9 ธันวาคม 2548 14:41 น.
แก้วประเสริฐ
* บ้านฉัน *
เมื่อแสงดวงตะวันเฉิดฉันท์พร่าง
ส่งเวิ้งว้างแฝงลึกเข้าผนึกฉัน
พลิกสู่ห้วงดวงจิตที่ผูกพัน
สิ่งที่ฝันพลันร้างห่างดวงใจ
อันความฝันฉันวาดไว้สู่ห้วงจิต
รำลึกคิดจำพรากแล้วจากหาย
ทั้งหวานชื่นสะอื้นเคล้าเฝ้ากระจาย
ดุจดั่งพรายหลอกเอาสุดเฝ้าคำนึง
มองบ้านน้อยร้อยใจสู่ในห้วง
ซาบซึ้งทรวงสวนสวรรค์อันสุดซึ้ง
มวลมัจฉาพาแหวกว่ายให้รำพึง
รำลึกถึงสิ่งผ่านสุดพล่านอารมณ์
ย้อนสู่บ้านในฝันพลันเวิ้งว้าง
เคยกระจ่างสร้างหทัยใจเสกสม
ส่งความคิดในใจคล้ายดั่งลม
ล่องลอยตรมขมไว้ในวิญญาณ์
แต่บ้านเราเฝ้าถนอมสู้กล่อมรัก
จึงขอพักรักษาไว้ให้หรรษา
สู้เติมแต่งแฝงไว้ในจรรจา
เพื่อนำหาสิ่งเคล้าเฝ้าเบิกบาน
ดวงตะวันลอยลับดับแสงศรี
แก้วมณีลอยพรากยากกลับขาน
ดวงจันทร์เอ๋ยเฉลยฟ้าอย่าร้าวราน
ดารานั้นอย่าเศร้าโศกโลกเขาลืม.
* แก้วประเสริฐ. *
1 ธันวาคม 2548 11:07 น.
แก้วประเสริฐ
ตะวันแดงแห่งสายัณห์
กลางหุบเขาพนาไพรในลานหิน
อบอวลกลิ่นไม้ป่าคละเคล้าแฝง
ลมพัดโชยโปรยละอองน้ำผาแดง
รุ้งทอแสงย้อนกลับจับรังสิมันตุ์
แดงระเรื่อเจืออ่อนสะท้อนน้ำ
หินผาง้ำล้ำสู่ธารหลากเฉิดฉันท์
เกลียวคลื่นม้วนล้วนวนระคนกัน
อเนกอนันต์ผ่านขุนเขาเร้าฤดี
ทัศนียภาพล้ำยิ่งแฝงสิ่งสร้าง
เกะกะขวางหินทอดล้วนสอดสี
ม่วงอ่อนเขียวผสมแดงแฝงรุจี
แสงรัศมีทองวับขับเรืองรอง
แสงรวีแดงอ่อนสะท้อนโกมุท
บริสุทธิ์ดุจเทพมาเสพย์สนอง
สอดแนวไม้ไล้หินผาเป็นสีทอง
งามละอองน้ำตกผาคราครื้นเครง
ดนตรีไม้ไล้เสนาะไพเราะเสียง
ระคนเคียงกลิ่นบุปผาพาเขลง
น้ำตกร่วงจากผามาบรรเลง
สิ่งวังเวงเหือดหายสบายอารมณ์
วิหคเหิรกลางนภาหาเคล้าคู่
อีกเหล่าหมู่จับไม้ได้เหมาะสม
ทวิบาทเยื้องย่างสร้างภิรมย์
เหล่าภมรดมพฤกษาหาเกสร
หุบเขานี้เปรียบได้คล้ายสรวงสวรรค์
ดุจวิมานคนธรรพ์เฉิดฉันท์อัปสร
เข้าจับคู่บรรเลงเพลงรักอาวรณ์
ฝากสะท้อนสู่ลึกตรึกทรวงนัย
ตะวันรอนอ่อนแดงแสงสีชาด
งามพิลาสยามเยือนเสมือนแก้วใส
ระยิบระยับขับสุขปราศทุกข์ใจ
จะมีได้ในสวรรค์ครั้นได้ฌาน.
แก้วประเสริฐ.
(เขลง = ทอดอารมณ์อย่างสบาย)
๑ ธันวาคม พศ.๒๕๔๘
๑๐.๔๕ น.
29 พฤศจิกายน 2548 11:35 น.
แก้วประเสริฐ
* หนุ่มบาว**สาวปาน*
ระเห็จร่อนซวนเซเหสู่ร้าน
ความจัดจ้านพล่านพลุ่งฟุ้งจริงหนอ
เลือกที่นั่งฟังเพลงบรรเลงคลอ
สาวเจ้ารอเสริฟอาหารจานเมนู
หยิบเหล้าไวท์มาคลึงตะลึงโลด
แสงไฟโชติสาดส่องต้องร้องฮู้
หนุ่มหน้าเหน้าสาวซ่าส์ร่ายน่าดู
ร่างอีหนูผ้าห้อยเพียงน้อยนิด
เจ้าหนุ่มบาวสาวร่างพลางคลึงเคล้า
สาวปานเอาร่างแนบแอบเกี่ยวชิด
กระบิดกระบวนเต้นไปคล้ายงูบิด
ไส้เดือนติดผงขี้เถ้าสุดเร้าอารมณ์
เสียงเพลงหวานผสมร๊อกค์เข้าตอกย้ำ
กระหึ่มนำพร้อมไฟฉายเหมาะสม
อีกหนุ่มสาวจับคู่เต้นเป็นวงกลม
สิ่งอภิรมย์ตอกไวท์หลายแก้วเรา
นั่งคนเดียวเปลี่ยวฤทัยไม่มีเพื่อน
มองแชเชือนดูไปยิ่งใจเศร้า
กระดกไวท์ฟังเพลงเง็งซึมเซา
เขาโลดเร้าแต่เราเศร้าเหงาหทัย
เหมือนฟ้าดินเห็นใจในสิ่งนี้
หลับตาปี๋ใจสั่นสะท้านหวั่นไหว
เจ้าหนุ่มบาวสาวปานมาเมื่อไร
ยิ้มเผล่ไผนั่งโต๊ะเราเขาเฝ้ามอง
มารยาทชายชาตรีที่ร่างแก่
เขาเหลียวแลตัวเราจึงเฝ้าสนอง
ยิ้มมาดเท่ห์เก๋ไก๋ใจคิดปอง
มือประคองเหล้าไวท์จ่ายทุกคน
มองพินิจพิจารณาว่าหญิงล้วน
แต่งตัวชวนล้วนแฝงแหล่งให้สน
เป็นชายหนึ่งหญิงสาวเคล้าเจือปน
สร้างสิ่งจนคนเห็นเด่นละออ
ส่งคำถามงามสงวนแม่นวลน้อง
เธอเฝ้ามองแย้มยิ้มพริ้มจริงหนอ
สงวนคำพูดที่ฉันถามจนนั่งรอ
กระดกคอดื่มไวท์ใจแทบวาย
เสียงแหบพร่าหวัดดีค๊าพาใจร่วง
เหมือนเชือกบ่วงดึงศรีษะจนหน้าหงาย
โถกระเทยร่างหญิงพริ้มเพริศพราย
แทบจะตายหงายตกโต๊ะโล๊ะลาจร.
* แก้วประเสริฐ. *
28 พฤศจิกายน 2548 12:52 น.
แก้วประเสริฐ
หนุ่มนาคอยสาว
ลมโชยพลิ้วมวลกลิ่นกระถินเคล้า
อบอวลข้าวเร้าหทัยชายริมทุ่ง
ยอดไหวระลอกบอกเวลาใฝ่ผดุง
แสงทองจรุงปรุงผ่านละลานตา
ริมคันนาแฝงไว้ต้นใจโศก
กิ่งไหวโยกโปรยดอกที่ออกหนา
สีทองส่องเคล้าม่วงเฝ้าลวงตา
ดูแสนพร่ายามกระทบสบตาชาย
เสี้ยวหนึ่งวกลงผ่านจากซ่านห้วง
คิดจะทวงสัญญากลับมาหาย
ท้องนาเอ๋ยมอบไว้ซิใยกลาย
สิ่งแฝงไว้หายลับไม่กลับคืน
นกยางว่อนร่อนลงเข้าเคียงคู่
ทั้งสองดูหยอกเย้าหนุ่มเหงาสะอื้น
เมื่อไหร่หนอรักฝากไว้ได้ยั่งยืน
ท้องนาตื่นแล้วหลับพลิกกลับทวน
ลมหนาวเข้าฝนร้างเวิ้งว้างเร้า
แทรกซึมเอาหนุ่มเศร้าเฝ้ากำสรวล
นัยน์ตาลอยคอยหาแม่ลำดวน
เมื่อไหร่หวนคืนอยู่เข้าสู่เมลือง
ตะวันรอนอ่อนแรงจะแฝงไม้
ริมทุ่งไซร้อาบไว้แสงสีเหลือง
พระธุดงค์ทรงกลดหมดจดประเทือง
ฉาบรุ่งเรืองเปลื้องกิเลศเศษหัวใจ
หนุ่มรอสาวเคล้าหัวใจหวังได้สุข
พระเปลื้องทุกข์ปลดไว้เพื่อให้ใส
ด้วยหัวใจต่างกันนั้นมากมาย
โอ้เหตุไฉนแตกแยกดูแปลกจริง
กลิ่นดินไอสาบควายกระจายฟุ้ง
ยังเคล้าผดุงซ่านไม้แฝงใจยิ่ง
ระคนอวลเศษกักฝากรักระวิง
หอมหวนยิ่งทุกสิ่งอิงท้องนา.
* แก้วประเสริฐ. *
27 พฤศจิกายน 2548 12:14 น.
แก้วประเสริฐ
ใจเอ๋ยใจ
* แสงระยิบพริบพราวดุจราวโศก
ไหวเอนโยกโบกสะบัดระบัดไหว
เทียนครั้งนิ่งพริ้งเพริศดูเฉิดไกล
โลมลูบไล้สิ่งต้องดูหมองตรม
รัตติกาลค่ำนี้สุดที่กล่าว
โอ้เดือนดาวเฝ้าดูเพื่อสู่สม
กลับหลบลี้หนีหายดุจสายลม
โมหะจมสู่ภวังค์เหมือนครั้งคอย
สำเนียงแผ่วแว่วนกกลางคืนร้อง
ช่างสอดคล้องหัวใจยามใช้สอย
ลอยละลิ่วพลิ้วพล่านวันล่องลอย
ทั้งละห้อยปรอยไว้แต่ไร้คืน
หมอนเคยอยู่อู่อาศัยใยมาจาก
ไหลรินพรากค้างพรมดูตรมฝืน
สะอื้นฟกอกช้ำยากกล้ำกลืน
ความระรื่นปนระทมผสมใจ
ใจเอ๋ยใจใยพล่านกระชั้นชิด
แสงดาวปิดเดือนดับไร้วับใส
มวลเสน่หาพาเพลินล่วงลับไกล
ความเกรียงไกรนี้หนอพะนอรัก
นึกถึงเจ้าเฝ้าวอนสะท้อนจิต
คลอเคียงชิดกลับจางมาร้างหัก
เหลือเพียงเงาเข้าบ่วงสู้หวงนัก
ฤทัยจักมักสู่ไว้เพียงสายลม
มองดูสิ่งเจ้าพะนอขอลาก่อน
โฉมบังอรฝากไว้ด้วยใจขม
ลมสวาทพาดสู่ห้วงจนล้วงตรม
ความระบมฝากลงไว้ในค่ำคืน
อนิจจาคืนนี้ที่มืดมิด
ช่างปิดสนิทดวงหทัยสุดให้ฝืน
สายลมโกรกโบกสลัดรักยั่งยืน
ต้องสะอื้นมาพรากแล้วจากไกล.ฯ
* แก้วประเสริฐ. *