19 มกราคม 2549 11:24 น.
แก้วประเสริฐ
หวานที่ซ่านหทัย
สายลมเฉื่อยเอื่อยมาเวลาพลิ้ว
ใจละลิ่วลอยไปคล้ายหวนหา
ยังนงนุชสุดสวาทยอดกานดา
มอบเสน่หาพาให้ฤทัยครอง
ท่ามกลางจันทร์ฉันเพ้อละเมอกรุ่น
แนบไออุ่นเคล้าเหมันต์พลันสนอง
น้ำค้างหยาดเป็นฝอยลอยละออง
ดาวมองค้อนอ้อนดวงจันทร์อันชื่นมืน
เคยแนบชิดติดกันกระสันสะกิด
ร่วมชีวิตผูกพันอันแสนชื่น
ดุจร่างเดียวเกี่ยวไว้ตลอดคืน
แสนระรื่นตื่นตาแลตื่นใจ
หยดน้ำค้างเริ่มพรมบนใบหญ้า
แล้วก็มาพรั่งพรูเป็นหลายสาย
แต่ชื่นฉ่ำแม้นร้อนผ่อนภายใน
เป็นสายใยพันผูกคลุกเคล้ากัน
แสนฉอเลาะเพราพริ้งยิ่งสล้าง
สู่เวิ้งว้างกลางหาวคราวสุขสันต์
ล้วนเสนาะเพาะหัวใจไว้ผูกพัน
สุขอนันต์นั้นวางกลางแมกไม้
หลับตาพริ้มอิ่มเอมเกษมสู่
ยอดพธูครวญครางสร้างผ่องใส
ดั่งหยาดเพชรเกล็ดแก้วแนววิไล
ประทับไว้เคล้าหทัยไม่ลืมเลือน.
* แก้วประเสริฐ.*
18 มกราคม 2549 11:20 น.
แก้วประเสริฐ
วังวนปนเหงา
คราบวังวนปนเศร้าช่างร้าวจิต
เสมือนลิขิตฟ้าดินทั้งสิ้นผอง
สิ่งผันผวนวิปริตเข้าปิดครอง
ดั่งสีทองผ่องจ้าลับคลาไคล
อนาถแท้ทะเลเอ๋ยที่เคยเห็น
น้ำกระเซ็นเป็นฟองละอองใส
รุ้งตะวันทาบฟ้าแลหาไกล
สะท้านใจวังสวรรค์ที่ฉันเพลิน
ณ ริมหาดคราคล่ำสำเนียงเสียง
นกบินเลี่ยงขอบผามาแก่งเขิน
ทะเลสาดระลอกกระฉอกเกิน
ตามซอกเนินเป็นฝอยทยอยทบ
บัดนี้หนอเหลือไว้เพียงในฝัน
คลื่นลมสั่นน้ำเซาะเจาะตลบ
อดีตกาลผ่านไปไม่เหลือครบ
ตำนานลบจมทรายดุจคล้ายลม
แต่ความหลังฝังใจดั่งได้ผนึก
สิ่งรู้สึกช่างกระไรสู่ใยขม
เมื่อไหร่หนอย้อนเวลามาเชยชม
อภิรมย์สมสร้างระหว่างเรา
ทะเลเอ๋ยเห็นอยู่เมื่อสู่วิถี
ลมที่มีหาดงามเมื่อยามเฉลา
คลื่นซัดทรายสู่แก่งแฝงบางเบา
คงเหลือเงาฝังลึกตรึกใจจำ.
* แก้วประเสริฐ. *
16 มกราคม 2549 13:20 น.
แก้วประเสริฐ
สายใยสายรัก
โอ้ทรวงในใจคุณครูดูฟุ้งซ่าน
วันตระการที่กำหนดช่างสดชื่น
สิ่งรอบข้างสร้างไว้ให้ชื่นมืน
เหมือนระรื่นแต่ภายในยากใฝ่ปอง
สรรค์สิ่งสร้างหวังหทัยใคร่ประสงค์
เพื่อใฝ่ดำรงสายใยมิได้สนอง
อบรมศิษย์ที่รักหวังจักเรืองรอง
โลกทั้งผองผันผวนล้วนเศร้าใจ
ลมโชยฉิวพลิ้วสะบัดดูจัดจ้าน
ละลอกผ่านเป็นละอองผุดผ่องใส
ระริกระรี้ริ้วคลื่นระรื่นไกล
ดุจสายใยฉ่ำน้ำพร่ำหารัก
หมุนเป็นเกลียวเลี้ยวหามาสู่ฝั่ง
ดั่งความหลังพลังใจมิได้ประจักษ์
แตกสลายคลายชื่นช่างฝืนนัก
วังเวงกักมักล่วงห้วงให้ลอย
น้ำเจ้าเอ๋ยล้ำลึกผนึกฟองคลื่น
ช่างแฝงสะอื้นคืนกลับละอองฝอย
เสมือนกระต่ายหมายฟ้าหวังมาคอย
แสนละห้อยเฝ้าแก่งแฝงรัญจวน
ใยพันผูกลุกล้ำมักพร่ำเพ้อ
แสนละเมอเจอทะเลยามเห่หวน
ลมสะบัดพัดมาไกลใคร่เชื้อชวน
สิ่งที่ป่วนล้วนกลับฝั่งดังทะเล
รักดั่งน้ำพร่ำเพรียกยากเรียกหา
จันทร์ทอมาทาบผิวผ่องต้องหักเห
ในหัวใจหวั่นไหวคล้ายไกวเปล
โอละเห่ชวนคลั่งพลั้งอารมณ์
มองฟ้าไกลในรักมักร่ำเรียก
ความสำเหนียกเรียกร้องต้องขื่นขม
สิ่งฝากไว้หวนหาล้วนมาระทม
เปรียบดังลมห่มทะเลต้องเห่ครวญ.
* แก้วประเสริฐ. *
12 มกราคม 2549 12:33 น.
แก้วประเสริฐ
* ห้วงในจินตนา *
ชมเมฆหมอกพลิ้วไหวสายลมฉิว
ลอยละลิ่วหวือหวาพาสู่ฝัน
ทิพย์วิมานแมนแดนฟ้าวิลาวัลย์
นานาพันธุ์รุกข์ชาติประหลาดอารมณ์
หอมระรวยชวยกลิ่นระรินรัก
หวานซึ้งนักอบอวลล้วนซ่านขม
ปาริชาติแย้มดอกเย้ายวนดม
ยังรื่นรมย์สวรรค์สร้างระหว่างผกา
สีแดงชาดอ่อนละมุนดุลใจสุด
งามพิสุทธิ์ดุจเมฆาล่องลอยฟ้า
ปราศราคินสิ้นถวิลในจินตนา
ล้วนเริงร่าน่าภิรมย์ข่มใยปอง
ครั้นวกวนปนสล้างระหว่างจิต
เกิดความคิดผันแปรมาแผ่สนอง
รักกำหนดกฎวางไว้เข้าใฝ่ครอง
แสงเรืองรองผ่อนคลายสลายมา
เมื่อทุกข์สุขคลุกเคล้ายากเฝ้าแยก
ซ่านเข้าแทรกระหว่างจิตติดสิ่งหา
เฉกสิ่งดำปนขาวเข้าอุรา
คิดวาสนาหาใช่ใครกระทำ
ผกาแก้วแวววับระยับพาด
หอมหวนหยาดซาบซึ้งตรึงสิ่งล้ำ
พลันมวลธรรมงามขับจับลำนำ
ล้วนฟอกย้ำนำแต่งแห่งฤดี
สวรรค์กำเนิดรัศมีมีกลิ่นหอม
อบอวลออมย้อมวิถีให้สุขี
ด้วยรองบาทสัมพุทธะบารมี
เปล่งรังสีปทุมมาศนลาฏครอง
เสนอสนองผ่องไสวในแดนสวรรค์
จำเนียรกาลผันสุขปราศทุกข์หมอง
ยังแดนฟ้านภากาศอันเรืองรอง
ตามครรลองพุทธองค์ทรงแนะนำ.
* แก้วประเสริฐ. *
9 มกราคม 2549 10:14 น.
แก้วประเสริฐ
มรรคาแห่งชีวิต
งามกระจ่างมวลบุปผาหลายหลากสี
หยาดน้ำค้างพร่างพรมไว้ในราตรี แสงระวีงามระยับจับเรืองรอง
ประกายแก้วแวววับฉาบพื้นหล้า เหล่าภุมรานกกาพาแซ่ซ้อง
ม่านหมอกเมฆเรี่ยพื้นตื่นตามอง ฉันแลจ้องท่องมรรคาร่าเริงใจ
ชีวิตหนึ่งคนเราก็เท่านี้ ผ่านสุขที่เคล้าระทมจมนิสัย
สิ่งเริงร่าพาชื่นระรื่นไป ทุกข์แทรกไว้จึงให้สู่ใจตรม
ดุจสายลมพัดใบไม้ให้หวั่นไหว ส่วนแกว่งไกวต้านรับกลับเหมาะสม
บ้างหนึ่งลอยละล่องต้องตามลม เปรียบอารมณ์ทุกข์สุขคลุกเข้ารุม
แวบหนึ่งซ้อนผ่านห้วงจากดวงจิต พลันหวนคิดถึงชีวิตแรกคิดกลุ้ม
แย้มวัยหนุ่มดุจดอกไม้ในสุมทุม กลิ่นละมุนหอมไอกรุ่นที่คุ้นเคย
ซาบซ่านซึ้งตรึงผ่านพลันระเหย ลมรำเพยฟุ้งพล่านมิซ่านเฉย
ส่งดวงจิตกายใจมิให้เสบย ไม่คิดเลยถึงกฎกรรมจะทำเอา
สร้างลิขิตเสเพลเห่หารัก เข้าฟูมฟักรักเร่หันเหเข้า
ดูประหนึ่งขนมหวานพล่านลิ้นเรา หลายรสเคล้าเอาสนุกทุกข์ไม่คิด
หลงมัวเมาเฝ้าถนอมสู่อ้อมรัก ผิดถูกกักฝากไว้ในพรหมลิขิต
ใช้เงินทองเสน่ห์กายหันใช้ชีวิต ร่าเริงจิตคิดสร้างหนทางสวรรค์
หักหันเหมุมมองเข้าต้องชีวิต ผันแปรปลิดปรับสู่ฤดูผัน
สายใยขึงพึงขาดฟาดจาบัลย์ สะท้อนหันเหร้างกระจ่างราคิน
ดุจดั่งนกเริงร่ากลางนภากาศ สายฟ้าฟาดด้วยศรร่อนเสียสิ้น
ล่วงจากฟ้าพาให้ใจรวยริน คืนสู่ถิ่นคอยเวลามาย่อยยับ
เสียทั้งตัวหม่นหมองสนองไว้ สิ่งที่ได้คืออับอายมิหายลับ
เข้าฟุ้งซ่านพันผูกผิดถูกกลับ ซุกซ่อนนับคอยวันที่ผันแปร
สายพิรุณโปรยปรายสู่ใบหน้า สิ่งที่มาผ่องใสของในกระแส
เย็นชื่นฉ่ำฟอกไว้ใจดวงแด สองตาแลหนทางพลางสู่เดิน
เดินขึ้นเขาโขดหินเรียงรายรอบ เว้าเป็นขอบรอบข้างดุจดั่งเหิน
หมอกกระจายเป็นหย่อมย้อมใจเพลิน ทั้งเผชิญกลิ่นไม้ป่ามาโชยปราย
ทั้งรอบข้างสุมทุมคลุมด้วยไม้ ล่วงโรยไว้ใบไม้แห้งแฝงสลาย
นกบินว่อนร่อนข้างอยู่เรียงราย ลิงโวยวายชายตามาเหลือกโปน
เสียงจ๊อกจ๊อกของน้ำที่ล้ำฝั่ง เคล้าระฆังงั่งเหง่งบรรเลงด้น
สร้างหัวใจใสสะอาดในบัดดล ไม่เอนโอนหนทางพลางดำเนิน
แว่วสวดมนต์ลอยล่องผองใจชื่น สู่พลิกฟื้นคืนกลับนับห่างเหิน
ด้วยทุกสิ่งสร้างไว้เพราะใจเพลิน ทิ้งส่วนเกินหลบลี้หนีห่างไกล
สู่ยอดเขาสุวรรณคีรีศรีบรรพต รอบอุโบสถประดับไฟเรียงรายไสว
พุทธางกูรท่าต่างวางเรียงราย เพริศพริ้งพรายให้น้อมก้มโน้มวันทา
พุทธังสาระณังคัจฉามิ พุทธาจิตจงมาพาหรรษา
เป็นที่พึ่งพึงขจัดกิเลสทุกเวลา พุทธรักษาใจข้าพ้นซึ่งเวรกรรม
ธัมมังสาระณังคัจฉามิ ธรรมลิขิตปัญญามาเสกซ้ำ
รู้รักษาตัวรอดตลอดนำ ธรรมจงค้ำอารมณ์บ่มใจปอง
สังฆังสาระณังคัจฉามิ อริยะสงฆ์คิดค้ำจุนศาสนามาสนอง
เป็นที่พึ่งนำธรรมตามครรลอง สิ่งเรืองรองประดับข้าสร้างบารมี
เมตตาแผ่สู่ไปเวไนยสัตว์ อีกทั้งปรมัตถ์ผูกใจให้เกษมศรี
ผลบุญกุศลสร้างไว้ที่ได้มี จงส่งไปที่บิดรมารดาหานิพพาน
ขันธ์วิจิตรประดิษฐ์ไว้จงให้แจ้ง รู้ตลอดแทงแจ้งใจให้เกษมศานต์
อีกไตรลักษณ์ทรงไว้ใจตลอดกาล เพื่อวิมานนิพพานอันเบื้องปลาย
สติอันมั่นคงตรงพริ้งเพริศ ทุกข์ที่เกิดสงบนิ่งอิงสลาย
ส่งสุขเมื่อทุกข์นั้นพลันกลับกลาย ตาแลไปให้กระจ่างสว่างอารมณ์
เดินทักขิณาเวียนวนจนสามรอบ ใจนบนอบไตรสรณะพาสุขสม
ขอพุทธางกูรหนุนเกื้อเพื่อพ้นตรม ส่งจิตบ่มข่มตัณหาที่พาเพลิน
รอบขุนเขาเรียงรายด้วยไพรพฤกษ์ สิ่งอึกทึกปราศสิ้นถิ่นเขาเขิน
สลับสูงต่ำหมอกขาวราวยวงเงิน ตามแนวเนินเพาะปลูกพันธุ์ลูกไม้
ทั้งลิ้นจี่ลำไยเรียงรายรอบ ตามแนวขอบกรอบชั้นนั้นกล้วยไม้
อีกบุปผานานาพันธุ์นั้นมากมาย แสนสุขสบายคล้ายสวรรค์ในแดนดิน
หลับตาพริ้มอิ่มใจในสิ่งนี้ แสนสุขีที่พ้นทางระหว่างติฉิน
กอปนาบุญหนุนสร้างร้างราคิน มรรคชีวินคงสิ้นสุดพุทธางกูรเอย.
* แก้วประเสริฐ. *