27 เมษายน 2550 11:48 น.
แก้วประเสริฐ
** ทักษิณาทาน **
กาลครั้งหนึ่งพบเลิศบรรเจิดแจ้ง
สิ่งแสดงเรื่องทานสังฆทานหลาย
พระสัมมาพุทธเจ้าทรงเฝ้าบรรยาย
แสดงให้ไว้มวลมนุษย์ที่สุดเขลา
ปาฏิบุคลิกทานนั้นมีสิบห้า
ถวายทานมาแก่พระสัมพุทธเจ้า
อีกพระปัจเจกพุทธมารับพาเอา
อีกทั้งเฝ้าประทานอรหันตทาน
ทั้งบุคคลบำเพ็ญจะเป็นอรหันตผล
รวมบุคคลอนาคามีที่พ้นสาน
เพียรจะอนาคามีผลจนพ้นมาร
สกทาคามีนั้นเป็นอริยะบุคคล
อันผู้ใดทำแจ้งไว้ในสกทาคามี
ตลอดจนศรีโสดาบันสำเร็จผล
อีกผู้เพียรโสดาบันผลมาจรดล
ดาบสบรรพชาจนโกลิยอภิญญาสมาบัติ
อีกทั้งคฤหัสถ์ปุถุชนที่มีศีล
ใช้ชีวินธรรมมรรคามาวิรัช
แม้นคนทุศีลจินตปาฏิทานสัตย์
ให้ทานสัตว์เดรัชฉานอันยากไร้
สัตว์ที่เลี้ยงไว้จนได้เกษมศรี
เกิดปิติเปรมปรีดิ์ผลจนสดใส
อานิสงส์ห้าร้อยชาติพาดวิไล
อาจจะให้อายุวรรณะสุขะพละ
อีกทั้งปฏิภาณปัญญาทั้งห้าประการ
จะเป็นทานปรากฏผลพ้นกักขฬะ
มีอายุสุขสบายด้วยในมานะ
พ้นวาระทุกข์ขื่นจนชื่นชม
ผลอานิสงส์นั้นท่านกล่าวไว้
ยากบรรยายเป็นกลอนรอนขื่นขม
ด้วยยากหาคนมาอ่านพาลเป็นลม
ฝากภิรมย์เพียงแค่นี้มีคุณอนันต์.
*** แก้วประเสริฐ. ***
24 เมษายน 2550 16:12 น.
แก้วประเสริฐ
** งามสุดซึ้ง **
พิศผิวพรรณแพรวพราวสกาวฟ้า
แม้นดาราจันทร์ฉายยังหน่ายแสง
ปทุมมาศเปรียบนารีเปลี่ยนสีแดง
สิ่งพลิกแพลงชื่นชมรื่นรมย์ฤทัย
มวลมัจฉาพ่นน้ำเหมือนร่ำเรียก
สำเนียงเพรียกพงไพรวิไลหลาย
ก่อกำเนิดดนตรีเปรมอิ่มเอมใจ
พราวไสวพรายระยับแวววับทอง
พิลาสล้ำงามยิ่งยามอิงสนาน
น้ำไหลผ่านโขดหินเข้ารินสนอง
ว่ายวนแหวกธาราผ่านฟ้าละออง
สวยเรืองรองพวยพุ่งดุจรุ้งตะวัน
เฉิดเฉลาเยื้องฉายพรรณรายเหลือ
ไหวหวั่นเอื้อเพียงไว้กลางในฝัน
ยิ่งพินิจแสนวิจิตรเหมือนติดพัน
สุดสวยตระการยิ่งนักยากหักใจ
ปริยะนุชสุดสงวนเย้ายวนศิลป์
ศิลปินย้อนรำลึกสร้างตรึกใส
ดุจสวรรค์สร้างวิจิตรพินิจฤทัย
สิ่งไฉไลพรายระยับดุจนับมณี
เสียงขมิ้นเหลืองอ่อนเว้าวอนคิด
เหมือนเนรมิตฟากฟ้ามิกล้าหนี
ต้นไม้กล่อมสำเนียงเยี่ยงดนตรี
สร้างสรรค์สีแววใสวิไลละออง
ยิ่งรพีแสงส่องร่างสร้างไหวหวั่น
หทัยพรั่นครั้นดูยากอยู่สนอง
นี่แค่เพียงได้พบบรรจบปอง
สู่จำลองแห่งศิลป์เพื่อจินตนา
พะว้าพะวงหลงผนึกระทึกเสียง
ใสสำเนียงดุจสวรรค์พลันเรียกหา
นึกว่าเราเฝ้ามองแลชะแง้นัยน์นา
โอ้อนิจจากลายเพื่อนมาเตือนจร.
*** แก้วประเสริฐ. ***
เจ้างามสรรพทุกสิ่งยิ่งกว่าฝัน
ให้พี่นั้นพร่ำเพ้อละเมอหา
เมื่อยามหลับกลับประชิดชิดนัยตา
ตื่นขึ้นมาผวาร่ำถึงงามงอน
โอ้ยามนี้เป็นอย่างไรไฉนเล่า
เหลือเพียงเงาอยู่ใกล้..ใจทอดถอน
คิดถึงนางห่างหายใจรอนรอน
หยุดอาวรณ์ไม่ได้..โอ้ใจเรา
ของคุณ ปราณรวี
เขียนฝากไว้ในกระทู้ อนุญาตให้ลงได้ขอรับท่าน....แก้วประเสริฐ.
20 เมษายน 2550 23:57 น.
แก้วประเสริฐ
** คำนึงวรางคณา **
แว่วเสียงพลิ้วกังสดาลสะท้านห้วง
กอไผ่ล่วงระบัดใบฤทัยป่วน
สกุณาพร่ำร่ำร้องสนองครวญ
คิดสิ่งล้วนลอยลิ่วดุจปลิวลม
วิลาวัลย์แปรผันเหมือนวันโศก
วิมนโยกผ่านในซ่านให้ขม
ดุจวนาพฤกษ์ผกาเคยมาชม
เหี่ยวแห้งตรมดุจเราที่เฝ้านาง
บัดนี้หนอสีขาวเฝ้าโลมแล้ว
ทิ้งเพริศแพร้วลงไปสู่ไสวสว่าง
หันเหหวนประกายจึงได้วาง
พบสิ่งสร้างหนทางระหว่างใจ
ครั้นพบเจ้าพากเพียรร่ำเรียนจิต
หมดความคิดผันแปรกระแสร์ใส
ล้วนสุดหยั่งสร้างตรงฝังลงหทัย
สิ่งทั้งหลายกลายกลับแวววับลง
เหลือเพียงสิ่งเคยนึกบันทึกไว้
งามวิไลมาเปลี่ยนดุจเลียนสงฆ์
ทิ้งความสวยใสสดดังปลดปลง
พิลาสหลงหลีกหนีหาที่สำราญ
ทิ้งโลกนี้หนีอนิจจังมิยังเที่ยง
จึงหลบเลี่ยงหลีกหลบที่จบสังขาร
สวยสะคราญหวนหันเพื่อผันกาล
เข้าเบิกบานเลือกเอาเพื่อเฝ้าธรรม
โดยพินิจจิตเอาเฝ้าหลงใหล
ในรูปกายแต่งเติมเพื่อเสริมล้ำ
หลงสร้างทำผันวัยจนให้ระกำ
สู่ความช้ำกาลเวลาหันมาแสดง
มองกอไผ่ยืนต้นยังหล่นล่วง
แม้นจะหวงใบนักยังจักแห้ง
ล่วงแล้วหล่นลงดินจนสิ้นแรง
ดังจะแฝงธรรมติดให้คิดตรอง
เปรียบดั่งชีวิตคนเราก็เท่านี้
ยากหามีสิ่งใดมาใคร่สนอง
ต้องเกิดแก่เจ็บตายมาใฝ่ปอง
อยากหลงลองก็แพ้ถึงแม้อิง
มองไม้สะบัดทิ้งใบดูคล้ายล่วง
หมุนเป็นห่วงพลิ้วไปอยู่ไม่นิ่ง
ทั้งขึ้นสูงลงต่ำแนวล้ำระวิง
ดุจเหมือนลิงเต้นเร่าคอยเฝ้าลม
หันหวนกลับมองกายที่ผ่ายผอม
ดังดอกพะยอมเฉาแห้งแฝงขื่นขม
โรยกลิ่นประทินหอมย้อมเชยชม
ยังต้องตรมผิวหนังเมื่อพังทลาย
คิดถึงวรางคณาให้พาคิด
คงจะปลิดสิ่งงามก่อนยามสลาย
หวังทำจิตเสริมสร้างสู่ทางวิไล
มุ่งสู่ไว้ชำระล้างเพื่อสร้างตน
นำคำสัมพุทธะชำระล้าง
หันเหทางโลกียะชำนะพ้น
หนีทางโลกโปกฮาฝ่าพิกล
ที่มากล้นทะนงที่หลงปอง
ภาวนาอรหันต์พลันน้อมจิต
แนบสนิทเป็นหนึ่งเพื่อพึงสนอง
ปลดกิเลสหนักเบาที่เฝ้าครอง
สู่ครรลองปองไว้ประภัสสร
นึกถึงตัวของเรายังเฝ้าหลง
คอยพะวงหาใส่ในธรรมสอน
ครั้นยินเสียงกังสดาลผ่านอาวรณ์
เขียนบทกลอนฝากไว้ให้คิดเอง.
*** แก้วประเสริฐ. ***
17 เมษายน 2550 23:30 น.
แก้วประเสริฐ
** ยอดรัก **
เสียงหรีดหริ่งเรไรฤทัยพลิ้ว
ล้วนวาบหวิวคิดถึงรำพึงหวน
เคยแนบอิงแอบชิดสนิทนวล
ต่างเย้ายวนหยอกล้อพะนอกัน
แสงสว่างกลางฟ้ามาบรรเจิด
หอมเลอเลิศกลิ่นผกาสู่พาฝัน
เคยหอมแก้มเปล่งปลั่งฝังชีวัน
ใยนวลนั้นส่องทาบเมื่อฉาบนาง
พงไพรพฤกษ์วันนั้นสุดครั้นนึก
พลันรำลึกเสน่หายามฟ้าพร่าง
เสียงยวนเย้านวลพร่ำย้ำมิจาง
สุดกระจ่างกลางแขดุจแลพรรณ
งามจริงหนอลออแขมิแลเปรียบ
มิอาจเทียบนวลนางที่กลางฝัน
สิ่งฝังสร้างอบอวลแลล้วนกัน
โอ้คืนนั้นใสสว่างระหว่างใจ
วลีล้ำคำหวานสุดซ่านเหลือ
หลงใหลเชื่อน้ำคำที่พร่ำไว้
เฝ้ายืนคอยที่เก่าเศร้าทรวงใน
อีกเมื่อไหร่หนอพบประสบเธอ
เที่ยงคืนแล้วแพรวพร่างสว่างฟ้า
แว่วก้องสกุณาร้องสนองเสนอ
หรือเสียงไผ่โหมเร้าจนเฝ้าละเมอ
แสนพร่ำเพ้อเหม่อหาระอาทรวง
น้ำค้างโปรยโชยกลิ่นระรินหอม
ดอกพะยอมหอมฟุ้งจรุงสรวง
ความคิดซ่านสลัดอิงสิ่งทั้งปวง
เลยเวลาล่วงผ่านพ้นจนผันแปร
จนเดือนน้อยคล้อยไปฤทัยแป้ว
คงลืมแล้วดุจมีดกรีดบั่นแผล
ไยเจ้าเอ๋ยเคยพบมิสบแล
หรือว่าแก่เกินวัยจนไม่มอง
เคยพร่ำบอกตอกย้ำคำวัยวุฒิ
รักพิสุทธิ์ดุจตะวันแสงพลันส่อง
หาใช่อิงสิ่งแสลงมาแฝงครอง
ที่หมายปองใช่กำแพงมาแจ้งรัก
นัดพบนี้กำหนดเพื่อปลดขวาง
แนวเส้นทางเดียวกันที่ฝันนัก
มาบัดนี้กลับร้างระหว่างพัก
หลงประจักษ์เฝ้าแลชะแง้คอย
เบิ่งตายิ้มคิดไปหัวใจเศร้า
อกเอ๋ยเงาของแขยากแม้สอย
ดั่งผงน้อยลอยคลุ้งจรุงลอย
ยากจะย้อยจากฟ้าลงมาดิน
นับแต่นี้หมดแล้วแนวสิ่งสร้าง
สุดอ้างว้างฤทัยให้หวนถวิล
จูบลาแขกลางนภาขอลาจินต์
ยอดรักสิ้นหันกลับดุจลับเลือน.
*** แก้วประเสริฐ. ***
11 เมษายน 2550 19:43 น.
แก้วประเสริฐ
** สุดหยั่งรู้ **
๏ ทุกคนสุดหยั่งรู้...................จิตใจ จริงแฮ
แม้แต่ทราบภายใน...................แม่นแท้
ยังหลากเล่ห์เฉไฉ....................ยากยิ่ง จริงนา
สุดที่จะมอบแม้........................สิ่งซึ้งตรึงหทัย ฯ
เวลากาลเปลี่ยนแม้...............ภายใน
จากที่จิตสดใส.........................สู่ห้วง
สังคมเปลี่ยนผันไป..................หลงแต่ ใจเฮย
จรดสิ่งปลดควักล้วง................บ่วงสร้างวางผลาญ ฯ
เพียรสร้างทางไขว่คว้า.........แมนสรวง
กลห่วงลวงใยยวง....................หน่วงเข้า
คำหลอกเล่ห์ดุจงวง.................ซัดส่าย ไปมา
ใจเปลี่ยนเวียนหยอกเย้า..........สิ่งแท้แน่นอน ฯ
หลงใหลในสิ่งเจ้า..............อกแยก แตกเฮย
วนล่วงเพียรหวงแบก..............สิ่งเย้า
เหลือเพียงใส่จำแนก...............ในสิ่ง ลอยแฮ
ฝันที่วางสร้างเข้า.....................ฝากไว้ในลม ๚ะ๛
*** แก้วประเสริฐ. ***