24 กรกฎาคม 2549 10:00 น.
แก้วประเสริฐ
น้ำเอ๋ยน้ำใจ
กันเองฉันทะโสโอ้ครูใหญ่
เปี่ยมน้ำใจหาใครไป่มาเทียบ
โอบอ้อมอารีไม่มีที่เปรียบ
เข้าทำเนียบของอนุศาสดาจารย์
อีกครูเล็กครูน้อยพลอยยินดี
สุขเกษมเปรมปรีดิ์ศรีสุขสันต์
นักเรียนเล่าเฝ้าสนิทจิตเบิกบาน
โรงเรียนนั้นงามงดจรดคุณธรรม
การสอนนั้นเน้นกำหนดกฎธรรมชาติ
ประยุกต์ศาสตร์เข้าตำราพาเกริกล้ำ
นำลูกศิษย์ออกนอกปฏิบัติทำ
เป็นลำนำพร่ำสอนก่อนตำรา
เรียนของจริงยิ่งกว่าตำราสอน
ทุกขั้นตอนเห็นแจ้งแหล่งรู้หา
อีกศีลธรรมพร่ำสอนคุณจรรยา
เพื่อนำพาศิษย์รักจักรู้งาน
พ้นจากในโรงเรียนเพียรศึกษา
ก็นำวิชานี้ไปได้ประสาน
เป็นก่อเกิดเลี้ยงชีพตลอดกาล
สอนลูกหลานให้ชีวีนี้เกริกไกร
ถือเป็นตัวอย่างดีที่สร้างชาติ
ไม่อนาถในสายตาคนทั้งหลาย
วิวิธพัฒนาเน้นหาอุบาย
นำมาใช้ในโรงเรียนใช้เขียนทำ
โอ้ยุคนี้สมัยนี้มีได้ยาก
มักปากมากยกยอตนล้นพร่ำ
หายศถาบรรดาศักดิ์เข้านำ
นักเรียนตาดำดำข้าไม่รู้
คุณความดีนี้หนอขอจารึก
เป็นบันทึกฝากไว้ในความสู้
โรงเรียนตานวนเป็นแบบครู
ขอเชิดชูอุทาหรณ์สอนครูจำ.
*** แก้วประเสริฐ. ***
23 กรกฎาคม 2549 14:03 น.
แก้วประเสริฐ
สัมพันธ์ทางใจ
ดีชั่วนั้นกลั้วเกลือกไม่เลือกชั้น
ต่างผิวพรรณต่ำสูงเสาะมุ่งหา
แสวงรสด้วยอยากเพราะตรึงตา
หูเสาะพาสิ่งหลงพะวงมัน
สิ่งแปรเปลี่ยนเวียนวนยังทนได้
ล้วนกลับกลายในภาพนาบสุขสันต์
แม้ทุกข์สุขมิคำนึงถึงร้ายอนันต์
ก็ผูกพันสรรหามาแนบกาย
ด้วยใจคนปนเปดุจเทน้ำ
สิ่งเลิศล้ำมิซึ้งจึงสลาย
ตะกอนชั่วกลั้วไว้ให้กร่ำกราย
เข้าปะปรายสู่จิตผิดแผกทำ
มิได้แยกแตกวางที่สร้างไว้
สัมพันธ์ใจในหนทางระหว่างกล้ำ
มักหนักชั่วอ่อนดีวกเวียนนำ
เกิดเวรกรรมทำไว้หลายหลายภพ
พุทธันดรสอนใจให้รับรู้
เหมือนเปิดประตูสู่ดีที่ประสพ
ละความชั่ววางไว้อย่าให้พบ
ล้วนเลิศลบพบแดนสุขาวดี
อนิจจาใจนี้หนอเมื่อก่อเกิด
ชอบพริ้งเพริศเหนือกว่าว่าสุขี
ทำตามใจมิได้คิดจิตเปรมปรีดิ์
พอทุกข์มีน้ำตาหยดหมดหนทาง.
*** แก้วประเสริฐ. ***
22 กรกฎาคม 2549 10:43 น.
แก้วประเสริฐ
** แม่นางหอยขม **
พักตร์พริ้มเพราขาวสล้างดั่งจันทร์ฉาย
รูปพรรณรายโฉมศรีไม่มีสอง
อีกทรวดทรงองค์เอวมิเป็นรอง
นวลละอองผุดผาดช่างบาดตา
สดับฟังน้ำเสียงดั่งมโหระทึก
เปรียบม้าศึกผาดโผนกระโจนหา
หรือกองเพลเณรใช้บอกเวลา
ช่างพรรณนามิหยุดประดุจรบ
ทุกวันคืนตื่นผวาคราร้องก้อง
วิเวกต้องหลบลี้หนีประสบ
สำเนียงเจ้าเฝ้าครวญล้วนสิ่งพบ
มิยอมจบกระแสแต่ผูกพัน
ล้วนนินทาเสเพเฉทวนพร่ำ
สร้างความช้ำน้ำใจให้โศกศัลย์
ภัสดาตาละห้อยสร้อยจาบัลย์
พักตร์เจ้านั้นคว่ำลงมิคงยิ้ม
โอ้อนาถวาสนาชะตาจู๋
แม่โฉมตรูบางครั้งนั่งยิ้มกริ่ม
มิสามคำเจรจาพาหัวทิ่ม
หน้าต้องจิ่มวงข้าวเศร้าเหลือทน
ค่ำลงเหล้าเฝ้าถนอมพร้อมกับแกล้ม
อีกทั้งแถมเบียร์ไว้ไม่สับสน
นั่งมองดูยอดชู้คู่กมล
นินทาคนทั่วไปใจเบิกบาน
ทิงหน่องนอยเอ๋ยทอยหน่องนิง
แม่ยอดหญิงร้องรำคำขับขาน
ลุกขึ้นเต้นช๊าช่าหน้านงคราญ
สวยตระการงานผีที่มีเหมือน
สามีเฝ้ามองดูตาปริบปริบ
คงอยากถีบไม่กล้าพากลบเกลื่อน
ส่งเสียงเชียร์ใบหน้ากลับแชเชือน
เปรียบเสมือนคนบ้าเจ้าข้าเอย.
*** แก้วประเสริฐ. ***
21 กรกฎาคม 2549 10:51 น.
แก้วประเสริฐ
สร้อยมณีเพชร
เพริศพริ้งแพรวแววลายประกายรุ้ง
รุจรีรุ่งพุ่งสายพรายเรืองแสง
เกล็ดมณีรวีวรรณะคละสีแดง
เขียวโสมแฝงโกมุทบุษราคัม
หยาดเพชรขาวพราวแสงแข่งเรืองสี
ทับทิมมณีวิถีชมพูสู่งามล้ำ
มรกตวาวเร้าขจีที่เขียวกร่ำ
วนเวียนย้ำหมอกเมฆนิลกาฬ
ชั้นเรืองรองรับพธูคู่สกาว
วิจิตรเงาเร้าหทัยใยประสาน
อัปสรน้อยร้อยใจลดาวัลย์
สวยตระการกลั่นลงตรงหฤทัย
วิมานแก้วแววเพริศประเสริฐนัก
วิมานรักฝากลงตรงสดใส
วิมานอนันต์เรืองรองส่องแสงไป
วิมานใจใกล้ชิดวิจิตรา
แอบอิงอุ่นหนุนเนาเคล้าลูบ
วิลาสจูบอนงค์ตรงเสน่หา
เมลืองอร่ามงามแล้ว ณ แก้วตา
อนิจจาเหลือไว้เพียงได้ชม
ล๊อกเก็ตเอ๋ยเผยไว้ใคร่ร่ำร้อง
โอ้นวลน้องฝากใจให้ขื่นขม
ที่รักจ๋าครานี้พี่อดภิรมย์
สร้อยมองตรมขมขื่นชื่นอาลัย.
*** แก้วประเสริฐ. ***
20 กรกฎาคม 2549 16:54 น.
แก้วประเสริฐ
** ก่อนทิวาลาลับจะกลับฟ้า
ก่อนจันทราอำลาพาดับแสง
ก่อนภูผาโหยหาพาสิ้นแรง
โลกจะแล้งสดใสให้หมองตรม. **
ย้อนกาลเวลา.....สู่ปัจจุบัน.....
บางครั้งสิ่งที่ควรพูดก็ไม่อาจจะพูดได้ สิ่งควรพูดก็ไม่อยากพูด
สิ่งไม่ควรพูดก็ถูกพูดขึ้นมาต่างวาระกันและกัน อันจนเป็นเหตุไม่ดี
งามเกิดขึ้นจนได้ ข้าพเจ้าผู้หนึ่งซึ่งร่วมไปกับงานนี้คิดว่าจะ
คงปล่อยกาลเวลาเป็นเครื่องตัดสินใจกันเอาเอง สักระยะหนึ่งก็จะหยุด
เรื่องร้ายก็จะกลับกลายเป็นดีไป จึงนึกเงียบเสียเพียงกล่าวสั้นๆว่า
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรดังกล่าวไว้เพื่อหยุดทุกๆฝ่าย
แต่ทว่า...มิได้เป็นไปตามใจที่เราคิด ความรัก ความสามัคคี ความ
เป็นหนึ่งน้ำใจเดียวถึงกับแตกแยกสลายไปด้วยเหตุผลอันไม่บังควร
ด้วยต่างกระแสร์ต่างความคิดกันออกไป อย่างเช่นในงาน
ปันน้ำใจสู่น้องๆของเวปฯไทยกลอนที่ถูกจัดขึ้นซึ่งเป็นงานที่ทุกๆคน
ต่างร่วมใจกันจัดขึ้นหาใช่เป็นงานของผู้ใดคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ
ก็หาไม่...งานนี้เพียงแต่ได้รับการร้องขอมาทางเวปฯจากคุณครูใหญ่ซึ่งพวกเรา
รู้จักกันดีให้ช่วยดำเนินการช่วยเหลือเด็กๆของโรงเรียนบ้านตานวน ซึ่ง
ขาดแคลนอุปกรณ์ต่างๆในการใช้เล่าเรียน สภาพความยากจนของชาวบ้าน
จนเกิดภาระอันใหญ่หลวงต่อคุณครูใหญ่จนเหนือกำลังความสามารถของท่าน
ซึ่งก่อนการดำเนินการจะถึงจุดนี้....คุณครูใหญ่โรงเรียนเล็กกับคนในกลอนเพียง
ไม่กี่คนร่วมจะดำเนินการช่วยเหลือ ซึ่งก็นับว่าเป็นงานบุญกุศลที่ดีมากทีเดียว
ข้าพเจ้ามาทราบภายหลังว่ามี คุณครูใหญ่ฯ คุณอัลมิตรา คุณพระจันทร์เศร้า
คุณภูตะวัน ตะวันรอนและบุคคลอื่นๆร่วมด้วยช่วยกัน โดยข้าพเจ้ามิได้มีส่วนร่วม
แต่อย่างไรเพียงแค่ทราบว่าไปร่วมประชุมกันที่เมืองกาญจนบุรีเท่านั้น
ภายหลังข้าพเจ้าได้รับการทาบทามไปร่วมงานกุศลครั้งนี้จากคุณอัลมิตรา
ข้าพเจ้าก็ยินดีด้วยทั้งที่รับปากว่าหากสุขภาพข้าพเจ้าดีจะพยายามไป เพราะตัวเอง
นั้นไม่ค่อยดีในเรื่องสุขภาพมากนักด้วยเป็นคนโรคแพ้อากาศอย่างรุนแรง
คุณอัลมิตรายังบอกผมว่าเป็นไรไปหมอไปด้วย เธอเองก็แย่เหมือนกันเป็นโรคเมารถ
อย่างรุนแรงก็ยังต้องไปเลยล่ะ ผู้ชายแท้ๆไม่กลัวอายหญิงหรือ เออ..จริงซินะผมคิด
ผมติดต่อกับคุณเธอเสมอว่ามีใครไปบ้าง แรกๆทราบมีคุณพระจันทร์เศร้า
คุณภูตะวันฯ คุณหมอท่องเมฆาและครอบครัว และคนในที่ทำงานของคุณอัลฯ
คุณอัลมิตรายังปรึกษาผมว่ามีคนอื่นๆอีก ขอร่วมคณะไปทำบุญด้วยจะรังเกียจไหม
ผมบอกว่าก็ดีซิ...อย่าไปปฏิเสธเขานะ จะได้มีคนไปช่วยโรงเรียนทำบุญเพราะว่า
ผมคอยติดตามดูคนที่สมัครไปงานนี้แทบจะไม่มีล้วนปฏิเสธทั้งสิ้น เพราะธุระด่วน
หากเชิญเขาไปร่วมทำบุญกันเพื่อแสดงน้ำใจว่าชมรมไทยกลอนไม่เปิดเฉพาะคนสมาชิก
เท่านั้น ว่าชมรมเราใจกว้างเปิดรับเสมอ คุณอัลมิตราก็บอกว่า ถ้างั้นตกลงก็ดีเหมือนกัน
แต่ไม่รู้ว่ารถจะพอนั่งหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไรจะอาศัยรถหมอไปบ้าง รถกะบะส่งของบ้าง
เท่าที่โอกาสจะอำนวย เพราะคนยังไม่แน่นอน หากกระชั้นชิดจะหารถตู้ลำบากไม่ได้
เรื่องก็จบลงเพียงแค่นั้น จนกระทั่งมาอีกที่ก็เตรียมตัวเดินทางกันแล้ว.....
เวปฯไทยกลอนเป็นเวปฯแรกที่ข้าพเจ้าเข้ามาเล่นหลังจากซื้อคอมฯเป็นส่วนตัว
ได้รับการแนะนำจากเพื่อนที่เคยเป็นสมาชิก เมื่อประมาณ 3-4 ปีโดยประมาณ
จึงมีความผูกพันต่อเวปฯนี้มาก อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าก็ได้เป็นผู้ร่วมงานนี้และ
เดินทางไปด้วย เริ่มต้นจนสิ้นสุดและเกิดการไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน จึงไม่อยากให้เกิด
ความแตกแยกกันและกัน
ที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้จะเล่าเหตุการณ์ในฐานะเป็นคนกลางไม่เข้ากับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
โดยเฉพาะทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้ารู้จักดีทั้งสองฝ่าย ย่อมไม่ทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียใจใน
การเขียนเล่ามานี้ทั้งสิ้น เพื่อให้ชาวคณะชมรมไทยกลอนได้ทราบเหตุผลอันแท้จริง และจะให้
ผู้ที่เกิดความเข้าใจผิดกันและกันคำนึงถึงเหตุผลต่างๆว่าสมควรหรือไม่ เพียงแค่หวังในจุด
หนึ่งคือต่างเข้าใจหันหน้ามาร่วมสร้างสรรค์งานของท่านต่อไทยกลอนต่อไปในฐานะที่
ทุกๆคนบอกว่ารักไทยกลอนเสมือนเป็นบ้านหนึ่งของตนเองดังคำที่กล่าวไว้หรือไม่
เหตุเริ่มต้น....ข้าพเจ้ามางานนี้ก่อนเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนั่งอยู่คนเดียวสั่งอาหารที่ร้าน
ชัยไอศรีมกำลังนั่งรอคอยอาหารซึ่งช้ามากๆอยู่ คุณปีกฟ้าเจ้าของเวปฯเดินเข้ามายกมือไหว้ผม
ผมเชิญให้นั่ง คุณปีกฟ้าก็บอกว่ากำลังหิว...สงสัยจะหิวจริงๆเพราะคุณปีกฟ้าเป็นคนไม่ถือตัว
หยิบแก้วน้ำแข็งที่ใส่น้ำเปล่ายกขึ้นดื่ม ผมมองดูทำให้เกิดศรัทธาสุดซึ้งนี่หรือเจ้าของเวปฯ
อันเรียกว่าใหญ่โตเป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายแม้แต่แก้วน้ำคนอื่นก็ไม่ถือหรือรังเกียจจากคนอื่น
ผมนั่งคุยกันแต่เรื่องไร้สาระอย่างอื่นมีเกี่ยวกับเวปฯบ้างแต่ส่วนน้อยต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
กันและกันเพื่อรอเวลาคอยพรรคพวกที่จะเดินทางไปงานนี้ ผมถามว่าคุณปีกฟ้าร่วมไปด้วยหรือ
แต่คุณปีกฟ้าบอกว่าจะมาส่งพวกเรา นี่คือน้ำใจที่ศรัทธายิ่งขึ้น...เวลาผ่านไปนานมากนาน...
จนกระทั่งคุณพระจันทร์เศร้า (แม่จิ๋ง)เดินลงมาจากชั้นบน สงสัยมาก่อนเรานะเราคิด เมื่อสายตาผม
เหลือบไปเห็นเลยตะโกนเรียก คุณเธอยิ้มและรู้สึกดีใจมากที่เจอพวกกันแล้ว ทราบมาว่าคุณเธอ
นั่งทานเบียร์อยู่คนเดียวชั้นสามของร้านอาหาร มานั่งร่วมสนทนากันสักพักขอให้พวกเราขึ้นไป
ร่วมกับคุณเธอด้วยดีกว่า ผมตกลงเพียงคอยเวลาจ่ายเงินและรอคุณปีกฟ้าทานอาหารยังไม่เสร็จ
แน๊ะ...ทานข้าวสองจาน ส่วนผมทานแค่จานเดียวยังแย่เลย และตามด้วยน้ำเปล่าอีกหลายๆแก้ว
และขึ้นไปชั้นบนไปหาคุณพระจันทร์เศร้าคุยกันไปคุยกันมา จนกระทั่งกลุ่มคุณภูตะวันฯเดินทาง
มาถึง ตามด้วย คุณหน่อง(ดาวอังคาร)และคุณ ต่อ (เรไร)และอีกหลายๆคนรวมทั้งคุณอัลมิตรา
แล้วทุกๆคนก็ต่างมารวมตัวกันข้างล่างฝนปรอย หยุดตกแล้วล่ะ เห็นคุณจิ๋งอารมณ์เสียไม่รู้ใคร
ไปแหย่คุณเธอเข้าจนเกือบจะทำให้คุณเธอขนของกลับ พวกเราต้องช่วยๆกันปรามไว้ เรื่องจึงเงียบ
ก่อนรถเดินทาง...ขลุกขลักมากแต่ก็ไปด้วยดีเพราะเหตุรถตู้ต่างมาเวลาไม่เท่ากันจอดคอยกัน
คนละแห่ง ต้องอาศัยคุณอัลมิตรากับคุณเรไร คุณดาวอังคารช่วยเป็นภาระติดต่อประสานงานกัน
กับคนรถตู้ และรถกะบะขนของไปช่วยงาน เพียงแต่รับทราบว่าให้ขึ้นรถคันที่จอดใต้สะพานด่วน
ไปก่อนไปรอที่ปั้มน้ำมันเจส แถวรังสิตนี่แหละ ผมมาในคันเดียวกับคุณตะวันฯ คุณสลักเสลาและ
บุคคลที่ไม่รู้จักต่างขึ้นรถและไปคอยรอที่ปั้มน้ำมัน คงทิ้งไว้กับผู้ดูแลระบบ คุณต่อ คุณหน่อง
คุณจิ๋ง อ้อ..แล้วคุณกระต่าย ซึ่งผมมาเห็นตัวจริงๆในที่นี่ไม่คิดว่าคุณเธอจะสวย ร่าเริง สดใสจริงๆ
นึกไม่ถึงว่าจะสวยขนาดนี้ เพราะเท่าที่เจอก็สวยๆกันแต่แตกต่างกันด้วยความสมบูรณ์ อยู่ดีกินดีทั้งนั้น
รถคันที่ผมนั่งมาถึงก่อนที่ปั้มน้ำมัน และต่างก็รอคอยพรรคพวกมาพร้อมๆกัน แต่ใช้เวลานาน
มีคนถามว่าทำไมช้าๆมากนัก ผมเลยพูดเปรยๆว่าวันนี้คนเขาไปเที่ยวต่างจังหวัดมากรถคงติดมาก
เพราะวันหยุดหลายๆวัน ทุกๆคนจึงเงียบไป ต่างก็คุยกันไปตอนแรกแยกกลุ่มต่อมาก็มารวมกัน
จนกระทั่งรถกะบะมาก่อน สักครู่รถตู้บรรทุกคนก็ตามมาอีก
คราวนี้จะเป็นปัญหาเริ่มต้นหรือเปล่านะผมไม่รู้เห็นแต่คนหงุดหงิดกัน บ่นกันต่างๆนานา
คุณจิ๋งก็เกิดมาปวดฟันเสียอีกอารมณ์คุณเธอก็ยิ่งร้อนแรงมากยิ่งขึ้น บ่นว่านั่งกับพวกคนแก่ๆไม่
ไม่รู้จักไม่สนุกเลย ขอเปลี่ยนมานั่งในรถตู้ผมสับเปลี่ยนกับคนอื่น เรื่องก็เรียบร้อยโรงเรียนจีนไป
เมื่อพร้อมสรรพทุกอย่างลงตัวการเดินทางเริ่มขึ้นรู้สึกว่าประมาณเกือบสี่ทุ่มจะได้ ระหว่างพัก
ที่ปั้มรอคอยนั้น ผมได้คุยกับคนรถว่าเคยขับแถวภาคนี้บ่อยหรือเปล่า คนรถบอกผมว่าไม่เคยเลย
นี่เป็นครั้งแรก ผมย้อนถามว่าอ้าวๆๆแล้วรู้เส้นทางดีหรือ... ผมคิดสะดุ้งในใจตายล่ะหวาหากเกิด
หลงทางกันมิบรรลัยกันเลยหรือ...แต่ผมไม่พูดให้ใครฟังทั้งนั้นกลัวเขาจะกลัวเช่นเดียวกับผม
ถึงตอนนี้เป็นไรเป็นกันผมคิด....คนรถบอกว่ารถคันนั้นเป็นหัวหน้าเขารู้เส้นทางดี เขาจะคอยขับตาม
ไปเรื่อยๆคงไม่เป็นไรหรอก....เออๆๆ...ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะอย่างน้อยก็ต้องมีคนช่วยดูแลกันและกัน
อีกอย่างเห็นเขาโทรติดต่อกันตลอดเวลาก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย
รถเคลื่อนออกไปค่อยๆไปแล้วพอพ้นเขตติดก็เร่งความเร็วขึ้นไล่กันตามกันไป รถตู้คันหน้านำ
อ้อลืมไปรถตู้คันหน้ารู้สึกว่าจะเป็นคนนอกเกือบทั้งสิ้น เพราะคนในเวปฯมากระจุกกับรถที่ผมนั่ง
ทุกๆคนสนุกๆสนานกันต่างกระเซ้าเย้าแหย่กัน รถผมนั่งจำไม่ผิด มีคุณก๊อย คนนอกชมรมนั่งคู่คนขับ
คุณเรไร นั่งคู่กับคุณสลักเสลาและเพื่อน(มาทราบภายหลังว่าชื่อคุณหย๋อย) ถัดแถวมาเป็นผมนั่งคู่กับ
คุณภูตะวันฯและเพื่อนชื่อคุณนอม ด้านหลังคุณกระต่ายใต้เงาจันทร์ คุณพระจันทร์เศร้า และคุณเยาว์วัย
ต่างล้อกันเล่นสนุกสนาน (ใจเราก็อยากจะร่วมสนุกด้วย นึกถึงตัวเองแก่ๆเลยไม่กล้านอกจากนั่งอมยิ้ม
ฟังเขาสนุกไปเรื่อยๆ สนุกดี ดีมากเสียด้วย) มาหลับๆตื่นๆเมื่อรถจะถึงที่หมายหาทางเข้าหมู่บ้าน
โทรศัพท์ติดต่อครูใหญ่มิวายผิดเส้นทางนิดหน่อยแต่ไม่มากย้อนกลับมาจนถูก ทางเข้าลำบากมากจริงๆ
เมื่อก่อนถึงโรงเรียน คุณครูใหญ่ฯยกขบวนกลองยาวออกมารับพวกเรา ต้องเดินเท้าไปที่โรงเรียนแต่
บรรยากาศสนุกๆก็สนุกๆง่วงก็ง่วงแต่ความง่วงรู้สึกหายไปเกือบทุกๆคน เพราะนึกไม่ถึงว่าคุณครูใหญ่
จะจัดการต้อนรับได้อย่างประทับใจยิ่ง พวกเรายังหัวเราะสนุกๆสนานกันไปตามทาง บ้างถ่ายรูป
บ้างรีบก้าวๆเท้าตามคุณครูใหญ่ฯ คุณครูใหญ่รูปหล่อโสดทั้งแท่งแต่สดหรือไม่รู้ครับ สูงยังกับนักบอล
ศูนย์หน้าชาวอังกฤษนั่นแหละ และครูฉันทะโส ฯลฯ ผมไม่รู้จักหรอก รู้จักแต่ในเวปฯไม่เคยเห็นตัวจริง
ความสนุกสนานก็มาถึงหน้าโรงเรียนตานวน พวกเราช่วยกันขนของลงจากรถทั้งรถกะบะ รถตู้ทั้งสอง
คัน ชาวบ้านที่นี่น้ำใสใจคอดีเยี่ยมมากๆซึ้งใจจริงๆคอยเอาใจใส่ดูแลพวกเรายิ่งนัก ต่างคนยังล้อกันเล่น
เป็นที่สนุกสนาน (ดังรูปที่ผู้ดูแลระบบและถ่ายรูปโดยคุณยอดลงไว้ครับ) เมื่อเรียบร้อยต่างก็ไปชำระ
ร่างกายตามปรารถนายังห้องน้ำต่างๆ เรื่องน้ำนั้นจะไม่พูดก็ไม่ได้เพราะว่าใสสะอาดดีจริง ผมแทบพูด
ได้แล้วก็อีกที่หนึ่งคือเขาผามออีแตงหรือแดงนี่แหละ นอกนั้นคุณเอ๋ยสุดยอดจริงๆ สมเป็นบ้านนอก
เสียเหลือเกิน เสร็จสรรพแล้วไปทานข้าวต้มที่คุณครูใหญ่จัดไว้ให้ พูดถึงครูใหญ่ผมสรรเสริญน้ำใจมาก
แล้วจะค่อยๆพูดต่อไปในข้างหน้า เป็นเต้นท์กางไว้ตรงสนามบาสเก็ตบอล เมื่อทุกๆอย่างเรียบร้อย
ก็เริ่มเดินทางไปยังสำนักสงฆ์บ้านตานวน ไปถวายเทียนเข้าพรรษา ถวายสังฆทาน รู้สึกว่าเขาจัดเพื่อ
ฉลองวันคล้ายวันเกิดแก่คุณพระจันทร์เศร้าด้วย ทุกอย่างดูได้จากรูปถ่ายครับ การไปก็แห่งกลองยาวอีก
เช่นเคย ตอนนี้ทั้งผู้ดูแลระบบ คุณภูตะวัน คุณพระจันทร์ คุณกระต่าย อีกหลายๆต่อหลายคนจำไม่
ค่อยได้ต่างร่วมรำนำหน้าขบวนแห่เทียนไปวัดด้วย กัน แม้แต่ผมคนแก่หนังยานรึก็ยังอุตส่าห์รำร่วม
ไปกับเขาลืมแก่เสียจริงๆเพราะด้วยใจรักและศรัทธากับเขาด้วย ฮึๆๆเกือบเป็นลมไปเพราะไม่ได้นอน
เต็มทีต้องควักยาดมมาดมเสียยกใหญ่ จนถึงวัดโอ้ยๆเดินไกลเหมือนกันเน๊อะ ต่างเวียนเทียนกันไป
ตามสำนักสงฆ์ศาลา รู้สึกว่ามีคนมาถามผมถึงคุณอัลมิตราขับรถมาเองเอาของมาส่ง ผมบังเอิญเห็น
คุณอัลมิตราเดินในขบวนแห่เวียนรอบมาพอดี เลยเรียก โธ่ๆๆนึกว่าใคร ที่แท้คือคุณแก้วกรุงเก่ากับ
คุณมนต์กวี ผมไม่รู้จักหรอกมารู้จักเห็นหน้าก็งานนี้นี่แหละครับ ต่างก็ร่วมสมานฉันท์สามัคคีดีกัน
เสร็จงานก็แห่กลับอีกแต่ตอนนี้ไม่มีใครรำซะแล้วผมเตรียมถ่ายรูปเหมือนกันคิดๆว่าคงสนุกๆแน่
ตอนขากลับนะ เมื่อถึงโรงเรียนพิธีจัดการบายศรีก็จัดขึ้น ครูใหญ่อีกนั่นแหละครับเจ้าของสถานที่
ดูแลจัดหามาพร้อมการแสดงรำของนักเรียนชั้นต่างๆและมีการละเล่นต่างๆเช่นเก้าอีดนตรีเป็นต้นฯ
ตลอดจนการแสดงจำอวดของเหล่าคณะที่ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้สร้างความประทับใจแก่ชาวบ้าน
และคณะที่ไปสร้างอารมณ์สรวลเสเหหากันอย่างสนุกๆสนาน ไม่คิดว่าจะมีการไม่พอใจแตกแยกกัน
ขึ้นในกาลข้างหน้าเลย ไม่มีวี่แววจริงๆ เป็นกันเองเกือบทุกๆคนเสียด้วย หลังจากนั้นก็ทานข้าวกลางวัน
จะเรียกว่าบ่ายๆก็ไม่เป็นไรต่างคนทานกันไปสรวลเสเฮฮากันไปเล่าสู่กันฟังแต่ละโต๊ะ คุณครูใหญ่จัด
แบบโต๊ะจีน แต่อาหารไทยพื้นบ้านเน๊อะ ตอนระหว่างมอบของให้คุณครูใหญ่ก่อนทานอาหารนั้น
ผมเองก็ถึงได้รู้จักกับคุณครูกันเอง คุณครูฉันทะโสนั่นแหละ หลังเสร็จต่างอิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อย
พวกเราก็จะเดินทางไปพักที่อื่นต่างอำลาชาวบ้าน ซึ่งก็ยังตามมาส่งระหว่างรถเคลื่อนออกเดินทางต่อ
ซึ้งจริงๆใครไปด้วยจะเห็นน้ำใจของชาวบ้านนอกที่เปี่ยมไปด้วยหัวใจอันแท้จริงมิมีการหลอกลวง
ดังเช่นคนในกรุงเทพฯน้อยนักจะหาได้น้ำใจอย่างแท้จริง ต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่างหนึ่งเฮ่อๆๆ
เวร... ผมสอบถามเพราะไม่ได้อ่านโปรแกรมเดินทางไปที่ไหนบ้างเพียงทราบคร่าวๆเท่านั้นเอง
หรือทราบอาจจะลืมหมดตามประสาคนแก่ๆเน๊อะ ปรากฏว่าไปพักที่อุทยานไม้ป่าดงรัก...
อีกนั่นแหละชาวป่าไม้น้ำใจเยี่ยมมาต้อนรับอย่างดียิ่ง หรือว่าบารมีของคุณครูทั้งหลายก็ไม่รู้น๊ะ
ที่นี่ผมคิดว่าเป็นจุดที่เกิดเรื่องแน่ๆเลยล่ะ.........เพราะระหว่างเข้าบ้านพักหลังเดียวนั้นปัญหาก็เกิดขึ้น
เห็นคุณอัลมิตรากำลังชี้แจงจัดการให้พวกเราเข้าพัก แต่โธ่ๆๆอนิจจาบ้านป่ากลางดงเช่นนี้จะหาความ
สุขสบายกันได้อย่างไรกันเล่า มีบ้านพักหลังเดียวห้องมีไม่ครบ พัดลมเสียบ้างไม่เสียบ้าง ปั๊กไฟโยเย
แต่เกิดความวุ่นเล็กน้อยแต่ก็ลงตัวกันได้ คุณอัลมิตราบอกว่าใครจะไปเที่ยววัดล้านขวดบ้างให้มารวม
ตัวกันขึ้นรถกะบะของคุณครูใหญ่อีกนั่นแหละไปเที่ยว แต่ปรากฏว่าไม่ค่อยมีใครไปเพราะเพลียๆกัน
ส่วนผมเองก็ไม่ไป ต่างเดินเล่นชมป่าเขาลำเนาไพรตามสะดวกสบายแต่ล่ะคน ตอนนี้มาพูดถึงเรื่อง
อาหารตอนเย็นซิ ปัญหาเกิดอีกเพราะขาดอะไรๆต่ออะไรหลายอย่าง ต้องเอารถไปซื้อมาทำกันเอง
แต่ก็ได้คุณเรไรอีกนั่นแหละ และหลายๆต่อหลายคนช่วยกันทำ รวมกระทั่งคุณครูผู้หญิงต่างโรงเรียน
อยู่ไกลๆจากบ้านตานวนก็มาช่วยกันทำอาหาร ทีแรกผมทราบเหมือนกันว่าเป็นอาหารพื้นบ้านแต่
มีบางคนว่าไม่พอ ก็เลยต้องไปจัดหาซื้อเพิ่มเติมใหม่
ส่วนผมไม่ไปดูวัดล้านขวด ก็เดินเล่นพบพวกเรากำลังเล่นเปตองอยู่ อ้ายผมเองหรือก็ไม่ค่อยเป็น
แต่ก็ร่วมเล่นเพื่อความสนุกสนาน ที่สนุกที่สุดในการเล่นเปตองนี้ก็ได้แก่คุณกระต่ายใต้เงาจันทร์
เพราะว่าจันทร์ไม่ส่องแสงแจ่มจ้าเป็นแค่เงาๆ คุณเรไรเลยโยนลูกเปตองไปจะไปตีลูกเปตองคนอื่น
ซิกลับไม่อย่างงั้นคุณเอ๋ย...กลับโยนใส่เท้าคุณกระต่ายเสียนี่...โอ้ยๆๆๆร้องลั่นสนั่นป่าเชียวล่ะ
หากใครเล่นเปตองจะรู้ว่าลูกมันหนักขนาดไหนลูกเหล็กตันๆแท้ๆ กระทบเนื้อหนังมังสาอันอ่อนนุ่ม
น่าทะนุถนอมเพียงไหนอะไรจะเกิดขึ้นล่ะ...อิอิ....ห้ามหัวเราะนะครับ คุณกระต่ายงอนผมไม่รู้ด้วยล่ะ
คราวนี้ต้องอาศัยยาหม่องสมุนไพลที่ผมเตรียมไปซะแล้ว แต่คุณเอ๋ยผู้หญิงหัวใจเหล็กนั่นนะแกร่ง
ยิ่งกว่าเหล็กอีกเท้าก็บวมก็ยังอุตส่าห์เล่นและคุณเธอเล่นดีเสียด้วย ตามสายตาผมนะ คุณเธอ..ชนะด้วยซี
จนเวลาผ่านไปจนหลายโมงยาม ทางคุณครูใหญ่และหัวหน้าป่าไม้จัดคาราโอเกะที่ศาลาพักผ่อน
ให้พวกเราร้องเพลง พูดถึงการร้องเพลงไม่พูดถึงเจ้าถิ่นนะเสียงไพเราะยังกับนักร้องอาชีพล่ะ
ก็มีนักร้องเกือบจะอาชีพ เช่น คุณพระจันทร์เศร้า คุณกระต่ายหญิงโดนเหล็ก คุณร้อยฝัน คุณมนต์กวี
และหญิงมีอายุคนหนึ่งที่ร่วมคณะไปกับเราไม่ใช่คนในเวปฯกลอนร่วมร้องด้วยทำความครึกครื้น
ไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาได้เป็นอย่างดี นึกถึงร้องเพลงแล้วผมโดนถูกฆ่าด้วยเสียงเพลงเสียแล้ว
จะเล่าให้ฟัง...คุณพระจันทร์เศร้า กับคุณกระต่ายฯรบเร้าให้ผมขึ้นไปร้องเพลงคู่ อ้ายเราเน๊อะรู้ตัวดี
ว่าเสียงร้องเหมือนควายออกลูก...ก็เลยปฏิเสธเขาไป พอดึกๆเข้าทีนี้เหลือเพียงคุณกระต่ายฯรบเร้า
ผมขอร้องก็แล้วดึงก็แล้ว...เอาว๊ะ..ตายเป็นตายอย่างดีก็ขายหน้าล่มเสียแล้วคราวนี้ตู...พอขึ้นไปร้อง
ทุกๆคนหันมามองเป็นตาเดียว...เฮ่อะๆๆๆซะใจล่ะซิน้องๆหลานๆ...เสียงควายของอ้ายแก่ได้หัวเราะ
กันไปก็คราวนี้แหละ.....สู้อดทนร้องมัวๆจนจบจนได้เฮ่อๆๆๆโล่งอกไปที...เดินขาสั่นเกือบจะตก
เวทีนั่นแหละ
ทุกๆคนสนุกสนานกันๆพอดึกหน่อยผมก็ขอตัวกลับขึ้นนอนตามประสาคนแก่ๆแหละนะ
หลับไปไม่รู้เหตุการณ์...อะไรจะเกิดขึ้น หรือว่าความบาดหมางจะเกิดขึ้นระหว่างนี้ก็ไม่รู้นะ
ตอนเช้ามาก็ทราบว่ามีคนจะกลับบ้านกันก่อน มีคุณแก้วกรุงเก่า คุณกระต่าย คุณพระจันทร์เศร้า
คุณเรไร ต่างอ้างว่าไปธุระและไปหาหมอแล้วเดินทางกลับโดยรถคุณแก้ว กรุงเก่า เพื่อไปต่อรถ
เข้ากรุงเทพฯอีกทีหนึ่ง ส่วนพวกเราก็รีบหาอาหารเช้าทานกันซึ่งเหลือจากเมื่อคืนตามมีตามเกิด
แต่ได้รับอภินันทนาการจากคนแก่ๆซึ่งร่วมคณะเดินทางมาด้วยไม่ใช่พวกชาวชมรม มีกาแฟ
โอวัลติน สำเร็จรูปแล้วคุกกี้บางส่วนต้อนรับพวกเราทุกๆคน เมื่อทานกันเสร็จเรียบร้อยก็
ออกเดินทางไปยังเขาพระวิหารกัน ต่างคนต่างเที่ยวกันและกัน บ้างก็ไม่ไปบ้างก็ไปตามสะดวก
ของกำลังที่จะมีแต่ละคน ผมกลับลงมาก่อนกับคุณก๊อย มานั่งพักต้นทางขาขึ้นเขาเจอคุณครูใหญ่
เจ้ากับพวกตามเคย แล้วร่วมกันเดินทางมายังรถ มาเจอคุณยอดกับคุณอ้อย คนละอ้อยร้อยฝันนะครับ
พูดถึงอ้อยมี 3 คนมาพบกันมิได้นัดหมายกันแต่อย่างไร ล้วนแต่สวยๆหวานๆกันทั้งหมดครับ
คุณอ้อยชวนผมไปเที่ยวขึ้นเขาอีมอแดงกัน ผมสะดุ้งอีกแล้วหรือเราแต่ก็อยากรู้อยากเห็น
หลวมตัวไปกับเขาครับ ไปยังที่ปักธงไตรรงค์ชาติของเรา มีพระพุทธรูปบนมณฑปองค์หนึ่ง
ปางวันเสาร์คือนั่งบนตัวพญานาค เราถ่ายรูปสถานที่กันจนได้เวลาพอสมควรก็กลับลงมาเพื่อ
ไปรวมพลเดินทางต่อไปยังวัดถ้ำคูหาสวรรค์ แล้วเดินชมสถานที่ไหว้พระกันซื้อของเป็นที่ระลึก
เสร็จก็เดินทางต่อไปยังผาแต้มผ่านหินลอยฟ้า(ผมเรียกอย่างนั้นจำชื่อไม่ได้) เพราะมีเสาหินตั้ง
ไว้ด้วยแผ่นหินเขาว่าอายุเป็นศตวรรธครับแล้วถึงไปดูพระอาทิตย์ตกดินก่อนใครสุดในประเทศ
หากใครจะลงไปยังข้างล่าวตามไหล่เขาเพื่อดูภาพวาดยุคโบราณที่ลือชื่อก็ตามใจ ผมก็อดที่จะ
ไปดูกับเขามิได้ ลงไปแบ่งเป็นสามขั้นตอน ขั้นที่หนึ่งรูปจางมากเกือบไม่ได้เห็นมีพระบรม
ฉายาลักลายพระหัตถ์ของพระเทพฯด้วยฝังจารึกลงที่ข้างผนังเขา ชั้นที่สอง ภาพชัดกว่า
ส่วนสุดท้ายเป็นเขาหมอน ผมไม่ได้ลงไปไม่ไหวแล้วอีกอย่างก็ใกล้จะมืดมากว่าจะขึ้นไปดู
พระอาทิตย์ตกดิน เฝ้านั่งคอยคุยกับพวกคนรถที่นำเราไปคอยเวลา แต่โชคไม่ดีเสียเลย
เมฆมากปกคลุมแนวชายฟ้าหมดเลยอดแห้วเสียแล้วล่ะครับท่านผู้อ่านครับ
เสร็จจากการท่องแล้วก็จะเดินทางไปที่พักเพื่อพักผ่อน เดิมทราบว่าไปพักที่เขื่อนสิรินธร
รถวิ่งไปถึงเขื่อนแต่หาที่พักไม่ได้ มาทราบภายหลังว่าคุณครูใหญ่หาไม่ได้ เลยต้องไปพักที่
ท่าล้ง ริมฝั่งโขงเจียม จากสภาพที่ผมเห็นแล้วที่ริมฝั่งโขงเขียมรู้สึกว่าจะดีกว่าเขื่อนสิรินธร
นะครับแต่ต่างความคิดกัน เอาเป็นว่าไปพักที่นั่นก็แล้วกัน การไปคุณเอ๋ยยอดแล้วยังสุดยอด
อีกครับกลางคืนเสียด้วยเหมาะสำหรับพวกอนุรักษ์ธรรมชาติจริงๆ หากไม่ผิดขึ้นเขาฝั่งนี้
แล้ววนเวียนไปมาผ่านบ้านชาวเขาไปยังอีกฟากหนึ่งแหละครับถึงจะถึงที่พัก ถนนหรือ
หากฝนตกชุกๆละก็ยิ่งสนุกที่สุดครับทางเป็นดินภูเขาแดงๆ บ้างต้องขับรถเอียงไปเอียงมา
ที่ผมเล่ามาสนุกไหมครับ ปรากฏว่าทุกๆคนที่ผมนั่งด้วยเงียบกริบกันหมด อิอิ แปลกแต่จริง
อ้าวพูดถึงคุณครูใหญ่ คุณครูฉันทะโส คุณครูกันเองอีกล่ะ ความห่วงใยของท่านที่รับผิดชอบ
ในเรื่องอาหารการกินที่พักท่านอุตส่าห์ขับรถกระบะคู่ชีพคุมการเดินทางมาข้างหลังรถพวกเรา
คอยเปิดไฟส่องทางให้ตลอด นี่แหละคือน้ำใจของชาวอีสานที่มากไปด้วยน้ำใจอันแท้จริง
เมื่อถึงที่พักแล้วเป็นศาลาขนาดใหญ่ ผมและพวกเราบางคนคิดว่านอนที่นี่แหละดีเย็นสบาย
ดีได้ดูพระจันทร์ริมโขงด้วย แต่คุณครูใหญ่บอกว่าใครจะนอนที่บ้านก็ได้มีบ้านว่างๆที่เจ้าของ
บ้านไม่อยู่ไปทำงานที่อื่นแต่ชาวบ้านบอกว่าอาศัยนอนได้รับรอง บางคนก็ไปนอนบ้าน
ส่วนใหญ่จะนอนรวมกัน พอนั่งสักพักฝนเกิดเทลงมาอย่างใหญ่โตมโหฬารคิดว่าคงเป็น
เทพยาดามาอวยพรให้กระมังเน๊อะเลยพรมน้ำมนต์เสียยกใหญ่เชียวล่ะ พอฝนหายตกดีแล้ว
ชาวบ้านก็ยกอาหารมาเลี้ยง เป็นอาหารของชาวพื้นเมือง มีข้าวเหนียว ส่วนข้าวจ้าวก็มีเขา
เอาใจเราแต่อาหารเหมือนๆกันต่างคนก็ไม่ว่าอะไรกันทานกันไป จนเกือบอิ่ม คุณครูฉันทะโส
สร้างเซอร์ไพร์ส เอาขนมเค๊กมาร่วมอวยพระวันเกิดของคุณอัลมิตราด้วย เลยปิดไฟจุดเทียน
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ใหญ่ เสร็จแล้ว ชาวบ้านและคุณครูทั้งหลายยกเสื้อ หมอน ผ้าห่มมาแจกจ่าย
หาที่นอนเอาเอง ผมโชคร้ายหน่อยไม่ได้ผ้าห่มกับเขามัวแต่ไปนั่งตอแหลกับพวกๆและเข้า
ห้องน้ำเลยชวด แต่คุณ เมา คุณภูตะวันฯ คุณยังเยาว์ คุณสลักเสลา ยังตั้งก๊วนก๊งเบียร์เหล้ากัน
กับเพื่อนๆของคุณภูตระวันฯ ส่วนคุณอ้อย(ร้อยฝัน) เมาไข้ครับทานยาแล้วเข้านอน จะเลิก
กันกี่โมงยามผมไม่รู้ อ้อเกือบลืมไปจะเล่าให้ฟังสักหน่อยคือว่า...คุณยอดกับคุณอ้อยเพื่อนเขา
หาที่อาบน้ำได้เสด็ดสะมะตีเลย บางคนอาบน้ำที่ใกล้ศาลามีสองห้อง และที่บ้านอื่นที่ไม่มีคน
อยู่กันหมด คุณยอดกับเพื่อนๆคิดอย่างไรไม่รู้กับไปอาบน้ำที่วัด มืดๆก็มืด กลัวผีก็กลัว พอคนเล่า
ให้คุณยอดฟังว่าผีดุเท่านั้นแหละเอ๋ย ต่างจ้ำๆๆกันกลับมาเล่าให้ผมกับพวกฟังหัวเราะกันแทบตาย
หากอยากฟังรายละเอียดสอบถามคุณยอดดุเอา เพราะพวกชาวบลูนั้นเขานับถือผีมากครับ คิดว่า
ผีคงดุแน่ แต่ตอนนั้นคนมากอาจจะขี้อายก็เป็นได้นา ....แต่ผมหลับสบายตามเคยประสาคนแก่ขี้เซา
พอรุ่งอรุณฟ้าสางวันใหม่ บ้างต่างก็บริหารร่างกาย นำโดยนายแพทย์ท่องเมฆา แนะนำ
ท่าบริหาร ผมมองดูสงสัยว่าจะเป็นท่าโยคะเสียมากกว่า จบด้วยการนวดต้นคอให้แก่ปวดเมื่อย
แก่อาสาสมัครเสี่ยงตายคอหักครับ เมื่อเรียบร้อยก็จะเดินทางต่อแต่ว่าเสียงส่วนใหญ่ไม่ไปช่องเมก
ผมเองก็เคยไปมาแล้วก็ไม่คิดอยากไปเหมือนกันแต่เฉยๆเพียงเล่าให้พวกเขาฟังว่าเป็นอย่างไร
จะตกลงอย่างไรไม่รู้ผมมาทราบภายหลังว่า...จะไม่ไปกันไปเข้าเมืองดูเทียนพรรษากันดีกว่า
และไปเที่ยววังสะพุงกันก่อน น่าฝนนี้น๊ะไม่สวยหรอกครับ เพียงแค่หินที่โผล่น้ำมาเป็นร่อยรอย
เท่านั้นเองแหละ หากเป็นน่าร้อนล่ะก็ น้ำจะแห้งขอดมีสายน้ำรินไหลเอื่อยเดินข้ามไปมาได้
จะสวยงามมากกว่า อ้อ..เกือบลืมไปว่าค่าอาหารนั้นเขาคิดกันมื้อละ 50 บาทต่อคน พวกเราก็ช่วย
กันเฉลี่ยกันออก สองมื้อคนล่ะ 100 บาท รสชาติแซบบ่อ แซบอีหลีเด๋อ...อิอิ...เลียนแบบหน่อย
เดี๋ยวว่าไปภาคอีสานไม่ได้อะไรมาเลยเน๊อะ
เมื่อไม่ไปช่องเมก ไปวังส่ายพุง...เฮ้ยไม่ช่าย...วังสะพุง...แล้วก็ไปเที่ยวดูเทียนพรรษาที่เขา
ประกวดแล้วจอดไว้ให้คนเฝ้าชม ณ ทุ่งศรีเมือง อุบลฯ ...อุ๋ยเกือบลืมบอกแน๊ะ...เข้าอุบลแล้วจ้า...
แล้วมาซื้อของกลับบ้านกันตามอัธยาสัย ตอนนี้เอ๋ยแม่เจ้าประคุณทูนหัวทั้งหลายเกิดกรณีพิพาท
ระหว่างลาว เขมร ไทยแล้วล่ะ...ศาลโลกได้แต่สั่นหัวเด๊าะแด๊ะ งุนงงเหมือนไก่ตาแตกถูกตีหัว
ทิ่มหักดินไม่มีผิด คนนี้จะเอาอย่างโน้น...คนโน้นจะเอาอย่างนี้...นี่หรือจะเอาอย่างง๊าน...โอ้ยเซ็งๆ
ผมนั่งคิดๆๆ มาทำบุญกันหรือมาเที่ยวเอาตัวตามใจตามสบายกันหว่า...อะไรๆก็ไม่ยอมกัน
ความสนุกหดหายไป..ดีน๊ะยังเหลือใจที่เป็นกุศลในบุญบ้างไม่ยอมปะปนกัน...กลับก็กลับตามใจ
ผมคนกลางนี่หว่าอย่าเสือกดีกว่า...นั่งเป็นสากกะเบือทิ่มดินดีกว่า..อิอิ..เรา ว่าแล้วก็หลับตาเสีย
วุ่นวายกันไปทั้งรถ...แม้แต่คนขับรถก็หน้าแดง..เป็นขาว...ขาวเป็นแดง...โอ้ย..ชักยุ่งซะแล้วล่ะ
พอไปถึงที่จอดรถรวมกัน ผมหาห้องน้ำเข้าไปเจอ คนรถทั้งสองคนคุยกัน หลังเสร็จธุระก็เข้า
ไปสอบถามดูได้ความจริงบ้างไม่จริงบ้างจับต้นชนปลายไม่ถูก เลยแก้ปัญหาให้เขาไปว่า
เอาอย่างนี้ดีกว่าคุณ เขาทั้งหลายในรถคันนี้จะไปไม่ตามคันหน้า แต่นี่ก็เพียงจะกลับกรุงเทพ
แล้วคิดว่าคุณคงรู้ทางกลับนะ หากคุณง่วงนอนมากไปหาปั๊มน้ำมันนอนให้เต็มอิ่มดีกว่า
หากขับไปทั้งที่เพลียอันตรายนะคุณ ผมขอร้องเถอะ แก้ปัญหาได้แน่เพียงให้อารมณ์เขา
เย็นกว่านี้ น้ำกำลังเชี่ยวอย่าพึ่งเอาเรือไปขวางเลยครับ เขาก็เห็นด้วยกับผม เห็นโทรศัพท์
ไปหาใครก็ไม่รู้ผมเองก็ไม่ถามเรื่องของเขา เพราะคนรถที่ผมนั่งมาบอกว่าเดี๋ยวเถอะจะขับ
แสดงท่าโลดโผนให้ดู....เอาล่ะซิผมสะดุ้งแทบตัวกลับเชียว คนกำลังโมโหทำได้น๊ะผมคิด
เพราะพวกเราดันไปสร้างปัญหาให้เขาก่อนจนเขารำคาญซิ ผมต้องสาธยายหลายยกจนเขา
เห็นใจ หัวหน้าคนขับรถเอาเงินให้คนรถที่ผมนั่งมา ผมเห็น 3000 บาท ไว้เติมน้ำมัน
ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย...คิดๆดูซิผมนั่งรถหาความสนุกสบายไม่ได้เลย ด้วยใจเป็น
ห่วงคอยจ้องดูตลอดเวลา ดีน๊ะที่ คุณก๊อยอุตส่าห์ชวนคุยเอาขนม น้ำบ้างจิปาถะเอาใจคนรถ
ถึงได้รอดปลอดภัยมาจนถึงบ้าน แล้วผล่อยหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้มาตื่นขึ้นอีกที คุณสลักเสลา
ปลุกว่าจะลงตรงไหน คนรถเขาให้มาถามผมกับเมาๆขี้ตาอยู่เขม้นมองสายตาก็ไม่ดี งง เหมือน
โดนเขาทรายชกเอาแหละครับ อืมมๆๆๆที่ไหนหวา..ทั้งๆที่เคยผ่านถนนวิภาวดีมาหลายๆครั้ง
แล้วยังจำไม่ได้เลย ถามว่าที่ไหนเขาบอกว่าถนนวิภาวดีเลยเกษตรแล้ว ตายล่ะตูเลยมาแล้วนี่
เพราะตั้งใจลงที่หลักสี่ แล้วนั่งรถแท็กซี่ต่อไปมีนบุรีกลับบ้าน มาถึงลาดพร้าวแล้วล่ะ บอกเขา
ว่าให้ช่วยจอดแถววินรถแท๊กซี่หน่อย พอดีคุณสลักเสลาตาดีเห็นแท็กซี่หลายๆคันจอดอยู่ช่วย
บอกคนขับให้จอดเพื่อจะลง หันไปมองข้างหลังเห็นพวกเราหลับเงียบกันหมดเว้นคุณสลักเสลา
คนเดียว คุณเธอเลิศด้วยน้ำใจจริง กุลีกุจอช่วยยกของที่ซื้อไว้ถือติดมือมาให้ ตอนนั้นผมงงมาก
พร้อมทั้งลงมาส่งผมที่รถแท็กซี่ โอ้..คิดถึงแล้วอดชื่นชมน้ำใจเธอเสียมิได้ ขอฝากขอบคุณผ่าน
มาทางนี้ด้วยครับ หากไม่ได้คุณแล้วผมเองสงสัยแม้แต่กระเป๋าเสื้อผ้าก็เห็นจะไม่ได้เอาไป
คุณเธอส่งผมจนรถแท็กซี่ออกไป นำหน้ารถตู้แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าพหลโยธินนั้นแหละจึงพ้นสายตา
ของผมที่หันมองกลับไปด้วยความสำนึกขอบคุณมิหายครับ
ทั้งหมดนี้ผมเล่ามาด้วยความจริงทุกประการ เพื่อให้เพื่อนๆชาวเวปฯได้พิจารณาว่าใครผิด
ใครถูกกัน เพราะผมเองก็ไม่สบายใจเหมือนกันที่เห็นพี่ๆน้องๆหลานๆตั้งแง่ตั้งงอนกัน อุตส่าห์
เล่าให้ฟังทุกๆขั้นตอน ยกเว้นผมหลับ ผมไม่อยู่ร่วมในการสนทนา เห็นทุกๆคนสนุกสนาน
คุยกันเฮฮากันดีหน้าตาแจ่มใสมิบาดหมางอันใด แต่ทำไมพอกลับมาถึงตีหน้ายักษ์ใส่กันป้ายร้าย
ป้ายสีกันและกันเพราะเหตุใด หรือจะเข้าตำราว่า รู้หน้าไม่รู้ใจกระมัง อยากจะถามหน่อยว่า
- เราไปทำบุญกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ?
- คิดตั้งใจไปเพราะถูกบังคับให้ไปทำบุญกัน?
- การเที่ยวเตร่เป็นที่ตั้งการทำบุญเป็นผลพลอยได้?
- การไปครั้งนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวเฉพาะ?
- การบาดหมางโกรธเคืองทำไมไม่โทรศัพท์คุยกันให้รู้เรื่องจะเอาเวปฯนี้เป็นสนามทดลอง?
- สิ่งเล็กน้อยๆนี้จะให้อภัยแก่กันและกันไม่ได้เลย?
- หรือคิดว่าตัวเองยังต้องดูดนมวัวเหมือนเด็กทารกอยู่?
- ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวไม่มีแม้กระพี้ในสมองอยู่?
คิดให้ดีๆนะเราก็สภาวะวัยที่เกินความเป็นเด็กไปแล้วทำอะไรก็ควรคิดเสียบ้าง หากตัวเราไม่ช่วยตัวเรา
เองคิดจะหวังให้คนอื่นช่วยเหลือจะดีหรือ ไหนๆก็อยู่ด้วยกันมาหลายๆในเวปฯนี้เพียงแค่นี้จะถึงกลับ
ทำลายจิตตัวเองและคนอื่นให้เกิดความไม่สบายใจไปทำไมกันเล่า
ด้วยคนทุกๆคนที่มีส่วนร่วมในเวปฯนี้เมื่อเกิดปัญหาก็อยากจะรู้เหตุการณ์เป็นอย่างไร
ข้าพเจ้าจึงจำต้องออกมาแถลงรายละเอียดของงานทั้งหมดเท่าที่ความจำของคนแก่จะจำได้
เพื่อให้ทุกๆคนพิจารณากันเอาเองว่าใครควรผิดใครควรถูก คนเราคนเดียวจะเอาใจคนหลายๆตาม
สภาวะย่อมเป็นไปไม่ได้ย่อมต้องพึงพาอาศัยเห็นอกเข้าใจกันและกันผิดนิดเบาหน่อยอภัยให้
ซึ่งกันและกัน และที่สำคัญต้องช่วยเหลือตัวเราเองเห็นใจสังคมนั่นแหละถึงจะไปกันได้
ขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่ได้อ่านแม้จะยาวแต่ได้ใจความละเอียด หากเขียนสั้นๆ
ก็จะไม่เข้าใจในประเด็นปลีกย่อย ซึ่งมีอีกข้าพเจ้าตัดทอนเพราะเห็นไม่สำคัญเป็นบ่อเกิด
ของความแตกแยกครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียวด้วยใจที่ไม่เข้าข้างใครทั้งสิ้น
หากจะด่าข้าพเจ้าก็ได้ยินดีรับเสมอ หรือหากจะไม่คบกับข้าพเจ้าก็ได้หากข้าพเจ้าเขียน
ครั้งนี้ผิดไปก็ตามแล้วแต่บุญวาสนาที่ทำร่วมกัน....ขอบคุณครับ......
*** แก้วประเสริฐ. *****