20 กุมภาพันธ์ 2548 11:10 น.

สายชลวนเชี่ยวเกลียวคลื่น(ลองโคลงสี่สุภาพ)

แก้วประเสริฐ


               สายชลวนเชี่ยวเกลียวคลื่น
                     (ลองโคลงสี่สุภาพ)

        กระแสชลวนช่างล้ำ            เวียนวน
เปรียบดั่งหญิงงามปน                ร่ำไห้
โศกครวญป่วนปรน                   จริงแม่
รักใส่ชวนยากไซร้                      แน่แท้ตรอมตรมฯ

        ยามมองคลื่นรื่นพลิ้ว           ไหลนาด   จริงนา
แสงจ่างแววสีพาด                       อร่ามหล้า
เนตรมองส่องสาด                      นัยน์พร่า  ตลึงแล
โอ้แม่คงคางามกล้า                    แซ่ซ้องสรรเสริญฯ

        ปั่นป่วนปานใคร่รู้                 จากนาง
แสนห่วงกลัวนวลปรางค์              เจ็บช้ำ
คล้ายดั่งบ่วงผูกวาง                     กัดกร่อน  ใจแฮ
ปากช่างอดงามล้ำ                       โอษฐ์เอื้อนสักคำฯ

        ผิวชนใดใคร่เชื้อ                 เรืองรัก
ป่วนปั่นหัวใจมัก                          เที่ยวเร้น
เวรกรรมดั่งดุจจัก                        ซุกซ่อน    คลอนนา
หักห่อนลิดมิเว้น                          แน่ต้องสนองเวรฯ

        พระพายโชยส่องต้อง            กายา
บุบผากลิ่นโรยนาสา                      ห่อนแท้
ปลงจิตล่วงความมา                       ปลิดซ่อน 
อกผ่อนยากจะแก้                          เช่นนี้นวลเอยฯ

        หญิงชายใดเร่าเคล้า              กามา 
แสนแส่มินำพา                              เที่ยวร้อง
พอสุดสิ่งปองหา                             หักเช่น   งามขำ
ยกแต่ผันผวนก้อง                           ใฝ่จ้องแสงธรรมฯ๙

                  ๙๙๙   แก้วประเสริฐ.   ๙๙๙				
19 กุมภาพันธ์ 2548 17:02 น.

ภาพฝันที่ล่องลอย

แก้วประเสริฐ


                      ภาพฝันที่ล่องลอย

          เห็นภาพพลิ้วตรึงใจฤทัยฝัน
จิตของฉันล่องลอยคล้อยเวหน
อเนกอนันต์ครั้นพบยิ่งสบยล
งามเหลือล้นสรรสร้างทางอารมณ์

           ก่อกำเนิดแพรวเพริศเลิศทุกสิ่ง
ดวงจันทร์ยิ่งเฉิดพราวราวสีสม
อุษาแจ้งวันใหม่ล้วนใคร่ชม
สีส้มบ่มพรมพร่างกระจ่างวิไล

          สกุณาพาร้องก้องขับขาน
เข้าสร้างสรรค์ภาพพจน์แสนสดใส
ช่อพุ่มพฤกษ์อ่อนช้อยห้อยไฉไล
มีเส้นสายหมอกรอบเข้าครอบคลุม

          ลมโชยกลิ่นนาพันธุ์อันหอมกรุ่น
ช่างละมุนซาบซ่านผ่านโกสุม
จากบึงใหญ่รายรอบบุบผาชุม
เป็นช่อกลุ่มสุมพฤกษ์จัดเรียงราย

          ตระการตาพาเห็นเด่นภาพพจน์
ใบหน้าจรดงดงามริ้วเงาสาย
บนนภาคู่เมฆาหน้าพริ้มพราย
แย้มยิ้มปรายให้ชักชวนรัญจวนใจ

           ยกขลุ่ยอ้อเป่าผิวพลิ้วเสียงแว่ว
บรรจงแน่วแผ่วคลอล้อฟ้าใส
ฝากสำเนียงเคียงไว้สู่นางไกล
ด้วยหทัยหมายมุ่งจรุงฟ้า

          บรรเจิดแล้วมวลนภาล้วนคราสม
ส่งอารมณ์บ่มสล้างกระจ่างอุษา
แสงสีทองงามส่องทาบอาบอุรา
ชื่นนาสาพาพริ้งเพราเคล้าตะวัน

          สิ้นสุดแล้วแนวทุกข์มิสุขสม
มันเคยบ่มข่มหทัยดั่งคล้ายฝัน
ด้วยกัลยาเตือนให้คลายผูกพัน
นับเป็นวันที่ฉันพบสบความจริง.

               ๙๙๙   แก้วประเสริฐ.   ๙๙๙
				
17 กุมภาพันธ์ 2548 13:16 น.

ความคำนึงถึงย้อนอดีตฝัน

แก้วประเสริฐ


         ความคำนึงถึงย้อนอดีตฝัน  

          เริงระรื่นชื่นใจยามพบรัก
สะท้านนักมักพาให้กระจ่างศรี
สิ่งทั้งหลายผ่านมาช่างเปรมปรีดิ์
ล้วนเป็นที่สมปองสนองอารมณ์

           น้ำคำหวานปานมธุรสหยดย้อยยิ่ง
สรรพางค์สิ่งสร้างไว้คล้ายเหมาะสม
แม้นผิดถูกอย่างไรไม่ตรอมตรม
ทุกอย่างบ่มจัดสล้างพรายพร่างนัก

           สำเนียงเสียงรอบข้างร้างผ่านหู
ปราศเหลียวดูรำคาญแม้ขานทัก
สิ่งมากมายคล้ายลงตัวจนประจักษ์
มัวเมารักจักเทิดไว้ในอุรา

           เสียงขลุ่ยพลิ้วแว่วหวามล้ำใจโหย
พระพายโชยแผ่วละห้อยสร้อยหวนหา
สำเนียงต่ำเคล้าสูงจูงจิตมา
ถึงกานดาพาหัวอกมิโศกครวญ

          ล้วนกำซาบอาบเพลงบรรเลงอ่อย
หวังรอคอยเพ้อพร่ำยากกำสรวล
บ่วงผูกมัดรานร้าวสุดน้าวชวน
ยิ่งปั่นป่วนหวนคำนึงนึกถึงวาน

           รักเราสองปองใฝ่ในใจฝัน
หากมีวันต้องจำแนกแตกกระสัน
ด้วยหัวใจเราเฝ้าสนองแม่นงคราญ
ไม่มีวันเราสองพรากความรักนั้น

          อนาถแท้มาประจักษ์ในครั้งนี้
แม้นจะมีขลุ่ยเพรียกจากจอมขวัญ
กระชั้นกระชิดติดไว้ให้รำพัน
โอ้ยอดกานหันมาพรากจนรักลา

           ย้อนอดีตคิดไปในความหลัง
สุดสะท้านพลังใจนัยน์ตาพร่า
นี่นะหรือบอกฉันวันจากมา
อย่าโหยหาเหมือนผ้าคราหมองหม่น

           ครั้นพบพักตร์ใจสั่นพลันครุ่นคิด
อุราจิตดำเนินไปให้สับสน
ทั้งนอกในไหวหวั่นเหลือจะทน
ช่างร้อนลนสุดหวนป่วนวิญญาณ์

           มธุรสเอื้อนเอ่ยจากวจี
สุดจะที่วาบหวามล้ำหรรษา
จริงหรือเท็จไม่หวั่นพรั่นอุรา
สิ่งผ่านมาเคยแนบชิดสนิททรวง 
  
          ความขมขื่นพึงได้พบประสบเห็น
เมื่อหล่อนเร้นหนีหายไปจากสรวง
ดวงใจน้อยพลอยรู้ถูกหลอกลวง
สิ่งทั้งปวงล้วนเกิดจากจิตใจตน

           จึงตั้งสัตย์อธิษฐานวางกานต์ไว้
ถ้าหากได้พบความรักจักมิสน
ดุจเสื้อผ้าหาเปลี่ยนใหม่ตามกมล
แม้นร้อนลนอุราแยกแตกก็ยอม

           นี่นะหรือคือความรักของชายหญิง
ช่างกลอกกลิ้งวิ่งวุ่นดุจไผ่ล้อม
ผุดที่นี่โผล่ที่นั่นแม่ดอกพะยอม
ยากจะห้อมล้อมไว้หวังรื่นรมย์

          ชายเอ๋ยอกเจ้าสลายในคราวนี้
ยากจะมีใครเหลียวแลต้องขื่นขม
ยากยิ่งนักจักมีใครหมายภิรมย์
เฝ้าตรอมตรมเอกาว้าเหว่ใจ.

              ๙๙๙   แก้วประเสริฐ.   ๙๙๙
				
16 กุมภาพันธ์ 2548 11:45 น.

แดนดินนิรยะบริวาร 16 ขุม (ตอนจบ)

แก้วประเสริฐ


                       แดนดินนิรยะบริวาร  16  ขุม (ตอนจบ)

          อันถิ่นนิรยะใหญ่มีบริวารสิบหกขุม
ล้วนชุมนุมเรียงอยู่คู่เคียงใกล้
ใช้ชำระโทษทัณฑ์กรรมผลนำไป
แบ่งแยกไว้ไล่เรียงมิเบี่ยงเบน

          อันร้อยยี่สิบแปดแผดเผาแก่มวลสัตว์
เขาวางจัดเพียงสิบหกนรกอนาถแสน
ของสัญชีวหนึ่งรอบขอบดินแดน
นอกแว่นแคว้นแดนหนักยากยิ่งแท้

          1.เวตรณีนรกแม่น้ำข้ามยากหนี
ด้วยน้ำที่พล่านร้อนเดือดมิเหือดกระแส
มีดอกบัวสิ่งอื่นดาษดื่นชวนยลแล
นั้นล้วนแต่เป็นอาวุธหมุนทิ่มแทง

          อีกนิรยบาลเกี่ยวเหนี่ยวเบ็ดตวัด
แก่มวลสัตว์จัดเบ็ดไฟร้อนแสยง
ที่ว่ายเวียนวนปนเคล้าน้ำทองแดง
ใช้แสดงผู้เบียดเบียนสัตว์อ่อนกว่า

          2.สุนขนรกปกคลุมสุมด้วยฝูงสุนัข
แร้งกามักจักมีปากแหลมคมกล้า
เข้ากัดจิกตีรุมสุ่มสุดพรรณนา
บาปกรรมว่าด่าสมณะพราหมณ์ผู้มีคุณ

          3.สัญโชตินรกปกคลุมไฟลุกโพลง
สรีระโยงแผดเผาเอาร้อนเกื้อหนุน
ทั้งทรมานสิ่งต่างหาเมตตาการุน
ไว้เจือจุนสัตว์หยาบช้าฆ่าคนดี

           4.อังคารกาสุนรกตกหลุมถ่านเพลิง
ด้วยระเริงเอาเงินกุศลใช้เกษมศรี
ฉ้อฉลเบียดเบียนส่วนบริจาคเปรมปรีดิ์
เมื่อได้มีหนี้สินแล้วยังคดโกง

          5.โลหะกุมภีนรกหม้อโลหะทองแดง
ผลักตกแย่งว่ายวนจนสุดโค้ง
อาบดื่มกินน้ำไฟแดงที่ลุกโพลง
เหตุทุบตีสงฆ์ผู้มีศีลหรือกินสุรา

          6.ดีวลุญจนรกฉกคอหลุดบ่า
โดยลากมาคาพันเชือกแน่นหนา
จุ่มลงหม้อไฟจนคอหลุดสุดทรมา
ด้วยเหตุว่าพาทำลายหมู่เนื้อนก

          7.ฤสปลาสนรกข้าวลีบและแกลบ
โหยหิวแสบเห็นเป็นน้ำให้งันงก
ต่างดื่มกินกลายเป็นไฟในขุมนรก
เข้าไหม้กลบร่างกายโดยเร็วรี่

          เนื่องเอาข้าวเปลือกลีบคลุกปะปน
หวังแสดงผลข้าวดีที่เต็มปรี่
อีกทั้งแกลบเคล้าปนเสียจนดี
ด้วยกรรมนี้กินแกลบข้าวลุกเป็นไฟ

          8.สัตติหตสยนรกแทงด้วยหอกตอกล้มลง
ทิ่มไล่ส่งพุ่งจนพรุนดุจใบไม้
เลี้ยงชีวิตไว้โดยขโมยปล้นทั่วไป
ฉ้อโกงใช้ทุจริตจิตเบียดบัง

          9.วิลกตนรกปกคลุมกลุ่มแล่เนื้อ
ไม่เอื้อเฟื้อเถือเนื้อออกเท่าหอยสังข์
ทั้งเล็กใหญ่จนเหลือกระดูกจึงประทัง
กรรมที่สร้างเพราะฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

         10.ปุราณมิฬหนรกสกปรกมูตรคูถ
กินของบูดเน่าเหม็นเห็นชวนสะอิด
อาจมเก่าเคล้าใหม่เร้าใจคิด
พอกินติดเป็นไฟไหม้ล้างผลาญ

          ประทุษร้ายมิตรสหายวายวอดเศร้า
กินข้าวเขาข่มขู่ทรัพย์กับไล่ขาน
หรือเจ้าหน้าที่เข้าขูดรีดเที่ยวระราน
มิสร้างสรรค์จนกรรมนั้นพลันก่อผล

         11.โลหิตปุพพนรกหมกน้ำเลือดหนอง
แม่น้ำนองเต็มหนองเลือดขุ่นข้น
สัตว์เข้ากินเป็นไฟไหม้ร้อนลน
ล้วนจากผลบิดรมารดามาถูกทำร้าย

          อีกทั้งผู้มีคุณคอยหนุนเกื้อ
มิเอื้อเฟื้อกับทำลายจนสลาย
ทั้งคนดีมีศีลธรรมเสียวอดวาย
จึงได้กลายมาอยู่แดนมิคสัญญี

         12.อยพลิสนรกชื่อคือเบ็ดเหล็ก
โลหพลิสเฉกเช่นกันอันเป็นที่
ใช้เกี่ยวลิ้นลากมาบนพื้นปฐพี
ด้วยเหล็กที่ร้อนแรงแดงเป็นไฟ

          เนื่องโก่งราคามากกว่าหมายปอง
อีกขายของเกินควรล้วนอยากได้
ทั้งคดโกงกดราคามาบอกไว้
เหตุนี้ไซร้จึงเป็นได้ในเช่นนี้

         13.อุทธังปาทนรกอันหมกไหม้
จับเท้าให้สู่เบื้องบนจนพ้นที่
แล้วทุ่มลงตรงพื้นไฟท่วมปรี่
เหลือสะเอวนี้ล้วนไฟคลุกโชนมา

          สักครู่หนึ่งพึงมีภูเขากลิ้งจากสี่ทิศ
เข้าบดติดแนบพื้นสุดฝืนฝ่า
ด้วยเป็นชู้นอกใจสามีไม่นำพา
เป็นบาปหนามาสนองต้องโทษทัณฑ์

         14.อวังสิรนรกถูกจับศีรษะห้อย
ดำเนินรอยตามข้อสิบสามนั้น
นรกชายชู้นอกใจภรรยาพลัน
ถูกแบ่งปันดินแดนแคว้นครอบครอง

         15.โลหมิมพลีนรกต้นงิ้วเหล็ก
มีหนามเล็กแหลมคมจมทิ่มสนอง
ล่างบนทวิบาทจตุรบาทเข้าประลอง
ไฟเรืองรองทั่วทิ่มลิ้มหอกคม

          เป็นสหเพศนรกรวมสวมเข้าไว้
เพื่อต้องใช้ในกรรมจนสาสม
ผิดข้อสามศาสนามาหมกจม
ด้วยสร้างปมสมรักไม่เกรงใคร

         16.ปจนนรกหมกไหม้หรือมิจฉาทิฏฐินรก
ไฟเข้าปกคลุมรุมทิ่มหอกแทงไว้
ที่เห็นผิดบิดรมารดาหาคุณไม่
ดีชั่วมิได้เกรงขามหายำเกรง

          อีกศีลทานผลกรรมนำมาสอน
สมณะพราหมณ์ตอนอบรมยังข่มเหง
มุ่งทำลายศาสนาพาอลเวง
ด้วยตัวเองวุ่นวายสลายโรงธรรม

          นัยหนึ่งสิบหกขุมเรียกว่าอุสสหนรก
ยัดเยียดสกปรกเบียดเสียดล้นหลาม
คุมขังทรมานสัตว์ที่สร้างบาปกรรม
นิรยบาลทำหรือยมบาลควบคุมไว้

          นี่หนึ่งเดียวเสี้ยวขุมใหญ่ในเจ็ดขุม
ที่ชุมนุมสุมกรรมหนักอีกเหลือหลาย
เป็นชั้นไล่เรียงลงคงไว้อีกมากมาย
ที่สาธยายด้วยชั้นนี้นั้นเบานักแล

          พาท่องเที่ยวเลี้ยวผ่านเพียงเท่านี้
พอบ่งชี้หนทางกรรมสร้างนำกระแส
แก้วประเสริฐเหนื่อยล้าระอาดวงแด
วอนพ่อแม่พี่น้องอย่าครอบครองเลย.

             ๙๙๙   แก้วประเสริฐ.   ๙๙๙

     อ้างอิงตามหนังสือ สังกิจจชาดก ทั้งของไทยและธิเบต  ตลอด ใน เนมิราชชาดก 
กล่าว พระมาตลีเทพสารถีนำ พระเจ้าเนมิราช พระราชา ครอบครองนครมิถิลาในแคว้นวิเทหรัฐ
     ไปเที่ยวดูนรกบริวาร ๑๖ ขุม ซึ่งอยู่ล้อมรอบสัญชีวนรกอันเป็นนรกใหญ่ขุมที่ ๑ ดั่งที่แต่งกลอนเอาไว้ในข้างต้นและขุมใหญ่อีก ๘ ขุมไว้แล้ว ซึ่งขุมที่กล่าวไว้นี้ ถือได้ว่าเป็นชั้นเบาบางที่สุด หากพ้นชั้นนี้แล้วต้องขึ้นมาเสวยกรรม ในรูปแบบ เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานต่อไปจนกว่าจะมาบังเกิดเป็น มนุษย์ หรือเทวดาตามผลกรรมนั้นๆต่อไป........แก้วประเสริฐ.				
14 กุมภาพันธ์ 2548 13:57 น.

ยามสายัณห์ย่ำสนธยา

แก้วประเสริฐ


                    ยามสายัณห์ย่ำสนธยา 

           สุริยันแสงทองพาดส่องสาย
เลื่อมพรรณรายกรายเมฆินทร์ยลสู่หล้า
ยังละอองธารแวววับขับนัยนา
สะท้อนพร่าพรายกระจ่างสร้างรุ้งทอง

            เฉิดฉวีดุจมณีรัตนามาปลายฟ้า
บรรเจิดจ้าคราพร่างยามฉายส่อง
เป็นวงโค้งจรรโลงสองประโลมครอง
ดุจจำลองรักชายหญิงคู่อิงฟ้า

            สกุณาเหิรผ่านนภาคราสายัณห์
สำเนียงพลันเพ้อพร่ำร่ำเรียกหา
ก้องกังวานสะท้านภพกลบไปมา
เปรียบดาราพาประกายไล้โลมจันทร์

           พระพายโชยโรยกลิ่นแห่งพฤกษา
กอบบุบผาปลิวสะบัดกวัดสัน
สูงแลต่ำเคล้าคละใบละกัน
ยากจำนรรจ์สรรสร้างกันอย่างไร

           กระแสธาราพาละล่องเลาะแก่งผา
ไหลอวลวกมาผ่านผาหินรินสดใส
ละอองขาวพราวตระการอันวิไล
ฟุ้งไฉไลหยาดละอองส่องประกาย

           ฟ้าบรรเจิดเลิศล้ำช่างงามวิจิตร
ดุจเทพคิดสร้างปริศนามาขยาย
ธรรมที่แฝงแรงฤทธิ์มากำจาย
มวลทั้งหลายสลายสิ้นแผ่นดินปอง

            ตามทำนองครองสู่คู่ดินฟ้า
หวนกามาอวลวนสุดหม่นหมอง
จริงฤาเท็จไม่รู้สู้ใฝ่คะนอง
เหมือนจะลองทัศนาพากันตาม

           ดุจสุริยันพลันเพริศฟ้ามาสล้าง
หวังสรรค์สร้างแดนดินถิ่นเขตคาม
ต้องรันทดหมกไหม้ไร้แวววาม
สู้หนีความรันทดหมดแสงตะวัน.

               ๙๙๙   แก้วประเสริฐ.   ๙๙๙
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ