11 ธันวาคม 2550 20:53 น.
แก้วประเสริฐ
** นิราศภูเรือ **
๏ สะดุ้งตื่นจากนอนตอนตีสี่
หลับตาลุกถูกเขย่าเฝ้าราวี
แม่ยาหยีร้องลั่นบ้านแทบพัง
ตาลืมโพลงโยงโย้เซโซทรุด
อยากจะมุดผ้าห่มภิรมย์สังข์
ดังระนาดปี่กลองฆ้องประดัง
ปิดความหวังดั่งคิดบิดกายพลัน
ซัดโซเซเหหันผลุนผันหนี
หลับตาปรี๋ห้องน้ำยังซ้ำฝัน
ว่าโลมเร้าเคล้าคลอวิลาวัลย์
ช่างเสกสรรแก้มนวลชวนมัดจำ
โอ้ละหนอจ้อเสียงสำเนียงแว่ว
กลบคำแผ่วด้วยเพลงบรรเลงขำ
ระริกรื่นชื่นหวานผ่านเงื่อนงำ
เสียงเตือนย้ำดั่งนาฬิกาพาลุกลน
แต่งกายหล่อปานเทพเหน็บกล้องไว้
หยิบกระเป๋าใส่สตางค์พลางสับสน
เบิกตามองแสนเพลียละเหี่ยทน
ความยากจนนี่หนอพ่อไม่รวย
โขยกเขยกขึ้นรถตู้สู่เบื้องหลัง
เก็บของยังใต้เบาะเลาะเล็มสวย
เชิดหน้ายิ้มพริ้มพรายไร้งงงวย
ดุจถูกหวยสองตัวด้วยเคียงนารี
ยิ้มทายทักประจักษ์ไว้คล้ายนักร้อง
สำเนียงซ้องดัดจริตคิดเสียดสี
ลืมตัวว่าเราชราซ่าเปรมปรีดิ์
เกษมศรีปลายทาง ณ ไฉไล
ช่างแต่งองค์ทรงเครื่องประเทืองยศ
อิริยาบถอ่อนช้อยย้อยสดใส
ไพเราะซึ้งตรึงห้วงสู่ทรวงใน
งามวิไลยิ่งกว่าวิลาวัลย์ฯ
๏ รถกระชากคว่ำหน้าเข้าหาเบาะ
เสียงดังเผลาะหยุดใจภายในฝัน
เสียงหัวเราะเพราะแผ่วแว่วกำนัล
ใบหน้าฉันแดงฉานดั้นตะวัน
อารมณ์เหลิงพลิกผันพลันพินาศ
สายตาวาดหน้าต่างสร้างเหหัน
ความคาดหวังพังทลายมลายพลัน
หนาวตัวสั่นรถเหาะเลี้ยวเลาะวน
เรามาเที่ยวหรือมาตายอย่างไรแน่
ที่แท้แท้นั่งท่องสมองสับสน
พุทธโธ่หรืออรหังช่างกังวล
เวียนสับสนแก่เราเฝ้าไตร่ตรอง
พิจารณาหญิงข้างแล้วนั่งฝัน
วิลาวัลย์จริงหนอยากต่อสนอง
เขานั่งนิ่งอิงหลับประคับประคอง
เราสอดส่องอมยิ้มพริ้มข้างทาง
อันรถเลี้ยวเคี้ยวคดทางลดเลี้ยว
ประเดี๋ยวเดียวผ่านพ้นจนฟ้าสาง
แต่ใจคดมากำหนดจรดวาง
ยิ่งกว่าทางเคี้ยวคดหมดเรืองรอง
สองตาแลข้างทางระหว่างเฝ้า
หัวใจน้าวคราวมาผวาผยอง
อุบัติเหตุเกิดได้ไร้ใฝ่ตรอง
คึกคะนองประมาทสาดฤทธิ์เมา
นี่แหละหนอชะตาใฝ่หาลิขิต
ถูกความคิดคนเราเฝ้ามัวเขลา
นึกว่าเก่งเลิศเลอละเมอเงา
ที่คอยเฝ้าหลอนหลอกยอกใจเอง
แม้แต่สองข้างทางระหว่างหิน
ก็ยังสิ้นสูญหายไม่กระฉับกระเฉง
ผ่าหินผาออกไปให้วังเวง
เป็นช่องเคว้งไขว่คว้างสร้างทางเดินฯ
๏ นึกถึงนางข้างเคียงเบี่ยงตากลับ
เขายังหลับซบไหล่ให้กับเขิน
แนบอุ่นไอในสาวเฝ้าเพลิดเพลิน
หล่อนคงเมินตื่นมาพะว้าพะวง
จนละเมอเพ้อพกตกย้อนหลัง
เมื่อยังครั้งเป็นหนุ่มกริ่มกรุ่มหลง
ท่องเที่ยวไปในวนาฝ่าไพรพง
กับนางอนงค์เคียงคู่สู่ภิรมย์
บัดนี้เล่ามีสาวเคล้าเคียงข้าง
สิ่งอ้างว้างได้เขาเฝ้าเสกสม
ลบเป็นบวกบวกลบทบระทม
แต่ขอชมหล่อนงามยามนิทรา
ถอนหายใจไร้คิดจิตวกกลับ
เฝ้านั่งนับหลักทางสร้างสิ่งหา
รถแล่นไปในถนนยลนภา
อีกใฝ่หาแมกไม้ผกากรอง
ยากคบไม้ริมทางระหว่างผ่าน
ต้นไม้นั้นไร้ดอกล้อใจสยอง
ป่าทั้งผองถูกเผามาเข้าครอง
สิ่งเรืองรองสูญหายในฉับพลัน
หันมายิ้มพริ้มพรายใบหน้าเหรอ
ที่แท้เธอคือเมียเคลียเสกสรร
ตาเราฝาดหลงคิดจิตจำนรรจ์
ความมืดนั้นหันมองต้องกระไร
เธอหันมองริมทางระหว่างผ่าน
แล้วยิ้มหวานกล่าวถ้อยหยดย้อยใส
ต้องซาบซึ้งตรึงแนบแปลบข้างใน
อยากย้อนไปสู่อดีตบิดบั่นทอน
กาลเวลาพาไปมิได้ฉงน
เกือบทุกคนเหมือนเราที่เฝ้าหลอน
ช่างเถิดหนอเวลามาลิดรอน
มิอาจย้อนคืนกลับนับโรยลาฯ
๏ ใช้ชีวิตตอนปลายให้มีสุข
ปราศจากทุกข์อย่าเข้าเฝ้าใฝ่หา
วันเดือนปีพ้นผ่านสรรค์สิ่งมา
น้อยนิดหนาตัวเราเฝ้ารำพึง
รถวิ่งผ่านสระบุรีมีแต่หิน
เขาไร้สิ้นความงามที่ยามถึง
จนพ้นผ่านลพบุรีศรีคะนึง
ต้องซาบซึ้งตลึงลานดอกทานตะวัน
นึกถึงสาวแรกแย้มแซมสิ่งซึ้ง
คิดรำพึงวันเวลามาเหหัน
ดุจดอกไม้ห่อเหี่ยวเลี้ยวหากัน
แล้วก็พลันเปลี่ยนแปลงแสยงตน
ผ่านจังหวัดมากมายทั้งซ้ายขวา
ตลอดเวลาวกวนจนสับสน
สาวข้างเคียงมุ่งหลับกับเสียงกรน
แต่ต้องทนแสร้งยิ้มอิ่มเอิบใจ
รถขึ้นเขาลงห้วยด้วยลดเลี้ยว
ทำให้เสียวอารมณ์ข่มสดใส
หูกริ๊งกร่างดั่งระฆังอยู่ข้างใน
หวั่นหทัยวาบหวิวปลิวโอนเอน
ใช้เวลาบนเขาเฝ้าคิดหวั่น
บ้างครั้งสั่นอื้ออึงคำนึงเห็น
หูสองข้างรบกันผ่านลำเค็ญ
บ้างครั้งเต้นอื้อสนิทฤทธิ์ฤาชา
สักพักหนึ่งถึงยอดเอาตอนค่ำ
วิบากกรรมเข้าซ้อนยอกย้อนหา
เช่าที่พักเป็นเต็นท์มิเด่นตา
มากหินผาใหญ่เล็กใต้ที่นอน
พอรู้ว่าเต็นท์เราหัวเข้าเสือก
มิได้เลือกสะดุ้งโหยงตัวโก่งหอน
เสียงโหวกเหวกตามเข้าเฝ้าลิดรอน
แม่งามงอนร้องบ้างช่างซะจริงฯ
๏ เพราะเช่าเขามิเลือกสถานที่
เหตุเช่นนี้นอนไปคล้ายผีสิง
เดี๋ยวต้องลุกพลิกตื่นฝืนจริงจริง
ดุจดั่งลิงวุ่นวายไม่เป็นนอน
ต้องลุกขึ้นออกไปร่วมสังสรรค์
มิมีจันทร์เหลือดาวเคล้าสลอน
ระยิบสลับนึกย้อนอ้อนวิงวอน
แอบยลตอนหนุ่มสาวหยอกเย้ากัน
อากาศยิ่งตอนดึกระลึกหวน
อารมณ์ป่วนนั่งมองตรองสิ่งฝัน
พลิกสั้นยาวสะท้อนตอนผูกพัน
วิวัฒน์กาลหวนเคล้าหยอกเย้าดาว
ก่อนมานั้นพรั่นใจให้นึกหวั่น
เขาว่ากันหนาวยิ่งต้องอิงสาว
เรามิมีอย่างว่าต้องคว้าเงา
สร้างเรื่องราวอารมณ์หวิวพลิ้วล่องลอย
ลุกขึ้นเดินดูเต็นท์ที่เห็นสร้าง
ดั่งเห็ดวางเรียงรายลานใช้สอย
บ้างเขียวดำแดงสลับกับเชิงดอย
มิเหลือรอยโขดหินถิ่นภูเรือ
เกือบทุกเต็นท์ร้องเพลงบรรเลงแว่ว
บ้างเสียงแจ้วเสียงโฮกคล้ายโลกเสือ
มีเต้นรำเบียร์เหล้าเคล้าจุนเจือ
อ้วนเรือเกลือผอมซากมากอารมณ์
เหมือนฟ้าดินสงสารแก้วแน่แล้ว
ให้เพริศแพรวมีสนุกและสุขสม
เหลือแต่เพียงอากาศพาดภิรมย์
เพียงเย็นข่มแก้วน้อยพลอยเพลินตา
เดินท่องไปคล้ายนิยายในโลกเก่า
คนแคระเล่ากับฝรั่งมาหรรษา
ทั้งใหญ่เล็กเด็กน้อยพลอยกันมา
วิทัศนาสร้างสรรค์สั่นฤทัยฯ
๏ หันหลังกลับนำไวท์มาใส่แก้ว
ยกดื่มแล้วชุ่มชื่นระรื่นใส
นั่งคนเดียวฟุ้งเฟื่องเรื่องคนไกล
นำมาใส่อารมณ์บ่มสิ่งชวน
นำมาฝันพรรณรายรำพันใส่
สร้างสิ่งไว้ก่อเกิดบรรเจิดสรวล
ล้วนหวังหวานอิงแอบแนบเนื้อนวล
ฤทธิ์ไวท์ล้วนซาบซึ้งตรึงคนงาม
อันภูเรือนี้หนอพอประจักษ์
ล้วนที่กักของคนจนล้นหลาม
มีทุกรุ่นกรุ่นหนาวเฝ้าภูยาม
จนล้นหลามภูดอยมิน้อยเลย
อันเมืองเลยเผยไว้อีสานเหนือ
ล้วนเหลือเฟือคนงามยามเฉลย
สำเนียงกึ่งอีสานปนเหนือเมื่อเปรย
ยากละเลยหากพบประสบมอง
พอพ้นคืนตื่นมองต้องลาแล้ว
ภูเรือแก้วขอจรมิย้อนสนอง
มุ่งเลียบโขงไหลลงดังผงทอง
ระหว่างสองประเทศเขตพรมแดน
สู่หนองคายย้ายเข้าเว้าอุดร
หลงยอกย้อนเวียนวนทนเหลือแสน
ผ่านขอนแก่นแล่นไปให้แกนแกน
นองเนืองแน่นผู้คนจนฟ้าค่ำ
เข้าเขตเมืองย่าโมโผล่เลียบข้าง
สองข้างทางมืดมิดปิดงามขำ
ที่มีรักประจักษ์ไว้ในความจำ
ช่างเลิศล้ำน้ำใจในหญิงงาม
รอนแรมสู่กรุงเทพเขตเมืองเทพ
แทบอักเสบกายาหาเกรงขาม
เพลิดเพลินไปในถิ่นทุกเขตคาม
ถึงบ้านยามตีสองครองสวัสดีเอย.ฯ
*** แก้วประเสริฐ. ***
7 ธันวาคม 2550 12:07 น.
แก้วประเสริฐ
** โอ้ที่รัก **
สกาวฟ้าเดือนเพ็ญเน้นสิ่งหวัง
ใยแห่งพลังฝังฤทัยให้หม่นหมอง
ดาวดวงน้อยกระพริบระยิบปอง
แสงเรืองรองสิ่งหวังยังลับตา
ฉันรอคอยใฝ่รำพึงคะนึงคิด
ฟ้าลิขิตวาสนาพาฝันหา
กลับมาแล้วที่รักมิอาจลา
สิ่งนำพาฝังลึกตรึงใจจำ
แสงสีเงินระยิบติดขอบฟ้า
ที่รักจ๋าอยู่ไหนใฝ่ระส่ำ
หลงเพ้อเจ้าเฝ้าคอยจิตระกำ
มิอาจล้ำเส้นแดนแม้นใจคอย
คะนึงน้องปองสวาทนิราศนุช
เพียงเงื้อยุดฉุดสิ่งที่อิงสอย
มิอาจบอกว่ารักปักใจลอย
ดั่งนกน้อยเหิรหาวเฝ้าหาลม
มาดแม้นโอษฐ์ลิ้มหวานปานน้ำผึ้ง
ระลึกถึงสิ่งหวังครั้งขื่นขม
เหตุเพราะใจข้าน้อยคอยสิ่งพรม
เกิดระทมฝากไว้แม้ใคร่ยล
สิ้นแล้วหรือฤดีที่ไขว่คว้า
ที่รักจ๋าอยู่ไหนฤทัยฉงน
เพียงยลฟ้าดาราปองยังวกวน
สิ่งสับสนเฝ้าแลแม้ใจครอง
ม่านเมฆหมอกลมหนาวเฝ้าสั่นพลิ้ว
ลอยละลิ่วปลิวสะบัดลบฝันสนอง
เหลือแต่เราเฝ้าแลชะแง้มอง
เปรียบดาวปองจันทร์ไว้ในฤดี
ต่อนี้ไปใครเล่าจะเฝ้าหา
หรือไร้วาสนาเสียแล้วในโฉมศรี
เหม่อมองฟ้าดาวเดือนเยือนไมตรี
ต่อแต่นี้โดดเดี่ยวและเดียวดาย.
*** แก้วประเสริฐ. ***
1 ธันวาคม 2550 22:00 น.
แก้วประเสริฐ
** อารมณ์หวาน **
หวานสิ่งใดไหนเล่าจะเท่าหวาน
ที่ซ่อนซ่านผ่านลิ้นมิมีเหมือน
หอมเลิศรสจรดไว้มิรู้เลือน
ดั่งเสี้ยวเฉือนบั่นทอนย้อนรำพัน
ถึงยศถาบรรดาศักดิ์นักปราชญ์เฒ่า
ยังคลุ้งเคล้าเฝ้าหวนล้วนใฝ่ฝัน
แม้แต่ไพร่ราชันย์อเนกอนันต์
ยังฟุ้งซ่านหันพาหาพจนา
ดังถ้อยคำโบราณนั้นพึงกล่าว
ที่โน้มน้าวคำหวานผ่านใฝ่หา
ว่าอ้อยตาลหวานลิ้นมิสิ้นเวลา
ยังพลิกหาหวนกลับนับวันวาน
นี่แหละหนอพอคิดจิตยิ่งตวัด
ถึงถ้อยมัดจำวจีฤดีซ่าน
น้ำคำหลงดำรงไว้ในกาล
ผันพลิกผ่านลิ้นวนจนคะนึง
คงเป็นซากลิ้มหวานที่ซ่านจิต
หวนหาคิดถึงวารอันใฝ่ถึง
เป็นกากเดนเขี่ยไว้ได้รำพึง
ยังซาบซึ้งรสถ้อยน้อยนิดคำ
สิ่งเหล่านี้หาได้ใครมีรัก
ก็ประจักษ์มักพบกับงามขำ
หรือชายที่ใฝ่ปองลองจดจำ
น้อมน้ำคำมาคิดแล้วพิจารณา
ยามมีรักมักพบสบคำหวาน
ที่ซาบซ่านผ่านวจีที่ใฝ่หา
ทั้งออดอ้อนฉอเลาะไพเราะมา
แสนเสน่หาเพลิดเพลินเจริญใจ
นี่แหละหนอสิ่งหนึ่งที่พึงคิด
ลิ้นที่ผลิตด้วยวจีนี้สดใส
อย่าไหลหลงเริงรสจรดวิไล
ใกล้จะตายใฝ่ถึงคำนึงหวาน.
*** แก้วประเสริฐ. ***