชื่น
พระหทัยกันจนทั้งสองฝ่าย
ต่างออดอ้อนด้วยคำหวานซึ้ง จวบจน เสียงฟ้าคำรามลั่นสะท้านไปทั่วฝนก็พลันหลั่งชโลม
พื้นหล้าองค์หญิงเล่าก็ร้องว้ายผวาเข้าซบพระอุระพระสวามี ครั้นฝนพลันหลั่งจนทั่วหล้าไหลริน
ผ่านพื้นพสุธา บ่อน้ำน้อยที่แห้งขอดก็เต็มไปด้วยน้ำฝนล้นรินหลั่งไหลเป็นทางไปตาม
ห้วยหนองลำคลอง ทำให้พื้นดินทั้งเคยแห้งแล้งต่างชุ่มชื้นฉ่ำ พื้นแผ่นดินก็ผุดผ่อง
ไสวอุดมแก่พืชพันธุ์ไม้ต่างที่เรียงรายก็พลอยชุ่มชื่นไปด้วย แล้วพายุฝนฟ้าก็ค่อยๆจางหายไป
ฟ้าก็กลับคืนสู่สภาพเดิมทันที
ครั้นอรุณรุ่งสางเจ้าหญิงทั้งเจ็ดก็พากันเดินเข้ามายังห้องบรรทม ต่างหยอกเจ้าแม่นางอิศวรดีนารีทำให้
แม่นางซึ่งมีใบหน้าอิดโรยยิ่งนัก ก็พาวิ่งไล่ทุบตีแล้วกล่าว่า เอาเถอะน้องเราต่อไปถึงคราวของพวกน้องๆแล้ว
การประยุทธ์ครั้งนี้ใครเล่าจะเป็นผู้ชนะ ทำให้ใบหน้าของเหล่าองค์หญิงต่างแดงกันไปทั้งสิ้นเมื่อสอบถาม
แม่นางอิศวรดีนารีก็มิปิดบัง ตอนนี้ถึงเวลาของน้องจันทิราเทวีแล้วที่จะต้องรับศึกภายในบ้างล่ะ ยิ่งทำให้แม่
นางจันทิราเทวีถึงกับขวยอาย และแล้วเวลาย่อมผ่านไม่อย่างรวดเร็ว พอตกค่ำๆเป็นหน้าที่ของเหล่าองค์หญิง
ทั้งแปดพระองค์ ต่างก็ได้รับสายฝนกันทั่วหน้ามิมีผู้ใดขาดตกบกพร่อง
การศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนักแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุขสดชื่นแก่บรรดาองค์หญิงทั้งหลาย จวบกาลได้ผ่าน
ไปเรื่อย ครั้นครบกำหนดหนึ่งปี บรรดาองค์หญิงต่างก็ตั้งพระครรภ์กันทั้งแปดพระองค์ จวบวาระกาลผ่านไป
ครบทศมาศ ก็ทรงมีพระโอรสพระธิดา พระนางจันทิราเทวี พระนางประกายแดงเทวี พระนางประกายเขียวทรง
ได้พระโอรส นอกนั้นได้พระธิดาทั้งสิ้น แต่เหล่าแม่นางทั้งแปดได้หาทรงอิจฉาริษยากันไม่ต่างช่วยกันเลี้ยงดู
เหล่าพระโอรสและพระธิดาพร้อมๆกัน จนเป็นที่พอพระราชหฤทัยแก่จอมกษัตริย์ยิ่งนักที่มิเห็นผู้ใดอิจฉากัน
ครั้นกาลล่วงไปอีก ต่างก็สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปต่างก็ได้พระราชโอรสและพระธิดาฝ่ายละเท่าๆกันจวบ
จนกาลผ่านไปอาณาจักรเมืองของศิระสุริยะชัยบรรดาไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินต่างอยู่กันสุขเกษมสำราญ แผ่นดิน
ต่างๆที่พระองค์รวบรวมไว้ต่างก็ปรองดองกันดียิ่งนัก หาได้มีการกระด้างกระเดื่องไปไม่จวบจนพระแม่เจ้า
แห่งหงสาวดี พระปิตุลา ตลอดจนเจ้าเมืองอิสราวดีสิ้นสู่สวรรคต ผู้ครองแคว้นอิสราวดีก็ยังถือขนบธรรมเนียม
ความสุขทั้งหลายก็เกิดขึ้นเป็นแผ่นดินแผ่นเดียวกันไม่แตกแยกกันไป ต่างสามัคคี จวบจนพระเจ้าศิระสุริยะชัย
ทรงพระชนม์มายุเข้าสู่วัยชรา วันหนึ่งขณะทอดพระเนตรไปบนท้องฟ้าเพื่อตรวจดูตามดาราศาสตร์เห็นดวงดาว
ประจำเมืองแห่งเมืองศิระสุริยะชัยหม่นหมองและล่วงตกลงมา พระองค์ก็ทรงทราบว่าถึงวาระของพระองค์แล้ว
จึงเสด็จเข้าไปยังห้องพระอักษร ทรงร่างหนังสือขึ้นสามฉบับ ฉบับหนึ่งฝากลาแก่เจ้าหญิงทั้งแปด ฉบับหนึ่ง
การขึ้นครองราชย์ของพระโอรสให้ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่และเสนาบดีทดสอบฝ่ายการเมือง ให้แม่ทัพใหญ่ตลอด
รองแม่ทัพใหญ่ ให้จัดการประลองยุทธ์กันหาผู้ชนะทั้งทางด้านการเมืองและด้านฝีมือปกครองทหารทั้งปวง
ตลอดจนให้พระคุณเจ้าที่ครอบครองวัดในเขตพระราชฐานวัดทางด้านจิตใจด้วย โดยให้ทำเป็นคะแนนไว้เมื่อใคร
ได้คะแนนสูงสุด หากโอรสองค์ใดสามารถผ่านการพิสูจน์ทดลองได้แล้วก็ให้เถลิงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นโอรสองค์ใหญ่หรือองค์รองไม่ว่าจะเป็นฐานันดรใดๆทั้งสิ้น ให้เห็นประโยชน์แก่บ้านเมืองทรง
คัดลอกไว้อีกสี่ฉบับส่งให้แก่อำมาตย์ใหญ่ เสนาบดี แม่ทัพใหญ่ และพระที่ครอบครองวัดในพระราชวัง
ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นการแต่งตั้งองค์พระมหากษัตริย์ขึ้นครองเมืองศิระสุริยะชัย มีหนังสือกำกับไว้ด้วยให้
เหล่าพวกที่ไว้ใจได้นำไปลงนามรับรองไว้ทั้งสิ้นถือเป็นพินัยกรรมสมบูรณ์หากจะขาดใครไปมิได้ โดยแอบมอบ
ให้และสั่งการเป็นความลับสูงสุดแต่ขอสัญญาไว้ด้วย สองฉบับนี้พระองค์สอดไว้ใต้พระเขนยของพระองค์
ครั้นตรวจดูแน่แก่ใจแล้วว่าคืนนี้พระองค์จะสวรรคตก่อนรุ่งสาง ดังนั้นจึงเสด็จไปเยี่ยมเหล่าแม่นางทั้งแปดและ
หยอกเย้าเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้นกาลล่วงเที่ยงคืนไปแล้วจึงขอตัวจากแม่นางทั้งแปดพลางพระดำรัสว่า
พี่เองนั้นก็อายุมากแล้วหากจากน้องทั้งแปดไปอย่าได้เศร้าโศก ด้วยจะทำให้พี่นี้ยิ่งเป็นห่วงนัก พอดำรัสเสร็จก็
เสด็จออกไปเขาห้องพระบรรทม และห้ามมิให้ใครๆเข้าไปรบกวนเพราะรู้สึกว่าเพลียมากจะขอพักผ่อน
ครั้นพระเจ้าศิระสุริยะชัยจากไปพร้อมกับฝากพระดำรัสเช่นนั้น ทำให้เหล่าบรรดาพระมเหสีทั้งแปดพากัน
งวยงง แต่มิได้สงสัยแต่ประการใด ด้วยเพราะได้รับรายงานจากเหล่าสนมกำนัลว่าพระราชโอรสและพระธิดา
จะขอเข้าเฝ้า ดังนั้นจึงปลีกตัวไปยังตำหนักของตัวต้อนเพื่อไถ่ถามถึงเหตุที่พระโอรสและพระธิดาใยจึงมาพร้อมๆกันทั้งแปดพระองค์ แต่หาได้สังหรณ์ใจแต่ประการใดไม่
ครั้นรุ่งสางของวันใหม่พระอาทิตย์ส่องแสงสีนวลอำไพนัก เกิดพายุหมุนท้องฟ้าครึ้มไปทั่วบริเวณเมือง
เหล่าองค์หญิงทั้งแปดก็ให้แปลกใจยิ่งนัก จึงต่างไปชวนกันทั้งแปดเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าศิระสุริยะชัย ครั้นทั้งหมด
ไปยังแท่นพระบรรทมเห็นพระสวามียังนอนหลับตาพริ้มแย้มยิ้มอยู่ก็ไม่สังหรณ์ใจ จนเวลาผ่านไปสายก็ยังไม่
เสด็จลุกจากแท่นพระบรรทม ก็ให้แปลกพระหฤทัยยิ่งนัก พระนางอิสราวดีนารีก็เข้าไปขยับพระวรกายแต่แข็ง
ไปและรีบตรวจช่องพระนาสิกก็ปราศจากลมเข้าออก จึงทราบว่าพระสวามีสิ้นพระชนม์สวรรคตแล้วพระนาง
ก็ร้องกรีดสุดเสียง ทำให้บรรดาพระมเหสีทั้งเจ็ดรีบเข้ามาตรวจพระอาการต่างก็ทรงพระกรรแสงอย่างน่าเวทนา
เจ้าหญิงประกายแดงเทวีเห็นพระกรซุกไว้ใต้พระเขนยก็เรียกเจ้าหญิงอิศวรดีนารีมาให้ตรวจสอบพระเขนย
ก็พบหนังสือสองฉบับจ่าหน้าถึงพระมเหสีทั้งแปด อีกฉบับหนึ่งเป็นพินัยกรรมให้ผู้ครองอำนาจขึ้นครองราชย์
สมบัติสืบต่อไป ก็ทรงอ่านให้เหล่าบรรดามเหสีทราบทันที ว่าการนี้พี่รู้ตัวแล้วว่าจะต้องสวรรคตในคืนนี้ก่อน
รุ่งสาง สิ่งใดผิดพลาดไปขอพระน้องนางยกโทษแก่พี่ ที่ไม่บอกกล่าวให้รู้ไว้ด้วยรู้ว่าหากน้องพี่ทั้งแปดรู้แล้วก็
จะเกิดความไม่สบายพระราชหฤทัยยิ่งนัก พี่ขอลาน้องไปก่อนให้รักษาและถือหนังสือพี่นี้เป็นสำคัญให้ต่างช่วย
กันทำนุบำรุงบ้านเมืองก่อนจะมีพระโอรสองค์ใดขึ้นครองราชย์สมบัติอย่าได้ถือดีถือเด่น หากผู้ใดยังรักพี่อยู่
ก็ขอให้ปฏิบัติตามคำพี่นะ พี่เองนั้นรักน้องพี่ทุกๆคนเสมอภาคกันมาจวบจนหมดอายุพี่แล้ว ลาก่อนน้องแก้ว
ทั้งหลาย ลงพระนามพร้อมกับประทับตราแผ่นดินของเมืองศิระสุริยะชัย
เสียงพายุกึกก้องฝนได้กระหน่ำ บัดดลสายฟ้าฟาดลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้องของโรงพยาบาล
ทำให้เหล่าหมอและพยาบาลต่างตระหนกตกใจไปสิ้น ภายในห้องหนึ่งที่มีร่างชายหนุ่มนอนรักษาตัวอยู่เป็นเวลา
ช้านานที่เขาเรียกว่าเจ้าชายนิทรา เสียงร้องแสดงความยินดีพร้อมกับเสียงฟ้าคำรามเจือจางสายฝนหายไปแล้ว
เมื่อร่างของชายหนุ่มพลันกระดิกตัวได้ทางมือ บรรดาญาติต่างวิ่งไปแจ้งหมอพยาบาลเข้ามาทันที เมื่อหมอและ
พยาบาลเข้ามาแล้ว เข้าตรวจอาการร่างชายหนุ่มพร้อมฉีดยาให้หนึ่งเข็ม ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันที เสียงร้องของ
สุภาพสตรีสูงอายุร้องลั่นห้อง
พ่อธวัชชัยฟื้นแล้ว พ่อๆๆๆรีบเข้ามาดูโดยด่วน ทำเอาบรรดาญาติทั้งหลายที่เฝ้าอาการมาเป็นปีๆต่างพากัน
ดีใจ ครั้นชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งพลันหันไปถามผู้เป็นมารดาว่า
“แม่นี่ที่ไหนล่ะ”
“นี่โรงพยาบาลในกรุงเทพพ่อธวัชชัย ด้วยพ่อธวัชชัยหายไปในระหว่างไปมอบงานเมืองพม่าโน่นแนะ
พวกเราได้ค้นหาพบ พ่อธวัชนอนสลบไม่ได้สติจึงนำไปรักษายังโรงพยาบาลพม่า แต่หมอทางโน้นบอกว่า
เครื่องมือไม่ครบ แม่และพ่อจึงนำลูกบินมายังกรุงเทพเข้ารักษาแต่ลูกกลับนอนหลับใหลคล้ายเจ้าชายนิทราไป
แต่แปลกนะ นี่ไงล่ะในมือยังกำถือก้อนหินแปลกๆสีแดง อีกมือหนึ่งถือขนนกอะไรก็ไม่รู้สวยงามจริงๆ”
มารดาชายหนุ่มพลางล้วงหยิบมาให้ชายหนุ่มดู ชายหนุ่มก็ลอบหยิกแขนตัวเองรู้สึกเจ็บ จึงลุกขึ้นยืนแต่
แม่กลับห้ามไว้ว่ายังไม่หายดี ชายหนุ่มหัวร่อพลางตอบว่าหายดีแล้วครับคุณพ่อคุณแม่ เดี๋ยวขอผมออกไปมอง
ทางหน้าต่างหน่อยนะ ซึ่งหน้าต่างนั้นมองเห็นท้องฟ้ากำลังส่องแสงระยิบระยับด้วยประกายไอความร้อน
ชายหนุ่มจึงนำขนนกวายุภักดิ์กับก้อนแก้วสีแดงคือเลือดงูยักษ์มามอง นี่เราไม่ได้ฝันนี่นา แต่กลับเข้าไปสู่ยังมิติ
ลี้ลับหาใช่ความฝันใดๆไม่ มิฉะนั้นคงไม่มีสิ่งของดังกล่าว แปลกมากๆ แต่ชายหนุ่มก็เก็บสิ่งของสองอย่าง
ลงกระเป๋ากางเกง พลางบอกว่า
“คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมหายดีแล้ว ขอเช็คเอ๊าท์ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว นึกถึงบ้านจัง”
ได้ซิจ๊ะ ให้ลูกไปพักผ่อนที่บ้านเราดีกว่า เดี๋ยวแม่จะให้พ่อไปเช็คเอ๊าท์กลับบ้านเราเลย
ที่คฤหาสน์อันใหญ่โตแถวบริเวณสาธรใต้ ชายหนุ่มออกเดินเล่นในสวนพลางนึกถึงเรื่องราวต่างๆ
พร้อมมองก้อนแก้วสีแดงและขนนกพลางจูบไปบนสิ่งของนั้นให้พลันรำลึกนึกถึงนางทั้งแปดทันที
ฉับพลันก็แลเห็นพระภิกษุชราเดินผ่านหน้าประตูบ้าน ชายหนุ่มแลคล้ายจะคุ้นเคยก็วิ่งไปหาพลาง
อาราธนาให้ท่านหยุดก่อนพระภิกษุรูปชรานั้นหันมามองหน้าชายหนุ่มพลางกล่าวว่า
“โยมคนละวาระกาลแล้วนะอย่าคิดมาก อาตมาก็คือส่วนหนึ่งของที่โยมสั่งไว้ อาตมากล่าวเช่นนี้
โยมคงจะจำได้หรอกด้วยสัญญาของโยมยังไม่อาจลืมเลือนได้ถึงแม้จะคนละมิติกัน อาตมาก็มาจากมิติ
นั้น มาอวยพรให้โยมจง อย่าคิดในอดีตไปด้วย โยมเป็นคนที่เคารพอาตมามากไปเชิญอาตมายังชมพูทวีป
ขอให้สุขสวัสดีมีชัยเถอะโยม อาตมาลาก่อน ด้วยกำหนดเวลาจะปิดทางเสียแล้ว โยมจะฝากอะไรให้กับ
เจ้าหญิงล่ะ”
ชายหนุ่มนั่งพนมมือพลางกราบลง เขาทราบทั้งหมดและกล่าวขึ้นว่า
“นมัสการพระคุณเจ้า ดังนี้กระผมขอฝากสิ่งของสิ่งหนึ่งให้พระคุณเจ้านำไปยังมิตินั้นด้วยและแจ้งว่า
โยมยังคอยอยู่เสมอๆ” พลางยื่นขนนกวายุภักดิ์เพื่อสักขีพยานว่าเขายังอยู่
พระภิกษุชรารูปนั้นก็ยื่นมือมารับขนนกวายุภักดิ์ แล้วร่างก็ค่อยๆจางๆหายไปทันที
ชายหนุ่มก็ก้มลงกราบบนพื้นดินแล้วพลางเดินเข้าไปยังที่พักเพื่อเข้าพักผ่อนต่อไป........
ปล. แม้นเรื่องนี้จะยาวไปอาจจะทำให้ท่านผู้อ่านผิดหวังไป แต่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นตามบางตอนในสมัยพุกาม
แล้วมาจัดแต่ง ส่วนชื่อนั้นข้าพเจ้าตั้งเองทั้งสิ้น เว้นพระเจ้าอลองพญาแห่งหงสาวดี และพระเจ้าอโนรธา
ที่ปกครองแว่นแคว้นพุกาม นับได้เก้าพระองค์ คือ
พระเจ้าอโนรธา พระเจ้าจานสิตา พระเจ้าอลองสิธู พระเจ้าสีหบดี พระเจ้าเซงพะยูเชง พระเจ้าโบดอพญา
พระเจ้าบาคยีดอว์ พระเจ้าชีบอ และพระเจ้ามินดง ที่ต่างรบพุ่งแย่งชิงอาณาเขตจนแตกออกเป็นเก้าแคว้น
แห่งแดนพุกาม.........สวัสดีขอรับผิดพลั้งขออภัยด้วยบ๊ายบาย..........
* แก้วประเสริฐ. *
17 มีนาคม 2553 16:16 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 60
เมื่อหัวหน้าอาลักษณ์ออกเดินทางไปยังท้องพระโรงแล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปยังห้องพระอักษร
อ่านข้อความที่ท่านมหาอำมาตย์เขียนพลางหัวร่อ แล้วก็ร่างหนังสือขึ้นมาใหม่เมื่อลงนาม
และประทับตราแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว ก็แต่งกายโดยมีนางกำนัลคอยช่วยเหลือ ครั้นเรียบร้อย
แล้วก็ออกเดินทางตามด้วยทหารองครักษ์ เข้าสู่ยังท้องพระโรงทันที
ครั้นมาถึงมวลเหล่าทหารองครักษ์ก็ส่งสียงแจ้งแก่บรรดาขุนนางทั้งหลายให้ทราบ
“พระเจ้าอยู่หัวเสด็จแล้ว”
บรรดาเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองต่างยืนพลางเปล่งเสียงถวายพระพรดังลั่นไปทั่วท้องพระโรง
ครั้นชายหนุ่มก้าวนั่งบนบัลลังก์ พลางไต่ถามทุกข์สุขของประชาชนทั้งหลาย ท่านอำมาตย์และ
แม่ทัพนายกองก็ทูลขึ้นว่า
“ข้าพระองค์ได้ออกตรวจสอบถามความเป็นอยู่ของบรรดาประชาราษฎร์ต่างอยู่เป็นสุขดี
และทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองพระเจ้าข้า”
“และเหล่าพวกท่านทั้งหลายล่ะการกินอยู่เป็นอย่างไร”
“ด้วยพระบารมีของพระองค์พวกข้าทั้งหลายต่างก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจกินอยู่อย่างพอเพียงตาม
รับสั่งของพระองค์และยังได้แจกจ่ายบรรดาอาหารแก่พวกที่ยากไร้มิให้เดือดร้อนพระเจ้าข้า”
“งั้นดีแล้ว เมื่อประชาราษฎร์อยู่เป็นสุขเช่นนี้เราก็ให้สบายใจยิ่งขึ้น ขอให้พวกท่านทั้งหลาย
จงหมั่นเอาใจใส่ต่อปวงประชาทั้งปวง ด้วยพวกเรานี้อยู่ได้ก็ด้วยประชาชนทั้งหลายที่นำเงินต่างๆ
มาให้พวกเราได้ใช้จ่ายบำรุงกองทัพ ฉะนั้นขอให้พวกท่านสำนึกถึงบุญคุณของเหล่าประชาราษฎร์
อย่าคิดว่าเราเป็นข้าราชการแล้วมีฐานันดรสูง อย่าได้ดูหมิ่นดูแคลนแก่ประชาชนทั้งหลาย ใช้อำนาจ
โดยหวังผลประโยชน์ส่วนตัวเลย ที่เมืองเราอยู่ได้อย่างดีก็เหตุที่ประชาชนเป็นผู้อุปการะทั้งสิ้น ด้วย
พวกเรามีหน้าที่ขจัดทุกข์บำรุงสุขและปกป้องพวกเขาให้รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ หากยังติดยึดใน
อำนาจราชศักดิ์เห็นว่ามียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าเขาก็จะทำให้เมืองเราเดือดร้อนและทำให้พวก
ประชาชนเกิดความปั่นป่วนการส่งส่วยเข้าสู่ท้องพระคลังก็จะเกิดการอำพรางปิดบังเพราะต้อง
นำผลประโยชน์มามอบให้แก่พวกท่านอีกทางหนึ่ง ฉะนั้นเป็นการเบียดเบียนทำให้เขาไม่บริสุทธิ์ใจได้
ข้าหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจในคำพูดของเรานะ”
“พระเจ้าข้า ในเมื่อเป็นพระดำรัสของพระองค์พวกข้าพุทธเจ้าจะจำใส่เหนือเกล้าและกำชับมวล
เหล่าทหารทั้งปวงให้ยึดถือแนวทางนี้เช่นกันพระเจ้าข้า” บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหาร
ทั้งหลายต่างเปล่งเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน
“เอาล่ะท่านทั้งหลาย เมื่อได้ยินคำกล่าวของพวกท่านข้าเองก็สบายใจนัก ด้วยข้าได้ใช้คนไปเที่ยว
สอดส่องอยู่อีกทางหนึ่งแล้วเหมือนกัน ก็จริงดังที่พวกท่านแจ้งแก่เรา จึงขอขอบใจพวกท่านทั้งหลาย
ไว้ในที่นี้ด้วย ข้าเองยังมีเรื่องหลายประการจะแจ้งให้พวกท่านทราบ” ชายหนุ่มกล่าว
“ท่านหัวหน้าอาลักษณ์มารับคำสั่งจากเราแล้วอ่านทีละฉบับให้เหล่าบรรดาข้าราชการทั้งปวงฟัง”
ครั้นหัวหน้าอาลักษณ์ได้น้อมถวายพระพร แล้วคุกเข่าลงยื่นมือรับหนังสือทั้งสามฉบับแก่ชายหนุ่ม
แล้วก็ ถวายคาราวะ ถอยหลังออกมาแล้วยืนขึ้นอ่านคำสั่งขององค์เจ้าเหนือหัวทันที
“ข้าศิระสุริยะชัยราชันย์ ขอประกาศแต่งตั้งบรรดามวลเหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารทั้งหลาย
ว่า ในเมือบ้านเมืองเราได้รับการช่วยเหลือจากพวกท่านทั้งหลายในการรวบรวมบรรดาแว่นแคว้นเมืองต่างๆ
เป็นปึกแผ่นเดียวกันแล้ว ถึงแม้ว่าอำนาจนี้จะมอบให้เมืองอิสราวดีปกครองแทนก็ตามทีแต่เมืองอิสราวดี
นั้นแต่โบราณกาลมาก็นับเนื่องเป็นสายเลือดอันเดียวกันกับพวกเรา พวกท่านใช้สติปัญญาและความกล้าหาญ
มาด้วยความลำบากยิ่ง ไม่ทอดทิ้งข้ายังสู้อุตส่าห์มารับใช้ข้าสร้างเมืองใหม่ขึ้นได้ จึงเห็นสมควรจะได้รับการ
พิจารณาจากข้าที่มิอาจนิ่งนอนใจได้ จึงขอแต่งตั้งดังต่อไปนี้
ให้ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ที่ปรึกษา ศิระมหาสุรเดชาธิบดี ขึ้นดำรงตำแหน่ง พระปิตุลาของข้า ท่านแม่ทัพ
ใหญ่ ศิระสุรินทราบดี ขึ้นดำรงตำแหน่ง มหาอำมาตย์ใหญ่ฝ่ายขวา ศิระสุรเดชเดชาขึ้นดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์
ใหญ่ฝ่ายซ้าย ท่านศิระสุรการขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ท่านศิระนายะเดชะ ท่านศิระสุระ ท่านศิระนิละกะ
ท่านศิระสุระเดชะ ท่านศิระกะยอ ขึ้นดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพใหญ่ฝ่ายที่ปรึกษา ส่วนแม่ทัพที่ควบคุมทหารเมือง
ทั้งเก้าที่มาร่วมอยู่กับเรา อันมีนามดังนี้
ท่านศิระนายะเดชะ ท่านศิระขึ้นดำรงตำแหน่งรองมหาอำมาตย์ใหญ่เป็นอำมาตย์ที่ปรึกษา ท่านแม่ทัพแห่งเมือง
ทั้งเก้าขึ้นดำรงตำแหน่งอำมาตย์ที่ปรึกษา ส่วนรองแม่ทัพของเมืองทั้งเก้าให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพ บรรดานาย
กองทั้งหลายให้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาตามลำดับชั้น ส่วนท่านศิระนรินทร์สุรการแห่ง
กองทัพม้าทั้งปวงให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพหัวหน้าหน่วยองครักษ์และหน่วยพลรบพิเศษควบคุมภายใน
พระราชวังทั้งหมดขึ้นตรงแก่ข้าแต่เพียงผู้เดียว ส่วนบรรดาพลทหารให้เลื่อนขั้นขึ้นอีกคนละสามขั้นทุกๆนาย
บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆให้ขึ้นเป็นอำมาตย์ที่ปรึกษาแก่ท่านรองอำมาตย์ใหญ่ส่วนรองหัวหน้าเผ่าให้ขึ้นดำรง
ตำแหน่งแม่ทัพขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่และรองท่านแม่ทัพส่วนไพร่พลเผ่าต่างๆให้เป็นชาวเมืองศิระสุริยันทั้งปวงนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ต่อมาหัวหน้าอาลักษณ์ก็อ่านฉบับที่สองขึ้นในท่ามกลางมวลเหล่าข้าราชการทั้งปวงว่า บัดนี้บุตรฝาแฝดซึ่งเสีย
ชีวิตไปแล้วนั้นของท่านศิระอุระกะซึ่งข้าได้ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่แต่หาได้เป็นบุตรีดังเก่าด้วยลืมอดีตไปหมดสิ้นแล้ว ยกให้เป็นพระราชบุตรีของท่านพระปิตุลาของข้าให้ดำรงตำแหน่งเจ้าหญิงของพระปิตุลา มีพระนามว่าเจ้าหญิง
ประกายแดงเทวี เจ้าหญิงประกายเขียวเทวีนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แล้วหัวหน้าอาลักษณ์ก็อ่านหนังสือฉบับที่สามติดต่อทันที่
ข้าเองครั้นครองราชย์สมบัติยังหาผู้สืบราชสมบัติต่อจากข้าและยังไม่มีพระมเหสี จึงคิดใคร่จะ
พระสยุมพรกับพระมเหสีดังนี้ เจ้าหญิงอิสราวดีนารีขึ้นดำรงตำแหน่งเอกอัครมเหสีเจ้าหญิงจันทิราเทวีขึ้นดำรง
ตำแหน่งเอกอัครมเหสีฝ่ายขวา เจ้าหญิงเรวดีอรทัยเทวีขึ้นดำรงตำแหน่งเอกอัครมเหสีฝ่ายซ้าย เจ้าหญิงกัลยาเทวี
เจ้าหญิงประกายแดงเทวี เจ้าหญิงประกายเขียวเทวี เจ้าหญิงสิริกัลยาเทวี และเจ้าหญิงสิรินภาวดีเทวี ขึ้นดำรงตำแหน่งพระมเหสี ส่วนการพระสยุมพรนั้นให้ถือฤกษ์ในอีกสามวันข้างหน้าให้เหล่ามหาอำมาตย์น้อยใหญ่
รีบจัดขึ้นพร้อมอัญเชิญเจ้าปกครองแว่นแคว้นต่างๆมาร่วมในพิธีด้วยนับแต่นี้เป็นต้นไป ครั้นหัวหน้าอาลักษณ์
อ่านหนังสือจบก็นำทูลยังองค์ราชันย์ทันใด
ครั้นพระเจ้าสุริยะชัยราชันย์ฟังหัวหน้าอาลักษณ์ฝ่ายในอ่านสิ้นก็ทรงดำรัสขึ้นอีกว่า
“การที่เราอัญเชิญเจ้าเมืองเหล่าแว่นแคว้นต่างๆมานั้น ก็เพื่อเป็นพระเกียรติแก่เหล่าพระมเหสีทั้งหลาย
ขอให้ข้าราชการทุกๆนายถือว่าเป็นภารกิจของตัวเองด้วยนะ”
“พระย่ะค่ะ พวกเกล้ากระหม่อมจะรีบดำเนินให้เสร็จก่อนพระเจ้าข้า”
เมื่อเหล่าบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารและเหล่าพลทหารที่ได้ยินด้วยมีทหารรายงานแจ้งให้
เหล่าพลทหารที่ยืนเรียงรายอยู่ลานหน้าท้องพระโรง ต่างก็ปลื้มปิติยินดีกันทุกถ้วนหน้า ต่างยิ้มแย้มแจ่มใส
พากันไชโยร้องก้องถวายพระพรทันที เสียงของเหล่าบรรดาทหารกึกก้องสะท้านไปทั่วเมือง เมื่อเหล่า
ทหารที่รักษากำแพงเมืองครั้นทราบก็ต่างพากันเปล่งเสียงร้องขึ้นมาด้วย เมื่อบรรดาประชาราษฎร์ครั้น
ทราบ ล้วนแล้วแต่ใบหน้าแจ่มใสเสียงร้องอวยพรกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง ทำให้เมืองล้วนแต่เสียงไชโย
โห่ร้องกังวานไปทั่ว
แล้วพระเจ้าสุริยะชัยราชันย์ ก็ทรงเรียกเหล่าบรรดาข้าราชบริพารที่แต่งตั้งขึ้นใหม่มารับ
เครื่องอิสริยยศตามตำแหน่งตลอดพื้นที่ใช้ทำมาหากินตามตำแหน่งโดยถ้วนหน้าทุกๆคนแล้วสั่ง
ให้เลิกประชุม พวกบรรดาข้าราชบริพารก็ทูลถวายบังคมลา แล้วก็รีบไปดำเนินการตามรับสั่งมิรอช้า
ข่าวการเฉลิมฉลองเมืองและการสยุมพรขององค์ราชันย์ ก็ถูกแพร่ข่าวกระจายไปทั่วบรรดาแว่นแคว้น
ต่างๆด้วยเวลาอันรวดเร็ว บรรดาเจ้าเมืองทั้งแว่นแคว้นต่างๆก็จัดเครื่องบรรณาการเป็นของขวัญรีบออก
เดินทางมายังเมืองศิระสุริยะชัยมิรอช้า ยิ่งพระมเหสีเมืองหงสาก็ยิ่งตื่นเต้นมากกว่าใครบัดนี้เมืองหงสานั้น
พระมเหสีมอบราชสมบัติให้ท่านอลองพญาขึ้นครองราชย์แทนตามหนังสือที่ชายหนุ่มมอบให้ ทั้งสองพระองค์
แห่งเมืองหงสาก็จัดของขวัญและรีบเดินทางมาทันที
บรรดาประชาชนชาวเมืองศิระสุริยะชัยต่างก็ช่วยประดับประดาบ้านเรือนแห่งตนให้สวยสดงดงาม บรรดา
เหล่าทหารทั้งหลายก็เปลี่ยนชุดใหม่ให้สง่าผ่าเผยงดงามยิ่งนัก เมื่อก่อนครบกำหนดวันพระราชพิธีพระสยุมพรขึ้น
เหล่าบรรดาเจ้าเมืองแว่นแคว้นต่างๆ เมื่อมาถึงเมืองก็ให้ตกใจยิ่งนักด้วยเมืองแห่งศิระสุริยะชัยหาได้เป็นดั่งเมือง
ของพวกตนเองก็หาไม่ ทั้งกำแพงเมืองหอคอยประตูรบก็แปลกประหลาดยิ่งนัก ก็ให้นึกชมเชยความสามารถ
เจ้าเมืองแห่งศิระสุริยะชัยยิ่งนัก เมื่อแลเห็นถึงกับอุทานกันทุกๆเมือง เมื่อเจ้าเมืองต่างๆมากันเกือบครบการจัด
งานครั้งนี้เจ้าเมืองอิสราวดีมาร่วมช่วยทหารชาวเมืองศิระสุริยะชัยเป็นจำนวนมาก มาถึงก่อนบรรดาเมืองทั้งหลาย
เมื่อเจ้าเมืองทยอยกันมาเกือบครบยกเว้นเมืองหงสาที่อยู่ไกลยังมาไม่ถึง ครั้นชายหนุ่มได้รับแจ้งว่าทางเมือง
หงสามาถึงแล้วและทราบว่าพระแม่เจ้าสิริสาอลงกรณ์วดีเสด็จร่วมมาด้วย ก็จัดเหล่าสนมกำนัลตลอดจนบรรดา
พระมเหสีทั้งแปดองค์ออกไปต้อนรับถึงนอกเมือง เมื่อทางบรรดาเมืองหงสามาเห็นว่าองค์ราชันย์เสด็จมาเอง
ก็ยิ่งปลาบปลื้มพระหฤทัยยิ่งนัก พระเจ้าแผ่นดินอลองพญา ครั้นเห็นชายหนุ่มยืนม้าอยู่รายเรียงด้วยพระมเหสี
เหล่าสนมกำนัลนางและทหารรักษาพระองค์ ก็ทรงลงจากหลังมาย่อกายถวายคาราวะแก่ชายหนุ่มทันทีพร้อม
ทรงตรัสว่า
“หม่อมฉันอลองพญาข้าแผ่นดินของพระองค์ขอถวายพระพรพระเจ้าข้า”
“แล้วท่านสบายดีหรือไม่ท่านอลองพญา” ชายหนุ่มกล่าวพลางแย้มยิ้ม
“ด้วยพระบารมีปกเกล้าสบายดี ได้ครอบครองแผ่นดินหงสาก็ด้วยพระองค์ทรงแต่งตั้ง บัดนี้หม่อมฉันทราบ
จากพระแม่เจ้าหมดแล้วพระเจ้าข้า” พลางก้มลงกราบชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มหัวร่อพลางเอ่ยขึ้นว่า
“อันข้าเองนั้นต้องการให้ท่านหาประสบการณ์ในการศึกนี้ไว้ ด้วยในอนาคตท่านนี้ย่อมจะสามารถขยาย
อาณาเขตต่อไปด้วยเป็นเมืองที่ใกล้กับต่างประเทศอยู่และย่อมทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นสุขยิ่ง หากสิ้นข้าไป
แล้วแว่นแคว้นที่ปกครองขึ้นใหม่อาจจะกระด้างกระเดื่องขึ้นได้อีก แม้นจะมีเจ้าเมืองอิสราวดีคอยควบคุมก็ตาม
แต่ท่านอายุมากแล้ว ส่วนท่านยังหนุ่มแน่นย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของบรรดาแว่นแคว้นต่างๆได้ ข้ามองออกว่า
ต่อไปความเจริญรุ่งเรืองจะอยู่ที่เมืองหงสา ต่อไปชื่อเมืองนี้ควรจะเปลี่ยนเป็นหงสาวดีหากเจ้ากลับไปแล้วเรา
ก็ขอให้เจ้าเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็นเมือง “หงสาวดี”เพื่อเป็นสิริมงคลโดยอาศัยติดพระนามพระแม่เจ้าไว้ด้วย”
“ข้าพระองค์จะทรงถือปฏิบัติพระเจ้าข้า บัดนี้พระแม่เจ้าเหนือหัวก็เสด็จมาในพระราชรถแล้วพระเจ้าข้า”
“ถ้าอย่างงั้นข้ากับเจ้าก็ไปรับเสด็จด้วยกันเถิด” พลางหันไปทางบรรดาพระมเหสีที่ยื่นเรียงรายอยู่ให้เข้า
ไปถวายบังคมแม่เจ้าอยู่หัว พลางกล่าวว่า
“น้องหญิง พี่เองนั้นเคารพท่านพระแม่เจ้าดุจดั่งพระมารดาของข้า ขอให้ไปร่วมกันถวายบังคมด้วยกันเถิด”
ครั้นเจ้าเมืองหงสาได้ยินเช่นนั้นก็ให้ถึงกับตลึงที่กษัตริย์แห่งเมืองศิระสุรุยะชัยทรงพระดำรัสเช่นนั้นก็ยิ่งให้
ความเคารพนับถือมากยิ่งขึ้นๆ เมื่อพระราชรถมาถึงทั้งหมดก็ไปคอยต้อนรับหน้าพระสูตร ทันทีที่พระสูตรเปิด
ออก ร่างพระแม่เจ้าแห่งเมืองหงสาเสด็จลง ชายหนุ่มและเหล่าองค์หญิงต่างๆก็เข้าไปถวายบังคมทันที
พระแม่เจ้าเมืองหงสานึกไม่ถึงว่าองค์ราชันย์จะเสด็จมาด้วยตนเองก็ทรงปลื้มปิติน้ำพระเนตรหลั่งไหลทันที
พร้อมเข้าสวมกอดยังชายหนุ่ม พลางดำรัสว่า
“สร้างความลำบากแก่โอรสข้าแล้วแม่จะไปหาเองก็ได้นี่นา”
“หามิได้เสด็จแม่ หน้าที่ของลูกคือต้องมารับเสด็จแม่ถึงจะถูกพระเจ้าข้า”
“แม่เองนั้นก็อยากจะขออะไรลูกสักหน่อยว่าจะรับคำได้หรือไม่” พระนางดำรัสถาม
“เมื่อเสด็จแม่ทูลมีหรือลูกจะให้ไม่ได้พระเจ้าข้า”
“ดีแล้วลูกข้า หลังจากพระราชสยุมพรเสร็จ แม่ก็จะขออยู่ที่เมืองศิระสุริยะชัยไม่กลับเมืองหงสาแล้วลูก
จะว่าประการใด”
“หากเป็นพระประสงค์ของเสด็จแม่ลูกบังเกิดความตื้นตันใจยิ่งนัก จะได้ปรนนิบัติรับใช้เสด็จแม่ด้วย”
ชายหนุ่มกล่าว ครั้นพระแม่เจ้าสิริสาอลงกรณ์วดีได้ยินเช่นนี้ก็สวมกอดพลางจุมพิตพระปรางทั้งสองข้างของ
ชายหนุ่มทันที”
“แม่ได้ยินนี้ก็ให้ปลื้มใจยิ่งนัก แม่ขอฝากชีวิตไว้แก่เจ้าก็แล้วกัน นี่หรือคือองค์หญิงที่จะมาเป็นพระมเหสี
ของลูก โอ้ช่างงดงามทั้งแปดพระองค์เชียวนะลูกรักของข้า” พระนางชมเชยบรรดาองค์หญิงทั้งหลาย ทำให้
บรรดาเจ้าหญิงทั้งแปดต่างเขินเอียงอายไปทุกๆพระองค์.................
* แก้วประเสริฐ. *
16 มีนาคม 2553 19:45 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 59
ในระหว่างการทำพิธีของชายหนุ่มบัดนี้ล่วงเข้าเจ็ดวัน เพียงขาดอีกทิวาเดียวก็ครบตามตำรา
ในค่ำคืนวันที่หก นางทั้งแปดต่างหยอกล้อกันตามประสาหญิง กล่าวถึงว่าหากนางพรายทั้งสอง
หากคืนร่างได้แล้ว ให้พวกเรามาประลองยุทธ์กันว่าใครจะสามารถมีโอรสธิดากันได้ก่อนใคร
ซึ่งทุกๆพวกนางต่างพากันหัวร่อครื้นเครงกันหยิกหยอกเย้ากันเล่นเป็นที่สำราญยิ่งนัก
แต่บัดดลนั้นนางพรายทั้งสองระหว่างการหัวร่อก็หยุดชะงักร่างกายเริ่มโอนเอนไปๆมาๆอยู่
ทันทีทำให้บรรดาเจ้าหญิงทั้งหกสงสัย ด้วยเห็นแม่นางพรายทั้งสองหยุดชะงักการหัวร่อและ
ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งร่างอย่างเห็นได้ชัด ร่างนางพรายทั้งสองพลันค่อยๆจางลงๆไปเรื่อยๆ
ทำให้บรรดาเจ้าหญิงทั้งหกตกใจ พลางถลาเข้าไปสวมกอดแต่ร่างนั้น แต่หาได้กระทบเนื้อดังแต่เก่า
ก่อนก็หาไม่ ต่างคว้าอากาศไปเสียสิ้นทุกๆพระองค์ แล้วร่างแม่นางพรายทั้งสองก็ค่อยๆหายวับไป
เหล่าบรรดาเจ้าหญิงถึงกับตลึงไปทั้งสิ้น ครั้นจะเข้าไปหาชายหนุ่มก็มิได้ ต่างไต่ถามกันไปมา
ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ แม่นางจันทิราเทวีพลันก็เอ่ยขึ้นว่า
“หรือว่าเสด็จพี่เราจะทำพิธีใกล้สำเร็จแล้วกระมัง ร่างนางพรายทั้งสองจึงถูกเรียกไปเข้าร่างที่
นอนอยู่ในพิธีดังกล่าว”
“คงจะจริงซินะ อยู่ๆนางพรายแม่ประกายแดงประกายเขียวถึงได้เป็นเช่นนี้ เราชวนกันไปเฝ้า
รักษาการณ์ก่อนเหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้นได้ เหลือเพียงอีกหนึ่งวันเท่านั้น ฉะนั้นจงรีบแบ่งหน้าที่กัน
ไปควบคุมหน้าต่างประตูทั้งหมดดีกว่า” แม่นางทั้งห้าเอ่ยขึ้น
ดังนั้นพวกเราทั้งหมดนี้ไปกันเถอะ อย่าลืมนำอาวุธติดตัวไปด้วยนะ หากเกิดเหตุอันคาดคิดมิได้
ก็จะได้ช่วยกันป้องกันไว้อย่าได้ประมาท แม่นางทั้งหกก็ต่างนำอาวุธของตัวเองรีบออกไปยืนเฝ้ายัง
หน้าประตูหน้าต่างพร้อมทั้งกำชับทหารองครักษ์ให้ไปแจ้งแก่หัวหน้าองครักษ์ให้เพิ่มทหารขึ้นมา
รักษาการณ์ที่นี้ให้หมด ให้กระจายกำลังตรวจตราดูแลทั้งล่างและบนอย่าให้ขาดสายตาไปได้
บรรดาทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วก็รีบไปแจ้งแก่หัวหน้าองครักษ์ทันที ไม่นานก็ปรากฏทหาร
องครักษ์จำนวนมากถืออาวุธครบมือกระจายกำลังเฝ้าห้อมล้อมไว้ทุกๆด้าน ส่วนหัวหน้าองครักษ์นั้น
ถึงกับเดินตรวจตราด้วยตนเองพร้อมรองหัวหน้า มิให้องครักษ์ใดเผลอไผลหลับไปได้ ต่างคนต่างผลัด
กันเดินตรวจกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนกลางคืนผ่านพ้นไป แต่เจ้าหญิงทั้งหกบอกว่าช่วงกลางวันนี้ก็
สมควรจัดเวรยามใครอ่อนเพลียผลัดกันพักผ่อน แล้วมาเข้ายามต่อไป ส่วนหัวหน้าองครักษ์และรอง
มิยอมหลับนอน ต่างผลัดกันตรวจตราด้วยความเข้มงวดกวดขันยิ่ง
เจ้าหญิงทั้งหกก็หาได้หลับนอนไม่ต่างช่วยกันตรวจตราอย่างเข้มงวดกวดขัน จนล่วงเวลาผ่าน
เข้าสู่ย่ำค่ำ ก็ยังมิเห็นชายหนุ่มออกมาจากห้องพิธีเลย ก็เกิดความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เวลาผ่านไปแต่
ละนาที เหล่าเจ้าหญิงต่างกล่าวว่าช่างเชื่องช้าอะไรเช่นนี้ จวบจนค่ำมืดแล้วนั่นเอง จึงเห็นชายหนุ่ม
ก้าวออกมาจากห้องพิธีแต่หาได้เห็นแม่นางทั้งสองไม่ ต่างพากันตลึงหรือว่าการณ์ครั้งนี้คงไม่สำเร็จ
บรรดาเจ้าหญิงทั้งเจ็ดก็เข้าไปทูลถามทันที
“เป็นไงบ้างเพค่ะ พวกหม่อมฉันต่างจัดกำลังทหารมาป้องกันทุกๆวันเห็นเสด็จพี่ออกมาคนเดียวแล้ว
ไม่เห็นแม่นางพรายเลย หรือว่า????....” พวกนางชะงักมิกล้าเอ่ยประการใด
ครั้นชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็นำเหล่าเจ้าหญิงทั้งหกไปนั่งลงก่อนแล้ว หัวร่อเอ่ยว่า
“บัดนี้พวกน้องพี่ได้น้องใหม่อีกสองนางแล้วล่ะ แต่ตอนนี้กำลังแต่งตัวกันอยู่หากออกมาทั้งที่
ร่างยังเปลือยจะน่าดูหรือไง” แล้วทรงพระสรวลลั่นพลางขอตัวไปชำระล้างร่างกายก่อนด้วยเจ็ดวันนี้
มิได้อาบน้ำเลยแล้วก็จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ด้วย
เมื่อเจ้าหญิงทั้งหกได้ยินเช่นนั้นก็ต่างลูบพระอุระทันที ต่างก็พากันหัวร่อทุกพระองค์จ้องไปที่
หน้าประตูห้องพิธีเพื่อรอดูแม่นางพรายในร่างมนุษย์ เวลาผ่านไปดูช่างเนิ่นนานยิ่งนักด้วยความร้อนรน
พลันเจ้าหญิงทั้งหกก็แลเห็นนางหนึ่งแต่งกายสไบแดง อีกนางหนึ่งพาดสไบสีเขียว อันเป็นเครื่องทรง
ที่เหล่าเจ้าหญิงทั้งหกต่างช่วยกันตัดเย็บขึ้นมา แต่ภายใต้เสื้อนั้นซิช่างเหมาะเจาะอ้อนแอ้นเสียยิ่งกระไร
สะโพกผายสมสัดส่วน เบื้องทรวงก็แลดูช่างล้ำนักถึงกับทำให้เสื้อล้นนูนเด่น ใบหน้าหรือช่างงดงาม
ยิ่งคิ้วโขนงดั่งวงพระจันทร์ดำสนิท
ปานวาดด้วยดินสอรับกับใบหน้า แก้มสองข้างช่างเอิบอิ่ม มีลักยิ้มทั้งสองข้าง ดั่งนางในฟ้ามิปานทำให้
บรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายถึงกับตลึงงันไปทั้งหกพระองค์
ครั้นนางทั้งสองเดินเข้ามาหาเจ้าหญิงทั้งหกแล้วพลางทอดสายบัวคาราวะถวายบังคมเจ้าหญิงทั้งหกทันที
ยิ่งเพ่งมองใกล้ก็ยิ่งงามสวยเด่นยิ่งนัก เหล่าเจ้าหญิงถึงกับพระโอษฐ์พระเนตรค้างไปตามๆกัน
นางสไบแดงนางสไบเขียวพลางเอ่ยว่า
“เสด็จพี่ทั้งหลายทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่าเพค่ะ จำหม่อมฉันไม่ได้แล้วหรือ หม่อมฉันประกายแดงไงเพค่ะ
และหม่อมฉันประกายเขียวเพค่ะ”
เมื่อเจ้าหญิงตื่นจากความงดงามของนางทั้งสองพลางรีบเข้ามาสวมกอดต่างก็ชมเชยนางทั้งสองต่างๆนาๆ
ทำให้แม่นางประกายแดงประกายเขียวถึงกับม้วนอายไปทันที
“ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็สวยสู้เสด็จพี่มิได้หรอกเพค่ะ” นางทั้งสองตอบ
“โอ้น้องเราทั้งสอง เจ้าใยจึงงดงามยิ่งนัก พี่ทั้งหกชักจะอิจฉาเจ้าเสียแล้ว” พลางเจ้าหญิงทั้งหกก็ทรงพระสรวล
แล้วพลางกันเข้าสวมกอดแม่นางทั้งสองทันที
ทั้งหมดเมื่อนางพรายเป็นมนุษย์ไปแล้วต่างก็หยอกเย้าล้อเล่นดังเดิม เจ้าหญิงจันทิราเทวีพลางกล่าวว่าการ
ประลองยุทธ์ของเราทั้งแปดนี้ เห็นทีจะพ่ายแพ้แก่แม่ประกายแดงและประกายเขียวเสียแล้วกระมัง จริงไหม?....
เสด็จพี่อิสราวดีนารี หรือน้องทั้งสี่ว่าเป็นดั่งที่พี่กล่าวหรือไม่”
จริงเพค่ะดังเสด็จพี่จันทิราเทวีกล่าวไม่ผิดหรอก แล้วทั้งแปดก็วิ่งล้อเล่นหยอกเย้ากันจับโน่นจับนี่กันชุลมุน
ไปหมด วิ่งไปรอบๆห้องพระบรรทมขององค์กษัตริย์
ครั้นชายหนุ่มก้าวเข้ามาหลังจากเปลี่ยนเครื่องแต่งกายสีขาวแล้ว ทรงพระฉลองพระองค์ใหม่ก็หัวร่อพลาง
เข้าหยอกล้อแก่เหล่านางทั้งแปดทันที เป็นที่สุขเกษมพระสำราญพระหฤทัยกันถ้วนหน้า ชายหนุ่มก็เรียกทหาร
องครักษ์ให้รีบไปแจ้งแก่หัวหน้าเหล่านางกำนัล เพื่อไปทำความสะอาดและจัดตำหนักของแม่นางประกายแดง
และแม่นางประกายเขียวที่สร้างวังติดกันแล้วจัดหานางกำนัลเพื่อสนองรับใช้ทั้งสองนางทันทีอย่าได้ขาดตก
บกพร่องแต่ประการใด ทหารองครักษ์ก็รีบไปแจ้งแก่หัวหน้านางกำนัลทั้งหลายทันที แล้วกลับมาทูลว่าได้
สั่งหัวหน้านางกำนัลตามรับสั่งแล้ว ก็รีบออกไปทำหน้าที่ทันที
เหล่าเจ้าหญิงและแม่นางทั้งสองก็ต่างหยอกล้อกับชายหนุ่มต่อไป จวบจนเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันกลับไปวัง
นางประกายแดงและนางประกายเขียว ต่างงุนงงด้วยเหตุที่ว่าตลอดมาได้เคียงแนบชิดกับชายหนุ่มเสมอมามิเคย
ห่างไป แต่มาบัดนี้จำต้องแยกไปอยู่ตามตำหนักที่ถูกกำหนดให้
ก็ให้รู้สึกอาลัยยิ่งนัก พลางคิดในใจว่ารู้แบบนี้ก็จะไม่ขอคืนกลับเป็นมนุษย์อีกดีกว่า แต่ทำไงได้หากขอร้องต่อชายหนุ่มก็เกรงพระหทัยบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายจึงต้องเดิน ตามนางกำนัลไปยังตำหนักของแต่ละนางทันที
แต่ทว่านางทั้งสองนั้นก็ขอนอนร่วมด้วยกันเพราะเหตุว่าไม่เคยแยกจากกันมานานแล้ว ต่างสัญญาว่าจะผลัดกัน
ไปนอนยังตำหนักคนละวันผลัดเปลี่ยนวนเวียนกันไป จึงพากันเข้าไปพักยังตำหนักของแม่นางประกายแดงก่อน
ทั้งสองพูดตรงกันว่าเราต่างได้ร่างของลูกสาวหัวหน้าเผ่าแต่เราไม่รู้จัก ถ้าหากหัวหน้าเผ่าเจอพวกเรา
แล้วจะทำอย่างใดดี ต่างคนก็ปรึกษาหารือกันว่า หากมาดแม้นเจอและเขาจำได้ให้เราทำเป็นไม่รู้จักก็แล้วกัน
ด้วยเราเองยังไม่รู้จักหัวหน้าเผ่าเสียเลยด้วยเวลานั้นเราต่างพักผ่อน หรือว่าเราทั้งสองจะปล่อยโดยสวมรอยเสีย
เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ติฉินนินทาจากพวกเผ่าภายหลัง อย่างไรวันรุ่งขึ้นค่อยไปถามท่านพี่ดีกว่า ครั้นตกลงกันได้แล้ว
ต่างก็เข้านอนร่วมกันบนที่บรรทมเดียวกันทันที
ด้วยมิอาจจะทนต่อความง่วงเหงาหาวนอนของความเป็นมนุษย์ซึ่งบังคับไปด้วยธรรมชาตินั่นเอง
ตอนแรกๆก็นอนไม่หลับด้วยตอนเป็นนางพรายนั้นกลางคืนคือกลางวันของพวกนาง แต่บัดนี้กาลกลับเปลี่ยนไปเสียแล้ว ร่างกายจึงต้องการในสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา ครั้นฝืนๆก็ยังมิอาจทำได้
ต่างคุยกันไปคุยกันมาถึงเรื่องราวในอนาคตต่อไป เพียงสักพักเดียวแม่นางประกายเขียวก็หลับใหลไป
ก่อน แม่นางประกายแดงครั้นเห็นน้องหลับไปแล้ว ก็คิดว่าแม่นางทั้งหกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นองค์หญิงทั้งสิ้นแล้ว
เราทั้งสองล่ะท่านพี่จะคิดประการใด ยิ่งคิดไปยิ่งทำให้กลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่งแต่ไม่รู้จะทำประการใด จนทน
ความง่วงนอนไม่ไหวพาหลับใหลตามน้องสาวไป
ครั้นเมื่อเหล่าแม่นางทั้งแปดไปหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มหาบรรทมไม่กลับมานั่งคิดด้วย
เหตุว่าเหล่าเจ้าหญิงหกองค์ล้วนแต่มีเชื้อกษัตริย์ทั้งสิ้น แม่นางพรายทั้งสองหาได้เป็นเช่นนั้นแต่พลันนึกได้ว่าแม่
จันจันทิราเทวีก่อนเก่าก็หาได้เป็นองค์หญิงใดไม่ เมื่อแม่นางอิศวรดีนารีสละราชสมบัติแล้วให้ท่านมหาอำมาตย์
เหมี่ยวมังกะยอชวาขึ้นครองราชย์สมบัติเมืองอิสราวดี ดังนั้นฐานันดรจึงเกิดขึ้นแก่บุตรีตนขึ้นเป็นองค์หญิงทันที
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ร่างที่แม่นางพรายครอบครองอยู่นั้นก็เป็นบุตรีของหัวหน้าเผ่าอยู่เทียบเท่ากับเมืองๆหนึ่ง
หากเราจะแต่งตั้งหัวหน้าเผ่าขึ้นมียศฐานันดรให้เปรียบเสมือนดังเจ้าเมืองคนหนึ่ง ก็สามารถทำให้บุตรีฝาแฝดนี้
กลับกลายเป็นองค์หญิงไปได้ ด้วยเราจะประกาศแต่งตั้งพร้อมๆกับแม่นางพรายทั้งสองทันทีให้มีศักดิ์เป็นเจ้าหญิง
คงจะไม่น่าเกียจใดนัก เมื่อคิดเสร็จผู้ที่จะดำเนินการได้คือท่านลุงเรานี่แหละ ค่อยผ่อนคลายอารมณ์ฟุ้งซ่านได้จึง
เข้าพระบรรทมทันที
เมื่อตะวันขึ้นแล้วก็มีรับสั่งให้ทหารองครักษ์ไปแจ้งแก่ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ที่ปรึกษา ว่าข้ามีคำสั่งขอเชิญเข้า
พบด่วนด้วย เมื่อทหารองครักษ์รีบไปแล้ว ไม่นานนักท่านผู้เฒ่าก็ก้าวเข้ามายังห้องพระบรรทม ชายหนุ่มเชิญ
ให้นั่งยังเก้าอี้และสั่งให้นางกำนัลนำอาหารมาเลี้ยงดูแก่ท่านมหาอำมาตย์ทันที
ครั้นท่านผู้เฒ่าเห็นเช่นนั้นก็ให้นึกแปลกใจแต่ไม่กล้าถามประการใด จนชายหนุ่มเอ่ยขึ้นระหว่างทานอาหารเช้า
ผ่านไปไม่นานว่า ท่านพ่อลุงข้าเองกลัดกลุ้มใจนักในเรื่องของแม่นางพรายนั้นว่าจะทำฉันท์ใดดีแล้วก็เล่าความคิด
อ่านของตนให้ท่านผู้เฒ่าฟัง ท่านผู้เฒ่าครั้นได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ก็พลางหัวร่อขึ้นมาพลางเอ่ยว่า
“ใยพระองค์จะทรงหมองพระหทัยไปใยเล่า ด้วยอำนาจในเมืองศิระสุริยะชัยนี้ พระองค์ทรงปกครองไพร่ฟ้า
ประชาราษฎร์จนร่มเย็นเป็นสุข มีหลายเผ่าต่างก็พากันมาจำนวนมาก หากจะทำเป็นพระราชสาสน์แต่งตั้ง
แม่นางทั้งสองใครเล่าจะกล้าคัดค้านอีกประการหนึ่ง บรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารทั้งหลายต่างก็เชื่อฟัง
ในพระองค์อยู่แล้ว หากจะให้เหมาะสมแนบเนียนก็ควรแต่งตั้งให้บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆเป็นเชื้อพระวงศ์โดย
สมมุตแล้วให้ฐานันดรเป็นอำมาตย์ด้วย บรรดาหัวหน้าเผ่านั้นก็เปรียบดั่งเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งอยู่แล้วก็จะทำ
ให้คนในราชสำนักซึ่งไม่มีใครเลยสักคน ว่าการครั้งนี้เพื่อรวบรวมความปึกแผ่นแก่แผ่นดินก็จะเสมือนยิงนกได้
ที่เดียวได้สองตัว ก็จะทำให้บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างๆบังเกิดความซื่อสัตย์สุจริตตลอดจนมวลเผ่าต่างๆ ซึ่งข้าเอง
รวบรวมทำหนังสือบันทึกไว้มีทั้งหมดเจ็ดเผ่า เผ่าเล็กๆสามเผ่า เผ่าใหญ่มีสี่เผ่ารวมทั้งบิดาของแม่นางฝาแฝดด้วย
ก็จะไร้ครหานินทาใดไม่
ในวันนี้ครั้นประชุมเหล่าข้าราชการประจำอยู่แล้ว ข้าพระองค์ก็จะร่างหนังสือให้พระองค์ทรงลงนาม
พระปรมาภิไธยประทับตราแผ่นดินที่จัดทำขึ้นไว้แล้ว การครั้งนี้ก็จะสำเร็จ
ที่สำคัญราชวงศ์ของเราก็พึ่งตั้งขึ้นมาใหม่ๆหาได้มีการสืบเชื้อสายมาแต่อย่างใดนอกจากพระองค์เพียงองค์เดียว
เท่านั้น หากได้หัวหน้าเผ่าเข้ามาร่วมฐานันดรด้วยฐานะเมืองศิระสุริยะชัยก็จะกว้างใหญ่ไพศาลขจรไปไกล
ครอบคลุมยังบรรดาขุนเขาทั้งหลายเป็นการขยายอาณาเขตไปในตัวเอง โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
แต่ประการใดไม่พระเจ้าข้า”
ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้นก็ให้บังเกิดเสมือน ยกภูเขาออกจากออกพระอุระ
หากในพระหทัยของชายหนุ่มนี้ย่อมจะผูกพันแก่แม่นางพรายมากกว่าบรรดาเจ้าหญิงทั้งปวง
ด้วยผจญภัยกันมาและอีกประการหนึ่งเป็นนางทั้งสองแรกที่เรารู้จักก่อนใครๆทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงหัวร่อพลางคาราวะท่านพ่อลุงทันที
“หากมาดแม้นมิได้ความคิดพ่อท่านลุงกล่าวมาเช่นนี้ จึงขอความกรุณาร่างหนังสือแก่เราก่อนประชุมเหล่า
อำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลายด้วยเถิด”
“พระเจ้าข้า หม่อมฉันจะออกไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ “กล่าวเสร็จก็น้อมคาราวะชายหนุ่มออกเดินทางไปทันที
คราวนี้ชายหนุ่มจึงเดินไปยังห้องพระอักษรทันทีร่างหนังสือขึ้นอีกสองฉบับ แล้วเก็บไว้ในเบื้องพระอุระพลาง
ออกจากพระราชตำหนักหลวง เพื่อเข้าประชุมในท้องพระโรงทันที ระหว่างเดินทางใกล้จะถึงท่านมหาอำมาตย์
ก็ยื่นหนังสือให้ทรงทอดพระเนตร ชายหนุ่มอ่านเนื้อความแค่เพียงแต่งตั้งบรรดาหัวหน้าเผ่าขึ้นมีฐานันดรศักดิ์
ถึงเชื้อพระวงศ์ก็ทรงพอพระราชหฤทัย แล้วย้อนกลับไปยังห้องพระอักษรเพิ่มข้อความลงไปอีกลง
พระปรมาภิไธยประทับตราแผ่นดินทันที ท่านมหาอำมาตย์ยืนคอยหน้าห้องพระอักษร แต่พลางสั่งว่า
“ให้ท่านพ่อลุงเข้าไปในท้องพระโรงก่อน เดี๋ยวหลานจะตามไปด้วย”
เมื่อมหาอำมาตย์ใหญ่ได้รับพระราชบัญชาเช่นนั้นก็รีบเดินทางเข้าไปยังท้องพระโรงทันที ชายหนุ่มเดินไป
ยิ้มไป พลางเรียกหัวหน้าอาลักษณ์มาพบแล้วกระซิบบอกความนัย ให้หัวหน้าอาลักษณ์เดินทางเข้าท้องพระโรง
ก่อน เดี๋ยวจะเสด็จตามไป..............
* แก้วประเสริฐ. *
16 มีนาคม 2553 14:06 น.
แก้วประเสริฐ
ลุ่มลึกอิสราวดี 58
เมื่อชายหนุ่มตรวจสภาพภายในเมืองศิระสุริยันต์เสร็จสมบูรณ์ พร้อมให้จัดสร้างอารามวัดขึ้นภาย
ในเขตราชฐานเป็นวัดทางพุทธศาสนาพร้อมจัดส่งทูตเดินทางไปยังชมพูทวีปอัญเชิญพระภิกษุมาครอง
วัดแก่ท่านผู้เฒ่า ครั้นงานสร้างอารามหลวงเสร็จสมบูรณ์ ชายหนุ่มก็ปรึกษากับผู้เฒ่าเพื่อหาทางปราบ
ดาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติเมืองศิระสุริยันต์ ครั้นได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว ก็จัดประชุมเหล่าอำมาตย์
แม่ทัพนายกองขุนทหารทั้งหลายทันทีภายในท้องพระโรง ผู้เฒ่าก็ทรงประกาศแก่เหล่าอำมาตย์แม่ทัพ
นายกองขุนทหารทั้งหลายให้ทราบว่า
บัดนี้สมควรจะหากษัตริย์ขึ้นปกครองเมืองศิระสุริยันต์ได้แล้ว จึงเห็นสมควรอัญเชิญให้ท่าน
มหาอุปราชทรงขึ้นครองราชย์สมบัติสืบต่อไป ซึ่งได้ปรึกษากับท่านมหาอุปราชแล้วถึงฤกษ์งามยามดี
ว่าบัดนี้จะปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งเมืองศิระสุริยันต์ขึ้นใหม่แทนที่ล่มสลายไปในนามว่า
พระเจ้าศิระสุริยะชัย แห่งราชวงศ์ ศิระสุริยะราชัน พวกท่านจะเห็นเป็นประการใด
เหล่าบรรดาอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหารทั้งหลายต่างเปล่งเสียงแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
จึงอัญเชิญ พระมหาอุปราชให้นางสนมกำนัลซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลูกของเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งสิ้น
นำพานรองรับมหามงกุฎมาทันที พร้อมฝ่ายนางรำ ฝ่ายดนตรีเพื่อเฉลืมฉลองการปราบดาภิเษกครั้งนี้
ครั้นบรรดานำพานทองที่วางด้วยมหามงกุฎที่จัดสร้างขึ้นใหม่ เป็นลวดลายงดงามยิ่งนักตรงหน้า
มหามงกุฎประดับด้วยไข่มุกเรืองแสงตรงกลางพระมหามงกุฎส่งแสงแวววาวรายล้อมด้วยแก้วนพเก้า
แล้วล้อมด้วยเพชรนิลจินดาเรียงรายรอบลวดลายเป็นลายช่อลายดอกไม้พร้อมก้านช่อซึ่งทำด้วยทองคำ
เมื่อท่านผู้เฒ่ารับพานที่รองมหามงกุฎมาแล้วก็ยื่นน้อมถวายแก่องค์ท่านมหาอุปราชทันที ชายหนุ่ม
ก็นำมหามงกุฎขึ้นครอบบนศีรษะทันที เสียงมโหรีและนางรำฟ้อนถวายพร้อมโปรยปรายดอกไม้
ที่ส่งกลิ่นหอมนานาชนิดไปยังพระแท่นบัลลังก์ทันใด ครั้นปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบูรณ์
พระเจ้าศิระสุริยะชัยก็นั่งลงยังบัลลังก์พร้อมทรงรับสั่งแก่เหล่าอำมาตย์แม่ทัพนายกองขุนทหาร
ทั้งหลายทันที ว่านับแต่นี้เป็นต้นไปให้ทุกๆคนแม้แต่ภายในครอบครัวตลอดจนบริวารทั้งหลาย
ให้เพิ่มชื่อคำว่าศิระนำหน้าหากมีบุตรชายให้ใช้คำว่า”ศิระ”นำหน้าทุกๆคน เพื่อจะได้แสดงว่า
เป็นชาวเมืองศิระสุริยะราชันและขอท่านผู้เฒ่ามหาอำมาตย์ใหญ่แห่งเมืองศิระสุริยะราชัน
จงนำสาสน์ของข้าไปแจ้งและปิดประกาศให้เหล่าประชาราษฎร์ที่มาพึ่งพาอาศัยในเมือง
ศิระสุริยะราชันทราบทุกนาย นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
แล้วทรงมอบสาสน์ให้ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่รับไปคัดลอกให้เหล่าทหารไปประกาศทั้งทาง
ทหารและปิดไว้ในที่สาธารณะชนทั่วๆไปด้วย ท่านผู้เฒ่ามหาอำมาตย์ใหญ่น้อมถวายบังคม
เข้ารับพระราชสาสน์แล้วถอยออกมาส่งมอบให้อาลักษณ์ส่วนตัวรีบไปจัดการโดยด่วน โดยปราศ
จากแว่นแคว้นเมืองใดๆทั้งสิ้น ด้วยเป็นไปตามพระประสงค์ขององค์เหนือหัวเพื่อมิให้เอิกเกริกนัก
เพียงแต่ส่งสาสน์ไปให้แก่เจ้าเมืองอิสราวดีทราบเท่านั้นหลังจากปราบดาภิเษกแล้ว ทรงสั่งเลิกประชุม
ครั้นเจ้าเมืองอิสราวดี พระเจ้าอโนรธาทราบก็เสด็จพร้อมเครื่องราชบรรณาการมาเยี่ยม
พระเจ้าศิระสุริยะชัยก็ทรงขอร้องแก่พระเจ้าอโนรธาว่าหากจะแจ้งแก่เมืองแว่นแคว้นต่างๆ
ก็ไม่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาหรือเสด็จมาเอง พระเจ้าศิระสุริยะชัยจะเสด็จไปเยี่ยมเยียนเอง
เมื่อพระเจ้าอโนรธาทราบความพระประสงค์เช่นนั้นก็น้อมรับ แต่ขอทราบเหตุผลซึ่งพระองค์ก็ทรง
ชี้แจงว่าไม่ต้องการให้เอิกเกริกทำความเดือดร้อนด้วยพึ่งสร้างเมืองใหม่ๆ การต้อนรับจะไม่
สมพระเกียรติแก่เหล่าเจ้าเมืองทั้งหลาย ด้วยประชาราษฎร์ยังไม่พร้อมการทางการก็ยังต้องปรับปรุงอีก
พระเจ้าอโนรธาก็ทูลขอพบพระราชบุตรีด้วย ชายหนุ่มก็ไม่ขัดข้องทรงให้ทหารองครักษ์ฝ่ายในนำ
พระเจ้าอโนรธาหรือมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาใหญ่นั่นเอง เข้าพบกับเจ้าหญิงจันทิราเทวีทันที ดังนั้นพ่อลูก
ก็ถามไถ่ความทุกข์สุขกันและกัน และเจ้าเมืองอิสราวดีก็ทรงปลาบปลื้มพระหฤทัยยิ่งนักที่ทราบว่าชายหนุ่ม
นั้นเอ็นดูรักใคร่ เพียงสงสัยว่าเหตุใดยังไม่ปราบดาภิเษกเหล่าพระมเหสีทั้งหลายขึ้น
เจ้าหญิงก็ทรงพระสรวลพลางกระซิบตอบแก่เจ้าเมืองอิสราวดีให้ทราบ ดังนั้นพระองค์ก็ทรงพระสรวล
นึกชมพระบารมีเจ้าเมืองศิระสุริยะราชันที่สามารถครองใจนางงามได้ถึงแปดพระองค์
ครั้นได้เวลาก็ไปเฝ้าชายหนุ่มแล้วก็ฝากฝังราชบุตรีแล้วเสด็จกลับไปยังเมืองอิสราวดี
ขอทรงอนุญาตให้แจ้งข่าวแก่บรรดาเมืองต่างๆให้ทราบด้วยและแจ้งความประสงค์เพราะเคยร่วมรบผ่านศึก
สงครามมาด้วยกันทราบ มิฉะนั้นอาจจะทำให้บรรดาเจ้าเมืองต่างๆน้อยพระหทัยได้
ชายหนุ่มก็อนุญาตแต่ให้แจ้งแก่บรรดาเจ้าเมืองว่าพระองค์จะเสด็จไปเยี่ยมเยียนเอง
เมื่อเจ้าเมืองอิสราวดีเสด็จกลับไปแล้ว ชายหนุ่มให้นึกถึงแม่นางพรายทั้งสองว่าจะทำฉันท์ใดดีจึงเรียกแม่นาง
ทั้งหกมาร่วมปรึกษากัน ครั้นเมื่อแม่นางทั้งหกฟังแล้วก็ทรงเล่าการคืนร่างของแม่นางพรายให้แม่นางฟังถึงการ
กลับคืนร่างของทั้งสอง เมื่อแม่นางทั้งหกได้รับฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น ต่างพากันปรึกษากันแล้วแม่
นางอิสราวดีนารีก็ทรงพระดำรัสว่า
“เรื่องแม่นางพรายทั้งสอง น้องทั้งหกจะพยายามช่วยท่านพี่เองอย่าได้กังวลสิ่งใดไปเลยเพค่ะ”
“ พี่ขอขอบใจน้องทั้งหกเป็นอย่างมากช่วยสอดส่องว่าใครสิ้นชีพไปแต่อย่าให้เกินสามวันเป็นอันขาด
หากได้ร่างที่ไม่เกินหนึ่งวันก็จะทำพิธีได้เร็วเท่านั้น”
“แล้วชาตาของแม่นางทั้งสองล่ะกำหนดไว้เมื่อไหร่มีกำหนดหรือไม่เพค่ะ”
“ ตามตำราที่พี่ศึกษามานั้นคงจะภายในเดือนนี้แหละ แต่ทว่าภายในเมืองของพวกเรานั้น มีบรรดาครอบครัว
ของเหล่าทหารเท่านั้น ได้ข่าวว่าภายในอาณาเขตรอบๆล้วนแต่หัวหน้าเผ่าต่างๆจะพากันมาขอพึ่งพิงอาศัยด้วย
เรื่องนี้พี่เองให้ท่านผู้เฒ่าเป็นผู้คัดเลือก หากเหมาะสมก็ให้เข้ามาอาศัยภายในเมืองได้ พี่เองนั้นไม่อยากจะให้เป็น
ที่เอิกเกริกไปนัก ด้วยต้องการจะอยู่สถานที่สงัดจึงมาเลือกชัยภูมิแถบนี้ ฉะนั้นยากแก่คนค้นพบยิ่งนักน้องรัก
หากเดี๋ยวคืนนี้พี่เองจะเฝ้าตรวจดวงดาวอีกครั้งหนึ่งว่าสิ่งที่กล่าวมานี้นั้นจะอยู่ทางทิศใด” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
ครั้นเวลาค่ำนางพรายปรากฏร่าง ชายหนุ่มก็ให้แม่นางพรายทั้งสองไปหาแม่นางทั้งหกทันทีว่าตัวเองจะขอ
ศึกษาด้านดาราศาสตร์สักหน่อย ครั้นแม่นางพรายรับทราบก็เดินหายไปทันที ชายหนุ่มก็เสด็จออกมายังระเบียง
ห้องบรรทม ออกมายืนเพ่งท้องฟ้า ซึ่งเป็นข้างแรมปราศจากดวงจันทร์จึงปรากฏดาวมากมายระยิบระยับ
พร่างพรายไปทั่ว ชายหนุ่มพลางนึกถึงหนังสือตำราทางด้านดาราศาสตร์ทบทวนทันที
บัดดลก็เห็นดาวทอแสงเจิดจ้าสองดวงพุ่งล่วงหล่นมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้คู่กันมาก็ให้นึกแปลกใจยิ่งนัก
ครั้นทบทวนตามตำราก็ทรงทราบทันทีว่า บัดนี้ถึงโอกาสของแม่นางพรายทั้งสองแล้วที่จะได้ร่างกลับคืนมาเป็น
มนุษย์ได้ จึงหันหลังกลับเข้ายังพระที่บรรทมรีบนำหนังสือมาทบทวนอีกครั้งหนึ่งก็แจ้งประจักษ์ทันทีก็ทรงดี
พระราชหฤทัยนัก ว่าพรุ่งนี้จะออกไปตรวจยังทิศตะวันออกเฉียงใต้บางทีอาจจะได้เค้ามูลมาบ้างแล้วก็ทรงพระ
บรรทมทันที
ครั้นรุ่งเช้าท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ว่ามีหัวหน้าเผ่ามาขอพึ่งพาพระบารมีเข้าร่วมอาศัยในเมือง
ศิระสุริยะราชันขอเข้าอยู่อาศัย ชายหนุ่มทรงถามไปว่าแล้วหัวหน้าเผ่าดังกล่าวนั้นมาทางทิศใด
หรือท่านพ่อลุง ท่านมหาอำมาตย์ใหญ่ก็ทูลว่า
“อันหัวหน้าเผ่านี้มีคนติดตามมาจำนวนมากนับได้เป็นหมื่นคนมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้พระเจ้าข้า”
เมื่อชายหนุ่มได้รับฟังก็ให้สะดุ้งพระหทัยยิ่งนัก จึงดำรัสขึ้นว่า
“ท่านพ่อลุงงั้นเดี๋ยวหลานจะออกไปรับด้วยตัวเอง ด้วยสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกลว่า
จะได้สิ่งที่สมปรารถนาในคราวนี้เองแหละ ขอให้ไปเรียกแม่นางทั้งหกให้ติดตามไปด้วยนะ”
“พระพุทธเจ้าข้า จะรีบไปแจ้งแก่เหล่าเจ้าหญิงทั้งปวงเดี๋ยวนี้ แล้วพระองค์จะเสด็จเมื่อใดหรือพระเจ้าข้า”
“เมื่อครบถ้วนรวมพ่อท่านลุงแล้ว ก็ออกเดินทางไปรับได้เลย” ชายหนุ่มกล่าว
พอตกเกือบเที่ยง กษัตริย์แห่งศิระสุริยะราชันพร้อมด้วยมหาอำมาตย์ใหญ่และแม่นางทั้งหก
พร้อมด้วยขุนทหารก็ออกเดินทางไปคอยรับหัวหน้าเผ่าตามทิศดังกล่าวทันที
ครั้นขบวนของหัวหน้าเผ่าแลเห็นก็ให้ตกใจยิ่งนักที่เห็นเหล่าบรรดาทหารและองค์กษัตริย์มารับด้วยตนเอง
เช่นนั้น ก็รีบเข้าไปถวายตัวทันที
“ข้าแด่องค์เจ้าเหนือหัว ข้าหม่องอุระกะหัวหน้าเผ่าคิกิแห่งดินแดนเทือกเขาคุระกะนำเผ่ามาเพื่อหวังพึ่ง
พระบรมโพธิ์สมภารพระเจ้าข้า ข้ามวลเหล่าชาวเผ่าขอน้อมถวายพระพรพระองค์พระเจ้าข้า” แล้วพลางหันไป
สั่งแก่ชนเผ่าให้น้อมถวายความเคารพทันที บรรดาชาวเผ่าทุกๆคนต่างทรุดตัวลงกราบถวายตัวทันที
พลันชายหนุ่มก็ถามหัวหน้าเผ่าทันทีว่า มีบุตรธิดากี่คน หัวหน้าเผ่าก็บังเกิดใบหน้าสลดลงทันทีพลางกราบทูลว่า
“ข้าพระองค์มีบุตรหนึ่งบุตรีแฝดสองพระเจ้าข้า แต่ในระหว่างทางก่อนจะถึงเมืองบุตรีของข้าไม่ทราบด้วยเหตุ
ใดพึ่งจะเสียชีวิตไปในขณะจะพบพระองค์เองพระเจ้าข้า” หัวหน้าเผ่าสะกดกลั้นน้ำตามิให้ไหลแต่อดที่จะหลั่ง
ออกมาก ครั้นชายหนุ่มทราบเช่นนั้นก็บังเกิดความดีใจยิ่งนักจึงก้มลงประคองหัวหน้าเผ่าทันทีแล้วพลางกล่าว
แก่หัวหน้าเผ่าหม่องอุระกะว่าอย่าเสียใจไปเลยเป็นธรรมดาของมนุษย์ทั่วๆไปทุกๆคน
“ถ้าอย่างงั้นเราขอศพบุตรีท่านทั้งสองซึ่งเป็นฝาแฝดให้แก่เราเพื่อนำเข้าไปยังวังท่านจะเห็นเป็นประการใด”
“ข้าพระองค์มาครั้งนี้ตั้งใจและแจ้งแก่ชาวเผ่าทุกๆคนจะซื่อสัตย์ถวายตนอย่าว่าแต่เพียงเท่านี้เลย แม้แต่ชีวิต
ของข้าพระองค์และชาวเผ่าทุกๆคนก็สละให้พระองค์ได้หากพระองค์ไม่รังเกียจคนป่าเช่นพวกข้าพระเจ้าข้า”
“เอาล่ะเราจะให้มหาอำมาตย์ใหญ่หาที่พักอาศัยภายในกำแพงเมืองให้แก่พวกท่าน แต่ทว่าบุตรีท่านเราจะ
นำไปเข้าวังเดี๋ยวนี้เลยนะ” ชายหนุ่มกล่าว
“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพุทธเจ้าและชาวเผ่ายิ่งนัก แต่เพียงสงสัยว่าพระองค์จะนำศพบุตรีข้า
พระองค์ไปด้วยเหตุใดหรือซึ่งปราศจากประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น พระเจ้าข้า” หัวหน้าเผ่าสงสัยยิ่งนัก
“เอาเถอะในเมื่อท่านยกให้แก่เราแล้ว ต่อไปท่านจะรู้เองแหละ ไหนๆล่ะศพบุตรีท่านขอดูหน่อยซิ”
หัวหน้าเผ่าหันไปทางบุตรชายพลางสั่งให้นำร่างที่ปราศจากชีวิตทั้งสองเข้ามาทันที ครั้นร่างหญิงสาว
ซึ่งพึ่งเสียชีวิตไป นอนคลุมร่างอยู่บนเกวียนมาถึง ชายหนุ่มก็ไปเปิดดูหน้า ก็ให้สะดุ้งในใจนักด้วยนางนี้
ช่างสวยสดงดงามและใบหน้ายังคล้ายๆกับแม่นางพรายทั้งสองยิ่งนัก ก็ทรงพอพระราชหฤทัย หันไปเรียก
เจ้าหญิงทั้งหกมาเพื่อให้รีบนำไปยังห้องข้างพระแท่นบรรทมโดยด่วน เหล่าทหารองครักษ์ที่ติดตามมา
ก็รีบลากเกวียนเพื่อจะออกไป เจ้าหญิงทั้งหกครั้นแลเห็นใบหน้าของหญิงสาวบุตรีหัวหน้าเผ่าต่าง
ก็งุนงงใบหน้าช่างละม้ายคล้ายกับแม่นางพรายทั้งสองยิ่งนัก ก็ให้ดีใจเป็นอย่างยิ่งนึกถึงคำของชายหนุ่ม
ที่กล่าวไว้ก่อนแล้ว เจ้าหญิงทั้งหมดก็รีบนำหน้าทหารแล้วต่างควบคุมไปเอง
ครั้นอำมาตย์ใหญ่ผู้เฒ่าก็นำหัวหน้าเผ่าและชาวเขาทั้งหมดเข้าเมืองและจัดสถานที่ให้พักอาศัย ส่วนชาว
เขาประมาณหมื่นคนทั้งครอบครัวก็ถูกจัดนำไปพักยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ทันที ชายหนุ่มครั้นสมประสงค์
ดังเจตนารมณ์ก็ให้ทรงเบิกบานพระหฤทัยยิ่งนัก เมื่อครั้นท่านผู้เฒ่ามาถึงแล้วแจ้งว่าได้จัดสถานที่ให้หัวหน้า
เผ่าตลอดบริวารและครอบครัวพักอาศัยตลอดจนให้ตั้งชื่อศิระนำหน้าชายทุกๆคนด้วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มก็กล่าวกับท่านผู้เฒ่าว่า
“พ่อท่านลุง โปรดแจ้งแก่พระธิดาทั้งหกและบรรดาทหารทั้งปวงว่าห้องข้างพระทีนั้นห้ามบุคคลใดเข้ามา
บัดนี้ข้าเองจะถือศีลนุ่งขาวห่มขาวตลอดเจ็ดทิวาราตรี ห้ามขาดมิให้ใครเข้ามาในห้องเด็ดขาด อ้อๆๆๆโปรด
เรียกเจ้าหญิงทั้งหกให้แก่หลานด้วยเถิด อีกอย่างหนึ่งให้จัดเครื่องพิธีตามนี้ให้ครบถ้วนอย่าขาดแม้แต่อย่างเดียว
พลางส่งกระดาษเขียนข้อความให้แก่ท่านผู้เฒ่าทัน ข้ามิอาจจะรอช้าได้จะทำพิธีคืนนี้เลยล่ะ”
“เดี๋ยวข้าเองจะเรียกบรรดาเจ้าหญิงให้พบโดยด่วนนะพระเจ้าข้า” ท่านผู้เฒ่ากล่าวแล้วรีบไปจัดการตามที่
ชายหนุ่มสั่งการทันที
สักครู่เจ้าหญิงทั้งหกก็เข้ามาพบชายหนุ่ม ชายหนุ่มครั้นไม่เห็นใครๆก็กระซิบเสียงเบาๆพอจะได้ยินว่าให้
รีบจัดการศพหญิงสาวโดยเปลื้องเสื้อผ้าออกให้หมด ให้นอนบนแท่นไม้หอมที่ให้พ่อลุงไปจัดการแล้ว เราจะถือ
ศีลตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน และขอร้องให้เจ้าหญิงอย่าได้เข้ามาหรือให้ใครเข้ามาโดยเด็ดขาดมิฉะนั้นพิธีจะเสียไป
ขอให้เจ้าหญิงช่วยดูแลคนด้วย ส่วนด้านอาหารนั้นให้วางผลไม้และน้ำไว้กะเพียงใช้ได้ครบเจ็ดวันก่อนจะทำพิธี
พี่จะเริ่มในค่ำนี้ด้วยจะไม่ทันการณ์ บรรดาเจ้าหญิงทั้งเจ็ดก็หัวร่อพลางรับคำว่าจะจัดเวรยามกันเองท่านพี่ไม่
ต้องกังวลหรอก แล้วพวกนางก็ไปจัดเตรียมเสื้อผ้าสองชุดและจัดการตามที่ชายหนุ่มสั่งไว้ทันที
ครั้นได้เวลาชายหนุ่มก็แต่งกายชุดขาวพลางกำชับบรรดาเจ้าหญิงอีกครั้งแล้วก้าวเข้าสู่ห้องพิธีทันที เข้าไป
ยังที่นั่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าศพหญิงสาวที่ถูกเปลือยกายหมดสิ้น แล้วก็เริ่มเข้าสมาธิทำพิธีทันทีมิรอช้ายกมือร่าย
พระเวทย์ตามตำราทุกๆประการ....................
* แก้วประเสริฐ. *