12 มีนาคม 2554 12:28 น.
แก้วประเสริฐ
สึนามิ
ที่สิบเอ็ดสิบโมงบรรจงเยี่ยม
ด้านเหนือเปี่ยมทิวทัศน์จัดว่าสวย
แสนรื่นรมย์หรรษาพาระทวย
ระลึกด้วยใจหวังตั้งใจมา
ชื่อฉันงามน่ารักจากญี่ปุ่น
จนว้าวุ่นคิดถึงจึงใฝ่หา
มาเยือนเย้าฝากไว้ให้นำพา
วาสนาผู้ตั้งขนานนาม
กลับบ้านเก่ามาเยี่ยมเพียงสามครั้ง
ลูกหลานพลั้งเผลอไผลไม่เกรงขาม
ทั้งที่บอกเตือนแล้วทุกชั่วยาม
ด้วยมีนามจากท่านจึงสั่นเยือน
ฉันตกใจภัยพิบัติครั้งนี้
ยากเปรมปรีดิ์มิคิดจิตเชือดเฉือน
พวกพ้องฉันกับสนุกปลุกใจเตือน
ไฟมิเบือนต้อนรับขับขานรอ
จึงรีบส่งสัญญาณอัปเตอร์ชอร์ค
ด้วยหมายบอกเขามาอย่าได้ขอ
ฉันตบหัวแล้วบอกแค่นั้นพอ
หลานรีบต่อร้องว่าญี่ปุ่นงาม
พวกเราจงรีบกลับสู่ท้องสมุทร
เพื่อเร่งรุดรอยแยกแตกมิขาม
ทั้งไต้หวันอินโดนิเซียนาม
ยั่วเย้ายามถึงเขาจึงเฝ้าเยือน
หันหลังเหลี่ยวพ่อแม่ผู้ให้ชื่อ
ร้องอื้อฮื้อลูกหลานมาผลาญเฉือน
แทบบรรลัยตอนเหนือเหลือลางเลือน
เผ่นเถอะเพื่อนลูกรักอย่าพักเลย
หลานฉันว่านิวซีแลนด์แดนสนุก
ลูกเฝ้าคลุกฉันมิไปทำเฉย
ที่ญี่ปุ่นตั้งชื่อเหมือนคุ้นเคย
จึงได้เผยครอบครัวแต่มัวเพลิน.
แก้วประเสริฐ.
11 มีนาคม 2554 12:49 น.
แก้วประเสริฐ
อนิจจาพฤกษาเอ๋ย
อันไม้พุ่มลุ่มลึกพฤกษ์สนฑ์
อวลระคนพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ทั้งสร้างสิ่งชื่นฉ่ำล้ำตระการ
จัดสร้างสรรแผ่นดินสิ้นวิไล
ยามท่องเที่ยวผ่านไพรในพฤกษ์กว้าง
ก็จะสร้างอารมณ์บ่มสดใส
ไม่อาทรต่อน้ำอยู่ร่ำไป
จะลูบไล้คลายหมองผุดผ่องงาม
สิ่งบัดนี้ชาวบ้านพลันตัดไม้
เพียงเหลือไว้น้อยนิดปลิดเกรงขาม
อาญาแผ่นดินสิ้นแล้วแพรวนิยาม
ผ่านลุกลามนายทุนหนุนเกื้อกูน
ทั้งน้ำป่ารินหลากฝากให้คิด
ชาวบ้านติดเวรกรรมซ้ำบ้านสูญ
มาร้องไห้โอดครวญป่วนอาดูร
ป่าเพิ่มพูนกลับไร้สร้างไม่ทัน
ผืนแผ่นดินแห้งแล้วแฝงระแหง
ความร้อนแรงตะวันอันพลิกผัน
เกิดม่านกระจกปิดกั้นครอบกัน
จนป่วนปั่นแทรกไว้ในแผ่นดิน
ทั้งขุดเจาะใต้โลกบริโภคน้ำ-
-มันเผาผลาญควันย้ำหมองคล้ำสิ้น
ม่านความร้อนแผดเผาเร้าห้วงจินต์
ยากจะผินหวนหาพาคร่ำครวญ
อีกขั้วโลกพลิกกลับสลับไฟฟ้า
ใต้ดินหาทางออกบอกกำสรวล
น้ำแข็งพาละลายหมายพลิกชวน
แผ่นดินไหวสั่นป่วนหวนเข้าครอง
เกิดคลื่นใหญ่ทำลายหมายชีวิต
แสนวิปริตสร้างไว้ให้สนอง
อากาศเป็นคาร์บอนไดร์ละออง
สิ่งทั้งผองเกิดจากมนุษย์ที่ฉุดนำ.
แก้วประเสริฐ.
8 มีนาคม 2554 18:36 น.
แก้วประเสริฐ
ชายคนหนึ่งหวังอบอุ่น
ให้รีบเขียนก่อนตายวายชีวาตม์
อาจถึงฆาตตามติดจะผิดหวัง
ที่แสนรักล้วนซ้องร่ำร้องพลัง
สิ้นหน้าหลังคงถ้อยร้อยหวนมา
มุ่งเดินหน้าอ่อนล้าพะว้าหลัง
ปราศความหวังสิ่งใดสุดไขว่หา
หลบหลีกหนีห้วงใจใช่ไร้ลา
แม้นระอาทางแฝงแห่งแรงชวน
ดั่งเก็จน้ำพร่างพรายโลมไร้แหล่ง
ที่เคลือบแคลงสู่แสงแฝงร้อนหวน
ครั้นบรรจบเหลี่ยมมุมรุมเรรวน
จนปั่นป่วนฝากพื้นยากคืนกลาย
ฝากฤดูแห่งกาลผ่านล่วงพ้น
เคล้าปะปนห้วงชีวิตปลิดสลาย
ย่อมหมุนเวียนซ่านฟุ้งผดุงคลาย
ผ่านเงามลายจับไว้คล้ายแฝงใจ
ครั้นเดินทางสิ่งพ้นจรดลแล้ว
พลิกฝ่าแนวอวลอบบรรจบใส
แต่ห้วงลึกซ่อนเร้นยากเน้นใน
ด้วยฝากไว้แหล่งจิตยากคิดครอง
เหมือนใบไม้หลุดขั่วมัวเร่ร่อน
สายลมอ่อนพลิกป่วนล้วนสนอง
ผ่านท้องถิ่นบินไกลไร้สิ่งตรอง
แม้นหม่นหมองฝากฟ้าชะตาเดิม
คลื่นแลลมผสมฟ้าหาพ้นจาก
แล้วก็ลากหันเหแล้วเทเสริม
สิ่งโดดเดี่ยวร่อนเร่เซเหิมเกริม
สู่วางเพิ่มสร้างตวัดมัดห้วงทาง
ข้ามลำห้วยภูผาฝ่าทุ่งกว้าง
มองฟ้าสร้างลิขิตปลิดสะสาง
ห้วงคำนึงฝากไว้ไม่เลือนลาง
ดุจล้อวางแห่งเกวียนต้องเพียรทำ
อิสระเสรีพรากยากหนีพ้น
ดุจมวลชนไขว่คว้าเขาพาขำ
เสมือนชีวิตอ่อนล้ามาครอบงำ
เพียรสร้างนำดิ้นรนยากพ้นไป
ต้องเร่ร่อนย้อนหวนลมชวนกลับ
พลิกหมุนสลับแนวเนินเผอิญสดใส
หวังแดนเก่าเคล้าเพิ่มเสริมสร้างใน
เวียนวนไร้พล่านอุ่นบ้านหนุนเติม
ที่ผันผวนแดงนวลเย้ายวนขอบ
หมุนอิงรอบวันหนึ่งที่พึงเสริม
โอ้อนาถยิ่งแล้วแนวเหิมเกริม
ที่หวังเริ่มพิราปฉาบแสงทอง.
แก้วประเสริฐ.
8 มีนาคม 2554 13:28 น.
แก้วประเสริฐ
ม่านฟ้าหลังฝน
มองฟากฟ้าพลิกหวนล้วนสะท้าน
ความฟุ้งซ่านผ่านไว้ไร้สดใส
ดั่งเมฆหมอกละล่องท้องฟ้าไป
สิ้นเยื่อใยพรมพร่างกลางฝนจำ
หลังเมฆดำทะมึนแลห่างร้าง
ผ่านเคยว้างสดชื่นยากฝืนขำ
มีสิ่งป่วนเหหันผ่านพลิกนำ
ดุจปลายรำปลิวล่องท้องฟ้าไกล
รุ้งสองโค้งเคียงคู่ดูประสาน
หนึ่งร้าวรานพราวแสงมิแฝงไสว
คงว่างเปล่ายืนจ้องมองแกว่งไกว
ล้วนขวักไขว่สลับซ้อนซ่อนอ่อนแรง
ความเยือกเย็นแผ่ซ่านผ่านห้วงจิต
ล้วนลิขิตแทรกซึมแอบยืมแฝง
ผ่านลุ่มลึกจากอิงพลิกฝากแจง
สู่เป็นแห่งหม่นเศร้ายากเคล้าใจ
หันเหหวนสร้างสั่นป่วนปั่นไว้
หลายหลากไร้ผ่านคว้าหาสดใส
มวลทุกสิ่งคร่ำครวญล้วนจากใน
แทรกเป็นใยผ่านคลุ้งมุ่งยึดครอง
ล้วนผ่านมาก่อนฟ้าพามืดครึ้ม
แสนปลาบปลื้มภิรมย์บ่มสนอง
เปรียบคล้ายฝันสู่ใจจับได้ปอง
ผ่านเรืองรองแวววับมิกลับคืน
ม่านฝนพร่ำย้ำไว้คล้ายสดชื่น
ความระรื่นเหลียวแลแผ่สะอื้น
ปราศทุกสิ่งม่านเมฆเฉกยั่งยืน
ล้วนทนฝืนคอยวันฝันสีทอง
สิ้นสายน้ำหลั่งไว้กลับไร้สว่าง
เยือกเย็นคว้างหันแลแผ่เป็นสอง
ปราศหัวใจแม้ฝนพร่ำย้ำปอง
รุ้งเรืองรองเลือนหายกลายครึ้มดำ.
แก้วประเสริฐ.
6 มีนาคม 2554 21:16 น.
แก้วประเสริฐ
๐ อิทธิ์ฤทธิ์หนุมาน ๐
๐.................................บัดนั้น...........ลูกพระพายฤทธิ์ไกรเรืองศรี
เสร็จศึกอสูรร้ายสุดเปรมปรีดิ์..........ขนกุณฑีลุกสั่นรื่นรม
แลสายเดี่ยวสาวน้อยทาบใจ..............ห้วงภายในไหวหวั่นเสพย์สม
หวิวซึ้งให้อยากได้เชยชม..................ยอกรบ่มร่ายมนต์ดลนาง
๐...โอมเจ้าเอ๋ยพระเวทย์มนต์กู.........จงสิงสู่ห้วงใจทุกข้าง
ให้นางหลงใหลไม่จืดจาง...................ห้วงรักวางจิตใจร้อนไว้
นางสายเดี่ยวถูกต้องมนต์ดลมา.........ร้อนภายในจนสุดผลักไส
เข้าสวมกอดวายุทันใด.......................ผ้าผ่อนไร้อาภรณ์หลุดกาย
๐.หนุมานเต้นเร่าเคล้าสวมกอด..จูบอ้อนออดพลิกแพลงโฉมฉาย
ปทุมมาศพุ่มพวงแทบละลาย............นางสิ้นอายเลิศล้ำเอวองค์
โหนกหนั่นนุ่มผากนิ่มเอกอุ...............มุทะลุคลึงเคล้าประสงค์
ดอมดมกลิ่นมิอาจลืมลง....................รีบนำส่งนางสั่นลั่นวอน
๐................เมื่อเอยเมื่อนั้น...............ลูกพระอาทิตย์ให้ทอดถอน
พระสี่กรตรัสหาร้าวรอน..................มิกราบวอนเผ่นจรออกมา
ให้กลัดกลุ้มอุราลุ่มลึก......................รำพึงนึกหลานรักยากหา
ลุกจากพระโรงตามหลานยา............หรือจะมาหลงเสน่ห์เล่ห์ใด
๐...พอพบหลานอลวนผลักถลำ.......สาวคะมำตามฤทธิ์ผลักไส
หนุมานเต้นเร่านางเร้าใจ.................เมื่อแลไปน้าชายให้กังวล
จึ่งอ้อนออดวิ่งเข้าสวมกอด.............น้าจ๋ายอดเยี่ยมหรือไม่สน
สาวสายเดี่ยวอวบอัดเหลือทน........ดังหมูปนพริกไทยเผ็ดนาน
๐...ครั้นลูกพระอาทิตย์ฟังไว้.........เหลือบแลไปสาวสั่นเรียกขาน
ชิชะดูเจ้าซิเบิกบาน........................งามตระการมาจับสายเอ็น
ลูกพระพายครั้นเห็นเปรมปริดิ์......ด้วยนารีนวดเส้นยากเข็น
สงสัยนางมิต้องประเด็น................เหลือบมองเห็นน้าสั่นกายี...
๐...............บัดเอ๋ยบัดนั้น...............วายุภักดิ์ฤทธิ์ไกรเรืองศรี
มองน้าชายกอดสาวได้ที................ขุนกระบี่เหาะผ่านบัญชร
ครั้นถึงขอเฝ้าองค์นารายณ์............พระวุ่นวายตีด้วยคันศร
ขุนกระบี่ยากหนีจากจร..................พระสี่กรรับสั่งทันใด
๐...เจ้าจงไปทูลองค์สีดา.................แม่กัลยานวลอนงค์สดใส
มาขัดสีฉวีวรรณนอกใน.................ป่วนดวงใจข้านั้นสุดทน
ด้วยเสร็จศึกยักษ์นี้แสนไกล............สีดาไซร้กลับไม่มาสน
หลงเต้นรำกับสาวปะปน.................จนเป็นผลหดเหี่ยวสิ้นรัก
๐...หนุมานยิ้มเมื่อฟังแก้มตุ่ย.......ทรงเป่าขลุ่ยน้อยไปไม่หัน
นุ่งผ้าขาวม้าเหม็นทั้งวัน...............ไม่เหหันนางนั้นคร่ำครวญ
เต้นเร่าทดลองมาดอมดม...............แทบเป็นลมฉุนกึกกลั้นสรวล
หลายวันไม่อาบน้ำเนื้อนวล...........เหม็นอบอวลยากใครใคร่ชม
๐...........เมื่อเอยเมื่อนั้น.................พระภูมินทร์สงสัยยากข่ม
เห็นลิงขาวทีท่าเป็นลม..................สงสัยดมกายหอมละมุน
ทรงยิ่งพิศหนุมานที่เฝ้า.................กลิ่นอวลเคล้าผิวกายหอมฉุน
เห็นทหารเอกดมดอมละมุน..........คงเป็นบุญได้พรอดนารี
๐...ทรงหันซ้ายแลขวาระริก.........ดุจใครจิกท้องน้อยเจ็บปี๋
กลิ่นเราคล้ายบุปผามาลี.................สามภพนี้ใครเทียบเปรียบนา
ลิงตาหล๊อกแล๊คแล้วทูลเอ่ย...........แม่ทรามเชยต้องกลิ่นเสน่หา
ย่อมปลาบปลื้มพระองค์นำมา......กลิ่นกายาแม่นางคลั่งใจ
๐...องค์พระรามทรงฟังมิหมอง.......ฟุ้งละอองโปรยรินกลิ่นไล้
วงพระพักตร์ล้วนงามอำไพ..............ด้วยโชยไอสะท้านวังเวง
ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นดอมดม.............ต้องโอตถิ์ชมดุจบุปผาเผง
กล่าวมธุรสกังวานผ่านเพลง.............เจ้าชมเก่งดมปากข้าที...
๐...หนุมานตีลังกาสามรอบ..............แทบตกขอบตาเหลือกหมดสี
หงายหลังควานจะหาพัดวี..............พระทรงศรีเอ่ยย้ำตั้งนาน
เวรเอ๋ยเวรของกูซะแล้ว..............เหม็นโชยแผ่วยากกล่าวขับขาน
กุนฑีขนตั้งชันเนิ่นนาน..................ทูลวันวานเป็นหวัดมากโลม
๐...ขอพระองค์ทรงใช้นิลพัฒน์.........เขาเก่งจัดผ่านมาหักโหม
พอสิ้นคำเสียงดังโครมโครม..........หนุมานโน้มเบี่ยงถีบจากลิงดำ
นิลพัฒน์กราบองค์พระสี่กร..............พระแม่อรชรชอบสิ่งขำ
ให้หนุมานนั่นแหละตัวนำ..................เคยถวายรำแก้ผ้าน่าลอง
๐...พระนารายณ์ได้ฟังยั้งพิโรธ..........ด้วยไม่โกรธเจ้าลิงทั้งสอง
นิลพัฒน์เจ้าดมจักแร้ลอง...................พระเนตรจ้องหนุมานยิ้มไป
หนุมานมองหัวไวไม่หลบ..................ร่ายมนต์จบแยกร่างกันได้
จำแลงเต่าซ้ายแสร้งชื่นใจ..................นิลพัฒน์ใช้จมูกดมล้มครืน
๐...ขุนกระบี่ฤทธืไกรใจหาญ.........ล้วนชำนาญเล่ห์กลสะอื้น
ยอกรทูลนารายณ์กลับคืน.............กลัวลิงฟื้นแสร้งมาพาจร
นำนิลพัฒน์จากพระโรงพลัน........ก็เหลือบหันเห็นหมู่สิงขร
เหาะทะยานผ่านฟ้าฤทธิ์กร...........มิอาวรณ์กลับสู่พระภูมี
๐...ครั้นถึงวางไว้ใต้ขุนเขา.........แต่ไม่เฝ้าเผ่นหามารศรี
เห็นน้าชายไล่ปล้ำนารี................สายเดี่ยวนี้สิ้นผ้าอาภรณ์
อกหนออกกูอดสูนัก....................ที่นำชักอิสตรีอัปสร
มิอาจคิดหทัยให้จร......................ห่างสิงขรปาตี้มีงาน
๐...จีบได้แล้วรีบหนีนิเวศน์.....ดั้นสู่เขตป่าใหญ่ไพศาล
เนรมิตเรียกนางหานาน..........จูบล้วงถันผ่านสุขซ่าส์ใจ
พอฟ้าสางตาเหลืองซีดย้ำ........ดูชอกช้ำแต่สุขสดใส
ถึงเคหาเจ็บปวดกระไร............กู่เจี๊ยกไปใยหนองพุ่งปี๋
๐............เมื่อเอยเมื่อนั้น..........ลูกพระอาทิตย์ฤทธิ์เรืองศรี
เสร็จศึกสายเดี่ยวเสียวชีวี.......ตัวสั่นริกรี้ปวดซ่านทวารมา
เหลือวซ้ายแลขวาเพื่อหาหลาน....สุดทรมานเจ็บปวดรุมหา
แลเห็นหนุมานเหาะผ่านเมฆา.....กู่เจี๊ยกหาเรียกหลานเข้ามา
๐...เห็นน้าชายกู่ก้องร้องเรียก......ร้องเจี๊ยกเจี๊ยกทยานมาหา
มือซ้ายกุมร่างตีลังกา...................รีบเข้ามาเอ่ยถามทันใด
ทำไมน้าท่านมิสีแดง....................หรือโดนแรงนารีผลักไส
สีกายร่างจึงเปลี่ยนผิดไป.............หรือสายใยนุ่มนวลลุ่มลึก
๐...ฝ่ายสุครีพได้ฟังหลานกล่าว....ความปวดร้าวรุ่มร้อนเต้นนึก
ดู๋ดูสายเดี่ยวฝากเป็นปึก................มันเต้นกึกกึกสะท้านเอา
หนุมานได้ฟังหน้าเหยเก...............มิหันเหบอกกล่าวเรื่องเขา
ทั้งน้าหลานร้องไห้เบาเบา.............พาเข้าเฝ้าองค์พระภูมี
๐...................เมื่อเอยเมื่อนั้น.........องค์พระรามฤทธิไกรเรืองศรี
ทอดพระเนตรลิงกุมของดี...........พระทรงศรีทรงสรวลลำพอง
พลางล้วงจักแร้ปั้นขี้ไคล..............ปั้นเม็ดได้มอบลิงทั้งสอง
มึงจงกินเข้าจงลอง.......................ยาทั้งสองหายปวดทันใด
๐............เหม็นเอยเหม็นแท้.........จักแร้โชยกลิ่นหอมสดใส
ลิงทั้งสองรีบกินเข้าไป.................หนองก็ไหลหายปวดทันที
นิลพัฒน์ได้เห็นหัวร่อก๊าก...........ยั่วเย้าฝากหอมกลิ่นมารศรี
แน๊ะแน๊ะนางเข้ามาพอดี..............ขุนกระบี่ตาเหลือกเลือกจร.
๐ แก้วประเสริฐ. ๐