13 มีนาคม 2550 12:56 น.
แก้วประเสริฐ
** ผู้พ่ายแพ้ **
หากจะฝังรั้งวิถีสิ่งที่เอื้อน
ปมผูกเงื่อนเสมือนพิษซ่านติดแผล
ชโลมมัดปัดทางระหว่างแปร
ขยายแผ่โรมรันผันสิ่งปอง
ใคร่ครวญคิดติดไว้ในสามอย่าง
ระบบสร้างวางลงตรงสนอง
โง่งมงายในสิ่งอิงหมายลอง
วิจิตรตรองฉลาดไว้ในหัวใจ
ไร้ปัญญามาพินิจติดวิปลาส
จึงได้พลาดฝากให้ไม่สดใส
หลงมัวเมาในสิ่งพริ้งวิไล
เหตุไฉนไม่คิดสร้างจิตเรา
ทั้งร่ำเรียนเพียรมาอย่างสาหัส
ความวิบัติหยั่งลงตรงโง่เขลา
ติดในรสหมดสิ้นจินต์บางเบา
เทียบกับเงายังปลอดรอดเดียวดาย
วิถีชีวิตสถิตย์ไว้ในยลแยบ
สร้างเป็นแบบครรลองมิต้องสลาย
โง่นั้นทำก่อนคิดจึงปลิดวาย
ฉลาดไร้แบบแผนสู่แคลนคลอน
หากใช้ปัญญาทำไปในขณะคิด
ทีละนิดช้าหน่อยร้อยคำสอน
ตามแบบแผนแน่นไว้ตามขั้นตอน
สิ่งลิดรอนแยกออกนอกทางเดิน
นี่เพราะหลงตรงตัณหาจึงพาแพ้
ไม่เหลือแม้ความหวังครั้งสรรเสริญ
สิ่งยกย่องปองมาจึงพาเพลิน
เฝ้าดำเนินคิดเก่งไม่เกรงกลัว
จงสร้างชีวิตด้วยจิตอันรุ่งโรจน์
เกิดแสงโชติปัญญาดับคราสลัว
สิ่งแพร้วแนววิจิตรปลิดระรัว
ละเมามัวฝากไว้หากใครแพ้.
*** แก้วประเสริฐ. ***
10 มีนาคม 2550 20:21 น.
แก้วประเสริฐ
ตะวันลับฟ้า
แสงสูรย์สิ้นปิ่นห้วงนฤนาท
ฝันที่วาดค้างลงตรงแสงสี
กลิ่นนวลเนื้อเอื้ออยู่คู่ไมตรี
สิ่งเคยมีฝากฤทัยใฝ่อาวรณ์
ห้วงสิ่งสรรค์ผันแปรแค่แม้หวัง
อนาถยังฝังใจให้หลอกหลอน
หวนลมปากฝากพิไลในสิ่งวอน
สร้างสะท้อนย้อนไปสู่สายลม
ท้องฟ้าปลายไล้เมฆาหาสิ่งสร้าง
หมุนอ้างว้างค้างไว้ดุจใยขม
มองนภาผันเปลี่ยนเวียนสิ่งปม
สิ่งทับถมในฤทัยให้กระจาย
สายหมอกเมฆเฉกเช่นเน้นดวงจิต
ดุจความคิดดั่งทรายละลายหาย
หมุนวกกลับเวียนลับมาละลาย
ยอกย้อนใส่ในอารมณ์มิสมปอง
เหลือสิ่งสนองปองไว้ดุจสายฟ้า
ส่งแสงมาแวบวับดับทั้งผอง
ท้องทะเลเห่ลงตรงละออง
ทรายซัดต้องตรองดูอดสูใจ
ดวงตะวันพลันลับกลับสู่มืด
สิ่งเย็นชืดแสงแห่งแล้งสดใส
ความภิรมย์บ่มไว้กลางหทัย
ลิดรอนไล้ระอามาผันแปร
ริมฟากฟ้าจันทร์เสี้ยวเลี้ยวสู่โค้ง
ดาวพรึกส่งแสงไว้คล้ายถูกแห
ซ่านพิไลใยอนาถพาดสิ่งแล
ว้าเหว่แม้หฤทัยคล้ายดาวดวง
ฟังสำเนียงละอองน้ำย้ำชายหาด
คลื่นไหวซัดส่งใจในแมนสรวง
ปวงคำหวานผ่านฝันผันคำลวง
สิ่งทั้งปวงล่วงหายคล้ายตะวัน.
*** แก้วประเสริฐ. ***
7 มีนาคม 2550 10:08 น.
แก้วประเสริฐ
ใจประกายรุ้ง
รุ้งลาวัณย์บรรเจิดเลิศลักษณ์ฟ้า
หลากสัณห์พรรณนภามาบ่มแสง
พิรุณโปรยโรยฟ้าคราจำแลง
พฤกษาแฝงกลิ่นหอมย้อมฤทัย
ปานประหนึ่งลิขิตลิดสนอง
สิ่งเรืองรองประกายสั่นใยใส
นิ่งนอนแนบแอบอยู่รุดภายใน
ให้หวั่นไหวพวยพุ่งรุ้งตะวัน
กาลฤดูผิดไปสร้างไหวพลิ้ว
เมฆินทร์ปลิวสวาทวาดสวรรค์
ปั่นป่วนล้วนชวนคิดติดลาวัณย์
อเนกอนันต์รำลึกตรึกสิ่งปอง
สองตาแลแม้ฝ้าน้ำตาล่วง
สิ่งทั้งปวงลงห้วงดวงใจผอง
ย้ำแยกแยะแกะฝังยังเรืองรอง
ออกเป็นสองแสงสีที่เคียงกาย
แสงเอยใยรักช่างหนักจิต
แม้นคู่ชิดติดใยช่างไร้สลาย
สู้เจิดจ้าพาสีสัณห์พรรณราย
แยกดวงใจอ่อนล้าพามืดมน
ดุจใยรุ้งพุ่งพวยด้วยเคียงข้าง
แสงอ้างว้างกลางนภาหาสิ่งสน
ป่นฤทัยให้รันทดปลดยอมทน
นิรมลปนสวาทสาดอารมณ์
สลักเสลาเฝ้าอยู่คู่ทรวงเอ๋ย
ใยรำเพยเผยผกามาสู่สม
สีดั่งรุ้งพุ่งพวยรวยภิรมย์
แบ่งแนวโน้มบ่มสวาทนภา
รัตติกาลยะเยือกเจ้าเลือกลับ
มิหันกลับนับวันเพื่อสรรค์หา
ลิขิตชีวิตปลิดปลงลงกับตา
โอ้วาสนามาสู่สู้รัญจวน.
*** แก้วประเสริฐ. ***
2 มีนาคม 2550 11:58 น.
แก้วประเสริฐ
อนิจจานารีศรีสมร
แสนคำนึงรำพึงคิดจิตอนาถ
สิ่งนวยนาดย้ายโยกโบกสีสันต์
ลิงเต้นเร่าเฝ้าโหมโน้มกำนัล
สีแพรพรรณงามเด่นเน้นชวนมอง
สองเนตรส่ายไล้ประกายกระพริบ
แววระยิบแย้มสรวลล้วนสนอง
แย้มยิ้มยวนล้วนใคร่ให้ประลอง
นวลละอองปิดสงวนป่วนฤทัย
ยามรถหยุดกระทันพลันโน้มน้าว
เน้นสิ่งขาวเย้าอารมณ์โหมสดใส
ก้มหยิบของสองข้างสร้างไฉไล
แพรร่นไปไม่ปิดติดกายเลย
รำพึงคิดจิตหวนล้วนยอกย้อน
อกสะท้อนผ่อนใจคล้ายวางเฉย
กุลสตรีหนีหน้าพาอภิเปรย
คงร้องเฮ้ยโลกหวาข้าอยากตาย
เด็กเล็กปองสนองชมตะวันตก
แล้ววิปโยคโศกศัลย์พลันคิดสาย
เกิดเป็นมารหัวขนดุจสนควาย
สร้างฉิบหายให้สังคมล่มลง
บิดรมารดาร่ำพร่ำร้องไห้
ความตั้งใจสิ้นสลายกลายเป็นผง
ต่อหน้าเชื่อจิ้มลิ้มพริ้มงวยงง
ลับหลังคงส่งตัณหาฟ้าเบิกบาน
ฉันนั่งมองสองตาแลแม้คนข้าง
ส่งเสียงดังฟังเอ่ยเผยสิ่งสรรค์
เดี๋ยวกูไปให้รู้อยู่ไม่นาน
จะฟาดฟันมันแน่แม่งามงอน
หลับตาพริ้มลิ้มอารมณ์ข่มอนาถ
หัวใจปราศภิรมย์ซึ้งถึงคำสอน
ศีลธรรมนำสู่ไว้ให้อาวรณ์
เป็นบทกลอนผ่อนฤทัยให้คนชม.
*** แก้วประเสริฐ. ***
28 กุมภาพันธ์ 2550 10:39 น.
แก้วประเสริฐ
** รักชั่วนิรันดร์ **
เป็นเรื่องจริงที่ผมเองได้รับทางเมล์อ่านแล้วน้ำตาตกใน จึงอยากใคร่ให้
เพื่อนๆในไทยกลอนนี้ได้อ่านบ้าง ผมจะแต่งเป็นกลอนก็จะไม่ดีเท่านี้จึงมิกล้า
เกรงจะเป็นการทำให้เสียบรรยากาศไป ใคร่ขอความเมตตาไว้ด้วยครับ ผมจะ
นำไปลงในเรื่องสั้นด้วย ขอความเมตตาจากท่านด้วยครับ ขอบคุณ
*** แก้วประเสริฐ. ***
นับถอยหลังไปอีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะถึงวันวาเลนไทน์
วันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความรัก
ที่ใครหลายคนให้ความสำคัญกับวันนี้ ไม่ว่าใครจะนิยามความรักว่าเป็นของคู่กัน
ความเหมือน ความพอดี ความลงตัว หากแต่นิยามความรักของตาลอบ ที่มีต่อยายทองนั้น
กลับมองว่าวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนั้น ไม่เคยมีความหมายต่อตาและยายเลย
เพราะชีวิตรักที่ตาและยายได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่า 50 ปี
นั้นไม่เคยมีวันไหนที่ความรักของตาที่มีต่อยาย
และยายมีต่อตานั้นลดน้อยลงไปตามกาลเวลาเลย
หากแต่ความรักของทั้งคู่กลับเพิ่มพูนขึ้น สวนทางกับสังขารที่เริ่มจะโรยรา
สำหรับตาวันนี้มันก็เป็นแค่วันธรรมดาๆ วันหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไรเลย
ดอกกุหลาบมันจะสู้สิ่งที่เราทำดีให้กันทุกวันได้ยังไง มันเทียบกันไม่ได้หรอก
ตาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญกับชีวิตตรงไหน เพราะถึงไม่มีวันนี้
ยังไงตาก็ยังรักยายเท่ากันทุกวัน
อมร สีสุภเนตร หรือที่ชาวบ้านในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย รู้จักกันในนามของ
ตาลอบ ส่วนภรรยาคู่ทุกคู่ยากชาวบ้านเรียกขานกันว่า ยายทอง
พื้นเพเดิมยายทองเป็นคนอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ส่วนตาลอบเป็นคนเชียงคาน
จังหวัดเลย ปัจจุบันสองตายายอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ สภาพเก่าๆ
หลังหนึ่งตามลำพังสองคนโดยมีลูกๆ คอยดูแลอยู่ห่างๆ เมื่อมองเข้าไปในบ้าน
จะสังเกตุเห็นว่าบ้านของตา เสมือนเป็นโรงพยาบาลขนาดย่อมๆ เพราะอุปกรณ์
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในการดูแลยายนั้น ตาได้ดัดแปลงให้เหมือนกับทางโรงพยาบาล
ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ดูแลยายได้อย่างเต็มที่
ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วตาลอบ ซึ่งเป็นช่างตัดผมหนุ่มฐานะยากจน
ได้พบรักกับยายทอง แม่ค้าขายอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามประจำหมู่บ้าน
ในงานรำวงสร้างโบสถ์ที่วัดป่ากลาง อำเภอเชียงคาน
หลังจากที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมา 5-6 ปีจนมั่นใจในความรักที่มีให้ต่อกัน
ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอหญิงสาวที่เขารักแต่งงาน เป็นงานแต่งงานที่เรียบง่าย
ไม่มีพิธีกรรมใหญ่โตอะไร ไม่มีเงินสินสอดทองหมั้นมากมาย
หากแต่มีเพียงคำมั่นสัญญา ที่ชายหนุ่มมอบไว้ให้กับหญิงสาวที่เขารักว่า
จะครองรักและดูแลกันตลอดไป
ทั้งในยามทุกข์และยามสุขจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตจะเดินทางมาถึง
เวลาผ่านมา 50 ปี ทั้งคู่ครองรักกันจนกระทั่งแก่เฒ่า และตลอดเวลาที่ผ่านมา
ความรักของคนทั้งคู่ที่มีให้กันก็มากพอ
และสม่ำเสมอพอที่จะทำให้ชีวิตรักของคนคู่นี้กลายเป็นตำนานรักแท้ที่น่าจดจำ
แต่จะเป็นเพราะสวรรค์บัญชา หรือฟ้ากำหนด จู่ๆ ปี 2538
ยายทองก็ล้มป่วยลงด้วยการเป็นอัมพฤกษ์ทางด้านซ้าย
ซึ่งก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา
อาการของยายทองก็กำเริบทรุดหนักลงไปอีก จากอัมพฤกษ์กลายเป็นอัมพาต
ไม่สามารถพูดคุยกับตาลอบได้อีก นอกจากส่งเสียงร้องไห้
ซึ่งบางครั้งก็มีแต่เสียงร้อง บางครั้งก็มีแต่น้ำตา
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารเพียงอย่างเดียว
ที่ตาลอบรับรู้และเข้าใจเสมอว่ายายต้องการอะไร
ยายเขาร้องไห้ เพราะว่าเขาอยากจะพูดกับเรา แต่เขาพูดไม่ได้
เขาจึงบอกเราด้วยการร้องไห้ออกมา พอตาได้ยินเสียงไม่ว่าจะทำอะไรอยู่
ตาก็จะเดินไปพูดกับเขา หรือไม่ก็ต้องส่งสียงตอบกลับไป ส่วนใหญ่ตาจะบอกเขาว่า
อย่าร้องเลย เราอยู่ตรงนี้แล้ว บางทีก็บอกยายว่า เราจะอยู่กับเธอ
จะดูแลเธอไปจนกว่าจะตายจากกัน
ที่บอกอย่างนี้เพื่อให้ยายรู้ว่าตาอยู่ใกล้เขาไม่ได้หนีไปไหน ปฏิเสธไม่ได้ว่า
น้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นภาพฝ่ายชายดูแล ปรนนิบัติฝ่ายหญิง
หากแต่สิ่งที่ตาทำนั้น
ได้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าความรักของตาที่มีต่อยายนั้นเป็นตำนานความรักอันยิ่งใหญ่
ที่ใครๆ ต่างก็แสวงหา
ตาอยากใช้ชีวิตอยู่กับยายจนวินาทีสุดท้าย เราจะต้องไม่ทอดทิ้งกัน
เราต้องมั่นคงต่อกัน ตาสัญญากับยายว่า จะดูแลยายให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย
ตาตั้งใจรักษายายให้ดีที่สุด ตาทุ่มเทชีวิตให้ยายทั้งหมดเลย
เพราะว่ายายมีความหมายกับตาสุดชีวิตเลย ทุกวันนี้ตายังมีความหวังอยู่ว่า
ยายจะอาการดีขึ้นและกลับมาพูดกับตาได้เหมือนเคย เราต้องอยู่แบบมีความหวัง
เพราะความหวังนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีกำลังใจดูแลยายต่อไป
จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หากก่อนที่จะจากกันไปในชาตินี้ใจลึกๆ
ตาลอบก็อยากให้ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง เพราะอยากให้ยายฟื้นขึ้นมาอีกซักครั้ง
เพื่อที่จะถามข้อข้องใจ ที่ชายคนหนึ่งเก็บไว้มาหลายปี
ว่าที่ผ่านมาเขาทำดีพอที่สามีคนหนึ่ง จะทำให้ภรรยาที่เขารักที่สุดได้หรือไม่
ถึงแม้ว่าบั้นปลายชีวิตอันแสนสุข จะถูกพรากไป และแทนที่ด้วยความทุกข์ทรมาน
จากอาการเจ็บป่วยของอีกฝ่ายหนึ่ง คำมั่นสัญญาทุกคำ
ที่ตาลอบเคยมอบไว้ให้กับยายทองก็ยังไม่มีคำใด
หรือตัวอักษรตัวใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ยายทองล้มป่วย
แทบจะทุกนาทีของชีวิต ตาลอบได้มอบให้กับการเฝ้าดูแล
ประคบประหงมยายทองอย่างใกล้ชิด ไม่เว้นแต่ยามหลับหรือยามตื่น
ตาดูแลยายไม่เคยห่าง ตาต้องดูแลทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่อง อาบน้ำ เช็ดตัว
ไปจนถึงเรื่องการเช็ดอึ เช็ดฉี่ อาหารการกิน อาการเจ็บป่วยต่างๆ
เราต้องคอยสังเกตุตลอดเวลา เวลาทำอะไรตาก็จะนึกถึงยายก่อนเสมอ
ถ้ายายยังไม่นอนตาก็ยังไม่นอน หรือถ้ายายยังไม่ได้กินข้าวตาก็จะยังไม่กิน
เพราะต้องป้อนยายก่อน การดูแลปรนนิบัติยาย ตาลอบจะทำเพียงคนดียวทุกครั้ง
และตาจะใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยป็นอย่างดี
แม้แต่แพมเพอร์สตาก็จะไม่ใส่ให้ยายเพราะเกรงว่าจะอับชื้น
และทำให้เป็นแผลกดทับได้ ตาจึงไม่เคยเบื่อกับการที่ต้องคอยเช็ดอึ
เช็ดฉี่อยู่ตลอดทั้งวัน เสื้อผ้าของยาย ตาก็จะไม่ซักผงซักฟอก
เพราะกลัวยายจะแพ้และเป็นผื่น ฯลฯ ทุกวันนี้ตากลัวว่ายายจะทิ้งตาไป
ไม่อยากให้ยายตายเลย อยากให้อยู่เป็นเพื่อนกัน อยู่เป็นคู่รักกันตลอดไป
ตาไม่เคยคิดอย่างคนอื่นเลยว่า ตายไปภาระจะได้หมดลงไม่คิดเลย
ภาพที่ชาวเชียงคานเห็นจนชินตา คือภาพชายชราวัย 73 ปี
ปั่นรถจักรยานที่มีเตียงพยาบาลพ่วงติดอยู่ด้านหน้า
โดยมียายนอนลืมตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงเคลื่อนที่ไปตามถนนหนทางต่างๆ
รถคันนี้เป็นรถที่ตาลอบประดิษฐ์ขึ้นมาเองกับมือ
เพราะถ้าจะซื้อเตียงแบบโรงพยาบาลนั้น ก็เกินกำลังที่ตาจะมีได้
ด้วยความที่ตาเคยมีความรู้ทางช่าง
จึงต่อเตียงพยาบาลขึ้นมาและดัดแปลงต่อเติมให้เตียงนั้นเคลื่อนที่ได้
และมีหลังคาคอยคุ้มแดดคุ้มฝน และมีมุ้งคอยกันยุงและแมลงต่างๆ
ที่ตาทำเช่นนี้หวังเพื่อให้ยายอยู่ใกล้กับตาตลอดเวลา
เพราะเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา ตาจะได้ช่วยเหลือยายได้ทัน
ดังนั้นเวลาตาจะไปไหนก็จะพายายไปด้วยเสมอ
ใครที่เห็นรถของตาต่างก็อดไม่ได้ที่จะไม่เหลียวหลัง
และต่างก็ตั้งข้อสงสัยไปต่างๆนานา บ้างก็นึกว่าเป็นรถซาเล้ง รถขายของ
รถเก็บของเก่า บ้างก็ว่ารถขนศพ แต่ถึงอย่างไรตาลอบก็ไม่สนใจคำครหาเหล่านั้น
เพราะสิ่งสำคัญที่ตาพายายออกมาอย่างนี้ ก็เพื่อให้ยายออกมารับอากาศข้างนอก
ให้ยายได้รับการทักทาย พูดคุยจากผู้คนต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ยายรู้สึกตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ ตายังรู้ใจยายดีว่ายายชอบให้ตาพาเที่ยวไปตามที่ต่างๆ
ตาจึงมักปั่นเตียงเคลื่อนที่คู่ใจคันนี้ พายายไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
ที่มีความสำคัญๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พบรักกัน สถานที่ๆ ทำมาหากินด้วยกัน
ทั้งนี้ตาทำเพื่อพายายไประลึกถึงความหลังอันงดงาม เพื่อกระตุ้นความจำ
ความรู้สึกของยาย และอย่างน้อยความหลังเหล่านี้
เสมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงความเศร้าหมองของชะตากรรม
ที่ทั้งคู่ต้องเผชิญอยู่ได้ไม่มากก็น้อย
บ่อยครั้งเวลายายมีอาการป่วยมาก ตาต้องพายายไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงคาน
โดยมากตาจะปั่นเตียงพยาบาลเคลื่อนที่ พายายไปที่โรงพาบาล
ทันทีที่ไปถึงจะเป็นอันรู้กันกับเจ้าหน้าที่ว่าเตียงประดิษฐ์ของตาคันนี้
สามารถใช้แทนเตียงของโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี
และเมื่อพยาบาลเห็นคนไข้รายนี้ทีไรก็อุ่นใจได้ว่า
ไม่ต้องมาดูแลยายทองอะไรมากนัก เพราะตาลอบจะเป็นคนดูแลยายเองทุกอย่าง
โดยที่ไม่ต้องให้พยาบาลเข้ามายุ่งเลย
เพราะตาลอบคิดว่าเจ้าหน้าที่คงจะดูแลไม่ดีเท่ากับตัวเอง
ซึ่งนั่นเป็นเพราะตาลอบทำด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ตาลอบได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าสัญญาที่ชายหนุ่มมอบไว้กับหญิงสาวอันเป็นที่รัก
เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วนั้น ไม่ใช่แค่ลมปาก หรือถ้อยคำหวานหู ตามแรงปราถนา
หากแต่เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในหัวใจ
ที่มีที่ว่างให้เพียงแค่หญิงสาวที่เขารักเพียงคนเดียว
คำมั่นสัญญาที่ตาลอบมอบให้ จึงเป็นพันธะสัญญาที่ถูกจารึกลงบนหินผา
ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ก็ไม่มีวันลบเลือน
และยังทำอย่างซื่อตรงสม่ำเสมอ ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นลงของดวงตะวัน
ที่จะเป็นอยู่เช่นนั้นชั่วนิรันดร์
หากท่านใดประสงค์จะช่วยเหลือครอบครัวของคุณตา คุณยาย
สามารถร่วมช่วยเหลือได้อาจโดยการโอนเงินผ่าน
บัญชี ธนาคาร ออมสิน
บัญชี ออมทรัพย์
สาขาเชียงคาน
เลขที่บัญชี 115 - 602 - 200 - 232 - 881
ชื่อบัญชี นายอมร สีสุภเนตร
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
(ฝากส่งต่อด้วยนะคะ)