16 มกราคม 2553 13:48 น.
แก้วประเสริฐ
พิลาปลาวัลย์
...๏ หอมเอยหอมกลิ่นเคล้า ลาวัลย์ ซ่านเฮย
พึงแนบชิดติดพัน ซ่อนเร้น
วาบหวิวส่งใจอนันต์ ภาพก่อ จิตแฮ
อวบอูมงามมากเน้น ชูสล้างฝากสรวง ฯ
ล่วงล้ำลึกเด่นล้ำ พุ่มพวง
หวานรสยามใยยวง แทรกซ้อน
เคล้าคลึงคลุกซาบทรวง รสมุ่ง หอมแฮ
เกลือกก่อกิ่งกาบก้อน กกกลิ้งกลุ่มกานต์ ฯ
กลิ่นเร้าโรมยอดพลิ้ว ไหวเอน แกว่งเฮย
ยอดนิ่งไหวเบี่ยงเบน ช่อซึ้ง
ไล้โลมรุกข้ามเลน เคล้าซ่าน ประทุม
รุกไล่เลียบผ่านขึ้ง โกรธกริ้วล่องลอย ฯ
จวบจนพบบ่อน้ำ อมตะ หอมเอย
มุ่งมั่นสอดแทรกปะ ล่วงล้ำ
โรมรินกลิ่นจะจะ ชวนก่อ สรวงแฮ
จวบก่อพิลาปกล้ำ เลียบซึ้งผ่อนคลาย ฯ
ลึกลึกเข้าบ่มไล้ นิ่มนวล
น่ารักระริกชวน พรอดพริ้ม
ถอนใยจากหอมหวล หยุดพัก ผ่อนแฮ
หวังมุ่งต่อยอดลิ้ม รสซึ้งตรึงฤทัย ฯ
ครวญครางสุขบ่มไว้ สั่นพลาง โชยแฮ
ต่อยอดไว้แนบกลาง สิ่งสล้าง
มัวเมามุดผ่านขวาง รุดก่อ หวานเฮย
ก้านแกว่งไกวสิ่งสร้าง สู่ล้ำแดนสวรรค์ ฯ
เกสรแตกแยกไว้ ร่องรอย
ภมรหมู่แยกกันคอย คลุกเคล้า
ความหวานถูกใช้สอย ล่อกลิ่น ภุมรา
กลิ่นฝากสิ่งรอยเศร้า จากแล้วล่องลอย ฯ
บุปผาเอยผ่านเคล้า คลอเคลีย ยับแฮ
ปั่นป่วนจนหมดเสีย สิ่งแพร้ว
เสียหวานจึ่งอ่อนเพลีย ยากก่อ ชวนแฮ
เปรียบดั่งนารีแล้ว หมดสิ้นหอมครวญ๚ะ๛
** แก้วประเสริฐ. **
14 มกราคม 2553 14:41 น.
แก้วประเสริฐ
*** กลิ่นธูปควันเทียน ***
๏ นมัสการยกนอบน้อม พุทธา
สองกรแนบวันทา กราบก้ม
ธรรมะที่แสดงมา ซึ้งซ่าน กมลแฮ
พ้นสิ่งกิเลสโน้ม ฝากไว้ดวงมาลย์ ฯ
ภาวนาให้หลุดพ้น หลักพัน ผูกแฮ
หวังสู่มิขาดกัน เจิดจ้า
รวมเป็นหนึ่งจิตพลัน สรรค์สู่ ธรรมเฮย
เพียรก่อจิตปราศล้า มุ่งไว้คำสอน ฯ
พุทธะองค์มอบไว้ ทุกตอน
เห็นทุกข์เกิดลิดรอน ใฝ่รู้
อริยสัจสี่นำสอน พ้นสิ่ง เกิดแฮ
ขาดต่อวัฏฏะผู้ จัดสร้างเสกสรร ฯ
วิปัสสนาสู่น้อม ฝึกฝน มากนา
พิศเพ่งกายาจน สู่สล้าง
ตัดรอนต่อเปรอะปน ฝังอยู่ ใจเฮย
หนีจากกิเลสสร้าง ซ่อนไว้ลึกหทัย ฯ
จิตเจตสิกย่อมสร้าง เกิดดับ
เวรย่อมเข้าประดับ อ่อนล้า
จนหมกมุ่นติดกับ นำก่อ กรรมแฮ
ดุจดั่งมีดคมกล้า ขาดแล้วซึ่งคม ฯ
หากเพียรฝึกหลีกพ้น ทุกข์ภัย หนีนา
สุขย่อมเข้าอาศัย สุดพลิ้ว
เกิดมิก่อปราชัย ยวนยั่ว มากนา
ล้างลบกิเลสกริ้ว ผูกขึ้นจองเวร ฯ
อย่าหักโหมเร่งซึ้ง ฉับพลัน
จงหมั่นคอยเสกสรร สู่ไว้
เพียรจิตก่อทุกวาร ผันสู่ ธรรมเฮย
หากเร่งรัดแล้วไซร้ ย่อมสิ้นทางหนี ฯ
พระองค์ตรัสเทิดไว้ จงเพียร มากแฮ
พิศต่อกายหมุนเวียน เปลี่ยนแล้ว
ควันธูปล่องดังเทียน แสงส่อง ไหวเฮย
กายย่อมวางเพริศแพร้ว ลบล้างสิ่งสนอง ฯ
แสงควันลอยล่องฟ้า เลือนหาย
ดุจดั่งจิตละลาย เปลี่ยนแล้ว
สับส่ายสิ่งมากมาย มินิ่ง จริงแฮ
วกกลับเวียนสลับแพร้ว เร่าร้อนกายใจ ฯ
ใดใดในโลกนี้ อนิจจัง หมุนเฮย
จิตยากจะจับขัง ส่ายแท้
ดุจควันธูปลอยยัง สรรค์สู่ แตกแฮ
ร่างกายมิสุขแล้ จะพลิ้วล่องลอย ฯ
แสงทองเทียนส่องฟ้า เกิดดับ เวียนนา
ระยิบพร่างประดับ จิตห้วง
เพลิงก่อสู่ห้วงจับ เกิดก่อ จินต์แฮ
ยากมาดจะจับล้วง ไขว่คว้าธรรมสนอง ฯ
ธาตุมนุษย์สัตว์กอบด้วย หกธาตุ แน่เฮย
ดินก่อเนื้อหนังวาด ร่างแล้ว
น้ำหล่อชุ่มมิขาด อิ่มเอิบ มวลแฮ
ลมเกื้อหนุนสิ่งแพร้ว ซ่อนไว้สม่ำเสมอ ฯ
ไฟสร้างอบอุ่นเชื้อ ซ่อนรูป เวียนเอย
อากาศธาตุเน้นลูบ พยุงไว้
วิญญาณะเช่นกูบ สิงสู่ ร่างเฮย
เป็นร่างกายนี้ไซร้ เลิศล้ำกรรมเวร ฯ
มาดแม้นมิหนุนเกื้อ ต่อกัน
แบ่งแยกสุดเสกสรร ก่อแล้ว
ก็จะเกิดต้านทาน หนุนส่ง ดับเฮย
สิ้นสุดมนุษย์สัตว์แจ้ว เจื่อนจ้าสิ้นสลาย ฯ
โลกทั้งปวงก่อด้วย ธรรมมอบ เนืองแฮ
เพียรฝึกค้นหากรอบ ปรุงไซร้
ตัดแต่งต่อดีชอบ สรรค์ต่อ กายเฮย
จิตซึ่งหลักกอรปไว้ ต่อห้วงบ่วงมหรรณ์ ฯ
ธรรมพุทธะเกิดแล้ว ผองชน
เกิดเพื่อให้จรดล สว่างล้ำ
ชี้แจงสิ่งสับสน ฝากก่อ ใฝ่นา
สอนมุ่งอริยะย้ำ ก่อเกิดอนิจจัง ฯ
รวมความในที่นี้ ทางมรรค สามเฮย
ศีลก่อไร้อุปสรรค สุดแล้ว
สมาธิเกิดเป็นวรรค คลุมครอบ จิตแฮ
ปัญญาพลิกเพริศแพร้ว เนื่องไว้นิพพาน ฯ
ขจัดต่อมวลสิ่งสร้าง กิเลส
ตัณหาดุจนิเวศน์ ใหญ่กว้าง
โลภโกรธหลงในเจต สร้างบ่วง มัดเฮย
วัฏฏะวนเวียนสล้าง เกิดขึ้นตลอดกาล ฯ
ฝากแง่ธรรมมอบไว้ ผองชน ตรองเอย
ค่อยร่ำศึกษาจน จ่างรู้
ปฏิบัติมิขัดสน ต่อเนื่อง ขาดลอย
ก็จะมีเหตุสู้ แนบซึ้งดับผอง ๚ะ๛
*** แก้วประเสริฐ. ***
13 มกราคม 2553 16:25 น.
แก้วประเสริฐ
เดือนลับดับดาว
ขอลาแล้วแก้วตานิจจาเอ๋ย
สิ่งที่เคยส่องพราวสกาวแสง
สิ้นแล้วหรือความหลังที่ยังแรง
ล่วงแอบแฝงหวานซึ้งที่ตรึงใจ
ประดับถ้อยผ่านขึงสุดคนึงจิต
ห้วงสิงสถิตลิดรอนสะท้อนไสว
พลันมืดสนิทละอองอันยองใย
หวามวิไลผ่านลับยากจับปอง
หมดสิ้นแล้วซ่านซึ้งที่ตรึงไว้
ผ่านร้างไกลที่เคล้ายากเฝ้าสนอง
สะท้อนห้วงประเทืองเคยเมลืองรอง
สู่หม่นหมองสิ่งหวานเคล้าผ่านกาย
เหลือความหวามนิมิตที่ติดฝัน
เคยเสกสรรทอเงาเพื่อเร้าสนอง
ป่วนห้วงซึมฝากไว้แทรกใยยอง
ความใสผ่องศูนย์สิ้นยากจินตนา
เย้ายวนยองน่ารักซ่านหักแล้ว
เสียงเจื่อนแจ้วฝากไว้เคยใฝ่หา
ท้องฟ้าหมองต้องดาวที่เฝ้ามา
สิ้นวาสนาอกเอ๋ยยากเผยตรม
ยามเดือนไร้ดาวหมองยากผ่องใส
วาบหวานใจลาลับยากขับขม
ที่ฝังลึกซ่อนเร้นสุดเน้นปม
ซ่านระทมจบสิ้นผ่านจินต์คอย
ด้วยหลงเขามิตรองจึงหมองเศร้า
โอ้ปวดร้าวหัวใจเป็นใยฝอย
แยกเป็นชิ้นละลายยากให้คอย
จนเหลือน้อยสะอื้นต้องฝืนลา
ดุจดั่งเดือนและดาวยามพราวแสง
เดือนลับแห่งดับดาวยากเฝ้าหา
ขอสิ้นสุดรักแล้วต้องแผ่วลา
หยาดน้ำตาล่วงจับประดับทรวง.
*** แก้วประเสริฐ. ***
11 มกราคม 2553 17:28 น.
แก้วประเสริฐ
ไร้รัก...หักสลาย
อนิจจาดวงใจเหตุใดถวิล
รักสุดสิ้นเลือนลับมาดับสลาย
เจ็บเพียงกายไม่คนึงที่ซึ้งหทัย
ผันพลิกไปปวดร้าวสู่เศร้าตรม
ดวงตะวันลาลับยังกลับหวน
สิ่งปั่นป่วนฝากไว้เหตุไฉนขม
เดือนขาดดาวเคียงคู่มิสู้ระทม
ข้าระบมหวานลิ้นแทบสิ้นใจ
แม้นไร้รักมิว่าหากถ้ากล่าว
ความปวดร้าวจบถวิลหมดสิ้นไห้
ปากอย่างหนึ่งยังสร้างสุดฝังฤทัย
ความชิดใกล้เหลือไว้สู่สายลม
จะทำฉันท์ใดสายใยข้าเอ๋ย
สิ่งที่เคยมอบไว้ช่างไม่สม
กับสิ่งที่เสน่หาต้องฝ่าตรม
หวานชื่นชมแลลับมาดับวาร
สายลมพลิ้ววกกลับแล้วขับแผ่ว
วาบหวามแจ้วภิรมย์ยากบ่มขาน
เหลือเพียงเสี้ยวสิ่งทอส่อทรมาน
ยากอภิบาลห้วงฤทัยที่หมายชม
จะขอหนีห้วงรักประจักษ์แล้ว
ฝากเป็นแนวลึกเจาะช่างเหมาะสม
หลงหลากสิ่งน่ารักหมายจักชม
พลิ้วระทมสุดเอื้อแสนเบื่องาม
มิไตร่ตรองจึงเป็นดั่งเช่นนี้
ป่วนชีวีละเลงผ่านเกรงขาม
หลงต้องลมล่องลอยไม่คล้อยตาม
ทรมานหยามสิ้นแล้วจนแผ่วจินต์
โอ้อนาถหนอชะตาที่ข้าสถิต
ไม่อยากคิดฝากไว้จะไร้สิ้น
น้ำตาพร่างจากฟ้าโปรยมาริน
อดีตสิ้นสุดหมองซึ้งครองเงา.
*** แก้วประเสริฐ. ***
8 มกราคม 2553 21:23 น.
แก้วประเสริฐ
อนิจจาหนอใจ
สายลมพลิ้วผ่านพัด ริ้วระบัดใบไม้ไหว
ฟ้าฝนมิเป็นใจ ห้วงฤทัยมิเบิกบาน
ฝนพร่างผิดฤดู ดั่งยอดชู้ยากขับขาน
ห้วงหทัยสุดร้าวราน อกสะท้านสิ้นดวงแด
ยากไร้ใครแลเห็น ทุกข์ลำเค็ญผ่านผันแปร
ดิ้นรนจนพ่ายแพ้ ดุจดั่งแม่ลบรูปรอย
เหม่อมองท้องทุ่งทอง ฝนละอองที่เป็นฝอย
แต่เราซิเฝ้าคอย ใจละห้อยนางเป็นไฉน
ก่อนเก่าคนช่วยเกี่ยว มีดใบเคียวตัดกำไว้
ร้องเพลงเคล้าวิไล ใยมาร้างให้ใฝ่ตาม
ผันผวนป่วนแปรทิศ ยากตามติดพิชิตคาม
สร้างเศร้าคอยนงราม สุดจะห้ามมัดห้วงจินต์
เมล็ดข้าวยามถูกฝน แยกจะทนแตกเป็นชิ้น
ราคาคงหมดสิ้น มิอาจถวิลหมดสิ้นเรา
ความจนคนเขาเมิน จึงห่างเหินหลงโง่เขลา
เชื่อรักเหลือเพียงเงา ซ่านสู่เคล้าเศร้าทุ่งนา
กบเขียดร้องแซ่ซ้อง เบิ่งตาจ้องเที่ยวค้นหา
ฝนพร่างปนพลิ้วมา หยาดน้ำตาซึมซุกใน
เสียงปลาฮุบกินเหยื่อ เบ็ดราวเจืออาหารไว้
สะพายข้องเลี้ยวไป ปลดปลาใส่จนใกล้สาง
กระท่อมเอนกายลง จิตพะวงถึงแม่นาง
แสงสีคงเปิดทาง ทุ่งนาร้างยากหวังคืน
เหลือไว้เพียงสิ่งฝัน ใจผูกพันมิอาจฟื้น
ทรวงเราเคล้าสะอื้น ยากระรื่นกับฝนฉ่ำ
ทุ่งเอ๋ยทุ่งรวงทอง ใจข้าหมองสุดระกำ
ฟ้าเอยมิหยุดพรำ น้ำคงล้ำท้องทุ่งนา
รวงข้าวเคยพลิ้วไหว โอนเอนไกวยากรักษา
ลมฝนมินำพา แกล้งพลิกพาข้าคนจน
สิ้นรักยังสิ้นข้าว ช่างปวดร้าวยากสุดทน
คราวนี้คงปี้ป่น พลิกผันจนฝนผิดกาล
เสียรักสุดหักฝืน ยากจะฟื้นสู่ประสาน
อกเอ๋ยช่างร้าวราน อนิจจาหนอใจเรา.
* แก้วประเสริฐ. *