15 ตุลาคม 2550 11:15 น.
แก้วประเสริฐ
** แปดฤาไฉน **
บูรพาจารย์จารึกตรึกอักษร
หากเล่นกลอนแปดนั้นอันสดใส
อักษราอ่อนพลิ้วลอยลิ่วไป
สัมผัสในนอกไว้ควรใส่กัน
จะมีบ้างบางคำย้ำหลีกเลี่ยง
ทำนองเสียงบังคับนับเสกสรร
คำกล้ำเกินระวังไว้ไม่ผูกพัน
ควรสร้างจารให้เกิดเลิศไฉไล
ฉันท์ลักษณ์หมั่นจำพร่ำมิขาด
ด้วยแบ่งบาทเป็นสี่นี้เฉิดไสว
วรรคที่หนึ่งเรียกสลับประดับไป
คำสุดท้ายสามัญเน้นเต้นจดจำ
วรรคที่สองรองรับท้ายบทแรก
นิยมแจกจัตวาอย่ามาขำ
ห้ามโทตรีสามัญนั้นผูกนำ
อีกมีรูปวรรณยุกต์พร่ำย้ำแจง
หากเขาใช้เสียงตรีนี้เป็นไฉน
ด้วยเหตุได้กลอนส่งบรรจงแฝง
จำต้องปองสนองไว้ให้พลิกแพลง
กลอนมีแรงได้ไพเราะเจาะอารมณ์
วรรคที่สามกลอนรองต้องค้นพบ
จงบรรจบเสียงสามัญครั้นเสพย์สม
ห้ามจัตวาวรรณยุกต์รูปเชยชม
คำตายบ่มเสียงตรีรับกลับมา
วรรคที่สี่กลอนส่งบรรจงสอย
นิยมร้อยสามัญเสียงหรรษา
เว้นคำตายวรรณยุกต์รูปผูกพา
เสียงตรีหนาก็ได้ไม่เป็นไร
สัมผัสนอกในควรมิแอบแฝง
ซึ่งเป็นแหล่งไพเราะเพราะสดใส
จะไหวหวิวพลิ้วเพริศสู่เกรียงไกร
เฉิดไฉไลดังนี้ที่ควรมอง
สัมผัสนอกคำท้ายกลอนได้ส่ง
แล้ววางตรงสองสามสี่ที่วรรคสอง
หรือห้าหกเจ็ดได้ให้ทำนอง
แต่ควรต้องคำสามตามตำรา
สัมผัสในโลมเรียงเคียงห้าเจ็ด
หรือเบ็ดเสร็จสามสี่ก็ดีหนา
หากไม่มีก็ได้ไม่นำพา
เพียงแต่ว่ากระด้างมิสร้างจินต์
อักษรสูงเสียงสูงผดุงจิต
สิบเอ็ดคำนำประดิษฐ์ให้ถวิล
อักษรกลางวางเก้าเฝ้ากวิน
นอกนั้นสิ้นต่ำหมดจรดกาล
กลอนแปดแปดคำพริ้งระวิงแว่ว
จะเพริศแพร้วอย่างไรให้ประสาน
จิตอารมณ์ผสมผสานผ่านเนิ่นนาน
อักษรนั้นสรรค์หาจะพาเพลิน.
*** แก้วประเสริฐ. ***
11 ตุลาคม 2550 19:28 น.
แก้วประเสริฐ
** สิ้นแสงตะวัน **
ตะวันครั้นแลลับ หยุดเสียงขับเคยพร่ำขาน
บุบผาหยุดเบ่งบาน หัวใจฉันเศร้าทรวงใน
นกน้อยเรียงร้อยคู่ พิศมองดูยากแจ่มใส
วาดหวังรุ่งเรืองไกล ปราชญ์วิไลใยลับลา
ต่อนี้ยากจะเหลือ สิ่งจุนเจือพระศาสนา
ครั้งเพียรหมั่นวิชา เคยนำมาใฝ่หมายปอง
ดับแล้วแสงโคมสิ้น ผุดผ่องถวิลถิ่นละออง
แสงธรรมล้ำเรืองรอง แตกลอยฟ่องดับสิ้นไกล
ยากแท้ในยุคนี้ หาใครที่มาเฉิดฉาย
เปล่งปลั่งธรรมวินัย ให้เกรียงไกรได้บ่มี
คงแฝงแหล่งสมบัติ สอนวิบัติน่าบัดสี
โน้มน้าวเฝ้าโลกีย์ ผ้าเหลืองนี้จนมัวเมา
อ้างธรรมมาพร่ำพรื้อ จนระบืองมงายเขลา
ศาสนาคงเหลือเงา สีเหลือเฝ้าห่อคลุมกาย
พรายดำที่กลัวหด กลับถูกปลดเปล่งเฉิดฉาย
คนนำธรรมละลาย เหลืออะไรให้หมายคิด
สองปราชญ์ที่เคยหวัง เหลือหนึ่งยังเปล่งเฉิดฉินท์
บัดนี้กลับล่วงริน คงหมดสิ้นถิ่นแสงทอง
อาลัยเป็นยิ่งนัก หวังประจักษ์ปราชญ์รุ่นสอง
เพื่อนำสิ่งเรืองรอง ให้ผุดผ่องเด่นตระการ
แม้นรู้เป็นอนิจจัง ยากจะหวังมาขับขาน
นำธรรมให้เบิกบาน นมัสการด้วยใจจริง
ตะวันครั้นลาลับ ย้อนหวนกลับแนวระวิง
ความหวังหากเป็นจริง เปลี่ยนทุกสิ่งย้อนคืนมา
เสียดายหัวใจเศร้า เหลือเพียงเงากับตำรา
ทิ้งไว้ให้ค้นคว้า ฝากวิชาเป็นบทเรียน
ธรรมชาติมาสอนจิต ดุจชีวิตที่ขีดเขียน
เต้นไว้ในกงเกวียน หากไม่เพียรแสนเสียดาย
ชีวิตทั้งชีวิต ปราชญ์ลิขิตแสนมากมาย
ปลวกกินสิ้นละลาย ก็อย่าหมายในแสงทอง
วิวัฒน์กาลต่อไป อย่าเมินไซร้ช่วยครรลอง
ประกอบสิ่งสนอง สมเป็นศิษย์เพื่อศาสดา.
*** แก้วประเสริฐ. ***
10 ตุลาคม 2550 12:22 น.
แก้วประเสริฐ
** ที่หนึ่งโลก **
ประกาศก้องโลกาว่าศักดิ์ศรี
ไทยล้วนมีโลกีย์เป็นที่หนึ่ง
ทั้งวัยรุ่นหญิงชายไร้รำพึง
อึงคะนึงไปมั่วทั่วถิ่นทอง
หนังสือพิมพ์โทรทัศน์ประกาศก้อง
เพียงทำนองลมผายมิใคร่สนอง
กลับยิ่งสร้างอารมณ์บ่มลำพอง
ซ้ำคะนองเริงยศปรากฏอารมณ์
มีของแปลกชายหญิงอิงสมสู่
จัดเป็นหมู่คลุกเคล้าเข้าเสพย์สม
รวมมัธยมพาณิชย์คิดเชยชม
มหาลัยภิรมย์ร้องพ้องตามมา
ประเภทหนึ่งแกมสองสนองสนาน
แลกเปลี่ยนขานกันกลับนับจัดหา
สลับเวียนเปลี่ยนคู่กันสันต์อุรา
มินำพาผัวเมียใครหมายปอง
อาหารเหล้ายาอีที่มีไว้
เปิดเพลงให้ทำนองสนุกสนอง
พอได้ที่มีสุขปลุกเรืองรอง
เข้าประคองเปลี่ยนคู่เสพย์สู่กัน
เยี่ยงเดือนสิบสองร้องเวียนหาสู่
บัดนี้ดูผิดกาลอันเสพย์สันต์
เพียงเงินตราโลกีย์ที่เบิกบาน
เปลือยกายพลันมือถือสื่อนิยม
แต่ก่อนนี้ได้ยินถิ่นต่างเทศ
บัดนี้เขตถิ่นทองต้องขื่นขม
แม้แต่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
กลับชื่นชมลองของร้องงอแง
ชายหญิงเอ๋ยเคยคิดสักนิดไหม
บรรพชนไทยวางสิ่งอิงกระแส
ทั้งตำรากลอนไว้ใยไม่แล
กลับเพียรแต่กามาน้ำตานอง.
*** แก้วประเสริฐ. ***
5 ตุลาคม 2550 13:19 น.
แก้วประเสริฐ
** ฟ้าเพียงดิน **
กายกลิ่นย้อมหอมไว้ดุจใยรุ้ง
ละอองพุ่งพริ้มเพราราวประสาน
พะนอเคล้าเย้าหวนล้วนตระการ
วิลาวัณย์อนันต์บุบผาวนาไพร
ยิ่งแลนุชสุดพราวสกาวพริ้ง
สวยระวิงเพริศร่างกระจ่างใส
อรชรอ้อนแอ้นเลิศเฉิดไฉไล
ยากหาใดโน้มเทียบเปรียบลลนา
วาสนาคราพบตลบอบหวล
พิลาสชวนตลึงแลพลันแผ่หา
บรรจงไว้สู่ทรวงดุจห่วงวนิดา
ครอบคลุมมามัดสิ้นใฝ่จินต์นที
ดั่งบุบผาแผ่ผ่านซ่านสุดหวง
ประกายยวงระยับประดับสี
หลากพรรณรายพราวล้ำฉ่ำชีวี
ยามยลมณีศรีนุชประดุจกานต์
นฤมลยลโน้มประโลมจิต
แพรวใสพิศระรื่นยากฝืนสรรค์
ร่ำกู่ร้องเสนาะหาพาละลาน
แวววับกาลแย้มยวนชวนภิรมย์
เกริกเกรียงไกรวาสนานฤมิต
ดุจฟ้าสถิตกานดามาเสกสม
วิเวกกาลพสุธาเพริศอารมณ์
วิศรุตชมมโนขานวิจิตรครวญ
งามยิ่งแท้อัปสรยังอ้อนออด
ต้องถอนทอดหทัยจนไม่สรวล
ป่วนฤทัยใฝ่คนึงพึงเนื้อนวล
เฝ้ารัญจวนล้วนตลึงคิดถึงนาง
เป็นบุญตาคราฟ้ามาเพียงดิน
เพียรยลยินสำเนียงเยี่ยงสล้าง
ทบรอยฝันคำนึงมิพึงวาง
ดุจดั่งสร้างชีวันพลันเบิกบาน.
*** แก้วประเสริฐ. ***
1 ตุลาคม 2550 10:20 น.
แก้วประเสริฐ
** งมงายรัก **
สังขารหนอพอเก่าเศร้าประจักษ์
เสมือนหยุดพักสิ่งปองสนองสิ้น
ความงดงามสวยสดจรดชีวิน
แลดูถวิลวัยผงาดวาดชุ่มชวย
มีแต่ความระทมขื่นขมเศร้า
เหลือสิ่งร้าวมาป่วนล้วนฉาบฉวย
ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์แสนจักรวย
มิอาจช่วยเสริมแฝงแห่งจิตใจ
ที่ทั้งรู้หฤทัยในเรือนร่าง
ยังมาสร้างกายาพาสดใส
ศัลยกรรมผิวหนังทั้งนอกใน
แต่ก็ไร้กำลังอย่างครั้งเดิม
สิ่งยั่วยุฝากผ่านรัญจวนจิต
ดั้นชีวิตหวนอยู่คู่กับเสริม
หลงลวงใจใส่ไว้ให้เหิมเกริม
เฝ้าเพิ่มเติมร่างเก่าเอากลับคืน
เพียรสรรค์หายาไว้หนีไกลโรค
เร่งบริโภคสร้างพลังหวังฝ่าฝืน
ทั้งออกกำลังฝันไว้ให้ยั่งยืน
ยากจะฟื้นคืนกลับนับวัยเดิม
ร่างที่เหี่ยวหนังย่นจนพ้นสภาพ
ยิ่งพังพาบหงายเก๋งด้วยเร่งเสริม
ทั้งหญิงชายเฒ่าชราหามาเติม
ครั้นเหิมเกริมดังเก่ายังเฝ้าโรย
อนาถแท้หนอคนยามพ้นสภาพ
มิได้ซาบซึ้งแก่นแล่นร่ำโหย
ดุจใบไม้หล่นพ้นขั้วดั่งโปรย
บุบผาโชยกลิ่นหอมย่อมจืดจาง
มีพระธรรมเท่านั้นที่สรรค์สร้าง
เยือกเย็นสล้างแก่จิตคิดสว่าง
รู้เหตุผลสิ่งเศร้ามิเคล้าพราง
ดั่งนำทางแช่มชื่นระรื่นใน
ด้วยรู้ทันต่อกาลผันหมุนเปลี่ยน
คอยวนเวียนเสริมจิตติดแจ่มใส
สิ่งทั้งหลายเกิดอยู่สู่ดับไป
หากทำใจนิรันดร์พลันรื่นรมย์.
*** แก้วประเสริฐ. ***