18 ตุลาคม 2548 11:26 น.
แก้วประเสริฐ
การเวกเสียงหวาน
สำเนียงแจ้วแว่วหวานปานน้ำผึ้ง
ติดตราตรึงสุดซึ้งรำพึงหวน
ถึงหญิงสองตรองคิดใฝ่คำนวณ
สะท้านห้วงบ่วงลึกตรึกความนัย
หนึ่งนั้นหรือคือหญิงสิ่งวัยรุ่น
ที่หอมกรุ่นอบอวลล้วนความไสว
จริตก้านหว่านล้อมน้อมหทัย
ร่างซุกไซร้น่ารักพักใจพิง
อีกหนึ่งเล่าเฝ้าพิศจิตแจ่มใส
สะท้านใจไหวหวั่นกระบวนหญิง
หวานชดช้อยร้อยหวานซ่านใจจริง
เลอเลิศยิ่งในทุกสิ่งควรอิงปอง
การจับปลาสองมือคือสิ่งห้าม
จะลุกลามดุจไฟจะไหม้สนอง
จะละหนึ่งพึงคิดติดใจปอง
กลัวหนึ่งน้องต้องสลายให้เสียดาย
พะวักพะวงปลงใจมิอาจใฝ่
แสนเสียดายหากร้างจิตจางสลาย
หัวใจวุ่นครุ่นคิดแทบวางวาย
โอ้ไฉนใยจึงเป็นดังเช่นนี้
เหมือนฟ้าฟาดบาดหมางสุดจางเศร้า
สร้างปวดร้าวเฝ้าตรมมิเกษมศรี
โน่นก็รักนี่ก็รักไม่เปรมปรีดิ์
สุดช้ำฤดีที่กระทำยากนำทาง
ยิ่งรำพึงตรึงคิดจิตยิ่งหมาง
มิกระจ่างสร้างใจมิสล้าง
ฝันที่คิดติดไว้ใจจืดจาง
ครั้งหนึ่งวางหรรษาพาให้จำ
หากรำพึงถึงคำจำพระสอน
ให้ลิดรอนริษยาพาเลิศล้ำ
ทิ้งทุกสิ่งหันหน้าใฝ่พึงนำ
เอาพระธรรมกอบกู้สู่ทางเดิน
มาร่วมเรียงเคียงหน้าพาสู่รัก
บ้านพำนักจักพาให้ได้สรรเสริญ
มาร่วมเรียงเคียงบาตรจัดสิ่งเจริญ
เข้าเผชิญกอบกู้สู่ความงาม
สิ่งทั้งหลายทิ้งไปให้ลาลับ
อย่าหวนจับคำมานะงามขำ
นึกถึงสิ่งสดใสไว้ให้จดจำ
นึกถึงคำสัญญาคราร่วมเรียง
แสนเสียดายซ้ายขวาในครานี้
แสนเสียดายชีวีที่ทอดเสียง
แสนเสียดายในรสจรดเคียง
แสนเสียดายน้ำเสียงพึงใฝ่ครอง
กลับเถิดหนางามงอนพี่วอนเจ้า
มาโรมเร้าเฝ้าคำนึงถึงสิ่งสนอง
บ้านของเราใครเล่าควรเฝ้าปอง
โปรดจงมองสิ่งพำนักเคยพักพิง
สำเนียงแจ้วแว่วหวานปานการเวก
อนุเฉกชัชวาลซ่านล้ำยิ่ง
เป็นที่อาศัยฝูงนกหมดจดจริง
เกินกว่าสิ่งใดใดไร้เทียมทาน
น้ำตาชายไหลลงตรงทรวงอก
วิ่งวนวกในใจสุดจะกร้าน
ช่างตอกย้ำซ้ำตรมสุดร้าวราน
จำเนียรกาลความหวานใยไม่มา
ขอเถิดนะคนดีพี่ขอเจ้า
สองเคยเฝ้าร่วมเรียงเคียงหรรษา
มาร่วมสู่คูหารักเพื่อนำพา
สร้างบ้านนาให้เกริกก้องมิรองแมน.
* แก้วประเสริฐ. *
16 ตุลาคม 2548 21:24 น.
แก้วประเสริฐ
ระเบียงรักสลักฝัน
พุ่มไม้ดอกออกระบัดถูกจัดกลุ่ม
แนวสุมทุมพุ่มพฤกษ์ละหานไหว
งามเป็นชั้นดูชดช้อยห้อยแกว่งไกว
บ้างย้อยไว้ในกระถางข้างระเบียง
รัตติกาลนี้มีจันทร์งามชวนชื่น
ช่างระรื่นใสสว่างกลางเฉลียง
หมู่ดวงดาวพราวฟ้าอยู่ข้างเคียง
ยากจะเลี่ยงกลิ่นราตรีที่โชยมา
ภาพลักษณ์เก่าพลั้งผุดสุดยากหัก
กำเนิดรักตกเป็นพุ่มกลุ่มพฤกษา
หอมระรวยด้วยไม้ดอกส่งกลิ่นมา
ชื่นนาสาแต่หัวใจให้ซึมเซา
มองระเบียงเฉลียงน้อยสุดใจเศร้า
ความปวดร้าวเฝ้าคิดจิตโง่เขลา
อกชอกช้ำระกำเจือมิเหลือเงา
สู้ทนเฝ้าช่างรอหวนมิทวนคืน
เคยพลอดรักนั่งเคียงเสียงพร่ำหา
ท่ามจันทราดาราประกายใจมิฝืน
มาว่างเปล่าเศร้าฤทัยตลอดคืน
ทรวงสะอื้นเคล้าดอกไม้ที่ให้ดอม
ราตรีนี้มีจันทร์ดารามาเป็นเพื่อน
เหมือนย้ำเตือนอดีตคิดจนผอม
มีหัวใจแต่ไร้รักจักต้องยอม
เหลือพะยอมกลิ่นเจ้าเคล้าเพียงดม.
* แก้วประเสริฐ. *
14 ตุลาคม 2548 14:12 น.
แก้วประเสริฐ
ตัณหาพาโมหะสู่โทสะ
กระแสชลวนเชี่ยวเป็นเกลียวคลื่น
เดี๋ยวก็ตื่นแล้วหลับดูสับสน
ฟ้าสว่างมืดคลิ้มอึมทึมปน
วกเวียนวนจนป่วนล้วนตัณหา
ดุจสิ่งอยากมากมายในชีวิต
ล้วนมาติดรักชังจึงกังขา
คิดในสิ่งพึงรักอยากได้มา
เกิดปัญหาส่งใจไร้ชอบธรรม
เมื่อไม่รักมักชังเป็นกรอบกว้าง
หาจุดกลางเพื่อวางสร้างเลิศล้ำ
กลับวนเวียนเสี้ยนแส่ถูกชักนำ
จะเกิดช้ำหม่นหมองครองฤทัย
ล้วนความหลงในรอบขอบกระแส
ที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงแฝงสิ่งใส
หลงในรูปติดในรสสดไฉไล
สิ่งวิไลกลายนรกหมกไหม้ดิน
จะสู่พาความหลงตรงลิขิต
คล้ายชีวิตทะเลใสไม่หมดสิ้น
ลมพัดวนป่นกระแสเป็นอาจินต์
ไม่หวนถวิลคลุ้มคลั่งดั่งโทสะ
คลื่นเล็กน้อยพลอยบ้าพาสิ่งอยู่
ดั่งพายุโทนาโดโอ้กักขฬะ
ปัญญาดับลับสิ้นมิลดละ
ทิฏฐิมานะพาวอดมลายลง
ท้องทะเลเปรียบบ้านสำราญสุข
คลื่นจะรุกคลุ้มคลั่งดั่งประสงค์
สิ่งสวยสดงดงามถูกปลิดปลง
ที่ยืนยงคงไว้คล้ายเสียงภินท์
อนาถแท้ท้องทะเลอันสวยสด
เห็นจะหมดความหมายไปเสียสิ้น
จะอยู่ไว้ก็แต่ซากยากยลยิน
เสียงขลุ่ยพิณเคยเสนาะเกาะใจคน
ลาแล้วหนอท้องทะเลที่มืดมิด
เพียงยึดติดในภวังค์ครั้งฝึกฝน
ตัณหาโมหะโทสะสร้างมืดมน
ยากยิ่งจนสำราญเบิกบานหทัย.
* แก้วประเสริฐ. *
วันที่ 14 ตุลาคม พศ. 2548
14.10 น.
13 ตุลาคม 2548 12:17 น.
แก้วประเสริฐ
๏ ใฝ่หวนคำนึง ๚๛
๏เพียงยลพิศผ่องแผ้ว ติดตรึง
กลิ่นกรุ่นหอมรัดรึง ยิ่งแท้
แนบทรวงสุดรำพึง ถึงแม่ จริงนา
หวานช่างฝังใจแม้ ห่อนเฝ้าเร้าถึง ๚๛
๏หวานเอยใดปานซึ้ง นวลนาง แม่เอย
ทุกรสวจีคคนางค์ ห่อนแล้ว
หยาดหยดยิ่งจุดวาง กลางสู่ ใจแฮ
จุดก่อเกิดผ่องแผ้ว สู่สร้างพลังสวรรค์ ๚๛
๏เรียมเรียมภพผ่านแล้ว จากนาง
ยากยิ่งจะจืดจาง ลับแล้ว
สุดที่คลายจักวาง แหนห่าง ทรวงเฮย
ยากที่สุดจะแคล้ว แน่งน้องครองธรรม ๚๛
๏จำใจจำจากน้อง ลาไกล
คุณแม่มีมากมาย ยิ่งแท้
สามเดือนเมื่อผ่านไป หวนสู่ กลับนา
อกพี่ปานถูกแส้ ไป่ลิ้มรสหวาน ๚๛
๏รสธรรมค้ำจุนไว้ ก่อเกิด
ซาบซ่านปานอมฤตเลิศ แน่แล้ว
ดับลงส่วนทุกข์เกิด หลุดล่วง ใจเฮย
นางที่เคยผ่องแผ้ว ยากแคล้วจากใจ ๚๛
๏ธรรมธรรมนำสู่สร้าง กลางใจ
สมาธิส่งนำไป แก่นแท้
เลิกลดสิ่งคุดใน ดับสู่ อนิจจัง
ผันส่งตัณหาแก้ สูญสิ้นไป่หวน ๚๛
๏เมตตาธรรมนำสู่น้อง นางเอย
อภัยที่เคยกล้ำเกย ฝากไว้
ขอเวรที่เราเคย สรรค์สู่ มากแฮ
บุญส่งมอบลงให้ แก่น้องครองสวรรค์ ๚๛
๏ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
ขุนเขายังภินท์พัง แน่แท้
มนุษย์สัตว์ที่เกิดหนัง แข็งแกร่ง ใดฤา
รักที่หวานปานแล้ เที่ยงแท้หรือไฉน ๚๛
* แก้วประเสริฐ.*
11 ตุลาคม 2548 23:24 น.
แก้วประเสริฐ
สาวงามแห่งไพรพนา
สุรีย์ฉายปรายแสงแฝงลับโลก
อนุทินโฉลกวางลงตรงอักษร
ล้วนรำลึกนึกถึงซึ่งคำกลอน
มิยอกย้อนเติมแต่งแฝงอารมณ์
ประหนึ่งว้างกระจ่างครั้งริเริ่ม
แทรกเพิ่มเติมนัยรสจดเสกสม
น้ำภูผาท้องฟ้าสวยด้วยสายลม
หยาดน้ำพรมใบไม้ในพงพนา
หวนรำพึงคำนึงถึงซึ่งป่าเขา
ท่องลำเนาเฝ้าชมพงพฤกษา
ธารน้ำตกกระจายฟุ้งพุ่งลานตา
เสียงนกป่าขับขานสำราญใจ
ขมิ้นน้อยโกร่งเสียงเลียนเสียงสน
ลมพัดจนต้นเอนระเนนไหว
ขมิ้นดงบรรจงแข่งแฝงดวงใจ
สาลิกาไพรกุ๊กเสียงเลี่ยงไปมา
ช่างหอมยิ่งกลิ่นไม้ป่าพาแสนสุข
ลืมความทุกข์บรรเจิดเลิศเสน่หา
ป่าดงชัฏยามสงัดสายลมพา
ดวงชีวาฟ้าประทานพลันพบนาง
ผมสลวยย้วยยาวราวกาน้ำ
ขาวสล้างดั่งจันทร์ดารามาสะสาง
เป็นนวลใยใบหน้าและท่าทาง
งามกระจ่างดั่งเดือนเหลื่อมเลื่อนลาน
ยามเธอนั่งสางเกศา ณ ธารน้ำ
สุรีย์ย้ำลอดพฤกษามาประสาน
ละอองน้ำพรมพร่างสร้างเบิกบาน
สุดสะท้านพลันตลึงพึงเหลือบแล
แม่เจ้าเอ๋ยยากเฉลยเอ่ยคำอ้าง
สิ่งเวิ้งว้างสร้างอารมณ์ข่มกระแส
งามทั้งรูปสวยทั้งร่างยามผันแปร
เย้ายวนแท้แม้แต่ใจยังใฝ่จำ
ยิ่งเสียงเจ้าเฝ้าขานผ่านพงพฤกษ์
หวนรำลึกถึงความหลังที่ฝังย้ำ
เทพีไพรเสียงไพเราะเสนาะลำนำ
ยามว่ายน้ำดุจมัจฉาพาเวียนวน
คิดใกล้ชิดสนิทน้องประคองข้าง
สู่ไพรกว้างสร้างวนาละสับสน
ทิ้งกรุงไกรไร้ความเศร้าเร้าใจคน
ผันวัยตนสู่พงไพรใกล้แนบนาง
ปิดผนึกตรึกระลึกนึกถึงเจ้า
สิ่งโลมเล้าเฝ้าผูกพันจนฟ้าสาง
ซบหน้าตรงอักษรานิทราพลาง
ฝันเวิ้งว้างกลางใจใฝ่เพียงยล.
* แก้วประเสริฐ. *