19 สิงหาคม 2556 16:15 น.
แก้วประเสริฐ
แดนพิศวง ๒๕
(ธาตุกายสิทธิ์)
“นายท่าน คำว่า “ทนสิทธิ์” หมายถึงการมีธาตุที่เกิดขึ้นในตัวเอง
และจะคอยคุ้มครองผู้ที่ได้รับธาตุนั้นๆ แต่ธาตุนั้นจะมีพลังงานชนิด
หนึ่งซึ่งเกิดได้เองตามธรรมชาติ หรือว่าเกิดจากการได้รับพรจากเทวะ
ธาตุนั้นจึงแตกต่างกันออกไป ธาตุที่เกิดจากธรรมชาตินั้นจะต้องอยู่กับ
ผู้พกพาเท่านั้น เช่น ธาตุเหล็กไหล จะให้ความคุ้มครองทำให้เกิดความ
อยู่ยงคงกระพันอาวุธไม่อาจจะมากล้ำกรายต่อผู้พกพาได้ เนื่องจากมี
เทพยดาคอยรักษาอยู่ภายในธาตุนั้นๆจะคอยช่วยเหลือให้
ส่วนธาตุหรือพลังงานที่เกิดจากพรของเทวะผู้เป็นใหญ่นั้นจะอยู่กับ
ร่างกายของผู้ที่ได้รับพรเท่านั้น หรืออาจจะตกทอดแก่บุตรหรือธิดา
ของผู้ที่ได้รับพรไว้ มักจะเกิดจากสายเลือดบุตรหรือธิดาคนโตเท่านั้น
ส่วนบุตรหรือธิดาคนอื่นๆรองลงมาจะได้รับลดหลั่นกันไป”
“อ้อๆเป็นเช่นนั้นเองหรือ? ส่วนเจ้าล่ะเป็นบุตรคนที่เท่าใด
ของบิดาท่านล่ะ?”
“ตัวข้าเองนั้นเป็นบุตรชายคนแรกจึงได้รับพลังงานธาตุจากเทวะมากที่
สุดและข้าเองก็เป็นบุตรเพียงคนเดียวของพระบิดาด้วยและยังได้รับการ
ถ่ายทอดพลังงานธาตุให้แก่ข้าเองเป็นพิเศษตลอดวิชาการต่างๆไว้”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบรรดาขนนกที่เจ้าเสกให้เป็น
รูปร่างอย่างเจ้าล่ะ?”
“ก็เพราะว่าในขนนกข้านั้นมีสายเลือดแห่งข้าอยู่ด้วยจึงมี
ธาตุกายสิทธิ์อยู่ด้วย ดังนั้นร่างกายจึงเป็น “ทนสิทธิ์” ไปด้วยนาย
“เอาล่ะขอบใจมากนะสดายุเราเข้าใจแล้ว อย่างดาบของเรา
ก็คงเป็นทนสิทธิ์ด้วย
เพราะเกิดจากธาตุแห่ง คริสติคอลมีพลังงานประดุจสายฟ้าฟาด
หากเราเพิ่มอัตราส่วนให้มากจะเป็นประดุจสายฟ้าฟาดไปยังร่างศัตรู
ทำให้ร่างนั้นไม่อาจจะทนทานและแตกสลายไปเป็นผุยผงทันที
ซ้ำยังแทรกด้วยพลังงานจากสุริยันต์จันทราอีกทางหนึ่ง เช่นร่างกายเรา
เป็นต้นนั่นเอง เวลาเราปราบศัตรูเจ้าก็เห็นแล้ว
สดายุเราเห็นจะไม่ต้องไปช่วยเหลือบรรดาบริวารเจ้าแล้วล่ะ
เพราะบริวารเจ้านั้นต่างช่วยๆกันเข้ารุมทำร้ายบรรดา
ตะขาบบินไม่อาจจะทำอันตรายแก่บริวารเจ้าได้เลย
มองดูแล้วคงเหลืออีกไม่กี่ตัวเท่านั้น
คงอีกสักประเดี๋ยวก็คงจะสูญสิ้นไปหมดแล้วล่ะ
ตอนแรกข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าตอนที่
เจ้าสินธุกับกุลาเข้าทำลายตะขาบยักษ์นั้น มันขาดออกแต่
ก็สามารถแยกตัวเป็นอีกตัวตามชิ้นส่วนของมัน
ผิดกับเจ้าและบริวารที่พอทำลายกลับกลายเป็นผุยผงไป
บัดนี้เรากระจ่างแล้วล่ะ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
ทั้งสองแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าซึ่งสายมากแล้ว
คงเหลือตะขาบอีกเพียงสองสามตัว ซึ่งพยายามจะบินหนี
แต่ก็ไม่อาจจะหนีพ้นบริวารของเจ้าสดายุไปได้และ
บรรดาตะขาบทั้งหลายที่ตกตายถูกบริวารเจ้าสดายุทำลายและถูกจิก
กินเข้ายิ่งเพิ่มแสงที่รายล้อมรอบตัวของบรรดาบริวารเจ้าสดายุ
มากน้อยตามแต่จะทำลายได้
เพียงแค่ไม่ถึงอึดใจเดียวบรรดาตะขาบยักษ์บินก็ถูกทำลายไป
จนหมดสิ้น เสียงเชียร์ของบรรดาสินธุ กุลา ภาคีและคียะ
ต่างส่งเสียงกันระงมตลอดชาวบ้านต่างส่งเสียงเชียร์ไปทั่ว
ภายในถ้ำ ซึ่งไม่สามารถออกมาได้
ดังนั้นชายหนุ่มจึง หันไปยกมือทั้งสองไขว้ตะหวัดมือไปๆมาๆ
แสงที่เป็นกำแพงต่างหายไป
บรรดาคนทั้งหลายก็ต่างตรูกันเข้ามาหาชายหนุ่มทันที
“นายๆ บรรดาตะขาบยักษ์ถูกทำลายไปหมดแล้ว
ต่อไปเราจะทำอย่างไรดีกันล่ะกับบรรดา
ร่างที่ตะขาบตัวแรกยังคารังคาซังอยู่นี้ดี”
“ให้เจ้ากับบรรดาชาวบ้านช่วยกันตัดออกและเอาไปฝังดินไว้
แต่ห้ามนำไปเผาไฟเป็นเด็ดขาดนะ”
“ทำไมหรือนายจึงเผาไฟไม่ได้ล่ะ??...”
“อ้อๆข้าได้ยินคำกล่าวของคนโบราณไว้ว่า สัตว์บางประเภทนี้
หากนำไปเผาไปแล้วกลิ่นของมันจะเรียกพวกพ้องของมันมาอีก
นะซิ จะทำความยุ่งยากให้แก่พวกเจ้าอีก อีกอย่างหนึ่งสินธุและ
บรรดาหัวหน้าชาวบ้านทั้งหลาย สำรวจพวกเราซิว่าเหลืออีก
ประมาณเท่าใด ข้ามองดูเห็นมีแต่หญิงและเด็กๆ ส่วนผู้ใหญ่นั้น
ไม่ค่อยมากเหมือนเก่าเสียเลย”
“นายข้าสำรวจแล้วล่ะ บรรดาชายหนุ่มต่างคงเหลือประมาณ
ไม่เกิน สามร้อยคนได้ ด้วยเสียชีวิตกับบรรดาสัตว์ประหลาด
ต่างๆเสียมากมาย หากรวมทั้งหมดยกเว้นผู้เฒ่าและเด็กๆแล้ว
ไม่เกิน ห้าร้อยคน นอกนั้นทั้งชายหญิงเสียชีวิตหมดนาย”
เสียงเจ้าสินธุและกุลา ภาคี คียะต่างรายงานด้วยน้ำเสียง
สั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้าตาและใบหน้ารวมทั้งบรรดาหญิงชาย
ที่ขาดภรรยาและสามีไป
ทำความสลดใจแก่ชายหนุ่มยิ่งนัก แวปหนึ่งในสมองก็พรูเข้า
มา หากเป็นเช่นนี้เสร็จงานนี้เราจะไปตามดวงแก้วที่เรารับปาก
ไว้เห็นทีต้องเปลี่ยนแผนไปจากเดิมเสียแล้ว แต่แรกคิดว่าจะนำ
เจ้าสินธุผู้ที่เห็นดวงแก้วลอยเหนือท้องฟ้าและจะนำเจ้ากุลา ภาคี
ตลอดจนคียะไปช่วยกันค้นหา เห็นที่จะต้องระงับความคิดนี้แต่
จะไม่บอก เห็นทีเราจะไปกับเจ้าสดายุเพียงสองคนดีกว่า
พลางแย้มยิ้มปลอบใจแก่คนทั้งหลายว่า
“พวกเจ้าอย่าเสียใจไปเลย ต่อไปในกาลข้างหน้าก็คงจะเพิ่มขึ้น
เรามาช่วยกันฝึกฝนเด็กๆให้รู้ในการต่อสู้จะดีกว่านะ อะไรมันเกิด
และผ่านไปแล้วก็แล้วไป เรามาช่วยกันจัดการแนวป้องกันไว้ใน
อนาคตข้างหน้าจะดีกว่ามานั่งเสียใจ”
“จ๊ะนาย คงจะเป็นอย่างที่นายกล่าวนั้นแหละ” สินธุเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะเราจะฝึกสอนวิชาการต่างๆที่เราได้เรียนรู้มาจากการ
ถ่ายทอดจาก คนอีกโลกหนึ่งและในตำราที่เรารอบรู้มาแก่พวก
เจ้าไว้ เพื่อใช้ในการป้องกันตัวและถ่ายทอดให้แก่พวกเด็กๆไว้
ในการเพิ่มพลังและสามารถลอยตัวเองได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็น
ผลงานของเจ้าสดายุทั้งสิ้น เราควรจะเข้าไปขอบใจเขาจะดีกว่านะ”
ขณะที่กล่าวนั้นสดายุกำลังง่วนกับการที่บรรดาบริวารของเขาต่าง
มารายงานและกลับกลายร่างแปรสภาพเป็นขนนกอันสวยงามลอย
แทรกเข้าไปยังร่างของเจ้าสดายุจนหมดสิ้น แต่การสนทนาของ
ชายหนุ่มกับบรรดาชาวบ้านเขาได้รับฟังจนหมดแล้ว จึงหันมากล่าว
กับคนทั้งหลายว่า
“พวกท่านไม่ต้องขอบใจข้าหรอก เพราะเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว
ที่จะต้องคอยรับใช้นายข้า เพราะพระบิดาข้าสั่งข้าไว้ก่อนจะล่วงลับ
ไปว่าให้พยายามติดตามค้นหาเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจุติในภพนี้ เพื่อ
คอยปัดเป่าบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ชาวโลกอันไกลโพ้นนี้
ตลอดจนช่วยค้นหาอาวุธวิเศษที่ซุกซ่อนไว้ของเทวราชนี้ซึ่งรู้กาล
ล่วงหน้าไว้ ซึ่งเป็นอาวุธจำลองของมหาเทวราช ไหนเลยข้าจะ
มาติดตามเจ้าสินธุอยู่ตลอดเวลา กาลผ่านไปจนนายท่านมาถึงแต่
แรกเราก็รู้แล้วว่าเป็นเทวราชที่แบ่งภาคมา เพื่อค้นหาสิ่งวิเศษนี้
ส่วนสินธุได้ครอบครองอาวุธวิเศษนี้ชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นสื่อให้แก่เรา”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่เจ้าได้แปลงร่างเป็นนกไม้ที่แกะสลักไว้
อย่างสวยงามยิ่งนัก จนกระทั่งนายท่านมานั่นแหละเราถึงจะรู้
ความจริงบางอย่างเท่านั้น”
เสียงสินธุกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี แต่ข้าขอถามอีกหน่อยเถอะ
ว่าพระบิดาท่านคือใครกันหรือท่านสดายุ”
“ฮ่าๆๆอันพระราชบิดาของข้านั้นคือเทพผู้ยิ่งใหญ่อาศัยในดินแดน
เชิงเขาใกล้ป่าหิมพานต์ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากที่นี่เท่าใดนัก ท่านคง
เคยจะได้ยินเกี่ยวกับจ้าวแห่งปักษาไหมล่ะ”
“จ้าวแห่งปักษาหรือ??....งั้นเห็นมีแต่องค์พระยาครุฑาธิราชเจ้า
เท่านั้นเอง ที่ข้าได้ยินจากบรรพบุรุษกล่าวเสมอๆ หรือว่า????”
“ใช่แล้วพระราชบิดาข้าคือ องค์พระยาครุฑาธิราชกับพระมารดา
นางพญาสดายุจอมปักษีเช่นเดียวกัน ดังนั้นร่างกายข้าจึงเป็นร่างที่
มีสภาพพระยาครุฑและสดายุรวมกันอยู่ และได้รับการถ่ายทอดวิชา
การมาจากทั้งสองพระองค์นั่นเอง”
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น พระบิดาท่านก็เป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพนารายณ์
จอมเทพใช่ไหมล่ะ?”
“ถูกแล้วพระราชบิดาข้าสืบเชื้อสายมาจากจอมปักษีอันเป็นพระ
สหายกับจอมเทวะนั่นเอง มีอิทธิฤทธิ์หาเป็นรองจอมเทพไม่ แต่
เนื่องจากคำมั่นสัญญาว่าต้องคอยรับใช้จอมเทวะราชันย์ ยามที่ท่าน
ต้องการ และบรรพบุรุษได้รับพระกระแสร์รับสั่งกาลอนาคตไว้จาก
องค์มหาเทพถึงกำหนดกาลเวลาไว้ จึงได้ถ่ายทอดคำสั่ง จนตกมาถึง
ตัวข้านั่นเองแหละ”
“หากเป็นเช่นนี้บรรดาสัตว์มีปีกทั้งหลายก็ต้องตกอยู่ในอำนาจของ
ท่านหมดนะซิท่านสดายุ”
“ถูกแล้วสินธุ ไม่ว่าสัตว์มีปีกใดๆแม้แต่สัตว์มีปีกที่เกิดจากเวทย์มนต์
ก็ตามทีย่อมจะหวั่นเกรงและตกอยู่ในอำนาจเราจนหมดสิ้นนั่นเอง”
“เดี๋ยวก่อนสดายุในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ อย่าบอกนะว่ามหาเทพที่จุติมา
นั้นคือตัวข้าเสียล่ะ”
“หากไม่ใช่นาย มีหรือข้าสดายุจะมาคอยรับใช้ มิสู้อยู่ยังแว่นแคว้น
ของข้าเสวยสุขมิดีกว่าหรือนาย”
ชายหนุ่มเอามือลูบอกตัวเอง ด้วยความตกใจพร้อมกล่าวว่า
“จริงๆหรือสดายุไม่ใช่เจ้าหลอกข้านะ
ข้านะหรือคือองค์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่แบ่งภาคมาจุตินะ”
“ไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใครไปเสียล่ะ
ดินแดนแห่งนี้ซึ่งติดกับป่าหิมพานต์โดยมีพลังงาน
ขวางกั้นไว้ประกอบด้วยเภทภัยนานาประการไม่มีมนุษย์คนใด
ที่จะย่างกรายเข้ามาได้หากไม่ใช่พวกเทพเทวา ยักษา คนธรรพ์
และยังมีสัตว์ประหลาดต่างๆที่ตัวใหญ่กว่าสัตว์ในเมือง
ทั่วๆไปอีกและผู้ที่ปราบได้เป็นนายที่สามารถกำจัดได้
หากเป็นมนุษย์ธรรมดาย่อมไม่สามารถจะมาในดินแดนแห่งนี้
ส่วนพวกสินธุและบรรดาชาวบ้านทั้งหลายนั้น
ต่างก็เป็นเทพกึ่งมนุษย์จะเรียกว่าชาวลับแล ก็อาจจะเป็น
ไปได้ที่สามารถมาอยู่ร่วมกันในดินแดนแห่งนี้ได้เพราะติดกับป่า
หิมพานต์เป็นเป็นดินแดนเสวยสุขของเหล่าเทพยดา ยักษ์ คนธรรพ์
ตลอดจนบรรดาสัตว์เทพทั้งหลายได้
นายดูซิรูปร่างของชาวบ้านกับชาวบ้านในเมือง
ที่นายพบเห็นแตกต่างกัน แม้แต่อาวุธก็ต่างกันมากนัก
หากมาเทียบอาวุธของบรรดาชาวบ้านนี้แม้แต่ปืนที่มนุษย์ว่า
ร้ายกาจมากหาก มาเจออาวุธของชาวบ้านเหล่านี้ก็แค่หิงห้อยในดวง
อาทิตย์เท่านั้นเองแหละนาย”
“ดูง่ายๆเถอะนาย นายสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้
โดยไม่ต้องใช้พาหนะใดๆเลย มนุษย์ทั่วไปจะทำได้หรือ
อีกอย่างหนึ่งที่ผ่านมาเพียงแค่นายจับตำราใดๆ
ก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและจดจำแม่นยำ
มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้
นายไม่แปลกใจบ้างเชียวหรือนาย”
“อืมม!!!ๆๆเจ้าพูดก็มีเหตุผล แม้แต่ข้าเอง
ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรล่ะ??
ว่าข้าทำอะไรในอดีตที่ผ่านมา”
“เพราะข้าเองมีอำนาจพิเศษของข้าเองจึงล่วงรู้ชีวิตผ่านมาของนาย
ได้อย่างไรกันล่ะ ซึ่งข้าเองจะพูดไปก็เหมือนจะโกหกมดเท็จหากกล่าว
แก่ใครๆ ใครล่ะจะเชื่อถือหากไม่ประสบด้วยตัวเอง”
“เอาล่ะๆเรื่องก็มาถึงเพียงนี้แล้ว ต่อไปเราจะทำอย่างไรดีกันล่ะสดายุ”
“ก็นายตั้งใจอะไรไว้ข้ารู้หมดแล้ว ให้นายฝึกพวกนี้ให้เชี่ยวชาญก่อน
เพื่อจะเป็นกองกำลังให้นายต่อไปในอนาคตในโลกที่นายจะต้องไปเถอะ”
“อืมมๆๆๆเจ้านี่ไม่เลวจริงๆนะสดายุ รู้ทันข้า
ไปหมดเสียทุกอย่างเชียวล่ะ?”
สดายุหัวร่อเบาๆ พร้อมกล่าวว่า
“เวลานั้นไม่คอยท่าเสียแล้วล่ะนาย
สิ่งที่นายคิดไว้ใกล้เวลาจะมาแล้วล่ะ”
“ดังนั้นเราสองต่างมาช่วยกันฝึกฝนให้แก่ชาวบ้านเหล่านี้
กันเถอะนะ เพื่อเป็นขุมกำลังและรักษาตัวเองอีกด้วย”
“ได้นายหากนายจะไปยังดินแดนอันไกลโพ้น
แต่ข้าจะช่วยเหลือนายอีกทางหนึ่งนะ”
“หากนายไปไหน อย่าลืมข้าเสียล่ะ
ข้าจะขอติดตามนายไปทุกๆแห่งหน
ไม่ว่าจะลำบากยากแค้นสักปานใด”
เสียงเจ้าสินธุ กุลา ภาคี และคียะ เอ่ยขึ้นบ้าง
หลังจากได้ยินคำกล่าวของคนทั้งสองและ
ทุกๆคนต่างตกตะลึงไปตามๆกันไม่คิดว่าชายหนุ่มและสดายุ
จะผิดแผกกว่ามนุษย์ทั่วๆไปเสียอีก
ทุกๆคนหันมองหน้ากันและเอ่ยขึ้นพร้อมๆกัน
“เอาเถอะๆ ให้ถึงเวลานั้นก่อนก็แล้วกันนะ
ไว้เมื่อจัดการทางนี้ให้เรียบร้อยแล้วแต่
ให้ทุกๆคนตั้งใจฝึกฝนวิชาความรู้ที่ข้าและสดายุจะ
มอบให้แก่พวกเจ้าก็แล้วกัน”
“นายๆๆอย่าลืมข้าภาคีและคียะหนีไปก่อนเสียล่ะ??
ข้าสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกลจริงๆจ๊ะนาย”
ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ พลางเอื้อมมือไปตบไหล่ทั้งสองคน
แต่ไม่พูดอะไรถึงความในใจของเขาที่คิดเอาไว้
ไม่กล่าวอะไรพลางเดินเข้าไปในถ้ำ
ภาคีและคียะก็เดินตามไปด้วย รวมทั้งหญิงบางคน
ส่วนสินธุและกุลาก็รีบสั่งการกับบรรดาชาวบ้านที่เหลืออยู่
ให้จัดการซากศพตะขาบยักษ์ตามที่ชายหนุ่มสั่งไว้ทุกประการ
ครั้นวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มก็เรียกบรรดาหัวหน้ากลุ่มที่เคยจัดไว้พร้อม
กับลูกน้องที่เหลือมาแบ่งแยกเป็นกลุ่มๆมอบให้สดายุ
นำไปอบรมฝึกฝน
ส่วนที่เหลือเขาเองก็จัดการอบรมสั่งสอนเอง
ชายหนุ่มและสะดายุ หันมาปรึกษากัน แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า
ในตอนแรกให้ทุกๆคนประสานมือกันไว้คนละข้าง
นั่งขัดสมาธิหลับตา รายล้อมเป็นวงกลม
ไม่ยกเว้นแม้แต่ สินธุ กุลา ภาคี และคียะ
ต่างประสานมือกันรายล้อมชายหนุ่มและเจ้าสดายุ
ทั้งสองต่างถ่ายทอดพลังงานของตนเองผ่านไปยังร่าง
ของบรรดาคนทั้งหลาย ก่อนจะถ่ายทอดได้กล่าวขึ้นว่า
“ขอให้ทุกๆคนอย่าตกใจหากมีอะไรเกิดขึ้น
ให้พยายามอดทนเราและข้ากับสดายุจะมอบพลังงาน
แห่งจักรวาลและพลังงานของคริสติคอลแก่พวกเจ้า
จงตั้งมั่นรวบรวมพลังงานไว้ที่ส่วนกลางของร่างกาย
ไว้ที่ใต้สะดือซึ่งเป็นแหล่งรวมพลังงานของพลังงานทั้งหมด
ให้เก็บไว้ทีละน้อยๆแล้วค่อยแผ่กระจายไปตามร่างกายของพวกเจ้า
อย่าตกใจหากมีกระแสวิ่งพล่านไปทั่วร่าง บ้างมาก บ้างน้อย
และอย่าฝืนกระแสนั้นๆ
มิฉะนั้นตัวของพวกเจ้าจะแตกกระจายไปทันที
หากรู้ตัวว่ารับพลังงานไม่ได้ให้เจ้ารีบปล่อยมือ
ออกแล้วคนที่อยู่ก็ให้รีบจับมือคนต่อไปอย่าให้พลังงานขาดช่วง
เป็นอันขาด เราและสดายุจะคอยดูแลกำกับให้เอง
ทุกๆคนนั่งฟังอย่างสงบและรีบทำตามที่ชายหนุ่มกล่าวทันที
ดังนั้นคนที่เข้ารับการฝึกฝนจะนั่งกันเป็นวงกลมๆซ้อนๆกันขึ้น
เมื่อชายหนุ่มและสดายุเห็นเช่นนั้น ก็ต่างนั่งกันคนละมุมของ
วงกลมนั้นๆ พลางค่อยๆถ่ายทอดพลังงาน มันแปลกเพราะว่า
กระแสพลังงานทั้งสองมันแตกต่างกันก็จริง แต่ว่ามันใกล้เคียงกัน
ไม่เฉพาะบรรดาคนที่ได้รับการฝึกปรือจะได้รับแล้ว ทั้งชายหนุ่ม
และสดายุต่างก็ได้รับพลังงานแลกเปลี่ยนกัน กลายเป็นพลังงาน
หนึ่งเดียวที่ใช้ผ่านบรรดาผู้ที่เข้ารับการฝึกปรือ
เหตุดังนี้พลังงานของชายหนุ่มและสดายุก็เข้ารวมประสานกัน
เป็นหนึ่งเดียว อำนาจของพลังงานเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ ถึงแม้ว่าจะ
ไม่สามารถเร่งพลังงานคริสติคอลที่สดายุไม่มีให้มาก แต่ก็
สามารถรับได้ ส่วนพลังแห่งเทวะเทพซึ่งชายหนุ่มไม่มีก็สามารถ
ได้รับพลังงานเทวะเทพรวมได้เช่นเดียวกัน
เมื่อเวลาผ่านไปนับหลายๆชั่วโมงตั้งแต่เช้าจรดเย็น อาหารการ
กินทั้งหมดไม่ได้รับ แต่ก็อิ่มในพลังงานทั้งหลายเหล่านี้ พอเวลา
ผ่านไปพอสมควร ชายหนุ่มและสดายุก็ถอนมือออกจากบรรดา
ผู้ฝึกปรือ และต่างก็กล่าวขึ้นว่า
“ขอให้พวกเจ้าไปทานอาหารกันก่อนเถิด และพยายามฝึกปรือ
พลังงานเหล่านี้ ตามแต่คนที่สามารถจะทำได้ ความสามารถนั้น
ย่อมแตกต่างกันไปแต่ละคน จะไม่เหมือนกันขอให้ตั้งใจพยายาม
อีกสามวันให้หลังนี้ เราจะทำการทดลองพวกเจ้าทั้งหมดเมื่อเห็นว่า
ดีแล้ว เราก็จะมาฝึกปรือด้านอาวุธต่างๆให้กับพวกเจ้าตามที่เจ้าถนัด
โดยแบ่งปันกันไปตามแต่ความถนัดในการใช้อาวุธของพวกเจ้าเอง”
เมื่อคนทั้งหมดรับฟังแล้วลุกขึ้นต่างทะยอยกันไปในที่พักส่วนตัว
เพื่อปฏิบัติตามที่ชายหนุ่มสั่งไว้ทุกประการ ครั้นครบสามวันตามที่
ชายหนุ่มกล่าวแล้วก็เรียกประชุมผู้ที่ทำการฝึกปรือทั้งหมดมา พร้อม
ทั้งให้ทุกคนแต่ละคนทดลองพลังงาน ประการแรกให้ปล่อยพลังงาน
ออกจากมือเสียก่อน ทุกๆคนทั้งหมดก็สามารถทำได้แต่ความสามารถ
ของแต่ละบุคคลไม่เท่าเทียมกัน และชายหนุ่มก็ให้ทดลองให้ทุกๆคน
นำพลังงานมาไว้ที่จุดส่วนรวมแผ่ขยายไปตามร่างกายแล้วให้หัดลอย
ตัวเองขึ้นจากพื้นดินเหิรไปยังต้นไม้ต่างๆที่เรียงรายรอบๆบริเวณหน้า
ถ้ำ บางคนก็ทำได้สูงบ้างต่ำบ้าง บางคนสามารถเหิรไปถึงยอดไม้อัน
สูงชะลูดได้ โดยเฉพาะ สินธุ กุลา ภาคี และคียะนั้นสามารถทำได้
อย่างคล่องแคล่วว่องไวเป็นที่พอใจของชายหนุ่มและเจ้าสดายุมาก
ครั้นแล้วเมื่อชายหนุ่มและสดายุต่างก็เอ่ยขึ้นว่า
“บัดนี้การฝึกด้านพลังงานต่างๆได้บรรลุผลเป็นที่พอใจแล้วถึง
แม้ว่าจะยังไม่ดีเท่าที่ควร ก็ขอให้หมั่นเพียรพยายามฝึกฝนอย่าได้
ขาดตอนให้ทำทุกๆวัน มิฉะนั้นพลังงานจะเสื่อมลงทันทีจะไม่
สามารถทำได้อีกต่อไป วันพรุ่งนี้ข้าจะขอตรวจสอบการใช้อาวุธ
ของพวกเจ้าและค่อยๆแนะนำถ่ายทอดต่อพวกเจ้าต่อไป”
ส่วนเจ้าสดายุก็เอ่ยขึ้นบ้างว่า
“ในเมื่อหากคนใดสามารถเหิรร่างเหนือยอดไม้ที่สูงที่สุดได้เราจะ
มอบของบางอย่างให้แก่เจ้าไว้ติดตัวเพื่อใช้ในการเดินทางเพื่อเป็น
กองกำลังให้แก่นายเราต่อไปอีกด้วย.
แก้วประเสริฐ.
19 สิงหาคม 2556 16:09 น.
แก้วประเสริฐ
แดนพิศวง ๒๕
(ธาตุกายสิทธิ์)
“นายท่าน คำว่า “ทนสิทธิ์” หมายถึงการมีธาตุที่เกิดขึ้นในตัวเอง
และจะคอยคุ้มครองผู้ที่ได้รับธาตุนั้นๆ แต่ธาตุนั้นจะมีพลังงานชนิด
หนึ่งซึ่งเกิดได้เองตามธรรมชาติ หรือว่าเกิดจากการได้รับพรจากเทวะ
ธาตุนั้นจึงแตกต่างกันออกไป ธาตุที่เกิดจากธรรมชาตินั้นจะต้องอยู่กับ
ผู้พกพาเท่านั้น เช่น ธาตุเหล็กไหล จะให้ความคุ้มครองทำให้เกิดความ
อยู่ยงคงกระพันอาวุธไม่อาจจะมากล้ำกรายต่อผู้พกพาได้ เนื่องจากมี
เทพยดาคอยรักษาอยู่ภายในธาตุนั้นๆจะคอยช่วยเหลือให้
ส่วนธาตุหรือพลังงานที่เกิดจากพรของเทวะผู้เป็นใหญ่นั้นจะอยู่กับ
ร่างกายของผู้ที่ได้รับพรเท่านั้น หรืออาจจะตกทอดแก่บุตรหรือธิดา
ของผู้ที่ได้รับพรไว้ มักจะเกิดจากสายเลือดบุตรหรือธิดาคนโตเท่านั้น
ส่วนบุตรหรือธิดาคนอื่นๆรองลงมาจะได้รับลดหลั่นกันไป”
“อ้อๆเป็นเช่นนั้นเองหรือ? ส่วนเจ้าล่ะเป็นบุตรคนที่เท่าใด
ของบิดาท่านล่ะ?”
“ตัวข้าเองนั้นเป็นบุตรชายคนแรกจึงได้รับพลังงานธาตุจากเทวะมากที่
สุดและข้าเองก็เป็นบุตรเพียงคนเดียวของพระบิดาด้วยและยังได้รับการ
ถ่ายทอดพลังงานธาตุให้แก่ข้าเองเป็นพิเศษตลอดวิชาการต่างๆไว้”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบรรดาขนนกที่เจ้าเสกให้เป็น
รูปร่างอย่างเจ้าล่ะ?”
“ก็เพราะว่าในขนนกข้านั้นมีสายเลือดแห่งข้าอยู่ด้วยจึงมี
ธาตุกายสิทธิ์อยู่ด้วย ดังนั้นร่างกายจึงเป็น “ทนสิทธิ์” ไปด้วยนาย
“เอาล่ะขอบใจมากนะสดายุเราเข้าใจแล้ว อย่างดาบของเรา
ก็คงเป็นทนสิทธิ์ด้วย
เพราะเกิดจากธาตุแห่ง คริสติคอลมีพลังงานประดุจสายฟ้าฟาด
หากเราเพิ่มอัตราส่วนให้มากจะเป็นประดุจสายฟ้าฟาดไปยังร่างศัตรู
ทำให้ร่างนั้นไม่อาจจะทนทานและแตกสลายไปเป็นผุยผงทันที
ซ้ำยังแทรกด้วยพลังงานจากสุริยันต์จันทราอีกทางหนึ่ง เช่นร่างกายเรา
เป็นต้นนั่นเอง เวลาเราปราบศัตรูเจ้าก็เห็นแล้ว
สดายุเราเห็นจะไม่ต้องไปช่วยเหลือบรรดาบริวารเจ้าแล้วล่ะ
เพราะบริวารเจ้านั้นต่างช่วยๆกันเข้ารุมทำร้ายบรรดา
ตะขาบบินไม่อาจจะทำอันตรายแก่บริวารเจ้าได้เลย
มองดูแล้วคงเหลืออีกไม่กี่ตัวเท่านั้น
คงอีกสักประเดี๋ยวก็คงจะสูญสิ้นไปหมดแล้วล่ะ
ตอนแรกข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าตอนที่
เจ้าสินธุกับกุลาเข้าทำลายตะขาบยักษ์นั้น มันขาดออกแต่
ก็สามารถแยกตัวเป็นอีกตัวตามชิ้นส่วนของมัน
ผิดกับเจ้าและบริวารที่พอทำลายกลับกลายเป็นผุยผงไป
บัดนี้เรากระจ่างแล้วล่ะ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
ทั้งสองแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าซึ่งสายมากแล้ว
คงเหลือตะขาบอีกเพียงสองสามตัว ซึ่งพยายามจะบินหนี
แต่ก็ไม่อาจจะหนีพ้นบริวารของเจ้าสดายุไปได้และ
บรรดาตะขาบทั้งหลายที่ตกตายถูกบริวารเจ้าสดายุทำลายและถูกจิก
กินเข้ายิ่งเพิ่มแสงที่รายล้อมรอบตัวของบรรดาบริวารเจ้าสดายุ
มากน้อยตามแต่จะทำลายได้
เพียงแค่ไม่ถึงอึดใจเดียวบรรดาตะขาบยักษ์บินก็ถูกทำลายไป
จนหมดสิ้น เสียงเชียร์ของบรรดาสินธุ กุลา ภาคีและคียะ
ต่างส่งเสียงกันระงมตลอดชาวบ้านต่างส่งเสียงเชียร์ไปทั่ว
ภายในถ้ำ ซึ่งไม่สามารถออกมาได้
ดังนั้นชายหนุ่มจึง หันไปยกมือทั้งสองไขว้ตะหวัดมือไปๆมาๆ
แสงที่เป็นกำแพงต่างหายไป
บรรดาคนทั้งหลายก็ต่างตรูกันเข้ามาหาชายหนุ่มทันที
“นายๆ บรรดาตะขาบยักษ์ถูกทำลายไปหมดแล้ว
ต่อไปเราจะทำอย่างไรดีกันล่ะกับบรรดา
ร่างที่ตะขาบตัวแรกยังคารังคาซังอยู่นี้ดี”
“ให้เจ้ากับบรรดาชาวบ้านช่วยกันตัดออกและเอาไปฝังดินไว้
แต่ห้ามนำไปเผาไฟเป็นเด็ดขาดนะ”
“ทำไมหรือนายจึงเผาไฟไม่ได้ล่ะ??...”
“อ้อๆข้าได้ยินคำกล่าวของคนโบราณไว้ว่า สัตว์บางประเภทนี้
หากนำไปเผาไปแล้วกลิ่นของมันจะเรียกพวกพ้องของมันมาอีก
นะซิ จะทำความยุ่งยากให้แก่พวกเจ้าอีก อีกอย่างหนึ่งสินธุและ
บรรดาหัวหน้าชาวบ้านทั้งหลาย สำรวจพวกเราซิว่าเหลืออีก
ประมาณเท่าใด ข้ามองดูเห็นมีแต่หญิงและเด็กๆ ส่วนผู้ใหญ่นั้น
ไม่ค่อยมากเหมือนเก่าเสียเลย”
“นายข้าสำรวจแล้วล่ะ บรรดาชายหนุ่มต่างคงเหลือประมาณ
ไม่เกิน สามร้อยคนได้ ด้วยเสียชีวิตกับบรรดาสัตว์ประหลาด
ต่างๆเสียมากมาย หากรวมทั้งหมดยกเว้นผู้เฒ่าและเด็กๆแล้ว
ไม่เกิน ห้าร้อยคน นอกนั้นทั้งชายหญิงเสียชีวิตหมดนาย”
เสียงเจ้าสินธุและกุลา ภาคี คียะต่างรายงานด้วยน้ำเสียง
สั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้าตาและใบหน้ารวมทั้งบรรดาหญิงชาย
ที่ขาดภรรยาและสามีไป
ทำความสลดใจแก่ชายหนุ่มยิ่งนัก แวปหนึ่งในสมองก็พรูเข้า
มา หากเป็นเช่นนี้เสร็จงานนี้เราจะไปตามดวงแก้วที่เรารับปาก
ไว้เห็นทีต้องเปลี่ยนแผนไปจากเดิมเสียแล้ว แต่แรกคิดว่าจะนำ
เจ้าสินธุผู้ที่เห็นดวงแก้วลอยเหนือท้องฟ้าและจะนำเจ้ากุลา ภาคี
ตลอดจนคียะไปช่วยกันค้นหา เห็นที่จะต้องระงับความคิดนี้แต่
จะไม่บอก เห็นทีเราจะไปกับเจ้าสดายุเพียงสองคนดีกว่า
พลางแย้มยิ้มปลอบใจแก่คนทั้งหลายว่า
“พวกเจ้าอย่าเสียใจไปเลย ต่อไปในกาลข้างหน้าก็คงจะเพิ่มขึ้น
เรามาช่วยกันฝึกฝนเด็กๆให้รู้ในการต่อสู้จะดีกว่านะ อะไรมันเกิด
และผ่านไปแล้วก็แล้วไป เรามาช่วยกันจัดการแนวป้องกันไว้ใน
อนาคตข้างหน้าจะดีกว่ามานั่งเสียใจ”
“จ๊ะนาย คงจะเป็นอย่างที่นายกล่าวนั้นแหละ” สินธุเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะเราจะฝึกสอนวิชาการต่างๆที่เราได้เรียนรู้มาจากการ
ถ่ายทอดจาก คนอีกโลกหนึ่งและในตำราที่เรารอบรู้มาแก่พวก
เจ้าไว้ เพื่อใช้ในการป้องกันตัวและถ่ายทอดให้แก่พวกเด็กๆไว้
ในการเพิ่มพลังและสามารถลอยตัวเองได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็น
ผลงานของเจ้าสดายุทั้งสิ้น เราควรจะเข้าไปขอบใจเขาจะดีกว่านะ”
ขณะที่กล่าวนั้นสดายุกำลังง่วนกับการที่บรรดาบริวารของเขาต่าง
มารายงานและกลับกลายร่างแปรสภาพเป็นขนนกอันสวยงามลอย
แทรกเข้าไปยังร่างของเจ้าสดายุจนหมดสิ้น แต่การสนทนาของ
ชายหนุ่มกับบรรดาชาวบ้านเขาได้รับฟังจนหมดแล้ว จึงหันมากล่าว
กับคนทั้งหลายว่า
“พวกท่านไม่ต้องขอบใจข้าหรอก เพราะเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว
ที่จะต้องคอยรับใช้นายข้า เพราะพระบิดาข้าสั่งข้าไว้ก่อนจะล่วงลับ
ไปว่าให้พยายามติดตามค้นหาเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจุติในภพนี้ เพื่อ
คอยปัดเป่าบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ชาวโลกอันไกลโพ้นนี้
ตลอดจนช่วยค้นหาอาวุธวิเศษที่ซุกซ่อนไว้ของเทวราชนี้ซึ่งรู้กาล
ล่วงหน้าไว้ ซึ่งเป็นอาวุธจำลองของมหาเทวราช ไหนเลยข้าจะ
มาติดตามเจ้าสินธุอยู่ตลอดเวลา กาลผ่านไปจนนายท่านมาถึงแต่
แรกเราก็รู้แล้วว่าเป็นเทวราชที่แบ่งภาคมา เพื่อค้นหาสิ่งวิเศษนี้
ส่วนสินธุได้ครอบครองอาวุธวิเศษนี้ชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นสื่อให้แก่เรา”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่เจ้าได้แปลงร่างเป็นนกไม้ที่แกะสลักไว้
อย่างสวยงามยิ่งนัก จนกระทั่งนายท่านมานั่นแหละเราถึงจะรู้
ความจริงบางอย่างเท่านั้น”
เสียงสินธุกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี แต่ข้าขอถามอีกหน่อยเถอะ
ว่าพระบิดาท่านคือใครกันหรือท่านสดายุ”
“ฮ่าๆๆอันพระราชบิดาของข้านั้นคือเทพผู้ยิ่งใหญ่อาศัยในดินแดน
เชิงเขาใกล้ป่าหิมพานต์ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากที่นี่เท่าใดนัก ท่านคง
เคยจะได้ยินเกี่ยวกับจ้าวแห่งปักษาไหมล่ะ”
“จ้าวแห่งปักษาหรือ??....งั้นเห็นมีแต่องค์พระยาครุฑาธิราชเจ้า
เท่านั้นเอง ที่ข้าได้ยินจากบรรพบุรุษกล่าวเสมอๆ หรือว่า????”
“ใช่แล้วพระราชบิดาข้าคือ องค์พระยาครุฑาธิราชกับพระมารดา
นางพญาสดายุจอมปักษีเช่นเดียวกัน ดังนั้นร่างกายข้าจึงเป็นร่างที่
มีสภาพพระยาครุฑและสดายุรวมกันอยู่ และได้รับการถ่ายทอดวิชา
การมาจากทั้งสองพระองค์นั่นเอง”
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น พระบิดาท่านก็เป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพนารายณ์
จอมเทพใช่ไหมล่ะ?”
“ถูกแล้วพระราชบิดาข้าสืบเชื้อสายมาจากจอมปักษีอันเป็นพระ
สหายกับจอมเทวะนั่นเอง มีอิทธิฤทธิ์หาเป็นรองจอมเทพไม่ แต่
เนื่องจากคำมั่นสัญญาว่าต้องคอยรับใช้จอมเทวะราชันย์ ยามที่ท่าน
ต้องการ และบรรพบุรุษได้รับพระกระแสร์รับสั่งกาลอนาคตไว้จาก
องค์มหาเทพถึงกำหนดกาลเวลาไว้ จึงได้ถ่ายทอดคำสั่ง จนตกมาถึง
ตัวข้านั่นเองแหละ”
“หากเป็นเช่นนี้บรรดาสัตว์มีปีกทั้งหลายก็ต้องตกอยู่ในอำนาจของ
ท่านหมดนะซิท่านสดายุ”
“ถูกแล้วสินธุ ไม่ว่าสัตว์มีปีกใดๆแม้แต่สัตว์มีปีกที่เกิดจากเวทย์มนต์
ก็ตามทีย่อมจะหวั่นเกรงและตกอยู่ในอำนาจเราจนหมดสิ้นนั่นเอง”
“เดี๋ยวก่อนสดายุในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ อย่าบอกนะว่ามหาเทพที่จุติมา
นั้นคือตัวข้าเสียล่ะ”
“หากไม่ใช่นาย มีหรือข้าสดายุจะมาคอยรับใช้ มิสู้อยู่ยังแว่นแคว้น
ของข้าเสวยสุขมิดีกว่าหรือนาย”
ชายหนุ่มเอามือลูบอกตัวเอง ด้วยความตกใจพร้อมกล่าวว่า
“จริงๆหรือสดายุไม่ใช่เจ้าหลอกข้านะ
ข้านะหรือคือองค์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่แบ่งภาคมาจุตินะ”
“ไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใครไปเสียล่ะ
ดินแดนแห่งนี้ซึ่งติดกับป่าหิมพานต์โดยมีพลังงาน
ขวางกั้นไว้ประกอบด้วยเภทภัยนานาประการไม่มีมนุษย์คนใด
ที่จะย่างกรายเข้ามาได้หากไม่ใช่พวกเทพเทวา ยักษา คนธรรพ์
และยังมีสัตว์ประหลาดต่างๆที่ตัวใหญ่กว่าสัตว์ในเมือง
ทั่วๆไปอีกและผู้ที่ปราบได้เป็นนายที่สามารถกำจัดได้
หากเป็นมนุษย์ธรรมดาย่อมไม่สามารถจะมาในดินแดนแห่งนี้
ส่วนพวกสินธุและบรรดาชาวบ้านทั้งหลายนั้น
ต่างก็เป็นเทพกึ่งมนุษย์จะเรียกว่าชาวลับแล ก็อาจจะเป็น
ไปได้ที่สามารถมาอยู่ร่วมกันในดินแดนแห่งนี้ได้เพราะติดกับป่า
หิมพานต์เป็นเป็นดินแดนเสวยสุขของเหล่าเทพยดา ยักษ์ คนธรรพ์
ตลอดจนบรรดาสัตว์เทพทั้งหลายได้
นายดูซิรูปร่างของชาวบ้านกับชาวบ้านในเมือง
ที่นายพบเห็นแตกต่างกัน แม้แต่อาวุธก็ต่างกันมากนัก
หากมาเทียบอาวุธของบรรดาชาวบ้านนี้แม้แต่ปืนที่มนุษย์ว่า
ร้ายกาจมากหาก มาเจออาวุธของชาวบ้านเหล่านี้ก็แค่หิงห้อยในดวง
อาทิตย์เท่านั้นเองแหละนาย”
“ดูง่ายๆเถอะนาย นายสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้
โดยไม่ต้องใช้พาหนะใดๆเลย มนุษย์ทั่วไปจะทำได้หรือ
อีกอย่างหนึ่งที่ผ่านมาเพียงแค่นายจับตำราใดๆ
ก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและจดจำแม่นยำ
มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้
นายไม่แปลกใจบ้างเชียวหรือนาย”
“อืมม!!!ๆๆเจ้าพูดก็มีเหตุผล แม้แต่ข้าเอง
ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรล่ะ??
ว่าข้าทำอะไรในอดีตที่ผ่านมา”
“เพราะข้าเองมีอำนาจพิเศษของข้าเองจึงล่วงรู้ชีวิตผ่านมาของนาย
ได้อย่างไรกันล่ะ ซึ่งข้าเองจะพูดไปก็เหมือนจะโกหกมดเท็จหากกล่าว
แก่ใครๆ ใครล่ะจะเชื่อถือหากไม่ประสบด้วยตัวเอง”
“เอาล่ะๆเรื่องก็มาถึงเพียงนี้แล้ว ต่อไปเราจะทำอย่างไรดีกันล่ะสดายุ”
“ก็นายตั้งใจอะไรไว้ข้ารู้หมดแล้ว ให้นายฝึกพวกนี้ให้เชี่ยวชาญก่อน
เพื่อจะเป็นกองกำลังให้นายต่อไปในอนาคตในโลกที่นายจะต้องไปเถอะ”
“อืมมๆๆๆเจ้านี่ไม่เลวจริงๆนะสดายุ รู้ทันข้า
ไปหมดเสียทุกอย่างเชียวล่ะ?”
สดายุหัวร่อเบาๆ พร้อมกล่าวว่า
“เวลานั้นไม่คอยท่าเสียแล้วล่ะนาย
สิ่งที่นายคิดไว้ใกล้เวลาจะมาแล้วล่ะ”
“ดังนั้นเราสองต่างมาช่วยกันฝึกฝนให้แก่ชาวบ้านเหล่านี้
กันเถอะนะ เพื่อเป็นขุมกำลังและรักษาตัวเองอีกด้วย”
“ได้นายหากนายจะไปยังดินแดนอันไกลโพ้น
แต่ข้าจะช่วยเหลือนายอีกทางหนึ่งนะ”
“หากนายไปไหน อย่าลืมข้าเสียล่ะ
ข้าจะขอติดตามนายไปทุกๆแห่งหน
ไม่ว่าจะลำบากยากแค้นสักปานใด”
เสียงเจ้าสินธุ กุลา ภาคี และคียะ เอ่ยขึ้นบ้าง
หลังจากได้ยินคำกล่าวของคนทั้งสองและ
ทุกๆคนต่างตกตะลึงไปตามๆกันไม่คิดว่าชายหนุ่มและสดายุ
จะผิดแผกกว่ามนุษย์ทั่วๆไปเสียอีก
ทุกๆคนหันมองหน้ากันและเอ่ยขึ้นพร้อมๆกัน
“เอาเถอะๆ ให้ถึงเวลานั้นก่อนก็แล้วกันนะ
ไว้เมื่อจัดการทางนี้ให้เรียบร้อยแล้วแต่
ให้ทุกๆคนตั้งใจฝึกฝนวิชาความรู้ที่ข้าและสดายุจะ
มอบให้แก่พวกเจ้าก็แล้วกัน”
“นายๆๆอย่าลืมข้าภาคีและคียะหนีไปก่อนเสียล่ะ??
ข้าสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกลจริงๆจ๊ะนาย”
ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ พลางเอื้อมมือไปตบไหล่ทั้งสองคน
แต่ไม่พูดอะไรถึงความในใจของเขาที่คิดเอาไว้
ไม่กล่าวอะไรพลางเดินเข้าไปในถ้ำ
ภาคีและคียะก็เดินตามไปด้วย รวมทั้งหญิงบางคน
ส่วนสินธุและกุลาก็รีบสั่งการกับบรรดาชาวบ้านที่เหลืออยู่
ให้จัดการซากศพตะขาบยักษ์ตามที่ชายหนุ่มสั่งไว้ทุกประการ
ครั้นวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มก็เรียกบรรดาหัวหน้ากลุ่มที่เคยจัดไว้พร้อม
กับลูกน้องที่เหลือมาแบ่งแยกเป็นกลุ่มๆมอบให้สดายุ
นำไปอบรมฝึกฝน
ส่วนที่เหลือเขาเองก็จัดการอบรมสั่งสอนเอง
ชายหนุ่มและสะดายุ หันมาปรึกษากัน แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า
ในตอนแรกให้ทุกๆคนประสานมือกันไว้คนละข้าง
นั่งขัดสมาธิหลับตา รายล้อมเป็นวงกลม
ไม่ยกเว้นแม้แต่ สินธุ กุลา ภาคี และคียะ
ต่างประสานมือกันรายล้อมชายหนุ่มและเจ้าสดายุ
ทั้งสองต่างถ่ายทอดพลังงานของตนเองผ่านไปยังร่าง
ของบรรดาคนทั้งหลาย ก่อนจะถ่ายทอดได้กล่าวขึ้นว่า
“ขอให้ทุกๆคนอย่าตกใจหากมีอะไรเกิดขึ้น
ให้พยายามอดทนเราและข้ากับสดายุจะมอบพลังงาน
แห่งจักรวาลและพลังงานของคริสติคอลแก่พวกเจ้า
จงตั้งมั่นรวบรวมพลังงานไว้ที่ส่วนกลางของร่างกาย
ไว้ที่ใต้สะดือซึ่งเป็นแหล่งรวมพลังงานของพลังงานทั้งหมด
ให้เก็บไว้ทีละน้อยๆแล้วค่อยแผ่กระจายไปตามร่างกายของพวกเจ้า
อย่าตกใจหากมีกระแสวิ่งพล่านไปทั่วร่าง บ้างมาก บ้างน้อย
และอย่าฝืนกระแสนั้นๆ
มิฉะนั้นตัวของพวกเจ้าจะแตกกระจายไปทันที
หากรู้ตัวว่ารับพลังงานไม่ได้ให้เจ้ารีบปล่อยมือ
ออกแล้วคนที่อยู่ก็ให้รีบจับมือคนต่อไปอย่าให้พลังงานขาดช่วง
เป็นอันขาด เราและสดายุจะคอยดูแลกำกับให้เอง
ทุกๆคนนั่งฟังอย่างสงบและรีบทำตามที่ชายหนุ่มกล่าวทันที
ดังนั้นคนที่เข้ารับการฝึกฝนจะนั่งกันเป็นวงกลมๆซ้อนๆกันขึ้น
เมื่อชายหนุ่มและสดายุเห็นเช่นนั้น ก็ต่างนั่งกันคนละมุมของ
วงกลมนั้นๆ พลางค่อยๆถ่ายทอดพลังงาน มันแปลกเพราะว่า
กระแสพลังงานทั้งสองมันแตกต่างกันก็จริง แต่ว่ามันใกล้เคียงกัน
ไม่เฉพาะบรรดาคนที่ได้รับการฝึกปรือจะได้รับแล้ว ทั้งชายหนุ่ม
และสดายุต่างก็ได้รับพลังงานแลกเปลี่ยนกัน กลายเป็นพลังงาน
หนึ่งเดียวที่ใช้ผ่านบรรดาผู้ที่เข้ารับการฝึกปรือ
เหตุดังนี้พลังงานของชายหนุ่มและสดายุก็เข้ารวมประสานกัน
เป็นหนึ่งเดียว อำนาจของพลังงานเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ ถึงแม้ว่าจะ
ไม่สามารถเร่งพลังงานคริสติคอลที่สดายุไม่มีให้มาก แต่ก็
สามารถรับได้ ส่วนพลังแห่งเทวะเทพซึ่งชายหนุ่มไม่มีก็สามารถ
ได้รับพลังงานเทวะเทพรวมได้เช่นเดียวกัน
เมื่อเวลาผ่านไปนับหลายๆชั่วโมงตั้งแต่เช้าจรดเย็น อาหารการ
กินทั้งหมดไม่ได้รับ แต่ก็อิ่มในพลังงานทั้งหลายเหล่านี้ พอเวลา
ผ่านไปพอสมควร ชายหนุ่มและสดายุก็ถอนมือออกจากบรรดา
ผู้ฝึกปรือ และต่างก็กล่าวขึ้นว่า
“ขอให้พวกเจ้าไปทานอาหารกันก่อนเถิด และพยายามฝึกปรือ
พลังงานเหล่านี้ ตามแต่คนที่สามารถจะทำได้ ความสามารถนั้น
ย่อมแตกต่างกันไปแต่ละคน จะไม่เหมือนกันขอให้ตั้งใจพยายาม
อีกสามวันให้หลังนี้ เราจะทำการทดลองพวกเจ้าทั้งหมดเมื่อเห็นว่า
ดีแล้ว เราก็จะมาฝึกปรือด้านอาวุธต่างๆให้กับพวกเจ้าตามที่เจ้าถนัด
โดยแบ่งปันกันไปตามแต่ความถนัดในการใช้อาวุธของพวกเจ้าเอง”
เมื่อคนทั้งหมดรับฟังแล้วลุกขึ้นต่างทะยอยกันไปในที่พักส่วนตัว
เพื่อปฏิบัติตามที่ชายหนุ่มสั่งไว้ทุกประการ ครั้นครบสามวันตามที่
ชายหนุ่มกล่าวแล้วก็เรียกประชุมผู้ที่ทำการฝึกปรือทั้งหมดมา พร้อม
ทั้งให้ทุกคนแต่ละคนทดลองพลังงาน ประการแรกให้ปล่อยพลังงาน
ออกจากมือเสียก่อน ทุกๆคนทั้งหมดก็สามารถทำได้แต่ความสามารถ
ของแต่ละบุคคลไม่เท่าเทียมกัน และชายหนุ่มก็ให้ทดลองให้ทุกๆคน
นำพลังงานมาไว้ที่จุดส่วนรวมแผ่ขยายไปตามร่างกายแล้วให้หัดลอย
ตัวเองขึ้นจากพื้นดินเหิรไปยังต้นไม้ต่างๆที่เรียงรายรอบๆบริเวณหน้า
ถ้ำ บางคนก็ทำได้สูงบ้างต่ำบ้าง บางคนสามารถเหิรไปถึงยอดไม้อัน
สูงชะลูดได้ โดยเฉพาะ สินธุ กุลา ภาคี และคียะนั้นสามารถทำได้
อย่างคล่องแคล่วว่องไวเป็นที่พอใจของชายหนุ่มและเจ้าสดายุมาก
ครั้นแล้วเมื่อชายหนุ่มและสดายุต่างก็เอ่ยขึ้นว่า
“บัดนี้การฝึกด้านพลังงานต่างๆได้บรรลุผลเป็นที่พอใจแล้วถึง
แม้ว่าจะยังไม่ดีเท่าที่ควร ก็ขอให้หมั่นเพียรพยายามฝึกฝนอย่าได้
ขาดตอนให้ทำทุกๆวัน มิฉะนั้นพลังงานจะเสื่อมลงทันทีจะไม่
สามารถทำได้อีกต่อไป วันพรุ่งนี้ข้าจะขอตรวจสอบการใช้อาวุธ
ของพวกเจ้าและค่อยๆแนะนำถ่ายทอดต่อพวกเจ้าต่อไป”
ส่วนเจ้าสดายุก็เอ่ยขึ้นบ้างว่า
“ในเมื่อหากคนใดสามารถเหิรร่างเหนือยอดไม้ที่สูงที่สุดได้เราจะ
มอบของบางอย่างให้แก่เจ้าไว้ติดตัวเพื่อใช้ในการเดินทางเพื่อเป็น
กองกำลังให้แก่นายเราต่อไปอีกด้วย.
แก้วประเสริฐ.
28 มีนาคม 2556 21:49 น.
แก้วประเสริฐ
* แดนพิศวง ๒๔ *
(ตะขาบบิน)
ครืนๆโครมๆ!!!เสียงกระหึ่มดังกึกก้องกังวาน พื้นถ้ำก็สะท้านหวั่นไหว...
หินกรวดจากเพดานถ้ำและปากถ้ำหล่นทะยอยลงมา ฝุ่นละออง
กระจายคลุ้งไปในอากาศ ปากถ้ำถูกขยายออกด้วยความใหญ่ของตะขาบ ซึ่งมันพยายามจะเข้ามาในถ้ำ หนวดมันกวัดแกว่งไปๆมาๆเหมือนดั่งงูยักษ์ที่คอยจะรัดกุมเหยื่อมัน
ชายหนุ่มแลเห็นดังนั้นพลันชะงักเขามองไปยังส่วนหัวของมันซึ่งแปลกประหลาด
เพราะมีรังษีขจายคลุมร่างมันเลือนลาง ด้วยเป็นตะขาบที่ไม่ธรรมดาเหมือนตะขาบ
ทั่วๆไป ที่มันจะใหญ่ตามธรรมชาติ อาจจะถูกหล่อเลี้ยงด้วยพลังงานบางอย่าง
เมื่อเขาเห็นเช่นนั้นก็หันหลังมาร้องเตือนพวกชาวบ้านให้รีบถอยหลังไปยังก้นถ้ำด้วย
เกรงอันตรายจะเกิดแก่เหล่าชาวบ้าน เกรงพลังอำนาจของตะขาบซึ่งไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เสียงของหนุ่มนิรุทธิ์ยังไม่ทันขาดคำจะห้าม เงาวูบสองเงาทะยานเข้าหาหนวดตะขาบ
ยักษ์แยกกระจายออกพร้อมอาวุธสีดำและสีเงินยวงเข้าฟาดฟันไปยังหนวดทั้งสองอย่าง
ไม่เกรงกลัวขนาดความใหญ่ของมัน
ชายหนุ่มมองถึงกับอุทานเห็นร่างของสินธุและกุลา ต่างแยกย้ายช่วยกันฟันไปยังหนวด
ด้วยอาวุธประจำตัวของเขา อาวุธทั้งสองแยกหนวดซึ่งขาดออกจากกันทันที เลือดสีเข้ม
ดำไหลออกนองพื้นที่เปล่งแสงระยิบระยับพราวคล้ายกับปรอท ทันใดนั้นหนวดทั้งสอง
ก็เกิดปฏิกิริยามันเริ่มต้นชีวิตใหม่ทันที
ชายหนุ่มนิรุทธิ์ตะลึงเมื่อมองไป สิ่งที่เขาเห็นคือหนวดทั้งสองเริ่มขยายตัวยืดออกกลับ
งอกกลายเป็นตะขาบตัวเล็กใหญ่สองตัวทันที ส่วนท่อนหัวของตะขาบยังก็เกิดปฏิกิริยา
เพราะหนวดมันเกิดหนวดงอกขึ้นมาใหม่ ชายหนุ่มรีบตะโกนแจ้งให้ทั้งสองรีบถอยกลับ
ขึ้นมาใหม่และยาวกว่าเดิมทันที
ก่อนที่สิ่งร้ายจะเกิดขึ้นแก่คนทั้งสอง เพราะเขาแน่ใจแล้วว่าตะขาบตัวนี้เกิดจะการหล่อ
หลอมของธาตุต่างๆรวมกับพลังงานที่เขาเองก็ไม่ทราบ เพื่อความปลอดภัยเสียงตะโกน
ของเขากลบเสียงทลายของพื้นเพดานถ้ำ
"สินธุ กุลา รีบถอยหนีด่วน มันหาใช่ตะขาบธรรมดาไม่????”
"นาย...เรากำลังได้เปรียบมันนะนาย”
"ไม่หรอกเจ้าทั้งสองมองไปซิมันเกิดเป็นตัวใหม่สองตัวที่หนวดมันเกิดสร้างตัวเอง
ใหม่ขึ้น อีกหัวของมันก็เกิดหนวดงอกมาแทนใหม่แล้ว”
"อ้าๆๆ”
เสียงอุทานของคนทั้งสองเมื่อหันไปมองดูผลงานของเขาก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
"เร็วๆๆสินธุกุลา ช้าไม่ได้แล้ว อย่าไปฟันเดี๋ยวมันจะเกิดขึ้นหลายๆตัว”
ร่างของทั้งสองรีบหันหลังกลับพุ่งร่างมายืนเคียงข้าง พร้อมหันไปมองแล้วก็ถาม
ด้วยความฉงนสนเท่ห์นัก
"นายๆหากเป็นเช่นนี้แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีล่ะ????”
"รีบเข้าไปคอยระวังพวกเราเถอะ ทางนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
พลางหันไปทางสดายุแล้วเรียกขึ้นทันที "สดายุมาหาเรา
บอกพวกคนทั้งหลายให้ไปรวมกลุ่มกันไว้ เจ้าด้วยสินธุกุลา”
ทั้งสองไม่รอช้าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นหาใช่ธรรมดาแล้ว เขาทั้งสองก็ไม่มีปัญญา
ในการปราบสัตว์ร้ายนี้ ถึงแม้จะตัดมันออกจากกันแต่มันก็กลายเป็นร่างใหม่ขึ้นมา
ทดแทนกลับเพิ่มภาระมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงทะยานร่างจากไปยังกลุ่มพร้อมกับหัน
ไปบอกกับหญิงสาวทั้งสองด้วยให้คอยระวังชาวบ้านด้วย
เสียง ควับๆดังขึ้นเงาร่างของสดายุผ่านร่างทั้งสองวูบก็ไปยืนเคียงข้างชายหนุ่ม
ผู้เป็นนายมัน เห็นชายหนุ่มหันมาทางพวกเหล่าชาวบ้าน มือทั้งสองของชายผู้เป็น
นายประกบเข้าด้วยกัน พลันแยกออกในฝ่ามือมีพลังงานสีเงินยวงลูกกลมๆสองลูก
พลัน ฝ่ามือทั้งสองของนายมันก็รวมพลังงานนั้นเข้ากันอีกครั้งหนึ่งแล้วตวัดไขว้มือ
ไปๆมา ปรากฏม่านพลังงานเข้ากั้นขวางแยกสัตว์ร้ายกับเหล่าชาวบ้านออกจากกัน
ทันที ร่างของสดายุหันหน้าไปทางสัตว์ร้ายคอยระวังภัยให้ชายหนุ่มผู้เป็นนายมัน
ครั้นเมื่อเรียบร้อยในการป้องกันชาวบ้านแล้วชายหนุ่มก็หันกลับไปมองสัตว์ร้าย
พลางสนทนากับเจ้าสดายุ ซึ่ง สินธุ กุลา ภาคี คียะไม่อาจทราบได้ว่าทั้งสองสนทนา
อะไรกัน ด้วยความประหลาดใจ ภาคีกับคียะทะยานร่างไปยังม่านสีเงินยวงเพื่อจะ
ออกไปสบทบทดลองม่านนั้นด้วย แล้วก็ร้องอย่างตกใจด้วยเกิดพลังงานกีดกั้นไม่
สามารถจะออกไปพ้นจากม่านได้
"นายสินธุกุลานายได้สร้างม่านป้องกันพวกเราไว้แล้ว ข้าไม่สามารถออกไป
ได้เลย”
"เจ้าทั้งสองก็กลับมาคอยป้องกันช่วยเหลือชาวบ้าน เพราะนายป้องกันพวกเรา
ไว้แล้วดีกว่า อย่าช้านัก ลำพังพวกเราไม่สามารถจะช่วยนายได้หรอก”
"แปลกจริงๆนาย” แต่ร่างหญิงสาวทั้งสองก็ทะยอยเข้ามายืนข้างสินธุและกุลา
พร้อมชักอาวุธประจำตัวออกมาคอยคุมเชิงป้องกันชาวบ้านทันที สายตากับจ้องไป
ยังร่างของหนุ่มนิรุทธิ์อย่าไม่ยอมให้คลาดสายตา
"ภาคี แล้วเราจะช่วยนายได้อย่างไรกันเพราะฝีมือยังเป็นรองอีกมากมายนัก”
"นั่นซิ คียะ ข้าเองก็จนปัญญาเหมือนกัน แต่เราคอยเฝ้าชาวบ้านดีกว่า”
"นายสินธุแล้วจะปล่อยให้นายใหญ่และสดายุต่อสู้ตามลำพังหรือ???”
"เห็นจะต้องเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะ ภาคี คียะ เพราะลำพังตัวเองไม่รู้ว่าจะเอา
ตัวรอดได้อย่างไรเหมือนกัน” เสียงสินธุอุทานด้วยเสียงกระเส่าๆ
"ถ้าอย่างนั้นเรามาคอยป้องกันชาวบ้านตามนายสั่งดีกว่านะนายสินธุ เพราะอย่าง
น้อยก็อาจจะช่วยชาวบ้านได้บ้าง” เสียงกุลาเอ่ยขึ้นบ้าง
"นั่นซิกุลา พวกเราเห็นจะทำได้ก็เพียงแค่นี้แหละ”
แล้วทั้งสี่ก็เตรียมอาวุธไว้พร้อมสรรพ โดยทั้งสี่หันไปมองร่างนายนิรุทธิ์และสดายุ
อย่างใจจดจ่อ แล้วก็เห็นร่างทั้งสองกระจายกันออก ทั้งสองต่างพุ่งร่างเข้าหาสัตว์ร้าย
โดยแยกกันออก สดายุหันไปจัดการกับหนวดซึ่งกลายเป็นตะขาบตัวน้อยแต่ใหญ่
มากสองตัว นายใหญ่มันทะยานไปยังส่วนหัวซึ่งมีหนวดงอกขึ้นใหม่พร้อมอาวุธใน
มือ ด้านสดายุทั้งหมดเห็นปลดจักรแก้วออกจากไหล่พร้อมอาวุธอีกอย่างซึ่งเป็น
กระบองคทาวุธออกมามาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเองจักรแก้วก็หมุนติ้วส่งประกายระยิบระยับเจ็ดสี พร้อมกับสดายุก็ตวัดส่ง
จักรแก้วออกไป จักรแก้วพอหลุดพ้นจากมือก็ขยายวงกว้างออกใหญ่พร้อมรัศมีเจ็ดสีพุ่ง
เข้าหาตะขาบน้อยร่างยักษ์ทันที จักรแก้วก็หมุนสลับไปทั่วร่างสัตว์ร้าย
เสียงฉับๆๆดังขึ้น ร่างของตะขาบยักษ์น้อยก็ขาดออกจากกันพลังงานรังษีไม่อาจจะ
ต้านทานอาวุธจักรแก้วได้ปรากฏควันฟุ้งไหม้ไปยังร่างน้อยทั้งสอง เสียงร้องอย่าง
โหยหวนดังขึ้นระงมไปทั่วถ้ำ ร่างมันก็ถูกแยกเป็นชิ้นเล็กๆน้อยๆ กระจายออกมาดำเป็น
ตอตะโก
ร่างสดายุไม่รอช้าทะยานเข้าเข้ากระหน่ำด้วยกระบองคฑาอำนาจของกระบองยามฟาด
ไปยังร่างของสัตว์ร้ายที่กลายเป็นชิ้นๆนั้นก็มีน้ำกรดอย่างแรงเข้ารดไปยังร่างทั้งสอง
เกิดการไหม้ที่แสงออกสีน้ำเงินยวง การกระหน่ำตีของสดายุพร้อมร่างที่หมุนเวียนไป
รอบตัวเข้าหาชิ้นส่วนทั้งหลาย แต่แล้วร่างของสดายุก็สะดุ้งอย่างเห็นได้ชัดเมื่อหนวด
ใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นได้เข้าพันร่างของจอมปักษา แต่ไม่อาจจะทำอันตรายใดๆได้นอกจากดุจ
ดังงูตัวใหญ่เข้าพันแน่นขนัด รอบตัวเท่านั้น
ทันใดนั้นศีรษะของสดายุก็แปรสภาพกลายเป็นหัวนกมหึมาปากจงอยเข้ากัดสิ่งที่
พันธนาการเขาไว้ขาดออกจากกันกลายเป็นชิ้นเล็กๆทันที กระบองคฑาก็ฟาดไปยัง
บรรดาชิ้นส่วนเหล่านี้พร้อมกับแสงเจ็ดสีของจักรแก้วเข้าช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง
เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่บรรดาชิ้นส่วนเหล่านี้ก็กลายเป็นจุลไหม้ไปหมด เมื่อเสร็จภาระ
ก็หันไปทางนายมัน เพื่อจะทะยานเข้าไปช่วย แต่ก็ได้รับการโบกมือห้ามไว้
"เสร็จแล้วสดายุให้คอยระวังพวกชาวบ้านด้วย”
"จ๊ะนาย” แล้วร่างสดายุก็หันกลับไปยืนคอยป้องกันชาวบ้านด้วยอาวุธทั้งสอง
มองไปยังร่างนายมันที่ทะยานเข้าหาส่วนที่เป็นหัวพร้อมพลังงานที่ประกอบด้วย
อะตอมนิวเครียสซึ่งหล่อหลอมจากพลังงานจักรวาลด้วยกริชมีด ร่างของชายหนุ่ม
ลอยตัวขึ้นทะยานไปยังดวงตากลมโตของสัตว์ร้ายพลางยื่นกริชดาบออกไป เกิด
พลังงานหมุนเวียนเป็นสายดุจสายฟ้าพุ่งเข้าไปยังดวงตาทั้งสองของตะขาบยักษ์
เสียงฉี่ๆซ่าาสส์....ดังขึ้นพร้อมกับควันที่พวยพุ่งออกจากปากมัน ยามควันนั้น
ไปกระทบฝาผนังถ้ำก็เกิดการเผาไหม้อย่างรุนเรง แต่ชายหนุ่มหาได้หวาดหวั่น
เกรงกลัวมันไม่ กริชได้ขยายใหญ่ขึ้นรวมเป็นแสงน้ำเงินยวงเข้มพลังพุ่งไปยัง
ดวงตาสัตว์ร้ายกลายเป็นสีส้มทันที การดิ้นอย่างรุนแรงทำให้ปากถ้ำเปิดกว้างออก
ไปอีก บัดนี้สัตว์ร้ายพิการดวงตาไปแล้วทั้งสองดวงปิดลง แต่ยังสะบัดหัวที่โผล่
ไม่มากนักก็หุบท่อนหัวมันออกไป ชายหนุ่มทะยานร่างลอยตามไปยังปากถ้ำ
พร้อมกับเขาล้วงไปยังไหล่มือกุมดวงแก้วสีนวลส่งประกายทอแสงเจิดจ้ามือ
ที่กุมลูกแก้วจันทราทะยานตามสัตว์ร้ายออกไป พร้อมชายหนุ่มก็โยนลูกแก้วไป
ในอากาศเกิดแสงนวลจ้ากว่าแสงของดวงจันทร์หลายเท่านัก ทอแสงบนท้องฟ้า
บรรยากาศเมื่อดวงแก้วทอแสงบนท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที ความเยือกเย็น
พวยพุ่งไปทั่วบริเวณซึ่งก็มีอากาศเยือกเย็นอยู่แล้วกับเยือกเย็นลงไปอีกมากนัก
ชายหนุ่มหาสนใจไม่ร่างทะยานติดตามออกมาเห็น สัตว์ร้ายส่ายร่างท่อนหัว
ไปๆมาพร้อมปีกมันก็ขยายออกแผ่กว้างออกไป ตีนมันนับไม่ถ้วนก็สับร่างพุ่ง
เข้าหาชายหนุ่ม เสียงร้องอย่างโหยหวนกระจายไปทั่วบริเวณขุนเขา บรรดาต้นไม้
ขนาดเท่าต้นไม้ยักษ์ก็หักระเนระนาดลง เสียงดังโครมๆสะท้านหวั่นไหวไปทั่ว
นิรุทธิ์ตวัดกริชในมือเข้าหาตีนอันมากมายพร้อมเขาก็ฟันลงไปยังบรรดาตีนอัน
มีมากมาย เสียงฉับๆดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรดาตีนก็ถูกตัดขาด แต่แปลกที่บรรดา
ตีนเหล่านี้เมื่อโดนกริชที่อาบไปด้วยพลังงานจักรวาลนั้นไม่สามารถจะงอกออกมา
ได้อีกกับเป็นจุลไหม้ กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เสียงร้องของตะขาบยักษ์ดังไปทั่วบริเวณคล้ายๆจะเรียกพวกพ้องให้ออกมาช่วย
มันแต่ร่างมันกลับดิ้นพลาดๆพลิกตวัดไปๆมาๆพร้อม ร่างมันก็ลอยขึ้นดุจดังจะหลบ
หนีไป ชายหนุ่มมิรอช้าลอยตัวทะยานเข้าฟันกริชไปยังปีกทั้งสองขาดออกจากกัน
ร่างตะขาบยักษ์ พลันล่วงหล่นฟาดกับพื้นที่เป็นหินเสียงดังสนั่น ทำให้บรรดาฝุ่น
ละอองคลุ้งกระจายไปทั่วพร้อมกับกลิ่นคาวอันร้ายแรงฉุนเหม็นเขียวพร้อมด้วยควัน
ชายหนุ่มรีบสร้างพลังงานครอบคลุมร่างทันที หันไปทางสดายุเพื่อจะร้องเตือนแต่
เขาเห็นร่างสดายุปกคลุมด้วยรังษีชนิดหนึ่งแล้วจะทะยานร่างออกมาเพื่อช่วยเหลือ แต่
ชายหนุ่มโบกมือห้ามไว้ ร่างสดายุจึงยืนคอยคุมเชิงดูอยู่คอยระมัดระวัง ชายหนุ่มก็
พุ่งร่างเข้าหาร่างสัตว์ร้ายที่ดิ้นพลิกกลับไปๆมา กริชในมือก็ฟาดฟันไปยังร่างมันตัดออก
เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมเกิดแสงสีเงินยวงตามมาเกิดเพลิงลุกไหม้ทำให้ร่างมันซึ่งขาด
ออกจากกันกระจายไปนั้นถูกเพลิงกรดจากกริชเข้าเผาผลาญไหม้เป็นจุลกลายเป็นฝุ่น
กระจายไปตามสายลมหมดสิ้น
แต่แล้วเสียงฟู๊วสส์กึกก้องดังออกมาจากเบื้องหลังขุนเขาที่มองเห็นเบื้องหน้าพร้อมกับ
เสียงคำรามผสานผสมกัน สดายุหันไปมองแล้วหมุนร่างกลับมาเอ่ยขึ้นว่า
"นายข้า คิดว่าพวกพ้องมันได้ยินเสียงเจ้าตัวนี้ที่ได้ตายไปแล้วเรียกร้องหา มันมาแล้ว
แต่ตัวนี้ขอให้ข้าจัดการเถอะนะนาย”
"ฟังเสียงมันซิสดายุ มันอาจจะมีมากกว่าหนึ่งตัวนะ ด้วยเสียงมันมาหลายทิศทางกัน”
"นั่นซินาย คราวนี้เห็นที่ต้องเรียกพวกข้ามาช่วยแล้วนะนาย”
"อืมมๆๆ...แล้วพวกเจ้าจะมาทันหรืออีกอย่างเสียงมันใกล้เข้ามามากแล้วสดายุ”
"ไม่เป็นไรหรอกนาย พวกข้าอยู่กับข้ามานานแล้วล่ะ”
ชายหนุ่ม งง ต่อคำพูดของสดายุเพราะเขาไม่เห็นวี่แววพวกพ้องสดายุเลย จึงเอ่ยขึ้น
"ข้าเองไม่เห็นหนทางอย่างที่เจ้าพูดเลยนะสดายุ”
สดายุหัวร่อพร้อมกับหยิบขนนกออกมาจากการลูบตัวไปๆมาๆของเจ้าสดายุมีจำนวน
ขนมากมาย ดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้าใจว่าทำไมสดายุจึงว่าพวกพ้องมันอยู่กับตัวสดายุ
เพราะขนดังกล่าวคือขนของเจ้าสดายุนั่นเอง หรือว่าเจ้าสดายุจะสร้างพวกมันจากขน
เหล่านี้ ใช่แล้วเขานึกก็จะกลับกลายเป็นสดายุอีกหลายสิบตัวได้อย่างรวดเร็ว พลางนึก
ในใจว่าอย่างนี้นี้เองเจ้าสดายุจึงเป็นจอมปักษาไป เนื่องจากสามารถร้องเรียกบรรดานก
ทั้งหลายได้แล้ว ขนของมันก็เป็นนกที่มีอิทธิ์ฤทธิ์
ได้นั่นเอง เมือทราบความนัยแล้วก็หัวร่อ
พลางเอ่ยขึ้นว่า
"เจ้าสดายุ แกนี่สำคัญๆมากนะ”
"หาไม่หรอกนาย เพราะตั้งแต่ข้าเกิดมาก็ได้รับทราบจากบิดาข้าแล้วล่ะ”
สดายุหัวร่อลั่น ยังไม่ทันหัวร่อจบเสียงดังกระหึ่มก็พ้นแนวหลังภูเขา กลับมีร่างของ
ตะขาบบินยักษ์หลายสิบตัวกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา การบินของพวกมันปิดบังแสง
ของดวงจันทร์ไปหมดสิ้น แต่หาได้สามารถกั้นแสงจากดวงแก้วจันทราได้ไม่
พลางก็ได้ยินสดายุเอ่ยขึ้นว่า
"นายไม่ต้องกังวลหรอก ข้ามีฤทธิ์เท่าไร บริวารข้าก็มีฤทธิ์เท่านั้น ทั้งหมดจะพร้อม
ด้วยอาวุธต่างๆกัน”
"แต่ข้าเองคิดว่าอย่าปล่อยให้มันลงมาบนพื้นได้จะดีกว่านะสดายุ เจ้าเห็นเป็น
ประการใดเล่า???.....”
"การต่อสู้บนอากาศนั้นบรรดาบริวารข้าชำนาญนัก ด้วยเหมือนตัวข้าเองนายมากกว่า
บนพื้นดินเสียอีกนาย”
"งั้นก็ดีแล้ว มาเถิดเราไปต่อสู้กับมันเถอะนะอย่าช้า”
"ได้นาย เชิญนายนำหน้าก็แล้วกัน”
ร่างเจ้าสดายุก็พลันกลับกลายร่างเป็นจอมปักษาทันที
ร่างมันก็ขยายสูงใหญ่ปีกขนที่แวววาวหลากสีสุดงดงามยิ่งนักทอแวววับเปล่งปลั่งด้วย
รัศมีแสงสีต่างๆ พร้อมทั้งความมันแวววาวของขนเจ้าสดายุเปล่งรัศมีพราว พลันสดายุยก
มือขึ้นภาวนาแล้วก็โยนบรรดาขนมันออกไป ปรากฏควันคลุ้งกระจายตามบรรดาขน
ทั้งหลาย ในควันนั้นที่ค่อยจางลงก็มีร่างสดายุขึ้นอีกจำนวนมากต่างย่อเข่าคุกคำนับเจ้า
จอมปักษาทันที เจ้าสดายุบอกให้บริวารมันยืนขึ้นพลางชี้มือไปยังบรรดาจุดเงาที่กำลัง
พุ่งมาทางนี้ แล้วสั่งการทันที บรรดาบริวารสดายุก็ชักอาวุธพร้อมทะยานบินเข้าหา
บรรดาจุดเล็กๆที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆพร้อมส่งเสียงร้องก้องอันไพเราะด้วยสำเนียงทุ่มแหลม
เล็ก กระจายแปรรูปออกดาหน้าเข้าหาบรรดาตะขาบยักษ์ต่างๆที่กำลังพุ่งเข้ามา
เพียงไม่นานนักก็เกิดเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นอย่างชุลมุนท่ามกลางแสงสีนวลของดวงแก้ว
จันทรา ที่ขยายตัวเองใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดหมอกเมฆกลุ่มน้ำแข็งจับไปตามต้นไม้และใบ
ในไม่ช้า อากาศก็เกิดอุณหภูมิต่ำเยือกเย็นกว่าเดิมมากมายหลายเท่านัก
การขยายร่างของสดายุสูงใหญ่ ชายหนุ่มสูงแค่แข้งของมันเท่านั้นทำให้ยากแก่การเจรจา
เขาต้องแหงนหน้าพูดคุยกับเจ้าสดายุโดยปริยาย
"เราออกไปช่วยพวกเจ้าได้ยังล่ะสดายุ”
"นายแต่ข้าว่าคอยรอดูเหตุการณ์สักครู่ก่อนนะนาย”
"อย่างนั้นก็ตามใจเจ้าก็แล้วกันหากเห็นสมควรอย่างไรก็บอกแก่เราด้วย”
"เออๆๆงานนี้เรามอบหน้าที่ให้เจ้าเป็นผู้บัญชางานเองเถอะนะสดายุ”
"ขอรับนาย หากเหตุการ์ไม่ดีเราทั้งสองก็ค่อยไปช่วยพวกเรา
ข้าคิดว่าก็ยังทันอยูหรอกคงจะไม่ช้าเกินไป ลำพังบรรดาบริวารข้าก็เป็นทนสิทธิ์อยู่แล้ว”
"หมายความว่าอย่างไรเล่าสดายุ”..............
* แก้วประเสริฐ. *
29 มกราคม 2556 14:47 น.
แก้วประเสริฐ
* แดนพิศวง ๒๓ *
(จ้าวปักษา)
“กุลาบ้าๆ!!!!....พวกข้ามองเจ้าเหมือนพี่ชายนะ หาได้เป็นคนที่
พวกข้าต้องใจอย่างใดไม่???...แหมๆมาตู่เขาเสียจริงๆนะ”
สองสาวร้องลั่น พลางวิ่งไล่ไปหมายหยิกและทุบ เล่นเอาเจ้ากุลา
ต้องเผ่นหนีไปบังสินธุ ร้องลั่น
“นายสินธุๆช่วยข้าด้วยเจ้าภาคี คียะ มันจะบ้าแล้ว แน๊ะๆมันยกธนู
เล็งมายังข้า นายช่วยข้าด้วยนะ อิอิ”
“แล้วเอ็งไปแหย่เขาทำไม่ เรื่องเขาจะรักใครชอบใครก็เป็นเรื่อง
ของเขา ข้ารู้ว่าพวกเอ็งทั้งสามรักกันเหมือนพี่น้อง”
“ก็ข้าหมั่นไส้มันนี่นานาย เลยแหย่มันเล่นไม่นึกว่ามันจะโกรธ
เป็นฟืนเป็นไฟไปได้”
“เจ้าทั้งสามหยุดกันได้แล้วเกรงใจนายใหญ่บ้างซิ แล้วเอ็งสนใจ
ชอบใจใครล่ะ บอกข้าได้ไหมบางทีข้าจะเป็นสื่อให้นะเจ้ากุลา???”
“นายสินธุนี่นายก็จะบ้าไปอีกคนแล้ว ใครล่ะจะบอกความในใจ
ให้ทราบได้อายเขาจะตายไป จริงไหมคียะ ภาคี”
“แต่คงไม่ใช่ข้า และภาคีนะ พี่กุลารูปร่างยังกับยักษ์ปักควายแน๊ะ”
“ใช่ไหมภาคี เรื่องแบบนี้เราเป็นหญิงถึงชอบเขาแต่เขาไม่สนใจเรล่ะมิยิ่งอายไปมากกว่านี้หรือ??”
“นั่นซิข้าก็คิดเหมือนเอ็งแหละ เอาล่ะนายสินธุอย่ารู้เรื่องไปเลย
เมื่อกี้นี้ข้าเผลอไปเท่านั้นเองแหละจ้านาย”
“ไหนๆๆเอ็งว่าข้าว่าอะไรนะ ยักษ์ปักควาย ปัดโธ่ข้านะหล่อจะตาย
ไปสาวๆยังชอบข้าเลยนี่นา ชะม้ายตาแก่ข้าเสมอๆ”
“แต่คงไม่ใช่ข้าทั้งสองแน่นอนนะพี่กุลารูปหล่อ ฮ่าๆๆๆ อิอิๆๆๆ”
ทั้งสองหันไปบอกแก่สินธุแต่หางตาชำเลืองไปชายหนุ่มนิรุทธิ์ ซึ่ง
เขาก็อมยิ้มแล้วรีบหันหน้าไปทางอื่น พลางเอ่ยขึ้นว่า
“เอาล่ะเลิกกันก็ดีเรามาช่วยกันคิดว่าการปราบเจ้าตะขาบยักษ์นี้
จะทำอย่างไรดีเพราะที่เราทำไปนั้น มาคิดๆดูอีกทีไม่น่าที่จะทำ
อะไรแก่มันได้”
“นั่นซินายเพราะมันตัวใหญ่โตมากๆเสียด้วย ลำพังอาวุธที่เรา
ทำขึ้นมานี้คงจะไม่ระคายหนังมันได้หรอก แล้วจะแก้ไขอย่างไร
ดีล่ะ ข้าเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”
สินธุเอ่ยรำพึงขึ้นมา แล้วก็หันมากล่าวกับหนุ่มนิรุทธิ์ว่า
“ข้าเองคิดว่าสงสัยจะต้องอาศัยเจ้าสดายุหากเป็นดังที่นายใหญ่
ว่ามันเป็นจ้าวปักษาสามารถเรียกพวกนกต่างๆมาช่วยก็อาจจะมี
ทางชนะมันได้นานาย”
“ข้าเองก็คิดเหมือนเจ้าแหละ เดี๋ยวต้องถามเจ้าสดายุก่อนว่ามี
ความคิดเห็นเป็นประการใด”
พลางหันไปทางเจ้าสดายุแล้วส่งภาษากันสักพักหนึ่ง ทั้งหมด
เห็นเจ้าสดายุผงกหัว แล้วร่างมันก็ถลาลงจากไหล่ของชายหนุ่ม
พลางไปยืนยังเบื้องหน้า
ทันใดนั้นร่างเจ้าสดายุก็พลันเกิดหมอกควันคลุมร่างแล้วร่างกาย
ก็พลันเปลี่ยนไปเมื่อหมอกจางลง เป็นชายหนุ่มรูปงามใบหน้า
คมสัน มันก้มยองๆแล้วพนมมือไหว้ชายหนุ่ม เล่นเอาพวกทั้งหมด
ต่างตกตลึงไปตามๆกัน เจ้าภาคีและคียะ ถึงกับอ้าปากค้างไปเพราะ
นึกไม่ถึงว่าเจ้านกตัวนี้จะกลายร่างเป็นคนไปได้ และรูปงามเสียด้วย
ร่างกายบึกบืนกล้ามเนื้อเป็นมัดๆได้สัดส่วนของชายนักรบยิ่งนัก
พลันยืนขึ้นพนมมือมาทางชายหนุ่ม ที่ด้านหลังของเจ้าสดายุมีอาวุธ
แปลกประหลาด กำไลแขนเป็นลวดลายสีทอง ส่วนกำไลข้อมือนั้น
กลับเป็นวงกลมคล้ายกงจักรสีขาว แต่ที่แปลกคือเท้าจะมองเป็นเท้า
ของมนุษย์ก็ใช่จะเป็นเท้าคล้ายนกอินทรีย์ก็ไม่เชิงสลับสับเปลี่ยนไป
เรื่อยๆ สร้างความงุนงงแก่พวกทั้งหมด มันพลางเอ่ยปากขึ้นว่า
“นายท่านอันตะขาบยักษ์นี้มันเกิดจากแร่ธาตุต่างๆที่รวมกันขึ้นจึง
มีอานุภาพผิดกับพวกตะขาบทั่วๆไป ประกอบด้วยเลือดเนื้อเชื้อสาย
ของตะขาบทั่วๆไป ร่างจึงใหญ่โตมโหฬารนัก
หากจะคิดทำลายมันด้วยอาวุธธรรมดาเห็นจะยาก เพราะหากทำลาย
ส่วนหนึ่งส่วนใด ส่วนที่ขาดไปจะกลับกลายงอกขึ้นมาได้ใหม่แล้วกลายเป็น
อีกตัวหนึ่งนะนาย นอกเสียจากอาวุธที่มีอิทธิฤทธิ์เปี่ยมไป
ด้วยอานุภาพมากนั่นแหละถึงจะทำลายมันได้
หากข้าจะเรียกเหล่าบริวารมาช่วยนั้นก็หาได้เกิดประโยชน์แต่ใด
ไม่ คนทั้งหมดเหล่านี้มิอาจจะต่อมันกับมันได้เห็นว่ามีแต่ข้ากับนายเท่านั้นที่
จะปราบมันได้ เพราะนายและข้ามีพลังงานแห่งจักวาลที่พึ่งได้รับมาเมื่อกี้นี้เท่านั้น อาวุธของนายก็ต้องบรรจุและเสริมด้วย
พลังงานไว้แล้วส่งออกไปทำลายมัน บรรจุไฟฟ้าพลังงานนี้จะ
สามารถกำจัดมันได้ แม้ว่ามันจะถูกทำลายขาดกันก็ไม่อาจจะงอก
สร้างขึ้นมาใหม่ได้ มีทางเดียวคือให้นายพยายามตัดขามันให้หมด
แล้วมันก็จะบินหนีไป แต่มันคงมีสองตัวมากกว่า เพราะมันต้องมี
คู่ของมันมาช่วยหากมันร้อง เมื่อมันบินขึ้นให้นายตัดปิกมันข้าง
ใดข้างหนึ่งเสีย มันก็จะหนีไปไม่รอดตกลงมาแล้วค่อยกำจัดมันที
หลัง ส่วนพวกชาวบ้านทั้งหมดให้แอบอยู่ในถ้ำไม่ให้ออกมาข้า
จะใช้จักรคอยระวังทางปากถ้ำให้แก่พวกเขาเอง ส่วนอีกตัวหนึ่งนั้น
ข้าจะจัดการมันเองนะนาย หากไม่ไหวจริงๆข้าจะเรียกภรรยาข้า
มาช่วยอีกแรงหนึ่ง เพราะภรรยาข้าเก่งกาจกว่าข้าเสียอีกนาย”
“มันร้ายกาจถึงขนาดนั้นเชียวหรือสดายุ สิ่งที่ข้าคิดและวางแผน
ไว้ก็คงจะใช้ไม่ได้และอาจจะเสียกำลังคนไปอีกด้วย เห็นทีจะต้อง
ใช้แผนของเจ้าเสียแล้วล่ะ”
กล่าวแล้วก็หันไปบอกพวกสินธุ กุลา ภาคี คียะและเหล่าชาวบ้าน
ที่รายล้อมฟังการสนทนาของทั้งสองอยู่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงหันไปพูด
กลับบรรดาบริวารและชาวบ้านต่างๆ
“พวกเจ้าก็ได้ยินสดายุกล่าวแล้วมิใช่หรือ ฉะนั้นคืนนี้ให้เจ้าและพวกหลบในถ้ำอย่าได้ออกมาโดยเด็ดขาด ส่วนแสงไฟก็ให้ดับเสีย
ให้สนิทนะ จะเหลือไว้ก็ได้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น อ้อคืนนี้เป็นคืนข้างแรมบริเวณนี้คงจะมือสนิทแต่เรื่องนี้ไม่เป็นไร
ข้าจะจัดการให้เองนะ”
“อ้าวเมื่อไม่มีแสงไฟแล้วนายจะจัดการให้มีแสงสว่างได้อย่างไร
ล่ะนาย บอกแก่พวกข้าได้ไหมนาย????....”
“เห็นทีข้าต้องอาศัยดวงแก้วจันทราอีกครั้งหนึ่งแล้ว หากเป็นดวง
แก้วสุริยันต์มันจะเกิดความร้อนมากเกินไปนะสินธุ พวกชาวบ้าน
จะทนแสงสุริยันต์ไม่ได้”
“จ้านายแล้วข้าจะทำตาม มิให้มีแสงไฟเกิดขึ้นในถ้ำเป็นอันขาด”
พลางกุลาหันหน้าไปมอง เจ้าภาคี คียะ ก็หัวร่อลั่น แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“เห็นเจ้าสดายุหล่อรูปงามเสียล่ะ ถึงได้จ้องเอาจ้องเอานะ
ฮ่าๆๆๆ หรือว่าเป็นคนในดวงใจเจ้าอีกแล้วกระมัง???”
“โอ้วๆๆๆ!!!!!....นายสินธุดูซิพี่กุลามาแหย่ข้าอีกแล้วล่ะ อย่ามาล้อพวกข้านะ เพราะข้าสงสัยเท่านั้นเองว่า หากสดายุมาเล่นกับข้าหากเป็นนกที่สวยสดงดงามล่ะก็จะไม่กังวลใดๆเลย
ข้าก็ไม่คิดอะไรมากนักหรอก แต่นี่เขาแปลงกายเป็นหนุ่มรูปงาม
ได้แล้วพวกข้าจะกล้าไปเล่นกับเขาหรือ”
“นั่นซิๆข้าคงจะไม่กล้าเล่นกับสดายุอีกแล้วล่ะ”
คนทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมๆกัน พลางหันหน้าไปทางชายหนุ่มนิรุทธิ์
ทันทีพลางแย้มยิ้มชะม้อยตาหวานใส่ แล้วเอ่ยว่า
“นายก็ไม่บอกก่อนว่าสดายุเขานั้นแปลงร่างเป็นคนได้ น่าตีจริงๆ”
“ก็เข้าบอกเจ้าแล้วนี่นา แต่ช่างเถอะนะ เดี๋ยวข้าพูดคุยกับสดายุ
ก่อนก็แล้วกัน”
พลางหันไปทางสดายุแล้วเอ่ยขึ้น
“เมื่อเจ้าคืนร่างเป็นมนุษย์แล้วก็อย่ากลับไปเป็นปักษินอย่างเดิมเลยนะ ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถพูดภาษามนุษย์และภาษาอื่นๆได้อีกมากมาย
ก็ควรจะพูดภาษามนุษย์กับพวกเขาก็แล้วกัน”
“ได้นายแม้ว่าข้าจะพูดได้หลายภาษาต่างๆก็จริง มีแต่นายเท่านั้นที่
รู้เพราะนายอ่านใจข้าออก ขอบใจนายที่ช่วยข้าปิดบังเรื่องนี้มานาน”
“ไม่เป็นไรหรอกสดายุ เรารู้ถึงความจำเป็นแต่เจ้าจะอยู่ในสภาพคน
ต่อไปก็แล้วกันนะ จนกว่าจะมีศัตรูหรือข้าต้องออกเดินทางเพื่อค้นหา
สิ่งของบางอย่างเจ้าถึงจะคืนร่างเป็นจ้าวปักษาต่อไปก็แล้วกัน”
“ตามใจนายเถอะ เมื่อนายกล่าวเช่นนี้ข้าเป็นบ่าวจะกล้าขัดใจนาย
ได้อย่างไรกัน อีกประการหนึ่งที่ข้าจะบอกคือว่า ในกล่องที่บรรจุ
กริชนั้นใต้กล่องมีตำราเล่มหนึ่งซุกอยู่ใต้หีบให้นายเอามาศึกษาด้วย
เพราะว่าเห็นมีแต่นายเท่านั้นที่มีวาสนาต่อสิ่งของเหล่านี้เพื่อเพิ่ม
เติมวิทยายุทธ์และอาคมให้แกร่งกล้าเหนือสิ่งอื่นใดอีกด้วย เพราะ
ก่อนที่ข้าจะมาอยู่ข้าก็รู้อานุภาพของคัมภีร์เล่มนี้และอาวุธอยู่ก่อน
แล้ว และได้รับคำสั่งนายเหนือหัวให้มาคอยช่วยเหลือนายอีกทาง
หนึ่ง เพื่อคุ้มครองปกป้องนาย”
“ยังมีคำภีร์ซุกซ่อนอยู่อีกหรือเมื่อเปิดกล่องข้าก็ไม่ได้สังเกตุหาก
เจ้าไม่บอกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน อ้อๆแล้วนายเหนือหัวเจ้าคือใครกัน
ล่ะคงจะมีฤทธานุภาพมากมายนะถึงได้สามารถใช้เจ้าได้นะ”
“มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจะกล่าวจริงๆนาย เป็นอันว่านายรู้ว่ามีผู้
เดียวเท่านั้นที่สามารถจะใช้ข้าได้และเป็นจ้าวแห่งมหาสมุทรแต่ได้
แบ่งร่างมาเกิดใหม่ นายรู้ไว้เพียงเท่านี้พอ”
หนุ่มนิรุทธิ์เพ่งหน้าเจ้าสดายุแล้วอาศัยพลังจิตค้นหาความจริงใน
จิตใจมัน จึงค่อยๆรู้ความจริงว่าเขาคนนั้นคือใครและมาบังเกิดขึ้น
อีกวาระหนึ่ง ก็หัวร่อแล้วกล่าวว่า
“ข้ารู้แล้วล่ะเจ้าสดายุว่าเขาคนนั้นคือใคร เรารู้กันแค่สองคนเท่านั้น
ก็พอนะ ไม่ต้องให้ใครรู้เพราะเรื่องมันจะยาวมากๆ”
เจ้าสดายุยกมือขึ้นพนมมือไหว้พลางเอ่ยขึ้นว่า
“นายคงอ่านจิตใจข้าออกแล้วว่าคือใคร แม้แต่วิมานและบริวารข้า
เองก็ยังไม่รู้ แม่นางเจ้ามณฑิกามเหสีข้าเองก็ยังไม่รู้ ป่านฉะนี้คงวุ่น
วายเป็นแน่แท้เพราะข้าจากมานานแล้วล่ะนาย”
“อ้อภรรยาเจ้าชื่อ “มณฑิกา” หรือ????”
“ใช่แล้วนาย นางมีอิทธิฤทธิ์มากมาย ฮ่าๆเหนือกว่าข้าเสียอีกนะแต่
ว่านางเป็นคนเงียบขรึมขี้หึงมากๆเสียด้วยซิ”
“ก็ใช่ซิเจ้ารูปงามแม้จะเป็นมนุษย์หรือเป็นปักษินเจ้าก็งดงามมาก
จะไม่ให้เขาหึงหวงได้อย่างไรกันเล่า ฮ่าๆๆๆๆ”
“ถึงแม้ว่าข้าจะรูปงามสักเพียงใด แต่ก็หาได้ครึ่งหนึ่งของนายไม่
หากนายไม่มาเสียก่อนนะนาย”
การสนทนาของทั้งสองทำเอาเจ้าสินธุ กุลา ภาคี คียะและเหล่า
ชาวบ้านทั้งหลายงุนงงไปตามๆกันเพราะจับใจความไม่ได้เลยว่า
การกล่าวของทั้งสองมันจับต้นชนปลายไม่ถูก
ดังนั้นเมื่อแสงอาทิตย์คล้ายต่ำลงหลบไปยังยอดเขาแสงที่สว่าง
ก็เริ่มสลัวๆ สินธุจึงเอ่ยขึ้นว่า
“นายเราอย่าพึงสนทนาอะไรนี่ก็จวนจะค่ำแล้ว เราทั้งหมดไป
ปรึกษากันในถ้ำจะไม่ดีกว่าหรือนาย”
“อือๆจริงเสียด้วยซินะ อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้วไปเถอะ
เจ้าบอกพวกเราให้ไปในถ้ำกันทั้งหมดได้แล้ว และอีกอย่างหนึ่ง
นี่ก็จวนจะได้เวลาเจ้าตะขาบยักษ์จะออกหากิน และยิ่งได้กลิ่นพวก
เราด้วยมันคงจะเริ่มออกเดินทางมาแล้วล่ะ เพื่อความปลอดภัยพวก
เจ้าไปก่อน เดี๋ยวข้ากับสดายุจะตามไปภายหลังนะ”
ว่าแล้วทั้งหมดก็ค่อยทะยอยกันเข้าไปในถ้ำ พวกผู้หญิงในถ้ำก็รีบ
จัดหาอาหารและน้ำมาคอยต้อนรับทุกๆคน ส่วนชายหนุ่มและสดายุ
ก็ค่อยๆเดินคุยกันตามหลังพวกนั้นเข้าถ้ำไป เมื่อไปถึงบริเวณลาน
กว้างใหญ่ในถ้ำที่งามระยับด้วยหินย้อยทอแสงระยิบระยับเมื่อยาม
กระทบแสงแห่งโคมฟ้าไฟที่จุดสว่างไสว ชายหนุ่มดึงแขนเจ้าสดายุ
ให้มานั่งใกล้ๆยังโต๊ะอาหารซึ่งรายเรียงไปด้วยบรรดาหัวหน้าที่
เขาได้คัดเลือกและแต่งตั้ง ต่างคนต่างรอคอยให้ชายหนุ่มเริ่มต้น
ก่อน ดังนั้นเพื่อมิให้พวกเขาต้องรอนานเพราะรู้ว่าพวกนี้ทำงาน
มาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก แล้วจึงรีบรับประทานอาหารทันทีเว้น
แต่เจ้าสดายุเท่านั้นที่นั่งมองดูการกินอาหารของบรรดาคนทั้งหลาย
แต่ตัวเองไม่ได้แตะต้องแต่ประการใด อันที่จริงนอกจากการกินพลัง
งานแล้วก็ยังสามารถกินอาหารอื่นๆได้แต่ไม่ใช่ของเหล่านี้ ต้องเป็น
ของที่ถิ่นที่เขาอยู่เท่านั้นจึงสามารถกินได้ จึงได้แต่นั่งมองดู
ครั้นทุกๆคนกินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็บอกให้ทุกๆ
คนต่างไปพักผ่อนกันได้ แล้วหันไปทางภาคี สั่งให้ไปนำย่ามของเขา
ที่แขวนไว้ในห้องส่วนตัว แล้วหันไปทางคียะให้จัดหาห้องให้สดายุ
ได้พักผ่อนอีกทางหนึ่งด้วย
“นายเรื่องพักผ่อนนี้ไม่ต้องห่วงข้าหรอกข้าจะกลับคืนร่างไป
พักผ่อนในย่ามนายก็ได้นะ”
“ไม่ได้หรอกเจ้าสดายุ ไหนเราตกลงกันแล้วว่าเจ้าจะไม่คืนร่าง
จนกว่าจะจำเป็นเท่านั้นเอง เจ้าลืมแล้วหรือ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจนายเถอะ ข้าขอปฏิบัติตามคำสั่งทุกประการ”
พลางลุกขึ้นเดินตามคียะหายลับไปภายในหลีบถ้ำที่มีห้องมากมาย
ภายในหลีบถ้ำต่างๆ เพราะนี่เป็นภูเขาใหญ่ที่สุดในบรรดาเขาทั้ง
หลายที่มีในบริเวณแถบนี้ ชายหนุ่มนั่งอยู่บนโต๊ะ แต่ยังมีสินธุและ
เจ้ากุลาคอยนั่งเป็นเพื่อนอยู่ ด้านหลังชายหนุ่มมีชายรูปร่างกำยำล่ำ
สันคอยถือหอกระวังไว้ แต่ชายหนุ่มได้เอ่ยว่า
“สินธุ กุลา และเจ้าทั้งสองไปพักผ่อนได้แล้วข้าจะอยู่คิดคนเดียว
แล้วค่อยจะไปพักผ่อน แต่สงสัยจะไม่ได้พักผ่อนเสียแล้วจนกว่าจะ
กำจัดเจ้าสัตว์ร้ายเสียก่อนถึงจะพักผ่อน และจะอยู่ศึกษาคำภีร์อีกทาง
หนึ่งด้วย ตามที่เจ้าสดายุบอกไว้และหาวิธีนำเอาคำภีร์ออกมาศึกษา
ให้ได้ไม่รู้ว่าจะเปิดหาได้อย่างไรกัน”
ครั้นทั้งหมดได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นค้อมคำนับชายหนุ่มแล้วเดินออก
ไปทันที ส่วนชายหนุ่มก็รอภาคีเพื่อจะเอากล่องที่บรรจุไว้ในย่ามที่
เขาแขวนไว้ สักพักภาคีก็นำย่ามมายื่นส่งให้ ชายหนุ่มก็กล่าวว่า
“ขอบใจมากนะภาคี เธอไปพักผ่อนได้แล้วล่ะขอเวลาค้นหาและ
ศึกษาคำภีร์ก่อนนะ”
“จ๊ะนาย ไม่ให้ข้าคอยเป็นเพื่อนนายหรือ เผื่อว่าจะได้มีอะไรรับใช้
นายนะ ในเรื่องอาหารการกินน้ำอีกด้วย”
“ไม่ต้องหรอกภาคีขอบใจมากนะ ไปเถอะเพราะว่าเราจะต้องคิด
หาทางกำจัดสัตว์ร้าย และหากค้นพบก็จะศึกษาคำภีร์ไปด้วย อยู่คน
เดียวจะได้มีสมาธิจ้า”
“จ้านายหากนายต้องการอะไรเรียกข้าได้ทุกเวลานะ ข้าพร้อมเสมอ
ที่จะรับใช้นายไม่ว่าทุกกรณีย์จ้านาย”
ชายหนุ่มหันเงยหน้าขึ้นมองเห็นใบหน้าที่สวยสดงดงามของหญิง
สาวแล้วก็ให้รำพึงว่า นางทั้งสองนี้พลางรำพึงในใจว่าหญิงทั้งสอง
นี้ใช่ว่าจะมีใบหน้ารูปร่างงดงามแล้วยังเก่งกาจมีฝีมืออีกด้วย สงสัย
นางทั้งสองจะมีใจแก่เราเสียแล้วกระมัง แล้วก็แย้มยิ้ม การยิ้มของ
ชายหนุ่มยิ่งทำให้หญิงสวยเกิดความเขินยิ่งขึ้น ใบหน้าแดงระเรื่อๆ
สีชมพูอ่อนๆ หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มที่รูปหล่อคมคายแก้มมี
รอยบุ่มน้อยๆ ยิ่งสร้างสิ่งประทับใจแก่หล่อนยิ่งนักจะไปก็ใช่ที่พลาง
เอ่ยขึ้นแก่ชายหนุ่มว่า
“ให้ข้าอยู่คอยปรนนิบัตินายมิได้หรือนาย ข้าไม่อยากไปเลยนะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าล่ะ แต่อย่าส่งเสียงดังนะ”
“จ้าขอบใจนายมากเดี๋ยวข้ามานะไปหาอาหารขบเคี้ยวน้ำมาให้
นายก่อน เพื่อจะได้ค้นหาและศึกษาไปพร้อมๆกันนะ”
“อืมๆๆตามสบายเถอะนะ ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้จ้า”
หญิงสาวก่อนไปหันมายิ้มอย่างชื่นบานแล้วรีบเดินจากไปทันที
ครั้นหญิงสาวไปแล้ว เขาก็ล้วงในย่ามหยิบกล่องลวดลายสวยงาม
ออกมาเปิดทันที หากไม่ใช่เขาแล้วคนอื่นยากจะเปิดได้เพราะมัน
สร้างเป็นกลไกพิเศษไว้เฉพาะบุคคลเท่านั้น ชายหนุ่มจ้องมองภาย
ในแต่ก็ไม่เห็นผิดปกติใดๆ จึงเอื้อมมือไปกดยังพื้นก็เป็นธรรมดา
ทันใดสายตาก็แลเห็นปุ่มเล็กๆซ่อนอยู่ใต้พรมนูนผิดปกติ ก็เลย
ทดลองกดดูทันใดนั้น เสียงดังคลิ๊กเบาๆพื้นกล่องก็พลิกไปยังด้าน
ข้างทันที เขามองเห็นตำราเล่มเล็กๆวางอยู่จึงหยิบขึ้นมา เมื่อตำรา
ถูกนำออกเสียงดังคลิ๊กก็ดังขึ้นผนังก็พลิกกลับสู่สภาพเดิมทันที
ชายหนุ่มนำมาเปิดภายในเห็นเป็นตัวหนังสือตัวเล็กๆเขียนไว้
จึงรวบรวมสมาธิพร้อมพลังงานผ่านนัยน์ตาก็สามารถอ่านได้เป็น
ตำราบันทึกวิชาอาคมต่างๆพร้อมมีภาพประกอบ
เมื่อเห็นเช่นนั้นชายหนุ่มก็เปิดอ่านทุกๆหน้า ด้วยเขามีบุคคลิกที่มี
ความจำแม่นยำพิเศษ เพียงอ่านครั้งเดียวก็สามารถจำข้อความนั้นๆ
ได้อย่างมิรู้ลืม จึงเริ่มศึกษาอย่างช้าๆ คร่ำเคร่งตัดอารมณ์ภายนอก
ออกจนหมดมุ่งกระแสจิตไปที่หนังสือนั้น
เพียงไม่ช้าเขาก็สามารถทำได้ในเวลาอันรวดเร็วแม้แต่เกร็ดเล็กๆ
น้อยๆ ที่บันทึกเพิ่มเติมและเริ่มลงมือทดลองปฏิบัติตาม
จนกระทั่งภาคีนำอาหารมาให้เมื่อไหร่เขาก็มิรู้สึกตัวแต่ประการใด
หลังจากศึกษาจนหมดสิ้นแล้ว เขาก็เริ่มเดินพลังงานแห่งจักรวาล
ผ่านท่าทางภาพวาดต่างๆ บัดดลเกิดเสียงดังครืนครั่นสายฟ้าแลบ
แปลบปลาบภายในถ้ำสั่นสะเทือนไปทั่วสร้างความตกใจแก่คนที่
กำลังพักผ่อน ต่างวิ่งกันกรูออกมาดู แต่พลังงานชนิดหนึ่งได้กั้นร่าง
คนเหล่านั้นไว้มิอาจจะเขามาใกล้ๆได้ หญิงสาวภาคีเสื้อผ้าปลิวว่อน
ผมเผ้าฟูกระจายเป็นฝอยๆไป ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งร่างจนชายหนุ่ม
หลังจากฝึกแล้วต้องรีบเข้าไปประคองร่างพร้อมเดินพลังเข้าไปใน
ร่างของภาคี จึงทำให้หล่อนฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมร้อง
ลั่นก้องกังวาน การร้องของภาคีครั้งนี้ทำให้เศษหินต่างๆล่วงพรูลงมา
อย่างมากมาย ร่างของภาคีกลับลอยขึ้นไปในอากาศแล้วก็ค่อยๆล่วง
ลงมาสู่ยังเก้าอี้หินอีกครั้งหนึ่ง เมื่อรู้ตัวว่าอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม
หญิงสาวรีบเอนร่างหลับตาพริ้มไปบนทรวงอกชายหนุ่มทันที
กลิ่นกายชายหนุ่มทำให้จิตใจของภาคีว้าวุ่นหนักยิ่งขึ้นเธอจึง
สวมกอดร่างชายหนุ่มไว้แน่น จนได้ยินเสียงร้องของพรรคพวกนั่น
แหละเธอจึงรีบคลายอ้อมกอดออกแล้ว ถอยออกมาด้วยใบหน้า
แดงกร่ำ คียะเห็นดังนั้นก็ทราบความนัยเพื่อนสาวพลางหัวร่อแล้ว
เอ่ยว่า
“เป็นไงภาคีอบอุ่นไหม เจ้ากอดนายไว้เสียแน่นเชียวนะ ฮ่าๆๆๆ”
“ข้าตกใจนี่นาคียะไม่เจอเจ้าไม่รู้หรอกว่าน่ากลัวขนาดไหนเสียง
ฟ้าและลมฟุ้งไปหมดร่างข้าเหมือนมีกระแสไฟฟ้าจำนวนมากวิ่งเข้า
มายังร่างทำให้ข้าสติเลอะเลือนไป หากเป็นเจ้าก็คงจะเหมือนกันแหละอย่าได้มาหัวร่อเยาะข้าเลย”
“ข้าก็อยากจะเหมือนเจ้านั่นแหละแต่ไม่มีวาสนานะภาคี ฮ่าๆๆๆ”
“พอเถอะๆ พวกเราฟังนั่นเสียงอะไรนอกถ้ำนะ พวกเจ้าได้ยิน
หรือเปล่า”
ทุกๆคนหันไปมองหน้าถ้ำ แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะมีหนวดขนาด
เส้นเชือกใหญ่สองเส้นสีน้ำตาลคล้ำ ส่ายไปส่ายมาในถ้ำ ทำให้ทุกๆ
คนตกตลึงลืมเรื่องเมื่อกี้นี้เสียสนิท ต่างร้องกันลั่นเซ็งแซ่ไปหมด
“ตะขาบยักษ์ๆๆๆๆ!!!!!?????.........”
* แก้วประเสริฐ. *
25 ธันวาคม 2555 19:10 น.
แก้วประเสริฐ
* แดนพิศวง ๒๒ *
(สดายุปักษาสวรรค์)
อากาศในเช้ารายล้อมไปด้วยหมอกแผ่กระจายครอบคลุมบริเวณ
หน้าถ้ำ พลิ้วไปมาตามสายลมที่ค่อนข้างจะรุนแรง แสงอาทิตย์ได้
ทอแสงเหนือยอดเขาแต่แสงที่เจิดจ้านั้นมิอาจจะฝ่าคลื่นหมอกเหล่า
นี้ได้ทำให้ บริเวณจึงดูสลืมสลัวประกอบด้วยอากาศที่เยือกเย็นด้วย
ในท่ามกลางขุนเขาน้อยใหญ่ที่เรียงรายล้อมรอบบริเวณที่เหล่า
ชาวบ้านได้อาศัยในถ้ำอยู่ แต่อากาศนั้นหาได้ทำให้บรรดาหนุ่มๆของ
ชาวบ้านได้ท้อแท้ประการใดไม่ ต่างพากันแยกไปตัดต้นไม่ที่นำมา
ใช้เป็นลูกธนู หอก ต่างช่วยกันอย่างขมักเม่น ไม่ช้านักที่หน้าลาน
กว้างต่างแบ่งงานกันทำอย่างรีบเร่ง บ้างทำลูกธนูขนาดยักษ์ด้วย
ต้นไม้ทั้งต้นมารอนกิ่งก้านหาต้นที่ลำต้นตรง ช่วยกันเหลาบรรดา
เปลือกไม้ออกทำให้ปลายแหลมคม
พร้อมใส่ท่อนเหล็กที่อีกพวกที่ทำ เสียงตีเหล็กและเสียงฟู่ๆของ
ไฟที่ใช้ในการเผาเหล็กหล่อต่างช่วยกันทำได้ไม่ยากนักเพราะคน
เหล่านี้เป็นพวกพรานป่ามาแล้วย่อมรู้เรื่องการทำอาวุธได้เป็น
อย่างดี ไม่ช้าเวลาก็เริ่มร้อนแสงแดดส่องแผ่กระจายไปยังบริเวณ
นั้น ก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมคันธนูที่เชือกนั้นใช้เถาวัลย์ที่ผ่านการ
ทดลองและความเหนียวแน่นมาทำคันธนู ต่างนำท่อนไม้มาฝัง
ยังพื้นดินแม้จะเต็มไปด้วยก้อนหินเพื่อใช้เป็นหลักในการยืดคัน
ธนูยักษ์ พร้อมกับชายหนุ่มบอกให้ทำการทดลองยิงเสียงลูกธนู
ดังหวิวๆพุ่งออกไปยังต้นไม้ใหญ่ ทำให้ต้นไม้นั้นถึงกับหักโค่น
ลงจนเป็นที่พอใจ ชายหนุ่มให้นำคันธนูที่สร้างได้สามคันไว้
ติดตั้งไว้ที่บริเวณหน้าปากถ้ำ และมุมต่างๆที่เห็นว่าเหมาะสม
ทางด้านกุลาก็คุมพลทำหอกได้เป็นจำนวนมาก อาศัยที่กุลา
มีรูปร่างใหญ่โตปานยักษ์ปักหลั่นดังนั้นงานด้านนี้จึงไม่ยาก
เย็นเท่าใดนัก จวบจนเวลาเลยเที่ยงงานทุกอย่างก็เรียบร้อยและ
ต่างคนก็ทานอาหารซึ่งมีหญิงสาว ชราและเด็กมาค่อยให้บริการ
อาหารและน้ำ เสียงคุยกันดังไปทั่วบริเวณด้วยความร่าเริงสนุก
สนานครื้นเครงนัก บ้างบางคนก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ
นาๆว่าหากอาวุธเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายแก่เจ้าสัตว์ร้ายได้
จะทำอย่างไรดี
ชายหนุ่มได้เรียกบรรดาชายที่ได้แบ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มๆมาปรึกษา
และได้วางแผนต่างๆให้ฟังอย่างละเอียด ต้องให้ได้ระยะหวังผล
จริงๆจึงจะใช้อาวุธเหล่านี้ พร้อมทั้งเรียกคนทั้งหมดออกไปเดิน
สำรวจพื้นที่ในการจัดวางกำลังพล พร้อมสั่งไว้ว่าหากอาวุธนี้ไม่
ได้ผลให้ นำคนทั้งหมดรีบหนีเข้าไปยังถ้ำพร้อมทั้งก่อกองไฟไว้
หน้าถ้ำ พร้อมสั่งให้ไปน้ำเชื้อเพลิงและบรรดากิ่งไม้แห้งมาเตรียม
ไว้ก่อนเพื่อป้องกันเหตุการณ์ร้าย ทุกๆคนก็พยักหน้ารับทราบ
ชายหนุ่มยังสั่งไปอีกว่าให้ท่านผู้เฒ่าคอยควบคุมบรรดาหญิงและ
เด็กไปยังน้ำตกในถ้ำเพราะในที่นั้นมีหลีบหินมากมาย สัตว์ประเภท
นี้จะกลัวน้ำและไฟ แต่ทางเราจะหยุดมันได้หรือเปล่าเท่านั้น
พลางหันไปถามท่านผู้เฒ่าที่เหลือเพียงคนเดียวและเห็นเหตุการณ์
ทั้งหมดว่า
“ท่านผู้เฒ่าท่านว่าขนาดมันเท่าภูเขาย่อมๆหรือและมันมีกันสัก
เท่าไรล่ะ???”
“ตามที่ข้าเห็นนะนาย มันมาแค่ตัวเดียวแต่จะมีอีกหรือไม่ก็ไม่รู้
ขนาดตัวเดียวมันยังทำลายพวกเรา และมันรู้สึกว่าจะมาอย่างคล่อง
แคล่วรวดเร็วอีกด้วย อ้อๆๆข้าเห็นข้างลำตัวมันมีคล้ายปีกบางๆ
เหมือนปีกของแมลงปอแนบทั้งสองข้าง คิดว่ามันอาจจะบินได้อีก
ด้วยจ๊ะนาย เฉพาะขามันก็ใหญ่เท่ากับต้นไม้ขนาดย่อมๆนาย”
“หาๆผู้เฒ่ามันมีปีกเหมือนแมลงหรือ????....อย่างนั้นมันก็บินได้ซิ
แล้วอาวุธเราที่วางไว้จะได้ผลได้อย่างไร หากมันบินเข้ามานะผู้เฒ่า”
“แต่ตัวมันใหญ่ตามที่ผู้เฒ่าบอกนะนาย” กุลาเสริมขึ้น
“จริงๆซินาย สัณชาติญานสัตว์ประเภทนี้ชอบเลื้อยคลานมาก
กว่าจะบินนะ” ภาคีและคียะออกความเป็นบ้าง
“หากมันบินได้อาวุธที่เราทำอยู่ก็จะไร้ผลซินาย แล้วจะวิธีการ
แก้ไขได้อย่างไรกันดีล่ะนาย???” สินธุเอ่ยขึ้นบ้าง
“หรือว่าจะต้องให้เจ้าสดายุออกมาช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง ก็จะดีนะ
นาย มิฉนั้นเราก็คงหมดปัญญากำจัดมัน ถึงแม้ว่านายจะสามารถ
เหาะเหินเดินอากาศได้ไหนเลยจะไปต่อสู้มันได้แม้นายจะมีอาวุธ
และพลังงานในตัวของนายก็เถอะ ข้าสังหรณ์ว่ามันเป็นสัตว์ไม่
ธรรมดาเหมือนรูปร่างมันที่ท่านผู้เฒ่ากล่าวเสียแล้วละนาย”
สินธุแสดงความคิดเห็นให้ชายหนุ่มทราบ
“นั่นซิสินธุ เราก็คิดเหมือนท่านนั่นแหละตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าเห็น
ทีจะต้องให้เจ้าสดายุมาช่วย หากมันเกิดพิสดารอะไรมากกว่าที่เรา
คาดไว้สดายุตัวเดียวจะช่วยอะไรเราได้หรือ หากมันมีหลายๆตัว
ส่วนข้าเองก็จะพยายามเข้าไปตัดขามัน ให้พวกเจ้าคอยเสริมยิงธนู
และหอกสะกัดมันไว้ แต่คิดว่าคงทำอะไรมันไม่ได้แน่ๆข้าคิดแต่
อย่าพึ่งท้อแท้ใจ พยายามรักษาชีวิตพวกเราไว้ หากเสร็จศึกงานนี้
ข้าจะสอนและมอบพลังงานแก่พวกเจ้าทุกๆคนให้สามารถเหาะเหิน
ไปบนอากาศได้ ฉะนั้นผู้ใดรอดก็ย่อมได้รับพลังงานจากข้า แต่ก็
อย่าได้ประมาท ให้ช่วยกันให้เต็มที
เมื่อชายทั้งหมดที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีแล้วทราบว่านายมัน
จะมอบพลังงานแห่งจักรวาลให้แก่มันก็บังเกิดความยินดีห้าวหาญ
ขึ้น ต่างตระโกนโห่ร้องด้วยความยินดี เสียงดังกังวานไปทั่วหุบเขา
“ข้าเองก็นึกสงสัยในดินแดนแห่งนี้ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วล่ะแต่ไม่ได้
พูดจะถามสินธุก็ไม่รู้จะถามอย่างไรดี อีกอย่างเรามาด้วยเจ้าสดายุ
นำพาพวกเรามา และนึกไม่ถึงว่าดินแดนแห่งนี้จะมีพวกเจ้าอยู่ด้วย”
“อันที่จริงบรรพบุรุษเราก็ไม่ได้บอกว่าเป็นใครมาจากไหนนะนาย
เพียงแต่ข้าเองเกิดมาก็สงสัยเหมือนกันเพราะ ดินแดนแห่งนี้มันดู
อะไรก็แปลกเหลือเกิน แต่มันไม่เหมือนปัจจุบันนี้ด้วยข้าออกไป
เสาะหาคนๆหนึ่งตามบรรพชนสั่งเอาไว้พร้อมมอบสิ่งของให้มา
คอยคนผู้หนึ่ง หากคนๆนั้นสามารถเปิดหีบได้และเจ้าสดายุยอม
รับเป็นนาย ก็จะเป็นคนๆนั้น ข้าคอยนายมานานนับเป็นสิบปีคิด
ว่าจะสิ้นหวังเสียแล้ว นายคิดดูซิตั้งแต่ข้าอายุได้สิบห้าปีมาจนบัดนี้
หากสิ้นหวังก็ต้องย้อนกลับไปมอบให้คนอื่นมารับหน้าที่ต่อไปจ๊ะ
นาย ด้วยคนที่จะเหมาะสมและสามารถฝึกอาวุธวิชาต่างๆได้สำเร็จด้วย ตลอดจนเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์เป็นหลักใหญ่นะนาย”
สินธุเล่าความหลังให้ชายหนุ่มนิรุทธิ์ทราบ เขาเองก็คิดว่าแปลก
จริงๆทำไมให้เขาต้องเดินทางมาทางประเทศนี้ ตอนแรกเขาคิดว่า
จะไปทางเทือกเขาทางพม่าตอนเหนืออันเป็นดินแดนชาวกระเหรี่ยง
แต่เขาก็กลับเปลี่ยนใจไป หรือว่าลิขิตฟ้าจะดลบันดาลให้เป็นเช่นนี้
พลันจึงกล่าวขึ้นว่า
“เอาล่ะเราคอยเวลามืดๆก็แล้วกันให้เตรียมตัวให้พร้อมเพราะสัตว์
ประเภทนี้มักจะหากินตอนกลางคืน กลางวันมันจะซ่อนตัวแต่ข้า
เองก็สงสัยว่าตัวมันใหญ่ปานขุนเขาจะไปพักกันที่ไหนน๊ะ????แต่ข้า
ก็คิดไม่ออกเอาเสียเลย ฉะนั้นให้ทุกๆคนกลับถ้ำได้แล้วไปพักผ่อน
เก็บแรงไว้คอยเวลาค่ำๆก็แล้วกัน ข้าคิดว่ามันคงจะบินไปแน่นอน”
ชายหนุ่มยังคิดกล่าวต่อไปอีก ทันใดนั้นทุกๆคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อ
ท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก พายุได้พัดกระหน่ำอย่าง
รุนแรง ท้องฟ้าปั่นป่วนเมฆหมุนวนพัดลอยหายไป ท้องฟ้ากลับมี
สีสรรค์แปลกปลาดหลายๆสี หมุนเป็นวงกลมหลายๆชั้นแต่ละชั้น
มีสีสรรแตกต่างกันสลับกันไปๆมาๆ เสียงคำรามของท้องฟ้าดัง
คำรามกระหึ่ม เกิดสีแสงต่างๆตัดกันเป็นวงกลมหลายๆวงเกิด
ประกายวิชชุฟาดไปๆมาๆ เดี๋ยวท้องฟ้าสีทองบ้าง
สีแดงบ้าง น้ำเงินบ้างเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เสียงวิชชุฟาดลง
มายังต้นไม้ขาดสะบั้นยังกับถูกของมีคมลุกไหม้อย่างรุนแรง
ชายหนุ่มมองดูแล้วก็รีบเร่งให้คนทั้งหมดเข้าไปยังถ้ำให้หมด
ทุกๆคน
“สินธุ กุลา ภาคี คียะ ให้รีบนำพวกเราเข้าไปถ้ำเดี๋ยวนี้บัดนี้
ท้องฟ้าเกิดพลังงานกระแสไฟฟ้าสลับตัดกันกับพลังแห่งจักรวาล
เราจะคอยอยู่คนเดียว ไม่ต้องเป็นห่วงเรานะไปๆๆๆรีบๆไปเสีย
ก่อนจะช้าไม่ทันการณ์ไปกว่านี้”
ทุกๆคนหันมามองชายหนุ่มคียะพลางถามว่า
“แล้วนายล่ะ???ไม่ตามพวกเราเข้าไปหรือ????”
“ไม่หรอกคียะ เราจะทดลองรับพลังงานโลกและจักรวาลไว้
ยังไม่รู้ว่าจะรับได้มากน้อยเพียงใด พวกเจ้ารีบไปเจ้าดูซิหัวไหล่
ทั้งสองข้างข้ามีแสงแห่งดวงแก้วพุ่งออกมาแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน
การณ์นะ”
ทุกๆคนต่างมองไปที่หัวไหล่ของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาก็แล
เห็นแสงสองแสงสีแดง และสีเหลืองพุ่งออกจากร่างชายหนุ่ม
ขึ้นไปบนฟ้ารวมกับกระแสร์พลังงานต่างๆทันที
“พวกเจ้ารีบๆหน่อยอันตรายมากนะไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้ายัง
ไม่รู้ว่าจะรับได้มากน้อยเท่าใด ชายหนุ่มกล่าวพลางก็รีบล้วงไป
ยังย่ามดึงร่างของนกสดายุออกมาทันที”
พวกทุกๆคนต่างมองดูด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้พวกเขาจะอยู่
กับชายหนุ่มผู้หล่อเหล่านี้ก็ยังไม่เคยเห็นสดายุเลย เพียงแต่สงสัยได้
ยินชายหนุ่มกล่าวครั้งหนึ่งเท่านั้น
“พวกเจ้ารีบไปไม่ต้องห่วงข้าหรอก เดี๋ยวไม่ทันการณ์จะได้รับ
อันตรายจากกระแสร์ไฟฟ้าและแสงแห่งพลังงานที่มีอานุภาพสูง
จะทำลายพวกเจ้าหมดสิ้น”
ดังนั้นพวกชายฉกรรจ์ต่างรีบวิ่งกันเข้าไปยังถ้ำ แต่สินธุ กุลา ภาคี
และคียะก็ยังยืนแอบดูอยู่หน้าถ้ำด้วยความห่วงใยชายผู้เป็นนาย
ก็แลเห็นชายหนุ่มพลางเอื้อมมือลูบไปยังนกตัวเล็กๆที่ชื่อว่าสดายุ
พลางเอ่ยกล่าวแต่พวกเขาไม่รู้ว่า ชายหนุ่มกล่างอะไรบ้าง
ทันใดนั้นเองร่างของเจ้าสดายุก็ขยายใหญ่ขึ้นๆใหญ่ขึ้นสูงกว่าร่าง
ของชายหนุ่มเสียอีก มันหันหน้าจ้องมองไปบนฟ้าหลากสีพลางอ้า
ปากขึ้น ฉับพลันเสียงฟ้าคำรามลั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ แสงแห่ง
หลากสีต่างรวมตัวเป็นลำแสงหลากสีพุ่งเข้าสู่ร่างชายหนุ่มและปาก
ของเจ้าสดายุทันที
ร่างชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวพลางรีบอ้าแขนทั้งสองขึ้นไปเหนือหัว
พลางหลับตาพริ้มรวบรวมพลังงานต่างๆเข้าไว้ แสงหลากสีต่างแยก
กันพุ่งไปยังฝ่ามือทั้งสองหน้าอกชายหนุ่ม และสดายุแสงประหลาด
พุ่งเข้าสู่ร่างทั้งสอง เสียงดังคำรามกึกก้องประกายสายฟ้าหลากสี
สองสายสายหนึ่งพุ่งใส่ร่างชายหนุ่มแยกเป็นสามทางหล่อหลอมกับ
ดวงแก้วทั้งสอง ไปตามฝ่ามือทรวงอก หัวไหล่ที่ดวงแก้วบรรจุอยู่
อีกสายหนึ่งพุ่งใส่ร่างเจ้าสดายุแล้วแสงเหล่านั้นก็หายไปในร่างของ
คนและสัตว์ทั้งสอง ร่างของชายหนุ่มและสดายุก็ทรุดลงไปยังพื้น
แผ่นดินที่เป็นด้วยหินและดินจมหายไปครึ่งหน่องทันที
กระแสร์ไฟฟ้าหลากสีก็ยังหาได้หยุดยั้งไม่ ทั้งเสียงคำรามเสียง
แซดๆตัดกับอากาศดังอยู่ไปๆมาอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดยั้งตลอดเวลา
ชายหนุ่มและเจ้าสดายุก็พยายามรับคลื่นพลังงานอย่างที่สุด
ทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มและสดายุก็ทรุดลงไปเรื่อยๆจนถึงหน้า
อกของทั้งสอง มวลเหล่าพลังงานหลากสีที่ประกอบด้วยนิวตรอน
นิวเครียส อะตอมโมเลกุล อิลฟาเลสต่างๆพุ่งจากฟากฟ้าลงมายังร่าง
ทั้งสองเสียระเบิดดังกึกก้อง บริเวณที่ชายหนุ่มและเจ้าสดายุจมอยู่ก็
ระเบิดแหวกออกเป็นหลุมกลมๆขนาดใหญ่ มองเห็นร่างทั้งสองยืน
เด่นแต่พลังงานทั้งหลายยังคงทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ
จนกระทั้งท้องฟ้าเริ่มหมุนเวียนเป็นวงกลมหดหายไปในท้องฟ้าจน
หมดสิ้นเกิดฝุ่นละอองคลุ้งครอบคลุมร่างทั้งสอง จนบรรดาฝุ่น
ละออง ถูกสายลมที่ยังพัดกระหน่ำอยู่อย่างรุนแรงพัดหายไปแต่
กระแสรลมก็ยังคงพัดอยู่สักครู่ใหญ่จึงสงบลง เมื่อทุกอย่างสงบ
เรียบร้อยแล้ว ทุกๆคนที่แอบจ้องมองไม่อาจจะมองเห็นได้เพราะ
สายตาไม่อาจต้านทานต่อแสงต่างๆที่แผดจ้า ต้องรีบหลบเกิดแสงพุ่ง
เข้าใส่ไปยังในถ้ำทำให้ถ้ำเกิดความสว่างไสวไปทั่ว แสงคบไฟที่ถูก
จุดไว้ต่างโดนแสงเหล่านี้ดับไปหมดสิ้น คงเหลือไว้แต่แสงสว่างจาก
บรรดาสายฟ้าหลากสีที่แผ่กระจายไปทั่วภายในถ้ำนั้น ทำให้ทุกๆคน
ที่อยู่ภายในถ้ำต้องก้มหน้าลงสู่พื้นถ้ำจนหมดทุกๆคน บรรดาหินย้อย
ต่างๆก็ส่งประกายรับแสงหลากสี เกิดทัศนียภาพอันสวยสดงดงาม
เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้วทุกคนๆ ต่างก็พากันเดินออกจากถ้ำ
มาด้วยความเป็นห่วงชายหนุ่ม ไม่ทราบว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ต่างพากันร้องตะโกนเรียกชื่อเขาระงมไปทั่วบริเวณนั้น
“นายนิรุทธิ์ๆๆๆเป็นอย่างไรบ้าง???...เป็นอะไรไปหรือเปล่า???”
แต่แล้วเมื่อทุกๆคนจ้องไปยังร่างที่อยู่ในหลุมต่างตกตะลึงไปทั่ว
เพราะร่างของชายหนุ่มเปลี่ยนไป ร่างกายปรากฏแสงสลัวหลากสี
ประกายทอดออกจากร่างคลุมไปทั่วทุกๆอิริยบถแม้แต่เจ้านกสดายุ
ก็เหมือนกัน ต่างคนวิ่งไปที่ปากหลุมใหญ่พลางร้องเรียกกันระงม
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหันมายิ้มกับทุกๆคน พลันลอยตัวขึ้นจาก
ปากหลุมใหญ่ดินหินที่กองเหนือปากหลุมชายหนุ่มก็ยกมือกวาดไป
ทั่วๆ บรรดาหินและดินก็เข้ากลบหลุมใหญ่ทันทีเจ้าสดายุก็คืนร่าง
เล็กลงบินมาเกาะที่หัวไหล่ชายหนุ่ม แต่หลุมใหญ่ก็ยังเป็นแอ่งลึก
อยู่พอประมาณ
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาผู้คนที่ยืนรายล้อม พลางเอื้อมมือไปตบไหล่
สินธุ ทันใดเสียงร้องลั่นร่างสินธุกระตุกอย่างแรง แล้วร่างก็กระเด็น
แล้วทรุดลงไปกับพื้นทันที
“โอ้ยๆๆๆ!!!นายๆๆๆอย่าๆ ร่างนายมีกระแสร์ไฟฟ้ามาก
เหลือเกินทำให้ข้าจะรับไม่ได้แล้วนาย”
“ขอโทษนะสินธุ เดี๋ยวข้าเก็บพลังงานแห่งจักรวาลเสียก่อน”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็หลับตาพริ้มพร้อมทั้งแสงประหลาดที่หุ้มห่อกาย
ค่อยจางหายเข้าไปในร่างกายไปรวมอยู่ที่ยังดวงแก้วทั้งสองและ
เซลล์ต่างๆทันที แล้วค่อยลืมตาขึ้นพลางบอกว่า
“ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะสินธุ ข้าลืมไปยังไม่ได้เก็บพลังงานไว้จึงทำ
ให้เจ้าต้องเกือบตายไปนะ”
“โอ้โฮๆๆมันแรงจริงๆนายเหมือนถูกกระแสร์ไฟฟ้าแรงสูงชอร์ต
เอาแน๊ะนาย ดีนะที่ข้ามีดาบนิลสีดำไม้คอยช่วยซึมซับไปด้วย”
“ดีแล้วล่ะสินธุพลังงานดาบดำของท่านก็จะได้รับพลังงานจะมี
กระแสร์ไฟฟ้าบรรจุรวมไว้ด้วยทำให้เกิดพลังงานและอานุภาพมาก
ขึ้นกว่าเดิมนับเป็นวาสนาของเจ้าแหละ”
“โอ้ยๆแต่ข้าคงไม่อยากได้หากไม่มีดาบไม้นิลแล้วชีวิตข้าเห็นจะ
ต้องมอดไหม้ไปแน่เชียวนาย”
“เอาล่ะสินธุบอกพวกเราเข้าไปในถ้ำได้แล้ว ส่วนเจ้าสดายุตอนนี้
ได้พลังงานจากห้วงจักรวาลเต็มเปี่ยมเห็นทีงานปราบสัตว์ร้ายนี้คงจะ
ไม่ร้ายกว่าที่เราคิดเสียแล้ว”
“จริงหรือนาย??? อ้อๆๆๆสดายุที่กล่าวนี้คือนกตัวนี้เองหรือ???”
“ใช่แล้วภาคี คียะ กุลา ที่ข้าไม่บอกแต่แรกเพราะไม่อยากให้รู้
เพราะสิ่งนี้มีอานุภาพมากมายยิ่งนัก ท่านเคยได้ยินเรื่องนกมีปีกและ
มีมือไหมล่ะ บัดนี้เจ้าสดายุจะมีมือที่งอกออกมาจากการได้รับ
พลังงานเหล่านี้ไว้ครบถ้วนแล้วล่ะ”
“ไหนๆล่ะข้าไม่เห็นมือของนกสดายุเลยนี่นาย???” ทั้งหมดอุทาน
“ก็เพราะเขาเก็บไว้ใต้ขนล่ะซิ ไว้พวกเจ้าคอยดูตอนเจ้าสดายุต่อ
สู้กับตะขาบบินก็แล้วกัน เขาคงจะเอาออกมาใช้กระมัง ตอนนี้ข้า
ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว เรื่องอาวุธที่ให้ทำนั้น คิดว่าทำให้มันตายไม่ได้
เพียงแค่จะไปสะกิดมันเท่านั้น รู้ไหม???เจ้าสดายุจะแปลงร่างให้
ใหญ่กว่าเจ้าตะขาบบินได้อีกด้วย ที่จริงมันเป็นเจ้าแห่งปักษาทั้งหมด
ข้าคุยกับมัน มันบอกว่าสามารถเรียกพวกมันและเหล่าบริวารของ
นกทั้งหลายให้มาช่วยพวกเราได้อีกทางหนึ่งด้วยล่ะ ฉะนั้นเจ้าจง
ไว้ใจได้ เจ้าตะขาบบินถึงจะมีอานุภาพอย่างไรก็คงจะสู้เจ้าสดายุ
ไม่ได้แน่ ข้าเชื่อใจเช่นนั้นนะ”
ทุกๆคนหันไปมองเจ้าสดายุที่มีสีสรรสวยงามมากหลากหลายสี
ที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ เจ้าภาคีเห็นว่ามันเชื่องต่อนายนิรุทธิ์ ก็จะเอื้อม
มือไปลูบหัวมัน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจ้าสดายุมันร้องพร้อมหันมา
จิกหวังทำร้ายภาคีทันที แต่นิรุทธิ์หนุ่มต้องรีบส่งภาษาห้ามปรามไว้
พลางกล่าวว่า
“ภาคีเจ้าสดายุมันเป็นเจ้าแห่งนกทั้งหลายถือว่ามันเป็นสัตว์ที่สูงส่ง
ยิ่งใครจะไปจับตัวมันหรือจะลูบหัวมันไม่ได้หรอกยกเว้นแต่ข้า
เท่านั้นที่เจ้าสดายุมันยินยอมพร้อมใจ ไม่ว่าใครๆก็ตามไม่สามารถจะ
แตะต้องตัวมันได้แม้แต่สินธุก็ตาม หากไม่เชื่อถามสินธุดูก็แล้วกัน”
“จริงหรือนายสินธุ????” ภาคีถามด้วยความสงสัย
“จริงภาคีเพราะว่าก่อนนั้นข้าเองยังคิดว่ามันเป็นนกไม้ที่บรรพบุรุษ
เรามอบให้แก่เราเพื่อไปค้นหานายของมัน ข้าเห็นมันสวยจึงเอื้อมมือ
ไปลูบตัว แต่มันจิกข้าจนข้ามองไม่ทันมือไม้เป็นแผลเหวอะหวะไปเลยนะ ไม่ได้หรอกตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยวอีกเลย”
“ถ้าอย่างนี้คนที่จะควบคุมเจ้าสดายุได้ก็คือนายนิรุทธิ์คนเดียว
เท่านั้นนะซิ คนอื่นไม่มีทางจะเข้าใกล้ได้เลยนะ”
“ถูกแล้วภาคีไม่มีใครจะแตะต้องเจ้าสดายุได้นอกจากเราเท่านั้นเอง
เพราะเราเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว”
“อ้าวๆนายแล้วใครจะให้อาหารมันกินได้เล่า หากเข้าใกล้มันไม่ได้
นะ มันไม่อดตายหรือ หรือว่าต้องให้นายให้คนเดียวเท่านั้น”
“อ้อๆเรื่องอาหารนั้น เจ้าสดายุมันไม่กินอาหารแบบเราๆหรอกมัน
กินพลังงานเท่านั้น เหมือนกับพวกเทวดาที่กินอาหารทิพย์นั่นแหละ
จึงไม่เป็นปัญหาในเรื่องอาหารการกินหรอกภาคี”
“แล้วอย่างนี้หากพวกเราจะล้อเล่นมันไม่ได้เลยหรือ มันออกสวย
อย่างนี้นะนายนิรุทธิ์” คียะกล่าวขึ้นบ้าง
“เอาล่ะแต่แล้วแต่มันนะ เดี๋ยวข้าจะพูดกับสดายุก่อนว่าจะยินยอม
เล่นด้วยหรือไม่”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันไปส่งภาษากับสดายุ ตอนแรกมันไม่ยอมแต่
ชายหนุ่มบอกว่าตามใจ หากต้องการจะเล่นกับใครเพราะเขารักเจ้า
อยากจะเล่นด้วย
“สดายุเอ๋ยอย่างไรเขาก็เป็นพวกเดียวกับเราให้เขาจับต้องเจ้าได้
ก็แล้วกันนะ แล้วแต่เจ้าจะเลือกเอาเองก็แล้วกันข้าไม่บังคับใจเจ้า
หรอก หากเห็นว่าเขาจริงใจต่อเจ้าจริงๆ”
“ได้นาย ฉันจะเลือกคนที่จะเล่นด้วยนะ แต่ขออย่างเดียวอย่ามา
แตะต้องหัวของฉันก็แล้วกันนะนาย”
“ได้สดายุเราจะบอกพวกเขาให้แล้วเจ้าคิดว่าจะเลือกใครดีล่ะ”
“ข้าคิดว่าตอนนี้จะเล่นกับภาคี และคียะเท่านั้นดูนางโอบอ้อมอารี
ดีนะนาย ส่วนคนอื่นๆข้าขอดูใจพวกเขาก่อน”
“ได้สดายุเราจะบอกแก่พวกเขาให้นะ ขอบใจเจ้ามากนะที่อนุญาตให้เขา เพราะเขาคงรักเจ้าเช่นเดียวกับเรารักเจ้าเหมือนกัน”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันไปบอกพวกที่ยืนล้อมรอบชายหนุ่มด้วยความ
สงสัยที่ชายหนุ่มสามารถพูดภาษานกได้เป็นอย่างดี ถึงกับปากอ้าตาค้างไปตามๆกัน ไม้เว้นแม้แต่ กุลา ภาคี คียะ และคนอื่น
ยกเว้นสินธุ ที่เคยเห็นชายหนุ่มคุยกับเจ้าสดายุมาก่อน ดังนั้น
ชายหนุ่มจึงกล่าวว่า
“เราได้ตกลงกับสดายุแล้ว เขาตกลงแต่จะให้คนที่ถูกตัวเขาได้
ตอนนี้มีสองคน คือ ภาคีและคียะเท่านั้น แต่ต่อไปเมื่อเขาไว้ใจก็
จะยอมเล่นด้วยเท่านั้น แต่เขาบอกว่าห้ามอย่างเดียวคือไปแตะต้อง
หัวของเขาเป็นอันขาด อีกอย่างหนึ่งเราขอบอกว่าเจ้าสดายุนั้นเขา
สามารถจะแปลงกายเป็นอะไรๆก็ได้อีกด้วยฉะนั้นบางครั้งเขาอาจจะแปลงร่างเป็นคนแบบพวกเจ้าก็ได้นะขอบอกให้รู้ไว้และเขามีรูปร่าง
หน้าตาหล่อเหลาอีกด้วย เจ้าภาคีและคียะอย่าไปหลงใหลเขาอีกล่ะ”
ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ้มและหัวร่อเบาๆ ทำเอาเจ้าภาคีและคียะถึงกับ
หน้าแดงอายม้วนต้วนไปเลย
“โธ่นายนะนาย ข้าสองคนรักเดียวใจเดียวนะนาย ข้ามองคนที่ชอบ
ไว้อีกแล้วด้วย แต่พวกข้าจะไม่บอกหรอกว่าเป็นใคร”
“ข้าหรือเปล่าที่เป็นคนในดวงใจพวกเจ้า???”
เจ้ากุลายืนฟังตั้งนานเอ่ยถามขึ้นทันที พร้อมส่งเสียงหัวร่อลั่น............
* แก้วประเสริฐ. *