2 พฤศจิกายน 2553 00:44 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๓
หลังจากที่ชายหนุ่มหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวน เฝ้านั่งมองพวกเด็กๆกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานนั้น
ความหวาดกลัวหายไปหมดแล้ว บัดดลก็มีเสียงพายุพัดโหมกระหน่ำ ฝุ่นผงใบไม้ปลิวเข้ามาภายในวัด
กระทบร่างกายเขา เสียงกิ่งก้านต้นไม้กระทบกันดังสนั่น หวีดหวิวทั้งๆที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ด้วยท้องฟ้าก็
ยังแจ่มใส จะหาเมฆปกคลุมก็หาไม่ เสียงฟ้าร้องคำรามหรือก็ไม่มี แต่เหตุใดจึงเกิดพายุซึ่งมาจากบริเวณ
ด้านนอกกำแพงวัดทางทิศ ที่เขาจำได้ว่าเป็นป่าช้าใช้สำหรับฝังบรรดาศพที่ตายแล้ว
เขาหันไปมองทางด้านอื่นหรือ เหล่าต้นไม้ก็ยังสงบเงียบยืนต้นเฉยๆ แต่เหตุใดด้านนี้เพียงด้านเดียว
ที่เกิดเสียงลมพายุขึ้นได้ทำความแปลกใจให้แก่เขาเป็นอย่างมาก ประกอบกับมีเสียงร้องอย่างโหยหวน
เสียงนั้นคร่ำครวญแสนจะเยือกเย็น ประกอบกับเสียงคำรามกึกก้อง เสียงหัวร่ออย่างเยาะเย้ยผสมผสานกัน
ดังมาจากภายนอกบริเวณอาณาเขตวัด บรรดากิ่งไม้ต้นไม้ต่างเอนลู่สะบัดกันไปๆมาๆ เป็นพายุที่ค่อนข้าง
จะแรงมาก เสียงกอไผ่เสียดสีไปมาปานประหนึ่งว่าจะหักเสียให้ได้
หากจำไม่ผิดนั้นเป็นบริเวณหลังวัดคือป่าช้าอย่างแน่นอน เสียงเจียวจ้าวดังอึงคะนึงแซดไปทั่ว บ้างร้องร่ำไห้
คร่ำครวญ บ้างหัวร่อ บ้างเสียงเหมือนจะทะเลาะกัน แว่วล่องลอยมากับสายลมทางนั้น
ในท่ามกลางแสงนวลอันเจิดจ้าสอดส่องทั่วบริเวณนั้น เหล่าเด็กๆต่างหยุดชะงักการเล่น แล้วพากัน
หันไปมอง บริเวณที่มีเสียงดังขึ้น เสียงบรรดาหมาภายในวัดต่างก็เห่ากระโชกพร้อมกับหอนอย่างเยือกเย็น
ป่าช้าที่อยู่ใกล้ๆกับบริเวณวัดทางด้านทิศตะวันตก ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้มืดครึ้ม จะมีแสงสว่างของ
พระจันทร์สอดส่องบ้างเล็กน้อย แต่บัดนี้กลับเกิดความประหลาดเกิดขึ้นในด้านนั้น ลมพายุพวยพุ่งมายังด้าน
บริเวณที่เขานั่งนั้นซึ่งเป็นชานกว้างพอสมควร เขาจึงแลเห็นได้รอบด้านเว้นจากกุฎีหลวงพ่อ ที่บดบังเท่านั้น
นอกนั้นเขาเห็นกระจ่างไปทั่ว แต่เหตุการณ์มันเกิดขึ้นตรงกันข้ามกับด้านกุฎีหลวงพ่อ
เสียงลมพัดอู้ ต้นไผ่เสียดสีส่งเสียง อี๊ดอาดๆดังระงม ใบไม้ต้นไม้ใหญ่พัดกระทบกันส่งเสียงเกรียวกราว
หวีดหวิวระงมไปทั่วบริเวณในวัดและนอกวัด เกิดพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ทั้งเสียงลมและเสียงสนทนา
ลมที่พวยพุ่งมาหาเขาจนทำให้เสื้อผ้าร่างเขาปลิวไสว อากาศแฝงความเยือกเย็นมากระทบร่างกายเขาจนสั่น
เขาลุกขึ้นยืนคิดหวังจะกลับไปยังกระโจมหน้าห้องหลวงพ่อที่เขาทำไว้กับนิ่งไม่มีการไหวเอนแต่อย่างไร
ทำให้เขาสงสัยยิ่งนัก สายลมกับหายไปมิได้ติดตามทำให้กระโจมจีวรปลิวแต่อย่างใด
ร่างของเขายืนนิ่งก้าวขาไม่ออก ได้แต่มองซ้ายแลขวาเพื่อหาเด็กๆมาช่วยเหลือเขา
ความเยือกเย็นแฝงเข้ามาอย่างกะทันหันผสมผสานเข้า กับบรรดาเสียงต่างๆช่างวาบหวิว
แทรกซ้อนเข้ามาในใจเขามันสะท้านเข้าไปในห้วงใจจนนึกกลัวอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งสายลม ทั้งเสียงของต้นไม้เสียงเหล่านี้เซ็งแซ่ไปหมด ช่างโหยหวนเสียนี่ เสียงคล้ายต้นไม้หักโผงผาง
เขายืนตะลึงร่างกายแข็งทื่อ เมื่อแลเห็นภาพทะมึนมากมายนอกกำแพงวัดด้านทิศที่ติดกับป่าช้าสลอนไปทั่ว
เสียงนั้นมีทั้งน้ำเสียงของหญิงและชายต่างพากันหัวร่อต่อกระซิกกัน ในความรู้สึกว่า ภาพนั้นเดี๋ยวก็จางเดี๋ยวก็
ชัดเจน แต่บรรดาสิ่งทะมึนเหล่านี้ ทั้งสูงและเตี้ย จนความรู้สึกบอกว่าเป็นทั้งชายและหญิง เด็กอ่อน
หญิงกำลังอุ้มเด็ก และอีกมากมายนัก ทั้งมีการฉีกหน้าอก แลบลิ้นเสียยาวดวงตากลวงโบ๋ ร่างโครงกระดูกเดินได้
พวกมันทั้งหมดกำลังจะเดินทางมาหาเขาที่ยืนอยู่คนเดียว บรรดาเด็กๆทั้งหญิงชายหยุดการละเล่น
แบ่งเป็นสองกลุ่มทันที กลุ่มหนึ่งวิ่งมายืนแถวโคนบันได
ที่เขาทั้งนั่งทั้งยืนอยู่ ร่างกายเขาแข็งทื่อไปหมดเหมือนคล้ายกับพบพวกเปรตมิปาน อีกส่วนหนึ่งต่างวิ่งไปยังบริเวณ
กำแพงที่กันเป็นอาณาเขตวัด ต่างแยกย้ายกัน เฝ้ามองเสียงที่ดังและกำลังใกล้ๆเข้ามา
เจ้าจุกเป็นผู้สั่งการทั้งหมด บรรดาเด็กๆต่างกระจายไปรอบๆบริเวณกำแพงวัด คล้ายกีดกันมิให้พวกนั้นเข้ามา
ภายในกำแพงวัดด้านใน พวกผีร้ายในป่าช้าทั้งหมดต่างวนเวียนกันไปๆมาๆ ใกล้เข้ามาทุกขณะพร้อมส่งเสียงเยือกเย็น
ยะเยือก เสียงเหล่านั้นบ้างสูง บ้างต่ำต่างพอถึงนอกกำแพงวัดพากันชะงัก เรียงรายไปรอบๆกำแพง ชายหนุ่มมองดู
อย่างตื่นตระหนก แต่มีเสียงจากเด็กสาวชื่ออ้อยที่มีใบหน้าสวยงามยิ่งนัก พลันพูดกับเขาว่า
น้าจ้า...ไม่ต้องห่วงหรือกลัวพวกมันหรอกจ้า พวกหนูจะจัดการพวกมันมิให้ทำร้ายน้าเองจ๊ะ พวกเรากำลังจะจัดการพวกมันอยู่ ถึงอย่างไรก็สู้พวกเราไม่ได้หรอกหลวงพ่อท่านสอนวิชาให้พวกเราบ้าง พอจะกำหราบมันได้จ้า
ครั้นเขาได้ยินเสียงกล่าวเช่นนั้น ความหวาดกลัวพร้อมกับความอยากจะรู้อยากเห็นก็ตามกันมาพร้อมๆกัน
ใจหนึ่งก็กลัวเสียงมันช่างโหยหวนเยือกเย็นยิ่งนักที่เจ้าบรรดาผีในป่าช้ามาพากันร่ำร้อง แปลกมันเรียกชื่อเขา
ได้อย่างถูกต้อง
เ...จ้...า...ๆ....โ..ช...ติ...ๆๆๆๆ!!!!!!!! มึงออกมาหากูหน่อย....มามะมา กูจะคุยอะไรกับมึงหน่อย
เสียงนั้นยานเยือกเย็นแผ่วๆตามสายลม พร้อมกับบอกว่าให้ออกมาเป็นพวกมันเถอะ
สถานที่นี่สงบเยือกเย็นดีนะ พร้อมกับกวักมือเรียกเขา บ้างมือมันยาวๆบ้างสั้นบ้าง ไหวๆไปๆมาๆ
เสียงเจ้าจุกพูดกับพวกมันว่า............
พวกเอ็งกลับไปที่อยู่ได้แล้ว และอย่ามายุ่งกับน้ากูนะ มิฉะนั้นพวกมึงจะได้เห็นดีกับพวกกูกัน......
บรรดาผีที่ได้ยินเสียงของเจ้าจุก พากันหัวร่อ มีผีตัวหนึ่งท่าทางจะควบคุมผีหัวร่อตะโกนนอกกำแพงว่า
โถๆๆๆ.... ไอ้พวกเด็กๆวานซืนจะมีน้ำยาอะไรจะมาห้ามพวกกูได้ อันที่จริงกูไม่อยากจะยุ่งกับมัน
หรอกว๊ะ แต่พ่อมันเล่นงานพวกกูเสียย่ำแย่ มันจึงต้องมารับการกระทำแทนพ่อมัน....เสียงผีร้ายกล่าว
อ้าวๆๆแล้วมันเกี่ยวอะไรกับน้าล่ะ พ่อน้าเขาก็ส่วนพ่อน้าซิ???.... เจ้าจุกตอบ
เกี่ยวซิว๊ะ พ่อมันจับลูกน้องกูไปขังไว้มันเป็นพ่อลูกกันนี่หว่า ว่าเถอะมึงมายุ่งทำไมล่ะ???...
ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกมึงไม่ไปหาพ่อเชียรเขาล่ะจะมายุ่งอะไรกับลูกเขา ......เสียงเจ้าจุกตอบ
พวกกูเคยไปแล้วแต่เข้าไม่ได้ว๊ะ สู้มันไม่ได้สิ่งที่เฝ้าบ้านมันดุมาก เล่นเอาพวกกูแทบตายเจ็บไปหมด
แล้วมึงเสือกมายุ่งกับลูกไอ้เชียรทำไม ในเมื่อมึงกับกูก็เป็นผีเหมือนกัน
ใช่กูเป็นผีแต่คนละแบบกับมึงนะ กูมีศีลธรรม ส่วนพวกมึงเอาแต่หลอกลวงชาวบ้าน ทำร้านเขาไม่รู้
จักเวรจักกรรม เสียบ้าง มึงแค่สัมพเวสีเร่ร่อน รอท่านยมทูตมาจับมึงไปนรกเท่านั้น ความดีความชั่วไม่รู้จัก
อีกหน่อยกรรมยิ่งหนักจะต้องไปนรกชั้นล่าง นี่กูเตือนมึงนะ พวกของกูล้วนแต่ทำความดีพอครบวาระกูก็
ไปในทางที่ดี ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ผลบุญกูก็ได้รับเกือบทุกๆวัน ยิ่งวันพระพวกกูได้รับมาก
มึงล่ะเคยได้รับผลบุญอาหารการกินสุขสมบูรณ์หรือเปล่าล่ะ หากพวกมึงทำดีไว้ไม่คิดร้าย ปองร้าย คอยช่วย
เหลือเขา
เขาก็จะนึกถึงพวกมึงแผ่กุศลให้ซ้ำกินอยู่อย่างสบายไม่ต้องแร้นแค้น เที่ยวหลอกลวงชาวบ้านให้หวย
บ้างทั้งๆเป็นอบายมุข เข้าฝันหลอกเขาไปทั่ว เวรทั้งนั้น เจ้าจุกจารนัยสั่งสอนผีทั้งหลายดั่งพระอบรมชาวบ้าน
ช่างเถอะมันเรื่องของพวกกูแต่ ทำไมมึงเสือกช่วยเหลือมันทำไมล่ะ????.....
จะไม่ให้กูยุ่งได้อย่างไรน้ากูก็เคยอยู่กับกูมาก่อน และเป็นศิษย์หลวงพ่อเหมือนกับกู หากมึงแน่จริง ไม่รู้
เรื่องบาปบุญคุณโทษก็เข้ามาในบริเวณกำแพงวัดนี้ซิว๊ะ........เสียงเด็กผมจุกตอบพวกผีทั้งหลาย
ผีบางตัวครั้นได้ฟังเจ้าจุกจารนัยให้ฟัง ถึงกับชะงักและจางหายไป จนเจ้าหัวหน้าหันไปตวาดเรียกให้กลับ แต่มัน
ก็ไม่ยอมเชื่อ ยกเว้นพวกที่จิตใจกระด้างเท่านั้นที่ยัง แสดงอาการฮึดฮัดทำร่างกายน่าเกลียดน่ากลัวคอยฟังคำสั่ง
ของหัวหน้ามัน
ทำไมกูจะไม่กล้าว๊ะ มึงคอยดูนะ?????!!!!!!!!.....
ว่าแล้วเจ้าผีที่กล่าวก็ยืดกาย สูงขึ้นหมายจะก้าวข้ามกำแพงวัดเข้ามา ส่วนพวกผีร้ายทั้งหลายก็ทำดุจหัวหน้า
มันทำร่างกายสูงขึ้น ใบหน้ามันหน้าเกลียดน่ากลัว บ้างดวงตาถลนออกมาห้อยยังนอกเบ้า บ้างผอมแห้งเหลือ
แต่หนังหุ้มกระดูก ร่างกร่องแกร่ง บ้างร่างกายเน่าเฟะส่งกลิ่นเหม็นอบอวลไม่หมด บ้างพองโตแทบปริ นำเหลือง
ไหลเยิ้มเหม็นกลิ่นเน่าตลบอบอวลไปทั่ว ทำให้กลิ่นที่ลอยตามลมพัดคละคลุ้งไปภายในบริเวณวัด มีกลิ่นหืน มี
กลิ่นเน่าเหม็นบ้าง
ผีบางตัวเล็กแต่หัวมันช่างใหญ่โตแลบลิ้นออกมายาวเฟื้อย ต่างจะพากันข้ามกำแพงที่ล้อมวัดเข้ามา ส่วนด้านเจ้าจุก
และพวกทั้งหญิงชาย ร่างก็ทำร่างกายให้สูงชะลูดเช่นเดียวกันและต่างชักอาวุธต่างๆนาๆออกมา
ส่วนเจ้าจุกนั้นดึงปิ่นปักผมของมันออกมาเป็นสีทองเพื่อจะคอยต่อสู้ป้องกันชายหนุ่มและพวกพ้องตนเองอยู่ภายใน
บริเวณวัดไว้อย่างไม่กลัวเกรง ต่อพวกผีร้ายในป่าช้าเพื่อพร้อมที่จะคอยต่อสู้กับร่างของผีร้ายทันที
ร่างของผีร้ายยกขาข้ามกำแพงแต่ร่างกันก็ต้องสะดุ้งด้วยกำแพงวัดกลายเป็นกองเพลิงคอยสกัดมันอยู่ จะมีบาง
ตัวที่ก้าวข้ามมาได้ไม่กี่ตัวเท่านั้น คือร่างของผีร้ายตัวหัวหน้าและไม่กี่ตัวผ่านกองเพลิงมาได้สงสัยว่าพวกมันก่อนตาย
คงจะร่ำเรียนวิชาอาคมมาจึงทนเปลวไฟได้
เมื่อเจ้าจุกที่ร่างกายสูงใหญ่เห็นดังนั้นก็ถลาโถมเอาปิ่นของมันเข้าแทงยังร่างผีร้ายตัวหัวหน้าซึ่งร่างกายมันดำมืดสนิท การต่อสู้ระหว่างผีเด็กกับผีผู้ใหญ่ชุลมุนวุ่นวายไปทั่วบริเวณลาน ที่สว่างไปด้วยแสงของแสงจันทร์สาดส่อง
เงาทะมืนกระจายไป ต้องร่างอันน่าเกลียดน่ากลัวและร่างของพวกเด็กๆที่ร่างกายสูงใหญ่ ภาพการต่อสู้ต่าง
วูบวาบไปๆมาๆ สักพักใหญ่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันท์ใด พวกเจ้าจุกมีมากกว่ารู้สึกว่าจะได้เปรียบพวกผีร้ายในป่าช้า
และยังได้รับการช่วยเหลือจาก กลุ่มที่คอยเฝ้าชายหนุ่มที่ออกไปช่วยอีก คงเหลือไว้เพียงสองสามตนเท่านั้น
เสียงผีร้ายในป่าช้าร้องอย่างโหยหวนไปๆมาๆ เมื่อโดนบรรดาเด็กๆ จะว่าเด็กก็ไม่ถูกนักด้วยร่างกายใหญ่โต
พอๆกัน แต่อาวุธในมือของพวกเด็กช่างร้ายกาจนัก โดนร่างผีร้ายทีใดไม่แขนขาด ขาขาด หัวขาด แต่มันกลับ
มาต่อกันได้ แต่ก็ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและรีบเผ่นหนีข้ามกำแพงหนีหายไปจนหมดสิ้น คงเหลือไว้แต่
พวกเด็กๆ ซึ่งบัดนี้กลับกลายสภาพเป็นเด็กดังเดิม ต่างคนต่างหัวร่อต่อกระซิกกันใหญ่อวดตัวเองตามประสา
เด็กๆ ว่าคนนี้เก่ง คนนี้เก่งน้อยจ้าละหวั่นไปทั่ว ส่วนเด็กสาวก็เชียร์พวกกันเองด้วยเสียงอันดังแต่ยังไม่ไปช่วย
คอยระวังให้แก่ชายหนุ่มอยู่ เสียงเชียร์ของเด็กสาวกับเด็กๆอีกสองคนต่างเชียร์กันอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็น
ฝ่ายตนแทงคู่ต่อสู้ได้ ส่วนคู่ต่อสู้แม้จะใช้ฤทธิ์เดชอย่างไรก็ไม่อาจจะต้านทานฤทธิ์เดชของเหล่าเด็กที่เฝ้าวัด
ได้เลย ต่างล้มระเนระนาดกันไปตามๆกัน บ้างร่างมันก็จางหายไป บ้างก็ทุลักทุเลไป ไม่เว้นแม้แต่เจ้าตัว
หัวหน้าของมันเอง มันร้องสั่งให้พวกรีบหนีออกนอกกำแพงวัดทันที พวกมันล้มลุกคลุกคลานก้าวข้าม
กำแพงที่ลุกเป็นเปลวไฟกลับสูญหายไปทันที
ชายหนุ่มตกตะลึงดูภาพการต่อสู้ระหว่างผีกับผีกัน อากาศล้วนอบอวลด้วยกลิ่นซากศพเหม็นไปทั่วจนเขาต้อง
เอามือปิดจมูกไว้ จะหลับตาก็ไม่ได้ตาลืมโพลง บัดดลก็มีกลิ่นหอมๆลอยเข้ามากลบกลิ่นเน่าเหม็นจนหมดสิ้น
กลิ่นหอมนี้ ช่างหอมชื่นใจเสียเหลือเกิน
เอ๊ะๆๆๆ....มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกันเขานึกฉงน สักครูก็ได้ยินเสียงหวานไพเราะจับใจทางเบื้องหลังของเขา
คุณไม่ต้องห่วงหรอก ฉันมาช่วยคุ้มครองเธอแล้วและยังให้พลังงานแก่เด็กๆไปแล้ว เดี๋ยวพวกมันก็จะแพ้เอง
ชายหนุ่มสะดุ้ง หันหลังไปทันที
โอ้วว!!!!!!......?????....แม่นางเองหรือมาเมื่อไหร่นะฉันไม่ยักได้ยินเสียงเลย อ้าวแล้วไม่ได้กลับบ้านหรือ
ฉันตามมาคอยคุ้มครองเธอจ๊ะ นอกวัดพวกเปรตมันทำอะไรไม่ได้หรอก เพียงแต่ฉันจะดูใจเธอเองเท่านั้นจ้า
เสียงหญิงที่ชายหนุ่มเคยกล่าวว่าแต่งตัวคล้ายยี่เกเอ่ยขึ้น
แล้วเธอเข้ามาบนกุฎีได้อย่างไรล่ะ???....
อ้อๆๆๆ........... ฉันมักจะมาฟังการอบรมจากหลวงพ่อฟังธรรมจากท่านเสมอๆล่ะ
อ้าวแล้วเด็กๆผมจุกทั้งหญิงชายไม่ขัดขวางเธอหรือ
ไม่หรอกจ้านั่นลูกหลานฉันทั้งนั้นแหละ ว่าแต่เธอล่ะกลัวมากไหมล่ะ??????......
กลัวซิจ๊ะมีใครบ้างล่ะจะไม่กลัวเขาตอบ พร้อมนึกในใจมีหรือจะไม่กลัวหากเป็นเธอคงเหมือนฉันแหละ
พวกเปรตและผีพวกนี้มันกลัวฉัน เพียงแต่ไม่อยากจะสร้างเวรกรรมขึ้นเท่านั้นจ้า หญิงสาวกล่าวตอบ
แล้วหล่อนก็นั่งพับเพียบยกมือพนมไหว้ไปยังกุฎีห้องหลวงพ่อ พลางพึมพรำเบาๆ แต่เขาไม่รู้ว่าหล่อน
พึมพรำอะไรเท่านั้น แล้วเขาก็ทำตามหล่อนพลางนั่งยกมือไหว้ไปยังห้องหลวงพ่อทอง
เสียงสวดมนต์จากห้องหลวงพ่อทองดังขึ้นเบาๆ แต่เสียงช่างกังวานสะท้านไปทั่วบริเวณที่เกิดการต่อสู้
เรียกร้องโหยหวนจากบรรดาผีร้ายจากป่าช้าร้องลั่น กรี๊ดกราดโหยหวน ต่างรีบวิ่งหนีก้าวข้ามกำแพงหายลับ
ไปในป่าช้า เสียงลมที่พัดอย่างหวั่นไหวก็สงบโดยสิ้นเชิงเหมือนเดิม
เสียงสวดมนต์ก็สงบลงทันที แต่หลวงพ่อไม่ได้ออกมาจากนอกกุฎีเลย คงจะนั่งสมาธิต่อ ชายหนุ่มคิด
บรรดาเด็กๆทั้งหญิงชายก็กลับคืนสู่สภาพเดิม เจ้าจุกและพวกก็เดินมาหาชายหนุ่มพลางกล่าวว่า
น้าจ้า...ไอ้พวกนี้มันร่ำเรียนวิชาอาคมมา ก่อนมันจะตายมันก็จะมาเอาพวกหนูไปรับใช้มัน แต่หลวงพ่อ
และพ่อเชียรได้ช่วยและนำพวกหนูมาให้หลวงพ่อช่วยเลี้ยงไว้จ้า ได้คอยช่วยเหลือพวกหนูและให้พวกหนู
คอยเฝ้าวัดสร้างบุญกุศล คราวก่อนพวกหนูมีมากกว่านี้แต่ไปเกิดกันเกือบหมด
แต่ที่เหลืออยู่อายุขัยยังไม่สิ้นจ้า ดีนะที่พวกหนูจำมนต์คาถาอาคมจากหลวงพ่อกับพ่อเชียรที่สั่งสอน
ไว้ได้พร้อมทั้งเสกเขียนมนต์กำกับให้แก่หนู มิฉะนั้นคงสู้มันไม่ได้หรอกจ๊ะน้า
ครั้นกล่าวกับชายหนุ่มเสร็จ พวกเด็กๆก็หันไปยกมือไหว้หญิงสาวที่นั่งข้างๆเขาทันที พลางเอ่ยขึ้นว่า
พวกหนูขอบคุณแม่มากจ้าที่ช่วยเหลือหนูไว้จ้า ไอ้ตัวหัวหน้ามันร้ายกาจจริงๆจะแม่???....
หญิงสาวหันไปยิ้มกับพวกเด็กๆอย่างเอ็นดู
มันไปแล้วช่างมันเถอะลูก เธอไปเล่นเถอะแม่จะคอยระวังให้
ยังไม่กลับหรอกจะคอยอยู่ช่วยเหลืออีกทางหนึ่งนะ
พวกเด็กๆต่างยกมือไหว้ แล้วกล่าวว่า
งั้นพวกหนูไปเล่นก่อนนะแม่ นี่เวลาก็เหลือไม่มากนักแล้ว วันนี้สนุกหลายอย่างจังเลย
พูดจบ พวกเด็กๆบางตนก็วิ่งหายไปเล่นต่อที่กลางลานวัด
ชายหนุ่มสะดุ้งในใจหันไปมองหญิงสาวแต่ไม่กล่าวว่ากระไร นอกจากนึกว่า เหตุใดพวกเด็กๆเหล่านี้จึง
ให้ความเคารพนับถือหล่อนยิ่งนัก เขาจ้องมองหล่อนช่างสวยงดงามเหลือนี่กระไร และหล่อนหรือก็แต่งตัว
แปลกกว่าชาวบ้านทั้งปวงที่เขาพบมา เขายังนึกว่าเป็นพวกเล่นยี่เกหรือเล่นละครเสียอีก
หรือว่า?????....จะเป็นคนเดียวกับที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้กระมังว่า คนแถวนี้ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าแม่
ตะเคียนจึงไม่ค่อยเป็นอะไรมาก หรือนางจะเป็นนางตะเคียนยิ่งการปรากฏกายของหล่อนเขาไม่รับทราบอะไร
เลยว่าหล่อนมาเมื่อไหร่ ยิ่งคิดไปก็ยิ่งสงสัยแต่ช่างเถอะจะเป็นอะไรหากเธอมาเพื่อช่วยเหลือเขาก็ดี ด้วยเขาเอง
นั้นตอนนี้ตัวคนเดียว ดีซิแม้หล่อนจะเป็นอะไรก็ช่างแต่สำหรับเขาไม่เป็นพิษเป็นภัยเป็นใช้ได้ ไว้ค่อยสอบถาม
หล่อนภายหลังก็ได้หากได้พบกันอีกครั้ง ชายหนุ่มตรึกตรองแล้วก็ปล่อยผ่านเลยไป
แต่ด้วยชายหนุ่มยังไม่หายสงสัยหันไปถามเจ้าจุกก่อนที่มันจะจากไปเล่นกับพวกว่า
อะไรๆ???....พ่อเชียรของน้าเก่งมากจริงๆหรือ???...
เก่งซิน้า.....ในหมู่บ้านนี้และในละแวกหมู่บ้านอื่นไม่มีใครเทียบพ่อเชียรกับหลวงพ่อได้หรอก
แต่พ่อเชียรไม่ค่อยจะแสดงตัวเท่านั้นเอง เพียงแต่ใครเดือดร้อนก็จะมาหาให้ช่วยเหลือ ปกติท่านก็
จะทำงานเหมือนคนธรรมดา ไม่ได้ตั้งตัวเองเป็นอาจารย์หรือหมอผีเหมือนคนมีวิชาอาคมอื่นๆจ๊ะน้า...
ไม่เคยสร้างพระหรือเครื่องรางจำหน่าย เคยมีคนมาติดต่อพ่อเชียร ท่านไล่ตะเพริดไปหมดจนไม่มีใคร
กล้ามารบกวน ท่านไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินทองประเภทนี้หรอกจ้า....
ส่วนแม่เข็มก็เก่งน๊ะน้า เอาพ่อเชียรเสียอยู่วิชาอาคมร่ำเรียนมาจากพ่อก็มากเรียกว่าพอๆกับพ่อเชียร
เลยล่ะ ฮ่าๆๆ สาวๆทั้งหมู่บ้านต่างติดพันเสมอๆ ด้วยพ่อเชียรขยัน รูปร่างหรือก็หล่อเสียด้วยซิ วิชาอาคม
ก็มีมาก อุ๊ยทางด้านเสน่ห์เก่งมากร่ำลือไปทั่วทั้งบางเลยล่ะไปไกลถึงในเมือง พวกนั้นต่างมาหาเพื่อจะขอ
ร่ำเรียน ฝากตัวเป็นศิษย์แต่พ่อเชียรไม่ยอมรับ สาวรุ่นกะเต๊าะแยะเลยล่ะแต่แม่เข็มแก้ได้หมดเล่นเอาพ่อเชียรหงอ
ไปเลยเชียวล่ะ พูดจบเจ้าเด็กผมจุกก็หัวร่องอหาย หากแม่เข็มไม่เก่งป่านนี้พ่อเชียรเมียเต็มบ้านไปหมด ฮ่าๆๆๆ
หนูเคยตามพ่อเชียรไปเที่ยวที่บ้านพ่อกับแม่เข็มและยังไปขี่ควายของพ่อเชียรเล่นเลยล่ะ พ่อเชียรเลี้ยงไว้
ห้าตัว ตัวหนึ่งชื่อทองตัวหนึ่งชื่อเงินตัวหนึ่งชื่อแดง ตัวหนึ่งชื่อหวายและอีกตัวหนึ่งชื่อเทียนจ๊ะ
ภายในบ้านมีเพียงแต่พระ ควาย และเด็กชายหญิง ซึ่งพ่อแม่เลี้ยงไว้ใช้งาน กับแม่เข็มเท่านั้นจ๊ะ...............
* แก้วประเสริฐ. *
29 ตุลาคม 2553 15:05 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๒
มือที่ยื่นออกมาบัดนี้มันขยายใหญ่ เท่าใบตาลทั้ง 4 ใบ มุ่งหมายมาคว้าร่างกายชายหนุ่มที่ทรุดกายนั่งอย่าง
ทอดอาลัยตายอยาก ด้วยหมดหนทางจะต่อสู้ มันช่างอ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวแรงไปจริงๆ เขาแหงนหน้ามองมัน
ตาทั้งสองข้างของเขาเบิ่งโพลงกว้าง สติสัมปชัญญะจวนจะดับวูบอยู่รอมร่อ พร้อมเสียงร้องโหยหวน
โบ๊วๆๆๆ......โบ๊วๆๆๆๆ!!!!.....ของเจ้าหมาภายในวัดส่งเสียงร้องรับกันเป็นช่วงๆ มิยอมหยุดกับส่งเสียงดัง
ก้องกังวานมากยิ่งขึ้น มีบางตัวบ้างเห่ากระโชกๆ อากาศเริ่มที่หนาวเย็นของคืนข้างแรมแผ่เยือกเย็น ได้ยินเสียง
น้ำค้างหยด แปะๆ จากใบไม้ริมข้างทาง ตัวของชายหนุ่มเปียกโชกด้วยละอองของน้ำค้าง
แต่ร่างกายเขากับผสมเหงื่อไหลแตกซ่านไปทั่ว ร่างสั่นสะท้านไหวเอนไปๆมาๆ มือไม้แขนขาอ่อนไปหมด
แสงของพระจันทร์เริ่มหายๆไปด้วยเมฆมาบดบัง ทำให้บริเวณนั้นมืดครึ้ม นอกจากแสงของไฟฉายที่เขาทำล่วง
หล่นห่างจากร่างชายหนุ่ม แต่แสงของมันเพียงทอดต่ำไปกระทบต้นโคนไม้ใหญ่ที่ปกคลุมกิ่งก้านใบเท่านั้น
แต่ทว่าร่างของเจ้าผีร้ายสี่ตนยังแลเห็นยืนเป็นสีขาวโพลนท่ามกลางพุ่มไม้ที่มืดมิด บนถนนนั้นผีร้ายสองตัวร่างก็
นอนทอดร่าง ขวางถนนที่ขรุขระบางเป็นหลุมบ่ออันเกิดจาก วัวควายเกวียนหรือล้อมอเตอร์ไซค์ ร่างนั้นก็ขาว
โพลงเช่นเดียวกัน ร่างชายหนุ่มสั่นระริกๆราวกับจะเป็นไข้ วูบหนึ่งของสติทำให้เขารำลึกนึกถึงคำของพ่อที่ก่อน
ที่ปู่จะสิ้นใจ พร่ำกล่าวบอกหนทางแก่ปู่ เขานั่งเฝ้ามองอยู่ใกล้ๆ ปู่นอนทอดกายบนเสื่อกระหนาบด้วยพ่อแม่เขา
พ่อๆๆ....พระอรหังนะพ่อ พระอรหังๆๆๆ เสียงปู่ พึมพร่ำเบาๆพอสิ้นคำอรหังปู่ก็หมดลมหายใจไป ตอนนั้น
เขามีอายุราวสิบกว่าขวบได้ยินคำนี้ แล้วยังถามพ่อว่า พระอรหังหมายหมายความว่าอะไรหรือพ่อ?????......
พ่อหันมามองนัยน์ตาแดงกล่ำมีหยาดน้ำตาไหลย้อยเป็นทาง กล่าวเบาๆว่า เป็นพระจ๊ะลูก พระที่พ้นจากกิเลสแล้ว
เขานึกคำๆนี้ได้ ก่อนที่สติเขาจะดับวูบหายไป เขาจึงกล่าวคำที่พ่อเคยสอนปู่ไว้ เสียงพล่าๆด้วยลำคอตีบตันน้ำเสียง
ออกมาเพียงเบาๆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ช่วยลูกด้วย แล้วกล่าวตามคำพ่อที่เคยสอนปู่ ซึ่งเขาจำได้อย่างแม่นยำ ด้วย
มักจะท่องเล่นเสมอๆ จนพ่อแม่เขาต้องห้ามว่า
เฮ้ยๆๆๆไอ้โชติๆ... พ่อแม่มึงยังไม่ตายนะมึงจะท่องห่าเหวอะไรล่ะ??...
คำนี้เขาใช้บอกสำหรับคนตายเท่านั้น เสียงแม่ตวาดมาอย่างฉุนเฉียว
เขานึก... อะไรๆแค่กล่าวคำนี้ก็ไม่ได้ทีพระท่านพูดคำๆนี้ ไม่เห็นพ่อแม่โมโหเลยนี่นา
แต่เมื่อเขาเกิดชอบคำๆนี้ก็เลยท่องไว้เพื่อจดจำ เขาจึงไม่ค่อยจะเข้าใจทำไมพ่อแม่เขาจึงห้ามเขาท่อง
แต่บัดนี้เขานึกขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาตะโกนเสียงเท่าที่เสียงเขาจะดังได้ มันสั่นระริกๆ พระอรหังๆๆๆ
เขาท่องไปเรื่อยๆพลางรวบรวมสมาธิเท่าที่จะมีหลับตาท่องๆไป ด้วยไม่อยากจะเห็นมืออันน่าเกลียดน่ากลัว
ที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก แขนนิดเดียวแต่ฝ่ามือมันช่างใหญ่โตมโหฬารนัก ยิ่งใกล้ๆยิ่งใหญ่มากขึ้นๆ
เขาหลับตาปี๋บ้าง บางครั้งก็ลืมตาบ้างคิดว่าจะวิ่งหนีมันแต่ทำไมเรี่ยวแรงเขาหายไปหมดสิ้น......
มือที่ใหญ่โตทั้งสี่กลับชะงักไม่อาจล่วงเข้ามาถึงตัวเขาในระยะห่างไม่เท่าไหร่ เสียงมันร้องลั่นโหยหวน
กรี๊ดๆๆๆ!!!!!!........ เขาลืมตาขึ้นมองเห็นมือทั้งสี่ของมันปรากฏมีเปลวไฟพวยพุ่งไหม้มือมัน
เมื่อมือมันยื่นมาใกล้ๆตัวเขา ร่างมันเริ่มเตี้ยลงๆ....แล้วค่อยๆจางหายไป ด้วยไฟที่ไหม้มือมันลุกลาม
ไปยังร่างมันทีละน้อย ที่ละน้อยกอไผ่ที่ขวางถนนนั้นกลับหายไป
ความมืดยังปกคลุมบริเวณที่เขาอยู่ แม้ไฟฉายจะอยู่ห่างจากเขาไม่เท่าไหร่นัก แต่เขาหมดเรี่ยวแรงที่จะไปเก็บ
มันได้ นอกจากนั่งมองมันตัวสั่นขนลุกชันไปทั่วทุกขุมขน เขาหอบหายใจยาวๆเหมือนหนึ่งวิ่งมาเสียหลายกิโล
เสียงสัตว์นาๆชนิดกลับส่งเสียงระงมขึ้นอีกวาระหนึ่ง เมื่อสักครู่นี้เสียงเหล่านี้มันหายไป แต่หมาเจ้ากรรมในวัด
ก็ยังหอนเป็นทอดๆอยู่ ครั้นสติตั้งได้เป็นปกติแล้วเขาก้มลงกราบที่พื้นดินพลางรำลึกนึกถึงคุณพระคุณเจ้าที่มา
ช่วยเขาให้นึกคำที่พ่อบอกได้เสียก่อน
มิฉะนั้นเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เขาไม่คิดจะกลับบ้านอีกแล้วนึกว่าอย่างไรผีก็คงจะไม่เข้าไปในโบสถ์ได้ดัง
คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังเสมอๆ เขาคิดว่าจะอาศัยนอนหน้าโบสถ์ก่อนจนกว่าจะสว่างแล้วค่อยเข้าไปบ้าน มิฉะนั้น
เขาอาจจะพบอะไรอีกที่เขามิมีทางจะต่อสู้ได้ พอหันไปในวัด เห็นกุฎีพระต่างจุดไฟกันเป็นแถวเสียงพระท่านตื่น
ขึ้นมาสวดมนต์กันใหญ่ เสียงสวดมนต์ดังลั่นไปหมดเขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาเสียงสวดมนต์ของพระท่านทำให้เขา
เกิดพละกำลังขึ้นอย่างประหลาด เขาหันไปเก็บไฟฉายและพาดกระเป๋าดังเดิม ตอนนั้นทั้งกระเป๋ามันหลุดไป
จากตัวเขาได้อย่างไรก็ไม่รู้ นึกสิ่งที่พบเห็นก็จึงขยาดหวาดหวั่นยิ่งนัก เมื่อจัดการของเรียบร้อยแล้วเขาหาทางเข้า
ไปในตัววัด เดินไปวิ่งไปความคิดที่จะนอนหน้าโบสถ์ถูกเปลี่ยนกะทันหัน เขาวิ่งไปยังกุฎีเจ้าอาวาสที่ไม่ห่างจาก
โบสถ์เท่าใดนัก ครั้นไปถึงหน้ากุฎีเห็นหลวงพ่อยืนคอยต้อนรับอยู่แล้ว
เขาก้าวขึ้นไปบนบันไดพอถึงตัวหลวงพ่อก็ก้มลงกราบที่เท้าท่านพลางกล่าวว่า
หลวงพ่อจำผมไม่ได้หรือขอรับ กระผมไอ้โชติศิษย์หลวงพ่อไงล่ะ
หลวงพ่อยกเทียนขึ้นส่องใบหน้าเขา พลางกล่าวว่า
เออ????.....กูจำไม่ได้ว๊ะ กูมีลูกศิษย์หลายๆคน.....เสียด้วยซินะแล้วมานี่ได้อย่างไรล่ะ???...
อ้าวๆ????....ก็ไอ้โชติที่ติดตามหลวงพ่อไปบิณฑบาตไงล่ะ พอจะนึกออกไหมครับหลวงพ่อ
เอ๊ะๆๆ???....งั้นมึงลูกไอ้เชียรหลังวัดใช่ไหมว๊ะ???......
ใช่แล้วครับ ผมลูกพ่อเชียรที่มาถือศีลในวัดนี้ประจำ แต่ผมไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯและทำงานที่นั่นไม่ได้กลับมา
หลายๆปีแล้วครับหลวงพ่อ พอมาก็ค่ำมืดเสียแล้วเลยเจอผีมันเล่นงานผมครับหลวงพ่อ
บุญยังคุ้มหัวมึงนะไอ้โชติ แล้วมึงรอดมาได้อย่างไรล่ะ กูได้ยินเสียงพวกมันแล้วจึงขึ้นมาสวดมนต์ปลุกลูกวัดให้
มาสวดมนต์แผ่กุศลให้มัน แต่มันแปลกว๊ะมันไม่ยอมรับกุศลที่กูแผ่ให้มันเลย สงสัยมันจะกรรมหนักมากนะ..หลวงพ่อ
หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงปู่ทองเอ่ยขึ้น
ผมเองก็เกือบตายเหมือนกันครับหลวงพ่อ มือมันจะมาคว้าตัวผม มือมันใหญ่เท่าใบลาน แต่ตัวผอมเห็นแต่หนังหุ้ม
กระดูกสูงชะลูด นึกถึงคำพ่อบอกแก่ปู่ก่อนจะตาย ว่าพระอรหังๆ ผมเองสติแทบแตกเลยล่ะ ดีนะนึกคำนี้มาได้จึงได้
ขอคุณพระคุณเจ้าช่วยเหลือ แล้วท่อง พระอรหังๆๆ ครับหลวงพ่อ
พอผมท่องไปหลับตาไปลืมตาไปมือมันเข้ามาใกล้ตัวผมแต่ห่างประมาณสองสามวาเห็นจะได้มันร้องลั่นเลยครับ
ไม่รู้มันไปโดนอะไรเข้าผมก็มองไม่เห็น แต่มือมันซิไฟไหม้มือลุกโชนเลยครับ ชายหนุ่มเล่าให้หลวงพ่อฟัง
พอไฟก็ลุกไหม้ท่วมมือมันลามไปหามัน มันก็จางหายไปทั้งสี่ตัวแหละครับ ผมนั่งพักตั้งสติได้ก็เก็บของแล้วโกยมา
ด้วยเห็นกุฎีจุดไฟสวดมนต์อยู่ ทำให้ผมใจชื้น ตอนแรกคิดจะไม่กลับบ้านจะนอนที่หน้าโบสถ์แล้ว เมื่อเห็นไฟตาม
กุฎีก็รีบแจ้นมาหาหลวงพ่อนี่แหละครับ
เออๆๆๆมันทำร้ายคนมามากจนไม่มีใครกล้าเดินกลางคืนทางนี้มานานแล้ว หลวงพ่อไม่อยากทำมันสงสัยมัน
สร้างกรรมสร้างเวรมามาก ทั้งๆที่ภพต่อไปต้องเป็นสัตว์เดรัจฉานสบายกว่าเป็นเปรตมากนัก
แม้ตายเป็นเปรตก็ยังไม่รู้สำนึกผลเวรกรรมของมัน ไอ้สี่ตัวนี้มันร้ายนักเห็นทีจะเอาไว้ไม่ได้เสียแล้วแต่ก็ไม่อยาก
จะผิดศีลในเรื่องนี้นะ
อะไร????.... เปรตหรือขอรับหลวงพ่อ???....
เออๆๆ...ที่มึงพบนี่แหละเปรตล่ะ ก่อนตายมันทุบตีพ่อแม่ แล้วทำร้ายไม่พอยังฆ่าพ่อแม่มันอีก มันพ้นจากขุมนรก
มาเป็นเปรตนึกว่าจะมาเที่ยวขอส่วนบุญเพื่อจะได้ไปเกิดใหม่ หน๋อยแน่มันกับสร้างเวรเพิ่มอีก คงไม่นานมันต้องกลับ
ไปขุมนรกอีกล่ะ ตอนแรกหลวงพ่อก็สงสารมันไปขอร้องมัน มันไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้น ครั้นจะจับมันหรือก็เกรงบาป
กรรม ก็ต้องคอยบอกแก่ชาวบ้านให้ระวังตัวไว้เอาเอง ดีนะมีแม่ตะเคียนคอยช่วยเหลือชาวบ้านอยู่จึงค่อยยังชั่ว
งั้นคืนนี้มึงนอนหน้าห้องกู รับรองมันไม่กล้าเข้ามาภายในวัดนี้หรอก หลวงพ่อกล่าวขึ้น
ชายหนุ่มกราบหลวงพ่ออีกครั้งแล้วเดินตามหลังท่านไป
เขาเดินไปนึกคำหลวงพ่อไป....แม่ตะเคียนคอยช่วยเหลือชาวบ้าน เอ๊ะๆหรือหญิงสาวที่เขาเจอหรือเปล่านะชักสงสัย
แต่ก็ต้องทิ้งความคิดนี้เสียกลางคัน ด้วยเสียงหลวงพ่อหันมากล่าวกับเขา
เออๆๆมึงนอนตรงนี้เดี๋ยวกูจะไปเอาหมอนผ้าห่มมาให้ มุ้งไม่มีนะโว้ยกูไม่เคยใช้มุ้งเลย ใช้แต่กลดเท่านั้น
มึงก็เอาจีวรของกูทำเป็นกลดก็แล้วกัน นี่เชือกมึงก็ทำเป็นนี่นาเคยเป็นลูกศิษย์วัดมาก่อน
เป็นครับหลวงพ่อ ชายหนุ่มกล่าวพร้อมยกมือไหว้พนม
งั้นมึงรอเดี๋ยวนะ......
แล้วหลวงพ่อก็เดินเข้าห้องไป สักครู่ใหญ่ๆ นานพอสมควร
เสียงขลุกๆขลักดังภายในห้อง สักพักใหญ่หลวงพ่อก็เดินหอบของพะรุงพะรัง มีหมอน ผ้าห่มแล้วจีวรเก่าๆ ส่วนเชือกท่านมอบให้ก่อนแล้ว เดินออกมาส่งให้แก่ชายหนุ่ม พลางกล่าวว่า.....
เดี๋ยวกูก็จะทำสมาธิอีกหน่อยแล้วก็จะจำวัดล่ะ มึงไม่ต้องห่วงอะไรหรอกนะไม่ต้องกลัว นี่แน๊ะมึงเอาสร้อยที่กู
พึ่งทำเสร็จเมื่อกี้นี้เอง สวมคอไว้ด้วยนะไม่ต้องถอดแม้มึงจะเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องถอด ของกูมันไม่เสื่อมหรอก
ยกเว้นอย่างเดียวอย่าไปยุ่งกับผู้หญิง
เมื่อยุ่งก็ถอดใส่กระเป๋าเสื้อไว้ก็แล้วกัน หลวงพ่อสั่งเขาไว้ ก่อนจะดินเลี่ยงเข้าห้องไป
ครับหลวงพ่อ.......... ชายหนุ่มก้มลงกราบก่อนที่หลวงพ่อจะเดินหายไป
เขานำไฟฉายมาส่องเห็นสร้อยนั้นทำด้วยผ้าจีวรถักคล้ายหางเปีย ที่เด็กหญิงมักถักไว้ข้างหลังเสมอ แต่มีรอยเขียนยันต์
ด้วยหมึกสีดำพันเป็นเกลียวอยู่ด้วยร้อยด้วยพระองค์หนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมนั่งขัดสมาธิ เขายกมือขึ้นจบอธิษฐานขอคุณ
บารมีจงช่วยคุ้มครองเขาด้วย แล้วค่อยสวมใส่ที่คอเขา แล้วไปจัดการทำมุ้งโดยรวบชายจีวรตลบรวมกันนำเชือกที่
หลวงพ่อให้มาผูกเป็นปม หันไฟฉายไปที่หลังคากุฎีซึ่งไม่สูงมากนัก เขาเหวี่ยงเชือกลอดขื่อห้องปลายผูกเป็นสอง
ท่อน ท่อนแรกเป็นปม แล้วอีกท่อนผูกกับจีวร พอที่เวลาเลิกใช้จะได้จัดการเก็บได้สะดวกครั้นเรียบร้อยแล้วก็เข้า
ไปแหวกที่ช่อง จัดการขยายนำสัมภาระมาวางกันเป็นอาณาเขตพออาศัยนอนได้ เป็นอันเสร็จ
เขาเข้าไปนอน แต่นอนไม่หลับด้วยความตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาหยกๆ เขาพยายามท่องพระอรหังๆหวัง
จะให้หลับ ยิ่งท่องกลับยิ่งไม่หลับแต่จิตใจเขาสงบมากขึ้นเท่านั้น จึงลุกขึ้นค้นหาบุหรี่กับไฟแช๊ค เดินไปยังใกล้
บันได จัดไฟสูบหรี่ดับความเครียด ทอดสายตาไปยังลานกว้างทีเชื่อมต่อระหว่างกุฎีกับโบสถ์ ซึ่งเป็นลานใช้สำหรับ
จัดงานเวลาออกพรรษาเพื่อให้ชาวบ้านมาทำบุญตักบาตรเทโวกัน
แสงจันทร์แรมต้นๆเริ่มส่องแสงสว่างชัดเจนแผ่กว้างทั่วลาน ด้วยไม่มีต้นไม้เป็นลานดินเรียบๆ ทันใดนั้นเขาก็ต้อง
สะดุ้งสุดตัวตาค้าง บุหรี่หล่นจากมือทันที สิ่งที่เขาแลเห็นในลานกว้างๆนั้น กับเห็นเด็กผมจุกหลายๆคนมีทั้งเด็กชาย
เด็กหญิง กำลังวิ่งเล่นกัน บ้างแยกเป็นกลุ่ม บ้างกำลังกระโดดเชือก บ้างเล่นงูกินหาง บ้างเล่นตั่งเต ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างสนุกสนานกันทั่ว
ตัวเขาเริ่มชาและสั่น เขารีบคว้าสร้อยพระที่หลวงพ่อให้มากำไว้ในมือทำให้จิตใจเขาสงบเยือกเย็นด้วยใจชื้นทันที
เสียงเรียกจาก พวกเด็กๆหันหน้ามามองทางเขา พลางกวักมือเรียกเขาเสมือนชวนเขาไปเล่นด้วย เสียงดังลอยผ่านมา
น้าจ๋าๆๆ....มาลงมาเล่นกับพวกหนูด้วยซิจ๊ะ เสียงนั้นเยือกเย็นยิ่งนักแต่มันทำให้ใจเขาสะท้านเย็นเยือกทันที แต่
บัดดลไออุ่นจากสร้อยพระแผ่ซ่านมาทั่วร่างกายเขาด้วยทำให้เกิดความอบอุ่นแก่เขาแทนความหนาวเย็นนั้นๆ
เด็กๆบางคนวิ่งมาหาเขาที่หน้าบันได แต่ไม่กล้าขึ้นมา
น้าจ้า....ไม่ต้องกลัวพวกหนูหรอก พวกหนูเป็นคนดูแลภายในบริเวณวัดเป็น ลูกหลานหลวงพ่อทองจ๊ะ
เสียงนั้นกล่าวขึ้น เมื่อก่อนนั้นน้าก็เคยอยู่กับพวกหนูนี่นาหนูยังไปนอนกับน้าอยู่เลย แต่น้าหายไปนานจริงๆ แต่หนู
จำน้าได้ เห็นน้าเจอพวกเปรตมันจะเข้าไปช่วยน้า แต่ว่าหนูสู้มันไม่ได้ก็ไปบอกหลวงพ่อท่านให้มาช่วยน้าจ๊ะ
ครั้นชายหนุ่มได้ยินพวกเด็กกล่าวเช่นนี้ ความหวาดกลัวค่อยจางหายไป
แต่ก็ยังกลัวอยู่ จนกระทั่งพวกเด็กๆคล้ายจะรู้ใจเขา จึงกล่าวว่า
น้าไม่ต้องกลัวหนูหรอกจ้า เราพวกเดียวกัน ถึงหนูไม่ใช่คนก็ตาม แต่พวกหนูคอยช่วยเหลือคนจ๊ะน้าหลวงพ่อ
ท่านคอยอบรมสั่งสอนเสมอ หากเป็นพวกผีธรรมดามันจะกลัวพวกหนูจ๊ะ มาเถอะไม่ได้เจอกันเสียนานมาเล่นกับ
พวกหนูด้วยกันนะจ๊ะน้า
เขายิ้มให้กับคำพูดที่ไพเราะแต่เยือกเย็นนักว่า
ไม่หรอกจ้าน้าเหนื่อยเหลือเกิน ไว้โอกาสหน้าหากมานอนกับหลวงพ่อก็จะไปสนุกกับพวกหนูนะ
จ๊ะไม่เป็นไรรอกจ๊ะน้าหนูเข้าใจ งั้นหนูไปเล่นกับพวกก่อน อ้อๆๆเดี๋ยวหนูเรียกพวกหนูให้มารู้จักน้าไว้นะจ๊ะ
พลางเด็กตนนั้นก็เรียกพวกทันที พร้อมกับมีเด็กทั้งหญิงและชายต่างวิ่งกันมาแล้วยืน เขานับได้ประมาณสิบกว่าตน
เห็นจะได้ ต่างยกมือไหว้เขาและแนะนำตัวกันทุกๆคน มีคนหนึ่งถามเขาว่าชื่ออะไร เขาจึงกล่าวว่า
น้าชื่อโชติจ้า ชื่อเต็มว่า วีระโชติ
ชื่อเพราะจังเลยนะพวกเรา เด็กหญิงค่อนข้างจะเป็นสาวรูปร่างใบหน้าสวยงามสูงเพรียวสูงใหญ่กว่าทุกๆตน
อายุอานามคงเกือบยี่สิบหรือไม่ก็กว่ายี่สิบเล็กน้อยเห็นจะได้ พลางกล่าวว่า
อุ๊ยๆๆ....รูปหล่อเสียด้วย รูปร่างก็งดงามไม่เห็นเหมือนชาวบ้านแถวนี้เลยนะ ตัวข๊าว ขาว
แหม๋ๆอยากเป็นแฟนน้าจังเลยนะ ถ้าเป็นแฟนฉันรักตายเลยล่ะ จริงๆนะ.....
จะบ้าหรืออีอ้อย???..... เด็กผมจุกกล่าว เอ็งเป็นสาวเป็นนางโตแล้วนะ พูดล้อเล่นกับน้าเขา
แบบนี้ได้หรือเขาเป็นหนุ่มแล้วนา เดี๋ยวแฟนเขาก็ตบเอาหรอกกูไม่ช่วยมึงนะ เป็นผีก็อยู่ส่วนผีซิโว้ย......
เด็กสาวหันไปค้อนเด็กที่กล่าว แต่ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง ชายหนุ่มคิดว่าเด็กคนนี้คงจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็ก
กระมัง จึงกล้าพูดเช่นนี้ทั้งๆที่ตัวก็เล็กกว่ากันแยะ ดังนั้นเขาจึงถามว่า
อ้าวแล้วใครล่ะเป็นหัวหน้ากลุ่มพวกหนูๆนะ
ผมเองแหละครับน้า ผมไอ้จุกหลวงพ่อท่านให้เป็นหัวหน้าคอยดูแลควบคุมไว้จ้า
งั้นหรือน้าก็คิดเหมือนกัน เห็นเด็กๆเชื่อฟังหนูคนเดียว
จ๊ะน้า....งั้นหนูไปขอเล่นกันก่อนนะ วันนี้แสงจันทร์สวยจังเลย ลานก็สว่างเสียด้วยซี
ใช่ซินะคืนนี้พระดวงจันทร์ยังเต็มดวงอยู่เพียงแค่แหว่งนิดเดียว เพราะเริ่มข้างแรมต้นๆ ชายหนุ่มกล่าวขึ้นว่า
ไปเถอะจุกไปเล่นน้าจะคอยมอง เดี๋ยวก็จะเข้านอนแล้วล่ะ ว่างๆไปเยี่ยมน้าบ้างนะ บ้านน้าอยู่ใกล้ๆแถวนี้แหละ
บ้านพ่อเชียร แม่เข็มไงล่ะ......
อ้อบ้านพ่อเชียรแม่เข็มหรือ ท่านใจดีนะน้า ทำบุญเก่งและมักแผ่บุญมาให้พวกหนูเสมอๆแหละจ้า
เอ๊ะๆๆๆ....พ่อเชียรแม่เข็มก็เก่งคาถาอาคมนี่นา ทำไมน้าไม่ร่ำเรียนกับพ่อแม่น้าล่ะ???.....
น้าไม่ค่อยชอบจ้า ชอบเรียนหนังสือเท่านั้น เห็นทีคราวนี้จะขอเรียนกับพ่อแม่บ้างล่ะ
หลวงพ่อทองท่านก็เก่งมากและพ่อเชียรก็มาร่วมกันศึกษาวิชาอาคมด้วยกัน เรียกว่าเก่งกันทั้งคู่เลย แหม๋น่าเสียดาย
น้าเป็นลูกทั้งทีน่าจะมีวิชาบ้าง ไม่อย่างนั้นพวกเปรตมันคงทำอะไรน้าไม่ได้หรอกจ้า หนูไปล่ะ คืนนี้จะคอยระวังน้า
ให้นะ น้านอนตามสบายเถอะจ้า แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ???..... เด็กผมจุกถาม
คงอีกประมาณเดือนหนึ่งจ๊ะ ลางานเขาได้เดือนหนึ่งด้วยน้าไม่เคยลาพักร้อนเลยล่ะ เลยรวบรวมพักเสียทีเดียวด้วย
บ้านอยู่ไกลๆ คิดว่าจะมาหลายๆวันหน่อย หนูไปเล่นตามสบายเถอะเดี๋ยวน้าก็จะนอนแล้ว ชายหนุ่มกล่าวตอบ
แปลกจริงๆเขาสนทนากับพวกเด็กๆอย่างไม่หวาดกลัวหรือว่าเขากลัวจนหายกลัวเสียแล้ว แต่นี่ทั้งๆที่รู้ว่าเด็ก
พวกนี้เป็นผีเด็กก็ตามความสนิทสนมในใจกับมีมากด้วย อาจจะคงคุ้นเคยมาก่อนเก่าก็เป็นไปได้
แต่สภาพก็เหมือนคุยกับเด็กๆทั่วๆไป............
* แก้วประเสริฐ. *
25 ตุลาคม 2553 19:52 น.
แก้วประเสริฐ
อทิสมานกาย ๑
เสียงรถเก่าปุเรทั่งดังสนั่น บางครั้งดังปุ๊ดๆครืดๆคราดๆ วิ่ง ขโยกเขยกมาตามถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นสีแดง
กระจายฟุ้ง ซ้ำควันดำปนขาวพวยพุ่งออกมาจากท่อไอเสียเป็นควันออกมาคล้ายลำทางยาวๆทอดตามหลัง
รถวิ่งไปตามถนนดินแดงที่เล็กแคบๆคดเคี้ยวไปมาตลอดระยะทาง ถนนพอที่จะรถสวนกันได้เท่านั้น
สองข้างทางพุ่มไม้ ต้นไม้ใหญ่เกาะเต็มไปด้วยผงฝุ่นสีแดงดุจฉาบไปด้วยสีฝุ่นมิปาน
บรรดาผู้โดยสารที่นั่งทั้งหญิงชายต่างวัย บ้างก็เอาผ้าปิดจมูก บ้างก็ไม่ปิดแต่ที่เหมือนๆกันคือ บนหัวเต็ม
ไปด้วยฝุ่นสีแดงประหนึ่งดั่งถูกย้อมด้วยสี ทุกๆคนนั่งสั่นคลอนไปๆมาๆตลอดระยะทางที่นั่งบนรถดังกล่าว
รถคันคันนั้นวิ่งผ่านถึงหมู่บ้านแล้วหยุดส่งผู้โดยสาร แล้ววิ่งต่อไปเช่นนี้หมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่า บ้างขึ้นเขา
ลงเขาทั้งสองด้านหนึ่งของเขาเป็นหุบเหวลึกเต็มไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด ทั้งต้นเล็กต้นใหญ่สลับไปตาม
ภูมิประเทศนั้นๆ
บนรถโดยสารมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านท้ายสุดของตัวรถ ใบหน้า คมสัน สูงโปร่งค่อนข้างลำสันกำยำ
นั่งหลับตาสัปหงกโดยมิคำนึงสิ่งที่เกิดขึ้น รถวิ่งคดเคี้ยวไปคดเคี้ยวมาจนมาถึงหมู่บ้านหนึ่ง หน้าทางเข้าหมู่บ้าน
เขียนว่า บ้านโคกอีแร้ง เสียงเด็กกระเป๋ารถ เข้าไปสะกิดร่างชายหนุ่มดังกล่าวให้รู้สึกตัวว่าถึงจุดหมายปลายทาง
แล้วชายหนุ่มพลันลืมตามอง พลางสะบัดหัวเบาๆ
หยิบกระเป๋าเดินทางใบย่อมๆขึ้นสะพายบนบ่าแล้วก้าวลงจากรถออกมายืนริมทาง
รถคันดังกล่าวก็วิ่งต่อไปทอดทิ้งควันพวยพุ่งออกมาเป็นทางยาว ชายหนุ่มยืนอยู่บนถนนพลางมองรถคันนั้น
จนหายลับไปตามโค้งของพุ่มไม้บดบังคงได้ยินแค่เสียงค่อยๆจางหายไป ชายหนุ่มซึ่งพึ่งตื่นนอน พลาง
บิดตัวไปๆมาๆ แล้วหันไปมองทางเดินซึ่งเต็มไปด้วยหลุมขรุขระทางเล็กๆ เขาแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า
ตะวันจวนจะลับขอบพุ่มไม้ไป ซึ่งตกเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ดังนั้นเขาคิดว่าต้องอาศัยเดินเท้าเข้าบ้านเขา และ
กว่าถึงหมู่บ้านคงจะค่ำมากซินะ ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง มิรอช้าเขารีบออกเดินทางอย่างรวดเร็ว หลบหลุม
ที่เต็มไปด้วยแอ่งน้ำ มองไปข้างหน้าซึ่งเป็นทางคดเคี้ยวไปมา ครั้นเขาเดินทางมาได้ครึ่งทางความมืดก็เข้าปกคลุม
ทางเดินเสียแล้ว ชายหนุ่มปลดกระเป๋าที่สะพายบนบ่าออกมาเปิด นำเอาไฟฉายขนาดย่อมๆออกมาแล้วปิดกระเป๋า
ยกขึ้นสะพายบ่าทั้งสองข้างสัมภาระอยู่ด้านหลัง
พลางเปิดไฟฉายส่องทางออกเดินทางต่อไป เสียงจิ้งหรีด จักจั่นตลอดจนสัตว์นาๆชนิดส่งเสียงดังเป็นระยะๆ
เขาก้าวหน้าเดินต่อไป แสงจันทร์เริ่มส่องสาดแสงสีนวลใยพอจะมองเห็นทางแต่เป็นบางช่วงเท่านั้น ชายหนุ่ม
แหงนหน้ามองท้องฟ้า ซึ่งมีดวงจันทร์ดูค่อนข้างเสี้ยวหมายถึงว่าเป็นข้างแรมต้นๆ ปลายขอบฟ้ามีดาวระยิบระยับ
ประชันแสงส่อง เสียงร้องโหยหวนของเหล่าหมาดังขึ้นอย่างโหยหวน เสียงมันทอดเป็นระยะๆขณะที่เขาเดินทาง
โบ๊วๆๆๆ หอนทอดเป็นระยะๆในระหว่างร่างเขาหลบหลุ่มที่เต็มไปด้วยน้ำ
ร่างชายหนุ่มชะงักนิดหนึ่งแต่อาศัยที่เขาเกิดที่นี่เคยคลุกคลีกินนอนเคยมาอาศัยเรียนหนังสือกับพระจากในวัด
จึงทราบว่านี่ ใกล้หมู่บ้านแล้ว ด้วยเสียงนี้คงดังมาจากหมาภายในวัดโคกอีกแร้ง ซึ่งวัดนี้ไม่ห่างไกลจาก
หมู่บ้านเท่าใดนัก เขารีบเร่งเดินทาง ระหว่างทางเดินที่แสนขรุขระปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์ด้วย อาศัย
เป็นคนถิ่นนี้โดยกำเนิดจึงไม่เกรงกลัวต่อเสียงหอนเท่าใดนัก
ชายหนุ่มเมื่อเรียนจบจากรร.ใกล้ๆหมู่บ้านก็ไปต่อที่ในจังหวัดแล้วก็สอบชิงทุนไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เขาจากไป
เสียนาน จนกระทั่งเป็นหนุ่มมิเคยกลับบ้านเลยเป็นเวลาหลายปี บัดนี้เขาได้ทำงานที่ดีและคิดถึงครอบครัวที่จากไป
เสียนานจึงกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด ไฟฉายได้ส่องทาง เขาเริ่มเร่งการเดินทางด้วยนี่ก็จวนสองทุ่มแล้วเมื่อ
เขายกนาฬิกาขึ้นมองเวลา บัดดลเสียงทักทายดังขึ้นมาริมข้างทางใกล้ต้นไม้สูงใหญ่
จะรีบไปไหนจ๊ะ???... เสียงเรียกช่างเยือกเย็นจับใจเสียเหลือเกิน เขาหันไปมองแต่เพียงเห็นแค่เลือนรางเท่านั้น
ไฟฉายได้ส่องไปยังเสียงเรียกเขาทันที สิ่งที่พบคือร่างของหญิงสาวแต่เขาไม่เห็นใบหน้า ไฟฉายเพียงจับแค่ร่าง
ของหล่อน ครั้นฉายไปยังใบหน้า เขากลับแลไม่เห็น รู้เพียงว่าเป็นหญิงสาวค่อนข้างจะสวยงามแต่งกายแบบโบราณ
ห่มผ้าสไบเฉียงสีเขียวขลิบลายดอกไม้ นุ่งผ้าซิ่นขลิบทองจับจีบไว้ข้างหน้า ผมสยายยาวจนเกือบจดเอว
ทรวดทรงอ้อนแอ้น ได้สัดส่วน ทำให้เขานึกฉงนใจทันทีว่าดึก
ปานนี้เหตุใดจึงมีหญิงสาวมายืนอย่างโดดเดี่ยวคนเดียว
เขาฉายไฟฉายไปยังต้นไม้ใหญ่หากไม่ผิดมันคือต้นตะเคียน หรือว่า !!!!?????........ ชายหนุ่มไม่อยากคิด
รู้สึกเพียงร่างกายเย็นเยือกขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาสะดุ้งในใจแต่เนื่องจากตั้งแต่เล็กเขาคลุกคลีกับวัดจึงมิได้
เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น แม้แต่คนตายก็ยังเคยช่วยสัปเหร่อยกเข้าโลงเสมอๆ เรื่องผีสางนางไม้ก็ยังไม่เคยพบเห็นเลย
แต่นี่ๆๆ....ทำไมร่างเขาจึงเริ่มจะมีอาการสั่นขึ้น ความหนาวเย็นเข้ามาจับหัวใจกะทันหัน พอตั้งสติได้เขาจึงกล่าวว่า
ฉันๆฉานๆ... ด้วยเสียงกระเส่า อ้าๆ...พึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านจ้า อ้าวแล้วเธอมายืนทำไมคนเดียวล่ะ???...
ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวจ้า!!!!!.....อยู่มานานแสนนานแล้วพึ่งพบเธอนี่แหละเห็นแปลกหน้าและเร่งรีบก็เลยถามดู
รถพึ่งจะมาถึงเมื่อตอนใกล้ค่ำนี่เอง แต่ที่นี่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยน๊ะ!!!
จ๊ะ!!!! ยังเหมือนเดิมทุกอย่างเลย อ้อ บ้านเธออยู่ที่ไหนหรือว่าอยู่ในหมู่บ้าน โคกอีแร้ง????....
ใช่แล้วจ้า บ้านฉันอยู่ที่นี่แหละ อีกไม่ไกลเท่าใดหรอก นี่ก็ใกล้วัดแล้ว อยู่ด้านหลังวัดนี่แหละ...
หรือ???แล้วหายไปไหนมาล่ะ ถึงได้พึ่งจะมา ฉันก็พึ่งเคยเห็น คนในหมู่บ้านฉันเห็นมาเกือบทุกๆคนแหละ!!!
อ้อๆ.....ฉันไปเรียนที่กรุงเทพฯและทำงานที่นั่น พึ่งได้ลาพักร้อนหลายๆวันก็เลยคิดถึงครอบครัวจ๊ะ
ไม่ได้พบกันเสียหลายปีแล้วล่ะ........
อ้าว!!!!....คิดถึงเมียและลูกหรือไงจ๊ะ????....
เปล่าหรอก.....ฉันคิดถึงพ่อแม่เท่านั้นท่านก็แก่มากแล้ว เพียงแค่ส่งเงินมาให้ใช้ จะมาก็ไม่มีเวลาด้วยงาน
มันมากจ้า.....
แล้วทางกรุงเทพฯเมียไม่ว่าหรือไงล่ะ????....
ฉันยังไม่มีลูกมีเมียหรอกจ้า ลำพังตัวคนเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว เศรษฐกิจกรุงเทพฯมันของแพงๆทั้งนั้น ไม่เหมือน
บ้านเรา มีเงินหรือไม่มีก็อยู่ได้จ้า...อ้อๆ... แล้วเธอล่ะไม่กลัวสามีจะตามมาหรือ เอ๊ะแต่งกายแปลกๆคล้ายพวกยี่เกนะ
ฮิฮิๆๆๆ... ใครบอกเธอล่ะ พึ่งจะมาก็ทำเป็นรู้ไปได้ แปลกคนเสียจริงนะคุณ.....
เปล่าหรอก ฉันเดาเอาเห็นว่าเป็นคนสวยคงจะมีครอบครัวแล้วและอีกอย่าง ฉันนึกว่าทางหมู่บ้านคงจะมียี่เก
และเธอก็เล่นยี่เกด้วย บ้านอยู่ใกล้ๆคงจะมาหาลูกหาผัวจึงได้กลับมาคนเดียวสามีเธอ
หายไปไหนล่ะทิ้งไว้ในที่มืดๆคนเดียว???....ไม่ยักกับมาส่งเมียเสียอีก...????
ฮ่าๆๆๆๆ....ฉันอยู่ตัวคนเดียวมานานแล้ว อ้อฉันชอบแต่งตัวแบบนี้แหละ ยังไม่มีใครสนใจฉันเลย ถึงมีแต่ฉัน
ไม่สนใจหรอก???...
งั้นหรือ!!!!....จะให้ฉันไปส่งบ้านเธอก็ได้นะ ส่งเสร็จก็จะได้รีบกลับบ้านนี่ยังไม่ดึกเท่าไหร่หรอก
ขอบใจมากจ้า....บ้านฉันอยู่แถวนี้แหละเดี๋ยวก็กลับได้แล้วล่ะ ฉันจะคอยดูแลเธอให้นะจะคอยไปเป็นเพื่อน
เธอ เธอรู้ไหมว่าแถวนี้เวลาค่ำคืน มีอันตรายมากเสียด้วยซิ ยิ่งเธอจากไปนานๆคงจะไม่มีใครรู้จักเธอหรอก ที่ฉัน
จะไปส่งเธอ เห็นเธอเป็นคนดีมีน้ำใจจ๊ะ....
ขอบใจมากจ้า ฉันเองคิดว่าคงไม่เป็นไรหรอกข้าวของเงินทองก็มีไม่เท่าไหร่ หากจะมาปล้นหรือจี้ก็
คงได้ไม่เท่าไหร่ฉันไม่ค่อยชอบพกเงินต้ิดตัวมากๆเพราะอันตราย
ฉันไม่ได้หมายถึงพวกนั้น แต่หมายถึงอย่างอื่นนะ???...แล้วเสียงหล่อนก็อ้ำอึ้งๆไปไม่กล่าวต่อ เพียงแค่มองหน้าแล้วอมยิ้ม
ยิ่งทำความสงสัยให้แก่ชายหนุ่มมากยิ่งขึ้นไป จึงกล่าวว่า
ในเมื่อไม่ใช่พวกปล้นจี้จะมีใครอีกเล่าจ๊ะ????....
หากฉันไม่ไปเป็นเพื่อนเธอ ก็จะอันตรายนะ???....
ขอบใจเธอมากจ้า อย่าดีกว่าเพียงแค่น้ำใจเธอ ฉันก็ซาบซึ้งแล้วล่ะ งั้นฉันไปก่อนนะ นี่ก็รู้สึกว่าจะดึกมากแล้ว
พลางยกนาฬิกาเอาไฟฉายส่องเวลาดู
ตามใจเธอนะ ขอให้ปลอดภัยนะจ๊ะ......เสียงนั้นแสนไพเราะแต่เหตุไฉนช่างยานเยือกเย็นนัก????.....
แต่ชายหนุ่มไม่คิดอะไรมาก หลังจากสนทนากับหญิงสาวแล้ว เขาก็หันหลังก้าวเดินอย่างรวดเร็วโดยใช้ไฟฉาย
ส่องทาง สักครู่หนึ่งก็ถึงวัด ทางเข้าบ้านต้องเดินผ่านเคียงวัด เสียงหมาเจ้ากรรมก็ยัง หอนอย่างโหยหวน ไม่ยอมหยุดหอน
ใกล้ๆวัดมีต้นกอไผ่ขึ้นเรียงรายไปรอบๆข้างทางเดิน เขามองไปภายในวัดเห็นปิดไฟเงียบ พระท่านคงจำวัดหมดแล้ว
จะมีก็แถวปลายป่าช้าที่ใช้ฝังศพ ยังมีกระท่อมเปิดไฟอยู่แต่คงเป็นแสงเทียนด้วยแสงมันวับๆวอมๆแวมๆพลิ้วไปมา คงเป็นบ้านของสัปเหร่อ
ประจำวัด
ไฟฉายถูกส่องนำทางเดิน เขาก้าวย่างไปเรื่อยๆ บางครั้งก็หลบหลุมที่มีน้ำขังไว้ แต่ทันใดนั้นเอง ลมไม่พัดแรงเลย
แต่กอไผ่ทั้งกองทั้งสองข้างกลับเอนลงมาขวางยังถนน ชายหนุ่มชะงักทันทีเขามองไปยังต้นไผ่ต้นอื่นกลับยังยืนอยู่
เพียงแต่สั่นไหวไปๆมาๆ ส่วนกอที่เอนลงมาทาบกับทางเดินซ้ายขวากลับไม่ได้หักกลางปล้องเลย เขาแปลกใจนัก
หรือว่าเขาถูกสิ่งที่มองไม่เห็นจะลองดีกับเขาแล้ว
ชายหนุ่มใจสั่นทันทีนึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณทันที พลางสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าด้วยเสียง
ดังๆ แล้วกล่าวแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทันที เขาไม่ได้เรียนเวทย์มนต์คาถาใดๆถึงแม้ว่าอาจารย์ที่วัดท่านจะ
เชี่ยวชาญแต่สมัยเด็กๆจนหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ เพียงแต่สวดมนต์ได้เป็นบางบทเท่านั้นเอง คงได้ยินท่านมักกล่าวกับ
พวกที่มาทำบุญในวัดว่า โยมควรจะสวดมนต์และต้องแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ด้วยเสมอๆทุกๆครั้งนะ หรือว่าเดินทาง
หากพบสิ่งใดให้สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้าแล้วแผ่เมตตา เขาจำได้แค่นี้
แต่บัดนี้เขามาพบแล้วแต่เนื่องจากท่องมาจนขึ้นใจสมัยคลุกคลีกับวัดจึงไม่ลืมแม้จะจากไปเสียนานก็ตาม แต่ก็หา
ได้ทำให้ก่อไผ่นั้นกลับคืนก็หาไม่ เขาเริ่มตัวสั่นใจสั่นขาสั่นทันที ครั้นจะวิ่งหนีเข้าวัดก็วิ่งไม่ออก รู้สึกว่าขาทั้งสอง
ข้างแข็งก้าวขาไม่ออก เขายืนตะลึงมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น หลับตาก็แล้วนึกว่าตาฝาดไป พอลืมตาก็เห็นเหมือนเดิมอีก
ทำให้นึกถึงคำหญิงสาวที่กล่าวไว้ว่าจะมาส่ง แต่เขาปฏิเสธหล่อน ตอนนี้เขานึกถึงหล่อนทันที แต่ใจหนึ่งว่าหล่อน
จะมาช่วยเขาได้หรือ ในเมื่อเขาจากมาไกลแล้วและไม่คิดเป็นอื่นนอกจากหญิงสาวธรรมดาเท่านั้น
เสียงกรี๊ดๆๆร้องลั่นอย่างโหยหวน เสียงนั้นเย็นยะเยือกเข้าไปจับใจเขา ดวงตาเขาเบิ่งมองเสียงนั้นทันทีมันยืน
อยู่หลังกอไผ่ ร่างมันสูงๆและสูงขึ้นเรื่อยๆ พลางหันหน้ามาทางเขาตาแดงพองโตใหญ่เท่าไข่เป็ดหรือไข่ไก่เห็นจะได้
ปากเล็กนิดเดียว ใบหน้าเล็กมากผิดกับรูปร่างที่สูงชะลูดร่างผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
ชายหนุ่มตกใจตัวสั่นหลับตาทันที แต่ลืมตามองไปยังทางเดินที่กอไผ่ล้มขวางทาง
แต่มันแปรเปลี่ยนไปกลายสภาพเหมือนร่างของผีร้ายสองตัวที่ยืนอยู่นอนขวางทางเขาไว้
ผมบนหัวเขาตั้งชันทันทีแม้แต่ขนตามร่างกายก็ลุกชัน ร่างกายเขาค่อยทรุดลงกับพื้น
ทันใดนั้นมืออันน่าเกลียดน่ากลัวยาวเอื้อมมือมายังร่างที่นั่งกับพื้นมาหาเขาทั้งสี่ตน ชายหนุ่มร้องเสียงหลงคล้าย
คนขาดสติไปทันที เมื่อมืออันน่าเกลียดมีแต่หนังหุ้มกระดูกยื่นกางนิ้วมือเข้ามาเพื่อจะคว้าร่างเขาไว้ ใจชายหนุ่มคิด
อยากจะวิ่งหนีออกจากที่นั่น แต่เขาทำไม่ได้มันช่างอ่อนล้าสิ้นเรี่ยวแรงไปหมด ลมหายใจชักจะติดขัด ทำท่าจะเป็นลมไปเสียให้ได้ ความหวาดกลัวเข้าสิงสู่ในใจเขา ในชีวิตเขาไม่เคยเจอมาเลยถึงแม้จะเคยพบศพและช่วยเหลือ
พวกสัปเหร่อก็ตามที เขาคิดว่าเห็นที่คงจะต้องตายแน่ๆเสียแล้ว
* แก้วประเสริฐ. *
29 กันยายน 2553 19:19 น.
แก้วประเสริฐ
ฝากรักฟากฟ้า
แสงตะวันทอสีแห่งยามสนธยา ล่วงจะลาลับกลับคอยรองรับฟื้นสู่ยามรัตติกาล....
ร่างกำยำสูงโปร่งชายหนุ่มค่อนข้างล่วงวัยเข้าสู่กลางคน..........
ผมสีดอกเลาขึ้นอยู่ประปรายสอดแทรกผมอันดำขลับยาวย้อยปรกเป็นลอนลงบนใบหน้า
แม้นอายุจะล่วงวัยย่างผ่านพ้นแห่งชายฉกรรจ์ แต่ก็ยังแฝงซึ้งถึงความหล่อเหลา
ด้วยใบหน้าคมซึ้ง ดวงตาเปล่งประกาย วงหน้าอันยาวรับรูปเป็นสัดส่วนของชาย
บ่งบอกถึงในอดีตที่ผ่านมา ที่ยังหลงเหลือแฝงไว้ของชายหนุ่มร่างนี้ กำลังทอด
อารมณ์ประดุจดั่งหยกเนื้องามขาวสะอาดที่แกะสลักไว้ มองไปยังปลายขอบฟ้า
คล้ายจะค้นหาหรือแฝงสิ่งในใจออกมา ท่ามกลางขุนเขาป่าพงไพรพนาอันเขียวชอุ่ม
ร่างเขานั่งเหม่อมองท้องฟ้านั่งทอดอารมณ์บนก้อนหินที่ปูลาดราบเรียบประดุจสร้าง
โดยน้ำมือมนุษย์มิปาน ใต้ต้นไม้โศกใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาขยายเป็นพุ่มใหญ่
ด้านหลังเป็นภูเขาสูงชัน ล้วนแล้วพฤกษานานาพันธุ์กิ่งก้านใบ เขียวชอุ่ม
บ้างมีดอกกล้วยไม้บนคาคบส่งกลิ่นฟุ้งกระจายไปไกลตามสายลมเอื่อยๆ
หอมโชยล่องมากระทบนาสิกประดุจหนึ่งเทพทิพย์ที่คล้ายๆจะชโลมจิตอารมณ์ที่
ประหนึ่งค่อนข้างจะเงียบเหงาแสนเศร้า เสียงน้ำตกแว่วมาเป็นระยะๆ สลับกับเสียง
ดนตรีธรรมชาติที่เสียดสีของต้นไม้ต่างๆ เสียงวิหคร้องเรียกหากัน ตลอดจนบรรดา
สิงห์สาราสัตว์ ลิง ค่าง บรรดาสัตว์ต่างก้องกังวาน ยามตะวันจะลับหายไปเข้าสู่วันแห่งราตรี
ภายในบริเวณที่เขานั่งรายล้อมรอบเรียงรายไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ แต่บริเวณที่เขานั่งนั้น
กลับเป็นชะง่อนผาจึงแลเห็นความเปลี่ยนแปลงของเหล่าหมู่เมฆบนท้องฟ้า........
เบื้องหน้า สายตาชายหนุ่มมองไปบนฟ้าคล้ายๆครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ภาพเมฆสีขาวแต่บัดนี้กลับถูกแสงหลากหลายฉาบไว้ สลับหมุนเวียนเปลี่ยนไปๆมาๆ
ทอพวยพุ่งสาดลอดเหล่าหมู่เมฆเป็นลำแสงอันสดสวยงามนัก ไปยังก้อนเมฆหนึ่งแล้ว
ไปยังอีกก้อนหนึ่ง หักมุมเปลี่ยนแปลงของเหล่าเมฆสลับเป็นสรรสีต่างๆนาๆ
สร้างภาพของเมฆที่กำลังล่องลอยอย่างเชื่องช้า เป็นภาพสัตว์ วิมานนาๆชนิด
บ้างคล้ายเหล่าสตรีที่กำลังเริงร่ายระบำบนท้องฟ้า
ด้วยหมู่เมฆถูกสายลมพัดสลับวนเวียนไปๆมาๆแปรเปลี่ยนนานัปการ
ร่างชายหนุ่มถอนหายใจออกมาประหนึ่งดุจดั่งจะระบายสิ่งซ่อนเร้นภายในใจให้คลาย
สิ่งที่ฝังลึกไว้ในห้วงของเขาส่งผ่านไป ยามเมื่ออดีตเก่าพลิกย้อนหวนคืนกลับมาในห้วง
แห่งความหลัง ทำให้ชายหนุ่มต้องสลัดศีรษะเขาเบาๆ ต่อเหตุการณ์ที่ประดังขึ้นเปรียบ
เสมือนดั่งจะขับไล่สิ่งที่เก็บไว้ให้เหือดแห้งไป อนิจจาสิ่งที่หมักหมมยามเงียบสงัด
ของธรรมชาติภายในป่าและภูผาเช่นนี้ใยเล่าจะขัดขืนได้เล่า
เขาบิดตัวไปๆมาๆผ่อนคลายความเมื่อยขบและลืมสิ่งนั้นๆ
แต่ห้วงแห่งสภาวะยังคงคอยติดตามสะท้อนออกมาจนได้ หลายต่อหลายครั้งที่ทำเช่นนี้
มันมีทั้งความสุขและความปวดร้าวที่แฝงลึกไว้สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกมา
อากาศเริ่มเย็นลงไปเรื่อยๆยามตะวันอยู่ยอดเหนือพุ่มไม้คล้ายๆจะอำลาไปดุจดั่ง
เขาที่ต้องหลีกเร้นหนีความเจ็บปวดร้าวลึกที่เปรเปลี่ยนไปฝากไว้กับธรรมชาติ
มาดแม้นว่าเขาจะลืมโดยเอาธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์เป็นเครื่องชำละล้างจิตใจก็ตามที
แต่สิ่งภายในเหล่านี้มันไหลย้อนลึกสลับขึ้นไปๆมาๆ สร้างความปั่นป่วนอารมณ์อัน
ร้าวรอนของเขายิ่งนักยากที่ใครเล่าจะสอดแทรกเข้ามาจุนเจือลดทอนได้
ในเมื่อสิ่งที่เขาหวังไว้พร้อมกับวิมานน้อยๆที่อุตส่าห์วิริยะสร้างขึ้นมา
ต้องพังพินาศไปอย่างที่เขามิอาจจะกลับไปมองสิ่งเหล่านี้ได้อีกเลย.....
สิ้นแล้วสิ้นความหวัง สิ้นหมดทุกๆอย่าง หากเป็นชายอื่นคงจะไม่ปวดร้าวเช่นเขา
แต่นี่เป็นเขาซึ่งรักมั่นเชื่อมันต่อใจของตัวเองมาก ด้วยคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่ตัว
ของเขาเอง ดังนั้นจึงมิอาจจะหลีกเลี่ยงหลบหลีกพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้.....โอ้อนิจจา.........
คุณชายๆขอรับ.....เสียงเรียกของชายชราผู้ดูแลคฤหาสน์ที่ปลูกขึ้นแบบกึ่งตะวัน
ตกและตะวันออก ภายในบริเวณเนื้อที่ประมาณห้าไร่เศษๆ ภายในจัดเป็นระเบียบสลับ
อารยะธรรมผสมผสานกันได้อย่างแนบเนียน ใช่แล้วสิ่งเหล่านี้เขาเองเป็นคนออกแบบ
เขียนแบบแปลนทั้งสิ้น ด้านหลังคฤหาสน์เรียงรายไปด้วยบ้านเล็กๆน้อยๆที่เขามอบให้
บรรดาคนรับใช้ บ้างก็มีครอบครัว บ้างก็ไม่มี ประมาณสักหกเจ็ดคน แต่ละหลังนั้นจัด
เป็นระเบียบเรียบร้อย ชายหนุ่มเป็นคนรักความสะอาดยิ่งนัก ดังนั้นทุกๆคนทราบเรื่องนี้
ดีจึงกระทำด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยเขามักจะมาตรวจตราหมั่นดูความเรียบร้อย
กับบรรดาบ้านพักเหล่านี้เสมอๆ เขาเองเคยกำชับและเคยไล่ออกไปก็เสียหลายคน
เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เขาวางไว้
ชายหนุ่มสะดุ้งยามที่กำลังพิจารณาเรือนดอกไม้นาๆชนิดที่เขาเสาะหามาทั้งปลูกใน
กระถาง และแขวนไว้ กำลังออกดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมเย้ายวนหลากหลาย
ครั้นได้ยินเสียงเรียกจากชายชรา จึงหันหน้าไปมองซึ่งผู้เรียกนั้นมีร่างกายกำยังลำสัน
ค่อนข้างชราแต่งกายเรียบร้อย พลางเอ่ยถามว่า
มีอะไรหรือพ่อจ้อย????.......
ร่างชายชราน้อมกายลงประสานมือเข้าด้วยกัน พลางเอ่ยว่า
คุณหญิงท่านให้กระผมมาตามคุณชายไปพบขอรับ......
อ้อ!!!.....อย่างนั้นหรือ ไปเรียนคุณแม่ด้วยว่าเดี๋ยวสักครู่จะขึ้นไปหานะ....
ขอรับๆ...คุณชาย
กล่าวเสร็จชายร่างฉกรรจ์ก็ก้มศีรษะแล้วถอยออกไป เดินกลับขึ้นตึกเพื่อเรียนให้คุณหญิงทราบ
สักครู่ใหญ่ร่างชายหนุ่มก็ก้าวเข้ามายังห้องโถงที่ตรงกึ่งกลางมีตั่งแต่ไม่มีที่พิงตั้งอยู่ตรง
กลางบนตั่งมีหมอนสามเหลี่ยม ข้างตั่งมีโต๊ะเล็กๆใช้เป็นที่วางของจำเป็น บนตั่งนั้นร่างหญิงชรา
นอนตะแคงข้างท้าวหมอน ที่ปลายเท้ามีหญิงสาวกำลังบีบนวดให้อยู่
เรียกผมหรือครับคุณแม่????.....
จ๊ะๆ...พ่อรุทธ์ แม่มีเรื่องหนึ่งจะปรึกษาลูกว่าคิดอ่านประการใดดี ด้วยเป็นเรื่องของลูก
แม่เองไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรอกจ้า อ้อๆๆๆ...แม่ทราบมาว่าคุณหญิงเสาวนีย์เขาโทรฯมา
บอกแม่ว่า ลูกกับลูกสาวเขามีความสัมพันธ์กันมาก็เนิ่นนานแล้ว เขาเป็นฝ่ายหญิงจะทำอะไร
ก็รีบๆนะ เขาเองก็ไม่รังเกียจฝ่ายเรา อีกอย่างเหตุการณ์ไม่สู้ปกตินักด้วยทางพ่อของ คุณดารณี
ไปรับปากกับเพื่อนถึงเรื่องลูกสาวเขา
เขาเห็นว่าแม่กับเขาเป็นเพื่อนสนิทมาสมัยยังเรียนหนังสือกันมา อันที่จริงเขาเพียงบอกให้แม่รู้
ด้วยเห็นลูกกลับหนูดารณีชอบพอกัน ส่วนแม่ไม่เป็นปัญหาหรอกจ้า.....
ร่างชายหนุ่มอึ้งไปพักหนึ่ง ก็เดินเข้ามานั่งข้างตั่งแล้วพลางเอ่ยว่า
แล้วคุณดารณีล่ะแม่ เขารู้เรื่องนี้หรือเปล่าล่ะ
เรื่องนี้...แม่ไม่รู้หรอก แต่แม่รู้ว่าหนูดารณีนั้นเชื่อฟังคุณพ่อเธอมากจ้า อีกประการหนึ่งเด็ก
คนนี้ก็เป็นเด็กที่ดี มีมารยาทเรียบร้อยทั้งยังไม่ชอบการเที่ยวเตร่ดุจเพื่อนๆเขาจ๊ะ
แต่ทว่าๆ.......
มีอะไรอีกหรือลูก?????...
คือว่า....ผมอยากจะให้เรือนหอที่สร้างไว้ด้านข้างตึกเราเสร็จเรียบร้อยเสียก่อนครับ ด้วยเราสอง
ได้ทำความตกลงกันไว้ ผมบอกว่าหากเสร็จเมื่อใดก็จะให้คุณแม่ไปสู่ขอ และยังกล่าวว่าจะขอหมั้น
ไว้ก่อน คุณดารณีบอกว่าอย่าเรื่องมากนักหากไปสู่ขอก็หมั้นและแต่งกันเลยจะได้ไม่ต้องเปลือง
ค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นครับคุณแม่ผมก็ตามใจเธอ อีกอย่างหนึ่งตอนนี้งานสร้างเรือนหอนั้น
ก็เสร็จไปแล้วหกสิบเปอร์เซ็นต์แล้วครับคุณแม่ ผมเองก็อยากจะไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นภายหลังครับ
จะเกิดเรื่องอะไรอีกล่ะ???...พ่อรุทธ์ ตึกเราก็ใหญ่โตจะให้แม่อยู่คนเดียวเลยหรือ....
ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณแม่...ผมหมายความว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนอื่นจะเหมือนผมไม่ได้ที่คลุกคลี
มาโดยตลอด และอีกอย่างหนึ่งอยากให้เขาเป็นตัวของตัวเองอีกด้วยครับ ส่วนการปรนนิบัติเขาก็จะ
มาคอยปรนนิบัติคุณแม่ทุกๆวันอยู่ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ
อ้อๆ???.....หากเป็นเช่นนั้นก็ตามใจลูกเถอะนะ เราก็มีกันสองคนเท่านั้นเอง
แต่ลูกกลางวันก็มาอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่นี่ก็แล้วกันนะ
ครับๆ...ผมเองไม่ห่างคุณแม่ไปหรอกครับ จะอยู่คอยปรนนิบัติคุณแม่ ยกเว้นไปดูกิจการงาน
เท่านั้นครับ....
แล้วเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะพ่อรุทธ์จะเรียบร้อยแม่จะได้ไปบอกคุณหญิงเขา เขาก็เป็นห่วงทางเราเหมือนกัน
ด้วย สามีเธอนั้นเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่มักจะไม่ค่อยฟังใครๆเขาหรอก และอีกอย่างหนึ่ง
คุณหญิงเสาวนีย์ก็อยากจะเป็นทองแผ่นเดียวกับเรากระชับสัมพันธ์กันมากกว่าเป็นเพื่อน เมื่อไหร่ล่ะ?????....
คุณแม่บอกทางโน้นเถอะครับว่า ขอให้ผมสร้างเรือนหอเสร็จเสียก่อนจะให้คุณแม่ไปสู่ขอครับคงไม่นาน.....
แล้วเขาจะรอลูกหรือแม่เองก็สงสัยเหมือนกัน ด้วยทางพ่อเขาความเห็นไม่สอดคล้องกับ
คุณหญิงเสาวนีย์เสียด้วย ทางโน้นเอาแต่ใจตัวเอง แม่ว่าจะช้าไปนะลูก???.....
หากเรามีวาสนาต่อกันแล้วจะช้าหรือเร็วก็คงไม่เป็นปัญหานะครับคุณแม่
ชายหนุ่มเอื้อนตอบผู้เป็นมารดา
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ตามใจลูกเถอะ นี่แม่มาบอกให้ลูกรู้ไว้ก่อนนะ ทำให้แม่นึกถึงคำเขากล่าวไว้
ว่า เวลาและนาทีจิตนารีย่อมเป็นอื่น รักที่หวานชื่นกลับขมขื่นก็มากไปจ้า....
แม่เองก็เห็นว่าลูกรักชอบพอกับเขามาก ก็เพียงมาแจ้งให้ทราบเท่านั้น หากลูกมีธุระก็ไปทำได้
แล้วจ้า แม่จะพักผ่อนสักหน่อยยิ่งแก่มากเท่าใด ร่างกายก็ปวดเมื่อยมากเท่านั้นนะ......
ครับคุณแม่.....
แล้วร่างร่างหนุ่มก็เข้าไปกอดคุณหญิงพลางหอมแก้มมารดา ลุกขึ้นเดินออกไป คุณหญิงมอง
ลูกชายคนเดียว พลางยิ้มและนึกภาวนาขอให้อย่ามีอะไรเกิดแก่ลูกคนนี้เถอะ พลางย้อนคิดไปถึง
ตอนยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ลูกคนนี้ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้พ่อแม่เลย เรียนก็จัดอยู่ในแนวหน้าเสมอ
แต่มารู้จัก หนูดารณีก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน หญิงชรารู้ว่าลูกคนนี้เป็นคนใจเดียวเสมอ
เป็นคนตรงไปตรงมา แต่ค่อนข้างจะเก็บสิ่งต่างๆไว้ในตัวเองไม่ระบายอะไรให้ใครๆฟังเลย
หญิงชราจึงได้แต่ทอดถอนใจ แล้วพลางสั่งให้เด็กสาวที่หยุดการบีบนวดให้ทำงานต่อไปพลางนอน
หงายหลับตาพริ้ม............
ชายหนุ่มนาม อนุรุทธ์ หรือ รุทธ์ตามที่คุณหญิงผู้เป็นมารดาเรียก เดินย้อนกลับไปยังเรือนไม้
อีกครั้งหนึ่ง พลางนึกถึงใบหน้าอันหวานซึ้งรูปไข่ ดวงตามกลมโต มีรอยลักยิ้มข้างซ้าย ยามหล่อน
ยิ้มช่างสวยงามเสียนี่กระไร เขานึกถึงรูปร่างทรวดทรงสูงระหงส์ได้สัดได้ส่วน หากไปเป็นดาราหรือ
นางแบบก็ไม่น้อยหน้ากว่าใครๆหรอก อีกไม่นานนะขอให้บ้านเราเสร็จก่อนจึงจะให้คุณแม่ไปสู่ขอ
ตามประเพณี ทั้งสองสนิทสนมไปเที่ยวด้วยกันเสมอๆแต่ก็มิได้ล่วงเกินใดๆทั้งสิ้น ทั้งสองรับปากว่า
ขอให้เราแต่งงานกันก่อนนะ ชายหนุ่มให้สัญญาดังนั้นปัญหาต่างๆจึงไม่เกิดขึ้น อีกฐานะเล่าก็ทัดเทียม
กันไม่ห่างกันมากนัก
พ่อแม่หล่อนรึก็เป็นนักธุรกิจกว้างขวางเป็นที่รู้จักในวงสังคม ส่วนแม่หล่อนก็เป็นคนกว้างขวาง
ในระดับคุณหญิงคุณนาย ยกเว้นแม่เขาเท่านั้นที่ไม่ค่อยจะไปสุงสิงกับบรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย
ยกเว้นแม่ของหล่อนเท่านั้น ที่รักใคร่กันมากระหว่างการเรียนและติดต่อมาตลอดไม่เคยห่างกันเลย
จึงรู้ใจกันและกันยิ่ง
เขาเองหลังจากคุณพ่อเสียไปหลายปี ก็เข้าควบคุมกิจการค้าต่างๆทั้งในประเทศและนอกประเทศ
คนเดียว ด้วยความรู้ความพากเพียรอุตสาหะ กิจการก็รุ่งเรืองเป็นที่นับหน้าถือตาในวงสังคมและ
การเมือง แต่เขาเป็นคนที่วางตัวเฉยๆกับสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ช่วยเหลือเพื่อปูทางในกิจการเขาเท่านั้น
หลังจากชมบรรดาต้นไม้ที่กำลังออกดอกเบ่งบานส่งกลิ่นหอมโชยมา เขาก็เดินไปดูการก่อสร้างที่อยู่
ไม่ห่างไกลจากตัวตึกเท่าไหร่นัก เขามองแบบแปลนที่เขาเขียนขึ้นไว้และสั่งให้ผู้ควบคุมจัดการพร้อม
เดินเข้าไปตรวจสอบจนเกิดความพึงพอใจแล้ว เขาก็ออกมาจากบริเวณนั้น.........
เวลาผ่านไปการก่อสร้างยังไม่เรียบร้อย ด้วยเขาเป็นคนพิถีพิถันนักส่วนใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เหลือเพียง ตบแต่งภายในซึ่งเขาสั่งของมาตบแต่งห้องหอต่างๆ ชายหนุ่มยิ้มกับตนเองในทางกลับกัน
เขาก็ยังติดต่อกับหญิงสาว แล้วพามาดูหอรักแห่งนี้ด้วย เขาถามหล่อนว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมอีก
หรือไม่ หญิงสาวได้แต่ยิ้มยืนพิงร่างชายหนุ่มพลางกล่าวว่า
ในเมื่อพี่รุทธ์เข้าคุมงานเอง พิมหรือจะสู้พี่ได้ล่ะ พิมหรือดารณีกล่าวพลางแหงนหน้ายิ้มกับ
ชายหนุ่ม
ไม่แน่นะพิม สิ่งนี้ต้องตามใจผู้อยู่จ๊ะ แล้วเขาก็หัวร่อ ทั้งสองก็ห่อร่อ ชายหนุ่มสวมกอด
หญิงสาวไว้ในทรวงอก แล้วก้มลงจูบบนหน้าผากหญิงสาว หญิงสาวหลับตาพริ้มยินยอมพร้อมใจ
เสมอ
อีกไม่นานนะเราสองคนจะได้มาอยู่ที่นี้นะพิม
จ๊ะพี่.....เราจะมาสร้างเรือนหอหลังนี้ให้มีความเฉิดฉันท์จ๊ะ หล่อนกล่าวด้วยน้ำคำอ้อยอิ่งหวาน
จนชายหนุ่ม เคลิบเคลิ้ม
ครั้นเรือนหอหลังนี้เรียบร้อยสมบูรณ์ แต่แล้วเหตุการณ์ที่เขาไม่คิดมาก่อนก็เกิดขึ้น คุณแม่ท่าน
ได้เสียไปตามอายุขัยอย่างกะทันหัน
ดังนั้นงานที่คาดหวังไว้ว่าจะไปสู่ขอก็ต้องชะงักไปด้วย ตามโบราณกล่าวไว้ว่า ต้องให้พ้นล่วงเวลาไปสามปี
ก่อนถึงจะจัดงานมงคลได้
เหตุฉะนี้เขาจึงแจ้งให้หล่อนทราบ หลังจากจัดงานศพคุณแม่ไปแล้ว ทางฝ่ายหญิงก็มิได้กล่าวว่ากระไร
กลับบอกว่า ขอให้พี่สบายใจได้ พิมจะคอยพี่เสมอจนกว่าพี่จะสบายใจจ๊ะ เขาก็เริ่มมีอาการซึมเศร้าด้วย
ความผูกพันระหว่างแม่ลูกนั้นลึกซึ้ง บัดนี้เขาอยู่ตัวคนเดียว โพธิ์ทองหักไปอีกต้นแล้วคงเหลือเขา
แต่เพียงผู้เดียว ระยะนี้เขาไม่ใส่ใจที่จะทำกิจการค้าเท่าไหร่แล้ว งานเขาก็จำเป็นต้องห่างออกไปอีก
ตามคำกล่าวของคนโบราณ ซึ่งจะไม่เชื่อก็ไม่ได้อีกประการหนึ่งไม่อยากให้คนเขานินทาว่ากล่าวได้
บรรดาสิ่งที่ไม่เคยคิดหวังต่างๆใยจึงแทรกซ้อนขึ้นกับเขา
ดังนั้นชายหนุ่มจึงมอบภาระการงานให้คนเก่าคนแก่ที่เขาเคารพซื่อสัตย์สมัยคุณพ่อเป็นดูแลแทนเขา
ชายหนุ่มได้แต่โศกเศร้าเสียใจในการจากไปของคุณแม่ เขาจึงสงบใจด้วยการไปบวชวัดที่
เขาศรัทธา เพื่อศึกษาธรรมและหาความสงบในด้านจิตใจเขา แต่กระนั้นหญิงสาวก็คอยมา
ปรนนิบัติอยู่ เขาตั้งใจว่าจะบวชแทนคุณพ่อแม่สักสิบห้าวัน และด้วยธรรมอันลึกซึ้งจึงได้บวช
ต่อจนครบพรรษา ด้วยเรื่องความรักนั้นยังไม่ครบกำหนดที่จัดงานมงคลได้ จึงเอาธรรมเข้า
กล่อมจิตใจเขาไปพลางๆก่อน........
หลังจากสึกออกมาเหตุการณ์ก็กลับตาละปัดไปเสียสิ้น ดารณีถูกคุณพ่อเธอบังคับให้แต่งงาน
กับลูกเพื่อนของคุณพ่อเธอ หล่อนโศกเศร้าเสียใจมากแต่ด้วยความรักที่เชื่อฟังคุณพ่อเธอมาตลอด
จึงทำให้ ความรักเขากับหล่อนต้องขาดสะบั้นลงไป เพื่อทดแทนคุณบิดาซึ่งถูกเหตุการณ์ทาง
การเมืองบีบบังคับ ในเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้หล่อนเกลียดสิ่งต่างๆที่เข้ามาทำลายความรัก
สิ่งที่หล่อนหวังไว้ภายในห้วงใจเธอตั้งใจไว้ว่าหากแต่งงานวันใด ก็จะไม่ขออยู่เมืองไทยอีก
ต่อไปซึ่งไม่เฉพาะคนรอบข้างแม้แต่การบ้านการเมืองก็มาสร้างความรักหล่อนจนพินาศสิ้น
ดังนั้นหล่อนถึงจำเป็นต้องแต่งงานทั้งๆที่ไม่มีความรักกับเพื่อนพ่อสักนิดเดียว
แต่ ด้วยความรักคุณพ่อเชื่อฟังมาตลอด อีกประการหนึ่งความรักแท้จริงของหล่อนเองนั้นได้
มอบให้แก่เขาจนหมดสิ้นเสียแล้ว แต่หล่อนอ้างกับคุณพ่อเธอว่า หากเธอแต่งงานแล้วจะไม่ขออยู่
เมืองไทย จะไปอยู่ต่างประเทศ คุณพ่อเธอตกลงภายหลังแต่งงานแล้วเธอและครอบครัวได้ออก
เดินทางไปอยู่ที่ประเทศอเมริกา เพื่อหลีกหนีความรักอันแสนขมขื่นที่เธอทำไว้กับเขา และยังได้
มีจดหมายสารภาพความผิดครั้งนี้ที่ผิดสัญญาด้วยความรักและทดแทนพระคุณจะไม่ขอกลับเมืองไทย
ตราบชั่วชีวิตของหล่อน แม้ว่าอะไรๆจะเกิดขึ้นอีกก็ตามคงปล่อยให้เป็นไปตามวาสนาเท่านั้น....
ปานดั่งสายฟ้าฟาดแสกหน้าชายหนุ่ม จดหมายได้ล่วงหลุดจากมือยามได้อ่านและร่างเขาก็ค่อยๆ
ทรุดร่างลง สิ้นแล้วสิ้นสุดทุกๆอย่างที่หวังไว้ เขามองเรือนหอน้อยที่สร้างเรียบร้อย หยาดน้ำตา
ไหลซึมตกใน หวนนึกถึงความทุกข์ที่เขาไประบายกับอุปัชฌาย์ที่เขาบวชเรียนมา ท่านเคยกล่าวไว้
ว่า สิ่งที่รักมากย่อมเศร้าโศกมากเป็นธรรมดานะโยม ไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะยั่งยืนทุกๆอย่างต้อง
เปลี่ยนแปลงดับไปหมดสิ้น โยมจงหมั่นตรึกตรองข้อนี้ให้ดีๆแล้วปรับปรุงแต่งอารมณ์เสียใหม่
นะโยมนะ แล้วทุกอย่างก็จะเห็นแจ้งก็จะพ้นจากทุกข์นั้น ชายหนุ่มมานั่งคิดและทบทวน
เสียงนี้ยังก้องกังวานเข้ามายังห้วงลึกแห่งหัวใจยามเมื่อเขาไปนมัสการพระอุปัชฌาย์ เขาไม่รู้ว่า
จะระบายให้ใครนอกจากอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนเขายามบวชเท่านั้น
หากโยมเชื่ออาตมาควรไปหาที่สงบๆเจริญวิปัสสนาสมาธิ มีสิ่งนี้เท่านั้นที่จะช่วยชำระจิตใจ
เธอได้นะโยม สิ่งที่ดีที่สุดคือความสงบ ธรรมชาติเท่านั้นที่จะช่วยผ่อนคลายได้ไม่มากก็น้อยโยม
ดังนั้นเขาจึงมอบหมายหน้าที่การงานทั้งการดูแลบ้านให้คนที่เขาไว้ใจได้ ออกเดินทางมายัง
ต่างจังหวัดอันเป็น บริเวณที่คุณพ่อคุณแม่ซื้อไว้สร้างบ้านน้อยๆอันอุดมไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์
ธรรมชาติอันงดงาม เขาพักและบัดนี้ได้มานั่งชมความงามของธรรมชาติ ณ บริเวณนี้ ใช่แล้ว
ธรรมชาติเท่านั้นที่จะชำระจิตใจเขาให้เยือกเย็นได้ ใช่แล้วธรรมเท่านั้นที่จะลบล้างสิ่งซ่อนเร้นใน
จิตใจเขาได้
ชายหนุ่มมองไปที่ขอบฟ้าอันสุดเท่าที่สายตาเขาจะแลเห็นได้ พลางนึกถึง หญิงอันเป็นที่รักยิ่ง
โอ้ดารณีจ้า.....ถึงแม้นพี่ไปได้แต่พี่ก็ไม่สร้างความปวดร้าวให้แก่เธอและครอบครัวหรอก พี่เองยอม
รับความโศกเศร้านี้ไว้เพียงผู้เดียว ประดุจต้นโศกที่แม้จะทอดกิ่งก้านสาขาสวยงามดอกที่สวยงามแต่
ทว่าก็ยังถูกเรียกว่าเป็นต้นโศกอยู่ดี เหมือนเราที่บัดนี้ประหนึ่งดั่งต้นโศก
ที่ไร้ซึ้งกิ่งก้านสาขาเสียแล้ว ใบก็ล่วงหลุดหายไป นับวันคอยแต่จะแห้งเหี่ยวเฉาตายไปกาล
สุขเถิดที่รัก...... สุขเถิด....ด้วยใจพี่นี้สัญญาว่าจะขอมีแต่เธอเพียงคนเดียว.........
ประดุจต้นโศกถึงอย่างไรก็ยังเป็นต้นโศกที่คอยแต่จะอับเฉาตายไป
พี่ขอฝากใจถึงเธอด้วยนะขอบฟ้าจ๋าจงนำใจ........
ของข้าไปส่งให้ถึงเธอด้วยนะ ดารณีที่รักๆพี่ลาลับมิลาร่วงต่อบ่วงใจที่พี่แสนหวง................
๐ รวดร้าวใดไหนเล่าเท่าเคล้าโศก
วิปโยคทรวงในยามไม่เห็น
รักปนโศกโศกรักมักลำเค็ญ
สุดหนีเร้นเช่นโศกหัวอกเรา............๛จบ.
* แก้วประเสริฐ. *