22 พฤษภาคม 2547 12:46 น.
แก้วประเสริฐ
อันรูปธรรมนามธรรมถูกกำหนด
ธรรมชาติปลดกำหนดไว้ในทุกสิ่ง
อนิจจังวัฏสังขาราเป็นของจริง
มิทอดทิ้งแก่มนุษย์ทุกรูปนาม
ยืนแลมองสายตาที่แลเห็น
เขานอนเช่นคนตายไร้สถาน
อยู่ศาลาของวัดที่ให้อภัยทาน
เป็นสถานพักพิงของคนจร
โครงสร้างใบหน้ากายนั้นในอดีต
คงจะผิดกับเดี๋ยวนี้ที่เร่ร่อน
กายสง่ารูปหล่ออย่างแน่นอน
ร่างกายผอมนอนไว้ไร้สง่างาม
อดีตเขาได้เล่าผ่านให้ฟังนั้น
ย้อนถึงวันโชติช่วงดุจวาบหวาม
สะท้อนชีวิตผิดพลาดอันต่ำทราม
ทั้งความงามสิ่งชั่วคลุกเคล้าไป
ทรัพย์สมบัติมากมีดีเป็นเลิศ
พ่อแม่ประเสริฐมอบไว้ให้จ่ายใช้
เที่ยวผู้หญิงเมายาเหล้าอยู่ร่ำไป
ไม่คิดไว้สร้างในอนาคตกาล
สถานที่เที่ยวทุกแห่งไม่เคยพลาด
คบเพื่อนไม่ฉลาดคิดช่วยอ่านขาน
เข้าบ่อนพนันสนามม้าตลอดกาล
ได้ไม่นานสินทรัพย์พลันละลาย
เที่ยวผู้หญิงยิงเรือและเป็นชู้
เอาเงินสู้แลกเปลี่ยนให้ได้สมหมาย
ไม่คำนึงถึงสามีเขาใจจะวาย
มิได้หมายว่าใครเขาเป็นเช่นไร
กรรมสนองเข้าประดังในเล่ห์รัก
ติดเอดส์หนักในสังคมที่วางไว้
มิป้องกันต้องติดโรคมาทันใด
ทรัพย์หมดไปไร้สถานที่พักพิง
นี่แหละหนอโชคชาตาของชีวิต
พรหมลิขิตมีบุญเก่าในทุกสิ่ง
ไม่คำนึงถึงอนาคตจึงถูกทิ้ง
แล้วทุกสิ่งต้องจบลงอย่างเอกา.
แก้วประเสริฐ.
21 พฤษภาคม 2547 11:28 น.
แก้วประเสริฐ
ฉันเคยสอบถามหญิงที่มักพริ้ง
ว่ารักจริงนั้นเห็นเช่นเป็นไฉน
แล้วสอบถามชายเล่าว่ากระไร
ทั้งหญิงชายพูดไว้ไม่เหมือนกัน
ดูประหนึ่งขัดสนและจนเกล้า
เหมือนจะเข้าตำราที่กล่าวขาน
เป็นนามธรรมยอกย้ำในวันวาน
ดุจวิมานฝันเพ้อละเมอจริง
อุสส่าห์สอบถามผู้รู้ที่ว่าไว้
เพื่อจะได้จำกัดความที่ดียิ่ง
บ้างก็ว่าเสียสละเป็นของจริง
ไม่ทอดทิ้งอยู่เฒ่าชะแลแก่ชรา
ความปรารถนาอยู่ที่ใจเราทั้งสอง
ที่หมายปองครองคู่อยู่หนักหนา
หากแม้นชอบพอต่อคู่ที่อยู่มา
นั่นแหละหนาเขาว่าคือความรัก
ผู้รู้ทั้งหลายโปรดได้ช่วยแถลง
จำกัดแห่งความรักให้ประจักษ์
ฉันจะได้จดจำไว้แล้วหยุดพัก
ไม่ต้องจักติดตามหาอีกต่อไป
ตัวฉันเล่าเฝ้ามองโดยครุ่นคิด
แล้วประดิษฐ์คำรักแจ้งแถลงไข
จะถูกต้องผิดพลั้งหรืออย่างไร
ขอหญิงชายช่วยให้คำติติง
อันรักเกิดผูกพันนั้นเป็นเหตุ
ด้วยมีเจตจำนงไว้ก่อนทุกสิ่ง
แล้วรู้ใจซึ้งใจกันด้วยใจจริง
เข้าใจยิ่งในเกียรติมอบให้กัน
เสียสละให้ในสิ่งที่หมายภักดิ์
ช่วยเหลือจักทำได้เพื่อเกษมสันต์
ค่อยถนอมน้ำใจมอบให้กันและกัน
เพื่อสร้างฝันให้เป็นรักจักยืนยง.
แก้วประเสริฐ.
20 พฤษภาคม 2547 11:40 น.
แก้วประเสริฐ
ความปวดร้าวห้วงใจใครจะเหมือน
น้ำตาเลื่อนหลั่งไหลร่องทั้งสองแก้ม
ซบหน้ากับฝ่ามือสะอื้นน้ำตาแซม
สองตาแก้มชอกช้ำน้ำตานอง
ผ่านชีวิตการครองคู่มิสู่สม
แสนระบมชอกช้ำอกกลัดหนอง
มอบความรักภักดีให้ไม่สมปอง
จนต้องหมองเลิกร้างแล้วห่างคน
ทิฐิหญิงพุ่งสะบัดหน้ากานดาเจ้า
ลาแล้วเราชายเจ้าชู้ไม่ขอสน
ยืดกายตรงสะบัดรักในกมล
หันหน้าตนเดินไปหมายจากจร
กาลเวลาผ่านไปให้เริงระรื่น
แสนชุ่มชื่นในรสรักที่เข้าสอน
กับหญิงใหม่ในชู้สุดร้าวรอน
ตามขั้นตอนสองสาวเร้าอารมณ์
สร้างชีวิตรักใหม่สะใจแล้ว
แม้ผิดแนวสังคมก็เหมาะสม
ประชดชีวิตผ่านมาเป็นอาจม
แม้นขื่นขมอารมณ์รักจักโน้มน้าว
นี่แหละหนอชีวิตหญิงอารมณ์สอง
ตามครรลองของหญิงอารมณ์สาว
เฉกฉีกประชดสังคมเป็นเรื่องราว
เพราะใครเล่าทำให้เธอเดินผิดทาง
ขอฝากไว้ชายเจ้าชู้ในโลกนี้
คิดให้ดีกุลสตรีทีมีอย่าให้หมาง
สงสารเธอเถิดนะอย่าให้ผิดทาง
นรกจะสร้างรอยช้ำเจ้าจนวันตาย.
แก้วประเสริฐ.
19 พฤษภาคม 2547 13:35 น.
แก้วประเสริฐ
นัดเด็กน้อยท่องล่องน้ำวัยเจ็ดสิบ
เกินเจ็ดสิบก็มีอีกมากหลาย
อายุฉันมากห้าสิบก็มากมาย
นั่นรถไปมุ่งสู่เมืองราชบุรี
ประธานกลุ่มซึ่งเป็นมัคคุเทศก์
ชี้แจงเหตุตามรายทางอย่างสุขี
หมอหญิงก็คุยสนุกเรื่องโลกีย์
ทุกคนฤดีเปรมชื่นรื่นอารมณ์
รถบัสแล่นมาถึงเมืองแห่งดินเผา
รถแล่นเข้าบูชาพระได้เหมาะสม
แล้วแวะเข้าร้านเบญจรงค์เพื่อชม
ซึ่งดำรงไว้เลืองฤาชื่อเมืองไทย
ระหว่างทางฝนตกอดเที่ยวหลายแห่ง
บ้านชมเดือนแจ้งในโบชัวร์ไว้
สั่งอาหารกินคุยตลกร่าเริงใจ
พวกเราจะไปล่องน้ำยามค่ำคืน
ครั้นทุ่มหนึ่งถึงเวลาออกท่องเที่ยว
เรือลดเลี้ยวริมน้ำแม่กลองสุดฝืน
ล่องลำน้ำที่เงียบสงัดยามค่ำคืน
เสียงแตกตื่นชี้ชวนชมต้นไม้ทอง
ต้นลำพูดารดาษด้วยแสงหิ่งห้อย
นับเป็นร้อยหมื่นแน่นบินละล่อง
เสาะแสวงหาคู่ไปด้วยแสงทอง
ตัวเราหมองคู่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เอ๊ะอะไรช่างขาวโพลนบนต้นไม้
พอเข้าใกล้สีขาวนกกระยางเป็นคู่
ช่างอ้อล้อจู๋จี้กันกระสันชวนดู
เกาะเป็นหมู่เหมือนดอกไม้ในราตรี
ใช้เวลาชั่วโมงกว่าล่องเรือหันกลับ
หากจะนับถือว่าเป็นชั่วโมงที่สุขี
นี่แหละหนอชีวิตวัยรุ่นเท่าที่มี
บั่นปลายชีวีไม่หง่อยเศร้าเหงาอารมณ์.
แก้วประเสริฐ.
18 พฤษภาคม 2547 13:54 น.
แก้วประเสริฐ
ยามดึกดื่นคืนค่ำน้ำค้างตก
เสียงวิหคโหยหวนมาตามสาย
พระพายพัดโชยพลิ้วระริกกาย
ปนปรายเสียงขลุ่ยแผ่วแว่วพลิกแพลง
ท้องนภาคลาคล่ำดาวเดือนฉาย
ดาวกระจายพรายพริบวิวับแสง
มวลหมู่ไม้ใหญ่เล็กคล้ายสิ้นแรง
ดุจดั่งแฝงอารมณ์เศร้าเคล้าขลุ่ยตาม
เสียงขลุ่ยแผ่วแว่วครวญหวนใจจิต
แม้นน้อยนิดใจระริกให้วาบหวาม
สูงลงต่ำคล้ายร่ำไห้ของคนงาม
แฝงถึงความสูญสิ้นช้ำระกำใจ
บัดเดี๋ยวขลุ่ยเสียงแผ่วแว่วเลือนหาย
ดุจดั่งคล้ายเจ้าของขลุ่ยนั้นร่ำไห้
ทำไมหนอใจฉันนี่เป็นอะไร
ช่างหวั่นไหวต่อขลุ่ยแว่วแผ่วมา
หมายย่างเท้าก้าวเดินเพื่อหลีกหนี
เหมือนจะมีเสียงเรียกเพรียกหวนหา
ต้องชะงักกายไว้เหมือนต้องมนตรา
หลงเสน่หาขลุ่ยแผ่วแว่วหวนคืน
ทำนองเสียงระริกพลิ้วสุดระริก
คล้ายจะจิกกระชากใจต้องสุดฝืน
ยิ่งฟังไปใจยิ่งช้ำต้องกล้ำกลืน
ยากจะฝืนน้ำตาหลั่งรดทรวงใน
โอ้ขลุ่ยหนอเสียงเจ้ายังเท่านี้
แล้วคนที่บรรเลงเจ้าจะเป็นไฉน
มิหลั่งน้ำตาพร้อมเจ้าดูกระไร
ฉันนี้ไกลได้ยินเจ้ายังเศร้าตรม.
แก้วประเสริฐ.