30 กรกฎาคม 2548 15:26 น.
แก้วประเสริฐ
เพียงฤทัยในอ่าวอารมณ์
*ดุจสายน้ำเวียนวนสายชลเชี่ยว
ลมหมุนเกลียวพุ่งฟุ้งมุ่งแก่งผา
ดั่งหทัยหันหวนล้วนโรยลา
สิ้นวาสนาเห็นหน้ายามลาจร
เปรียบดังห้วงมหรรณพพบสวาท
งามพิลาสดุจดั่งเทพอัปสร
สิ่งที่เหลือฝากมาแสนอาวรณ์
ช่างสะท้อนเหลือไว้เพียงใจคนึง
ครั้งหนึ่งเล่าเคล้าคลออยู่เคียงคู่
เหมือนปลาปูสู่ธารามาคิดถึง
วันเวลาน้อยใหญ่ให้หวนตรึง
สิ่งซาบซึ้งจรุงไว้ในวิญญาญ์
สุดฟากฟ้าไกลโพ้นห่วงล้นจิต
ยามเฝ้าคิดทั้งปวงล้วนห่วงหา
คำนึงถึงซึ้งแล้วนะแก้วตา
เหลือเพียงผ้าฝากดูแทนอยู่กาย
กังสดาลพริ้งแผ่วมาแว่วเรียก
ใจอ่อนเปียกหวานหูมิรู้หาย
เสียงระฆังกังวานสุดพล่านหทัย
กลองเพลไซร้โหมไล้โลมฤดี
ปริศนาของหัวใจกระจายออก
สิ่งภายนอกแลในคล้ายสุขี
พลังมวลธรรมดื่มด่ำล้ำชีวี
สิ้นสุดทีมาหยอกแล้วหลอกเรา
ท้องทะเลไกลโพ้นมิพ้นน้ำ
ท้องฟ้าคล่ำเมฆาใยมาเขลา
ท้องมหาสมุทรลึกล้ำดุจดังเงา
โอ้เราเขาดั่งพระพายย่อมหายไป
อนิจจามาบัดนี้สิ่งที่เฝ้า
พิศวาสเร้าดุจอ่าวเข้าอาศัย
เรือลำน้อยร่อนเร่ยากเห่ไกว
มรสุมได้พัดหายสุดไกลตา
เพียงฤทัยในอ่าวอารมณ์นี้
ผันสิ่งที่ความสุขแลทุกข์หา
มืดสว่างกระจ่างไว้ในปัญญา
ความสิเน่หามาปิดจิตกั้นกลาง
ดั่งชินสีห์ที่กล่าวเฝ้าสั่งสอน
ความอาวรณ์ห่วงหามาขัดขวาง
ปิดกั้นมิเห็นทุกข์สุขมาวาง
ความกระจ่างปัญญาจะพาเลือน
มองสายน้ำไหลวนเปรียบคนเที่ยว
ที่เลาะเลี้ยวไปสู่ผู้ถูกเฉือน
ทั้งทุกข์สุขคอยเฝ้ามาเข้าเตือน
ยังแชเชือนเบือนหน้ามาหามัน
มองดูไม้สลัดใบจากต้นโศก
ความวิปโยคค่อยจางและห่างหัน
กลับคืนสู่ในห้วงทิ้งบ่วงพลัน
ทุกข์สุขนั้นหนีจากพรากอารมณ์.*
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
29 กรกฎาคม 2548 12:06 น.
แก้วประเสริฐ
อารมณ์ค้างกลางจันทร์เพ็ญ
สุดตระการผ่านห้วงจากช่วงฟ้า
หมู่ดาราเฉิดฉายแพรวพรายล้ำ
ใสสว่างจันทร์นวลจนชวนจำ
สะท้อนน้ำงามเด่นเน้นราตรี
ประกายแก้วแวววับระยับฟ้า
มวลนภาเฉิดฉายประกายสี
งามลึกล้ำเปี่ยมห้วงดุจดวงมณี
เฉิดฉวีมณีรัตน์เพชรเรืองรอง
นอนมองนภาราตรีสกาวพรั่ง
หัวใจยังสั่นสะท้านหวั่นสนอง
น้ำค้างพร่างพรูดุจพู่ละออง
ฉ่ำสาดต้องแฝงลงตรงเสน่หา
นึกถึงดวงยอดมณีที่รักเอ๋ย
เราสองเคยพรอดพร่ำร่ำเรียกหา
คำหวานแจ้วแว่วหูตลอดเวลา
คลื่นซัดมาเหินห่างร้างจากจร
คำออดอ้อนวอนรักสุดจักคิด
เพียงดวงจิตพะวงใฝ่คงหลอน
มีแต่คำหวนกล่าวเฝ้าอาวรณ์
ดูยอกย้อนคงไว้ไม่เปรมปรีดิ์
สายสวาทขาดกรีดดั่งมีดบาด
เป็นแนวปาดบาดใจจนเหลือที่
แสนเวิ้งว้างมิกระจ่างร้างฤดี
ป่านฉะนี้เสพสุขทุกข์มอบเรา
ความพิลาปสิ้นรักมาหักอก
ยังวิตกหมกมุ่นเสียโง่เขลา
สิ่งหวานชื่นรื่นรสหมดแม้เงา
ขอนอนเฝ้าเคล้าเจ้าเพียงอารมณ์
สิ้นสุดแล้วเหลือไว้หัวใจว่าง
แม้นอ้างว้างมีเพื่อนเยือนสุขสม
สร้างกำเนิดเพริศพริ้งสิ่งภิรมย์
ฟ้าดินลมทะเลรักไม่ผลักใจ
มองทะเลเห่ไว้ค่อยคลายจิต
มิหวนคิดสิ่งนั้นพลันแจ่มใส
เปลื้องลงว่ายเล่นน้ำมุดดำไป
โศกทิ้งไว้ในห้วงช่วงกลับกลาย
เพียงกังวลตำนานท่านกล่าวไว้
คืบก็ใช่ศอกวานำพาสลาย
มัวเพลิดเพลินเกินสิ้นชีวาวาย
สิ่งทั้งหลายในทะเลจะเห่เบลอ
เงาสล้างกลางน้ำเห่หวนกลับ
เป็นแวววับดับเก่าที่เฝ้าเพ้อ
ทะเลใจนี้หนอข้าขอละเมอ
อยู่กับเธอตลอดไปมิไกลจร
รักเอ๋ยรักนี้หรือคือความรัก
ด้วยซื่อนักมักโศกกับสิ่งหลอน
หากเชื่อรักจักถูกหักลิดรอน
อีกม้วยมอนสิ้นขจรร้อนใจกาย.
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
28 กรกฎาคม 2548 10:43 น.
แก้วประเสริฐ
*คนึงครวญผอูนฤา*
..๏งามใดไหนบ่แม้น นางคนึง
สุดที่จะคิดรำพึง ห่อนได้
ยามยลใฝ่ตะลึง โฉมแม่ จริงนา
ผอูนช่างชวนคลั่งไคล้ กลิ่นเจ้าชวนสนอง ๚
วิวิธจิตหว่านแล้ว ยลนาง
ยกส่งลงทรวงกลาง ใฝ่เจ้า
แสนเอิบอิ่มใจวาง แนบสู่ อกเอย
หากแม่ยอมคลึงเคล้า โลกนี้ดุจสวรรค์ ๚
ยามพิศจิตยิ่งแพร้ว พรรณราย
สุดที่จะย่างกราย ห่างแท้
ฤทัยป่วนแทบวาย ยามแม่ ขมึงมอง
พักตร์ส่งจ้องสบแม้ กึ่งยิ้มเนตรวาว ๚
อกเอ๋ยอกซ่านซึ้ง ตรึงทรวง
ยากชั่งจักตักตวง ใส่ไว้
ลมรักสู่แหนหวง แนบแน่น จริงฤา
ยามยิ่งแลชม้าย ป่วนให้ชายหลง ๚
มองไปใจสั่นต้อง โฉมอนงค์ งามเอย
ยากยิ่งคิดนำองค์ แด่ข้า
เสียดายรูปเอวองค์ งามดั่ง มฤคแฮ
ยามย่างกรายดั่งฟ้า สว่างจ้านภาสรรค์ ๚
นาถอนงค์คงเพียงไว้ ภูมินทร์
เพียงแต่มายลยิน บุญไซร้
หักใจใฝ่ฝังจินต์ ยากคู่ เราเฮย
เพียงแต่เหลือบแลไว้ ใคร่ได้มาสนอง ๚
ชาติหน้าหากมาดแม้น มีจริง แน่ฤา
ตัวพี่จะแอบอิง แก่เจ้า
มิยอมปล่อยประวิง นางดั่ง นี่แฮ
ทุกสิ่งประโลมเร้า อยู่เคล้าคู่สวรรค์ ๚
บุญเอยเคยก่อไว้ ผ่านมา
จงส่งผลนำพา นี่ไซร้
พระธรณีโปรดเมตตา ชักสู่ นางเฮย
เป็นห่วงรัดตรึงไว้ อย่าให้ผิดหวัง ๚
อธิษฐานจิตส่งแล้ว จากจร
แสนที่จะอาวรณ์ ยิ่งแท้
จำใจห่างเอมอร เดินสู่ มรรคา
เอมอิ่มฤทัยแม้ ห่วงให้หทัยถอน ๚
ใดใดในโลกนี้ อนิจจัง
สิ่งที่คิดสมหวัง พลาดได้
หากคงแต่ไม่จีรัง ยังสู่ มาแฮ
เป็นสิ่งจริงแท้ไซร้ อย่าได้หมายสนอง ๚
อันยกมากล่าวไว้ โปรดคนึง
แต่งเรื่องจากรำพึง แน่แท้
หาหวนสิ่งตราตรึง ลงสู่ เราเฮย
เขียนเพื่ออารมณ์แม้ ผ่านห้วงดวงสมร ๚ะ๛
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
26 กรกฎาคม 2548 12:47 น.
แก้วประเสริฐ
*นิราศหนึ่งหทัยนัยภวังค์*
..๏หนึ่งฤทัยใฝ่ฝันครั้นแจ่มใส
ด้วยสิ่งหวังบรรเจิดเฉิดไฉไล
ทอเป็นใยระบายลงตรงอักขรา
กระแสน้ำไหลเอื่อยเรื่อยละลิ่ว
ขนาบทิวพฤกษ์ไพรในพฤกษา
พลิ้วระลอกไหลสุดคุ้งจรุงตา
สร้างสิเน่หางามล้ำฉ่ำยามเย็น
เสียงวิหคนกกระปูดร้องปูดปุด
งามพิสุทธิ์สัมพุทธะพบปะเห็น
น้อมกายลงสักการะจิตละเว้น
สิ่งอันเป็นชั่วร้ายอย่ากล้ำกราย
ดนตรีไผ่บรรเลงเพลงธรรมชาติ
ขาวสะอาดผุดผาดแววสาดฉาย
ท่ามกลางพฤกษ์มาลีที่มากมาย
ขจรขจายยามบูชาพุทธบารมี
ลมพัดอ่อนผ่อนคลายใจสดชื่น
แสนระรื่นงามตาพาสุขี
เสียงหวีดหวิวพลิ้วไหวคล้ายนารี
มาเสียดสีซอสายให้รัญจวน
ห้วยนี้หนอใครสร้างช่างงามเหลือ
ล้วนเอื้อเฟื้อลานหินทรายดินล้วน
บ้างสีแดงม่วงคล้ำเขียวดำนวล
อีกทั้งมวลเกาะแก่งแอ่งธารา
น้ำใสสะอาดปราศจากสิ่งโสโครก
แหวกว่ายโบกหางสะบัดของมัจฉา
ไหลละล่องตามคุ้งจรุงสายตา
หมู่ภุมราผีเสื้อเคล้าเร้าอารมณ์
รอบกองหินทรายขาวเงาละเลื่อม
แววกระเพื่อมในธาราพาสุขสม
ล้วนสรรค์สร้างธรรมชาติยามแลชม
แสนภิรมย์ลมพัดผ่านละลานงาม
โอ้ชีวิตจิตภวังค์ครั้งหวนใฝ่
ยิ่งเร้าใจให้วิญญาอะล้าอร่าม
ดุจดั่งเทพเนรมิตผลิตแวววาม
ห้วยงามล้ำทำหัวใจให้เบิกบาน
หากมีผู้รู้ใจอยู่ใกล้ข้าง
คงสล้างมิอ้างว้างกระจ่างสถาน
ลงอาบน้ำร้องเพลงให้สราญ
ทิพย์วิมานหรือจะสู้สองคู่เรา
แต่เวิ้งว้างกลางวนามิหาได้
มีหัวใจใฝ่คำนึงนึกถึงเจ้า
แม่นางฟ้าแสนสวยช่วยเติมเงา
ส่งเสริมเราเบิกบานฝันไฉไล
นั่งเฝ้ามองเกาะแก่งแห่งสายน้ำ
ไอเย็นฉ่ำเงาพฤกษาจะหาไหน
แลทิวทัศน์งดงามอร่ามวิไล
โอ้ไฉนใยใกล้เวลาย่างราตรี
ดวงตะวันผันผายจะหายลับ
ท้องฟ้ากลับแลครึ้มขาดสุริสีห์
ห้วยที่รักพักก่อนต้องจรลี
มิสิ้นชีวีย้อนหวนทวนกลับเอย.๚ะ๛
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙
24 กรกฎาคม 2548 17:14 น.
แก้วประเสริฐ
เที่ยวตระการพืชผล
งามลออท้องนาคราวสันต์
เยือนตระการพืชพันธุ์สุดหรรษา
ฝนพรายพร่างเย็นฉ่ำอร่ามตา
บนผืนนาพืชกล้าหว่านไถดำ
เสียงกบเขียดร้องร่ำพร่ำส่งเสียง
อ๊บโอ๊บอ๊บเกี๊ยดเกี๊ยดกันระส่ำ
สาวหน้ามลงามขำลงไถ่ทำ
มุ่งหน้าดำข้าวกล้าเร้าอารมณ์
ลมโชยอ่อนนั่งมองภายในเถียง
ที่ปลูกเคียงท้องนาตามเหมาะสม
กลิ่นอะไรล่องลอยมาตามลม
เฝ้าสูดดมจึงรู้กลิ่นขี้ควาย
พอฝนซ่างร้างหายคลายสะเด็ด
ลุกขึ้นเช็ดหน้าดำให้สลาย
แสงแดดเริ่มเจิดจ้าพร่ากระจาย
เยื้องย่างกรายไปห้วยด้วยเขาบอก
เดินลัดเลาะคันนาฝ่ากลุ่มไผ่
ลดเลี้ยวไปยังทิศตะวันออก
ปวดเอวขาน่องเสียจนขัดยอก
เข่าถลอกล้มกลิ้งอิงคันนา
สักครู่ใหญ่ได้ถึงห้วยลานน้ำใส
ช่างวิไลสมคุณค่าใฝ่หา
น้ำไหลเอื่อยนกร้องส่งเสียงมา
ทอดสายตาเก็บภาพไว้ให้เพื่อนดู
ตามริมห้วยเต็มด้วยคล้ายหอยโข่ง
อากาศโปร่งลมพัดไม่ขัดหู
ไม้ไผ่เสียดเบียดสีดนตรีครู
คนที่รู้ทำเทียบเปรียบเสียงเพลง
ตะวันคล้อยลอยต่ำรีบจ้ำพรวด
ดุจดังจรวดนำวิถีมิผิดเผง
กลัวค่ำมืดหลงทางช่างวังเวง
จะคว้างเคว้งอดข้าวจะเศร้าใจ
พอตกค่ำติดตามคนเข้าวัด
ที่เขาจัดเวียนเทียนหน้าสดใส
มุ่งชำระจิตไว้ให้วิไล
เฉิดไฉไลในวันเข้าพรรษา
รุ่งอีกวันจัดอาหารถวายเพลพระ
แปลกจริงนะปั้นข้าวลงบาตรฝา
พร้อมของหวานของคาวที่นำมา
คอยเวลาพระฉันท์รับศีลพร
พอเสร็จสรรพกลับออกสู่ท่องเที่ยว
พาลดเลี้ยวไปอุบลนั้นเสียก่อน
ตระเวนไปทุกถิ่นคนบอกจร
มิอาทรเงินทองจ่ายคล่องจริง
ซื้อสังฆทานกันไว้เพื่อไปวัด
ที่เขาจัดสำนักสงฆ์มิเกรงกริ่ง
พอตอนเช้าเข้าป่ามิระวิง
ถวายในสิ่งปัจจัยทั้งไทยทาน
ร่วมทำบุญสร้างพระใหญ่ในวิหาร
ที่สร้างนั้นยังมิเสร็จเพื่อประสาน
ถวายปัจจัยใหญ่โขเพื่อสร้างงาน
ให้พระนั้นทั้งวิหารสำเร็จสมบูรณ์
พออีกวันนั้นมุ่งสู่ลาวช่องเม็ก
แต่ต้องเข็ดเสียเวลาต้องมาสูญ
ไม่พัฒนาหาสิ่งมาเกื้อกูน
ต้องอาดูรเหยียบแผ่นดินสิ้นเงินไป
รีบกลับพลันสรรค์มาคูหาสวรรค์
ทำบุญกันปู่คำคะนิงจิตสดใส
ถ่ายภาพภายในวัดจัดวิไล
ยืนมองไปแม่น้ำสองสีที่กล่าว
ต้องพลาดหวังมีสีเดียวขุ่นคลัก
ดูเหมือนปลักที่ควายแช่รอสาว
ว่าแม่น้ำแบ่งสีเป็นเรื่องราว
ไม่เพริศพราวดั่งเล่าที่กล่าวมา
พอถึงเวลาแห่เทียนเข้าพรรษา
ตามเวลาที่อุบลจัดสรรหา
มาประชันขันแข่งรอเวลา
สิ้นปัญญาจะมาเข้าเฝ้าชม
คนเยอะแยะราวมดรถเพ่นพล่าน
แต่กระนั้นยังเห็นตามเหมาะสม
ช่างงามจริงดุจสวรรค์ถึงชั้นพรหม
ยากปรารมภ์เขียนไว้ให้ได้อ่าน
อยู่ห้าวันพลันรำลึกนึกถึงเพื่อน
สิ่งที่เตือนลงกลอนมิได้สาน
มาวันนี้มิเหมือนเมื่อวันวาน
สิ้นสุดงานขอลาอย่าว่าเอย.
๙๙๙ แก้วประเสริฐ. ๙๙๙